ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Mar 14, 2006 9:21 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้อง konyakroo กล่าวว่า
เรื่อง หลักฐานเฝ้ากุโบร์นั้น มีแน่และมาจากการกระทำบรรดาซอฮาบะและคนสลัฟด้วย ครับ
ตอบ
อุ้ยซี้ด ๆๆๆ ...อยากเห็นหลักฐานเศาะหาบะฮเฝ้ากุบูรจัง....เร็วจ้า....อาบังขอจองจ้า
7 วันได้หลายตังค์ อาบังจะเปิดบริษัท เฝ้ากุบูร จำกัด ตามที่ตั้งใจไว้ แต่รอหลักฐานก่อน
คำจำกัดความ: |
|
ขนาดไฟล์: |
33.83 กิโลไบต์ |
เข้าชม: |
16711 ครั้ง |
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Mar 14, 2006 9:30 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้อง konyakroo กล่าวว่า
น่าแปลกใจ มาก ทีเวลาอายะหรือฮาดีสที่ทางเรายกมาในการสนับสนุนความดี ทั่วไปแล้วบังจะไม่ยอมรับ ฮ้าๆๆๆตาหรกมากๆๆ
..............
ตอบ
การยกอายะฮหรือ หะดิษ มาสนับสนุน ความดี อาบังเอาจ้า...แฮะๆๆ แต่..ถ้ายกเมฆมาสนับสนุนบิดอะฮ ฉานไม่เอาจ้า....หุ หุ หุ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Mar 14, 2006 10:18 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้อง konyakroo กล่าวว่า
ยังครับ คุณฟาอิส คุณยังค้างคำถามผมอยู่อีกข้อครับ
ความเข้าใจของคุณในเรื่องมัวะตาซีละด้วยครับ
..........
ตอบ
ขออนุญาต น้องฟาอิสไปพลางๆก่อน
มุอตะซิละฮ คือ กลุ่มที่ยึดถือ ปัญญาเป็นหลัก แต่ไม่ได้ทิ้งชะรีอะฮ กลุ่มนี้มีทัศนะว่า ความรู้มาจากปัญญาและวะหยู ดังนั้นทั้งสองสายนี้ จะต้องสมดุลกัน กล่าวคือ ความรู้ที่ได้มาจากทั้งสองทางนี้ จะต้องไม่ขัดแย้งกัน ถ้าเห็นว่าขัดแย้งกัน จะต้องเอาหลักฐานทางศาสนา(นัศ)มาตีความ หรือ หาทางปรับจนเข้ากับปัญญา
ผู้นำที่สำคัญของกลุ่มมุอตะซิละฮ ได้แก่ วาศิล บิน อะฏออ (ค.ศ. 748) อบุล-ฮุซัยลฺ อัล-อัลลาฟ (ค.ศ.850) อัน-นัซซอม (ค.ศ.845) อัล-ญอิซ (ค.ศ.868) อัล-ญับบาอีย์ (ค.ศ. 933) อิควาน-อัศเศาะฟา (กลางคริสตศักราชที่10)
วาศิล บิน อะฏออฺ เป็นศิษย์ที่เฉลียวฉลาดของ ฮะซัน อัลบัศรี แต่ภายหลังมีทัศนะที่ขัดแย้งกันกับ อาจารย์ จึงแยกไปตั้งสำนักศึกษาแห่งใหม่ จึงถูกเรียกว่า "มุอฺตะซิละฮ" หรือ อะฮลุล-อิอติซาล(أهل الأعتزال ) - วารสารอัลญิฮาด ปีที่ 22(2529) อันดับที่ 196 และ หนังสือ ปรัชญาอิสลาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (วิชาอิสลามศึกษา)
....................
จึงเห็นได้ว่า กลุ่มอัชอะรียะฮ มีแนวคิดเหมือนกันกับ กลุ่มมุอตะซิละฮ ในการติความ อายาตมุตะชาบิฮาต เพื่อให้กินกับปัญญา
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 4:59 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมเข้ามา ก็อยากจะทำการสนทนาเป็นเพื่อน สหายบังคนอยากรู้สักระยะนะครับ เพื่อเสริมรสชาติในการสนทนาสักหน่อย จะได้ออกเหงื่อ เลือดสูบฉีดกันบ้าง ก็คงจะดี การสนทนาล่าสุดที่ผมได้ถามคุณอะสันไปนั้น พอคุณอะสันเข้ามา คงได้เหงื่อและเลือดสูบฉีดบ้างซิครับเนี่ย ฮ้าๆ ผมถามดีๆ คุณอะสันกลับมาบอกว่า เราสนทนาอย่างเครียดแค้น คือพยายามจะทำให้ผู้อ่านที่เป็นวะฮาบีย์เห็นว่า พวกเราโกรธเกลียดวะฮาบีย์จัด เพื่อที่จะให้อยากให้วะฮาบีย์เชื่อในสิ่งที่เรานำเสนอไป ทั้งที่ความจริงมันเป็นข้อมูลเชิงวิชาการที่สดๆ ชัดๆ ไร้การหมกเม็ด และหลอกลวง เราไม่จำเป็นต้องไปโกรธแค้น หรือ เคืองอะไรกับแนวทางของวะฮาบีย์ แต่ในสิ่งที่ผมสนทนาไปนั้น ผมมุ่งเน้นกับตัวผู้สนทนาของวะฮาบีย์ที่มันเคราะคระ เกเร พูดจาเรี่ยราดเท่านั้นเอง หากจะสนทนาดีด้วย ก็คงไร้ผลอย่างแน่นอน เนื่องจากพูดด้วยแล้ว วะฮาบีย์บางคนมันจะได้ใจ อย่างเช่นคนเดินผ่าน หรือไออาเอฟ (ช่วงหลังเขาเงียบๆไปก็ดีน่ะ) แต่สงสัยคงจะมีคุณอะสันเข้ามาด้วยอีกคน ฮ้าๆ ก็ลองดูกันไป บางทีคุณอะสัน อยากจะว่าพวกเราเป็นถ้อยคำออกมา แต่ก็กลัวภาพพจน์ของตนเองจะเสีย ก็ส่งรูปสุนัข(หมา)มาบ้าง ไอ้กระผมนึกว่า คุณอะสันส่งรูปของตนเองมาเสียอีก ฮ้าๆ
ไอ้สิ่งที่พวกเราได้คุยไปนั้น หากทบทวนดูแล้ว คุณอะสันพยายามเลี่ยงหลายคำถามเหลือเกิน และยิ่งไปกว่านั้น คุณอะสันมักจะถูกจับเท็จหมกเม็ด อยู่ตลอด หากเป็นนักมวย ก็คงสะบักสะบอม ปากเจ่อ หน้าตาชกช้ำ ภรรยาจำหน้าไม่ได้แน่ แต่ก็พยายามพิงเชือก ประคองไปเรื่อยๆ แม้กรรมการตัดสินแพ้น๊อค คุณอะสันก็ยังไม่ยอมลงเวที ฮ้าๆๆ
นี่คือสถานะภาพอันแท้จริงของคุณอะสัน ในการสนทนาตั้งแต่แรกจะถึงปัจจุบัน ฮ้าๆ
คำจำกัดความ: |
|
ขนาดไฟล์: |
12.61 กิโลไบต์ |
เข้าชม: |
16704 ครั้ง |
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 5:18 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอะสันกล่าวว่า
ส่วนเรื่อง อัลกิยาสนั้น
وباب القربات يقتصر فيه على المنصوص، ولا يتصرف فيه بأنواع الأقيسة والآراء،
และเรื่อง กุรบาต(อิบาดะฮ)นั้น ถูกจำกัดอยู่บนหลักฐาน จะหันไปหาการกิยาสและความคิดเห็นใดๆไม่ได้ - ตัฟสีรอิบนิกะษีร เล่ม 4 หน้า 258
ผมขอกล่าวว่า
คราวนี้ยังดีนะครับ ที่อ้างอิงแค่ตัฟซีร ของท่านอิบนุกะษีร นึกว่าจะหมกเม็ดว่า ท่านอิมามชาฟิอีย์กล่าวอีกล่ะครับ มีหวังถูกน๊อก นอกเวทีชัวร์ ฮ้าๆๆ
อนุญาติให้ทำการกิยาสในเรื่องของอิบาดะฮ์
"อนุญาติให้การทำกิยาสในเรื่องของอิบาดะฮ์ได้ ในแง่ของหลักสติปัญญา และเกิดขึ้นจริง ตามหลักของศาสนา ซึ่งดังกล่าวนี้คือ คำกล่าวของสะละฟุสศอลิหฺ จากบรรดาซอฮาบะฮ์ ตาบิอีน อิมามทั้งสี่ คือ อิมามอัช-ชาฟิอีย์ อิมามอบูหะนีฟะฮ์ อิมามมาลิก อิมามอะหฺมัด อิบนุหัมบัล (ซึ่งพวกเขาคือสะลัฟพันธุ์แท้) และบรราดส่วนมากจากนักปราชน์ฟิกห์และนักปราชน์มุตะกัลลิมีน และนี้คือมัซฮับที่ถูกต้อง" (ดู หนังสือ อัลอะหฺกาม ฟี อูซูลิลอะหฺกาม เล่ม 3 หน้า 64 และ หนังสือ กัชฟุลอัสร๊อร ของท่านอัลบัซฺดะวีย์ เล่ม 3 หน้า 270 )
ส่วนมัซฮับที่ไม่ยอมรับการกิยาสเรื่องอิบาดะฮ์นั้น คือ พวกมั๊วะตะซิละฮ์ มัซฮับอัซซอฮิรีย์ ชีอะฮ์อิมามียะฮ์ และ(น้องใหม่แห่งวงการคือ)แนวทางวะฮาบีย์(สะลัฟพันธุ์เทียม)
วะฮาบีย์(สะลัฟพันธุ์เทียม) มักจะอ้างไว้ในตำหรับตำรา หลักสูตรการเรียน หรือการทกกันในเชิงวิชาการว่า
باب القربات يقتصر فيه على النصوص ولا يتصرف فيه بأنواع الأقيسة والأراء
"บรรดาเรื่องอิบาดะฮ์นั้น ถูกจำกัด บนตัวบทเท่านั้น และไม่ถูกนำมาปฏิบัติ ด้วยบรรดาประเภทของการกิยาส(เทียบเคียง)และความเห็น"
ไอ้กระผมขอกล่าวว่า หลักการนี้ ไม่ใช่หลักการของสะลัฟพันธุ์แท้ แต่เป็นหลักการของวะฮาบีย์สะลัฟพันธุ์เทียม แท้จริงแล้ว การกิยาสนั้น อนุญาติให้นำมาเป็นหลักฐานได้ แม้กระทั้งในเรื่องของอิบาดะฮ์ และให้กระทำสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ไม่เคยกระทำมาก่อน ตราบใดการกระทำนั้น ได้อยู่ในกรอบของชีริอะฮ์อัลอิสลามียะฮ์(หลักการของศาสนาอิสลาม) และดำรงค์อยู่บนหลักพื้นฐาน (أصول) และหลักการของศาสนาอิสลาม (القواعد الإسلامية ) และการนำหลักการมาเทียบเคียงกับหลักการของศาสนานั้น เขาเรียกว่า "กิยาส" โดยที่เราไม่ได้กล่าวเลยว่า ศาสนาบกพร่อง หรือท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ปกปิดเรื่องศาสนาหรือได้บกพร่องเรื่องศาสนา ตราบใดที่ หลักการกิยาสดังกล่าวนั้น อยู่บนบรรดารากฐานของศาสนาอิสลาม และอัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ว่า "และเราไม่ได้ละเลยสิ่งใดไว้เลย ในคัมภีร์ " ซึ่งหมายถึง เราไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้เลย จากเรื่องของศาสนา นอกจากเสียว่า เราได้บ่งถึงมันไว้ในอัลกุรอานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบ่งถึงแบบรายละเอียด หรือแบบสรุป ที่ได้รับการชี้แจงแลอธิบายมาจาก ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) จากอิจญฺมาอ์ หรือจากการกิยาส (ดู ตัฟซีร อัลกุรฏุบีย์ เล่ม 6 หน้า 420 )
หลักฐานบางส่วนที่ชี้ถึง การอนุญาติให้ทำการกิยาสได้ในเรื่อง อิบาดะฮ์
1. ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้ทำการกิยาส(เทียงเคียง) การชดใช้ฮัจญฺ กับ การชดใช้หนี้สิน โดยความหมายร่วมเกี่ยวกับความสำคัญในการชดใช้สิ่งที่ติดค้างเอาไว้ โดยที่ ฮัยญีนั้น เป็นเรื่องอิบาดะฮ์ และเรื่องการชดใช้หนี้สินนั้น เป็นเรื่องมุอามะลาต ดังกล่าวนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้กล่าวกับสตรีคนหนึ่งว่า
أرأيت لو كان على أمك دين فقضيته أكان ينفعها ذلك ؟ قالت نعم قال فدين الله أحق بالوفاء
"เธอลองบอกมาซิว่า หากมารดา(ที่เสียชีวิตไปแล้ว)ของเธอมีหนี้สินอยู่ แล้วเธอก็ชดใช้หนี้สินนั้น ดังกล่าวนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับมารดาของเธอหรือไม่? นางกล่าวตอบว่า ค่ะ (เป็นประโยชน์) ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า "ดังนั้นหนี้ของอัลเลาะฮ์ย่อมสมควรกว่า ด้วยการชดใช้" รายงานโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และมุสลิม
2. ท่านอิมาม อัล-บุคอรีย์ ได้รายงานไว้ในซอฮิหฺของท่าน จากท่านอิบนุอุมัร (ร.ฏ.) เขากล่าวว่า
لما فتح هذا المصران أتوا عمر رضى الله عنه فقالوا : يا أمير المؤمنين إن رسول الله صلى الله عليه وسلم حد لأهل نجد قرنا وإنه جور عن طريقنا وإن أردنا أن نأتى قرنا شق علينا قال : أنظروا حذوها من طريقكم فحد لهم ذات عرق
" ในขณะที่ สองเมือง(คือ บัสเราะฮ์และกูฟะฮ์) ได้ถูกพิชิต พวกเขาก็ได้มาหาท่านอุมัร(ร.ฏ.) แล้วพวกเขากล่าวว่า "โอ้ ผู้นำแห่งศรัทธาชน แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้กำหนดเขต ก่อร๊อน(ชื่อสถานที่) ให้แก่ชาว นัจญฺดี โดยที่มันห่างไกลจากทางของเรา และถ้าหากเราต้องการจะมาทาง ก่อร๊อนนั้น ก็จะเป็นการลำบาดแก่พวกเรา" ท่านอุมัรกล่าวว่า " ดังนั้น พวกท่านจงพิจารณา ทางที่เหมือนๆกับ ก่อร๊อน ที่เป็นทางเดินของพวกท่านซิ ดังนั้น ท่านอุมัร(ร.ฏ.) จึงกำหนด ทาง"ซาตฺอิรกฺ"(ชื่อสถานที่)ให้กับพวกเขา "
ท่าน อัชเชากานีย์กล่าวว่า ที่ชัดเจนของหะดิษนี้ คือ ท่านอุมัรได้กำหนดเขต ซาตฺอิรกฺ ให้กับพวกเขานั้น เป็นการอิจญฺฮาต (กิยาส) (ดู นัยลุล เอาฏอร เล่ม 4 หน้า 331 )
ท่านอิมาม อะหฺมัด ได้นำเสนอรายงานหะดิษ จากท่านอิบนุอุมัร เกี่ยวกับ กำหนดสถานที่เข้าทำการครองเอี๊ยะหฺรอมฮัจญฺ ซึ่งมีตอนหนึ่งระบุไว้ว่า
قياس الناس ذات عرق بقرن
"บรรดาผู้คน ได้ทำการกิยาส (เทียงเคียง) ทางซาตฺอิรกฺ ด้วยกับ ทางก่อร๊อน" (ดู นัยลุลเอาฏอร เล่ม 4 หน้า 330)
3. อิมามมาลิกและอิมามอัช-ชาฟิอีย์ ได้ทำการกิยาสในเรื่องของซะกาต(ซึ่งเป็นเรื่องอิบาดะฮ์) ดังนี้
- ท่านอิมามมาลิกและอิมามอัช-ชาฟิอีย์ ได้พิจารณาว่า (العلة) "เหตุผล" ในการออกซะกาตสิ่งเพาะปลูกและพืชผลนั้น คือ สิ่งที่นำมาเป็นอาหารหลักและสามารถเก็บเอาไว้ได้นาน ดังนั้น บรรดาสิ่งเพาะปลูก ที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้ทำการเก็บซะกาตนั้น คือ ข้าวสาลี ข้างบาร์เล่ ข้างโพด อินทผาลัม และองุ่นแห้ง ซึ่งท่านอิมามมาลิกและอิมามอัช-ชาฟิอีย์ ได้เอา ข้าวสาร ถั่วอะดัส(คล้ายกับถั่วเหลือง) ถั่วโพล(ซึ่งเป็นอาหารหลักของอียิปต์คล้ายถั่วปากอ้า) ถั่วหัมซฺ(คือถั่วปากเหนี่ยว) ถั่วตุรมุส(มีที่อียิปต์) มากิสยาสด้วยกับสิ่งเพาะปลูกที่ท่านร่อซูลทำการเก็บซะกาต"
- ท่านอิมามอะหฺมัด พิจารณาว่า (العلة) "เหตุผล" ในการออกซะกาตสิ่งเพาะปลูกและพืชผลนั้น คือ เพราะแห้ง และคงอยู่ได้นาน ท่านอิมามอะหฺมัด จึงเอา ข้างสาร ข้างฟ่าง ข้าวเดือย ถั่วอะดัส ยี่หร่า เมล็ดนุ่น เมล็ดกิษฺษฺาอ์ قثاء (แตงที่รสเหมือนแตงกวา แต่รูปคล้ายบวบ) เมล็ดผักกาดและเมล็ดพืชอื่นๆ มากิยาสเทียงเคียง กับสิ่งเพาะปลูกที่ท่านร่อซูลได้ทำการเก็บซะกาต ( ดู อัลมุฆนีย์ ของ อิบนุ กุดดามะฮ์ เล่ม 2 หน้า 290 - 291)
- ท่านอบูหะนีฟะฮ์ ได้พิจารณาว่า (العلة) "เหตุผล" ในการออกซะกาตสิ่งเพาะปลูกและพืชผลนั้น คือ มันเป็นสิ่งที่งอกเงยเพิ่มพูนเจริญเติบโต แล้วท่านอบูหะนีฟะฮ์ ก็เอาสิ่งเพาะปลูกและพืชผลที่งอกเงยจากผืนแผ่นดิน มากิยาสเทียบเคียงกับ สิ่งเพาะปลูกและพืชผล ที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ทำการเก็บซะกาต (ดู หนังสือ อัลฮิดายะฮ์ พร้อมกับหนังสือ ฟัตหุลกอดีร เล่ม 2 หน้า 502 )
- การเหนียตออกจากละหมาด ในขณะที่ทำละหมาดนั้น ทำให้เสียละหมาดหรือไม่ ? อิมาม อัช-ชาฟิอีย์กล่าวว่า เสีย แต่อิมามอบูหะนีฟะฮ์กล่าวว่า ไม่เสีย เพราะ กิยาส กับฮัจญี
- บรรดาปวงปราชน์ได้ลงมติว่า ให้เอา หุกุ่ม นิฟาส มากิยาส เทียบเคียง กับ หุกุ่มเฮด ได้ เนื่องจากหุกุ่มนิฟาสนั้น ไม่มีตัวบทมาระบุเกี่ยวกับเรื่องนิฟาสอย่างรายละเอียด
- บรรดาปวงปราชน์ได้ลงมติว่า การร่วมประเวณีนั้น ทำให้เสียการทำอุมเราะฮ์ โดยกิยาสเทียบเคียงกับ หุกุ่มฮัจญฺ เนื่องจากไม่มีตัวบทดังกล่าวมาระบุเกี่ยวกับเรื่องอุมเราะฮ์
บรรดาตัวอย่างที่ผมได้นำเสนอมานี้ คือการกิยาสเกี่ยวกับเรื่องอิบาดะฮ์ที่เป็นวายิบ เกี่ยวกับเรื่องหะลาลและหะรอม ก็ยังสามารถกระทำได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเรื่อง หุกุ่มสุนัติ หรือ เรื่อง มุบาหฺ และการกิยาสเรื่องอิบาดะฮ์นั้น ต้องเป็นอิบาดะฮ์ที่อยู่ในประเภท معقولة المعنى "คืออิบาดะฮ์ที่สามารถคำนึงหรือพิจารณาถึงเหตุผลของมันได้ ส่วนอิบาอะฮ์ที่ غير معقول المعنى นั้น ไม่สามารถกิยาสได้ เช่น เช่นจำนวนร่อกะอัตของละหมาด 5 เวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้ ว่าทำไมถึงต้อง มี 4 ร่อกะอัต มี 3 ร่อกะอัต ซึ่งเราจะทำละหมาดสุนัตขึ้นมาเอง โดยมี 3 ร่อกะอัต โดยมากิยาสกับละหมาดมัฆริบนั้น ย่อมไม่ได้เด็ดขาด เพราะ 3 ร่อกะอัตนั้น เป็นสิ่งที่หาเหตุผลไม่ได้ อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่นการ ยกหะดัษเล็ก และหะดัษใหญ่ ด้วยน้ำสะอาด ซึ่งเราจะเอาน้ำส้ม หรือน้ำมุสตะมัลที่ใช้แล้ว มาทำการยกหะดัษ โดยกิยาสว่า น้ำสะอาดก็เป็นของเหลวและน้ำส้มก็เป็นของเหลว แล้วนำมายกหะดิษนั้น ย่อมไม่ได้ เนื่องจากว่า หะดัษ นั้น เป็นสิ่งที่เราไม่ทราบว่าต้องล้างมันเพราะเหตุใดทั้งที่มันไม่มีตัวตน ? แต่มันเป็นหุกุ่มหนึ่งที่หลักศาสนากำหนดขึ้น แต่หะนะฟีย์ เอาน้ำส้ม และน้ำมุสตะมัลที่ใช้แล้ว มากิยาสกับ น้ำสะอาดได้ เกี่ยวกับกรณี การเปลื้องหรือล้างนะยิสสิ่งสกปรก โดยน้ำสะอาด และน้ำส้มนั้น สามารถเปลื้องสิ่งสกปรกออกไปได้ เนื่องจากสิ่งสกปรกนั้น เป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร และปลดเปลื้องมันออกไปได้อย่างไร
และการกิยาสนั้น ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ เมื่อมีตัวบทกำกับอยู่แล้ว เนื่องไม่มีการกิยาสในสภาพที่มีตัวอยู่แล้ว เช่นการ เช็ดรองเท้าโค๊ฟ ซึ่งไม่อนุญาติให้ทำการเช็ดส่วนล่างของร้องเท้าเนื่องจากมีความเห็นว่าส่วนล่างนั้นจะเผชิญกับสิ่งสกปรกได้มากที่สุด แต่จำเป็นต้องเช็ดส่วนบนของรองเท้า เนื่องจากมีตัวบทระบุมาจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์แล้ว
และความเห็นใดๆก็ตาม ที่ค้านกับตัวบท หรือ ค้านกับหลักพื้นฐานและหลักการของศาสนานั้น ย่อมเป็นความเห็นที่ถูกตำหนิอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งบรรดาซอฮาบะฮ์หลายท่านที่ตำหนิเกี่ยวกับหลักความเห็นเช่นนี้
จากหลักฐานที่เราได้นำมาเสนอนั้น เราจะพบว่า การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น ไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมเรื่องของศาสนาแต่อย่างใด และไม่มีอุลามาอ์สะลัฟของแท้ท่านใดเข้าใจอย่างนั้น นอกจากวะฮาบีย์สะลัฟของเทียมที่พยายามอ้างว่า การกิยาสในเรื่องของศาสนา ก็คือ การเพิ่มอิบาดะฮ์ขึ้นมาอีกในศาสนาอิสลาม โดยอ้าง อายะฮ์ที่ว่า "วันนี้ ฉันได้ทำให้สมบูรณ์กับศาสนาของพวกเจ้าแล้ว..." โดยที่วะฮาบีย์สะลัฟพันธุ์เทียมมักจะกล่าวว่า แท้จริง การเพิ่มใดๆในศาสนา ด้วยหนทางของการกิยาสนั้น ย่อมหมายถึง อิสลามมีความบกพร่อง จึงต้องการไปยังการเสริมให้สมบูรณ์ และพวกเขาก็ยังกล่าวอีกว่า ดังกล่าว เป็นการกล่าวหาท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ว่า ไม่ทำให้สารของอิสลามมีความสมบูรณ์" แต่ดูเหมือนว่า มัซฮับของวะฮาบีย์นี้ ไม่ถูกต้องดังนี้
1. ศาสนาอิสลาม คือศาสนาที่มีความสมบูรณ์ และมีความสมบูรณ์ดังแต่สมัยของท่านนบี(ซ.ล.) โดยที่บทบัญญัติของศาสนานั้น ได้ครอบคลุมในทุกแง่มุมของการดำเนินชีวิต แต่!!!การครอบคลุมนี้ บางครั้งด้วยตัวบท ที่มาระบุอย่างชัดเจน หรือบ่งบอกเป็นความเข้าใจเอาไว้ หรือวินิจฉัยมาจาก อิจญฺมาอ์และกิยาส ดังนั้น หากว่าศาสนาหรือบทบัญญัติอิสลามมีความสมบูรณ์พร้อม ด้วยตัวบทที่มาระบุชัดเจนเท่านั้น แน่นอนว่า อิสลามก็ไม่ต้องการ หลักฐานจาก อิจญฺมาอ์ และกิยาสเลย โดยที่บรรดาหลักฐานของหุกุ่มนั้น จำกัดเพียงแค่ อัลกุรอานและซุนนะฮ์เท่านั้น ซึ่งดังกล่าวนี้ ไม่มีนักปราชน์ผู้ใดพูดอย่างนั้น
2. ถ้าหากว่า การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น เป็นการกล่าวหาว่า อิสลามมีความบกพร่อง หรือกล่าวหาว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ไม่ประกาศศาสนาอย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่า บรรดาอุลามาอ์ที่กล่าวเรื่องกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ ก็ต้องเป็นกาเฟรกันหมด !!! ทั้งที่ผู้ที่ยอมรับในเรื่องกิยาส แม้กระทั้งในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น ก็คือบรรดาซอฮาบะฮ์ บรรดาตาบิอีน อิมามทั้ง 4 และบรรดาปวงปราชน์อื่นๆ หรือว่าพวกเราเป็นกาเฟร ???? อันเนื่องหลักการของพวกเขานั้น วะฮาบีย์กล่าวว่า กระทำสิ่งที่ ชี้ให้เห็นว่า ศาสนายังไม่สมบูรณ์ และกล่าวหาว่าท่านนบี(ซ.ล.)มาประกาศศาสนายังไม่สมบูรณ์ !!!
แล้วผมพูดว่า วะฮาบีย์ คือ สะลัฟ พันธุ์เทียมนั้น ผิดหรือเปล่าครับ ??? ใครช่วยตอบที และบังคนอยากรู้มีความคิดเห็นว่าอย่างไรครับ ?
-----------------
จาก มุหัมมัด คนเดิม
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 6:54 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ มุหัมหมัด และสหาย พยายามหลีกเลี่ยง ซื้อเวลา ที่จะไม่ตอบ เรีองบิดอะฮไทยแลนด์ที่ตนเองส่งเสริมให้ชาวบ้านทำ ทั้งที่ พูดอยู่เสมอว่า ตกเป็นจำเลย ถูกกล่าวหา เพราะขืนออกมาอ้างเมื่อไหร่ ที่นี้แหละ ความเป็นสะลัฟเทียม ก็ตกเป็นของมุหัมหมัด และสหาย ไปทันที ส่วนคุณมุหัมหมัดจะยั่วยุอย่างไร แฮะๆๆๆ ผมไม่สนใจ และไม่ถือสาหรอกครับท่าน เพราะนิสัย คนแก้อยาก แต่เป็นห่วงว่า เมื่อความรู้ที่เราศึกษา ขัดเคราจิตใจเราไม่ได้ แล้วเราจะไปอบรมบ่มนิสัยและขัดเคราจิตใจศิษย์ได้อย่างไร
ส่วนเรื่อง กิยาสนั้น ก็สามารถทำให้คุณมุหัมหมัด ได้หายยาวอีกครั้ง คือจะได้ซื้อเวลา และหลีกเลี่ยงการตอบ เรื่อง บิดอะฮ ไทยแลนด์ คุณมุหมัด ครับ ทำไมไม่บอกหลักฐาน เรื่อง ที่น้อง konyakroo บอกว่ามีหลักฐานเศาะหาบะฮเฝ้ากุบูร ล่ะครับ หรือกลัวว่า จะกลายเป็นสะลัฟปลอม อย่างที่ได้กล่าวหาคนอื่น
เอาล่ะทีนี้ ขอกล่าวเพิ่มเติมเรื่อง กิยาส ต่อ
وأمر العبادات يقتصر فيه على ماورد عن الشرع ولاسبيل فيه الى القياس ولا مجال الرأي
เรื่อง อิบาดะฮนั้น ถูกจำกัดอยู่บนสิ่งที่มาจากผู้บัญญัติศาสนบัญญัติ ไม่มีทางที่จะไปใช้การกิยาสและไม่มีช่องทางที่จะใช้ความเห็น - ฟะตะวาชัรอียะฮ เล่ม 1 หน้า 289
หมายความว่า เรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องมาจากอัลลอฮและท่านรอซูล จะเป็นวาญิบ หรือ สุนัต มีวิธีการอย่างไร เวลาใหน เท่าไหร่ แบบใด ทั้งหมดนี้ ต้องมาจากอัลลอฮและรอซูล เพราะเรื่อง อิบาดะฮนั้น ถูกจำกัดสิทธิ เฉพาะอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น ส่วนมนุษย์มีหน้าที่ปฏิบัติตามเท่านั้น
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 9:10 am ชื่อกระทู้: |
|
|
น้องมูฮำมัด
เจ๋งเลยครับ กับฉายาใหม่ของน้องที่วะฮษบีย์คือสลัฟพันธ์เทียม ฮ้าๆๆๆๆๆ
บังฮะซันครับ
เรื่อง อิบาดะฮนั้น ถูกจำกัดอยู่บนสิ่งที่มาจากผู้บัญญัติศาสนบัญญัติ ไม่มีทางที่จะไปใช้การกิยาสและไม่มีช่องทางที่จะใช้ความเห็น - ฟะตะวาชัรอียะฮ เล่ม 1 หน้า 289
บังนี้ยิ่งพูด ยิ่งเข้าป่าแล้วนะ วันก่อนคุณซุกกรีไล่เข้าป่าไปครั้งหนึ่ แล้วบังโกรธมากที่โดนไล่ เลยส่งรูปตัวเองเอ้ยรูปสุนัขขที่ออกอาการเหนื่อยฮักๆและหิวเซโซมาให้เห็น แต่หนีออกมาอีก สงสัยจะโดนยิกเข้าป่าอีกรอบแล้วนะเนี่ยะคักๆๆๆ
ฟะตะวาชัรอียะฮ เล่ม 1 หน้า 289 ผมไม่ทราบว่าบังได้อ่านรายละเอียดหมดหรือปล่าว คำว่า บัญัติศาสนา นั้น บังคงไม่เข้าใจเป็นอย่างอื่นนะครับ สิ่งใดที่ถูกกำหนดมาในรูบแบบชัดเจนแล้ว เช่นจำนวน รอกาอัต และเวลา ในการละหมาด รู่กนห้าม/ใช้ อะไรนั้นฯลฯ มันชัดเจนมาจากบทบัญัติจากศาสนาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่มีใครไปเปลี่ยนหรอกครับท่านอาจารย์แล้ว
แต่เรื่องกิยาสนั้น ท่านนบีและศฮฮาบะก็ยังนำมันมาเปรียบเทียบนะครับ ดูหลักฐานที่ น้องมูฮำมัดยกมาอีกครั้งครับ
ถ้า บังพูดแบบนี้ผมก็ได้คำถามในเรื่อง การศรัทธาการยอมรับในตัวท่านนบีและซอฮาบะมาอีกข้อนะครับ
ตกลงบังจะยอมรับการกระทำบุคลที่กล่าวถึงหรือไหมครับ
และที่บังกล่าวต่ออีกว่า
หมายความว่า เรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องมาจากอัลลอฮและท่านรอซูล จะเป็นวาญิบ หรือ สุนัต มีวิธีการอย่างไร เวลาใหน เท่าไหร่ แบบใด ทั้งหมดนี้ ต้องมาจากอัลลอฮและรอซูล เพราะเรื่อง อิบาดะฮนั้น ถูกจำกัดสิทธิ เฉพาะอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น ส่วนมนุษย์มีหน้าที่ปฏิบัติตามเท่านั้น
ที่ผมเน้นข้อความตรงนี้ นั้น ผมว่าบังต้องทำความเข้าใจใหม่หมดนะครับ บางเรื่องใน การกำหนด ว่า อะไรวายิบ สุนัต มุบาห์ มักโระฯลฯ นั้น บางสิ่งบางอย่าง มันไม่ใช่มาจากบรรดาอุลามะที่มีความรู้เลยหรืออาครับ..อาบัง..
โดยเฉพาะการงานต่างๆที่จัดเป็นสุนัตนั้นบังเอาอะไรมาพูดว่า ถูกจำกัดสิทธิ์จากอัลลอฮ์และรอซุลเท่านั้น .....น่าสงสารจริงๆวะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียม...
หรือบังจะอ้างแบบหัวชนฝารอบที่สี่อีกว่า เอ้า ถ้างั้นศาสนาอิสลามก็ยังไม่สมบูรณ์ละซิ
บังครับ การที่กำหนดสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นวายิบ หรือสุนัต(ซุนนะ)ต่างๆฯลฯนั้น บรรดาอุลามะที่มีความรู้นะครับเป็นผู้กำหนด ที่ให้เราได้ปฏิบัตตามแบบอย่างนั้นๆโดยอาศัยการตีความทึดึงมาจาคัมภีร์ของอัลลออ์(วบ)และการกระทำของท่านนบี รวมทั้งซอฮาบะของท่านด้วย ว่าสิ่งนั้นวายิบและเรามุสลิมจำเป็นต้องกระทำ สิ่งนี้เป็นสุนัตหรือซุนนะ ที่ท่านนบีเคยกระทำฯลฯ เราจะทำก็ได้หรือไม่ก็ได้ สิ่งนี้มักโระ สิ่งนั้นเป็นมุบาห์ (สิ่งที่ศาสนายินยอมให้กระทำ) แล้วบังพูดมานั้นบังคิดบ้างหรือไม่ ว่าท่านผู้ชมเขาจะคิดยังไงในตัวบัง เห็นดีแต่ส่งรูปภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบให้รอดไปวันๆ
หรือว่าบังนั้นหมดภูมิแล้วก็บอกมา...... เอ้าใครก็ได้ช่วยบังฮะซันที่ แกโดนนอ็กอีกยกแล้วครับ
และตอนนี้บังก็โดนจับแพ้แบบเอกฉันท์แล้วด้วยฮ้าๆๆๆ นี่ขนาด ยังไม่ได้เปิดประเด็นข้อปลีกย่อยเรื่องบิดอะที่ดีแม้กระทั่งชนสลัฟยังเคยกระทำนะครับ
เพราะบังแก มัวอู้ ไม่ยอมตอบคำถามและจุดยืนของวะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียมนะครับ
แล้วที่บังตอบเรื่องมัวะตาซิละของบังนั้นไ ม่ชัดเจนครับ...ยังมีอีกครับ...
ผมอยากได้ข้อมูลจากคุณฟาอิสนะครับ....
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 1:03 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
โอ้..มาแล้วหรือ ใหนว่า มีหลักฐานเด็ด เศาะหะบะฮ เฝ้ากุบูร รออยู่นะครับท่าน konyakroo
ไม่ใช่อะไรหรอก เพียงแต่ อยากจะรู้ว่า สะลัฟเทียม มันจะกลับไปทิ้มแทง คนที่กล่าวหาคนอื่นหรือเปล่า
konyakroo กล่าวว่า
ที่ผมเน้นข้อความตรงนี้ นั้น ผมว่าบังต้องทำความเข้าใจใหม่หมดนะครับ บางเรื่องใน การกำหนด ว่า อะไรวายิบ สุนัต มุบาห์ มักโระฯลฯ นั้น บางสิ่งบางอย่าง มันไม่ใช่มาจากบรรดาอุลามะที่มีความรู้เลยหรืออาครับ..อาบัง
.................
ตอบ
ถ้ามีความรู้ ก็สามารถบัญญัติหุกุมศาสนา ได้เลยหรือครับ มาชาอัลลอฮ นี้หรือ ที่อวดตัวเองว่า สะลัฟแท้ และดูถูก คนอื่นว่า สะลัฟเทียม ท่านครับ อุลามาอฺ ไม่มีสิทธิ์ ที่จะบัญญัติว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ วาญิบ สุนัต มักรูฮ นอกจากต้องมีหลักฐานจากอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ ช่วยบอกหลักฐาน ที่อัลลอฮมอบสิทธิ ในการออกหุกุม ศาสนาให้แก่อุลามาอ ด้วยครับ ถ้าไม่บอก ก็เข้าป่าได้แล้ว
أَمْ لَهُمْ شُرَكَاء شَرَعُوا لَهُمْ مِنْ الدِّين مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّه
หรือ พวกเขามีบรรดาภาคี บัญญัติศาสนาให้แก่พวกเขา สิ่งซึ่งอัลลอฮ มิทรงอนุญาต - อัชชูรอ/21
อุลามาอ คนใหนครับท่านที่มีสิทธิใช้ความเห็นตัวเอง ออกหุกุม ศาสนา
คำว่า
ที่ผมเน้นข้อความตรงนี้ นั้น ผมว่าบังต้องทำความเข้าใจใหม่หมดนะครับ บางเรื่องใน การกำหนด ว่า อะไรวายิบ สุนัต มุบาห์ มักโระฯลฯ นั้น บางสิ่งบางอย่าง มันไม่ใช่มาจากบรรดาอุลามะที่มีความรู้เลยหรืออาครับ..อาบัง..
...........
พูดคำนี้ออกมา ลองกลับไปสำรวจตัวเองก่อน ว่าเข้าใจศาสนาหรือ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 1:17 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
konyakroo กล่าวว่า
หรือว่าบังนั้นหมดภูมิแล้วก็บอกมา...... เอ้าใครก็ได้ช่วยบังฮะซันที่ แกโดนนอ็กอีกยกแล้วครับ
และตอนนี้บังก็โดนจับแพ้แบบเอกฉันท์แล้วด้วยฮ้าๆๆๆ
..............
ตอบ
ฮิฮิ..หน้าไม่อาย ตัวเอง ก็แค่ต้ากาฝาก ดูดน้ำเลี้ยง คนอื่นไปวันๆ ทำเป็นรอบจัดในศาสนา
ว่างๆ ดูกระจกบ้างนะท่าน
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 1:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
konyakroo ครับ ข้อความลูกพี่ มุหัมหมัด ที่ว่า
หลักฐานบางส่วนที่ชี้ถึง การอนุญาติให้ทำการกิยาสได้ในเรื่อง อิบาดะฮ์
1. ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้ทำการกิยาส(เทียงเคียง) การชดใช้ฮัจญฺ กับ การชดใช้หนี้สิน โดยความหมายร่วมเกี่ยวกับความสำคัญในการชดใช้สิ่งที่ติดค้างเอาไว้ โดยที่ ฮัยญีนั้น เป็นเรื่องอิบาดะฮ์ และเรื่องการชดใช้หนี้สินนั้น เป็นเรื่องมุอามะลาต ดังกล่าวนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้กล่าวกับสตรีคนหนึ่งว่า
أرأيت لو كان على أمك دين فقضيته أكان ينفعها ذلك ؟ قالت نعم قال فدين الله أحق بالوفاء
"เธอลองบอกมาซิว่า หากมารดา(ที่เสียชีวิตไปแล้ว)ของเธอมีหนี้สินอยู่ แล้วเธอก็ชดใช้หนี้สินนั้น ดังกล่าวนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับมารดาของเธอหรือไม่? นางกล่าวตอบว่า ค่ะ (เป็นประโยชน์) ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า "ดังนั้นหนี้ของอัลเลาะฮ์ย่อมสมควรกว่า ด้วยการชดใช้" รายงานโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และมุสลิม
.....................................
ตอบ
นี้ คือ ข้ออ้างของคนไม่รู้จักฐานะของตัวเอง และไม่เข้าใจศาสนาด้วย รู้หรือเปล่าว่า การกระทำ ของท่านนบีนั้น มาจากวะหยูของอัลลอฮ
وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى
และเขามิได้พูด (คำพูดใด)มาจากอารมณ์
إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى
สิ่ง(ที่เขาพูดนั้น)มิใช่อื่นใด นอกจากเป็นวะหยู ที่ถูกประทานลงมา - อันนัจญมุ/3-4
.............
แล้วความคิดเห็น และการกิยาสตามความเห็นที่นอกเหนือจากท่านรอซูล ใครรับรองล่ะท่านพี่ ?
عَنْ أَبِي هُرَيْرَة عَنْ رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ " لَا أَقُول إِلَّا حَقًّا
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ จากท่านเราะซูลุ้ลลอฮ (ศอลฯ) กล่าวว่า "ฉันจะไม่พูด นอกจาก ความจริง" - รายงานโดย อะหมัด
..............
ท่านพี่คิดจะเอาตัวเองและอุลามาอไปเทียบชั้นกับรอซูลหรือครับ
...........
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 1:55 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เพิ่มเติม
ขอสอนและเป่ากะโหลกของ konyakroo ว่า
สิ่งที่ท่านนบีกล่าวว่า
أرأيت لو كان على أمك دين فقضيته أكان ينفعها ذلك ؟ قالت نعم قال فدين الله أحق بالوفاء
"เธอลองบอกมาซิว่า หากมารดา(ที่เสียชีวิตไปแล้ว)ของเธอมีหนี้สินอยู่ แล้วเธอก็ชดใช้หนี้สินนั้น ดังกล่าวนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับมารดาของเธอหรือไม่? นางกล่าวตอบว่า ค่ะ (เป็นประโยชน์) ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า "ดังนั้นหนี้ของอัลเลาะฮ์ย่อมสมควรกว่า ด้วยการชดใช้" รายงานโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และมุสลิม
.............
ก็คุณปฏิบัติตามหลักฐานที่ปรากฏในหะดิษ ซิครับ เพราะนี้คือ คำสอนท่านนบี แล้วคุณเอาช่องทางใหนที่จะใช้มันไปอ้างการกิยาส ที่เกิดจาก สมอง ตื้นๆของคุณล่ะครับ
.........
เฮ้อ..น่าเบื่อ คนอะไรก็ไม่รู้ ปัญญาทึบชะมัด แฮะๆๆ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 2:20 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้องอัลอัชฮารีย์ น้องมูฮำมัด อจ.ฟารุก
-----ข้อความที่ผมยกมานี้ได้มาจากการสนทนาถาม - ตอบในเว็บที่ใช้ชื่อว่าอัสซุนนะ ระหว่างน้องผู้ชายที่ชื่อนลและบังฮะซันอจ.คนเก่ง
-------------------มาให้น้องๆและท่านทั้งหลายได้ดูกันทั่วหน้าครับ-------------------------------------
ซึ่งพี่น้องทั้งหลายสามารถไล่เป็นข้อๆได้ครับ
นล: อัสสลามุอลัยกุม ได้อ่านกระทู้บิดอะห์ใ นเวปมรดกที่อาจารย์asa n โต้กับพวกบิดอะห์ แล้ว รู้สึกว่าความหวังที่เ ข้าใจว่าการทำบิดอะห์ต ่างๆน่าจะหมดไปพร้อมๆก ับคนรุ่นเก่า คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วใ ช่ไหมครับ ขนาดคนไปเรียนถึงเมือง นอกที่คิดว่าน่าจะสร้า งความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามแนวทางกิตาบุลลอฮ์และซุนนะห์ให้กับเขาได้ กลับยังยึดมั่นกับการทำบิดอะห์อยู่เลยแถมยัง ทำให้ดูขลังขึ้นด้วย เป็นถึงนักเรียนไคโรเช ียวนะ ไม่ทราบว่าที่นั่นเขาไ ม่ได้สอนอะไรที่ทำให้เ ขาได้มีความเข้าใจที่ถ ูกต้องเลยหรือครับ ดูๆ แล้วยังไงเขาก็ไม่ยอมร ับในสิ่งที่อาจารย์นำเ สนอหรอกครับ มีแต่จะตะแบงไปเรื่อยๆ ตามความเชื่อของเขา ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการ โต้กับพวกชีอะห์หรอกนะ ครับ ผมว่า08/03/2549 (9:22)
asan: ครับ เขาไปเรียนมาจากเมืองนอกก็จริง แต่เมื่อกลับมา เขาก็ตามความเชื่อเดิม ๆของชาวบ้าน เพราะนั้นคือ แหล่งหากินของเขา ดังที่เราพบเห็นในหลาย ๆคน ที่การศึกษาไม่ได้เปลี ่ยนแปลงอะไรเลย
08/03/2549 (10:03)
นล: แต่นี่เขายังไม่ได้กลั บมาเลยนี่ครับ เขายังคงเป็นผู้ที่ศึก ษาหาความรู้อยู่ที่ไคโ รที่ซึ่งผมเข้าใจว่าน่ าจะสอนให้เขารู้ในสิ่ง ที่อาจารย์ซุนนะห์ของเ ราได้นำมาสอนนะครับ แต่ทำไมเขายังคงงมงายเ ข้าใจอะไรที่มันต่างกั นกับอาจารย์ของเราที่จ บมาจากที่เดียวกันนั้น ล่ะครับ แล้วอย่างนี้เขาจะเรีย นจบหรือครับ ถ้าเอาความรู้ความเข้า ใจอย่างที่เขาโต้กับอา จารย์ไปสอบน่ะครับ 08/03/2549 (8:05)
asan: มหาลัยอัลอัซฮัร เขาสอนแบบแยกมัซฮับครั บ ไม่เหมือนมหาลัยมะดีนะ ฮ
08/03/2549 (8:11)
นล: อย่างนั้นก็เท่ากับเขา ยอมรับให้มีการสังกัดม ัซฮับซิครับ อย่างนี้ใช้ได้หรือครั บ
08/03/2549 (8:27)
นี่คือ หลักฐาน ที่จับได้คาหนังคาเขา ว่าบังฮะซันนั้นที่แท้จริงนั้นเป็นคนที่มีนิสัย ปากว่าตาขยิบ ไม่ยอมรับความจริง....และไม่มีอามานะ
แต่พอเรา ต่อว่ากลับไปบ้าง ว่าเป็นวะฮาบีย์(สลัฟเทียมหรืออุตริกรรม) ก็ทำเป็นโกรธ เดือดดาล หูดับตับไหม้ ซึ่งเรานำหลักฐานมาชี้แจง ก็ไม่ยอมรับ หาว่าทุกอย่างถ้าท่านนบีไม่ทำ นั้นคือ บิดอะหมด....ผมรู้สึกหดหู่ กับการการะทำที่หน้าไหว้หลังหลอกของคนบางคน ที่ไม่รุ้พูดมาได้อย่างไร กับประโยคที่แก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆว่า ผมเองไม่เคยกล่าว ท่านเลย และไม่เคยดูถูกผู้ที่ยึดหรืออยุ่ในแนวทางมัสหับทั้ง4..
...
แล้วหลักฐานข้างบนบางตอนที่บังเขียนว่าพวกเรานั้นมันหมายความว่ายังไร ผมเห็นเด็กชื่อ นล นั้นถามด้วยความๆไร้เดียงสา บวกกับความรู้ที่ถูกป้อนและปลูกฝังให้ยึดติดอยู่กับ แนวทางอิบนุตัยมียะ +แนวทางดาวุดซอฮีรี มาตลอด ที่ให้น้องผู้นั้นเข้าใจอะไรผิดๆ แม้กระทั่งคำว่าบิดอะฮ์ ก็ขนาดบังฮะซันเองยังไม่รู้เลยว่าสลัฟตัวจริงนั้นเขาเป็นผู้แบ่งบิดอะเอง คือท่านอีหม่ามชาฟีอี(รด) แต่บังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะถ้าขืนรู้เห็นดีด้วยละก้อ แสดงว่า ไม่ยอมรับการไม่ยอมแบ่งบิดอะฮ์จากท่านหัวหน้า วะฮาบีย์นะซิ เพราะเขาเหล่านั้นถือว่า---ทุกๆอย่างคือบิดอะฏอลาละหมด ....ทั้งที่ท่านอุมัร(รด) ท่านยอมรับในการกระทำซึ่งไม่มีในสมัยท่านนบี
ว่าที่ท่านนั้นมันคือ บิดอะฮ์ที่ดี..
-------------ซึ่งถ้าความจริงที่ถูกเปิดเผยถึงรากฐานที่มาของวะฮาบีย์ เราก็จะพบว่า
มันเป็นแนวทางที่ผสมผสานระหว่างแนวความคิดจากหลายๆฝ่ายจากผู้รู้ทั้งในยุคสลัฟและคนยุคหลัง เช่น อิบนุตัยมียะและบรรดาผู้เจริญรอยตาม จากนั้นมาประติดประต่อเผื่อเพาะเชื่อในการผสมเทียมวิชาการในวิชา อูศุลและฟิกฮ์ของ มัสหับทั้ง4 เพื่อในเสื่อยี่ห้ออีหม่ามฮัมบาลี(รด)ในบางช่วง บางจังหวะที่เอื้ออำนวย โดยชูธงว่าเราจะยึดมั่นในสลัฟ (เทียม)แล้วใส่ใหม่ว่า ชื่อ
มัสหับหรือแนวทางวะฮาบีย์(ของท่านมูฮำมัดบินอับดุลลออฺบินอับดุลวะฮาบ ซึ่งถูกสนับสนุนด้วยต้นตระกูลมาจากซอุดีฯนั้นเอง
จากนั้นก็โปรโมทตัวเองต่างๆนาๆว่า จะยึดในกิตาบุลลออ์และซุนนะนบีเท่านั้น แต่ถ้าโดนย้าว่า เอ้าแล้วซุนนะคุลีฟะอัรรอซีดีน ไม่อาแล้วหรือ บางครั้งก็ต้องจำใจยอมรับเอา (ถ้าเห็นว่ามันสอดคล้องกับทัศนะตนเอง) ทั้งที่ยืนยันปากแข็งว่าเราจะยึดมั่นตามกีตาบุลลออ์และซุนนะยบีเท่านั้น..พอเอาเข้าจริงๆก็กลับมาตายรัง แถมยังปากแข็งอีกว่า นอกจากซุนนะคอลีฟะทั้ง4 เท่านั้นที่ยอมรับ แต่บางทีก็ไม่พ้นการตักลีดตามหรือยอมรับในความหมายจากซอฮาบะท่านอื่นจากฮัลฮาดีสบ้างจากการกระทำบ้าง เช่น ท่านอิบนุมัสอูด ท่านอับบาส ท่านซัลมานฯลฯ
ปากบอกว่าตามสลัฟตัวจริงพันธ์แท้จากอิหม่ามทั้ง4 แต่ความจริงแล้วดันไปเอาความเข้าใจของท่านอิบนุตัยมียะและลูกศิษย์ที่เจริญรอยตาม (สลัฟพันธืเทียมอย่างเบ้อเร้อ)) เฮ้อ ทีสลัฟจริงไม่ตาม นี่แหละเขาเรียกว่าเห็นขี้ดีกว่าใส้ฮ้าๆๆๆๆ
ทั้งที่ท่านอีบนุตัยมียะนั้น อายุห่างจาก อีหม่าม ชาฟีอี (รด)ฮัมบาลี(รด) เกือบสี่ร้อยกว่าปี...ดังนั้น ระหว่างความรู้และความเข้าใจบวกกับสิ่งที่นำมาถ่ายทอดและความเป็นชนสลัฟที่แท้จริงนั้น มันห่างกันลิบลับ ถ้าจะมีการตักลีดตามบุคคล1ใน2ท่านนี้
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 2:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้องนล
มหาวิทลัยอัลฮัซฮัร ที่ไคโรประเทสอิยิปต์ นั้นเป็นมหาวิทลัยที่เปิดสอนทั้ง 4 มัสหับหรือ4แนวทางครับในตั้งแต่อดีตกาลแล้วครับ เท่าที่รู้มา นักศึกษาที่จะเรียนนั้น ต้องทำการลงทะเบียนตัวเองว่า สังกัดหรือยึดแนวทางไหนในปัจจุบันก่อน เพิ่อทางวิทลัยจะได้ทำการสอนและให้วิชาความรู้ตามตรงกับวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนักเรียน อีกอย่าง หนึ่งเขาจะมีการเปรียบเทีบย โดยให้เรียนรู้ทั้ง 4 มัสหับเลยครับ..แต่มัสหับวะฮาบีย์นั้นเขาไม่เปิดเรียนครับ..น้องว่ามันเจ๋งไหม รู้ถึง4 แนวทางนั้น มันไม่ใช่เรื่อง่ายนะครับแถมได้เปรียบกว่าแนวทางเดียวด้วย..ฮ้าๆๆๆ
แต่มหาวิทลัยมาดีนะนั้น เปิดรับเฉพาะแนวทางเดียวครับ คือแนวทางที่กระทรวงศาสนายอมให้เปิดสอนโดยที่เขากำหนดเฉพาะคือ แนวทางฝ่ายวะฮาบีย์เท่านั้น....เพราะเขาถือว่า การมีมัสหับนั้นคือ การทำบิดอะฮ์และอุตริกรรม ครับน้องนลและมันก็ค้านกับหลักการของแนวทางทั้ง4 จนถึงทุกวันนี้ครับ ซึ่งน้องก็พอจะมองออกใช่ไหมครับ
แม้กระทั้งคำว่าบิดอะ ยังให้ความหมายไหมือนกันเลยน้อง
ดังนั้น น้องตัดสินใจเองแล้วนะว่า ระหว่างการตีความใดๆจากผู้รู้หรืออุลามะที่มีความชำนาญในยุคสลัฟ กับการตีความจากผู้ที่รู้ในยุคหลังนั้น อันไหนจะน่าเชื่อถือกว่ากัน...กลับไปคิดดูเป็นการบ้านนะครับ
อีกอย่างหนึ่ง น้องนลอย่าเอาแนวทางของผู้ที่ตักลีดตามท่านอีหม่ามชาฟีอี(รด)ไปเทียบกับพวกชีอะอีหม่ามสิบสองหรือกลุ่มที่ผิดเพี้ยนนั้นไม่ได้นะครับ มันคนละเรื่องกัน
ชีอะนั้น ในส่วนมากของเขา มีอะกีดะที่บิดเบือน จากเราครับ ไม่ว่าการเชื่อในอัลลออ์ (ซบ)การเชื่อในตัวท่านนบี(ซล) การเชื่อในตัวท่านอาลี(รด)และการเชื่อและยอมรับในบรรดาซอฮาบะ
ทั้งหญิงและชาย การเชื่อในรูกนอิสลาม รูกนอีหม่าน เขาก็แตกต่างกับเรามากครับ
รายละเอียดนี้ บังฮะซันไม่ได้สอนน้องหรือครับ หรือว่าสอนเฉพาะ เรื่อง บิดอะฮืที่เลวอย่างเดียว น้องเลยไม่รู้บิดอะที่ดีบ้าง อย่างนั้นหรือครับ.....
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Mar 15, 2006 3:55 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แล้วที่อาบังอะสัน ตอบ คุณนล นั้น ตรงตามสภาพความเป็นจริงหรือเปล่า และ อีกอยาก ถ้าผมจำไม่ผิด คุณ al-farook บอกว่า หากเข้าเรียนมหาลัยอัลอัซฮัร เขาจะต้องถามว่า ถือมัซฮับอะไร ใหนน้อง konyakroo ลองไป หาอ่านดู จากกระทู้ เว็บของ อ.ริฏอ
และ ถ้อยคำที่ว่า
ครับ เขาไปเรียนมาจากเมืองนอกก็จริง แต่เมื่อกลับมา เขาก็ตามความเชื่อเดิม ๆของชาวบ้าน เพราะนั้นคือ แหล่งหากินของเขา ดังที่เราพบเห็นในหลาย ๆคน ที่การศึกษาไม่ได้เปลี ่ยนแปลงอะไรเลย
08/03/2549 (10:03
..............
อยากจะถามว่า "แบบนี้มีจริงไหมในเมืองไทย" ฮุฮุฮุ
...........
น่าสงสาร พยายาม ถ่วงเวลา ที่จะไม่ตอบ เรื่อง หลักฐาน เศาะหาบะฮเฝ้ากุบูร แล้วไปหาเรื่องมาเบี่ยงเบนประเด็น ให้ตัวไปวันๆ เฮ้อ..น้องบ่าวเอ๋ย.. ไม่มีอะไรแสดงแล้วหรือ น่าจะไปเป็น ส.ส. เน่าเน่านะ ที่ขุดคุ้ยเก่ง ฮะฮา
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|