ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Mon Aug 29, 2005 2:45 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถึงคุณอิลยาส
وعليكم السلام ورحمة الله
ผมนั้นอยู่อียิปต์มาก็หลายปี ได้ดูโทรทัศน์ท่านอิมามชะอฺรอวีย์และอ่านหนังสือ ท่านชัยคฺผู้ตาบอดแต่ใจสว่างด้วยรัศมีมาแล้วครับ บ่อยครั้งที่ท่านชัยคฺอัชชะอฺรอวีย์ ได้ร้องทุกข์เกี่ยวครับ คนอื่นได้เอาคำพูดของท่านไปบิดเบือนและอ้างพาดพิงมาถึงท่าน แม้กระทั้งตัฟซีรของอิมามเองก็ ท่านก็เคยตำหนิในเรื่องการจัดพิมพ์ เพราะว่าบิดเบือนคำพูดของท่าน
สิ่งที่คุณอิลยาสกีอบมาให้นั้น หากเป็นหนังสือของท่านชัยคฺอิมามอัชชะรอวีย์ก็ดีซิครับ แต่นี่คุณไปเอามาจากการถอดความของ อัลบานีย์ คุณแน่ใจหรือไม่ว่า อัลบานีย์จะมีใจเป็นธรรม โดยเขียนเองจากท่านชัยคฺชะรอวีย์จริง แม้กระทั้ง ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์ ยังโกหกใส่อะชาอิเราะฮฺ ไว้ในหนังสือ
منهج الأشاعرة فى العقيدة ท่านลองดูเวปของ ดร.ซะฟัร http://saaid.net/Warathah/safar/k.htm ผมอ่านแล้ว ปรากฏว่า ดร.ซะฟัร ไม่เข้าใจแนวทางอะชาอิเราะฮฺ พอไม่เข้าใจแล้วยังมาใส่ใคร้อะชาอิเราะฮฺอีก ว่างๆ ผมจะวิจารณ์หนังสือของ ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์นี้เอง คุณอะสันและคุณอัลยาส ช่วยแก้ต่างให้ ดร.ซะฟัร ผู้นี้ก็เลยกันน่ะครับ
ส่วนประเด็นของคุณอิลยาสที่กล่าวมานั้น ก็เป็นแนวทางของอะชาอิเราะฮฺเหมือนกันนี่ครับ เพราะอะชาอิเราะฮฺมีสองแนวทาง คือมอบหมายและตีความ แล้วผมจะอธิบายให้ต่อไป
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Mon Aug 29, 2005 3:01 am ชื่อกระทู้: |
|
|
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ถึงคุณอะสัน رعاك الله
ผมทราบครับ ว่าคุณเคยเป็นเด็กปอเนาะ แต่เป็นอุดมการณ์เด็กปอเนาะฮฺเต็มเปรี่ยมหรือเปล่าครับ ผมเองก็เป็นเด็กปอเนาะตัวจริง ได้รับอิญาซะฮฺ สายรายงานมาทั้งหมด จากชัยคฺโต๊ะครูที่เรียนจากมักกะฮฺ แล้วผมก็ขึ้นมาเรียนที่อัล-อัซฮัร ไม่ใช่ผมจะเรียนแต่ในมหาลัยเพียงอย่างเดียว ตอนเช้าผมก็เรียนกับ ด๊อกเตอร์ ชัยคฺ อะลี ญุมอะฮฺ ที่มัสยิดอัล-อัซฮัร เรียนซอเฮี๊ยะหฺบุคคอรีย์ เมื่อจบก็ มุสลิม หลังจากนั้นก็ อบีดาวูด อัชบาฮุลนะซออิร ของอิมามซายูฏีย์ แต่จะจบเร็ว เพราะเป็นการสอนโดยให้ลูกศิษย์อ่าน แล้วท่านชัยคฺก็อธิบายในสิ่งที่ท่านคิดว่าน่าจะอธิบาย เรียนจบเล่มก็ได้รับอะญาซะฮฺ อิสนาด สายรายงานจากท่านชัยคฺ ท่านชัยคฺ อะลีย์ ญุมอะฮฺ ได้ชื่อว่าเป็น อิมามของมัซฮับชาฟิอีย์ ในอียิปต์ปัจจุบัน ผมจึงเลือกเรียนกับท่าน เพื่อจะได้ไม่สับสน จริงอยู่ที่คุณอะสันพูดว่าบรรดาอุลามาอฺส่วนใหญ่เรียกร้องไปสู่แนวทางของอัลกุรอานและซุนนะฮฺ และแนวทางของสะลัฟซอและหฺ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า แนวทางของสะลัฟนั้น มันเป็นแนวทางใหนบ้างหรือครับ สะละฟีย์ที่ตามแนวทางของชัยคฺอิบนิตัยมียะฮฺ หรือซะลัฟที่ตามแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮฺล่ะครับ คุณก็ว่าแนวทางของคุณคือสะลัฟ ผมก็ว่าแนวทางของผมคือสะลัฟ ดังนั้นเราต่างคนก็อยู่ในแนวทางของสะลัฟ ดังนั้นเราน่าจะสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะในเรื่องนี้ว่า แบบใหนที่เป็นสะลัฟจริงๆ เราสนทนากันอย่าคิดว่าเราจะเอาชนะกัน แต่คิดว่าแลกเปลี่ยนทัศนะกัน เพื่อให้รู้ว่าอย่างน้อยคุณก็มีหลักฐานที่ถูกต้อง ผมก็มีหลักฐาน ผมก็จะได้เข้าใจแนวทางซะลัฟของคุณมากขึ้น และคุณก็อาจจะเข้าใจแนวทางซะลัฟแบบผมเหมือนกัน ผมยอมรับว่า ผมไม่ความรู้เพิ่มขึ้นมาเยอะ จากการได้สนทนากับคุณ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของคุณที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนก็มี ดังนั้นคุณอย่าพูดเลยว่า ผมรู้ดีกว่าคุณ ไม่จริงหรอก เพราะคุณย่อมรู้ดีกว่าผมในแนวทางของคุณ ผมจึงขอความคำชี้แนะจากคุณ แต่การสนทนานั้นผมอยากเรียนให้คุณทราบว่า มันมีผิดและถูก หากคุณว่าผมผิดในกรณีนี้ หรือผมว่าคุณผิดในกรณีนั้น ก็โปรดอย่าถือโกรธ แต่ก็อย่าให้ถึงกับฮุกุ่ม ชิริก หรือกุฟุร อย่างน้อยเราก็ยึดมั่นในสองกะลีเมาะฮฺ และรู่กุ่นอีหม่านเดียวกัน แต่เมื่อเราดูการสนทนาของคุณอะสันแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ครับ
อ้างอิงจากคุณอะสัน
ส่วนที่คุณอ้างในยุคนบียุซุฟ อย่าเลย ครับ เพราะเราพูดถึงพวกกาเฟร มุชริกีนสมัยนบีมุหัมหมัด ศอลฯ ครับ
ตอบ
คุณอะสันครับ เรากำลังพูดถึงเรื่องการแบ่งเตาฮีดนะครับ ซึ่งเรื่องเตาฮีดนั้น มันมีแบ่งแยกระหว่างนบีแต่ละท่านด้วยหรือครับ ? ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า อัลเลาะฮฺทรงส่งบรรดาร่อซูลมาเพื่อเรียกร้องไปสู่อะกีดะฮฺเดียวกัน หลักเตาฮีดที่แต่ละร่อซูลเรียกร้องนั้น มันมีหลักการที่แตกต่างกันหรืออย่างไรครับ ? ทั้งที่อัลเลาะฮฺได้ยืนยันเอาไว้ว่า บรรดาร่อซูลมีอุดมการณ์เดียวที่จะเรียกร้องไปสู่เตาฮีดของอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ส่วนเรื่องหลักการปฏิบัตินั้น แต่ละยุคสมัยก็อาจจะมีแตกต่างกันบ้าง ก็เป็นสิ่งที่หลักการยอมรับ หวังว่าคุณคงเข้าใจ และผมขอยืนยันว่า นบียูซุฟ(อ.)หรือนบีท่านอื่นๆ ต่างก็เรียกร้องไปสู่เตาฮีดเดียวกันกับนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)
อ้างอิงจากคุณอะสัน
ในท้ายอายะฮที่คุณ อัซฮารีย์กล่าว คือ "إِنَّ اللَّهَ لَا يَهْدِي مَنْ هُوَ كَاذِبٌ كَفَّارٌ
แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำแก่ผู้ที่มุสา อีกทั้งไร้ศรัทธา "
ท้ายอายะฮ นี้ อัลลออไม่ได้ปฏิเสธข้ออ้างพวกมุชริกีน ที่อีบาดะฮต่อสิ่งอื่นเพื่อให้ใกล้ชิดต่ออัลลอฮนั้น ว่า เป็นคำพูดที่มุสา โกหก แต่ข้อความท้ายนี้ พระองค์ได้กล่าวถีง พวกกาเฟร ที่อ้างว่า อัลลอฮ นั้น มีบุตร คุณอ่านตัฟสีร ข้างล่างนี้ครับ เป็นการอรรถาธิบายของ อิหม่ามสะยูฏีย์ ครับ ซึ่งท่านเป็นนักวิชาการในมัซฮับชาฟีที่คุณสังกัดอยู่ครับ
"إنَّ اللَّه يَحْكُم بَيْنهمْ" وَبَيْن الْمُسْلِمِينَ "فِي مَا هُمْ فِيهِ يَخْتَلِفُونَ" مِنْ أَمْر الدِّين فَيَدْخُل الْمُؤْمِنِينَ الْجَنَّة وَالْكَافِرِينَ النَّار "إنَّ اللَّه لَا يَهْدِي مَنْ هُوَ كَاذِب" فِي نِسْبَة الْوَلَد إلَيْهِ "كُفَّار" بِعِبَادَتِهِ غَيْر اللَّه
ตอบ
คุณอะสันครับ พวกมุชริกีนที่อิบาดะฮฺต่อสิ่งอื่นเพื่อให้ใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮฺนั้น คือพวกที่อิบาดะฮฺอื่นจากอัลเลาะฮฺด้วยใหมครับ ? แล้วอิมามซายูฏีย์ก็กล่าวอธิบายว่า "كُفَّار" بِعِبَادَتِهِ غَيْر اللَّه " พวกที่อิบาดะฮฺอื่นจากอัลเลาะฮฺด้วยนั้น(ส่วนหนึ่งในนั้นคือพวกมุชริกีน) คือพวกไร้ศรัทธา พวกไร้ศรัทธาคือพวกที่มีเตาฮีดรุบูบียะฮฺแต่ไม่มีเตาฮีดอุลูฮียะฮฺหรือครับ ? คุณอะสันโปรดพิจารณาอายะฮฺต่อไปนี้ เพื่อจะอธิบายซึ่งกันและกันกับอายะฮ์ที่ 3 ซูเราะฮฺซุมัร อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า
فلو لا نصرهم الذين إتخذوا من دون الله قرباناإلهة بل ضلواعنهم وذلك إفكهم وما ككنوا يفترون
" แล้วไฉนเล่า บรรดาพวกที่ยึดสิ่งที่อื่นนอกจากอัลเลาะฮฺมาเป็นพระเจ้า اإلهة (ที่พวกเขาคิดว่าจะ) ทำให้ใกล้ชิด (ต่ออัลเลาะฮฺ) จึงไม่ช่วยพวกเขา ? แต่บรรดาสิ่งเหล่านั้นได้หายลับไปจากพวกเขา และดังกล่าวน้นเป็นความมุสาของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาได้เสกสรรไว้ (โดยยึดตามหลักการของพวกเขา)" อัลอะฮฺกอฟ 28
จากอายะฮฺนี้ได้ยืนยันสิ่งต่อไปนี้
1. พวกมุชริกีนได้เอา اإلهة พระเจ้าอื่นจากอัลเลาะฮฺมาสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮฺ
2. พวกเขามุชริกีน เอาพระเจ้าอื่นมาเป็น ألوهية เหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮฺเพื่อการภักดีด้วย
3. การที่พวกเขาอ้างว่า เอาพระเจ้าอื่นมาอิบาดะฮฺเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับอัลเลาะฮฺนั้น เป็นความโกหกของพวกมุชริกีน และอัลเลาะฮฺได้ยืนยันความโกหกของพวกเขาว่า وذلك إفكهم "ดังกล่าวนั้นเป็นความมุสาของพวกเขา" ท่านอิมามกุรฏุบีย์ได้อธิบายว่า
(نلك إفكهم) أى والألهة التى ضلت عنهم هى إفكهم فى قولهم : إنها تقربهم إلى الله ز.لفى
หมายความว่า (ดังกล่าวนั้นเป็นความมุสาของพวกเขา) หมายถึง พระเจ้าที่หายลับไปจากพวกเขานั้น คือความมุสาของพวกเขาในคำพูดของพวกเขาที่ว่า "แท้จริง พระเจ้าที่หายไปนั้น จะทำให้มีความใกล้ชิดไปยังอัลเลาะฮฺ" ตัฟซีร อัลกุรฏุบีย์ เล่ม 16 หน้า 203 อธิบายอายะฮฺที่ 28 คุณอะสันครับ คุณจะเลือกเชื่ออายะฮฺเดียว โดยไม่เอาอีกอายะฮฺหนึ่งนั้น คงไม่ได้นะครับ พวกมุชริกันอ้างอย่างนั้น คุณเชื่อพวกเขาหรือครับ ในเมื่ออัลเลาะฮฺยืนยันว่าพวกเขาโกหกมุสา
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Mon Aug 29, 2005 3:04 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้างอิงจากคุณอะสัน
คุณอธิบายเสียยาวยืด แต่ไม่ตรงประเด็น เพราะเด็น ที่ผมพูดถึง คือ อัลลอฮ อยุ่ใน ฐานะ رب รอ็บ (พระผู้อภิบาล) การศรัทธาว่าอัลลอฮ องค์องค์เดียวเท่านั้นคือ พระผู้อภิบาล เรียกว่า "เตาฮีดรุบูบียะฮ และ ในขณะเดียว กัน พระองค์อยู่ในฐานะ الاله(อิลาฮ) ซึ่งหมายถึง المعبود
คือ ผู้ที่ได้รับการเคารพภักดี และ เมื่อเชื่อว่าอัลลอฮเพียงองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าที่ได้รับการเคารพภักดีที่ถูกต้อง จึง เรียกว่า เตาฮีดอุลูฮียะฮ
ตอบ
คุณอะสันครับ จะให้ผมอธิบายตรงประเด็นของคุณได้อย่างไร ในเมื่อผมอธิบายยืนยันว่า ไม่มีการแย่งในเรื่องรุบูบียะฮฺและอุลูฮียะฮฺ ตามในแห่งอัลกุรอาน ไม่ใช่ตามนัยแห่งความเข้าใจอายะฮฺบางส่วนตามแนวทางคุณเอง หากคุณอ้างว่าอัลกุรอานอายะฮฺนั้นยืนยันถึงแนวทางของคุณ แต่อีกโองการหนึ่งไม่ยืนยันอย่างนั้น คุณจะทำอย่างไร? ตามที่คุณอธิบายมานั้น คือทัศนะของผม คืออัลเละาฮฺอยู่ในฐานะ ร๊อบ และอิลาฮฺ โดยไม่มีการแบ่งแยก และผมกับคุณก็เชื่อไม่ใช่หรือว่า บรรดานบีทั้งหลายนั้น ต่างเรียกร้องสู่เตาฮีดเดียวกัน
อัลเลาะฮฺทรงตรัสอีกว่า
وهم يكفرون بالرحمن ، قل هو ربى
ความว่า "และพวกเขาปฏิเสธ อัรเราะหฺมาน เจ้าจงกล่าวเถิดว่า พระองค์คือربى เจ้าผู้อภิบาลของฉัน " เราสังเกตุว่าโองการนี้ พวกมุชริกีนไม่เอาอัลเลาะฮฺมาเป็น رب เจ้าผู้อภิบาล แล้วจะให้พวกมุชริกีนมีเตาฮีดรุบูบียะฮฺได้อย่างไร ดังนั้นการที่เรากล่าวว่าพระองค์คือ ربى คือพระผู้อภิบาล ผู้ทราสร้าง ผู้ทรงบริหารก็มีความหมายเดียวกับ إلهى ซึ่งหมายความว่าพระเจ้า
อ้างอิงจากคุณอะสัน
قُلْ مَنْ يَرْزُقُكُمْ مِنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَمْ مَنْ يَمْلِكُ السَّمْعَ وَالْأَبْصَارَ وَمَنْ يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيِّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَنْ يُدَبِّرُ الْأَمْرَ فَسَيَقُولُونَ اللَّهُ فَقُلْ أَفَلَاتتقون
31. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้า และแผ่นดินแด่พวกเจ้า หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตายและเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา และใครเป็นผู้บริหารกิจการ แล้วพวกเขาจะกล่าวกันว่า อัลลอฮฺ ดังนั้นจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) พวกเจ้าไม่ยำเกรงหรือ?
ตอบ
โองการนี้ ผมยอมรับว่าพวกมุชริกีนเชื่อว่าอัลเลาะฮฺคือผู้ทรงให้ริสกีและผู้ทรงบริหาร คุณอะสันก็บอกว่า อายะฮฺชี้ให้เห็นว่าพวกเขา มีเตาฮีดรุบูบียะฮฺ แล้วสถาพความเป็นจริงนั้น พวกมุชริกีนเขาเตาฮีดรุบูบียะฮฺหรือเปล่าล่ะครับ ? ในเมื่ออัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงตรัสไว้อีกโองการหนึ่งว่า
ولا يأمركم أن تتخذوا الملائكة والنبيين أربابا
"และพระองค์ไม่ได้ใช้พวกเจ้า เอาบรรดามะลาอิกะฮฺและบรรดานบีมาเป็น( ร๊อบ) เจ้า"
อายะฮฺชี้ให้เห็นว่า พวกมุชริกีนมีเจ้า(รุบูบียะฮฺ)หลายองค์ แล้วกลับมาบอกว่าพวกมุชริกีนนั้น เตาฮีดรุบูบียะฮฺ อายะฮฺ 31 ซูเราะฮฺยูนุสที่คุณหยิบยกมานั้น พวกมุชริกีนก็ต้องกล่าวว่าอัลเลาะฮฺ เพราะอะไรต้องกล่าวอย่างนั้นครับ ? อิมามกุรฏุบีย์อธิบายว่า "เพราะพวกเขาเหล่านั้นเชื่อว่า ผู้สร้างนั้นคืออัลเลาะฮฺ หรือพวกเขาจะกล่าวกันว่า"คืออัลเลาะฮฺ" หากพวกเขาพิจารณาใคร่ครวญและมีความเป็นธรรม" ตัฟซีรกุรฏุบีย์ เล่ม8 หน้า311 ใช่ว่าพวกมุชริกีนจะตอบว่าอัลเลาะฮฺ ไปเสียทุกคน เพราะพวกกุฟฟารในสมัยนบีนั้น มีอยู่หลายกลุ่ม บางกลุ่มเชื่อว่า พระเจ้าผู้บริหารควบคุมนั้นหลายองค์ อย่างเช่นพวก อัดดะฮฺรียูน ซึ่งพวกเขาปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ มีพวกมุลหิดูนพวกมุชริกีนที่เอาพระเจ้าอื่นมาเป็นพระเจ้าผู้บริหารผู้ควบคุมพร้อมกับอัลเลาะฮฺด้วย แล้วคุณจะยึดอายะฮฺอย่างที่คุณเอาเพียงอย่างเดียวได้อย่างไรครับ ?
อ้างอิงจากคุณอะสัน
เขาระบุว่า กาเฟรในสมัยท่านรอซูล ยอยรับในการเป็น พระผู้อภิบาลของอัลลอฮ เพียงแต่เชื่อ อย่างนี้ ก็ไม่ทำให้พวกเข้ามาอยู่ในศาสนาอิสลาม นอกจากพวกเขาจะต้องอิบาดะฮต่ออัลลอฮองค์เดียว ซึ่ง หมายถึง เตาฮีดอุลูฮียะฮ ผมจึงกล่าวว่า การยอมรับเพียง เตาฮีดรุบูบียะฮ ไม่เพียงพอ แต่ต้อง ยอมรับในเตาฮีดอุลูฮียะฮ ด้วย คุณพยายามโต้แย้ง แบบข้างๆคู ๆ ขอให้คุณ เป็นนักศึกษาระดับมหาลัย แต่การศึกษาต้องให้เกิดปัญญาด้วย แต่หากผูกติดอยู่กับแนวคิดหนี่งแนวคิดใด คุณก็ไม่มีโอกาสที่จะใช้มันหรอกครับ เพราะถูกกำหนดว่า คนที่ไม่มุจญตะฮีด โง่หมด เราต้องตามอัชอะรียะฮเท่านั้น
ตอบ
คุณลองพิจารณาคำตรัสของอัลเลาะฮฺในอายะฮฺที่ให้คำมั่นสัญญาต่อพวกมนุษย์ว่า
ألست بربكم ، قالوا بلى شهدنا
ความว่า " (พระองค์ทรงตรัสแก่พวกเขาในโลกวิญญานว่า) ข้าฯ ไม่ใช่เป็นผู้อภิบาลของพวกเจ้าดอกหรือ ? พวกเขากล่าวว่า หามิได้ เราขอปฏิญาน (ว่าพระองค์คือผู้อภิบาลของเรา) " อัลอะรอฟ 172 หากการยอมรับ เตาฮีดรุบูบียะฮฺเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอสำหรับมุมิน โดยที่พวกมุชริกีนต่างก็มีเตาฮีดรุบูบียะฮฺตามที่พวกท่านอ้าง การทวงคำสัญญาจากพวกมุชริกีนไม่วันกิยามะฮฺก็คงไม่เป็นผลใด ๆ เนื่องจากพวกมุชริกีนก็มีเตาฮีดรุบูบียะฮฺกันอยู่แล้วตามที่พวกท่านกล่าวอ้าง และพวกมุชริกีนก็คงไม่กล่าวกันแล้วกับคำว่า " แท้จริง เราได้ละเลยต่อสิ่งนี้ " (คือการยอมรับในการเป็น بربكم เจ้าผู้อภิบาลของพระองค์ " อัลอะรอฟ 172 หรือว่าในวันกิยามะฮฺนั้น อัลเลาะฮฺต้องเปลี่ยนสำนวนการทวงสัญญาด้วยเตาฮีดอุลูฮียะฮฺในการแสดงตัวเป็นมุอฺมิน เพราะเตาฮีดรุบูบียะฮฺนั้นยังไม่พอ ? ดังนั้นเตาฮีดรุบูบียอะฮฺและเตาฮีดอุลูฮียะฮฺจึงเป็นสิ่งที่เป็นอันเดียวกันและมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยไม่มีการแบ่งแยก
หากท่านพิจารณาจากซุนนะฮฺ ท่านจะพบว่า มุงกัรและนากีรนั้น ได้ถามคนตายในกุโบร ว่า من ربك ؟ ไม่ใช่ถามว่า من إلهك ؟ ดังนั้น การถามคนตายในกุโบรว่า من ربك ؟ ใครคือพระเจ้าของท่าน ซึ่งเป็นการถามเพื่อยืนยันถึงการความเป็น รุบูบียะฮฺ ของพระองค์ ก็เป็นการเพียงพอในการตอบและยอมรับ หากคุณบอกว่า อิลาฮฺ กับ ร๊อบ ตรงนี้นั้นมีความหมายเดียว กันย่อมชี้ให้เห็นว่า คำว่าร๊อบและอิลาหฺ ก็มีความสัมพันธ์กันและกันโดยไม่ได้แบ่งแยก คุณอะสันต้องศึกษาและเข้าใจอัลกุรอานทุกๆ อายะฮฺที่ผมและคุณนำเสนอมา ไม่ใช่เพื่อเลือกเพียงอายะฮฺบางส่วนแล้วมาเข้าใจและยึดติดตามพวกซาอุดี้ โดยไม่สนใจอายะฮฺอื่น คุณก็ไม่มีโอกาศที่จะได้ใช้มันหรอกครับ ส่วนเรื่อง ดร.ซะฟัร อัลหิวาลีย์ เขียนหนังสือกล่าวหาอะชาอิเราะฮฺนั้น คุณรังเกียจใหมครับที่จะร่วมสนทนากับผม
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Mon Aug 29, 2005 3:08 am ชื่อกระทู้: |
|
|
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ถึงคุณอะสัน هداك الله
สิ่งที่คุณนำเสนอเกี่ยวกับอิมามอัชอะรีย์นั้น คุณก็เพียงแค่นำเสนอคำพูดจากพวกซะละฟีย์(ปัจจุบัน)ที่พวกเขาเข้าใจกันเองเท่านั้นเอง คุณไม่เคยเอาผู้ที่อยู่ในแนวทางของอะชาอิเราะฮฺมาอ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่คุณอ้างมานั้นก็เป็นแนวทางของอิชาอิเราะฮฺเหมือนกันนี่ครับ ในเมื่ออะชาอิเราะฮฺก็เป็นแนวทางของซะลัฟ(ยุคก่อนไม่ใช่สะลัฟยุคปัจจุบัน)ครับ คุณอะสันชอบเอาคำพูดของพวกซะละฟีย์(ปัจจุบัน)ที่ใส่ใคร้อะชาอิเราะฮฺ แล้วมาฮุกุ่มอะชาอิเราะฮฺ ผมอยากถามหน่อยว่าคุณเชื่อสนิทเลยใช่ใหม ? ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์โกหกใส่อะชาอิเราะฮฺ แล้วคุณจะเชื่อหรือเปล่าครับ ? หนังสือวิจารณ์อะชาอิเราะฮฺของท่าน ดร. ซะฟัร โชว์เอาไว้ในเวปของท่าน http://saaid.net/Warathah/safar/k.htm และคนอื่นไปอ่าน แล้วไม่เข้าใจผิดกันไปใหญ่หรือครับ ว่างๆผมจะคำพูดของ ดร.ซะฟัรมาวิจารณ์ หวังว่าคุณอะสันและคุณอิลยาสคงจะช่วยแก้ต่างให้ ดร.ซะฟัรด้วยนะครับ ส่วนคำถามของคุณอิลยาสและคุณอะสันนั้น ผมจะตอบให้ทีละประเด็นนะครับ เพราะเวลามันน้อยเหมือนกัน มีเรียนพิเศษนะครับ สิ่งที่ผมจะตอบมันอาจจะทำให้คุณเข้าใจแนวทางของอะชาอิเราะฮฺซึ่งเป็นแนวทางของคนส่วนใหญ่ของโลกมุสลิม
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Mon Aug 29, 2005 3:19 am ชื่อกระทู้: |
|
|
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ถึงคุณอะสัน هداك الله
สิ่งที่คุณอิลยาสถามกระผมนั้น มันหลายประเด็น หากตอบให้จริงกลัวจะค้านอ่านกัน ผมจึงเลือกเรื่องที่อยู่ประเด็น คือเรื่องการแบ่งเตาฮีด ผมก็นึกเหมือนกันครับว่า คุณอิลยาสต้องทวงคำถามนี้กับผม แต่ไม่ใช่เขา กลับเป็นคุณ และคุณก็ถามผมเป็นประเด็นๆ ก็อัลฮัมดุลิลลาห์ ผมจะตอบให้ครับ ทุกประเด็นจากคำถามของคุณอัลยาสที่คุณอะสันจะเลือกให้ผมตอบ อิงชาอัลเลาะฮฺ
ผมเองก็เรียนจากปอเนาะมาครับ แล้วก็มาเรียนที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย อัล-อัซฮัร กับปอเนาะ ก็หลักอะกีดะฮฺเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือก็เป็นเล่มเดียวกันอีก หนังสืออาหรับที่เรียนกันที่ปอเนาะนั้น เกือบทั้งหมดมาจากอุลามาอฺอัล-อัซฮัร ผมคิดว่ามาเรียนต่ออัล-อัซฮัรนั้น มาถูกทางและเป็นการเดินหาวิชาความรู้อย่างต่อเนื่องแล้วครับ
คุณอะสันก็ดีครับ ที่ไม่ยึดติด แต่ผมอ่านแล้วก็สะกิดใจอยู่นิดหนึ่ง คือคุณกล่าวว่าอะชาอิเราะฮฺก็เอาหากถูกต้อง แล้วสิ่งที่ไม่ถูกต้องล่ะครับ มีอะไรบ้าง ? ช่วยนำเสนอด้วยน่ะครับ ผมจะได้รู้ หรือบางครั้งคุณอาจจะเข้าใจผิดไปฟังอยู่อุลามาอฺที่ไม่ใช่อะชาอิเราะฮฺมา ผมชาวอะชาอิเราะฮฺที่ศึกษามาแนวทางอะชาอิเราะฮฺมาจริงๆ ก็อาจจะชี้แจงให้คุณได้
ผมเรียนทั้งแนวทางสลัฟที่อยู่ในแนวทางของอะชาอิเราะฮฺ และสลัฟแบบชัยคฺอิบนุตัยมียะฮฺที่คุณและชาวซาอุดี้ยึดกันอยู่ ผมจะตอบตามแนวทางของสลัฟอะชาอิเราะฮฺ ซึ่งเป็นสลัฟที่แท้จริงจากยุคบรรดาซอฮาบะฮฺ
ผมขอตอบนะครับว่า
อายะฮฺและฮะดิษที่คุณนำเสนอมานั้นซอเฮี้ยหฺถูกต้อง แต่ความเข้าใจจากตัวบทและสิ่งที่คุณยึดมั่นและบอกว่าเป็นแนวทางของสลัฟนั้น ผิดครับ
ชัยคฺอิบนุตัยมียะฮฺได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านเพื่อโต้ตอบหนังสืออิมาม อัรรอซีย์ ว่า
الخامس أن يقال : ليس للعالم إلا جهتان وهى العلو والسفل، فأما العلو فإنه مختص بالله تعالى وأما أسفل سافلين فذلك سجين وهو المركز الذى لا يسع إلا الجوهر الفرد
หนทางที่ 5 ไม่มีให้กับโลกนี้ นอกจากสองทิศ คือทิศสูง(บน)และทิศต่ำ(ล่าง) สำหรับทิศสูงนั้น แท้จริงมันเฉพาะสำหรับอัลเลาะฮฺ ตะอาลา และสำหรับทิศต่ำสุดของบรรดาสิ่งที่อยู่ด้านต่ำ ดังกล่าวคือซิจญีล !! โดยที่มันเป็นศูนย์รวมที่ไม่สามารถกว้างขวางอยู่ได้นอกจากปรมาณูเดียว ดู อัตตะซีซ ฟี อัรร๊อด อะลา อะซาซ อัตดั๊กดีซ เล่ม 2 หน้า 386
ชัยค์อิบนุตัยมียะฮฺกล่าวว่า อัลเลาะฮฺ ตะอาลา ทรงมีทิศให้กับพระองค์ คือทิศบน สำหรับอะชาอิเราะฮฺนั้น ถือว่าอัลเลาะฮฺทรงไม่มีทิศให้กับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นทิศหนึ่งทิศใดทั้ง 6 ทิศก็ตาม เพราะทุกสิ่งที่มีทิศนั้น ต้องเป็วัตถุหรือสสารเพื่อพาดพิงทิศให้กับมัน อัลเลาะฮฺนั้นไม่ใช่วัตถุและมวลสารที่ต้องการทิศ ดังนั้นอัลเลาะฮฺจึงไม่มีทิศใดๆ สำหรับพระองค์ เพราะอัลเลาะฮฺทรงตรัสไว้ว่า
ليس كمثله شىء، وهو السميع البصير
พระองค์มีสิ่งใดที่เหมือน เหมือนกับพระองค์ ทั้งที่พระองค์ทรงได้ยินยิ่งและทรงเห็นยิ่ง
อิมาม อัตเฏาะหาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลอะกีดะฮฺ อัตเฏาะหาวียะฮฺ ของท่านว่า
تعالى عن الحدود والغايات والأركان والأعضاء والأدوات، لا تحويه الجهات الست كسائر المبتدعات
อัลเลาะฮฺทรงปราศจากบรรดาการจำกัดขอบเขต บรรดาเป้าหมาย บรรดาองค์ประกอบ บรรดาอวัยวะ และบรรดาเครื่องมือ โดยที่บรรดาทิศต่างๆ ทั้ง 6 ไม่ห้อมล้อมพระองค์ เหมือนกับบรรดาพวกกระทำบิดอะฮฺ (ได้กล่าวไว้)
ดังนั้นทิศด้านบน(สูง) ก็เป็นทิศหนึ่งจาก 6 ทิศ เมื่ออัลเลาะฮฺไม่ทรงมีทิศทั้ง 6 มาห้อมล้อมพระองค์ อัลเลาะฮฺจึงไม่อยู่ทิศบน ฉะนั้น อัลเลาะฮฺจึงไม่ทิศ
หลักฐานที่คุณอะสันนำเสนอเพื่อยืนยันว่าอัลเลาะฮฺอยู่บนฟ้านั้น แล้วอ้างว่าเป็นการยึดถือของสลัฟนั้น มีดังนี้
أأمنتم من فى السموات أن يخسف بكم الأرض فإذا هى تمور
ความว่า พวกเจ้ารอดพ้น ผู้อยู่ในชั้นฟ้า ที่จะทำให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าลงไป แล้วมันก็สั่นสะเทือนอย่างนั้นหรือ ? อัลมุลกิ 16
أم أمنتم من فى السموات أن يرسل عليكم حاصبا فستعلمون كيف نذير
ความว่า หรือพวกเจ้าปลอดภัย(จาก)ผู้อยู่ในชั้นฟ้า ที่จะส่งลมหอบหินลงมาทับถมเหนือพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จะได้รู้ว่า คำเตือนของข้านั้นเป็นอย่างไร ? อัลมุลกิ 17
คำว่า فى (ฟี) ในสองอายะฮฺนี้นั้น ความหมายแท้จริงเลย แปลว่าใน (ในฟากฟ้า) ซึ่งเป็นفي الظرفيّة เราจะตีความหมาย فى ว่า บน (บนฟ้า)ไม่ได้นอกจากจะมี قرينة ข้อความแวดล้อมที่มาบ่งชี้ แต่ในสองอายะฮฺนี้ไม่มีข้อความาบ่งชี้ให้คำว่า فى มีความหมายว่า บน ซึ่งแตกต่างกับสองอายะฮฺก่อนหน้านั้น คือ
هو الذي جعل لكم الأرض ذلولا فامشوا فى مناكبها
พระองค์ทรงบันดาลแผ่นดินให้ยอมถ่อมตน ดังนั้นเจ้าจงเดินไปบนทิศต่างๆ ของมัน อัลมุลกิ 15
คำว่า فى ในอายะฮฺนี้ จะแปลว่าในจริงๆ นั้นไม่ได้ เพราะว่าแผ่นดินนั้น เราต้องเดินบนมัน จะเดินในมันไม่ได้
ท่านอิมาม อัลกุรฏุบีย์ได้อธิบายโองการที่ 16 ว่า ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า หรือพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการลงโทษของผู้ที่อยู่ในฟากฟ้า หากพวกท่านทำการฝ่าฝืนพระองค์ ถูกกล่าวว่า ความหมายนั้นคือ หรือพวกท่านจะปลอดภัยจากผู้ที่อยู่ในฟากฟ้า กับอานุภาพ อำนาจ บัลลังค์ และอาณาจักรปกครองของพระองค์ อัลเลาะฮฺได้เจาะจงฟากฟ้า หากแม้ว่าพระองค์แผ่คลุมในการปกครองของพระองค์ ก็เพื่อให้ตระหนักว่า แท้จริงพระเจ้าผู้ที่สามารถใช้เดชานุภาพของพระองค์ในฟากฟ้า ไม่ใช่ผู้ที่พวกเจ้าได้ให้เทิดเกียตริบนผืนแผ่นดิน และถูกกล่าวว่า ผู้ที่อยู่ในฟากฟ้านั้น บ่งถึงบรรดามะลาอิกะฮฺ และถูกกล่าว บ่งถึงท่านญิบรีล โดยที่เขาคือผู้ได้รับมอบหมายให้ ทำการลงโทษ ตัฟซีร อัลกุรฏุบีย์ เล่ม 18 หน้า 206 อธิบายอายะฮฺที่ 16 ซูเราะฮฺอัลมุลกิ
ดังนั้น หากเราต้องการที่จะยึดมั่นว่า อัลเลาะฮฺทรงไม่มีทิศ ไม่มีสถานที่ ให้กับพระองค์แล้ว คำว่าผู้ที่อยู่ในฟากฟ้านั้น คือบรรดามะลาอิกะฮฺ มีฮะดิษได้ระบุว่า ไม่มีในบรรดาชั้นฟ้า กับสถานที่สักขนาด 4 นิ้วมือ นอกจาก ในนั้นจะมีมะลาอิกะฮฺทำการยืน ร่อกั๊วะ และสุยูด
ท่านอิมามบุคอรีย์และมุสลิม รายงานจาก ท่านสะอีด อัลคุดรีย์ว่า แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮฺ (ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายไม่เชื่อใจฉันหรือ ? โดยที่ฉันนั้นเป็นผู้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ของผู้ที่อยู่ในฟากฟ้า เขาจะนำข่าวครวมของฟากฟ้ามาให้แก่ฉัน ในทั้งยามเช้าและยามเย็น ผู้ที่นำข่าวมาบอกนั้นคือท่านมะลาอิกะฮฺ ญิบรีล (อ.)
สำหรับฮะดิษที่คุณอะสันนำเสนอมานั้นคือ
والذي نفسي بيده ما من رجل يدعو امرأته إلى فراشه فتأبى عليه إلا كان الذي في السماء ساخطا عليها حتى يرضى عنها
" ขอสาบานด้วยผู้ซึ่งชีวิตของฉัน อยู่ในกำมือของพระองค์ ไม่มีผู้ชายคนใด เรียกภรรยาของเขามาสู่ที่นอนของเขา แล้วนางขัดขืน นอกจาก ผู้ซึ่งอยู่ในฟากฟ้า จะกริ้วนาง จนกว่าเขา(สามีของนาง)จะพอใจ
คำหมายผู้ซึ่งอยู่ในฟากฟ้านั้นคือบรรดามะลาอิกะฮฺ เพราะมีสายรายงานฮะดิษหนึ่งยืนยันว่า บรรดามะลาอิกะฮฺจะสาปแช่งนางจนกระทั้งถึงช้า รายงานโดยท่านอิบนุหิบบาน
สำหรับฮะดิษที่คุณอะสันนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องทาสหญิงนั้น
أين الله ؟ "" قالت: في السماء ، قال: "" من أنا ؟ "" قالت: أنت رسول الله ، قال: "" أعتقها فإنها مؤمنة )
อัลลอฮอยู่ที่ใหน ? นางตอบว่า อยู่ในฟากฟ้า " ท่านนบีถามว่า" ฉัน เป็นใคร " นางตอบว่า"ท่านคือ ศาสนทูตของอัลลออ แล้วท่านบีกล่าวแก่(นายของนางว่า) ปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด แท้จริงนางคือ ผู้ที่ศรัทธา - รายงานโดย มุสลิม
เรื่องฮะดิษทาสหญิงนี้ ได้มีหลายสายรายงานกล่าวเอาไว้ ซึ่งมีคำที่แตกต่างไป แต่ผมไม่ต้องการหยิบยกมาเพื่อว่ามันจะยาวเกินไป แต่เมื่อเราดูหนังสือ ตัลคีซ อัลหะบีร เล่ม 3 หน้า 222 เป็นต้นไปนั้น เราจะพบว่าทาสหญิงคนนี้เป็นหญิงที่ไม่ใช่อาหรับ เป็นทาสเลี้ยงแกะธรรมดา ท่านนบีจึงถามว่าอัลเลาะฮฺนั้นอยู่ใหน ? ตามที่ระดับปัญหาของนางจะรู้และเข้าใจได้ง่าย ทาสหญิงผู้นั้นจึงกล่าวว่า อยู่ใน(บน)ฟากฟ้า ท่านนบีก็ยอมรับการมีอิหม่านของนาง หากคุณอะสันและสหายจะเชื่อว่าอัลเลาะฮฺอยู่บนฟากฟ้าจริงอย่างที่อัลกุรอานและตัวฮะดิษเดียวนี้ระบุไว้แล้ว ผมอยากถามว่า อุลามาอฺซะลัฟ ตั้งแต่บรรดาซอฮาบะฮฺลงมานั้น ได้เข้าแบบนั้นหรือเปล่า ? นี่คือประเด็นสำคัญที่ต้องคุยกัน
หากคุณอะสันเชื่อว่าอัลเลาะฮฺอยู่ในฟากฟ้า ก็แสดงว่าอัลเลาะฮฺมี مكان สถานที่ และหากว่าคุณอะสันกล่าวว่า อัลเลาะฮฺอยู่ในฟากฟ้าแต่ไม่มีสถานที่ มันก็จะค้านกันเอง เพราะฟากฟ้านั้นคือชื่อหนึ่งของสถานที่ หากคุณอะสันกล่าวว่าอัลเลาะฮฺอยู่บนฟากฟ้าแต่ไม่รู้ว่าอยู่อย่างไร ก็ไม่ได้อีก เนื่องจากคุณอะสันเอาสถานที่ให้กับอัลเลาะฮฺแต่ไม่รู้ว่าอยู่อย่างไร ? ระวังคุณจะถูกกล่าวหาว่า เป็นพวก المجسمة อัลมุญัสสิมะฮฺ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Mon Aug 29, 2005 3:22 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณลองพิจารณาคำตอบของ แนวทางอะชาอิเราะฮฺ ซึ่งคุณอาจจะเข้าใจแนวทางของอะชาอิเราะฮฺอย่างแท้จริง คำว่า فى السموات หรือ فى السماء นั้นสำหรับแนวทางของอิชาอะเราะฮฺนั้น สามารถใช้ได้สองหนทางด้วยกัน
1. คือ التفويض การมอบหมาย ซึ่งหมายถึงการมอบหมายความหมายของตัวบทไปยังอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) โดยไม่เข้าไปพิจารณาความหมาย และศรัทธาบนหนทางที่สรุปๆ คือศรัทธาอิหม่านว่า สิ่งที่อัลเลาะฮฺรู้นั้น เป็นสัจจะธรรมและความสัจจริง และให้มันผ่านไปอยู่ที่ได้ระบุมาอย่าง ไม่รู้วิธีการว่าเป็นอย่างไร และมีความหมายอย่างไร พร้อมกับเชื่อว่าอัลเลาะฮฺทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะที่บกพร่อง นี่คือแนวทางของอุลามาอฺซะลัฟ ซึ่งมันแตกต่างกับคุณอะสันที่กล่าวว่า อัลเลาะฮฺอยู่บนฟากฟ้าแต่ไม่รู้ว่าอยู่อย่างไร? ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเห็นมีสถานที่อยู่บนฟากฟ้าแต่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ? แต่ชาวซะลัฟแท้ๆนั้น(ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งของอะชาอิเราะฮฺ)มีจุดยืนกับตัวบทนี้ว่า อัลเลาะฮฺกล่าวอย่างนั้นจริง แต่เราไม่รู้ความหมายที่แท้จริง โดยที่อัลเลาะฮฺปราศจากและไม่ทรงมีการกำหนดสถานที่และทิศให้กับพระองค์ เช่นอัลเลาะฮฺทรงอยู่บนฟากฟ้าและทรงอยู่ทิศบนอย่างที่ซะลัฟปัจจุบันเขาอ้างเชื่อกันอย่างนั้น
คุณอะสันโปรดพิจารณาหลักฐานของอะชาอิเราะฮฺที่กล่าวว่า อัลเลาะฮฺทรงมีโดยที่ไม่มีสถานที่และทิศให้กับพระองค์ จากบรรดาอุลามาอฺซะลัฟจริง ดังนี้
ท่านอิมามอลี (ร.ฏ.) คอลิฟะฮฺผู้ทรงธรรมท่านที่ 4 แห่งโลกอิสลาม กล่าวว่า
كان ولامكان، وهو الأن على ما عليه كان
อัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ และพระองค์ในปัจจุบันนี้ ก็ยังอยู่อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอย่างนั้น(คือไม่ทรงมีสถานที่) ดู อัลฟัร บันนะ อัลฟิร๊อก หน้า 333 ของท่านอบีมันซูร อัลบุฆดาดีย์
และท่านอิมามอะลี(ร.ฏ.)เช่นกันว่า
إن الله تعالى خلق العرش إظهارا لقدرته لا مكانا له
อัลเลาะฮฺ ตะอาลา ทรงสร้างอะรัช (บัลลังค์) เพื่อทำให้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อเป็นสถานที่(พำนัก)สำหรับพระองค์ ดู อัลฟัร บันนะ อัลฟิร๊อก หน้า 333 ของท่านอบีมันซูร อัลบุฆดาดีย์
อิมามซัยนุลอาบิดีน อลี บิน อัลหุซัยน์ บิน อลี (ร.ฏ.) อุลามาอฺซะลัฟ กล่าวว่า พระองค์คืออัลเลาะฮฺที่ไม่มีสถานที่มาห้อมล้อมพระองค์ ดู อิตหาฟ อัสสาดะฮฺ อัลมุตตะกีน เล่ม 4 หน้า 380 ของท่านซะบีดีย์
อบูหะนีฟะฮฺ อุลามาอฺซะลัฟ กล่าวว่า ฉันขอกล่าวว่า ท่านจะบอกว่าอย่างไร หากถูกกล่าว(แก่ท่าน)ว่า อัลเลาะฮฺอยู่ใหน ? ดังนั้น เขา(อบูหะนีฟะฮฺ)กล่าวว่า ก็กล่าวตอบแก่เขาว่า อัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ ก่อนที่พระองค์จะสร้างมัคโลก และอัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีคำว่า ที่ใหน (ให้กับพระองค์) ไม่มีมัคโลก และไม่มีสิ่งใด(พร้อมกับพระองค์) โดยที่พระองค์นั้นทรงสร้างทุกๆ สิ่ง ชัรหฺ อัลฟิกหฺ อัลอักบัร ของท่าน มุลลา อะลีย์ อัลกอรีย์ หน้า 138
ท่านอบูหะนีฟะฮฺกล่าวเช่นกันว่า หากอัลเลาะฮฺต้องการการนั่งและสถิต(อยู่ที่อะรัช) ดังนั้นก่อนจากอัลเลาะฮฺสร้างอะรัช พระองค์ทรงอยู่ที่ใหน ? อัลเลาะฮฺทรงปราศจากจากสิ่งดังกล่าวอย่างยิ่งใหญ่ ชัรหฺ อัลฟิกหฺ อัลอักบัร ของท่าน มุลลา อะลีย์ อัลกอรีย์ หน้า 75 มีบางคนที่ไม่เคยเรียนแนวทางของอะชาอิเราะฮฺกล่าวว่า อะชาอิเราะฮฺชอบว่าว่า ก่อนสร้างอะรัช แล้วอัลเลาะฮฺอยู่ใหน ? ซึ่งคำถามเช่นนั้น เป็นคำถามที่อุลามาอฺซะลัฟเขาถามกันมานานแล้ว ไม่ใช่อะชาอิเราะฮฺเพิ่งตั้งคำถามขึ้นมาเอง โปรดเข้าใจครับ
อิมามชาฟิอีย์ (ร.ฏ.) อุลามาอฺซะลัฟ ปราชน์คนสำคัญของโลกอิสลามที่คุณอะสันเคยกล่าวเอาไว้ ท่านอิมามกล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺ ตะอาลา ทรงมีมา(แต่เดิม)แล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ จากนั้นอัลเลาะฮฺทรงสร้างสถานที่ โดยที่พระองค์อยู่บนคุณลักษณะเดิม เสมือนกับที่พระองค์ทรงมีก่อนสร้างสถานที่ ไม่อนุญาตเปลี่ยนแปลงซาตของพระองค์ และคุณลักษณะของพระองค์ดู อิตหาฟ อัสสาดะฮฺ อัลมุตตะกีน เล่ม 2 หน้า 24
ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ กล่าวเกี่ยวกับท่านอิมามอะห์มัด อิบนุ หัมบัล ว่า และสิ่งที่เลื่องลือท่ามกลางคนโง่เขลาที่พาดพิงตัวเองไปยังอิมามมุจญฺฮิดผู้ยิ่งใหญ่(คืออิมามอะห์มัด)ว่า ท่านเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่กล่าว สิ่งหนึ่งจากเรื่อง มีทิศ(ให้กับอัลเลาะฮ)หรืออื่นๆ ถือเป็นการโกหก มุสา กุความโกหกให้กับท่านอิมามอะหฺมัด อัลฟาตาวา อัลอะดีษียะฮฺ หน้า 144
ผมขอถามคุณอะสันว่า เป็นไปได้ใหมครับ ที่อุลามาอฺซะลัฟ กล่าวว่า อัลเลาะฮฺอยู่บนฟากฟ้า โดยที่ไม่มีสถานที่ให้กับพระองค์มาตั้งแต่เดิมเหมือนกับที่พระองค์ทรงมีก่อนที่จะสร้างฟากฟ้า ?? แต่อะชาอิเราะฮฺกล่าวว่า คำ ว่า فى السموات หรือ فى السماء ความหมายที่แท้จริงมอบหมายแด่อัลเลาะฮฺ โดยที่ไม่มีสถานที่ให้กับพระองค์ เหมือนกับคุณลักษณะที่พระองค์เป็นอยู่ก่อนสร้างมัคโลก
2. การ التأويل การตีความเมื่อมีความจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้คนทั่วไปเข้าผิดหรือคิดจินตนาการเกี่ยวกับ การมีอวัยวะ มีการเคลื่อนไหว มีการคล้ายคลึงระหว่างอัลเลาะฮฺและมัคโลก และเพื่อปกป้องจากผู้ที่ชอบสร้างความคลุมเครือให้กับอิสลาม ซึ่งเราสามารถตีความให้เหมาะสมกับเกียตริของอัลเลาะฮฺเจ้า จากคำว่า فى السموات หรือ فى السماء นั้น หมายถึงอัลเลาะฮฺทรงมีอำนาจและเกียตริสูงส่ง ผู้ทรงเหมาะสมแก่การภักดี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การที่พระองค์กล่าวถึงฟากฟ้านั้น ย่อมชี้ให้เห็นถึง ความยิ่งใหญ่ในการปกครอง มีอำนาจ และมีอนุภาพของพระองค์ที่สูงส่ง
ดังนั้น สองแนวทางนี้ เป็นหลักการของอัลอะชาอิเราะฮฺ ผมไม่รู้ว่าคุณอะสันเคยเรียนปอเนาะกี่ปี และเคยเรียนวิชาเตาฮีดเล่มใดจบบ้าง หากคุณเคยเรียน หนังสือ ตั๊วะหฺฟะตุลมุรีด ของอิมาม อิบรอฮีม อัลบาญูรีย์ ซึ่งเป็นหนังสืออธบาย ตัวบทกวีของ เญาฮะเราะฮฺ เตาฮีด ของท่านอิมาม อัลลักกอนีย์ ซึ่งอิมามอัลลักกอนีย์กล่าวไว้ตามหลักการของอะชาอิเราะฮฺว่า
وكلّ نصّ أوهم التشبيها أوّله أو فوّض ورم تنزيهاً.
ความว่า ทุกตัวบทที่ทำให้คิดกับการคล้ายคลึง(ระหว่างอัลเลาะฮฺและมักโลค) ท่านก็จงตีความหรือมอบหมาย และจงหมายมั่นกับความบิรสุทธิ์(แด่พระองค์)
นั่นคือแนวทางของอะชาอิเราะฮฺ และขอให้อัลเลาะฮฺทรงชี้นำคุณอะสันครับ หากมีอะไรเพิ่มเติมและผิดพลาดก็โปรดชี้แนะครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Aug 29, 2005 11:59 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ az-hary
ดีใจครับที่ได้รู้จักคุณเพิ่มขึ้น และเป็นเด็กปอเนาะตัวจริง ผมเองเป็นเด็กปอเนาะและได้เรียนหนังสือไม่กี่เล่มหรอกครับ และไม่เคยได้เรียน ศาสนากับ ดอ็กเตอร์เลยครับ เพียงแต่ชอบอ่านหนังสือ และ ไม่ยึดติดอยู่กับนิกายใดเท่านั้น เลยรับได้ทุกอุลามาอฺ หากมีหลักฐาน จากอัลกุรอ่านและ อัสสุนนะฮ ผมมาแปลกใจคำพูดของคุณทีกล่าวกับคุณอิลยาสว่า
"สิ่งที่คุณอิลยาสกีอบมาให้นั้น หากเป็นหนังสือของท่านชัยคฺอิมามอัชชะรอวีย์ก็ดีซิครับ แต่นี่คุณไปเอามาจากการถอดความของ อัลบานีย์ คุณแน่ใจหรือไม่ว่า อัลบานีย์จะมีใจเป็นธรรม โดยเขียนเองจากท่านชัยคฺชะรอวีย์จริง แม้กระทั้ง ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์ ยังโกหกใส่อะชาอิเราะฮฺ"
.........................................
อยากจะเรียนคุณ อัซฮารีว่า คุณควรเปิดใจกว้างนะครับ ไม่ใช่ว่าคนที่เข้าใจและมีทัศนะที่ต่างจากคุณ คุณมองว่า เขามีใจไม่เป็นธรรม หรือ ใส่ร้ายแก่คนที่คุณยอมรับในทัศนะของเขา แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่มองว่า อัลอัชอะรี ไม่เป็นธรรม หากเขามีทัศนะที่ต่างจากสิ่งที่ผมยอมรับ
มีข้อที่ผมสงสัย แต่คุณยังไม่ตอบคือ อัชอะรียะฮในเมืองไทย เป็นของแท้หรือไม่ ?
เอาละ มาคุยกันต่อดีกว่า ในประเด็น ว่า"อัลลอฮอยู่ที่ใหน"
คุณกล่าวว่า
คำว่า فى السموات หรือ فى السماء นั้นสำหรับแนวทางของอิชาอะเราะฮฺนั้น สามารถใช้ได้สองหนทางด้วยกัน
1. คือ التفويض การมอบหมาย ซึ่งหมายถึงการมอบหมายความหมายของตัวบทไปยังอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) โดยไม่เข้าไปพิจารณาความหมาย และศรัทธาบนหนทางที่สรุปๆ คือศรัทธาอิหม่านว่า สิ่งที่อัลเลาะฮฺรู้นั้น เป็นสัจจะธรรมและความสัจจริง และให้มันผ่านไปอยู่ที่ได้ระบุมาอย่าง ไม่รู้วิธีการว่าเป็นอย่างไร และมีความหมายอย่างไร พร้อมกับเชื่อว่าอัลเลาะฮฺทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะที่บกพร่อง นี่คือแนวทางของอุลามาอฺซะลัฟ
ตอบ..
นี้คือ ที่ผมยอมรับ ยอมรับว่า พระองค์อยู่ในฟากฟ้า ส่วนจะเป็นลักษณะอย่างไรนั้น อัลลอฮเท่านั้นทรงรู้ แต่พระองค์ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน เช่นเดียวกับอายะฮว่า
ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ - ฎอฮา/3 (รายละเอียดจะกล่าวต่อไป)
سئل رجل الأمام مالك قال ياإمام تقول الأيه ( الرحمن على العرش أستوى )
كيف أستوى ، فرد عليه الإمام مالك قائلا : الأستواء معلوم والكيف مجهول والسؤال عنه بدعه
มีชายคนหนึ่ง ถามอิม่ามมาลิกว่า "โอ้ท่านผู้นำ ท่านกล่าวถึงโองการที่ว่า(ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์) คำว่า" ทรงประทับ" นั้นเป็นอย่างไร ? ท่านอิหม่ามมาลิกกล่าวตอบว่า " การ ประทับ นั้น เป็นสิ่งที่แน่นอน และรูปแบบนั้น ไม่ทราบ และการถามเกี่ยวกับมันนั้น เป็นบิดอะฮ"
http://tnzih.org/printthread.php?t=148&page=1&pp=10
ท่านนบี ศอลฯ กล่าวว่า
"ألا تأمنوني وأنا أمين من في السماء يأتيني خير من في السماء صباحا ومساء ". أخرجه البخاري ومسلم
พวกท่านไม่ไว้วางใจฉันดอกหรือ ทั้งๆทีฉันเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจของผู้ที่อยู่ในฟากฟ้า ? รายงานของผู้ที่อยู่ในฟากฟ้า จะมายังฉัน ในเวลาเช้าและเวลาบ่าย - บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม
عن أبي هريرة عن النبي صلى الله عليه وسلم قال: إن الميت تحضره الملائكة فإذا كان الرجل الصالح قالوا اخرجي أيتها النفس الطيبة كانت في الجسد الطيب اخرجي حميدة وأبشري بروح وريحان ورب غير غضبا فلا يزال يقال لها ذلك حتى تخرج ثم يعرج بها إلى السماء فيستفتح لها فيقال من هذا فيقول فلان فيقولون مرحباً بالنفس الطيبة كانت في الجسد الطيب ادخلي حميدة وأبشري بروح وريحان ورب غير غضبان فلا يزال يقال لها ذلك حتى تنتهي إلى السماء التي فيها الله عز وجل
[4] رواه أحمد والحاكم وقال على شرط البخاري ومسلم والدار قطني
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ จากนบี ศอลฯกล่าวว่า "แท้จริงมัยยิต(ผู้ที่ใกล้จะตาย)นั้น บรรดามลาอิกะฮได้มายังเขา แล้วเมื่อเขาเป็นคนที่ดี พวกเขา(บรรดามลาอิกะฮ)กล่าวว่า"จงออกมาเถิดโอ้ชีวิตที่ดี ที่อยู่ในร่างที่ดี จงออกมาเถิด ผู้ที่ได้รับการชมเชย และจงยินดี กับการพักผ่อน , กับกลิ่นอันหอม และ พระเจ้าไม่ทรงกริ้ว คำพูดนั้นได้ถูกกล่าวแก่เขาตลอดเวลา จนกระทั้งมันได้ออกจากร่าง หลังจากนั้น มันได้ถูกนำขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วฟากฟ้าได้ถูกขอให้เปิดแก่เขา แล้วมีผู้กล่าวว่า"นี้คือใคร ? แล้วเขากล่าวว่า คนนั้น คนนี้(ระบุชื่อ) แล้วพวกเขา กล่าวว่า "ขอต้อนรับ ชีวิตที่ดี ซึ่งอยู่ในร่างที่ดี เข้ามาเถิด ผู้ที่ได้รับการชมเชย และจงยินดีกับ การพักผ่อน กลิ่นอันหอม และพระเจ้า มิทรงกริ้ว คำพูดนั้นถูกกล่าวแก่เขาตลอด จนกระทั้งมาถึง ฟากฟ้า ซึ่ง อัลลอฮ อยู่ ณ ที่นั้น - รายงานโดย อะหมัดและหากิม และเขากล่าวว่า ตามเงื่อนของบุคอรีและมุสลิม และ อัดดารุนกุฏนีย์
حديث أبي هريرة سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول: "إن الله كتب كتاباً قبل أن يخلق الخلق .. إن رحمتي سبقت غضبي فهو عنده فوق العرش رواه البخاري ومسلم
หะดิษอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ข้าพเจ้าได้ยินรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า "แท้จริง อัลลอฮทรงบันทึก ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างมัคลูคว่า " แท้จริง ความเมตตาของเรา นำหน้า ความกริ้วของเรา มัน(บันทึกนั้น) อยู่ ณ พระองค์ บน อะรอช - รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
คุณ อัซฮารีครับ ผมยังยอมรับ ในสิ่งที่ระบุไว้ในอัลกุรอ่านและ หะดิษ โดยไม่ตีความ สิ่งใดที่พระองค์ทรงตรัสไว้และ ท่านนบี ศอลฯ กล่าวไว้อย่างไร ผมก็เชื่อตามนั้น ส่วนสิ่งใดที่สติปัญญาและความรู้ เราเข้าไม่ถึง เราก็มอบความรู้นั้นแด่อัลลอฮ ผมจึงไม่พยายาม ยกแม่น้ำทั้งห้า มาตีความ คุณจึง หาว่า ผม ไม่มีอะไรใหม่ แต่ผมว่านี้คือ แนวทางที่ปลอดภัยที่สุด
คุณพยายาม เอาวิชา หลักภาษาอาหรับ การตีความของ นักวิชาการมาหักล้าง และความเห็นของคุณเองมาหักล้าง เพื่อมาสนับสนุนแนวคิดของคุณ ผมคิดว่า คงจะพูดกันยาว แต่ไม่เป็นไร
ดีเสียอีกที่ได้สนทนากับคนที่ได้เรียนสถาบันชั้นสูง เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน คุณ ไม่ต้องกังวล ผมไม่ หุกุมว่า คุณ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้หรอกครับ เพราะผมยอมรับในความแตกต่าง ในแนวคิดที่มีต่อหลักฐานต่างๆ ความเห็นที่แตกต่าง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว ครับผม อินชาอัลลอฮ ว่างๆจะคุยต่อ มีอะไรผิดพลาด แนะนำคนเรียนน้อยด้วยนะครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 4:50 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อะสันครับ โปรดอ่านครับ
คำจำกัดความ: |
นี้เป็นหนังสือ อัสซุนนะฮฺ ที่พาดพิงไปยัง ท่านอับดุลเลาะฮฺบุตรท่านอิมามอะหฺมัดบินหัมบัล ที่อธิบายโดยท่านชัยคฺ อัรรอญิฮีย์ อัสซะลาฟีย์ ที่ท่านชัยคฺอัลเฟาซาน ได้รับรองและชมเชยเอาไว้ ซึ่งท่านชัยคฺอัรรอญิฮีย์ได้กล่าวว่า อัลเลาะฮฺได้สถิตนั่งอยู่บนอะรัช |
|
ขนาดไฟล์: |
91.03 กิโลไบต์ |
เข้าชม: |
12514 ครั้ง |
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 5:15 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ท่านอิมามมาลิกกล่าวว่า
الأستواء معلوم والكيف مجهول والسؤال عنه بدعه
"อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน " หมายถึง อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กันว่า อัลเลาะฮฺทรงกล่าวไว้อย่างนั้น ความหมายของมันนั้นเราไม่รู้นอกจากอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) "และวิธีการอย่างไรนั้น ก็ไม่เป็นที่รู้กัน" ซึ่งหมายความว่า การอิสติวาอฺของอัลเลาะฮฺนั้น จะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครทราบได้ " นั่นคือความเข้าใจของอุลามาอฺซะลัฟ ที่อะชาอิเราะฮฺยึดตาม
แต่สะลัฟซาอุดี้ปัจจุบันที่คุณอะสันนิยมอ้างอิง กล่าวว่า" อัลอิสติวาอฺนั้นคือการสถิตนั่งอยู่บนอะรัช แต่การนั่งสถิตอยู่บนอะรัชของพระองค์อย่างไรนั้นไม่รู้ " คือพวกซะลัฟปัจจุบันนั้น เอาสถานที่ให้กับอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)คือนั่งสถิตอยู่บนอะรัช แล้วบอกว่าไม่รู้ว่าอัลเลาะฮฺตะอาลาอยู่บนอะรัชนั้นอย่างไร ?!!! ทั้งที่สลัฟจริงๆนั้นกล่าวว่า คำว่าอัลอิสติวาอฺนั้น ความหมายที่แท้จริงเราไม่รู้นอกจากอัลเลาะฮฺ และให้มันผ่านไปเหมือนกับที่ถูกระบุไว้ ดังนั้นวิธีการอย่างไรเราจึงไม่รู้ ? แต่สะลัฟซาอุดี้ไปบอกความหมายของ "อัลอิสติวาอฺ"ว่าอัลเลาะฮฺนั่งสถิตอยู่บนอะรัช ซึ่งชี้ถึงว่าอัลเลาะฮฺมีสถานที่ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าอยู่อย่างไร ? แบบนี้เขาไม่เรียกพวก مجسمة ดอกหรือครับ ?
ท่านอิมามอลี (ร.ฏ.) คอลิฟะฮฺผู้ทรงธรรมท่านที่ 4 แห่งโลกอิสลาม กล่าวว่า
كان ولامكان، وهو الأن على ما عليه كان
อัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ และพระองค์ในปัจจุบันนี้ ก็ยังอยู่อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอย่างนั้น(คือไม่ทรงมีสถานที่) ดู อัลฟัร บันนะ อัลฟิร๊อก หน้า 333 ของท่านอบีมันซูร อัลบุฆดาดีย์
และท่านอิมามอะลี(ร.ฏ.)เช่นกันว่า
إن الله تعالى خلق العرش إظهارا لقدرته لا مكانا له
อัลเลาะฮฺ ตะอาลา ทรงสร้างอะรัช (บัลลังค์) เพื่อทำให้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อเป็นสถานที่(พำนัก)สำหรับพระองค์ ดู อัลฟัร บันนะ อัลฟิร๊อก หน้า 333 ของท่านอบีมันซูร อัลบุฆดาดีย์
คุณอะสันครับ หากสะลาฟีย์ปัจจุบันเขาถูกต้องจริง อุลามาอฺอะชาอิเราะฮฺเขาไม่คัดค้านหรอกครับ คุณโปรดจงเข้าใจแล้วอัลเลาะฮฺจะชี้นำคุณ อามีนยาร๊อบ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 5:39 am ชื่อกระทู้: |
|
|
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
คุณอะสันครับ อะชาอิเราะฮฺเมืองไทยนั้น เป็นอะชาอิเราะฮฺแท้เหมือนกับมุสลิมส่วนใหญ่ทั่วโลกนั่นแหละครับ งั้นผมขอถามคุณอะสันบ้างว่า ซะลัฟซาอุดี้ที่พวกคุณก็กำลังยึดอยู่นั้น เป็นสะลัฟแท้หรือไม่ครับ ถ้าแท้ก็โปรดชี้แจงสิ่งที่ผมนำเสนอไปนะครับ
คุณอะสันอ้างว่า
นี้คือ ที่ผมยอมรับ ยอมรับว่า พระองค์อยู่ในฟากฟ้า ส่วนจะเป็นลักษณะอย่างไรนั้น อัลลอฮเท่านั้นทรงรู้
ตอบ
คุณอะสันยอมรับไม่เหมือนที่อะชาอิเราะฮฺยอมรับ คุณอะสันกล่าวยอมรับว่า "อัลเลาะฮฺอยู่ในฟากฟ้า !!ส่วนจะเป็นลักษณะอย่างไรนั้นอัลเลาะฮฺเท่านั้นทรงรู้" แต่อุลามาอฺซะลัฟจริงๆในยุคก่อนที่อะชาอิเราะฮฺยึดตามนั้น คือ " คำว่า" فى السماء " นั้นเราไม่รู้ความหมายที่แท้จริงนอกจากอัลเลาะฮฺ และให้เราผ่านมันไปอย่างที่มันได้ระบุเอาไว้ โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ? แต่สะลัฟปัจจุบันบอกว่า " อัลเลาะฮฺอยู่ในฟากฟ้า แต่จะอยู่ในฟากฟ้าอย่างไรนั้นไม่รู้ ? ฟากฟ้านั้นคือชื่อของสถานที่ คือเอาสถานที่ให้กับอัลเลาะฮฺ แล้วมาบอกว่าอัลเลาะฮฺอยู่ในสถานนั้นอย่างไรไม่รู้ ? ดังนั้นคุณอะสันจึงยึดไม่เหมือนอุลามาอฺซะลัฟยุคก่อน เพราะอุลามาอฺซะลัฟยุคก่อนนั้น ยืนยันว่า
كان ولامكان، وهو الأن على ما عليه كان
อัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ และพระองค์ในปัจจุบันนี้ ก็ยังอยู่อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอย่างนั้น(คือไม่ทรงมีสถานที่)
ดังนั้นผมขอถามคุณอะสันว่า มีอุลามาอฺสะลัฟยุคก่อนท่านใดบ้างครับ ที่บอกว่า "อัลเลาะฮฺอยู่ในฟากฟ้าโดยไม่มีสถานที่ให้กับพระองค์" ???
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 5:56 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอะสันชอบอ้างอิงเวปไซด์ สะละฟีย์ จนกระทั้งผมได้พบเวปไซด์http://saaid.net/Warathah/safar/k.htm และได้เจอหนังสือ منهج الأشاعرة فى العقيدة ของ ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์ ซึ่งเป็นอุลามาอฺ ซะละฟีย์ท่านสำคัญของชาวซะละฟีย์ปัจจุบัน และท่าน ดร.ซะฟัร นั้นก็นับได้ว่าเป็นผู้นำนักวิชาการทางด้านวิชาการอากิดะฮฺของชาวซะละฟีย์ปัจจุบันด้วย เมื่อผมอ่านแล้วก็ทำใจไม่ค่อยได้ ที่ท่าน ดร.ได้ใส่ใคร้ อะกีดะฮฺ อัลอะชาอิเราะฮฺโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งจะนำมาซึ่งความเข้าใจผิดกับอัลอะชาอิเราะฮฺ ผมจึงขออนุญาติ หยิบยกมาวิจารณ์ หากว่าผิดพลาดอย่างไร ก็โปรดทุกคนร่วมสนทนาชี้แจงผมด้วย และขอให้อัลเลาะฮฺทรงเมตตาผู้ที่ชี้แนะของตำหนิของผมครับ
วิจารณ์หนังสือ ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์ ตอนที่ 1
ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์ عفاه الله อุลามาอฺซะละฟีย์ในปัจจุบันกล่าวว่า
، فالمسألة أكبر من ذلك وأخطر ، إنها مسألة مذهب بدعي له وجوده الواقعي الضخم في الفكر الإسلامي حيث تمتلئ به كثير من كتب التفسير وشروح الحديث وكتب اللغة والبلاغة والأصول ، فضلاً عن كتب العقائد والفكر ، كما أن له جامعاته الكبرى ومعاهده المنتشرة في أكثر بلاد الإسلام من الفلبين إلى السنغال
ความว่า " ปัญหานั้น มันยิ่งใหญ่และอันตรายกว่าสิ่งดังกล่าว(คือเพียงแค่การโต้ตอบ อัซซอบูนีย์ رحمه الله ) แท้จริงปัญหานั้น มันเป็นปัญหาของมัซฮับบิดอะฮฺ (อะชาอิเราะฮ) ซึ่งให้กับมัซฮับนี้นั้นมีอยู่จริง อีกทั้งยิ่งใหญ่ในความคิดของอิสลาม โดยที่ด้วยกับมัซฮับ(อะชาอิเราะฮฺนั้น)เต็มไปด้วย หนังสืออันมากมาย จากหนังสือ บรรดาหนังสือตัฟซีร หนังสืออธิบายอัลฮะดิษ หนังสือเกี่ยวกับวิชาภาษาอาหรับ และหนังสืออุซูล ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีจากบรรดาหนังสืออากิดะฮฺและหนังสือในด้านความคิด เฉกเช่นเดียวกัน คือแท้จริง ให้กับ(มัซฮับอะชาอิเราะฮฺ) มีบรรดามหาวิทยาลัยที่ใหญ่ๆ และมีสถานบันการศึกษาอย่างแพร่หลาย ในส่วนมากของประเทศอิสลาม จากฟิลิปินส์(เอเชีย)จนถึง เซนาฆ่อน(อาฟริกา) "
คำวิจารณ์
เราจะเห็นได้ว่า ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์นั้นได้ยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นว่า มัซฮับอะชาอิเราะฮฺ(และมาตูริดีย์)นั้น เป็นแนวทางของคนส่วนมากแห่งโลกอิสลาม และท่านดร. ซะฟัร ยอมรับว่า บรรดาตำราต่างๆในด้านตัฟซีร อธิบายฮะดิษ อุซูลและอื่นๆ อีกทั้งบรรดามหาวิทยาลัยต่างๆ นั้นได้เจริญรอยตามมัซฮับอะชาอิเราะฮฺ ดังนั้นเราจะตอบซะลัฟแบบอิชาอิเราะฮฺที่เป็นชนส่วนใหญ่ หรือว่าจะตามดร.ซะฟัร ซะละฟีย์แบบปัจจุบันที่เป็นส่วนน้อย
แล้ว ท่านดร.ซะฟัร ก็บอกเริ่มต้นเลยว่า อะชาอิเราะฮฺนั้นเป็นมัซฮับบิดอะฮฺ ไม่ใช่อะฮฺลิสซุนนะฮฺ อยู่ดีๆชนกลุ่มน้อยของซะละฟีย์ปัจจุบัน ได้เอากลุ่มชนมุสิลิมอะชาอิเราะฮฺที่เป็นชนส่วนใหญ่ออกจากอะฮฺลิสซุนนะฮฺ แล้วบอกว่าเป็นบิดอะฮฺ แบบนี้เขาไม่เรียกว่าวิดน้ำในทะเลดอกหรือครับ ?
ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์กล่าวว่า
وسنأتي بحكمهم عند أئمة المذاهب الأربعة من الفقهاء فما بالك بأئمة الجرح والتعديل من أصحاب الحديث
ความว่า" และต่อไปเราจะนำเสนอ ด้วยการฮุกุมพวกเขา(อะชาอิเราะฮฺ) ตามทัศนะของบรรดาอิมามทั้งสี่มัซฮับจากอุลามาอฺฟิกหฺ ดังนั้น ท่านไม่ต้องคิดในสมองของท่านแล้ว เกี่ยวกับ(การฮุกุ่ม)ของบรรดาอิมามนักวิจารณ์ผู้รายงานจากนักวิชาการฮะดิษ "
คำวิจารณ์
ท่าน ดร.ซะฟัร อัลหะวาลีย์ จะนำเสนอการฮุกุ่มของบรรดาอุลามอฺ ด้วยคำกล่าวของบรรดาอิมามทั้งสี่มัซฮับ ซึ่งท่าน ดร.ซะฟัร กำลัง تدليس อำพราง ตบตากับผู้อ่าน ว่าบรรดาอิมามมัซฮับทั้งสี่ได้ฮุกุ่มอะชาอิเราะฮฺ ทั้งที่อิมามทั้งสี่นั้นทั้งหมดนั้นเสียชีวิตก่อนที่อิมามอัลอัชอะรีย์เกิดเสียอีก เพราะอิมามอัลอัชอะรีย์เกิดปี ฮ.ศ. 270 และอิมามอะหฺมัดเสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 241 ดังนั้นอิมามทั้งสี่จะฮุกุ่มอะชาอิเราะฮฺได้อย่างไร ในเมื่ออิมามอัชอะรีย์เกิดหลังจากที่อิมามทั้งสี่เสียชีวิตกันหมดแล้ว หากว่าจุดมุ่งหมายของบรรดาอิมามทั้ง4 ของ ดร.ซะฟัร นั้นคือบรรดาอัศฮาบ สานุศิษย์ของมัซฮับทั้งสี่ล่ะก็ เราก็โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ?
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 6:09 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถึงคุณอัลยาส
ในกรณีของท่านชัยคฺ อิมาม อับชะรอวีย์และท่านชัยค์กัชคฺ นั้น คุณน่าจะเอาเสียงบันทึกจริงแนบมาด้วยก็ดี ผมจะได้ฟังและตรวจสอบไปด้วย
เมื่อนำเสนอสิ่งที่อัลบานีย์ ถอดมาจากเทปบันทึก ผมก็จะนำมากล่าวเสนอบ้างนะครับ
" บทว่าด้วยเรื่อง อิจญฺมาอฺ(มติปวงปราชน์)ด้วยเรื่องการยึดมั่น ถือว่ากุฟุรโดยผู้ที่ขัดแย้งกับอิจญมาอฺ บรรดาปวงปราชน์มีความเห็นพร้องว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺ อัซฺซะวะญัลล่า มีองค์เดียว ไม่มีภาคีแก่พระองค์ พระผู้ทรงสร้างทุกๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์ และพระองค์ทรงคงอยู่องค์เดียว โดยมีสิ่งอื่นอยู่พร้อมกับพระองค์ หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหมดเฉกเช่นที่พระองค์ทรงประสงค์ และจิตนั้นก็เป็นมัคโลค อะรัชคือมัคโลค และโลกทั้งหมดนี้คือมัคโลค " ดู มะรอติบ อัลอิจญฺมาอฺ ตีพิมพ์พร้อมกับ หนังสือ นัคดฺ มะรอติบ อัลอิจญฺมาอฺ ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ หน้า 167
ท่านอบูมันซูร อัลบุฆดาดีย์ กล่าวเช่นกันว่า บรรดาพวกบัสเราะฮฺ จากพวกอัลเกาะดะรียะฮฺอ้างว่า แท้จริงบรรดาอณูมวลสารและคุณลักษณะที่อาศัยกับสิ่งอื่นนั้น ก่อนที่จะเกิดขึ้นมา ได้เป็นอณูมวลมวลสารและคุณลักษณะที่อาศัยกับสิ่งอื่นมาก่อน และคำกล่าวของพวกเขานี้ นำไปสู่การกล่าวว่า โลกนี้กอดีม(มีมาตั้งแต่เดิม) การกล่าวที่นำมาพาไปสู่กุฟุร ย่อมเป็นกุฟุรในตัวของมันเอง" ดู อัลฟัรคฺ บัยนัล ฟิร๊อค หน้า 26
อัลบานีย์ได้กล่าวไว้ใน หนังสือ อธิบาย อะกีดะฮฺ อัตเฏาะหาวียะฮฺว่า " ดังนั้น ฉันจะกล่าวในขณะนี้ ไม่ว่าคำกล่าวที่มีน้ำหนัก จะเป็นอันนี้หรืออันนั้น การขัดแย้งดังกล่าว ได้ชี้ถึงความเข้าใจว่า แท้จริงบรรดาอุลามาอฺมีความเห็นพร้องกันว่า แท้จริง ณ ที่นั่น มีสิ่งที่ถูกสร้างอันแรก และพวกที่กล่าวว่า มีบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยไม่มีจุดเริ่มต้นให้แก่มันนั้น พวกเขาได้ขัดแย้งกับมติอิจญฺมาอฺ เพราะแท้จริงพวกเขากล่าวอย่างชัดจัดเจนว่า ไม่มีมัคโลคหนึ่ง นอกจากเสียว่า ก่อนจากมันต้องมีมัคโลคอยู่ก่อนมัน และคำกล่าวเช่นนี้ ชี้ถึงการมีสิ่งที่ไม่มีจุดเริ่มต้นให้แก่มัน เช่นเดียวกับสิ่งที่ อิบนุตัยมียะฮฺ ได้บอกไว้อย่างชัดเจนด้วยกับสิ่งดังกล่าวในหนังสือบางเล่มของเขา ฉะนั้น หากพวกเขากล่าวว่า อะรัชคือมัคโลคอันแรก เฉกเช่นคำพูดอันชัดเจนของผู้อธิบาย พวกเขาก็จะตำหนิคำกล่าวของพวกเขาเองที่บอกว่า มีบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยไม่มีจุดเริ่มต้นให้แก่มันนั้น หากพวกเขาไม่กล่าวแบบนั้น พวกเขาก็ขัดแย้งกับอิจญฺมาอฺ ดังนั้นท่านจงพิจารณากับอันนี้ให้ดี เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญ และอัลเลาะฮฺคือผู้ที่ชี้นำ " ดู หน้าที่ 35
อิบนุตัยมียะฮฺกล่าวว่า มีมัคโลคที่กอดีมด้วย แบบนี้เป็นแนวทางของซะลัฟหรือไม่ ? อิบนุตัยมียะฮฺขัดแย้งกับอิจญฺมาอฺในเรื่องอากิดะฮฺ แล้วคุณอะสันและสหายอิลยาสจะว่ากันอย่างไรครับ ? ดังนั้นแนวทางซะลัฟคืออะชาอิเราะฮฺ ผู้กล่าวว่า อัลเลาะฮฺทรงมีอย่างที่พระองค์มี โดยไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่พร้อมกับพระองค์ แล้วอิบนุตัยมียอะฮฺล่ะครับ ซะลัฟหรือเปล่า ???
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 6:14 am ชื่อกระทู้: |
|
|
กรณีคุณอิลยาสถามผมถึงอายะฮฺที่ว่า
(وهو معكم أينما كنتم)
ความว่า"พระองค์ทรงอยู่พร้อมกับพวกท่าน ไม่ว่าพวกท่านอยู่ที่ใหน"
ผมขอตอบว่า ท่านอิมามอัซซฺะฮะบีย์กล่าวว่า ท่านท่านมะอฺดานได้ถามท่านอิมามชุฟยาน อัษเษารีย์ (ร.ฏ.)จากอายะฮฺ (وهو معكم أينما كنتم) ท่านตอบว่า " علمه " "การรู้ของพระองค์" ดู ซะยัร อะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 8 หน้า 274
ตามที่คุณอะสันเคยยกอายะฮฺและฮะดิษที่บอกว่า อัลเลาะฮฺอยู่(ใน)บนฟ้า แล้วอายะฮฺนี้(وهو معكم أينما كنتم)พวกซะละฟีย์ปัจจุบันจะว่าอย่างไร ? พวกซะละฟีย์ปัจจุบันบอกว่าอัลเลาะฮฺอยู่บนฟ้า แล้วอายะฮฺนี้ล่ะครับ ( (وهو الذي في السماء إله وفي الأرض إله) จะว่ากันอย่างไร ? แล้วอายะฮฺนี้ล่ะครับ (ونحن أقرب إليه من حبل الوريد) จะว่ากันอย่างไร? ในเมื่ออัลเลาะฮฺอยู่บนฟ้าไม่ใช่หรือ ?
สำหรับคำว่า หน้าแข้ง ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน ตามที่คุณอิลยาสถามผมนั้น
อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า (يوم يكشف عن ساق ) ความว่า"วันที่ ساق ได้ถูกให้ประจักษ์" อัลก่อลัม 42
แนวทางของอัล-อะชาอิเราะฮฺนั้น มีอยู่สองแนวทางด้วยกัน คือ
1. التفويض มอบหมาย คือคำว่า ساق นั้นอัลเลาะฮฺคือผู้รู้ความหมายแท้จริง นี่คือหลักการเดิมของอะชาอิเราะฮฺ
2. التأويل ตีความ เมื่อมีความจำเป็น (เช่นมีพวก مجسمة อ้างว่า มันคือ"หน้าแข้ง อัลเลาะฮฺมีหน้าแข้ง แต่ไม่เหมือนกับเรา) คือตีความให้เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)และสอดคล้องกับหลักภาษาอาหรับที่ทรงประทานอัลกุรอานมาเป็นภาษาอาหรับ ดังนั้นคำว่า"ساق" หมายความว่า "ความวิกฤติ ความรุนแรง" มีรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺจากท่านอิบนุอับบาสว่า " ท่านอิบนุอับบาสได้ตีความอายะฮฺดังกล่าวว่า " الشدة " "ความวิกฤติ ความรุนแรง" ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 428 ตัฟซีรฏ๊อบรีย์กล่าวว่า " ได้กล่าวโดยกลุ่มหนึ่ง จากซอฮาบะฮฺและตาบีอีน จากบรรดาอุลามาอฺได้ผู้ตีความว่า " ได้เกิดจากเรื่องวิกฤติรุนแรง" ดู ตัฟซีรอัตฏ๊อบรีย์ ยุซฺ 29 หน้า 38 อธิบายอายะฮฺที่ 42 ซูเราะฮฺอัลก่อลัม คุณอะสันและคุณอิลยาสน่าจะรู้น่ะครับ ว่าใครคือซะลัฟตัวจริง
สำหรับคำว่า "มือ" ที่คุณอิลยาสถามผม ผมก็ขอตอบว่า
อัลเลาะฮฺได้กล่าวว่า " السماء بنيناها بأييد وإنا لموسعون " ความว่า" และเราวันที่เราสร้างฟากฟ้าไว้ด้วย أيد ของเรา และแท้จริงเราเป็นพระเจ้าที่ทรงความไพศาลยิ่งนัก " อัซซาริยาต 47
ผมขอตอบว่า แนวทางของอะชาอิเราะฮฺในเรื่องนี้นั้น มีสองแนวทางด้วยกัน
1. التفويض มอบหมาย คือคำว่า أيد นั้นอัลเลาะฮฺคือผู้ที่รู้ความหมายที่แท้จริง นี่คือหลักการเดิมของอะชาอิเราะฮฺ
2.التأويل ตีความ เมื่อมีความจำเป็น (เช่นเมื่มีพวก مجسمة อ้างว่า มันหมายความว่า มือ คืออัลเลาะฮฺมีมือ แต่มีไม่เหมือนเรา) คือเราจะตีความให้เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)และสอดคล้องกับหลักภาษาอาหรับที่ทรงประทานอัลกุรอานมาเป็นภาษาอาหรับ ดังนั้นคือคำว่า أيد หมายถึง"القوة " "พลังอำนาจ" ดังกล่าวนี้ ท่านอิบนุอับบาส(ร.ฏ.)ก็ได้ตีความเอาไว้เช่นกัน และได้ตีความเช่นเดียวกันนี้ จากบรรดาอุลามาอฺซะลัฟ คือท่านมุญาฮิด ท่านเกาะตาดะฮฺ ท่านมันซูร ท่านอิบนุซัยดฺ และท่านซุฟยาน " ดู ตัฟซีรอัตฏ๊อบรีย์ ยุซฺ 27 หน้า 8 คุณอะสันและคุณอิลยาสคงพอจะรู้แล้วนะครับ ว่าใครคือสะลัฟตัวจริง และเด็กหลักสูตรปอเนาะนั้นเขาเรียนกันอย่างนี้
หนังสือเตาฮีดของท่านอิมามบาญูรีย์(อตีดชัยค์อัลอัซฮัร)และที่อธิบายกวี เญาฮะเราะฮฺเตาฮีดของท่านอิมามอัลลักกอนีย์(อุลามาอฺอัลอัซฮัรมัซฮับมาลิกีย์ อัลอัชอะรีย์)ซึ่งท่านได้กล่าวว่าไว้ตามหลักการของอะชาอิเราะฮฺว่า
وكلّ نصّ أوهم التشبيها أوّله أو فوّض ورم تنزيهاً.
ความว่า ทุกตัวบทที่ทำให้คิดกับการคล้ายคลึง(ระหว่างอัลเลาะฮฺและมักโลค) ท่านก็จงตีความหรือมอบหมาย และจงหมายมั่นกับความบิรสุทธิ์(แด่พระองค์)
นั่นคือแนวทางของอะชาอิเราะฮฺ และขอให้อัลเลาะฮฺทรงชี้นำคุณอะสันครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 6:39 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอะสันครับ อย่างไงก็อย่าลืมเรื่องการแบ่งแยกเตาฮีดนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญและมีผลการต่อการนำไปฮุกุ่มผู้อื่นนะครับ
_________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Aug 30, 2005 7:02 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณal-azhary
คุณกล่าวว่า
คุณอะสันครับ อะชาอิเราะฮฺเมืองไทยนั้น เป็นอะชาอิเราะฮฺแท้เหมือนกับมุสลิมส่วนใหญ่ทั่วโลกนั่นแหละครับ งั้นผมขอถามคุณอะสันบ้างว่า ซะลัฟซาอุดี้ที่พวกคุณก็กำลังยึดอยู่นั้น เป็นสะลัฟแท้หรือไม่ครับ ถ้าแท้ก็โปรดชี้แจงสิ่งที่ผมนำเสนอไปนะครับ
.......................
ตอบ
นี่คือ ที่ผมบอกกับคุณแล้วว่า พูดกันยาว เพราะความอคติ โดยเฉพาะกับอุลามาซาอุดี้ เพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับคุณ และคุณเอาอะไรมาวัดว่า มุสลิมส่วนใหญ่มีความคิดเดี่ยวกับคุณ และ คุณคิดหรือว่า คนส่วนใหญ่เป็นหลักประกันความถูกต้องเสมอไป
หลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ จากสามัญสำนึกของมนุษย์ที่สมบูรณ์ และจากสติปัญญาที่เที่ยงธรรม ต่างรับรองว่า อัลลอฮนั้น ประทับอยู่บนบัลลังก์(อัลอัรชุ) เช่น
قوله تعالى: {إليْهِ يَصْعدُ الِكَلمُ الطَيبُ والعَملُ الصَالحُ يَرفَعهُ}. {إِنِّي مُتَوَفِّيكَ وَرَافِعُكَ إِلَيّ}. {أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الأَرْضَ}. {أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِباً حَاصباً}. {بَلْ رَفَعَهُ اللَّهُ إِلَيْهِ}. {تَعْرُجُ الْمَلائِكَةُ وَالرُّوحُ إِلَيْهِ}. {يُدَبِّرُ الْأَمْرَ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الأَرْضِ ثُمَّ يَعْرُجُ إِلَيْهِ}. {يَخَافُونَ رَبَّهُمْ مِنْ فَوْقِهِمْ}. {ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ}
وفي الصحيح في حديث الخوارج "ألا تأمنوني وأنا أمين من في السماء يأتيني خبر السـماء صباحـاً ومسـاء"
และหะดิษอื่นที่ได้เสนอไปแล้ว
قال شيخ الإسلام ابن تيمية رحمه الله في رسالة الفتوى الحموية . ما نصه : ( روى أبو بكر البيهقي في الأسماء والصفات بإسناد صحيح عن الأوزاعي قال : كنا - والتابعون متوافرون - نقول : إن الله تعالى ذكره فوق عرشه ، ونؤمن بما وردت به السنة من الصفات ، فقد حكى الأوزاعي وهو أحد الأئمة الأربعة في عصر تابعي التابعين الذين هم : مالك إمام أهل الحجاز ، والأوزاعي إمام أهل الشام ، والليث إمام أهل مصر ، والثوري إمام أهل العراق ، حكى شهرة القول في زمن التابعين بالإيمان بأن الله تعالى فوق العرش ، وبصفاته السمعية ، وإنما قال الأوزاعي هذا بعد ظهور مذهب جهم المنكر لكون الله فوق عرشه ، والنافي لصفاته ليعرف الناس أن مذهب السلف كان يخالف هذا
โปรดดูข้อความที่ว่า روى أبو بكر البيهقي في الأسماء والصفات بإسناد صحيح عن الأوزاعي قال : كنا - والتابعون متوافرون - نقول : إن الله تعالى ذكره فوق عرشه ، ونؤمن بما وردت به السنة من الصفات
รายงานโดยอบูบักร อัลบัยฮะกีย์ เกี่ยวกับ บรรดาพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮ ด้วยสายสืบที่ถูกต้อง จากเอาซาอีย์ กล่าวว่า"พวกเราและบรรดาตาบีอูน เป็นส่วนมาก เราขอกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ ทรงระบุว่า พระองค์ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ และเราเชื่อตามที่ประกฏในอัสสุนนะฮ ที่เกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะ(ของอัลลฮ)
โปรดอ่านครับ
الشيخ: الاستواء في اللغة العربية يأتي لازماً ويأتي متعديا إلى المعمول بحرف الجر ويأتي مقروناً بواو المعية فهذه ثلاثة وجوه للاستواء أما الأول وهو أن يأتي مطلقا غير مقيد بالمعمول ولا واو المعية فإنه يكون بمعنى الكمال ومن قوله تعالى (وَلَمَّا بَلَغَ أَشُدَّهُ وَاسْتَوَى) أي كمل ومنه قول الناس في لغتهم العامية استوى الطعام أي كمل نضجه والقسم الثاني أو الوجه الثاني أن يأتي مقرونا بواو المعية فيكون بمعنى التساوي كقولهم استوى الماء والخشبة أي تساويا والثالث يأتي معدا بحرف الجر فإن عدي بعلى صار معناه العلو والاستقرار وإن عدي فإلى فقد اختلف المفسرون فيه فمنهم من يقول إنه بمعنى الارتفاع والعلو ومنهم من يقول إنه بمعنى القصد والإرادة مثال معدى بعلى قوله تعالى (ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ) وقوله (الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى) وقوله بعد ذلك في سبعة مواضع في القرآن الكريم ومثال المعدى بإلى قوله تعالى) ثُمَّ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ وَهِيَ دُخَانٌ) وقوله (هُوَ الَّذِي خَلَقَ لَكُمْ مَا فِي الْأَرْضِ جَمِيعاً ثُمَّ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ فَسَوَّاهُنَّ سَبْعَ سَمَاوَاتٍ) ولذلك اختلف المفسرون في الاستواء استوى هنا فبعضهما قال معناها على إلى السماء ومنهم من قال بمعني معناها قصد وأراد وعلى كل فاستواء الله على العرش من الصفات الثابتة التي يجب على المؤمن أن يؤمن بها وهو أن الله تعالى استوى على عرشه أي علا عليه علوا خاصا ليس كعلوه على سائر المخلوقات بل هو علو خاص بالعرش كما قال تعالى (رَفِيعُ الدَّرَجَاتِ ذُو الْعَرْشِ) ولكن هذا الاستواء ليس معلوما لنا في كيفيته لأنه كيفيته لا يمكن الاحاطة بها ولم يخبرنا الله عنها ولا رسوله ولهذا لما سئل الإمام مالك رحمه الله عن قوله تعالى (الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى) كيف استوى فأطرق برأسه حتى علاه العرق ثم قال (الاستواء غير مجهول والكيف غير معقول والإيمان به واجب والسؤال عنه بدعة) ونحن نعلم معنى الاستواء ونؤمن به ونقره وهو أنه سبحانه وتعالى علا عرشه واستوى عليه علوا واستقرارا يليق به سبحانه وتعالى ولكننا لا نعلم كيفية هذا الاستواء فالواجب علينا أن نمسك عن الكيفية وأن نؤمن بالمعنى وأما قول من قال أن معنى استوى على العرش أي استولى عليه فهذا قول لا يصح وهو مخالف لما كان عليه السف ولما تدل عليه هذه الكلمة في اللغة العربية فلا يعوض عليه بل هو باطل ولو كان معنى استوى استولى للزم أن يكون الله تعالى مستولي على شئ لأنه سبحانه وتعالى مستولي على كل شئ وللزم أن يكون العرش قبل هذا ليس ملكا لله بل ملكا لغيره ثم استولى عليه من غيره وهذه معان باطلة لا تليق بالله سبحانه وتعالى.
http://www.ibnothaimeen.com/all/noor/article_793.shtml
สะลัฟแท้ ก็คือ คนทุกยุค ทุกสมัย รวมถึง อุละมาอ ซะอุดี้ ด้วย หากเขาเชื่อตามที่อัลกุรอ่านและหะดิษระบุเอาไว้ครับ หรือ คุณจะตัดสิน(หุกุม)ว่าผมเป็นพวกใหนอีก และผมขอยืนยันว่า อัลลอฮทรงประทับบนบัลลังก์ ส่วนรูปแบบการประทับเป็นอย่างไรนั้น ปัญญาและความรู้เราเข้าไม่ถึง เพราะท่านนบี ไม่ได้อธิบายเอาไว้ อัลลอฮเท่านนั้นทรงรู้
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|