ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 2)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 2)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, ... 31, 32, 33  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
มุหัมมัด
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005
ตอบ: 210


ตอบตอบ: Tue Jan 24, 2006 5:34 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณอะสันกล่าวว่า

แล้วทำไม่ เรื่องตะเศาวูฟจึงไปเกี่ยวข้องกับบิดอะฮด้วยล่ะครับ พ่อคนฉลาด อธิบายหน่อยชิ

ผมขอกล่าวว่า

ประเด็นเรื่องตะเซาวุฟที่เราจะพูดนี้ คือคุณอะสันบอกว่า วิชาตะเซาวุฟ ไม่มีชื่อนี้ตั้งแต่สมัยนบี ?? ก็เหมือนกับจะบ่งบอกว่า มันเป็นวิชาที่บิดอะฮ์ แต่เมื่อคุณอะสันเข้ามา ผมนึกว่าจะคุยรายงานเกี่ยวเรื่องชื่อวิชาตะเซาวุฟ ตามที่ตนเองคุยทิ้งเอาไว้ แต่เวลาผมคุยอธิบายเปรียบเทียบกับวิชาอื่นๆ คุณอะสันกลับเลี่ยงประเด็น มากล่าวว่า"แล้วทำไมเรื่องตะเซาวุฟจึงไม่เกี่ยวข้องกับบิดอะฮ์" เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่ทราบว่าคุณอะสันเขาจะพูดแง่ใดกันแน่ แต่ที่แน่ๆสิ่งที่คุณอะสันเคยเอ่ยไปว่า"วิชาตะเซาวุฟไม่มีชื่อนี้ตั้งแต่สมัยนบี" แต่หากคุณจะพูดบิดอะฮ์เกี่ยวกับตะเซาวุฟ(ซูฟีย์)ละก็ มันคงไม่ถึงประเด็นจะพูดในเรื่องปลีกย่อยอย่างนี้ ในเวลานี้ เพราะเราเน้นเรื่องคำนิยามอยู่ และอย่าว่าแต่ตะเซาวุฟเลย ที่ไปเกี่ยวข้องกับบิดอะฮ์ แม้ทางวิชาฟิกห์ก็เกี่ยวข้องกับบิดอะฮ์ อากิดะฮ์ก็เกี่ยวข้องกับบิดอะฮ์ เช่นมีพวกอัลมุญัสสิมะฮ์ ที่กล่าวว่า อัลเลาะฮ์จะให้นบีนั่งข้างๆพระองค์บนอะรัชในวันกิยามะฮ์ เป็นต้น นี่แหละบิดอะฮ์ คุณอะสันอย่าคิดว่า แม้เราจะเรียนซูฟีย์ด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับพฤติกรรมบางอย่างที่ซูฟีย์บ้านเราเขาทำกันนะครับ

คุณอะสันกล่าวว่า


อิหม่า
من ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة فقد زعم أن محمدا صلى الله عليه وسلم خان الرسالة، لأن الله يقول: (اليَومَ أكْمَلْتُ لَكُم دِينَكُمْ) فما لم يكن يومئذ دينا
فلا يكون اليوم دينا
มมาลิก บุตร อะนัสกล่าวว่า
ผู้ใดอุตริบิดอะฮขึ้นมาในอิสลาม โดยเห็นว่ามันดี (เห็นว่าเป็นบิดอะฮหะสะนะฮ) แน่นอนเขาเข้าใจผิดว่า แท้จริงมุหัมหมัด ศอลฯ นั้น ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะว่าอัลลอฮทรงกล่าวว่า (วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว) แล้ว สิ่งใดในวันนั้นไม่เป็นศาสนา ดังนั้นในปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นศาสนา - โปรดดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1/49الاعتصام (1/49).

ผมขอกล่าวว่า


คุณอะสันก็สมควรที่จะเปิดกว้างในการพิจารณาหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของท่านอิมามมาลิก หรืออิมามชาฟิอีย์ เมื่อเราพิจารณาคำกล่าวต่างๆแล้ว เราก็มาวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ ไม่ใช่อันใหนของฉัน(กู) ฉัน(กู)ก็จะโพสต์ลูกเดียว ใครจะเอาหลักฐานใหนมา ฉัน(กู)ไม่สน แต่ฉัน(กู)จะโพสต์แต่หลักฐานที่(ฉัน)กูจะเอา ดังนั้น หากเป็นอย่างนี้ เขาไม่ได้เรียกว่า เป็นการสนทนาแลกเปลี่ยนในเชิงวิชาการ แต่เขาเรียกว่า แข่งกันโพสต์หลักฐานกัน ว่าใครมากกว่า แล้วคุณอะสันเข้าใจคำว่า การสนทนาในเชิงวิชการหรือเปล่าครับ? แต่สิ่งที่คุณอะสันอ้างอิงมานั้น ก็ต้องรอน้องอัล-อัซฮะรีย์นะครับ และอีกอย่าง สิ่งที่คุณอะสันวิจารณ์ตัวอย่างต่างๆของบิดอะฮ์สุนัต จากสิ่งที่น้องอัล-อัซฮะรีย์อ้างอิงมาจาก ท่าน อิซซุดดีน บิน อับดิลสลาม นั้น ผมคิดว่า เราน่าจะขอบคุณ คุณอะสันมากเลยครับ ที่นำเสนอสนับสนุนทัศนะของเราครับ


คุณรอยยากล่าวว่า

พอคุณมูฮำหมัดมาเสริม ยิ่งงงเข้าไปอีก เช่นท่านบอกว่า

ดังนั้น "บิดอะฮ์ที่ดี" ในความจริงแล้ว ก็คือ "ซุนนะฮ์ที่ดี" นั่นเอง

ที่คุณมูฮำหมัดพูดนั้นหมายถึงซุนนะฮ์กับบิดอะฮ์คืออย่างเดียวกันหรือ ซึ่งนอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วยังมึนเพิ่มอีก


ผมขอกล่าวว่า

คุณรอยยาครับ ผมทราบดีว่า คุณเองก็เป็น "มือเก่า" ของเวปนี้ และอยู่ในแนวทางวะฮาบีย์ และสิ่งที่ผมนำเสนอชี้แจงไปนั้น ผมคิดไว้แล้วล่ะครับ ว่า มันไม่ถูกใจคุณ เพราะทัศนะเราต่างกัน
แต่ผมแปลกใจว่า คุณ ทำงง คำพูดที่ว่า"ดังนั้น "บิดอะฮ์ที่ดี" ในความจริงแล้ว ก็คือ "ซุนนะฮ์ที่ดี" นั่นเอง" ได้ยังไรกัน? ทำไมคุณไม่ยกมาให้หมดในสิ่งที่ผมอธิบายล่ะครับ เช่นยกอ้างคำพูดของผมว่าที่กล่าวไว้สองประเด็นเกี่ยวกับท่านอุมัร ให้คุณเลือกเข้าใจเอา

การที่ท่านอิมาม อุมัร (ร.ฏ.) กล่าวว่า "รวมละหมาดตะรอวิหฺ คือบิดอะฮ์ ที่ดี "นั้น หากไม่มีที่มาตั้งแต่เดิม ก็ย่อมชัดเจนว่า สิ่งที่คอลิฟะฮ์ผู้ทรงคุณธรรมได้สั่งให้กระทำนั้น ก็เป็นซุนนะฮ์ของคอลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม ดังที่ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า" พวกท่านจงดำรงค์อยู่บนซุนนะฮ์ของฉัน และซุนนะฮ์ชองบรรดาคอลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม" แต่ท่านซุนนะฮ์ที่อุมัรได้สั่งให้กระทำขึ้นนั้น ท่านอุมัรกล่าวว่าเป็น "บิดอะฮ์ที่ดี" ดังนั้น บิดอะฮ์ที่ดี ก็คือ "ซุนนะฮ์นั่งเอง" (คือที่เป็นซุนนะฮ์ เพราะเราตามคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.)ที่ใช้ให้เราตามแนวทางของคอลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม คือท่านอุมัร)



หากสิ่งที่ท่านอุมัร (ร.ฏ.) ได้สั่งให้กระทำนั้น คือการรวมละหมาดตะรอวิหฺ มีที่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ก็แสดงว่าเป็นซุนนะฮ์ที่ท่านนบีเคยทำ ก็ไม่ได้คัดค้านในการแบ่งบิดอะฮ์ เพราะหากท่านนบีเคยทำการรวมละหมาดในเดือนรอมาฏอนมาแล้ว (ซึ่งถือว่าเป็นซุนนะฮ์) แต่เมื่อท่านอุมัรทำการริเริ่มสั่งละหมาดรวมกันอีกครั้งหนึ่ง ท่านอุมัร ก็ยังกล่าวว่า "มันเป็นบิดอะฮ์ที่ดี" (ทั้งที่มันเคยมีแบบอย่าง(ซุนนะฮ์คือเรื่องละหมาตะรอวิหฺ)มาจากท่านนบี(ซ.ล.)แล้ว ดังนั้น "บิดอะฮ์ที่ดีคือตะรอวิห์นี้"(ที่ท่านอุมัรได้พูดไปนั้น) ในความจริงแล้ว ก็คือ "ซุนนะฮ์ที่ดี" นั่นเอง เพราะมีหลักการเดิม จากท่านนบี มาระบุ

และจากคำพูดของท่านอุมัรนี้ เราไม่ต้องการพูดถึงเรื่องหุกุ่มละหมาดตะรอวิหฺหรือจำนวนร่อกะอัต แต่เราต้องการจะวิเคราะห์ คำว่า"บิดอะฮ์" จากคำพูดของท่านอุมัรเท่านั้นเอง เนื่องจากตอนนี้ เรากำลังคุยและวิเคราะห์เกี่ยวกับคำนิยาม

แต่หากคุณไม่เข้าใจอีก ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนะครับ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ผมแล้ว และผมก็ไม่สามารถไปบังคับคุณให้เข้าใจไม่ได้หรอกครับ ในเมื่อคุณยังไม่เปิดใจกว้างในการรับรู้และศึกษาทั้งสองทัศนะ เมื่อคุณเปิดใจรับรู้ ศึกษา และเข้าใจทั้งสองทัศนะแล้ว คุณรอยยาก็เลือกเอาครับ เนื่องจากการสนทนาของเรานั้น ไม่ใช่ต้องการที่จะให้คุณรอยยาหรือคุณอะสัน ต้องมาน้อมรับทัศนะของเรา แต่เราสนทนาเพื่อชี้แจงในแนวทางของเรา เพื่อให้พวกวะฮาบีย์ไม่ตะอัสศุบ เท่านั้นเองครับ แต่เรื่องอากิดะฮ์นั้น เราต้องเคลียร์กันไปให้กระจ่างชัดว่าแนวทางใครเป็นอย่างไร บิดอะฮ์หรือไม่บิดอะฮ์ครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Jan 24, 2006 7:16 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณมุหัมหมัดพูดว่า
และจากคำพูดของท่านอุมัรนี้ เราไม่ต้องการพูดถึงเรื่องหุกุ่มละหมาดตะรอวิหฺหรือจำนวนร่อกะอัต แต่เราต้องการจะวิเคราะห์ คำว่า"บิดอะฮ์" จากคำพูดของท่านอุมัรเท่านั้นเอง เนื่องจากตอนนี้ เรากำลังคุยและวิเคราะห์เกี่ยวกับคำนิยาม
…………………………
ตอบ
นี่ไง ..ยังดิ้นอีก คุณมุหัมหมัดว่า ที่ท่านอุมัรว่า บิดอะฮที่ดี หมายถึง สุนนะฮที่ดี อันนี้ ใช่ เพราะท่านได้ปฏิบัติตามแบบอย่าง(อัสสุนนะฮ)ที่มีมาก่อนจาก ท่านบี ศอลฯ แล้วที่ไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี ศอลฯ คุณ มุหัมหมัด เอาคำพูดของท่านอุมัรได้มาอ้างได้อย่างไร... วิเคราะห์หลักฐานซิครับคุณมุหัมหมัด ไม่ใช่วิเคราะห์นิยาม เพราะนิยามใครจะกำหนดแบบใหนก็ได้แล้แต่มุมมอง คุณรอยยางง เพราะพวกคุณเอง สับสน อธิบายออกทะเลเรื่อย
พวกคุณยกตัวอย่างบิดอะฮที่ดีว่า
(4) ทุกความดีที่ไม่มีในสมัยท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล
แล้วผมตอบว่า
ข้อนี้ จัดอยู่ในบิดอะฮเต็มรูปแบบ ครับ เพราะท่านนบี ศอลฯ กล่าวว่า
"من عمل عملاً ليس عليه أمرنا فهو رد" [رواه الإمام مسلم في "صحيحه" (ج3 ص1343 ـ 1344
ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฮ)โดยไม่มีคำสั่งของเราบนสิ่งนั้น มันถูกปฏิเสธ - รายงานโดย มุสลิม
.............................................
คุณอ้างว่า ผมสนับสนุนพวกคุณ แบบนี้ คุณว่าผมเสนอหลักฐานสนับสนุนพวกคุณหรือครับ ท่าน มุหัมหมัด หรือว่าคุณกำลังมึน
พวกคุณจะดิ้นเพื่อที่จะอนุรักษ์บิดอะฮอย่างไร ก็ดิ้นไปเถิดท่านมุหัมหมัด
وقال عبد الله بن داود سنديلة: من علامات الحق البغض لمن يدين بالهوى، ومن أحب الحق فقد وجب عليه البغض لأصحاب الهوى، يعني: أهل البدعة.(انظر سير السلف الصالحين للتيمي (3/1154)، والحلية لأبي نعيم ( 10/392 )
อับดุลลอฮ บิน ดาวูด สันดีละฮกล่าวว่า “ส่วนหนึ่งจากเครื่องหมายแห่งความจริงคือ การเกลียด ผู้ที่ถือศาสนาตามอารมณ์ และผู้ใดรักความถูกต้อง จำเป็นที่เขาจะต้องเกลียด ผู้ที่เป็นเจ้าอารมณ์ หมายถึง พวกบิดอะฮ - ดู سير السلف الصالحين للتيمي (3/1154)، والحلية لأبي نعيم ( 10/392
…………….
وقال البيهقي وهو يتحدث عن الشافعي: " وكان الشافعي - رضي الله عنه - شديداً على أهل الإلحاد وأهل البدع مجاهراً ببغضهم وهجرهم " مناقب الشافعي ( 1/469
และอัลบัยฮะกีย์ได้รายงานจากอิหม่ามชาฟิอีว่า “ปรากฏว่า อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฏ)ต่อต้านอย่างรุนแรงต่อ พวกออกนอกศาสนา และพวกบิดอะฮ โดยแสดงความเกลียดพวกเขาอย่างเปิดเผยและไม่คบค้าสมาคมกับพวกเขา – ดูมะนากิบุชชาฟิอี เล่ม 1 หน้า 469

.............................
อ่านแล้วอย่าลมออกหูนะครับท่านมุหัมหมัด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุหัมมัด
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005
ตอบ: 210


ตอบตอบ: Tue Jan 24, 2006 6:43 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณอะสันกล่าวว่า

นี่ไง ..ยังดิ้นอีก คุณมุหัมหมัดว่า ที่ท่านอุมัรว่า บิดอะฮที่ดี หมายถึง สุนนะฮที่ดี อันนี้ ใช่ เพราะท่านได้ปฏิบัติตามแบบอย่าง(อัสสุนนะฮ)ที่มีมาก่อนจาก ท่านบี ศอลฯ แล้วที่ไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี ศอลฯ คุณ มุหัมหมัด เอาคำพูดของท่านอุมัรได้มาอ้างได้อย่างไร... วิเคราะห์หลักฐานซิครับคุณมุหัมหมัด ไม่ใช่วิเคราะห์นิยาม เพราะนิยามใครจะกำหนดแบบใหนก็ได้แล้แต่มุมมอง


ผมขอกล่าวว่า

คุณอะสันครับ คุณพูดมาได้อย่างไรว่า"เอาคำพูดของท่านอุมัรมาได้อ้างได้อย่างไร?" ผมไม่ทราบว่าคุณอะสันมีบรรทัดฐานอย่างไรเกี่ยวกับการอ้างหลักฐาน เดี๋ยวอ้างคำพูดของท่านอิมามมาลิก บางทีก็อ้างคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด แต่เมื่อเราอ้างคำกล่าวของท่านอุมัร คุณอะสันกลับมากล่าวว่า"เอาคำพูดของท่านอุมัรมาอ้างได้อย่างไร" ดังนั้น หากเรากล่าวว่า"คุณอะสันเอาคำพูดของท่านอิบนุมัสอูดและท่านอิมามมาลิกมาอ้างได้อย่างไร"แบบนี้คุณอะสันจะทำอย่างไร? ฉะนั้น สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ คือคำนิยามของบิดอะฮ์เป็นอันดับแรกก่อน แต่เมื่อคุณอะสันบอกว่าการรวมละหมาดตะรอวิหฺนั้นเป็นซุนนะฮ์คือเขาเรียกว่าซุนนะฮ์ ประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่า เมื่อเป็นซุนนะฮ์แล้ว ทำไมท่านอุมัรยังเรียกมันว่า "บิดอะฮ์ที่ดี" ล่ะครับ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำการวิเคราะห์กันให้ชัดเจน

สำหรับการวิเคราะห์หลักฐานนั้น มันยังไม่ถึงครับคุณอะสัน น้องอัล-อัซฮะรีย์ เขาจะนำเสนอการวิเคราะห์หลักฐานตามหลักวิชาการเอง คุณอะสันก็โปรดรอ แต่ที่สำคัญตอนนี้ ก็รอน้องอัล-อัซฮะรีย์ เข้ามาวิจารณ์คำนิยามที่คุณอะสันนำเสนอมาก่อนนะครับ เนื่องจากเขายังไม่มีเวลาเข้ามาน่ะ แต่ถ้าหากคุณอะสันต้องการจะอ้างหลักฐานล่ะก็ ก็โปรดยกอ้างมาพลางๆก็ได้ครับ เพราะเราคงบังคับอะไรไม่ได้ แต่ยิ่งกว่านั้น มันก็เป็นผลดีสำหรับเรา

และคุณอะสันกล่าวมาได้อย่างไรว่า" วิเคราะห์หลักฐานซิครับคุณมุหัมหมัด ไม่ใช่วิเคราะห์นิยาม เพราะนิยามใครจะกำหนดแบบใหนก็ได้แล้แต่มุมมอง" ซึ่งคำนิยามนั้น มันเป็นหัวใจสำคัญในการสนทนาและเป็นการกำหนดวิถีในความเข้าใจของรายละเอียดเรื่องบิดอะฮ์ หากกลับไปดูวิชาฟิกห์แทบทุกบท จะเริ่มด้วยคำนิยาม ไม่ว่าเรื่องละหมาด ซะกาต ฮัจญฺ การถือศีลอด และอื่นๆ
และเพราะคำนิยามไม่ใช่หรือ ที่ไปกำหนดว่า บิดอะฮ์นี้มีความหมายเชิงภาษา และบิดอะฮ์นี้อยู่ในความหมายเชิงศาสนา ผมก็หวังว่าคุณอะสันคงเข้าใจ และคุยเรื่องบิดอะฮ์ให้จบสิ้นก่อน แล้วค่อยไปพูดเสียดสีคนอื่นว่า ส่งเสริมทำบิดอะฮ์บ้าง อนุรักษ์บิดอะฮ์บ้าง อย่างนี้มันเป็นการกระทำแบบเด็กนะครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Jan 24, 2006 11:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
สหายของมุหัม ยกตัวอย่าง การละหมาดตะรอเวียะ ว่า เป็นตัวอย่างบิดอะฮหะสะนะฮ ซึ่ง ผมได้บอกไปว่า มันเป็นบิดอะฮ ได้อย่างไร ในเมื่อท่านเคาะลิฟะฮอุมัร ได้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นแบบอย่าง(สุนนะฮของท่านนบี ศอลฯ ซึ่งหลักฐานก็คือ
ดิษอบีซัรริน ร.ฎ กล่าวว่า
: " صمنا مع رسول الله صلى الله عليه وسلم رمضان، فلم يقم بنا شيئا من الشهر حتى بقي سبع فقام بنا حتى ذهب ثلث الليل، فلما كانت السادسة لم يقم بنا، فلما كانت الخامسة قام بنا حتى ذهب شطر الليل، فقلت : يا رسول الله ! لو نفلتنا قيام هذه الليلة، فقال : " إن الرجل إذا صلى مع الإمام حتى ينصرف حسب له قيام ليلة " فلما كانت الرابعة لم يقم، فلما كانت الثالثة جمع أهله ونساءه والناس، فقام بنا حتى خشينا أن يفوتنا الفلاح، قال : قلت : وما الفلاح ؟ قال : السحور، ثم لم يقم بنا بقية الشهر " حديث صحيح، أخرجه أصحاب السنن.
พวกเราได้ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน พร้อมกับท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ แล้วท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเราเลยสักคืน จากเดือน นั้น จนกระทั้ง เหลือเจ็ดคืน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วปรากฏว่าเมือเหลืออีกหกวัน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลือห้าวัน ท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปครึ่งคืน แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม) แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วเมื่อเหลืออีกสี่คืน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาด พวกเรา จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะชวดอัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การรับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเรา – หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
..............................................................
นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า น้องอัล-อัซฮารีย์ คุณมุหัมหมัดและสหายบดอ. ไม่สามารถแยกได้ว่า อะไรคือ อัสสุนนะฮ และอะไรคือ บิดอะฮในศาสนา และนี้หากคุณมุหัมหมัด กลับไปเป็นอิหม่ามหรือ ผู้นำที่บ้าน ก็กลับไปใช้ของเก่า นั้นคือ ถ้าเห็นตัวเองว่า ดี ก็ถือว่า เป็นศาสนา แล้วสอนชาวบ้านให้เชื่อตาม ท่านนบี ศอลฯกล่าวว่า
(( إن أخوف ما أخاف على أمتي الأئمة المضلون . ))
แท้จริงสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้ากลัวจะเกิดขึ้นแก่ประชาชาติของข้าพเจ้าคือ บรรดาผู้นำที่หลงผิด - ดู
( صحيح ) انظر حديث رقم : 1551 صحيح الجامع للعلامة الألباني
คุณมุหัมหมัด ไม่เข้าใจว่า ศาสนาอิสลาม ต้องมาจากวะหยูของอัลลอฮ(ซ.บ) ที่ทรงประทานแก่ท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ เพราะเหตุนี้ท่านนบี ศอลฯ จึงกล่าวว่า
"من عمل عملاً ليس عليه أمرنا فهو رد"
ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฮ)ใด ที่ไม่ใช่คำสั่งของเราบนสิ่งนั้น มันถูกปฏิเสธ -
[رواه الإمام مسلم في "صحيحه" (ج3 ص1343 ـ 1344
…………….
อยากจะถามมุหัมหมัดและสหายว่า หากอัลลอฮและท่านบี ศอลฯไม่ได้สั่ง ไม่ได้สอนไว้ แล้วชาวบ้านที่พวกคุณสอนให้ทำบิดอะฮ ที่คุณบอกว่าดี (หะสะนะฮ)นั้น เขาจะเอาผลบุญจากใคร คุณมุหัมหมัดและสหาย เป็นเจ้าของสวรรค์หรือครับ ศาสนาต้องยึดเอาความถูกต้อง ไม่ใช่เอาตามอารมณ์ ศาสนา คือ การที่คุณ ต้องเอาชนะและบังคับอารมณ์ ของตน ให้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนทูตของอัลลอฮ(ซ.บ)ซึ่งเป็นเจ้าของศาสนา ท่านบี ศอลฯกล่าวว่า
لا يؤمن أحدكم حتى يكون هواه تبعاً لما جئت به)، قال النووي رحمه الله: (حديث صحيح رويناه في كتاب الحجة بإسناد صحيح).
คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน จะยังคงไม่ศรัทธา จนกว่า อารมณ์ของเขา จะปฏิบัติตามสิ่งที่ข้าพเจ้า(ท่านนบี ศอลฯ)นำมา - อิหม่ามนะวาวี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า “เป็นหะดิษเศาะเฮียะ เราได้รายงานมันใน กิตาบุลหุจญะฮด้วยสายสืบที่ถูกต้อง
.................................
การให้ความสำคัญกับนิยาม แต่ไม่สนใจในตัวบทว่านิยามนั้น จะสอดคล้องกับตัวบทหรือไม่ นี้คือ ความคิดของคนที่ฟิกฮเพียวๆเข้าฝังลึกอยู่ในเส้นเลือด อย่างคุณมุหัมหมัด จึงน่าเป็นห่วงยิ่งนัก
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุหัมมัด
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005
ตอบ: 210


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 1:17 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณอะสันกล่าวว่า

สหายของมุหัม ยกตัวอย่าง การละหมาดตะรอเวียะ ว่า เป็นตัวอย่างบิดอะฮหะสะนะฮ ซึ่ง ผมได้บอกไปว่า มันเป็นบิดอะฮ ได้อย่างไร ในเมื่อท่านเคาะลิฟะฮอุมัร ได้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นแบบอย่าง(สุนนะฮของท่านนบี ศอลฯ ซึ่งหลักฐานก็คือ......


ผมขอกล่าวว่า

ดูซิครับท่านผู้อ่าน คุณอะสันของเรา ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด ดันมาบอกว่า"ผมเอาละหมาดตะรอวิหฺมาเป็นตัวอย่างบิดอะฮ์หะสะนะฮ์" ทั้งที่ สิ่งที่ผมพยายามพูดกับวะฮาบีย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น คุณรอยยา หรือคุณอะสัน ว่าผมไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องหุกุ่มละหมาดตะรอวิหฺ แต่ ผมต้องการที่จะวิเคราะห์คำพูดของท่านอุมัร ที่ท่านบบอกว่าการรวมละหมาดตะรอวิหฺนั้น "มันเป็นบิดอะฮ์ที่ดี" คือเรากำลังพูดในประเด็นนี้ และไม่ว่าละหมาดตะรอวิหฺจะมีที่มาหรือไม่มีที่มาจากท่านนบี(ซ.ล.)ก็ตาม ผมไม่ขอกล่าวถึง แต่สิ่งที่เราต้องวิเคราะห์กันคือ คำพูดของท่านอุมัร ย้ำ คำพูดของท่านอุมัรว่า"มันคือบิดอะฮ์ที่ดี" ซึ่งคำพูดและความเข้าใจของท่านอุมัร(ร.ฏ.) นี้ ชี้ให้เห็นว่า "บิดะฮ์นั้น มีทั้งดีและไม่ดี" หรือไม่? และอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งผมอยากจะถาม ก่อนที่น้องอัล-อัซฮะรีย์จะเอาไปตั้งคำถามเพิ่มภาระให้กับไออาร์เอฟ คือผมอยากถามคุณอะสันว่า "การแบ่งบิดอะฮ์ ออกเป็น บิดอะฮ์ดุนยา และบิดอะฮ์ศาสนา"นั้น ไปเอาบรรทัดฐานมาจากใหน? ใครเป็นคนแบ่ง แล้วสะลัฟคนใหนเป็นคนแบ่งอย่างนี้ ??


คุณอะสันกล่าวว่า

อยากจะถามมุหัมหมัดและสหายว่า หากอัลลอฮและท่านบี ศอลฯไม่ได้สั่ง ไม่ได้สอนไว้ แล้วชาวบ้านที่พวกคุณสอนให้ทำบิดอะฮ ที่คุณบอกว่าดี (หะสะนะฮ)นั้น เขาจะเอาผลบุญจากใคร คุณมุหัมหมัดและสหาย เป็นเจ้าของสวรรค์หรือครับ ศาสนาต้องยึดเอาความถูกต้อง ไม่ใช่เอาตามอารมณ์ ศาสนา คือ การที่คุณ ต้องเอาชนะและบังคับอารมณ์

ผมขอกล่าวว่า

นี่แหละครับ ที่ผมบอกว่า ให้สนทนาเรื่องบิดอะฮ์ให้จบก่อน แล้วค่อยมาระบายอารมณ์อย่างนี้ คุณอะสันไม่เข้าใจเรื่องบิดอะฮ์ตามทัศนะของอุลามาอ์ส่วนมาก "ฮิญาบที่มาปิดกั้นหัวใจคุณอะสันมันจึงถูกปิดเข้าไปอีก" แล้วมาบอกว่าตามอารมณ์ ดังที่น้องอัล-อัซฮะรีย์ได้เคยกล่าวเกริ่นไปแล้ว ในเวปมุรีด ว่า บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ที่มีที่มาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น มันใช่ทำการง่ายๆ มันต้องมีเงื่อนไข"หลายประการที่มาจากซุนนะฮ์ ผมคิดว่าสิ่งที่น้องเขาพูดเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ เขาคงจะเข้ามาชี้แจงในคราวต่อไป ส่วนผมคงเข้ามาชี้แจงเพียงแค่ไม่ให้คุณอะสันและคณะเงียบเหงาเท่านั้นเองครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 2:50 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ในภาค 1 มีคนยกหลักฐานเพื่อจะระบุว่าวะฮาบีย์นั้นเป็นกลุ่มที่ไม่ถูกต้องดังนี้ครับ

>>
ในหนังสือ มุนญีด หน้า 568 ระบุไว้ว่า
_.วะฮาบีย์คือส่วนหนึ่ง จากการปลีกตัวในอิสลาม ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ (1702-1787) และถูกให้ชื่อจากฝ่ายตรงข้ามว่า.. อัล-มุวะฮ์ฮีดูน... ส่วนในเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาฟิกฮนั้น เขาไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้ พวกเขาเลยยึดถือหรืยึดเเนวของ มัสหับ อีหม่าม ฮัมบาลี โดยเอามาเทียบเยงความคิดเห็นกรือกดารอธิบายของ ท่านอิบนีตัยมียะ
นี่คือหลักฐานครับ ว่าทำไมคนๆทั่วๆไปจึงชอบเรียก พวกท่านว่า วะฮาบีย์
<<

นี่หรือครับหลักฐาน? อันนี้ตามหลักวิชาการถือว่าใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ครับ
เพราะเป็นกุเรื่องมาโจมตี จะดูจากภาษาแล้วก็เป็นตำราที่เอาไว้หลอกคนยาเฮเท่านั้นเองครับ
ส่วนใครที่มีความรู้ทางศาสนาก็ไม่น่าโดนหลอกได้ครับ

แต่การกล่าวหาให้ร้ายลักษณะโง่ๆแบบนี้ก็ทราบประวัติว่ามีมาตั้งแต่สมัยที่อุษมานียะฮฺปกครอง
เนื่องจากไม่พอใจวะฮาบีย์เป็นอย่างมากที่มาห้ามปรามเรื่องชีริกและไสยศาสตร์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 3:30 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณมุหัมมัดซึ่งเข้าใจว่าตนเองเป็นบุคคลที่สุภาพ ไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง(และเกลียดวะอาบีย์ที่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง)
และเป็นผู้ซึ่งมีอัคลาคดีงาม ไม่หยาบคายเหมือนผมและคุณอะรัชในเว็บมุรีด
ได้กล่าวในภาค 1 ว่า

ทำไมไอเอฟถึงไม่ไปอ่านแล้วให้เข้าแล้วก็มาสนทนา เขาทำเหมือนหอยงมโข่ง เหมือนไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น

คำตอบคือไม่ได้ไม่รู้ไม่ชี้หรอกครับ แต่ผมงานดะอฺวะฮฺต้องทำอีกมากมาย และงานดุนยาก็ไม่ว่างนัก และไม่ได้ใส่ใจกับประเด็นนี้เป็นอันดับสำคัญ เพราะเรื่องที่ผมให้น้ำหนักมากกว่าคือประเด็น "การใส่ร้ายอิสลาม" "การกล่าวหาผู้เคร่งครัดว่าหัวรุนแรง" "มุสลิมหัวเอียงกาเฟรฺ" และ"การรุกน่านน้ำของชาวคริสเตียน ที่เจาะเข้ามาสังคมมุสลิม ดึงคนของเราออกไป"
แต่เรื่องบิดอะฮฺ เรื่องซิรอต และประเด็นการท้าทายของพวกคุณ ผมก็ถือว่าสำคัญมากครับ ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย หรือแกล้งทำไม่สนใจ แต่ที่ผมให้น้ำหนักความสนใจที่จะหาเวลาเข้ามาร่วมเสวนาเรื่องนี้ก็เพราะทราบดีว่าคุณไม่มีเขี้ยวเล็บพอที่จะโค่นล้มวะฮาบีย์ อุละมาอฺอะชาอิเราะฮฺเขาก็อยากครับแต่เขาทำไม่ได้ นับประสาอะไรกะพวกลิ่วล้ออย่างคุณ
ทุกวันนี้มันประจักษ์ชัดโดยไม่ต้องสร้างภาพ ไม่ต้องคุยโวโอ้อวดว่าซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺแท้ๆ หรือแบบวะฮาบีย์นั้นมันขจรขจายไปทั่วโลก และเป็นกลุ่มชนที่มีความรู้ เป็นนักวิชาการที่บทบาทในการดะอฺวะฮฺระดับโลก ส่วนกลุ่มบิดอะฮฺ กลุ่มซูฟี กลุ่มอะชาอิเราะฮฺ หรือมะตูริดียะฮฺจะอยู่ในหมู่ชนที่ไร้ความรู้ทางศาสนา เช่น บัลคลา,ปากี, อียิปต์,อาหรับชนบท และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังจะโดนคริสเตียนดึงไปหมดเกาะแล้ว (อาจจะมีสึนามิมาเตือนอีก) ซึ่งกลุ่มชาวบ้านยาเฮลนี้ก็จะถูกพวกผู้นำศาสนาอย่างพวกคุณนี่แหละครับครอบงำ แล้วเขาก็จะตักลีดพวกคุณ โดยที่คุณสั่งสอนให้เกลียดวะฮาบีย์เขาก็จะหลับหูหลับเกลียด โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวะฮาบีย์คืออะไร (ก็จะไปรู้อะไร ก็ขนาดคนสอนมันยังไม่รู้เลย!)

อีกประการคือ ผมทราบอยู่มาตั้งนานแล้วว่าอะชาอิเราะฮฺกี่ยุคกี่สมัยก็ตอบตรงนี้ไม่ได้ (แล้วตรงนี้คุณจะแกล้งหัวเราะก๊ากครับว่าผมเอาอะไรมาพูด)
หากแต่ผมแกล้งถามไปเพื่อจะได้ให้คุณได้คำตอบในใจ (ถึงแม้ภายหลังจะหลอกตัวเองไม่ยอมรับก็ตาม)
ตอนนี้ผมเชื่อว่าคุณยังมั่นใจกับข้อมูลความรู้ของคุณอยู่ ซึ่งทั้งคุณและคุณอัซฮารีเข้าใจว่านั่นคือไม้เด็ด
แต่ขอโทษครับเป็นเรื่องพื้นฐานที่กลุ่มซุนนะฮฺแม้แต่ในไทยก็โต้กันน็อคเวทีไปนานแล้ว
เพียงแต่เขาไม่ใช่มุขแบบคุณครับ คือเอะอะตอบไม่ได้ก็โอย!อันนี้มุขเก่า โอ๊ย!หลักฐานนี้เขารู้กันมานานแล้ว! เขาเจอกันมานานแล้ว!
อันนั้นมันเป็นการเห่าหอนของคนที่รู้ศาสนาชั้นกระเจี๋ยมเนี่ยมแล้วมาไฟแรงทำปากดีเท่านั้นเอง

จริงๆแล้วการรู้หลักฐาน การเคยเจอหลักฐานมามันไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจมัน
เพราะมันต้องสามารถให้คำตอบได้ด้วย ต้องอธิบายมันได้ด้วย
อย่างที่ผมได้เรียนไว่ว่า ต่อให้คุณยกเหตุผลนู่นนี่มาอธิบายร้อยแปดพันอย่าง แต่ถ้าอธิบายจุดนี้ไม่ได้
นั่นคือที่อธิบายเรื่องอื่นมาน่ะ เข้าใจผิด! เพราะมันขัด

แล้ววันหนึ่งล่ะครับ พอถึงวันหนึ่งที่คุณมีความรู้ในระดับที่เพิ่มขึ้น ถึงจุดที่เข้าใจศาสนามากขึ้น ตรงนี้เองล่ะที่ผมหมายถึง
คือคุณจะเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองผิดนี่กว่า เดินหลงนี่หว่า
พอเข้าใจชะรีอะฮฺมากขึ้น ก็จะเริ่มรู้ว่าอ๋อ ไอ้ที่เขาจี้มาน่ะคือจุดนี้นั่นเอง แหม..ตอนนั้นล่ะไม่เข้าใจว่าเขาถามทำไม และมันมีฮิกมะฮฺอย่างไร

แต่ถึงตอนนั้นจะยอมรับหรือปฏิเสธ ...แกล้งหลอกตัวเอง นั่นเป็นอีกเรื่องครับ
เพราะตรงนั่นเป็นเรื่องของอีมานและ ถ้าจะดื้อตะแบ็งต่อไปนั่นก็คือแสดงว่าไม่ค่อยกลัวอัลลอฮฺเท่าไหร่

ทางออกที่ดีครับ ของคุณที่รุ้ว่าสู้ไม่ได้ คือการเดินสายกลาง(ตามศัพท์ที่เขาเรียก) หรือพวกที่เป็นกลาง ไม่เข้าใครออกใคร
ทุกวันนี้ไม่เห็นเหรอครับ แม้แต่คนที่มีความรู้กว่าคุณอย่างจุฬาก็กล่าวว่าวะฮาบีย์เป็นแนวทางที่ถูกต้อง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 4:03 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณมุหัมมัดเข้าใจคำว่า "คนละเรื่องเดียวกัน" ไหมครับ? ซึ่งนั่นเป็นอาการอย่างหนึ่งของผู้ไม่เข้าใจ

ก็เหมือนกับอาการที่มุหัมมัดเป็นอยู่ คุณมุหัมมัดตอบคุณอะซันว่า

ท่านอิมาม อัดดิฮฺละวีย์ ที่อาจารย์อะสันเคยยึดและนำมาอ้างอิงกับ อัล-อัซฮะรีย์ ได้กล่าวหักล้างทัศนะของอาจารย์อะสันเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ที่อัล-อัซฮะรีย์เคยพูดกับอาจารย์อะสันไว้ว่า หากอาจารย์อะสันได้อ่านหนังสือ อัลอันซอฟ และหนังสือ หุจญฺตุลบะลิเฆาะฮฺ ของท่านอัดดะฮฺละวีย์แล้ว อาจารย์อะสันไม่ชอบกับมันนักก็เป็นได้ ผมก็ถือโอกาศหยิบยกอ้างอิงจากท่านวะลียุลเลาะฮฺ อัตดะฮฺละวีย์ไว้ ณ ที่นี้เลย ท่านอัดดะฮฺละวีย์กล่าวว่า

إن هذه المذاهب الأربعة المدونة المحررة قد إجمعت الأمة أو من يعتد به منها على جواز تقليدها إلى يومنا هذا ، وفى ذلك من المصالح مالا يخفى ، لا سيما فى هذه الأيام التى قصرت فيها الهمم جدا وأشربت النفوس الهوى وأعجب كل ذى رأى برأيه

ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว อุมมะฮฺอิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับด้วยกับเขาจากการลงมติได้ มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้ และในสิ่งดังกล่าวเป็นการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบรรดายุคสมัยนี้ ซึ่งบรรดาปฏิธานความุ่งมั่นได้ถดถอยลงไปอย่างมาก และบรรดาจิตใจได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ และทุกๆผู้มีความเห็น ต่างก็อวดว่าดีด้วยความเห็นของเขา " ดู หนังสือ อัลอันซอฟ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ หน้า 53 และหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ เล่ม 1 หน้า 123 ตีพิมพ์ที่ อัลค๊อยรียะฮฺ

อิบนุ อัลก๊อยยิม กล่าวอีกเช่นกันว่า

الفائدة العشرون: لا يجوز للمقلد أن يفتي في دين الله بما هو مقلد فيه و ليس على بصيرة فيه سوى أنه قول من قلده دينه و هذا إجماع من السلف كلهم و صرح به الإمام أحمد و الشافعي رضي الله عنهما،

ความว่า " ผลประโยชน์ที่20 ไม่อนุญาติให้กับคนมุก๊อลลิดทำการฟัตวาในศาสนาของอัลเลาะฮฺ ด้วยกับสิ่งที่เขาตักลีดตามอยู่โดยที่เขาไม่มีความรู้เห็นแจ้งในมัน นอกเสียจากมันเป็นคำพูดของอุลามาอฺผู้ที่เขาได้ตักลีดตามเกี่ยวกับศาสนาของอัลเลาะฮฺ และนี้ก็คือมติเอกฉันท์จากอุลามาอฺสะลัฟทั้งหมด และอิมามอะหฺมัดและอิมามชาฟิอีย์(ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา) ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 175 ตีพิมพ์ที่ อัสสะอาดะฮฺ (อ้างอิงการนำเสนอที่ผ่านมาของ อัล-ฟารูก)

แล้วเราก็คอยดูคำแก้ตัวของคุณอะสันต่อคำพูดที่เขาได้นำเสนอมากันครับ ดูซิครับว่าจะมาไม้ใหนอีกกับมัซฮับทั้งสี่


นั่นก็คือสิ่งที่ทุกคนยอมรับครับ นี่คือเรื่องเดียวกัน อุละมาอฺไหนๆก็พูดแบบนี้ วะฮาบีย์ก็มีความเชื่อแนวแบบนี้แหละครับ
เชคมุนัจญิดเองก็ได้ตอบว่า สำหรับมุก็อลลิดวาญิบที่เขาจะต้องตามมุจญตะฮิดคนหนึ่งคนใด
แต่ที่เป็นคนละเรื่องคือที่คุณอะซันจะสื่อเรื่องมัซหับว่า ฝ่ายที่ยึดถือมัซหับน่ะ จะเอาอารมณ์เหนือความถูกต้อง
คำตอบอย่างไงก็ตามจะต้องตอบออกมาให้มัซหับถูกต้อง
หะดีษจะซอเฮี้ยะฮฺจะฎออีฟก็อยู่ตรงนี้แหละครับ ไม่ได้อยู่ที่สายรายงาน!
แล้วคนที่มีความสามารถที่จะไต่เต้าไปเป็นมุจตะฮิดได้อย่างคุณมุหัมมัดหรืออัซฮารีก็ตาม จะตกเป็นคนประเภทนี้หรือ?
หรือจะเป็นคนที่ศึกษาซุนนะฮฺนบีอย่างตรงไปตรงมา คัดสรรหะดีษอย่างตรงไปตรงมา

เพราะฉะนั้นตรงนี้เขาเรียกว่าคุย "คนละเรื่องเดียวกัน"
ทำไมถึงตกอยู่ในอาการอย่างนี้เหรอครับ? อ๋อก็เพราะคุณมุหัมมัดไม่เข้าใจไงครับว่าผู้พูดเขาสื่อถึงอะไร
ผมจะไม่ใช้คำว่าโง่นะ จะไม่บอกว่าคุณมุหัมมัดโง่ คุณอัซฮารีโง่ที่ไม่เข้าใจ
จะเป็นอย่างนี้ตลอดครับ ไม่ว่าคุยเรื่องอะไรก็พาออกนอกเป้าไปเรื่อย ไอ้เป้าที่เขาน่ะนึกว่าตัวเองตอบไปแล้ว
แต่จริงๆยังไม่ได้ตอบ เพราะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
ผมจะใช้คำว่า คุณมุหัมมัด คุณอัซฮารีไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจมากนัก
หรือสมองหรือปัญญาส่วนที่จะใช้วิเคราะห์ทำความเข้าใจอย่างมีเหตุผลนั้นมีไม่มาก
ก็เหมือนกับบางคนไม่มีความสามารถในการวิ่ง บางคนไม่มีความสามารถในการทำอาหาร คนเราต่างกัน
ส่วนพวกคุณไม่มีความสามารถในตรงนี้ครับ

แล้วมิหนำ ตัวเองไม่เข้าใจเขา ก็เลยไปกล่าวให้ร้ายว่าเขาแก้ตัวมั่ง โกหกมั่ง ตบตามั่ง (แต่จริงๆตัวเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจเขา)
แล้วตรงนี้อันตรายครับ นอกจากจะเป็นผลงานของชัยฏอนที่ทำให้เกิดฟิตนะฮฺและเป็นการทำให้ปิดกั้นทางสู่สัจธรรมของตนแล้ว
วันกิยามะฮฺยังซวยอีกข้อหากล่าวให้ร้ายผู้อื่นเสมือนไปนั่งอยู่ในหัวใจของเขา
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 5:12 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

(ผมยิ้ม หัวเราะ และส่ายหน้า ...อย่าเพิ่งอ่านแล้วโกรธอารมณ์ขึ้น โปรดฟังผมก่อน)
สิ่งที่ผมสลดหดหู่ใจและสมเพชเล็กน้อยคือ เด็กที่ได้โอกาสบินไปเรียนต่างประเทศกลับให้คำตอบเรื่องบิดอะฮฺเหมือนกับโต๊ะครูบะดะอึ๊ในเมืองไทยซึ่งบรรดาคณะเก่าบะดะอึ๊เขาก็ร่ำเรียนกันมาอย่างนี้แหละครับคุณอัซฮารี โดยที่ไม่ต้องเสีบเวลาออกไปแดนไกลแต่อย่างใด
แล้วสิ่งที่น่าเศร้าสลดหดหู่และสมเพชอีกอย่างหนึ่งก็คือคุณอัซฮารีไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาคุยกันมาแล้ว(แม้แต่กระทุ้ mureed เก่าๆก็อธิบายไปนานแล้วครับ แล้วคุณก็ไปขุดเรื่องเก่าเล่าใหม่) กลุ่มซุนนะฮฺเขามีคำตอบที่ชัดเจนแล้ว โดยเครื่องชี้วัดบทสรุปทั้งหมดว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิดนั้น ผมได้ชี้แนะเกณฑ์ไว้แล้วว่า -กุรอานไม่ขัดกุรอาน -หะดีษไม่ขัดหะดีษ -หะดีษไม่ขัดกุรอาน -เรื่องหลักๆของศาสนาถ้าเราไม่ตรงซอฮาบะฮฺนั่นคือผิด -อธิบายได้เรื่องนึงแล้วไปขัดอีกเรื่องนึงนั่นคือผิด!

ในทางชะรีอะฮฺน่ะ...
นบีขี่อูฐ เราขี่รถน่ะบิดอะฮฺหรือไม่? รวมกุรอานเป็นเล่มบิดอะฮฺหรือไม่? อุมัรฺรวมคนละหมาดตะรอวี้หฺ บิดอะฮฺหรือไม่?
อันนี้น่ะกลุ่มบะดะอึ๊เขายกมาคุยนานแล้ว
(ผมต้องเท้าความใหม่หมด) แล้วตรงนี้แหละที่เขาโดนโต้ไปหมดแล้ว ตอนนี้น่ะอยู่แบบปลาไหลกันทั้งนั้นแหละครับ ให้ขึ้นเวทีโต้น่ะไม่เอากันแล้ว ..แล้วก็หลอกชาวบ้านไปวันๆ(นี่ไม่ใช่การกล่าวหาแต่อย่างใด)

ไอ้เรื่องความเข้าใจคำว่า"บิดอะฮฺ"นั้น ผมยืนยันย้ำขัดสีดำอีกทีว่า คุณมุหัมมัด คุณอัซฮารี (และกลุ่มบิดอะฮฺทั้งหมด) ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "บิดอะฮฺ" (ไม่ใช่เช่นนั้นเขาก็คงเลิกทำบิดอะฮฺกันหมดแล้ว...อัลฮัมดุลิลลาห์ อัลลอฮฺทรงจัดการทุกอย่างอย่างเหมาะสมแล้ว)
ไอ้ความหมายด้านภาษาน่ะถูกต้องครับ ใครๆเขาก็สอนแบบนั้น แล้วความหมายทางชะรีอะฮฺล่ะ ...(เฮ่อ..เหนื่อยตรงที่ต้องมานั่งสอนซ้ำ) ความเข้าใจแบบคุณน่ะไม่ไม่ตรงกับสลัฟ ไม่ตรงกับซอฮาบะฮฺ ผมถึงได้ขอหลักฐานมาไง? (จริงๆน่ะทราบดีครับว่าไม่มี)
กลุ่มสลาฟีย์ กลุ่มวะฮาบีย์หรือซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ที่ขจรขจายไปทั่วโลกก็เหตุเพราะความกระจ่างชัดตรงนี้แหละครับ เขาสามารถอธิบายหลักการอัลอิสลามได้อย่างกระจ่างแจ้งครบถ้วน
ไม่ใช่อธิบายได้ส่วนนึง แล้วทิ้งไปอีกบางส่วน (เช่นการกระทำของซอฮาบะฮฺ ที่จะมาอธิบายคำว่าบิดอะฮฺได้อย่างดี แต่อะชาอิเราะฮฺไม่เคยตอบตรงนี้ได้)
ไอ้ผมถึงได้ถามจี้ไปไงครับ 5 ข้อ ซึ่งบัดนี้ผมเข้าใจแล้วว่าคุณไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่ผมถาม และไม่เข้าใจสิ่งที่บรรดาซอฮาบะฮฺเหล่านั้นกระทำ
ผมถึงได้ย้ำว่า เอาหลักฐานมานะ และถามจี้ไป เรื่องซิฟาต ซอฮาบะฮฺคนไหนเขาบอก ว่ามือ(ในกุรอาน)คืออำนาจ หรือสลัฟคนไหนบอก?
แล้วบิดอะฮฺนี่ล่ะ...ผมถามในข้อ 2 ว่า 2. สลัฟคนไหนเอ่ยออกมาเรื่องบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ ..(ถ้ามี)เขาหมายถึงอะไร ?
ผมถึงได้ใส่วงเล็บไงครับว่าถ้ามี...เขา(ผู้พูด)หมายถึงอะไร มันตรงกับที่เราเข้าใจหรือเปล่า (แล้วเกณฑ์วัดว่าเราเข้าใจหรือไม่ก็คือที่ผมบอก)

ซึ่งหลักการตรงนี้เนี่ยสลาฟีย์เขาอธิบายได้หมดโดยไม่มีเรื่องหนึ่งเรื่องใดขัดกัน เขาทำให้รู้ว่าซอฮาบะฮฺเขาเข้าใจศาสนาตรงกันในเรื่องหลักๆ และแตกต่างกันในเรื่องปลีกย่อยบางข้อ (เรื่องหลักคือเรื่องที่เขาห้ามปรามและเอาเป็นเอาตาย ส่วนเรื่องปลีกย่อยคือเรื่องที่เขาไม่ตำหนิกัน)
อย่างเรื่องบิดอะฮฺนี่เขาเข้าใจตรงกัน ซอฮาบะฮฺเขาเอาจริง เขาไม่ยอม (เพราะมันเป็นอะกีดะฮฺที่ชี้ว่านบีนำศาสนามาครบแล้ว) ..แต่เรื่องปลีกย่อย (เช่น มะอฺมูมอ่านฟาติฮะห์หรือไม่, บาปใหญ่มีกี่ประเภท,เป็นต้น) เขาไม่ตำหนิทัศนะที่ต่างกัน
บรรดาสลัฟรวมถึง 4 อิมามเข้าใจตรงกับซอฮาบะฮฺ เรื่องบิดอะฮฺ (คือเรื่องที่ไม่มีฝ่ายไหนมีหลักฐาน)นี่อิมามชาฟิอีย์ไม่ยอม อิมามมาลิกไม่ยอม ฯลฯ.. แต่เรื่องปลีกย่อยเขาไม่เคยด่ากัน เช่น สัมผัสผู้หญิงเสียน้ำละหมาดหรือไม่, คนตายได้ยินหรือไม่, บิสมิลลาห์ในละหมาดอ่านดังหรือค่อย เป็นต้น
ส่วนการอธิบายบิดอะฮฺหะสะนะฮฺในแบบที่ว่าประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วทำได้(ขอให้ดี) อันนั้นเป็นการสอนสอนนักวิชาการยุคหลัง
ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา ไม่ใช่ยุคของตาบิอีนและตาบิอิตตาบิอีนซึ่งเป็นยุคของเจ้าของมัซหับและบรรดานักบันทึกหะดีษ
คอลัฟ เป็นยุคแห่งการตักลีด ตะอัศศุบ และเป็นยุคที่บิดอะฮฺและสิ่หะรอมอื่นๆขจรขจายไปทั่วโลกมุสลิม และทำให้โลกมุสลิมแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ

มันไม่มีหลักฐานจากสลัฟไงครับที่มาบอกว่ามีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ ผมถึงกล้าท้าให้ไปหาหลักฐาน...
แล้วปรากฏว่าได้หลักฐานอะไรมาครับ? คุณไปเอาหลักฐานจากไหนมาครับ?
เอ้ามาดูกัน...ว่าใช่สลัฟหรือเปล่า? (ดู ปี ฮ.ศ.)
ท่านอิบนุ หัซมิน (ร.ห.) เสียชีวิตปี 456 ฮ.ศ.
อิมาม อัลอิซฺซุดดีน บิน อับดุสลาม เสียชีวิตปี 660 ฮ.ศ.
หุจญฺตุลอิสลาม อิมาม อัลฆ่อซาลีย์ (505 ฮ.ศ.)

อิมาม อัล-มุหัดดิษ อิบนุ อัล-เญาซีย์ อัลหัมบาลีย์ (598 ฮ.ศ.)
อิมาม อบู ชามะฮ์ อับดุรเราะห์มาน บิน อิสมาอีล อัลมุก๊อดดิซีย์ อัชขาฟิอีย์ (665 ฮ.ศ.)
แต่กระนั้นก็ตาม จะด้วยศตวรรษที่พวกท่านถือกำเนิด แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้อธิบายคำว่าบิดอะฮฺผิดแผลกต่างต่าง หรือผิดเพี้ยนออกไป (ถ้าเราอ่านดูแล้ว)
นอกจากจะมีอยู่คนเดียวคือ อิมาม อัลอิซฺซุดดีน บิน อับดุสลาม ที่ว่า
>>
ตัวอย่างของบิดอะฮ์ที่สุนัติ

(1) สร้างสถานที่สาธารณูประโยชน์
(2) สร้างสถาบันการศึกษา
(3) สร้างเขื่อน
(4) ทุกความดีที่ไม่มีในสมัยท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)
(5) การละหมาดตะรอวิหฺ
(6) การกล่าวในเรื่องความละเอียดละออของวิชาตะเซาวุฟ
(7) การพูดถกในการชุมนุม เพื่อการอ้างหลักฐานในประเด็นต่างๆ หากมีเจตนาเพื่ออัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)
<<

ตรงนี้ผมแนะให้นิดว่าคุณช่วยไปตรวจสอบดูซิว่า คำว่าซุนนะฮฺ หรือสุนัตของท่านเนี้ยะ ท่านเข้าใจความหมายตรงกับอุละมาอฺท่านอื่นหรือเปล่า?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 5:42 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เป็นที่น่าแปลกอีกเช่นกันที่คนที่คุณกล่าวว่าหยาบคาย ไร้อัคลาคที่ดีอย่างพวกผมกลับไม่เคยพูดว่าพวกคุณงมโข่งแต่อย่างใด
ที่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เขาเข้าใจ (ไม่ใช่สักแต่รู้แต่ไม่เข้าใจ) คือกลุ่มซุนนะฮฺน่ะรู้ว่าชาวบิดอะฮฺเขาเข้าใจศาสนาอย่างไร เข้าใจว่าเขาเข้าใจหลักฐานนั้นนี้อย่างไร เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำบิดอะฮฺ เขาเข้าใจผิดตรงไหน...ตรงนี้กลุ่มซุนนะฮฺทราบดี
แต่กลุ่มบิดอะฮฺไม่เคยเข้าใจว่ากลุ่มซุนนะฮฺเข้าใจศาสนาแบบไหน ไม่เคยเข้าใจหลักฐานที่เขายกมา (สักแต่ว่ารู้แล้ว ผ่านตาแล้ว หรือฟังบ่อยแล้ว)
ผมไม่ว่าว่าคุรมัวไปงมโข่งี่ไหน ควรจะมาเปิดหูเปิดตาซะหน่อย ก็เนื่องจากในขณะเรียนศาสนาที่เมืองไทยคุณก็ไม่ได้มาเรียนกับอาจารย์ซุนนะฮฺ หรืออาจจะเคยฟังแบบไม่ครบถ้วน ไม่ติดตาม
หรืออาจไปรับฟังชื่อเสียมา ไปฟังคนนั้นคนนี้เป่าหูว่าพวกนี้สร้างความแตกแยก ชอบทะเลาะ
แล้วพอไปเรียนต่างประเทศก็ไม่ได้ศึกษากับกลุ่มซุนนะฮฺ ก็ไปฟังของปลอมๆมานิดๆหน่อยๆแล้วไฟแรง ประกอบกับถูกเป่าหูรับฟังการกล่าวหาใส่ร้ายเช่นกัน (เช่น ที่บอกว่าสลาฟีย์ไม่ดุอาอฺหลังละหมาด) ก็ทำให้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกลุ่มซุนนะฮฺแบบผิดๆ แล้วก็มุขเดียวกันครับ ฝ่ายที่เป็นของปลอมเขาด้อยกว่า เขาสู้ไม่ได้ เขาก็ต้องสร้างภาพลบให้ฝ่ายตรงข้าม เขาก็ใช้มุขเดิมๆที่มนุษย์นิยมใช้กัน(ไม่ว่าศาสนาไหนก็ตาม) ว่าพวกโน้นสร้างความแตกแยก ชอบทะเลาะเบาะแว้ง สร้างความปั่นป่วน!

ถึงตรงนี้ผมขอเรียกกลุ่มที่เชื่อแบบคุณว่ากลุ่ม "บิดอะฮฺ" ได้เต็มปากเต็มคำ ก็พวกคุณบอกบิดอะฮฺทำได้
ฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์โกรธอะไร ก็ในเมื่อคุณถือว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด บิดอะฮฺทำได้ และคุณก็ทำมัน
ดังนั้น จะถูกเรียกว่ากลุ่มบิดอะฮฺ หรือ อะหฺลุลบิดอะฮฺ ก็ไม่น่าโกรธแต่ประการใด

...แต่..สมมติถ้าโกรธล่ะ รู้สึกไม่ชอบชื่อนี้ แสดงว่าโดยฟิตเราะฮฺมนุษย์มันรู้ครับ อะไรดีอะไรชั่ว ถูกไม่ถูก? (น่าเอะใจมั่งนะครับ)


ทีนี้มาดูอิมามชาฟิอีย์และท่านอื่นๆที่กล่าวถึงคำพูดท่านอุมัรฺ ที่รวมคนมาละหมาดตะรอวี้หฺ
ถามว่าคำพูดของท่านอุมัรฺหมายถึงอะไร
ไม่ใช่เฉพาะท่านเหล่านั้นเรียกบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ แต่อุละมาอฺวะฮาบีย์ก็เรียกแบบนั้นเช่นกัน

الصفحة الرئيسية > أصول الفقه > البدعة > سؤال رقم 864: البدعة الحسنة



اضغط هنا للحصول على نسخة مناسبة للطباعة

السؤال:


السؤال :
أريد أن أعرف ما هي البدعة ؟ كثير من الناس اسمعهم يطلقون على أمور متعددة أنها بدعة وهذا مما سبب تشويشاً عندي . ثم أليس هنالك حديث يفيد أن النبي صلى الله عليه وسلم قد قال : بأن كل من يقدم أمراً جديداً مفيداً يُثاب ؟ إذا كان ذلك كذلك فلماذا تعتبر البدع كلها مذمومة ؟ .

الجواب:

الجواب:
الحمد لله
أولا : ينبغي معرفة معنى البدعة شرعا
وتعريفها : هي طريقة مخترعة في الدّين يُقصد بها التعبّد والتقرب إلى الله تعالى .
وهذا يعني أنّه لم يرد بها الشّرع ولا دليل عليه من الكتاب أو السنة ولا كانت على
عهد النبي صلى الله عليه وسلم وأصحابه ، وواضح من التعريف أيضا أنّ المخترعات الدنيوية لا تدخل في مفهوم البدعة المذمومة شرعا .
وأمّا بالنسبة لاستشكالك أيها السائل فإن كنت تقصد بالتعارض حديث أبي هريرة وحديث جرير بن عبد الله رضي الله عنهما فتعال بنا نتعرّف على نصّهما ومعناهما :
عن جرير بن عبد الله البجلي رضي الله عنه قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ سَنَّ سُنَّةَ خَيْرٍ فَاتُّبِعَ عَلَيْهَا فَلَهُ أَجْرُهُ وَمِثْلُ أُجُورِ مَنْ اتَّبَعَهُ غَيْرَ مَنْقُوصٍ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْئًا وَمَنْ سَنَّ سُنَّةَ شَرٍّ فَاتُّبِعَ عَلَيْهَا كَانَ عَلَيْهِ وِزْرُهُ وَمِثْلُ أَوْزَارِ مَنْ اتَّبَعَهُ غَيْرَ مَنْقُوصٍ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْئًا . " رواه الترمذي رقم 2675 وقال هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ
وهذا الحديث له مناسبة وقصة توضّحه وتبيّن المراد من قوله من سنّ سنّة خير وهذه القصة هي ما جاء في صحيح الإمام مسلم عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ راوي الحديث نفسه قَالَ جَاءَ نَاسٌ مِنْ الأَعْرَابِ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَيْهِمْ الصُّوفُ فَرَأَى سُوءَ حَالِهِمْ قَدْ أَصَابَتْهُمْ حَاجَةٌ فَحَثَّ النَّاسَ عَلَى الصَّدَقَةِ فَأَبْطَئُوا عَنْهُ حَتَّى رُئِيَ ذَلِكَ فِي وَجْهِهِ قَالَ ثُمَّ إِنَّ رَجُلا مِنْ الأَنْصَارِ جَاءَ بِصُرَّةٍ مِنْ وَرِقٍ ثُمَّ جَاءَ آخَرُ ثُمَّ تَتَابَعُوا حَتَّى عُرِفَ السُّرُورُ فِي وَجْهِهِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ سَنَّ فِي الإِسْلامِ سُنَّةً حَسَنَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ لَهُ مِثْلُ أَجْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلا يَنْقُصُ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْءٌ وَمَنْ سَنَّ فِي الإِسْلامِ سُنَّةً سَيِّئَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ عَلَيْهِ مِثْلُ وِزْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلا يَنْقُصُ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْءٌ ." رواه مسلم رقم 1017
ومزيد من التوضيح في رواية النسائي عن جرير بن عبد الله رضي الله عنه قَالَ كُنَّا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي صَدْرِ النَّهَارِ فَجَاءَ قَوْمٌ عُرَاةً حُفَاةً مُتَقَلِّدِي السُّيُوفِ عَامَّتُهُمْ مِنْ مُضَرَ بَلْ كُلُّهُمْ مِنْ مُضَرَ فَتَغَيَّرَ وَجْهُ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِمَا رَأَى بِهِمْ مِنْ الْفَاقَةِ فَدَخَلَ ثُمَّ خَرَجَ فَأَمَرَ بِلالا فَأَذَّنَ فَأَقَامَ الصَّلاةَ فَصَلَّى ثُمَّ خَطَبَ فَقَالَ يَا أَيُّهَا النَّاسُ اتَّقُوا رَبَّكُمْ الَّذِي خَلَقَكُمْ مِنْ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ وَخَلَقَ مِنْهَا زَوْجَهَا وَبَثَّ مِنْهُمَا رِجَالا كَثِيرًا وَنِسَاءً وَاتَّقُوا اللَّهَ الَّذِي تَسَاءَلُونَ بِهِ وَالأَرْحَامَ إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلَيْكُمْ رَقِيبًا وَ اتَّقُوا اللَّهَ وَلْتَنْظُرْ نَفْسٌ مَا قَدَّمَتْ لِغَدٍ تَصَدَّقَ رَجُلٌ مِنْ دِينَارِهِ مِنْ دِرْهَمِهِ مِنْ ثَوْبِهِ مِنْ صَاعِ بُرِّهِ مِنْ صَاعِ تَمْرِهِ حَتَّى قَالَ وَلَوْ بِشِقِّ تَمْرَةٍ فَجَاءَ رَجُلٌ مِنْ الأَنْصَارِ بِصُرَّةٍ كَادَتْ كَفُّهُ تَعْجِزُ عَنْهَا بَلْ قَدْ عَجَزَتْ ثُمَّ تَتَابَعَ النَّاسُ حَتَّى رَأَيْتُ كَوْمَيْنِ مِنْ طَعَامٍ وَثِيَابٍ حَتَّى رَأَيْتُ وَجْهَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَتَهَلَّلُ كَأَنَّهُ مُذْهَبَةٌ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ سَنَّ فِي الإِسْلامِ سُنَّةً حَسَنَةً فَلَهُ أَجْرُهَا وَأَجْرُ مَنْ عَمِلَ بِهَا مِنْ غَيْرِ أَنْ يَنْقُصَ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْئًا وَمَنْ سَنَّ فِي الإِسْلامِ سُنَّةً سَيِّئَةً فَعَلَيْهِ وِزْرُهَا وَوِزْرُ مَنْ عَمِلَ بِهَا مِنْ غَيْرِ أَنْ يَنْقُصَ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْئًا . " رواه النسائي في المجتبى : كتاب الزكاة باب التحريض على الصّدقة
فيتبين من خلال القصة والمناسبة أنّ معنى قوله صلى الله عليه وسلم " من سنّ في الإسلام سنّة حسنة " أي : من أحيا سنّة من سنن النبي صلى الله عليه وسلم أو دلّ عليها أو أمر بها أو عمل بها ليقتدي به من يراه أو يسمع عنه ، ويدلّ على ذلك أيضا حديث أبي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه قَالَ جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَحَثَّ عَلَيْهِ ( أي حثّ على التصدّق عليه ) فَقَالَ رَجُلٌ عِنْدِي كَذَا وَكَذَا قَالَ فَمَا بَقِيَ فِي الْمَجْلِسِ رَجُلٌ إِلاّ تَصَدَّقَ عَلَيْهِ بِمَا قَلَّ أَوْ كَثُرَ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ اسْتَنَّ خَيْرًا فَاسْتُنَّ بِهِ كَانَ لَهُ أَجْرُهُ كَامِلاً وَمِنْ أُجُورِ مَنْ اسْتَنَّ بِهِ وَلا يَنْقُصُ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْئًا وَمَنْ اسْتَنَّ سُنَّةً سَيِّئَةً فَاسْتُنَّ بِهِ فَعَلَيْهِ وِزْرُهُ كَامِلا وَمِنْ أَوْزَارِ الَّذِي اسْتَنَّ بِهِ وَلا يَنْقُصُ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْئًا . رواه ابن ماجة في سننه رقم 204
فيتبيّن من خلال ما سبق بما لا يدع مجالا للشكّ أنّه لا يمكن أن يكون مراد النبي صلى الله عليه وسلم تجويز الابتداع في الدّين أو فتح الباب لما يسمّيه بعض الناس بالبدعة الحسنة وذلك لما يلي:
1- أنّ النبي صلى الله عليه وسلم كان يكرر مرارا وتكرارا أنّ : " كلّ محدثة بدعة وكلّ بدعة ضلالة وكل ضلالة في النار " . رواه النسائي في سننه : صلاة العيدين : باب كيف الخطبة والشاهد من هذا الحديث مروي من طريق جابر رضي الله عنه عند أحمد ومن طريق العرباض بن سارية عند أبي داود ومن طريق ابن مسعود رضي الله عنه عند ابن ماجة .
وكان صلى الله عليه وسلم يقول إِذَا خَطَبَ : أَمَّا بَعْدُ فَإِنَّ خَيْرَ الْحَدِيثِ كِتَابُ اللَّهِ وَخَيْرُ الْهُدَى هُدَى مُحَمَّدٍ وَشَرُّ الأُمُورِ مُحْدَثَاتُهَا وَكُلُّ بِدْعَةٍ ضَلالَةٌ .. " رواه مسلم رقم 867
فإذا كانت كلّ بدعة ضلالة فكيف بقال بعد ذلك أنّ هناك في الإسلام بدعة حسنة . هذا لعمر الله صريح المناقضة لما قرّره النبي صلى الله عليه وسلم وحذّر منه .
2- أن النبي صلى الله عليه وسلم قد أخبر أنّ من ابتدع في الدّين بدعة محدثة فإنّ عمله حابط مردود عليه لا يقبله الله كما جاء ذلك في حديث عائشة رضي الله عنها قالت : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ فِيهِ فَهُوَ رَدٌّ . " رواه البخاري فتح رقم 2697 فكيف يجوز بعد ذلك أن يقول شخص بجواز البدعة والعمل بها .
3- أنّ المبتدع الذي يضيف إلى الدّين ما ليس منه يلزم من فعله هذا عدة مساوئ كلّ واحد منها أسوأ من الآخر ومنها :
- اتهام الدّين بالنقص وأنّ الله لم يكمله وأن فيه مجالا للزيادة وهذا مصادم لقوله تعالى : ( اليوم أكملت لكم دينكم وأتممت عليكم نعمتي ورضيت لكم الإسلام دينا ) .
- أنّ الدّين بقي ناقصا من أيام النبي صلى الله عليه وسلم حتى جاء هذا المبتدع ليكمله من عنده .
- أنّه يلزم من إقرار البدعة اتهام النبي صلى الله عليه وسلم بأحد أمرين : إما أن يكون جاهلا بهذه البدعة الحسنة !! أو أنه قد علمها وكتمها وغشّ الأمة فلم يبلّغها .
- أنّ أجر هذه البدعة الحسنة قد فات النبي صلى الله عليه وسلم وأصحابه والسلف الصالح حتى جاء هذا المبتدع ليكسبه ، مع أنّه كان ينبغي عليه أن يقول في نفسه " لو كان خيرا لسبقونا إليه".
- أنّ فتح باب البدعة الحسنة سيؤدي إلى تغيير الدّين وفتح الباب للهوى والرأي ، لأنّ كلّ مبتدع يقول بلسان حاله إنّ ما جئتكم به أمر حسن ، فبرأي من نأخذ وبأيهم نقتدي؟
- إن العمل بالبدع يؤدي إلى إلغاء السنن وقول السّلف الذي يشهد به الواقع : ما أحييت بدعة إلا وأميتت سنّة . والعكس صحيح .
نسأل الله أن يجنبنا مضلات الهوى والفتن ما ظهر منها وما بطن والله تعالى أعلم .


الإسلام سؤال وجواب
الشيخ محمد صالح المنجد (www.islam-qa.com)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 6:15 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เพราะฉะนั้นคำพูดท่านนี้ของท่านอุมัรฺไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา ไม่ใช่ประดิษฐ์พิธีขึ้นใหม่ แต่หมายถึงภาพแบบนี้มันไม่เคยปรากฏมาก่อน

เหมือนกะวันนึงเราเห็นฝรั่งอเมริกันเข้ารับอิสลาม 50 ล้านคน(สมมติ) แล้วพวกเขาก็แห่มาชุมนุมละหมาดที่มักกะฮฺพร้อมกัน....
ถามว่าเคยเกิดมาก่อนมะภาพแบบนี้? ..ไม่เคย แล้วถามว่าเป็นเรื่องดีมะ? ...ดีสิ
นั่นแหละบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ (ในทางภาษา)

ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะไปขัดกับหะดีษนบีที่บอก "กุลลุบิดอะติลฎอลาละฮฺ"
ซึ่งนบีไม่อนุญาตให้ใครมาเพิ่มมาเติม นอกจากคอลิฟะฮฺอัรอชิดีนเท่านั้น (ซึ่งนบีเรียกเป็นซุนนะฮฺของคอลิฟะฮฺ ไม่ใช่บิดอะฮฺหะสะนะฮฺ)
เห็นไหมครับหะดีษเหล่านี้พูดทุกวัน ท่องทุกวัน แต่ใช่ว่าจะเข้าใจความหมาย
แล้วถ้าหากในทางชะรีอะฮฺบิดอะฮฺทำได้ หรือมีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺมันก็ไปขัดกับการกระทำของซอฮาบะฮฺอีกมากมาย (ดังที่ผมยกมาถาม)

ถามว่า ซิกรุลลอฮฺน่ะเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี? ..เรื่องดีสิ เอ้าแล้วที่เห็นมีวงซิกรุลลอฮฺน่ะท่านอิบนุ มัสอูดห้ามทำไม?
คำตอบคือเพราะ เป็นการประดิษฐ์รูปแบบขึ้นใหม่ เพราะอัลลอฮฺไม่ได้ให้วะฮีย์(ซุนนะฮฺ)ในรูปแบบซิกรุลอฮฺมาเช่นนั้น
แล้วถ้าจะไปยกเหตุผลมาร้อยแปดหันอย่าง หรือยกบทนู้นบทนี้มา แต่ตอบอันนี้ไม่ได้ นั่นหมายความว่าที่อธิบายมาน่ะเข้าใจผิด!

ถามว่าศอละวาตนบีน่ะดีมะ? ..ดีสิ เป็นเรื่องดี เอ้าแล้วถามว่าที่เห็นคนศอละวาตหลังดุอาอฺจามน่ะอิบนุ อุมัรห้ามทำไม?
คำตอบคือเพราะ หลังจามมีดุอาอฺเฉพาะ ไปเอาบทอื่นมาแทนก็ไม่ได้ หรือไปต่อเติมอะไรเองก็ไม่ได้!

ถามว่ายกมือดุอาอฺน่ะดีมะ? ...ดีสิ ก็นบีบอกเองว่ายกมือเป็นมารยาทที่อัลลอฮฺจะโปรดปราน
เอ้าแล้วถามว่าทำไมพอเห็นคนยกขณะดุอาอฺในคุตบะฮฺแล้วซอฮาบะฮฺห้าม (และสาปแช่ง)
คำตอบคือเพราะ ซอฮาบะฮฺท่านนั้นไม่เคยพบ หรือไม่เจอหลักฐานที่ว่านบีทำเช่นนั้น

ดังนั้นอิมามมาลิกไม่เข้าใจคำพูดท่านอุมัรฺหรือ เขาถึงบอกว่า"ใครทำบิดอะฮฺแล้วเห็นว่าดี ถือว่าเขาได้ประณามนบีมุฮัมมัดว่าทรยศต่อการนำสาส์น"
ตรงนี้อิมามมาลิกได้คุมหมดเลย ไม่ได้บอกว่าบิดอะฮฺไหน แล้วนี่อิมามมาลิกด่าการกระทำแบบท่านอุมัรฺหรือ? ..เปล่าเลย
ก็นี่หมายถึงเรื่องศาสนา เรื่องศาสนามันสมบูรณ์แล้ว ประดิษฐ์เดิ่มไม่ได้ คิดเพิ่มไม่ได้
แล้วยิ่งประดิษฐ์เพิ่มแล้วไปบอกว่าดีอีก ก็ยิ่งเข้าไปใหญ่เลย

ดังนั้นที่คุณมุหัมมัดถามว่า ที่มาแยกว่าอันนั้นบิดอะฮฺศาสนา อันนี้บิดอะฮฺดุนยาใครเป็นคนแยก
ตรงนี้..ได้รับคำตอบหรือยัง ถ้ายัง เดี๋ยวกลับมาตอบโอกาสหน้า

คำถาม? ...หลังจากที่ท่านนบีจากไป อาณาจักรเติบโต และเจริญ ถามว่ามัสญิดมีสถาปัตย์แบบใหม่ ใหญ่โตขึ้นหรือไม่?
คำตอบคือมี... แล้วถามว่าซอฮาบะฮฺคนใดได้ออกมาบอกว่าอันนี้เป็นบิดอะฮฺและห้ามปรามมั่ง?
..ไม่มี..

ดังนั้นบางคนไม่เข้าใจเลยบอกว่า ไมโครโฟนอะซานเป็นบิดอะฮฺ เพราะนบีไม่เคยทำ
อันนี้ในทางชะรีอะฮฺแล้วไม่ใช่ครับ


سؤال رقم 23443: استعمال مكبرات الصوت في الأذان هل هو بدعة ؟



اضغط هنا للحصول على نسخة مناسبة للطباعة

السؤال:


الذي أفهمه من عبارة "البدعة" هو الأمور المستحدثة في الدين. وعليه، فكيف تصنف رفع الأذان باستخدام مكبرات الصوت؟ .

الجواب:

الحمد لله

لمعرفة معنى البدعة وضابطها راجع السؤال (7277) و (10843).

وأما الأذان بواسطة مكبرات الصوت فلا حرج فيه لأنه وسيلة لإيصال الأذان إلى السامعين والوسائل لها أحكام المقاصد ، فرفع المؤذن صوته وتبليغه للناس أمرٌ مقصودٌ مطلوب ، وما كان وسيلة إلى هذا المقصد فهو مطلوبٌ أيضاً .

" فكما أن استعمال الأسلحة القوية العصرية والعناية بها داخل في قوله تعالى : ( وأعدوا لهم ما استطعتم من قوة ) , واستعمال الوقايات والتحصينات عن الأسلحة الفتاكة داخلٌ في قوله تعالى : ( وخذوا حذركم ) ، والقدرة على المراكب البحرية والجوية والهوائية داخل في قوله تعالى : ( ولله على الناس حج البيت من استطاع إليه سبيلا ) ، وجميع ذلك وغيره داخل في الأوامر بأخذ جميع وسائل القوة والجهاد ، فكذلك إيصال الأصوات والمقالات النافعة إلى الأمكنة البعيدة من برقياتٍ وتليفونات وغيرها داخلٌ في أمر الله ورسوله بتبليغ الحقِّ إلى الخلق ، فإن إيصال الحقِّ والكلام النافع بالوسائل المتنوعة من نعم الله ، وترقية الصنائع والمخترعات لتحصيل المصالح الدينية والدنيوية من الجهاد في سبيل الله ." انتهى من خطبةٍ للشيخ بن سعدي حين وضع مكبِّر الصوت في المسجد واستنكره بعض الناس .(مجموعة مؤلفات ابن سعدي ج6 ص51) .

وكذلك استعمال شبكة الإنترنت لإيصال العلم النافع ودعوة الناس إلى الإسلام هو من الأمور المفيدة جداً التي تُحقق معاني شرعية عظيمة .

نسأل الله أن يعيننا على طاعته ، وصلى الله على نبينا محمد.



الإسلام سؤال وجواب
الشيخ محمد صالح المنجد (www.islam-qa.com)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
IRF
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 10/12/2005
ตอบ: 155


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 6:19 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เรื่องดุนยาไม่ต้องตามนบีหรือ?


"เรื่องดุนยาท่านรู้ดีกว่าฉัน"

คำพูดนี้เกิดจากชาวบ้านซึ่งรถน้ำต้นไม้ตามวิธีที่นบีแนะนำ แล้วต้นไม้ก็ตาย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 7:31 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณมุหัมหมัดกล่าวว่า
ผมต้องการที่จะวิเคราะห์คำพูดของท่านอุมัร ที่ท่านบบอกว่าการรวมละหมาดตะรอวิหฺนั้น "มันเป็นบิดอะฮ์ที่ดี" คือเรากำลังพูดในประเด็นนี้ และไม่ว่าละหมาดตะรอวิหฺจะมีที่มาหรือไม่มีที่มาจากท่านนบี(ซ.ล.)ก็ตาม ผมไม่ขอกล่าวถึง แต่สิ่งที่เราต้องวิเคราะห์กันคือ คำพูดของท่านอุมัร ย้ำ คำพูดของท่านอุมัรว่า"มันคือบิดอะฮ์ที่ดี" ซึ่งคำพูดและความเข้าใจของท่านอุมัร(ร.ฏ.) นี้ ชี้ให้เห็นว่า "บิดะฮ์นั้น มีทั้งดีและไม่ดี" หรือไม่?
…………………………………….
ตอบ
คุณจะวิเคราะห์ คำพูดของท่านเคาะลิฟะฮอุมัร เพื่อเป็นเป็นหลักฐานว่า ที่ชี้ให้เห็นว่า บิดอะฮมีทั้งดีและไม่มดี นี้ไงคำพูดที่ผมท้วงทิง เพราะ ประเด็นของท่านอุมัร กับ บิดอะฮที่พวกคุณคิดขึ้นเอง โดยไม่มีที่มา จากบทบัญญัติ นั้นมันคนละเรื่อง มันต่างกัน ท่านนบี ศอลฯกล่าวสนับสนุนให้ละหมาดญะมาอะฮตะรอเวียะว่า:
من قام مع الإمام حتى ينصرف كتب الله له قيام ليلته ผู้ใดละหมาดพร้อมกับอิหม่ามจนกระทั้งเสร็จ อัลลอฮจะบันทึกให้แก่เขาเท่ากับละหมาดคืนนั้นทั้งคืน-
". رواه أحمد وأصحاب السنن بإسناد حسن صحيح من حديث أبي ذر رضي الله عنه
………………
เพราะฉะนั้น อย่ามาวิเคราะห์ให้เสียเวลาเลยครับ เพราะการเอาประเด็นคำพูดของท่านอุมัรมาเป็นหลักฐานว่ามีบิดอะฮหะสะนะฮนั้นฟังไม่ขึ้นหรอกครับ ท่านมุหัมหมัด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
รอยยา
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 20/02/2004
ตอบ: 78


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 8:41 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณมูฮำหมัดกล่าวว่า

คุณรอยยาครับ ผมทราบดีว่า คุณเองก็เป็น "มือเก่า" ของเวปนี้ และอยู่ในแนวทางวะฮาบีย์ และสิ่งที่ผมนำเสนอชี้แจงไปนั้น ผมคิดไว้แล้วล่ะครับ ว่า มันไม่ถูกใจคุณ เพราะทัศนะเราต่างกัน

คุณมูฮำหมัดเข้าใจผิดคะ ที่ฉันถือศาสนาไม่ใช่เพราะถูกใจ แต่ศึกษาเพื่อความถูกต้อง
ที่จริงก็ตามอ่านเพื่อเพิ่มความรู้ แต่ยิ่งอ่านข้อเขียนของคุณก็ยิ่งมึน เพราะมันแยกไม่ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด มันค้านกับความรู้ที่ฉันเคยได้รับ

เช่นคำถามที่คุณถามว่า

"การแบ่งบิดอะฮ์ ออกเป็น บิดอะฮ์ดุนยา และบิดอะฮ์ศาสนา"นั้น ไปเอาบรรทัดฐานมาจากใหน? ใครเป็นคนแบ่ง แล้วสะลัฟคนใหนเป็นคนแบ่งอย่างนี้ ??

ฉันว่าคุณยังสับสนกับเรื่องนี้อยู่ เลยทำให้คนอ่านอย่างฉันมึนกับข้อความของคุณไปด้วย
ฉันฟัง อ.ฟาริดสอนแล้วกระจ่าง ท่านอธิบายว่า

ท่านนบีพูดว่า “เรื่องศาสนาของพวกเจ้ามาเอาจากฉันไป ส่วนเรื่องดุนยาพวกเจ้ารู้ดีกว่าฉัน”

อย่างนี้พูดได้ไหมว่า คนแบ่งคือท่านนบี คุณมูฮำหมัดช่วยตอบที
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
fais
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005
ตอบ: 84


ตอบตอบ: Wed Jan 25, 2006 12:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
คุณฮะลิลกาลามและฮะลิลบิดอะห์
เอาละถ้าคุณยึดแนวทางของ อีหมาม ซาฟีอีจริงๆ และคุณก็เข้าใจในการกียาสของท่าน
ก็เป็นอันที่ดีเพราะได้มีหลายๆอูลามะห์มายืนยันแล้วว่า นั้นเป็นทางที่ถูกต้องกับหลักของอิสลาม
แต่การปฎิบัติบางอย่างที่ไม่มีมาใน มัซฮับ ซาฟีอี และคุณก็ยังคงปฎิบัติอยู่
อย่างนี้คุณยึดแนวทางใหนละ ? ในเมื่อตามแนวมัซฮับ ซาฟีอีจริงๆ ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
จริงอยู่ผู้ที่ยึดแนวปฎิบัติตามอีหมาม ซาฟีอี นั้น มีมากว่า 90% แต่ในอิสลามจะไม่ยึดติดกับปริมาณ
ที่มาก เพราะอุมมะห์ของท่านนบี มูหัมหมัด ซล.จะถูกแบ่งเป็น 73 พวกแต่ที่ถูกต้องที่สุดคือ 1 เดียวเท่านั้น
พื้นฐานของอิสลามที่แท้จริงก็คือ การนำอัลกุรอ่าน แลแนวทางซุนนะห์มาปฎิบัติและนั้นคือที่กลับ
ในทุกสิ่งที่เมื่อบรรดามุสลิมเกิดการขัดแย้ง และผู้ที่ตีกลับการขัดแย้งไปยังทีอื่นนอกเหนือจาก
สองอย่างนี้เขาก็มิได้เป็นผู้ศรัทธา

แล้วหามิได้ขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า พวกเขายังไม่ศรัทธาจนกว่า พวกเขาจะให้เจ้าเป็นผู้ตัดสิน
ในสิ่งที่เกิดการทะเลาะ ในหมู่ของพวกเขาหลังจากนั้น พวกเขาไม่พบในตัวของพวกเขา ซึ่งการขัดขืนใดๆ
จากสิ่งที่เจ้าได้ชี้ขาดไปและยอมจำนนโดยทุกประการ(อันนีซาอ์ 56)
ไม่มีผู้นำอีหม่ามคนใหนที่กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามฉันในสิ่งที่ฉันมีแนวความคิดไป
แต่พวกเขาได้กล่าวว่าจงเอาจากที่ที่เราได้เอา โดยที่ทราบกันว่าแนวความคิดต่างๆเหล่านี้ได้มีการเพิ่มเติม
ไปในนั้นมากมายที่มีการสมมุติขึ้นมา ฉะนั้นท่านอีหม่ามต่างๆได้ห้ามปรามอย่างหนักไม่ให้ทำอุตริจกรรมในศาสนา
และจากการลอกเลียนแบบจากผู้ที่ไม่ได้รับการปกป้องจากความผิด(มะอ์ศูม)นั้นคือ รอซูลลุลเลาะห์ ซล.
ในเมื่อคุณยึดแนวทาง ฟิกส์ของอีหม่าม ซาฟีอี และคุณยึด อากีดะห์ของอีหม่าม อัชอารี มันผิดมัยหากผม
จะยึดอากีดะห์และฟิกส์จาก อัลกุรอ่านตามที่พระองค์ได้กล่าวมาและจากฮะดิษที่ได้ผ่านการตรวจสอบโดย
บรรดาอีหม่ามทั้งหมดที่ถูกต้อง

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, ... 31, 32, 33  ถัดไป
หน้า 2 จากทั้งหมด 33

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.17 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ