อนุรักษ์มรดกอิสลาม

[addullslam]

คำนำ
ในการจัดงานประจำปีของโรงเรียนศาสนวิทยาทุกปี จะมีหนังสือแจกแก่ผู้มีอุปการคุณ
บางครั้งจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับดุอาอฺของท่าน ร่อซูล หรือไม่ก็เป็น หนังสือวิชาการ
เช่น ตัฟซีรญุซอัมมา เป็นต้น ในปีนี้ก็เช่นกัน ทางผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีศาสนวิทยา
ก็ได้จัดพิมพ์หนังสือ อิสลามมีอะไรเสนอท่าน มาแจกเป็นวิทยาทานอีก
ทางผู้บริหารโรงเรียนศาสนวิทยา ถือเป็นนโยบายที่จะต้องจัดหาหนังสือมาแจก
แก่ผู้มีอุปการคุณทุกปี อินชาอัลลอฮฺ
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามแก่ผู้พิมพ์ และขอได้ทรงให้หนังสือเล่มนี้
เป็นประโยชน์แก่พี่น้องมุสลิมทั่วไป
วัสสะลาม
(นายอิมรอน มะกูดี) รอฮิมะฮุลลอฮฺ
อดีต ครูใหญ่โรงเรียนศาสนวิทยา
2มกราคม36

[addullslam]

คำชี้แจง
ข้าพเจ้าได้เขียนบทปาฐกถานี้ขึ้นตามความประสงค์ของ สภาอิสลามแห่งยุโรป
islamic council of europe เพื่อนำไปอ่านในที่ประชุมอิสลามระหว่างประเทศ
ซึ่งทางสภาฯ ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่1ถึง10เมษายน ค.ศ.1976ในกรุงลอนดอน
แต่เป็นที่น่าเสียใจที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเดินทางไปร่วมประชุมในครั้งนี้ได้
เนื่องด้วยเหตุขัดข้องทางด้านสุขภาพ และบทปาฐกถานี้ได้นำมาอ่านในวาระของ
การประชุมวันที่4เมษายน ค.ศง1976 ณ ห้องประชุมสมาคมเครือจักรพบ
royal commonwealth society ในกรุงลอนดอน
บทปาฐกถานี้เกี่ยวกับหลักการศรัทธาขั้นมูลฐาน 3 ประการในอิสลาม
เพราะเป็นเป้าหมายของการเขียนบทปาฐกถานี้ก็เพื่อแนะนำศาสนาอิสลามให้แก่ผู้
ที่มิใช่มุสลิม รายละเอียดของหลักการศรัทธา 3 ประการในอิสลามได้แก่
การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ การศรัทธาต่อศาสนทูต และการศรัทธาต่อชีวิตใหม่ในโลกหน้า
ผู้ใดที่ศรัทธาต่อหลัก 3 ประการนี้แล้ว เขาย่อมจะต้องศรัทธาต่อหลักการศรัทธาทั้งหมด
ในอิสลาม อาทิเช่น การศรัทธาต่อบรรดามะลาอิกะฮฺ การศรัทธาต่อการกำหนดสภาวะ
(กอฎอ กอดัร) ฯลฯ
ข้าพเจ้าพยายามจะเสนอให้ชาวตะวันตกได้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม
โดยผ่านหลักการศรัทธาขั้นมูลฐานทั้ง3ประการนี้ ในสำนวนที่เรียบง่าย อันจะทำให้ทุกคน
ที่ปรารถนาจะทำความเข้าใจในอิสลามตามรูปการณ์ที่ถูกต้องสามารถนำเอาสิ่งที่อิสลาม
นำมาเสนอแก่มนุษย์ชาติ ซึ่งกล่าวถึง พระเจ้า ศาสนทูต โลกนี้ โลกหน้า ไปเปรียบเทียบ
กับหลักการที่มีอยู่ในศาสนาอื่น จากทฤษฎีที่มนุษย์วางขึ้นเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้
อบุล อะอฺลา เมาดูดี
ลาฮอร์ ปากีสถาน
9 / 5 / 1976

[addullslam]

อิสลามเป็นศาสนาของมนุษย์ชาตินับตั้งแต่ นบีอาดัม
นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเริ่มปาฐกถาของเรานี้ที่จะกล่าวว่า ศาสนาอิสลาม
ตามหลักการสรัทธาของเรานั้นมิใช่ศาสนาที่ศาสนทูตมุฮัมมัดประดิษขึ้น และท่านก็มิใช่
ศาสนทูตท่านแรกที่นำเอาศาสนานี้มาเสนอแก่มวลมนุษย์ จนถือได้ว่า ท่านเป็นผู้ให้กำเนิด
ศาสนาอิสลาม ยิ่งไปกว่านั้น คัมภีร์อัลกุรอาน ยังได้ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนว่า
อัลลอฮฺมิได้ทรงส่งศาสนาใดมายังมนุษย์ชาติตลอดช่วงของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
นอกจากศาสนาเดียวเท่านั้นคือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งแปลว่า ศาสนาแห่งการยอมจำนน
และยอมสวามิภักดิ์ต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ศาสนทูตทุกท่านที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายัง
ส่วนต่างๆของโลกและยังประชาชาติเผ่าต่างๆภายในโลก ท่านเหล่านั้นมิใช่ผู้ให้กำเหนิดศาสนา
จนทำให้เราเรียกว่า ศาสนานัวะห์(อ้างถึงนบีนัวะห์) ศาสนาอิบรอฮีม(อ้างถึงนบีอิบรอฮีม)
ศาสนามูซาหรือศาสนายิว(อ้างถึงนบีมูซาหรือโมเสสและอ้างถึงชนชาติยิว)
ศาสนาอิซาหรือศาสนาคริสต์(อ้างถึงนบีอีซาหรือเยซู) แต่ทว่าศาสนทูตทุกท่านที่ อัลลอฮฺ
ทรงส่งมาต่างเรียกร้องไปสู่ ศาสนาเดียวกันกับศาสนาที่ศาสนทูตก่อนๆได้นำมาเผยแผ่
(คือ ศาสนาอิสลาม)

[addullslam]

คุณลักษณะของศาสนทูต มุฮัมมัด
คุณลักษณะพิเศษของศาสนทูต มุฮัมมัด ที่เหนือกว่าบรรดาศาสนทูตทั้งหลายคือ
ก. ศาสนทูตมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตสุดท้ายที่พระองค์ อัลลอฮฺได้ทรงส่งมา
(และอัลลอฮฺได้ทรงส่งศาสนทูตมุฮัมมัดมายังมนุษย์ทั้งมวล ไม่จำกัดสำหรับหมู่ชนหนึ่ง
หมู่ชนใดโดยเฉพาะ ส่วนบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าท่านนั้น
ได้ถูกส่งมายังประชาชาติเฉพาะกลุ่มเท่านั้น)
ข. พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงให้ท่านศาสนทูตมุฮัมมัดนำศาสนาของ พระองค์มาเผยแผ่ครั้งใหม่
อันเป็นศาสนาเดียวกันกับศาสนาที่บรรดาศาสนทูตทั้งหลายก่อนหน้าท่านนำมาเผยแผ่
ค. อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ศาสนานี้มีความบริสุทธิ์จากสิ่งที่มนุษย์ในยุคต่างๆ ได้นำมาเจือปน
ตามอารมณ์ของพวกเขาเองแล้วตั้งชื่อเป็นศาสนาต่างๆ พระองค์ได้ทรงใช้ให้
ศาสนทูตมุฮัมมัด นำเอาศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ ถูกต้อง แท้จริง มาเสนอแก่มนุษย์ชาติ

[addullslam]

ง. พระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงส่งศาสนทูตท่านใดมาอีกครั้งหลังจาก ศาสนทูตมุฮัมมัด
ดังนั้นพระองค์จึงทรงรักษาคัมภีร์ อัล กุรอาน ไว้โดยให้มีเนื้อหาและถ้อยคำคงอยู่ในสภาพ
เดิมตามที่ได้ถูกประทานมา เพื่อมนุษย์ชาติในยุคต่อๆไปจะได้รับแสงสว่าง
ทางนำที่ถูกต้องจากคัมภีร์เล่มนี้
(บทขยายความ)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คัมภีร์ อัล กุรอาน ฉบับที่เราทั้งหลายถืออยู่ในมือขณะนี้ เป็นฉบับเดียว
กันกับที่ได้ถูกประทานมายังท่านศาสนทูตมุฮัมมัด ฯ ซึ่งมีความครบถ้วนสมบูรณ์
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตัดทอน ต่อเติม และบิดเบือนแต่อย่างใด ดังที่บุคคลบางคน
ได้โจมตีและใส่ใคล้ ศาสนทูตมุฮัมมัดฯ ได้ใช้ให้บรรดาสาวกของท่านจดบันทึก
อัล กุรอานในทันทีที่ได้ถูกประทานมา สภาพการณ์เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งท่านศาสนทูต
มุฮัมมัดถึงแก่กรรม เมื่อสมัยคอลีฟะฮฺ อบู บักร คอลีฟะฮฺคนที่ 1 หลังจากท่านศาสนทูตมุฮัมมัดฯ
ท่านได้รวมอัล กุรอาน สมัยของท่านศาสนทูตมุฮัมมัดฯ ที่บันทึกไว้ในแผ่นกระดูก แผ่นดินเผา
ก้านอินทผลัม ฯลฯ เอาไว้ในเล่มเดียวกัน แล้วให้เก็นรักษาไว้

[addullslam]

ณ ที่ทำการของค่อลีฟะฮฺ จนกระทั่งถึงสมัยของค่อลีฟะฮฺคนที่ 3 คือ ท่านอุสมาน อิบนิอัฟฟาน
ได้เกิดความสับสนในการอ่านและท่องจำ อัล กุรอาน ของมุสลิมในแคว้นต่างๆ
ที่อยู่ห่างไกลในอาณาจักรอิสลาม ท่านจึงได้มีคำสั่งให้คัดลอก อัล กุรอาน จากฉบับเดิมที่ท่าน
อบู บักร รวมเป็นเล่ม แล้วจัดส่งไปยังหัวเมืองต่างๆ ตั้งแต่บัดนั้นจวบจนบัตนี้
จึงได้มีการจดบันทึกและจัดพิมพ์ อัล กุรอาน ด้วยความพิถีพิถันมีความรอบคอบ
และมีการตรวจทานกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงไม่พบว่ามีความแตกต่างกันระหว่าง
ตัวบทของ อัล กุรอานในแต่ละเล่ม นอกจากรูปแบบของตัวอักษรอาหรับที่ใช้บันทึกเท่านั้น
นอกจากนั้น ท่าน นบีมุฮัมมัด ยังได้ใช้ให้บรรดามุสลิมทั้งหลายท่องจำ อัล กุรอาน
ให้ได้มากที่สุด และนำมาอ่านในขณะละมาด บรรดาศอฮาบะฮฺของท่าน นบีมุฮัมมัด
จำนวนมากมายสามารถท่องจำ อัล กุรอานหมดทั้งเล่ม ส่วนศอฮาบะฮฺท่านอื่นๆ
ก็สามารถท่องจำ อัล กุรอานได้เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ท่าน นบีมุฮัมมัดยังมีชีวิตอยู่
ในโอกาสต่อมา บรรดามุสลิมส่วนใหญ่ได้ให้ความสนใจในการท่องจำ อัล กุรอาน
ทั้งเล่มหรือท่องจำ ส่วนใหญ่ของ อัล กุรอาน พร้อมกับนำไปอ่านทวนขณะทำการละมาด
ตะรอเวียหฺ ในเดือนรอมฎอนทุกปี

[addullslam]

ไม่มีช่วงใดในประวัติศาสตร์อิสลามนอกจากจะได้พบมุสลิมจำนวนหลายล้านคน
ได้ท่องจำ อัล กุรอาน ได้ทั้งเล่มหรือเกือบทั้งเล่ม นอกเหนือไปจากมุสลิมหลายร้อยล้านคน
ที่สนใจในการอ่าน อัล กุรอาน จะมีคัมภีร์ใดบ้างภายในโลกที่ได้รับการเอาใจใส่
ในการบันทึกเป็นรูปเล่ม และมีการท่องจำกันอย่างกว้างขวาง ดังเช่น อัล กุรอาน
ดังนั้น จึงแน่ใจได้ถึงความถูกต้องของคัมภีร์เล่มนี้ นอกเหนือไปจากการพิทักษ์
คุ้มครองของ อัลลอฮฺ ดังอายะฮฺที่มีความว่า แน่นอนยิ่งเรา(อัลลอฮฺ) ได้ประทานอัซซิกรฺ
(อัล กุรอาน)มาและแน่นอนยิ่งเรา(อัลลอฮฺ)เป็นผู้พิทักษ์อัลกุรอาน (อัลฮิจรฺ 19)
(จบบทขยายความ)
จ . นอกจาก อัล กุรอานแล้ว ชีวะประวัติของท่าน นบีมุฮัมมัด ตลอดจนจริยวัตร(ซุนนะฮฺ)
ของท่านก็มีความถูกต้องสมบูรณ์อย่างยิ่ง จึงทำให้อัล กุรอาน และซุนนะฮฺ
เป็นรากฐานสำคัญของศาสนาอิสลาม นอกเหนือไปจากนี้จริยวัตรของท่าน นบีมุฮัมมัด
ยังเป็นแบบอย่างอันดีงามและเป็นบัญญัติศาสนาสำหรับเรา

[addullslam]

ฉ . บรรดาศอฮาบะฮฺของท่าน ศาสนทูตมุฮัมมัด บรรดานักท่องจำและนักบันทึกวจนะ
และบรรดามุสลิมรุ่นต่อๆมา ได้จดจำชีวะประวัติและจริยวัตรของท่าน นบีมุฮัมมัด
ไว้อย่างดียิ่ง ซึ่งไม่เคยปรากฎว่า ได้มีการจดจำชีวประวัติและบันทึกจริยวัตร
ของท่าน นบีและผู้นำคนใดในประวัติศาสตร์อย่างคบถ้วนสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อน
(บทขยายความ)
ผู้ที่รายงานจริยวัตรของศาสนทูตมุฮัมมัด ได้ระบุสายผู้รายงานติดต่อกันทั้งหมด
โดยไม่ขาดตอน พร้อมกับได้ชี้แจงว่า สายผู้รายงานนั้นๆ ได้รับรายงานมาจาก
ศาสนทูตมุฮัมมัด โดยติดต่อกันหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น คำพูด การกระทำ หรือการยอมรับ
ของท่านต่อการกระทำหรือคำพูดของบรรดาสาวก นอกจากนี้ ยังได้มีการตรวจสอบ
ผู้รายงานโดยละเอียดทุกขั้นตอน เพื่อจะให้ได้รับจริยวัตรของท่านศาสนทูตมุฮัมมัด
ที่ถูกต้องแท้จริง และยังได้บอกระดับของจริยวัตรที่ไม่ถูกต้องด้วย นอกจากนั้น
ก็มีการบันทึกจริยวัตรไว้ในตำราเฉพาะไม่รวมอยู่กับคัมภีร์อัล กุรอาน

[addullslam]

โดยรายงานสายผู้เล่าจริยวัตรตามลำดับสืบถึงศาสนทูตมุฮัมมัด พร้อมกันนั้น
ยังมีตำราบันทึกประวัติของผู้รายงานจริยวัตรทุกคน เพื่อจะได้พิสูจน์ทราบถึง
ฐานะของพวกเขาในรายงานว่า เขามีความจำดี ยึดมั่นในหลักศาสนา
มีมารยาทดี หรือมีสติฟั่นเฟือน โกหก บิดพิ้ว หลอกลวงหรือไม่ (จบบทขยายความ)
ช . ด้วยเหตุนี้ อัล กุรอาน และจริยวัตร(ซูนนะฮฺ) ของศาสนทูตมุฮัมมัด จึงมีความถูกต้อง
สมบูรณ์และเป็นแม่บทแห่ง บัญญัติของศาสนาอิสลาม สำหรับผู้ที่ต้องการทราบถึง
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศาสนาของอัลลอฮฺและแนวทางที่ถูกต้อง
ยังมีต่อ อินชาอัลลอฮฺ

[addullslam]

3 . จำเป็นที่เราจะต้องศรัทธาต่อศาสนทูตทุกท่านที่ถูกส่งมา ประกาศเผยแผ่ศาสนา
ของอัลลอฮฺ ก่อนหน้าศาสนทูตมุฮัมมัด พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงระบุนามของท่าน
เหล่านั้นไว้ในคัมภีร์ อัล กุรอาน หรือมิได้ระบุไว้ก็ตาม การศรัทธาต่อศาสนทูต
นี้เป็นสิ่งจำเป็นในหลักการศรัทธาของศาสนาอิสลาม การเป็นมุสลิมของเราจะไม่สมบูรณ์
ถ้าหากว่า เรามิได้ศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูตของอัลลอฮฺทั้งหมด ในขณะเดียวกัน
เราจะไม่ปฎิบัติตามบัญญัติของศาสนทูตท่านใด นอกจากบัญญัติศาสนาที่
ศาสนทูตมุฮัมมัดนำมาเผยแผ่เท่านั้น ในการนี้มิใช่ว่า เราได้ยึดมั่นในตัวบุคคลหรือ
เผ่าพันธุ์ของผู้ที่เป็นศาสนทูตแต่เหตุผลของเราคือ
(บทขยายความ)
บรรดาศาสนทูตที่อัลลอฮฺได้ระบุไว้ใน อัล กุรอานมี25ท่าน คือ
อาดัม อิดรีส นัวะหฺ ฮูด ซอและหฺ อิบรอฮีม อิสมาอิล อิสหาก ยะอฺกู๊บ ลู๊ฎ ยูซุฟ อัยยูบ
มูซา ฮารูน ซุลกิฟลิ ดาวู้ด สุลัยมาน อิลย้าส อัลยะซะอฺ ยูนุส ซาการียา ยะหฺยา
อิซา มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
(จบบมขยายความ)

[addullslam]

ก . ศาสนทูตมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตท่านสุดท้าย ดังนั้น บัญญัติศาสนาที่
พระองค์อัลลฮฺ ได้ทรงประทานมาให้ท่านศาสนทูตนำมาเผยแผ่ ก็ย่อมเป็นบัญญัติ
ศาสนาสุดท้ายด้วยเช่นกัน
ข . พจนารถของอัลลอฮฺ ซึ่งศาสนทูตมุฮัมมัดนำมาเผยแผ่แก่เรานั้น
เป็นดำรัสของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ไม่มีถ้อยคำใดของมนุษย์ปะปนอยู่กับดำรัสของ
พระองค์เลย และเป็นบัญญัติที่ถูกรักษาไว้ด้วยภาษาของศาสนทูตอันเป็นภาษา
ที่ประชาชนในโลกหลายล้านคนใช้พูด ใช้เขียน และใช้สื่อความกัน
มิใช่ภาษาตาย อีกทั้งกฏเกณฆ์ รูปแบบ ถ้อยคำ ความหมาย สำนวน และอักขระ
ของภาษานี้ก็มิได้เปลี่ยนแปลงไปในแบบผกผันแต่ประการใด

[addullslam]

ค . ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ชีวะประวัติของศาสนทูตมุฮัมมัด จรรยามารยาท
และวัจนะของท่านได้ถูกบันทึกและจดจำไว้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ในหลายกระแส
ผู้รายงาน ซึ่งมีมากมาย โดยไม่อาจจะนำมากล่าวโดยละเอียดในที่นี้ได้
คุณลักษณะเช่นนี้ไม่มีอยู่ในศาสนทูตท่านก่อนๆ หน้าที่ของเราคือ ศรัทธาว่า
ท่านเหล่านั้นเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ หากแต่เราไม่ต้องปฎิบัติตาม
บัญญัติศาสนาที่ท่านเหล่านั้นนำมาเผยแผ่
4 . บัญญัติศาสนาที่ท่านศาสนทูตมุฮัมมัด นำมาเผยแผ่ตามนัยแห่งการศรัทธา
ของเรานั้น ได้ถูกประทานมายังมวลมนุษย์ชาติ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ในยุคใด
สมัยใดหลังจากนี้ก็ตาม ทั้งนี้เพราะ

[addullslam]

ก . คัมภีร์ อัลกุรอาน ได้ยืนยันเช่นกัน
(สูเจ้า(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันเป็น
ศาสนทูตที่ถูกส่งมายังพวกท่านทั้งมวล (อัล อะอฺร้อฟ ที่158)
ข . คำกล่าวอ้างที่ชอบด้วยเหตุผลก็คือ ในเมื่อศาสนทูตมุฮัมมัดเป็น
ศาสนทูตสุดท้าย ดังนั้นบัญญัติศาสนาที่ท่านนำมาเผยแผ่แก่มวลมนุษย์
ก็จะต้องเป็นบญญัติสุดท้ายเช่นกัน
ค . บัญญัติอิสลามมีความครบถ้วนสมบูรณ์ในยุคของท่าน เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย
จะได้ดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง และนับว่าเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล
เช่นเดียวกันที่จะกล่าวว่า บรรดาศาสนทูตที่ถูกส่งมาก่อนหน้าท่านไม่ได้รับบัญญัติ
ศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านศาสนทูตเหล่านั้นจึงไม่อาจจะเป็นศาสนทูตสุดท้าย
ดังนั้น พระองค์อัลลอฮฺจึงได้ทรงจัดส่งศาสนทูตสุดท้ายมาคือ ศาสนทูตมุฮัมมัด

[addullslam]

บทขยายความ
สูเจ้า(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันเป็นศาสนทูต
ที่ถูกส่งมายังพวกท่านทั้งมวล (อัล กุรอาน อัล อะอฺร้อฟ อายะฮฺที่158)
วันนี้ข้า(อัลลอฮฺ) ได้ทำให้ศาสนาของสูเจ้าทั้งหลายครบสมบูรณ์สำหรับพวกสูเจ้า
และข้าได้ทำให้ความโปรดปรานของข้าที่มีต่อพวกสูเจ้าครบถ้วน และข้าพอใจ
ให้อิสลามเป็นศาสนาสำหรับสูเจ้าทั้งหลาย (อัล กุรอาน อัล มาอิดะอฺ อายะฮฺที่5)
มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาของผู้ใดในบรรดาชายจากพวกสูเจ้า แต่เขาเป็นศาสนทูต
ของอัลลอฮฺ และเป็นศาสนทูตท่านสุดท้าย (อัล กุรอาน อัล อะหฺซาบ อายะฮฺที่40)
จบบทขยายความ
ยังมีต่อ อินชาอัลลอฮฺ

[addullslam]

ง . ตามความเป็นจริงนั้นไม่ปรากฎว่า มีศาสนทูตท่านใดที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงส่งมา
อีกหลังจากศาสนทูตมุฮัมมัด ตลอดระยะเวลา14ศตวรรษที่ผ่านมาโดยที่ตัวเขา
ได้กล่าวอ้างว่า อัลลอฮฺได้ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นศาสนทูต หรือมีลักษณะที่ดีงาม
เพรียบพร้อมสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ ศาสนทูตมุฮัมมัด ทั้งทางด้านความประฤติ
คำพูด การประฎิบัติ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม หรือกล่าวอ้างว่า เขาได้รับวะฮียฺ
แล้วนำเอาพจนารถของอัลลอฮฺมาเสนอ แม้จะเพียงเล็กน้อยจนสามารถกล่าวอ้างว่า
เขาคือศาสนทูตผู้เผยแผ่ศาสนาหรือบัญญัติของอัลลอฮฺ
ความรู้ทางศาสนาไม่อาจจะแสวงหาจากที่ใดได้นอกจากโดยทางศาสนทูต
จำเป็นที่เราต้องรู้ว่า วิธีการที่จะทำให้ได้รับความรู้มี 2 วิธี แต่ก่อนอื่นเราจะต้องรู้ว่า
ความรู้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ความรู้ทางโลกและความรู้ทางศาสนบัญญัติ
ความรู้ประเภทหลังนี้ บุคคลไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง แต่จำเป็นจะต้องได้รับการ
แนะนำสั่งสอนจากผู้เป็นศาสนทูตเท่านั้น
บทขยายความ
และบรรดาผู้ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากศาสนทูตจากบรรดาสาวก
บรรดาผู้เจริญรอยตามสาวก และบรรดานักวิชาการทางศาสนบัญญัติ
จบบทขยายความ