อนุรักษ์มรดกอิสลาม

[addullslam]

" " " ตอบโต้การหลงทางของนัซรอนีย์ " " "
ในครั้งที่พระองค์อัลลอฮฺผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ท่าน ศาสนทูตอีซา รอดพ้นจากแผนร้าย
ของเหล่าศัตรู และพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงยกท่านไปยังพระองค์นั้น บรรดาปวงปราชญ์
ชาวนัซรอนีย์ที่เหลืออยู่นั้นตกอยู่ภายใต้การคุกคามของชาวโรมัน ดังนั้นส่วนใหญ่จาก
พวกเขาจึงกบดานอยู่กับที่ซ่อนและถูกจับได้ก็ถูกฆ่า ต่อมา ความงมงายก็มีมากขึ้น
ในหมู่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับแท้และดั่งเดิมของนบีอีซา นั้ได้อัตรธานหาย
สาบสูญ พวกเขาจึงคิดเอาไบเบิ้ลต่างๆที่เขียนขึ้นโดยฝีมือของพวกเขาเองมาแทนคัมภีร์
ไบเบิ้ลของนบีอีซา และผู้เขียนแต่ละคนได้บันทึกชื่อเสียงเรียงนามของเขาลงในไบเบิ้ลที่ตน
เขียนและไบเบิ้ลของคนหนึ่งก็ยังต่างไปจากไบเบิ้ลของอีกคนหนึ่งอีกต่างหาก และในที่สุด
พวกเขาก็มีหลากหลายในไบเบิ้ล อาทิเช่น ไบเบิ้ลของนักบุญแมททิว ไบเบิ้ลของนักบุญ
โยฮัน ไบเบิ้ลของนักบุญมาคัซ ไบเบิ้ลของนักบุญลูค ไบเบิ้ลของนักบุญบาร์นาบา และอื่นๆ
จนกระทั่งไบเบิ้ลนั้นมีจำนวนมากกว่าเจ็บสิบไบเบิ้ล และหลังจากนั้นต่อมา บรรดาปวงปราชญ์
ที่เป็นแกนนำศาสนาของนัซรอนีย์ในยุคนั้นได้จัดประชุมสมัชชาขึ้นเพื่อชำระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ที่หลากหลาย และในที่สุดที่ประชุมได้มีมติให้ยึดถือเพียง 4 ไบเบิ้ลเท่านั้น อันได้แก่
ไบเบิ้ลแมททิว ไบเบิ้ลลูค ไบเบิ้ลมาคัซ และไบเบิ้ลโยฮัน ส่วนที่เหลือมีมติให้เผาทิ้ง
พวกนัซรอนีย์เชื่อว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺ(พระยะโฮวา)เจ้านั้น เป็นหนึ่งจากสามองค์
และนบีอีซาเป็นพระบุตรของอัลลอฮฺ (พระองค์อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์ยิ่งจากสิ่งต่างๆที่พวกเขา
ได้แสกสรร) หลังจากนั้นต่อมาพวกเขาได้กล่าวว่า พระเจ้านั้นมีองค์เดียว แต่พวกเขาเชื่อ
ในสิ่งที่ไม่กินกับปัญญา เพราะพวกเขาเชื่อว่า องค์เดียวนั้นเป็นสามองค์ในเวลาเดียวกัน
" ท่านฮัลบูซีรี ได้กล่าวว่า "
" พวกเขาทำ3กลายเป็น1 หากแม้นว่าพวกเขาอยู่ ในทางถูกแล้วไซร้ พวกเขาคงไม่ทำให้
จำนวนมากกลายเป็นจำนวนน้อยหรอกน่า"
และพวกเขายังเชื่อว่า พระเจ้า นบีอีซานั้นตายโดยถูกตรึงไม้กางแขน ทั้งๆ ที่พวกเขานั้นเชื่อว่า
เหล่าเทพ(มะลาอิกะฮฺ) นั้นไม่ตาย และเขาเชื่อว่า พวกยิวและพวกโรมันคือฆาตกรที่ฆ่า
นบีอีซา ทั้งๆในคัมภีร์ไบเบิ้ลของพวกเขาเองได้ยืนยันว่า หลังจากเหตุการณ์ตรึงไม้กางเขนนั้น
สาวกบางคนได้พบกับท่านยังมีชีวิตอยู่
" " " อัลลอฮฺตรัสว่า " " "
" และพวกเขาไม่ได้ฆ่า(นบีอีซา) และไม่ได้ตรึงเขาบนไม้กางเขน แต่ทว่าเขาถูกทำให้ละม้าย
แก่พวกเขา และแท้จริงบรรดาผู้ขัดแย้งในเรื่องนี้แน่นอนอยู่ในการสงสัยเกี่ยวกับมัน
พวกเขาไม่มีความรู้ใดๆ นอกจากเพียงแต่ตามสันนีฐานเท่านั้น และพวกเขาไม่ได้ฆ่าเขา
อย่างแน่นอน แต่ทว่าพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงยกเขาขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก
และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ" (อันนิซาอฺ ที่157ถึง158)

[addullslam]

อนึ่ง การที่พวกนัซรอนีย์กล่าวว่า อีซานั้นไม่มีใครเป็นบิดาของเขา ซึ่งชี้ให้เห็นตามความเชื่อ
ของพวกเขาว่า พระยะโฮวา(อัลลอฮฺ) ทรงเป็นบิดาของเขา และคัมภีร์อัลกุรอานได้ตอบโต้
แก่พวกเขาว่า
" " แท้จริงอุปมาของอีซา ณ อัลลอฮฺ ประหนึ่งอุปมัยของอาดัม พระองค์ได้ทรงสร้างเขาจากดิน
แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า จงเป็นแล้วเขาก็เป็น ความจริงนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า
ดังนั้น จงอย่าเป็นผู้หนึ่งจากหมู่ผู้สงสัย (อาละอิมรอน ที่59)
นอกจากนั้น อัลลอฮฺได้ทรงแจ้งว่า แท้จริงอีซานั้นเป็นมนุษย์ เคยกินอาหาร และแน่นอน
ผู้ที่กินอาหารนั้นต้องถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ฉนั้นผู้ที่กิน ดื่ม และถ่ายปัสสาวะนั้นจะบังอาจ
มาเป็นพระเจ้าได้อย่างไร
พระองค์ตรัสว่า
" " มะเซียหฺลูกของมัรยัมนั้น มิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นศาสนทูตคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแน่นอน
บรรดาศาสนทูตก่อนเขานั้นได้ล่วงลับไปแล้ว และแม่ของเขาเป็นหญิงที่ซื่อสัตย์แจ่มแจ้ง
แกพวกเขาอย่างไร แล้วจงดูเถิดว่า พวกเขาถูกหันเหได้อย่างไร" " (อัลมาอิดะฮฺ ที่75)
" " " ผู้ทรงตอบรับคำวิงวอนของผู้เดือดร้อน " " "
เป็นการง่ายสำหรับมนุษย์ทุกคนที่จะรู้จักพระเจ้าของเขาด้วยความไกล้ชิด นั่นก็คือการเห็น
เหตุการณ์ในการตอยรับคำวิงวอนจากพระองค์ กล่าวคือ เมื่อมีการแห้งแล้งเกิดขึ้น ณ ที่ใด
อิสลามมีบัญญัติให้ชนในที่นั้นทำการละหมาดขอฝนจากพระเจ้า และมีบ่อยครั้งที่บรรดาผู้
ศรัทธาได้ออกไปทำการละหมาดขอฝนจากพระเจ้าเบื้องบน ด้วยดวงใจที่บริสุทธิ์และสำรวม
และแล้วพระองค์ก็ทรงสนองตอบพวกเขาในทันทีทันใดก่อนที่พวกเขาจะกลับมาถึงบ้าน
และฝนนั้นตกเฉพาะหมู่บ้านที่ได้ทำการละหมาดขอเท่านั้น ส่วนหมู่บ้านใกล้เคียงนั้นฝน
ไม่ตกเลย (เรื่องนี้ผู้แปลเคยประสบมากับตัวเองในสมัยเป็นนักเรียน) ครับมีบ่อยครั้งที่บรรดา
ผู้เดือดร้อนพบทางเปื้องทุกข์อันเนื่องจากการวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา
" " อัลลอฮฺตรัสว่า " "
" " หรือผู้ใดเล่าจะทรงสนองตอบผู้มีทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนต่อพระองค์ และทรงปัดเป่าความชั่วร้าย
และทรงทำให้พวกท่านเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ยังมีพระเจ้าอื่นเคียงคู่กับอัลลอฮฺกระนั้นหรือ
น้อยนักที่พวกท่านจะใคร่ครวญ " " (อัน นัมลุ ที่62)
" นักกวีอาหรับพูดว่า "
และความแห้งแล้งได้ประสบกับบรรดามุสลิมบ่อยครั้งแล้วพวกเขาได้ออกไป(ขอฝน)
ทั้งคนชราและเด็กและพวกเขาวิงวอนขอการปัดเป่าจากพระเจ้า แล้วพวกเขาก็ได้รับความสำเร็จ
สมปรารถนา ธรรมชาติหรือเจว็ตที่ตอบรับหรือว่าพระผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงปัดเป่านานาทุกข์
เป็นผู้ตอบรับ

[addullslam]

" " ท่าทีของบรรดาผู้ปฎิเสธที่มีต่อบทพิสูจน์การศรัทธา " "
ข้อพิสูจน์การศรัทธาต่ออัลลอฮฺผู้เป็นเจ้านั้นมีมากเท่ากับจำนวนสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง
เพราะแต่ละสิ่งนั้นเป็นข้อพิสูจน์ถึงลักษณะของผู้สร้างมัน แต่ทว่า เหล่าผู้ปฎิเสธนั้นไม่ได้ประโยชน์
อันใดจากข้อพิสูจน์ต่างๆเหล่านี้เลย เพราะหัวใจของพวกเขานั้นอักเสบไร้สมรรถภาพในการรับแสง
สว่างจากพระเจ้า ซึ่งต่างกับสภาพหัวใจที่ศรัทธาดังที่ผ่านมาแล้ว ฉนั้นท่านจึงเห็นว่าผู้ปฎิเสธนั้น
หันเหจากโองการต่างๆของอัลลอฮฺและโต้เถียงด้วยสิ่งไร้สาระ
อัลลอฮฺตรัสว่า
" " " และในหมู่มนุษย์มีผู้โต้เถียงในเรื่องของอัลลอฮฺ โดยไม่มีความรู้ ไม่มีทางนำ และไม่มีคำภีร์
อันจรัสแสง(มาอ้างอิง) " " " (อัล หัจญ์ ที่แปด)
และบรรดาผู้ปฎิเสธนั้น จะยะโสโอหังกับโองการต่างๆของพระองค์ พระองค์อัลลอฮฺตรัสว่า
" " " และพวกเขาได้ปฎิเสธมันอย่างอยุติธรรมและเย่อยิ่ง ทั้งที่หัวใจของพวกเขายอมรับมัน " " "
(อัน นะห์ลุ ที่14) และพวกเขาชอบเอาความจริง ไปเคล้ากับความเท็จ
พระองค์ตรัสว่า
" " " และพวกเจ้า จงอย่าเคล้าความจริงด้วยความเท็จ และจงอย่าปิดบังความจริง ทั้งๆที่พวกเจ้ารู้ " " "
(อัล บะเกาะเราะฮฺ ที่42) นอกจากนั้น ท่านจะเห็นว่า พวกเขาจะขัดขวางทางของอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺตรัสว่า
" " " แท้จริงผู้ปฎิเสธศรัทธาและขัดขวางทางของอัลลอฮฺนั้น แน่นอนพวกเขาได้หลงทางแล้วอย่าง
ไกลลิบลับ " " " (อัน นิซาห์ ที่167)
" " ความเชื่อถือตามประเพณีนิยมในลัทธิที่ปฎิเสธศรัทธาในพระเจ้า " "
เอกลักษณ์สำคัญประการหนึ่งในกลุ่มผู้ปฎิเสธนั้น ก็คือพวกเขาจะปฎิเสธการศรัทธาในพระเจ้า
ทั้งๆที่มีหลักฐานชัดเจน พวกเขาจะเปลี่ยนการศรัทธาเป็นการปฎิเสธโดยไม่คำนึงถึงหลักฐานใดๆ
ครับมันไม่ใช่อะไรนอกจากหลับตาตามเยี่ยงคนตาบอด
พระองค์อัลลอฮฺ ตรัสว่า " " " และเมื่อมีการกล่าวแก่พวกเขาว่า จงมาสู่สิ่งที่อัลลอฮฺ ได้ทรงประทาน
ลงมาและมาสู่ท่านรอซูล พวกเขากล่าวว่า พอเพียงแล้วสำหรับเรา(ประเพณีต่างๆ)ที่เราได้พบที่
บรรพบุรุษของเรา ถึงแม้ว่าทั้งๆที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่รู้อะไรเลยและไม่ได้รับทางนำกระนั้นหรือ " " "
(อัล มาอิดะฮฺ ที่104)

[addullslam]

" " อุปโลคข้อสงสัย " "
วิธีการหนึ่งของผู้ปฎิเสธ เพื่อขัดขวางกลุ่มผู้ศรัทธา คือการอุปโลคข้อสงสัยต่างๆที่เป็นผลร้ายแก่กลุ่ม
ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ในหลักการศรัทธาของพวกเขา อันได้แก่กลุ่มที่ศรัทธาอักเสบยุคปัจจุบันนี้
หนึ่งจากข้อสงสัยนั้นก็คือ พวกเขามักจะตอกย้ำทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า "ไม่เห็นไม่เชื่อซึ่งเป็น
ทฤษฎีของพวกยิวที่เคยใช้กับ นบีมูซา(โมเสส)" ดังที่อัล กุรอานได้เล่าไว้
ความว่า " " " และ(จงรำลึกถึง)ขณะที่พวกเจ้ากล่าวว่า โอ้มูซา เราจะไม่ศรัทธาต่อท่าน
จนกว่าเราจะเห็นอัลลอฮฺโดยเปิดเผย " " " (อัลบะเกาะเราะฮฺ ที่55)
ทั้งๆที่พวกเขาเชื่อว่ามีปัญญา มีอากาศ มีแรงดึงดูดของโลก มีกระแสคลื่นวิทยุและโทรทัศน์
ซึ่งถูกส่งมาจากที่ไกลๆ โดยที่พวกเขาไม่เคยเห็นตัวตนของสิ่งเหล่านี้ ด้วยตาของพวกเขาเลย
แต่ว่าพวกเขาเห็นเพียงร่องรอยของปัญญาที่ปรากฎในผลงานต่างๆของชนชั้นปัญญา และเห็น
ร่องรอยของลมที่เกิดขึ้น ด้วยการไหวของกิ่งไม้และอื่นๆ และเห็นร่องรอยการดึงดูดของโลก
โดยการเห็นสิ่งต่างๆหล่นลงมาและเห็นร่องรอยกระแสคลื่น ซึ่งปรากฎออกมาเป็นเสียงและภาพ
ที่เครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์
พวกเขาเชื่อในสิ่งต่างๆเหล่านี้ หลังจากเห็นร่องรอยต่างๆของมัน ครั้นสายตาหมดสมรรถภาพที่
จะเห็นได้แล้ว สมองและปัญญาก็ทราบได้ว่า ต้องมีผู้ให้เกิดร่องรอยต่างๆนั้นอย่างแน่นอน
หากแม้ว่า บรรดาผู้ปฎิเสธสลัดทิฐิของพวกเขา ซึ่งมีสายตาที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถมองเห็น
ผู้อยู่ข้างนอกสถานที่ได้แล้วใซ้วิจารณญาณแล้ว แนนอน พวกเขาจะพบว่า ตัวของพวกเขาพร้อม
ทั้งสรรพสิ่งในโลกอันได้แก่ฟ้า แผ่นดินนั้น มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นเพียงร่องรอยและหลัดฐานบทพิสูจน์
ที่ชัดเจน ที่เป็นพาหะนำพวกเขาไปรู้จักกับพระผู้ทรงบังเกิดเกล้าของพวกเขา
แท้จริงสายตาอันแสนสั้นของมนุษย์นั้น แค่ดวงดาวต่างๆซึ่งเป็นเครื่องประดับของท้องฟ้าก็ไม่สามารถ
มองเห็นอย่างละเอียดได้ แล้วไยจะสามารถมองเห็นพระผู้ทรงประทับอยู่เหนือพระราชบัลลังค์ที่สูงยิ่งได้
ดังหะดีษบทหนึ่งกล่าวว่า
" " ฟ้าทั้งเจ็ดนั้นเทียบกับพระที่นั่งของพระองค์แล้วก็เพียงแค่สตางค์7เหรียญใส่อยู่ในโล่ และพระที่นั่งนั้น
เมื่อเทียบกับพระราชบัลลังค์ก็เพียงแค่ห่วงเหล็กที่กลางทะเลทราย " " (รายงานโดย อิบนุยะรีรและอบูซัรริน)
เมื่อสายตาของมนุษย์ไม่อาจทนมองดวงอาทิตย์ตรงๆได้โดยเฉพาะในตอนเที่ยง และไฉนเลยจะทนมอง
พระรัศมีแห่งอัลลฮฺ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และสูงส่งได้
หาเแม้ว่า พระองค์อัลลฮฺทรงปรากฎโฉมที่แท้จริงให้ประจักษ์แก่สายตาของปวงบ่าวของพระองค์ในโลกนี้
แล้วไซร้ การปรากฎนั้นก็จะคร่าทุกชีวิตให้ต้องมีอันเป็นไป และเมื่อนั้นโลกนี้ก็จะใช้เป็นเวทีแห่งการทดสอบ
บรรดาบ่าวของพระองค์ให้ศรัทธาไม่ได้อีกต่อไป เพราะขณะนั้น การศรัทธาจะเป็นไปในรูปของการบีบบังคับ
(ไม่ใช่ทดสอบเพื่อศรัทธา)เพราะถ้าผู้ใดเห็นแล้วไม่เชื่อก็ต้องตายทุกคน ก็จำเป็นต้องเชื่อ
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ผิดพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างโลกนี้

[addullslam]

พระองค์ตรัสว่า
" " " อะลีฟ ลาม มีม มนุาย์คิดหรือว่า พวกเขาจะถูกทอดทิ้งไว้เพียงแต่พวกเขากล่าวด้วยลิ้นว่า
เราได้ศรัทธาแล้วโดยไม่ถูกทดสอบ และแน่นอนยิ่งเราได้เคยทดสอบบรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวก
เขามาแล้ว และแน่นอนอัลลอฮฺจะทรงจำแนกบรรดาผู้ซึ่งพวกเขาสัตย์จริง(ในการศรัทธา)
และจะทรงจำแนกบรรดาผู้ที่โกหก " " " (อัล อังกะบูต ที่1ถึง3)
ในอดีตการนั้น นบีมูซา(โมเซส)เคยขออนุญาตดูพระผู้อภิบาลของเขา ดังปรากฎในคัมภีร์อัลกุรอาน
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
" " " และเมื่อมูซามายัง(ภูเขาซีนาย)ตามหมายกำหนดการของเรา แล้วพระผู้อภิบาลของเขาได้ตรัส
แก่เขา(โดยไม่มีสือ) มูซา กล่าวว่า ข้าแต่องค์อภิบาลของฉัน ได้โปรดแสดงโฉมพระองค์แก่ฉันเถิด
ฉันจะได้ดูพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจะไม่เห็นเราหรอก แต่เจ้าจงดูที่ภูเขานั้น หากมันยังมั่นอยู่
กับที่ของมัน แล้วต่อไปเจ้าก็จะได้เห็นเราได้ ดังนั้นเมื่อผู้อภิบาลของเขาทรงเผยพระเกียรติของพระองค์
แก่ภูเขานั้น ภูเขาได้แตกเป็นเสี่ยงๆ และมูซาล้มลงสลบ แล้วเมื่อฟื้นขึ้น เขากล่าวว่ามหาบริสุทธิ์
แด่พระองค์ข้าพระองค์ขอลุกะโทษต่อพระองค์ และข้าพระองค์เป็นคนแรกของหมู่ผู้ศรัทธา " " "
(อัล อะฮฺรอฟ ที่143)
(คำอธิบาย) ภูเขาซีนายแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ขนาดไหนยังแตกเป็นเสี่ยง และมูซาล้มสลบเพียงมอง
ภูเขาที่กำลังเห็นพระองค์ ถ้ามนุาย์ อย่างมูซาเห็นพระองค์ตรงๆร่างของมูซาคงกลายเป็นจุณ มหาจุณ
เป็นแน่ หากบรรดาผู้ปฎิเสธสลัดทิฐิของพวกเขาทิ้งไปแล้วไซร้ แนนอนพวกเขาจะรุ้จักพระผู้อภิบาล
ที่แท้จริงของพวกเขาได้ โดยผ่านทางศาสนทูตที่สัตย์จริงของพระองค์ ที่ได้เคยนำมาซึ่งนานา ปาฎิหารย์
พร้อมทั้งหลากหลายหลักฐานที่ยืนยันว่า เหล่าศาสนทูตนั้น เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจมากที่สุด
ของมนุษย์โลก เกี่ยวกับสัจธรรมคำสอนของพระเจ้า

[addullslam]

" " การตั้งเงื่อนไขในการรับการศรัทธา " "
มีผู้ตั้งเงื่อนไขที่จะรับการศรัทธาต่ออัลลอฮฺว่า อัลลอฮฺต้องสนองตอบข้อเสนอของเขาก่อน
จึงจะศรัทธา เช่นเขากล่าวว่า เมื่ออัลลฮฺทรงประสงค์ที่จะให้ฉันศรัทธาต่อพระองค์
พระองค์ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ และเรื่องนี้นั้นไม่ต่างไปกับคำพูดของบรรดาผู้ปฎิเสธ
ดังกุรอานได้เล่าเรื่องราวของพวกเขาไว้ว่า
" " " และพวกเขากล่าวว่า เราจะไม่ศรัทธาจนกว่าท่าน(มุฮัมมัด)จะทำให้น้ำพุพวยพุ่งออก
มาจากพื้นดิน เพื่อเราหรือจนกว่าท่านจะมีสวนอินทผลัมและองุ่นและให้มีลำธารหลายสาย
พวยพุ่งท่ามกลางมันอย่างหลั่งล้น หรือจนกว่าท่านจะให้ฟ้าหล่นลงมาทับพวกเราเป็นเสี่ยงๆ
ดังที่ท่านเคยอ้างขู่พวกเราหรือจนกว่าท่านจะนำเอา อัลลอฮฺและมลาอิกะฮฺ(ทูตสวรรค์ของพระองค์)
มาไว้ข้างเรา " " " (อัลอิสรอฮฺ ที่90)
ถ้าสมมุติว่า อัลลฮฺทรงให้ทางสู่ศรัทธา คือการตอบรับข้อเรียกร้องต่างๆของมนุษย์ ก็อาจมีบางคน
ตั้งข้อแม้ในการศรัทธาของเขาว่า อัลลอฮฺต้องบัลดาลให้กลางวันเป็นกลางคืน ดวงอาทิตย์เป็น
ดวงจันทร์ แผ่นดินเป็นชั้นฟ้า และผู้ชายเป็นผู้หญิง และอีกคนตั้งข้อแม้กลับกัน และอีกคนตั้งข้อแม้
ให้ฆ่าคนนั้นและทำลายเมืองนั้นๆ อีกคนต้องการกลับกันอีก และเมื่อนั้นแหละฟ้าและแผ่นดิน
ก็คงจะค้องวิบัติ พระองค์ตรัสว่า
" " " และหากว่าสัจธรรมความจริงนั้น ต้องดำเนินไปให้สอดคล้องกับอารมณ์ฝ่ายต่ำของพวกเขาแล้ว
ไซร้ ชั้นฟ้ากับแผ่นดิน อีกทั้งผู้อยู่ในนั้นต้องวิบัติแน่ " " " (อัล มุมินูน ที่71)
แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺได้ทรงนำหลักฐานต่างๆที่พอเพียงไว้ในสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกนี้และได้ทรงเนรมิต
หู ตา และหัวใจให้พวกเรา เพื่อเราจะได้ศึกษาให้รู้จักพระองค์ ฉะนั้นข้อตอบโต้จึงถูกรับไว้และข้อ
สงสัยจึงตกไป

[addullslam]

" " " การรู้จักอัลลอฮฺ โดยบรรดา พระนามและลักษณะของพระองค์ " " "
ความสำคัญในการรู้จักบรรดาพระนามและคุณลักษณะ เมื่อมีคนกล่าวแก่ท่านว่า
คนนั้นๆเป็นคนใจบุญ แน่นอนคนนั้นมีลักษณะให้ผู้ที่มาขอและขณะเดียวกันท่านก็
จะอยากได้ในสิ่งที่เขาจะให้และนิยมชมชอบเขา และท่านก็จะหาประโยชน์จากการ
รู้จักลักษณะนี้ เมื่อท่านมีความต้องการ และตรงกันข้าม หากท่านทราบว่าเขาเป็นคน
ตระหนี่ถี่เหนียว และเมื่อมีคนบอกกับท่านว่า รัฐบาลนี้ปกครองประเทศด้วยความยุติธรรม
สนใจสารทุกข์ของประชาชนและลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎระเบียบ ท่านก็จะเห็นว่าประชาชน
ในประเทศนั้นจะดำเนินชีวิตตามระบอบที่จะอำนวยประโยชน์แก่พวกเขา อันได้แก่ การให้
บริการของรัฐ ความยุติธรรมและการเคารพกฎระเบียบ และท่านจะเห็นว่าประชาชนจะรักและ
นิยมรัฐบาลนั้นเท่าๆกับคุณธรรมความดีที่เป็นที่โดดเด่นของรัฐบาลนั้นๆ และในเวลาเดียวกัน
ท่านจะเห็นว่า พวกเขาจะหลีกเลี่ยงการก่อกรรมทำผิดที่จะเป็นสาเหตุให้พวกเขาต้องถูกลงโทษ
และสำหรับอัลลอฮฺนั้นมีอุปมัยอันสูงส่ง ฉะนั้นผู้ใดรู้จักบรรดาลักษณะและพระนามอันสมบูรณ์
ของพระองค์แล้ว ภูมิแห่งการรู้จักพระเจ้าผู้กุมอำนาจแห่งฟ้าและแผ่นดิน ก็จะกว้างขึ้น
และท่านจะเห็นความประพฤติและการประพฤติของเขานั้นกลมกลืนกันกับการรู้จักบรรดาพระนาม
และลักษณะต่างๆของพระองค์
อนึ่ง บรรดาผู้ที่ประฎิเสธเรื่องพระเจ้านั้น พระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงพวกเขาว่า
" " " พวกเขาไม่ถวายพระเกียรติแด่อัลลอฮฺสมกับที่พระองค์เป็นเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง
ผู้ทรงอำนาจยิ่ง " " "(อัล ฮัจญฺ ที่74)
อัลกุรอานได้เตือนเรื่องการบิดเบือนบรรดาพระนามของพระองค์อัลลอฮฺไว้ พระองค์มีดำรัสว่า
" " " และอัลลอฮฺทรงมีพระนามที่งามยิ่ง ฉะนั้น พวกเจ้าจงเรียกพระองค์ตามพระนามต่างๆนั้น
และจงทิ้งบรรดาผู้ละเมิดในพระนามทั้งหลายของพระองค์ ในไม่ช้าพวกเขาจะถูกตอบแทนผลกรรม
ที่ก่อไว้ " " " (อัล อะหฺรอฟ ที่180)
เช่นเดียวกัน อัลกุรอานได้เตือนเรื่องการตั้งลักษณะของอัลลอฮฺด้วยความหมายที่ไม่เหมาะสม
กับสถานภาพของพระองค์ พระองคืได้ตรัสว่า
" " " อัลลอฮฺมิได้ทรงตั้งผู้ใดเป็นบุตร และไม่มีพระเจ้าอื่นใดร่วมกับพระองค์ ถ้าเผื่อมีพระเจ้าอื่นๆ
อีกแน่นอน พระเจ้าแต่ละองค์ก็จะแย่งปกครองเฉพาะที่ตนสร้าง และแน่นอนบางองค์ของพวกเขา
คงจะเหนือกว่าอีกบางองค์ พระองค์อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาเสกสรร " " "(อัล มุอฺมินูน ที่91)

[addullslam]

" " " โองการของพระองค์คือทางที่ดีที่สุดสู่การรู้จักพระนามและพระลักษณะทั้งหลายของพระองค์ " " "
อันความรู้ของมนุษย์ต่อสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น ย่อมมีขีดจำกัด แล้วไฉนเลยความรู้ของเขาจะหยั่งรู้
อัลลอฮฺเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายได้ ฟ้าทั้งเจ็ดนั้นเทียบกับพระที่นั่งของพระองค์แล้วก็เสมือน
เหรียญ 7 เหรียญอยู่ในโล่ และพระที่นั่งที่ว่าใหญ่นั้นเทียบกับพระราชบัลลังค์ของพระองค์ก็เสมือน
ห่วงเหล็กที่ถูกกว้างไปกลางทะเลทราย
อัลลอฮฺตรัสว่า " " " พระผู้ทรงกรุณาทรงประทับอยู่บนพระราชบัลลังค์ " " "(ต่อฮา ที่5)
ขอบเขตของดวงดาวที่เป็นเครื่องประดับอลังการของท้องฟ้านั้น ความรู้ของเราก็เกือบจะไปไม่ถึงอยู้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถจะรู้องค์ประกอบที่แท้จริงของอัลลอฮฺได้
อัลลอฮฺตรัสว่า " " " และพวกเขาไม่ได้ล้อมรอบถึงสิ่งใดจากความรู้ของพระองค์ เว้นแต่สิ่งที่พระองค์
ทรงประสงค์เท่านั้น พระที่นั่งของพระองค์ กว้างใหญ่ไพศาลทั้งฟากฟ้าและแผ่นดิน การพิทักษ์
ทั้งสองนั้นไม่ลำบากต่อพระองค์ ด้วยพระองค์ทรงสูงส่งทรงมหัรต์ " " "(อัล บะเกาะเราะฮฺ ที่255)
เราจะไม่รู้จักพระองค์อัลลอฮฺ อย่างแท้จริงได้นอกจากด้วยมีการสอนมาจากพระองค์เท่านั้น
และการแจ้งการสอนจากอัลลอฮฺนั้นได้มีมาถึงเราแล้ว เราจึงรู้จักพระองค์ทั้งตัวตนของพระองค์
พระนามทั้งหลายของพระองค์ และพระลักษณะทั้งหลายของพระองค์ และเราก็เชื่อตามที่พระองค์
และศาสนทูตของพระองค์ได้บอกและสอนไว้ เราหยุดแค่นี้พอโดยไม่บังอาจไปก้าวก่ายโดยการตีความ
โดยวินิจฉัยเองเกินที่อัลลอฮฺและรอซูลบอกไว้ และเราทุกคนขอแซ่ซ้องสดุดีพระองค์
ด้วยการกล่าวเรียกพระนามและพระลักษณะต่างๆของพระองค์ตามที่พระองค์ได้ทรงสอน

[addullslam]

" " " อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์จากการเหมือนกับโลกทั้งรูปธรรมและนามธรรม " " "
เมื่อมีผู้กล่าวว่า กษัตริย์องค์นั้นทรงใจบุญ และบรรดาองครักษ์ของพระองค์ก็ใจบุญ
แน่นอนผู้ฟังนั้นจะต้องแยกการใจบุญระหว่างกษัตริย์และบรรดาองครักษ์ของพระองค์ ทั้งๆที่ทุกคน
ก็มาจากลูกหลานอาดัมเหมือนกัน เมื่อมีผู้กล่าวแก่ท่านว่า อัลลอฮฺ(พระเจ้า)ทรงใจบุญแน่นอนท่าน
นั้นจะไม่ สงสัยเลยว่าการใจบุญของพระเจ้านั้นย่อมไม่เหมือนกับการใจบุญของบรรดาบ่าวทาส
ของพระองค์ และทุกลักษณะของพระองค์นั้นก็ในทำนองเดียวกัน ความรู้ของพระองค์ไม่เหมือนความรู้
ของบรรดาบ่าวทาสของพระองค์ และปรัชญาของพระองค์ก็ไม่เหมือนปรัชญาของโลกทั้งหลาย
ความเมตตาของพระองค์ต่อบรรดาผู้ศรัทธา และการลงโทษของพระองค์ต่อบรรดาผู้ปฎิเสธนั้นไม่เหมือน
ความเมตตาและการลงโทษของบรรดาบ่าวทาสของพระองค์ซึ่งถูกสร้าง ลักษณะของพระองค์ทั้งหมด
มีความสมบูรณ์สูงสุด ปราศจากใดๆเสมอเหมือน
" " พระองค์ตรัสว่า " "
" " " ไม่มีสิ่งใดๆเหมือนกับพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น " " "(อัซ ซูรอ ที่11)
" " " การศรัทธาต่อพระนามและพระลักษณะของพระองค์อัลลอฮฺ ดังที่มีอยู่ในคัมภีร์กุรอานและหะดีษ " " "
(คำสอนของอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์)
นับเป็นความโปรดปรานของพระองค์ ที่ได้ทรงสอนเราให้รู้จักพระองค์ไว้ในคัมภีร์ของพระองค์และในคำสอน
ของท่านศาสนทูตของพระองค์ ทรงสอนเราว่าพระองค์นั้นมีบรรดาพระนามที่งามยิ่งและมีพระลักษณะที่
สมบูรณ์สูงสุด ไม่มีใครสามารถให้ลักษณะอัลลอฮฺดีและประเสริฐกว่าการที่พระองค์ทรงให้ลักษณะของ
พระองค์เอง และในเวลาเดียวกันไม่อนุญาตให้ผู้ศรัทธาคนใดให้ลักษณะของพระองค์ด้อยกว่าที่พระองค์
ได้ทรงสอนไว้

[addullslam]

" " " เป็นไปไม่ได้ที่จะหยั่งรู้ว่าพระองค์นั้นเป็นอย่างไร " " "
มีสตรีชาวอังกฎษคนหนึ่ง ซึ่งสามีของนางได้เข้ารับอิสลาม โดยน้ำมือของท่านเช็คอับดุลลอฮฺ อัล ฮะกีมี
นางได้โต้เถียงกับท่านเช็คว่า นางจะไม่ศรัทธาต่อองค์อัลลอฮฺ เว้นแต่เมื่อนางได้เห็นอัลลอฮฺ
ทั้งส่วนสูงและส่วนกว้างของพระองค์ ท่านเช็คได้ถามนางว่า แล้วเธอยังรักสามีคนนี้ไหม? นางตอบว่ารัก
เช็คตอบว่า ฉันไม่เชื่อ นางถามว่าเพราะอะไร เช็คตอบว่า ฉันไม่เชื่อว่าเธอรักสามีจนกว่าฉันจะเห็นว่า
ความรักนี้เป็นอย่างไร? มีน้ำหนักกี่ชั่ง สีอะไร สูงและกว้างเท่าไร นางยืนยันว่าอันความรักนั้นมีแน่
แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร? เช็คตอบว่า พระเจ้านั้นมีอุปมัยอันสูงส่งยิ่ง เราศรัทธาต่อพระองค์โดย
พระองค์นั้นทรงสูงเกินกว่าที่เราจะหยั่งรู้ได้ ในโลกนี้มีสิ่งมากมายที่เราเชื่อว่ามีโดยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร
การหลับจะมาประสบกับเราโดยเราไม่รู้ว่าตัวมันเป็นอย่างไร และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เช่นเดียวกับการตื่น
ความดีใจ ยิ่งไปกว่านั้นคนส่วนใหญ่นั้นพวกเขายังไม่รู้จักว่าไฟฟ้านั้น ตัวมันเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็เชื่อว่ามี
ด้วยหลักฐานทางปัญญา กับหลักฐานที่ได้มาจากคำสอนของพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์เราได้ทราบว่า
พระองค์อัลลอฮฺนั้นไม่ใช่โลก และโลกนั้นไม่ใช่พระองค์ จึงจำเป็นที่คุณลักษณะของพระองค์นั้น
ต้องต่างกับลักษณะต่างๆของโลก สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นมีลักษณะที่บกพร่อง แต่พระองค์นั้น ทรงเป็นองค์ที่
บริสุทธิ์สมบูรณ์ทุกประการ
การพรรณาคุณลักษณะของพระองค์นั้น ได้มีปรากฎอยู่ในคัมภีร์ของพระองค์ และในคำสอนของศาสนทูต
ของพระองค์ เราจะเชื่อและศรัทธาดังที่พระองค์และศาสนทูตของพระองค์ทรงบอก โดยไม่ถามว่าพระองค์
เป็นอย่างไร? พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
" " " ไม่มีสิ่งใดๆเหมือนพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น " " "(อัซ ซูรอ ที่11)
พระองค์ทรงได้ยิน ทรงเห็น แต่การได้ยินของพระองค์ไม่เหมือนการได้ยินของสรรสิ่งในโลก และการเห็นของ
พระองค์ก็ไม่เหมือนกับการเห็นของโลก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ด้วยพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงสูงส่ง

[addullslam]

" " " ปัญญากับความคิด " " "
พระองค์อัลลอฮฺผู้เป็นเจ้า ทรงประทานปัญญาให้กับมนุษย์ เพื่อคิดและพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ
และเพื่อจำแนกความถูกออกจากความผิด สิ่งเป็นคุณออกจากสิ่งเป็นโทษ
และพระองค์ทรงให้ปัญญานั้นเป็นหลักเกณฆ์ของศาสนา ฉะนั้นผู้ที่เสียสตินั้น พระองค์จะไม่ทรง
ลงโทษเขา อัลลอฮฺทรงบันดาลให้ปัญญามีพลังอันกว้างขวาง ทรงสร้างพลังให้มนุษย์คิดสิ่งต่างๆ
เพื่อช่วยให้เขาได้จัดระบบและวางแผนงานต่างๆ แต่ทว่า พลังคิดของมนุษย์นั้น อ่อนแอและมีขีด
ขอบจำกัด เมื่อท่านทราบว่ามีเมืองหนึ่งตั้งอยู่ประเทศนั้นๆ ท่านก็คิดว่า เมืองนั้นมีอะไรต่อมิอะไรมากมาย
และท่านก็จินตนาการสิ่งต่างๆเหล่านั้นในใจ แต่เมื่อท่านเดินทางไปเห็นเมืองนั้นจริงๆ แล้วก็จะปรากฎว่า
ไม่ตรงกับที่จินตนาการไว้ก่อน
และเมื่อมีคนเคาะประตู ท่านก็จะคิดว่ามีผู้เคาะประตู แต่ท่านไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผู้เคาะนั้นเป็น
ใครกันแน่ สูง กว้างเท่าไร ผิวอะไร ขนาดใหญ่โตแค่ไหน พลังความคิดเจาะกำแพงประตูไปได้เพียงแค่
ทราบว่ามีผู้เคาะประตูเท่านั้น ในขณะที่พลังแห่งจินตนาการนั้นไร้สมรรถภาพ เพราะถูกปิดกั้นโดยกำแพง
ประตู พระองค์อัลลอฮฺนั้นทรงมีอุปไมยที่สูงส่ง ปัญญานั้นเชื่อศรัทธาต่ออัลลอฮฺโดยที่พลังแห่งจินตนาการนั้น
ไร้สมรรถภาพ จากการจินตนาการถึงอาตมาภาพ ที่แท้จริงแห่งองค์อัลลอฮฺได้
" " " ไม่มีสิ่งใดๆเหมือนพระองค์ และพระองค์เป็น ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น " " " อัซซูรอ ที่ 11

[addullslam]

" " " บรรดาพระนามที่งามยิ่ง " " "
พระองค์อัลลอฮฺทรงมีพระนามที่งามยิ่ง และสำหรับพระองค์มี 99 พระนาม ผู้ใดท่องจำพร้อมทั้ง
เชื่อมั่นในความหมายของมัน เขาจะได้เข้าสวรรค์ และพระองค์ยังมีบรรดาพระนามนอกเหนือจาก
บรรดาพระนามทั้ง 99 นั้นอีก ดังมีปรากฎในวัจนพจน์ของท่านร่อซูล อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
" " " และอัลลอฮฺ ทรงมีพระนามที่งามยิ่ง ฉะนั้น พวกเจ้าจงเรียกพระองค์ (ในขณะขอพรต่อพระองค์)
ตามพระนามต่างๆนั้น (โดยไม่ละเมิดในพระนามของพระองค์) " " " อัล อะห์รอฟ ที่180
ส่วนหนึ่งจากบรรดาพระนามที่งามยิ่ง อัลวาหิด ผู้ทรงเอกะ อัล อะหัด ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว
อัล เศาะมัด ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของทุกสิ่ง อัล ก็อยยูม ผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง อัล คอลิก ผู้ทรงสร้าง
อัล มุเศาวิรฺ ผู้ทรงทำให้เป็นรูปร่าง อัร เราะห์มาน ผู้ทรงกรุณาปราณี อัร ร่อฮีม ผู้ทรงเมตตาเสมอ
อัล ละฎีฟ ผู้ทรงอ่อนโยน อัร ร็อซซาก ผู้ทรงประทานเครื่องยังชีพเสมอ อัล วาสิอฺ ผู้ทรงไพศาล
อัล อะซีม ผู้ทรงยิ่งใหญ่ อัล อะซีซ ผู้ทรงอำนาจ อัล หะกีม ผู้ทรงปรีชาญาณ อัล อะลีม ผู้ทรงรู้
อัล ฮาฟิซ ผู้ทรงพิทักษ์ อัล ฮาดี ผู้ทรงนำทาง อัล มุหฺญี ผู้ทรงให้เป็น อัล มุมีด ผู้ทรงให้ตาย
อัล วาริษ ผู้ยืนยงหลังความพินาศของทุกสิ่ง

[addullslam]

" " " การปฎิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮฺ " " "
" บรรดาหลักฐานที่ยืนยันว่าท่านเป็นสาสนทูตจริง "
พระองค์อัลลอฮฺทรงยืนยันการเป็นศาสนทูตที่แท้จริงของบุคคลต่างๆที่พระองค์ทรงส่งมา
ด้วยปฎิหารย์ทั้งหลาย เพื่อเป็นที่ยอมรับของมวลชน พระองค์ตรัสว่า
" " " ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า แท้จริงเราได้ส่งบรรดาศาสนทูตของเรามาด้วย หลักฐานทั้งหลาย
อันชัแจ้ง " " "( อัลหะดีษ ที่25) และสำหรับมุฮัมมัดนั้น พระองค์รับรองท่านด้วยหลักฐานและ
ปฎิหารย์มากมาย กล่าวคือ
" " ความมหัศจรรย์แห่งอัลกุรอาน " "
พระองค์อัลลอฮฺทรงให้มีความเป็นอมตะอยู่ในปฎิหารย์ของมุฮัมมัด ทั้งนี้ เพื่อเป็นที่ยอมรับแก่มวล
มนุษย์ชาติจวบจนถึงวันโลกาวินาศ และทรงให้คัมภีร์อัลกุรอานเป็น ปฎิหารย์อันสูงส่งและพระองค์
ทรงรักษาคัมภีร์เล่มนี้จากการบิดเบือน พระองค์ทรงตรัสว่า
" " " ดังนั้น (มุฮัมมัดกับบรรดาผู้ศรัทธา) ผู้ที่มีหลักฐานอันชัดแจ้ง(อัลกุรอาน) จากพระผู้อภิบาลของเขา
และมีพยานจากพระองค์ติดตามเขา และก่อนมันนั้นมีคัมภีร์ของมูซาเป็นแนวทาง และเป็นความเมตตา
(จะเหมือนกับผู้ที่ตามอารมณ์ฝ่ายต่ำกระนั้นหรือ) พวกเขาเหล่านั้น ศรัทธาในมันและผู้ใดจากพรรคต่างๆ
ปฎิเสธมัน ไฟนรกก็คือสัญญาของเขา " " " ฮูด ที่17
สำหรับปฎิหารย์แห่งอัลกุรอานนั้นมีหลากหลายมุมมองด้วยกัน กล่าวคือ

[addullslam]

" " " ความคมคายกับความใหม่เสมอของอัลกุรอาน " " "
คัมภีร์ อัล กุรอานประกอบด้วยอักขระ คำพูดของมนุษย์ก็ประกอบมาจากอักขระเช่นเดียวกัน
แต่ด้วยความคมคายและจับใจของ อัล กุรอานนั้น ทำให้มนุษย์และญินหมดความสามารถเลียนแบบ
แม้เพียงบทสั้นๆจากอัล กุรอาน และท่านนั้นเมื่อได้ฟังคำปราศรัยที่ซาบซึ่งหรือบทกลอนที่จับใจ
ไม่นานนักคำปราศรัยและบทกลอนนั้นๆก็จะไร้ค่านิยม เมื่อมีการซ้ำๆ ซากๆ เพราะถ้อยคำของ
มนุษย์นั้นเมื่อได้ยินบ่อยครั้งแล้วจะจืดจาง
คัมภีร์ อัล กุรอาน นั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่บรรดามุสลิมได้อ่านกันคนละหลายๆจบ ในเดือนรอมฎอน
โดยเฉพาะบทสั้นๆ เช่น ฟาติฮะหฺ แต่ก็ไม่เคยมีผู้อ่านฟาติฮะหฺหรือซูเราะฮฺใดๆรู้สึกว่ามันจืดจาง
หรือหมดค่านิยม ยิ่งกว่านั้น อัล กุรอาน ยังครองสถิติคัมภีร์เล่มเดียวที่มีผู้อ่านมากที่สุดในโลก
นั้นเป็นเพราะเหตุใด? แน่นอนปรากฎการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นที่ยืนยันว่า อัล กุรอานนั้นเป็น
พระดำรัสแห่งอัลลอฮฺ ที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย และ อัล กุรอาน ได้ท้าทายนักกวีอาหรับที่สงสัยใน
ความจริงของมัน แต่งกวีมาแข่งกับ อัล กุรอาน พระองค์ตรัสว่า
" " " และถ้าสูเจ้ายังอยู่ในการคลางแคลงจากสิ่งที่เราได้ประทานลงมาแก่ข้าของเรา
ดังนั้นจงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงชักชวนผู้ช่วยเหลือของสูเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ
หากว่าสูเจ้าเป็นผู้สัตย์จริง และถ้าสูเจ้าทำไม่ได้ในอดีตแล้ว สูเจ้าจะทำไม่ได้ในอนาคต
ฉะนั้นจงระวังไฟเถิด ซึ่งเชื้อเพลิงของมันเป็นมนุษย์และหินถูกเตรียมไว้สำหรับผู้ปฎิเสธ " " "
อัล บะเกาะเราะฮฺ ที่23

[addullslam]

" " " กุรอานบอกเรื่องลี้ลับ " "
อันความลี้ลับนั้น ไม่มีใครหยั่งรู้ได้นอกจากพระองค์อัลลอฮฺ แท้จริงอัล กุรอานได้บอกเรื่องลี้ลับมากมาย
ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า อัล กุรอานนั้นมาจากอัลลอฮฺผู้เป็นเจ้า และมุฮัมมัดผู้นำสารนี้มายังมวลมนุษย์เป็น
ศาสนทูตของพระองค์
" และเรื่องลี้ลับได้แก่ "
1 . เมื่อครั้งที่ชาวเปอร์เชียผู้บูชารูปปั้นได้ชัยชนะเหนือชาวโรมันซึ่งเป็นชาวคริสเตียนอาศัยอยู่ในแคว้น
ปาเลสไตน์ กลุ่มมุชริกีนในเม็กกะต่างก็ยินดีปรีดา และสบประมาทพวกมุสลิมว่า ชะตากรรมของ
พวกเขาจะเป็นเยี่ยงชาวโรมัน ดังกล่าวนั้นเป็นการทำลายขวัญบรรดาผู้ศรัทธา
" ดังนั้นพระองค์อัลลอฮฺ จึงมีโองการว่า "
" " " อะลีฟลามมีม พวกโรมันพ่ายแพ้แล้วในแผ่นดินใกล้ๆ และพวกเขาหลังพ่ายแพ้แล้ว ในไม่ช้าพวกเขา
จะชนะในเวลาไม่กี่ปี( คือตั้งแต่ 3 ถึง 9 ปี ) งานทั้งก่อนและหลังนั้นเป็นของอัลลอฮฺ และวันนั้นบรรดาผู้ศรัทธา
จะดีใจ ( ในชัยชนะของโรมัน ซึ่งเกิดขึ้นในอีกเจ็ดปีต่อมา ) ในการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงช่วยเหลือ
ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงเมตตา และสัญญาของอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺจะไม่ทรงบิดพริ้วสัญญาของพระองค์ แต่ว่ามนุษย์ส่วนมากนั้นไม่ทราบ " " " (อัรรูม ที่ 1 ถึง 5)
เมื่อโองการเหล่านี้ลงมาแล้ว บรรดาผู้ศรัทธาต่างก็กล่าวชวัญถึงโองการเหล่านี้ ขณะเดียวกัน พวกปฎิเสธ
ต่างก็เยาะเย้ยข่าวร้ายนี้ ถึงขนาดมีชายมุชริกผู้หนึ่งท้าพนันกับ อบูบักรว่า เปอร์เชียนั้นจะไม่แพ้ในช่วงเวลา
ที่กุรอานได้กำหนดไว้คือ ภายใน 3 ถึง 9 ปี และอบูบักรก็ได้รับคำท้านั้น ( เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนมีบัญญัติว่าด้วย
การห้ามเล่นการพนัน ) บรรดากุฟฟารต่างก็เชียเพื่อนที่ท้าพนัน ส่วนบรรดามุสลิมต่างก็รอวันที่สัญญาของ
พระองค์อัลลอฮฺจะเป็นจริง เพราะท่านรอซูลบอกว่า บิดอุน นั้นคือ ช่วงระหว่าง 3 ถึง 9 ปี
ตำแหน่ง นบี (ศาสนทูต ) ถูกวางเดิมพันครั้งนี้ ครับ ได้มีประกาศิตจากฟ้าว่า ชาวโรมันที่พ่ายแพ้นั้น ในไม่ช้า
จะได้รับชัยชนะ ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลย สัญญานั้นถูกกำหนดในเวลาน้อยกว่า 10 ปี
ประกาศิตแห่งฟ้านี้ใช้สำนวนที่ชัดเจน ไม่ต้องตีความ