อนุรักษ์มรดกอิสลาม

[addullslam]

แน่นอนมนุษย์ไม่สามารถนำสิ่งใดๆที่แมลงวันคาบไปนั้นกลับคืนมาได้เพราะเพียงช่วง
ที่มันคาบไปนั้น มันจะพ่นคราบของใสใส่สิ่งนั้นแล้วสิ่งนั้นจะแปรสภาพเป็นอื่นทันที
จึงไม่สามารถนำสิ่งนั้นกลับมาได้อีก
แน่นอนยิ่ง วิญญาณที่ถูกเป่าไปแล้วและที่จะถูกเป่าเนืองๆในบรรดาสิ่งที่จะกำเนิดขึ้นนั้น
มันมิได้เกิดขึ้นจากฝีมือของใครนอกจากพระเจ้าผู้ทรงเป็น ผู้ทรงนิรันดร์เท่านั้น
และทุกๆชีวิตนั้น
จะถูกคุกคามด้วยความตาย เมื่อเหตุแห่งความตายมาถึง แต่ผู้สร้างเหตุต่างๆนั้น เหตุต่างๆ
มิอาจมากร้ำกรายเขาได้ ด้วยพระองค์ทรงอยู่เหนือกฎแห่งเหตุทั้งหลาย
พระองค์จึงเป็นผู้ทรงเป็น
ผู้ทรงนิรันดร์ พระองค์ตรัสว่า
ความว่า การปกครองชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินนั้น เป็นของพระองค์เท่านั้น
พระองค์ทรงให้เป็น และทรงให้ตาย และพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง (อัล ฮะดีด ที่2)
และพระองค์ตรัสอีกว่า ความว่า และจงไว้วางใจผู้ทรงเป็น ซึ่งมิทรงตาย (อัลฟุรกอน ที่58)

[addullslam]

.......ผู้ทรงรู้.....
เมื่อท่านพิจารณาทารกของคนและสัตว์ ท่านก็จะพบว่า ดวงตาของมันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่
มันยังอยู่ในครรภ์มารดาของมัน ซึ่งเป็นที่มืดมิด ทั้งๆที่ตานั้นจะไช้การไม่ได้
นอกจากในที่สว่าง
ดังกล่าวนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า แน่นอน ผู้สร้างดวงตาตระหนักดีว่าต่อไปทารกดังกล่าว
นั้นจะออกมาปรากฎ ณ โลกแห่งแสงสี เช่นเดียวกันกับการสร้างปีกให้กับลูกนกที่อยู่ใน
เปลือกใข่ ก็เป็นการยืนยันว่า ผู้สร้างนั้นรู้ดีว่าต่อไปมันจะบินร่อนไปในอากาศ
พระองค์จึงสร้างปีกเตรียมไว้ให้มันตั้งแต่ก่อนเกิด ในทำนองนี้แหละ เราจะพบว่า โครงสร้าง
ของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้เหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ของมันในอนาคต
แม้แต่ต้นอ่อนที่งอกออกมาจากเมล็ดพืชไม้นั้น ผู้เป็นเจ้าได้ทรงเตรียมส่วนหนึ่ง
ให้เป็นใบและกิ่ง
และอีกส่วนเป็นรากแก้วแทงลึกลงไปใต้ดิน เพื่อดูดสารอาหารจากน้ำและดิน ทั้งหมดนั้น
เป็นผลงานของผู้ที่รู้ร่วงหน้าว่า แน่นอนต่อไปพืชเหล่านั้นจะต้อง การน้ำ ดิน แสงและอากาศ
และเมื่อท่านเห็นเพศผู้ทั้งหลายถูกสร้างขึ้น ท่านก็จะเห็นว่า พระผู้สร้าง ผู้ทรงรู้จำนวน
เพศผู้นั้นจะทรงสร้างเพศเมียขึ้นมาให้มีจำนวนสมดุลย์กัน และนี่ก็จะยืนยันกับท่านว่า
มันเป็นผลงานสร้างของพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้ พระองค์ตรัสว่า
ความว่า และจากทุกๆสิ่งนั้น เราได้สร้างเป็นคู่ๆเพื่อสูเจ้าทั้งหลายจะได้ใคร่ครวญ
(ในความยิ่งใหญ่ของพระองค์และเพื่อจะได้ทราบว่า ผู้สร้างคู่ครองนั้นมีหนึ่งเดียว)
(อัซซาริยาด ที่49)

[addullslam]

และน้ำจืด ถ้ามันหยุดนิ่ง มันจะเหม็น ด้วยเหตุนี้พระเจ้าผู้ทรงรู้ และตระหนักเรื่องนี้จึงทรง
บันดาลให้น้ำทะเลนั้นเค็ม และมีคลื่นกระทบฝั่งตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
ให้กับทุกชีวิตที่อยู่บนบก ปลอดมลพิษที่จะเกิดขึ้นจากกลิ่นเหม็นของมัน
ทุกสิ่งในโลกนี้ยืนยันว่า แท้จริงผู้สร้างโลกใบนี้นั้น ทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้
พระองค์ตรัสว่า ความว่า
ผู้ทรงสร้างนั้นจะมิทรงรอบรู้กระนั้นหรือ ทั้งๆที่พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งละเอียดอ่อน
ทั้งหมดเป็นผู้ทรงตระหนักเสมอ (อัลมุลกฺ ที่14)
ความรู้ของพระองค์อัลลอฮฺนั้นห้อมล้อมทุกสิ่ง การลืมและการเขลาไม่แทรกแซงพระองค์
พระองค์ตรัสว่า ความว่า
เพื่อสูเจ้าทั้งหลายจะได้ทราบว่า แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
และแท้จริงอัลลอฮฺทรงห้อมล้อมความรู้ทุกๆสิ่ง (อัตต้อลาก ที่12)

[addullslam]

...ผู้ทรงปรีชาญาณ...
และเมื่อท่านสังเกตดูรูปพรรณสัญฐานของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมานั้น ท่านจะพบว่า
แต่ละชนิดนั้นพระองค์ได้ทรงสร้างด้วยความปราณีตในทรวดทรงเดียวกัน
สำหรับมนุษย์นั้นมีตาสองตาอยู่ที่ใบหน้า มีจมูกอยู่ระหว่างสองตา มีสองมืออยู่ด้านข้างๆ
และมีสองเท้าอยู่เบื้องล่าง ท่านจะไม่พบในมนุษย์เผ่าพันธุ์ใด มีตางอกขึ้นมาที่หัวเข่า
หรือมีมือโผล่ขึ้นที่ศรีษะ นี้ก็ยืนยันว่ามันเป็นผลงานการสร้างมนุษย์ที่แนบเนียนของพระผู้
ทรงปราณีต ทรงปรีชาญาณ และในทำนองเดียวกัน พระองค์ได้บรรจงสร้างสัตว์และพืช
ในมาตรฐานและรูปแบบเดียวกัน ไม่มีใครสามารถบรรจงสร้างรูปแบบและทรวดทรงอัน
ปราณีตนี้ได้ นอกจากผู้ที่ได้ตรัสว่า
ความว่า พระองค์คือผู้ทำรูปร่างของพวกสูเจ้าในบรรดามดลูกตามที่พระองค์ทรงประสงค์
ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจาก พระองค์ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ (อาละอิมรอน ที่6)
และเมื่อท่านพิจารณาอากาศที่ท่านกำลังหายใจ ท่านก็จะพบว่า ท่านได้สูดอากาศดี
(อ๊อกซิเจน) แต่ในเวลาเดียวกัน ปริมาณอากาศดีก็ไม่ลดหย่อน ทั้งนี้เพราะพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงสร้างได้ทรงรับสั่งให้ต้นไม้และพืชทำหน้าที่กลั่นอากาศอากาศเสียให้แปรเป็นอากาศดี
มาทดแทนในปริมาณที่เหมาะสม โดยที่เปอร์เซ็นของอากาศดีและอากาศเสียนั้นจะคงอยู่ใน
สภาพที่สมดุลย์กัน นั้นไม่เป็นข้อยืนยันหรือ ว่าเป็นผลงานของผู้ทรงรู้ ผู้ทรงปราณีตปรีชาญาณ

[addullslam]

หากท่านสังเกตจมูกของท่าน ท่านก็จะเห็นว่ามันถูกบรรจงสร้างเพื่อให้เหมาะสมกับหน้าที่
ของมัน อากาศจะเข้าทางสองรูที่อยู่ระหว่างสองตา และพระเจ้าผู้ทรงรู้ทรงปรีชาญาณ
ทรงปกคลุมรูทั้งสองด้วยขน และทรงทำให้ครึ่งหนึ่งของจมูกด้านบนเป็นกระดูกเพื่อไม่ให้ลม
แตะหนังปลายจมูกมาอุดรูทั้งสอง ซึ่งเป็นเหตทำให้หายใจไม่สดวก ดั่งเช่นที่พระองค์ทรงให้
กระดูกของจมูกมีส่วนพิทักษ์ดวงตาทั้งสอง พระองค์ทรงเปิดรูจมูกตลอดเวลาเพื่อให้อากาศ
ผ่านเข้าออก หากว่าจมูกทั้งสองเป็นกระดูก เราจะไม่สามารถสั่งน้ำมูกได้ และพระผู้สร้าง
ทรงบันดาลให้ผนังจมูกมีลักษณะโค้ง เพื่ออากาศจะได้ปะทะกับมัน และมันก็จะผลักดันอากาศ
ไปสู่เครื่องกรองหายใจภายใน แล้วอากาศภายในก็จะสัมผัสกับน้ำมูกที่ที่ติดอยู่ที่ผนัง
แล้วเชื้อโรคและฝุ่นละอองก็จะเกาะติดติดอยู่ที่นั่น ซึ่งนับว่าเป็นกรรมวิธีอันละเอียดอ่อน
ในการฟอกอากาศก่อนผ่านเข้าไป
และในฤดูร้อนเลือดจะสะสมอยู่ที่จมูกมาก เราจึงมักจะเห็นมันสีแดงทั้งนี้เพื่อปรับอากาศภายใน
ให้อบอุ่นในฤดูร้อนจมูกจะทำหน้าที่ปรับอากาศร้อนให้เย็นและอบอุ่น
ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นการยืนยันหรือว่า มันเป็นผลงานการสร้างของพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้
ทรงปรีชาญาณ
ในทำนองนี้แหละครับ ถ้าเราพิจารณาการเนรมิตรสรรพสิ่งทั้งหลายในฟากฟ้าและแผ่นดิน
แน่นอนเราจะพบว่ามันได้ถูกบรรจงสร้างมาอย่างปราณีตที่สุด ซึ่งเป็นเครื่องยืนยัน
แก่บรรดาผู้มีวิจารณญาณมุกคนว่า แท้จริงมันเกิดมาจากฝีมือพระผู้ทรงรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
พระองค์ทรงตรัสว่า
ความว่า และพระองค์ ผู้ซึ่งทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าและเป็นเจ้าแห่งดิน ด้วยพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
เป็นผู้ทรงรู้ (อัซซุครุฟ ที่84)

[addullslam]

.....ผู้ทรงเชี่ยวชาญ.....
จงพิจารณาอาหารของท่านว่า จากดินและน้ำอันเดียวกันพืชพันะไม้นานาชนิดหลากสี
หลากรส ผลิดผลออกมาจากมันได้อย่างไร ดังกล่าวนั้นย่อมยืนยันแก่ท่านว่า แท้จริงนั้น
มันเป็นผลงานของผู้ทรงเชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถทำให้พันธุ์ไม้นานาชนิดที่หลากสีหลากรส
ผลิดออกมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันโดยอยู่ในมาตรฐานที่เยี่ยมที่สุด
และจงพิจารณาอาหารนี้อีกจากอาหารอันเดียวกันนี้ พระองค์อัลลอฮฺผู้ทรงเชี่ยวชาญ
ได้ทรงประกอบเนื้อ หนัง กระดูก เลือด ไขมัน น้ำนม เส้นผม นิ้ว เล็บ เส้นประสาท
พร้อมทั้งของเหลวต่างๆไว้ในร่างกายของเราได้อย่างไร ทุกระบบมันแตกต่างกัน แต่แปลก
และจริงตรงที่มันเกิดมาจากอาหารอันเดียวกัน แนนอนมันต้องเป็นผลงานของ
ผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง
คงจะน่าทุเรศไม่น้อย หากว่า น้ำลายไหลออกมาทางจมูก น้ำมูกออกทางปาก ขี้หูออกมาทาง
เบ้าตา และน้ำตาหลั่งออกมาจากรูหู แล้วใครเล่าครับ ใครเล่าครับ คือผู้ออกแบบกำหนดการ
ติดตั้งสถานที่ๆเหมาะสมให้แก่สิ่งเหล่านั้น มิใช่ผู้ทรงรอบรู้ เชี่ยวชาญและปรีชาญาณดอกหรือ
แน่นอน และน้ำอสุจิที่มนุษย์ถูกสร้างมาจากมันนั้น พระผู้ทรงรุ้ ผู้ทรงเชี่ยวชาญได้ทรงบันดาล
ให้เป็นชิ้นส่วนของอวัยวะน้อยใหญ่ที่ผิดแผกแตกต่างกัน และเป็นกลไกอันมาตรฐาน
ที่พร้อมรับใช้มนุษย์ อีกทั้งหมู้มัจฉา ปลาน้อยใหญ่ในท้องทะเลนั้น ต้องพึ่งพาอ๊อกซิเจน
เพื่อหายใจ
ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงเชี่ยวชาญ ผู้ทรงเมตตา ได้ทรงละลายอากาศอ๊อกซิเจนกับเม็ดฝนที่ตก
ลงมาในท้องทะเลอยู่เป็นเนืองๆ และพระองคืทรงเตรียมเหงือกซึ่งเป็นกลไกพิเศษ
ให้กับพวกมัน
เพื่อให้กลั่นอ๊อกซิเจนดังกล่าวมาหายใจ
ครับ หากท่านได้ใคร่ครวญและพิจารณาให้ลึกซึ้ง ท่านจะพบว่า ทุกสิ่งในโลกนั้นถูกสร้างขึ้น
มาโดยความควบคุมของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญที่สูงยิ่ง ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้วว่า
เกิดมาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเชี่ยวชาญ ผู้ทรงมีพระนามว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาอฺลา
ยังมีต่อ อินชาอัลลอฮฺ

[addullslam]

.....ผู้ทรงให้ ปัจจัยยังชีพ.....
ครั้งที่มนุษย์ถูกพันธนาการอยู่ในความมืดมิดของมดลูกนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถ
ป้อนอาหารอะไรแก่เขาได้ แม้กระทั้งบิดามารดาที่กำลังอุ้มท้องเขาอยู่
แต่ด้วยพระเมตราแห่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงให้ปัจจัยยังชีพ พระองค์ทรงป้อนอาหารที่สุก
และย่อยแล้วผ่านทางสายสะดือของมารดา ครั้นเมื่อทารกน้อยคลอดออกมา สายสะดือ
ก็ขาด ผู้ทรงให้ปัจจัยยังชีพก็ทรงให้อาหารแก่ทารกน้อยนั้น ทางเต้านมมารดาของเขา
และพระองค์ทรงสอนทารกน้อยให้รู้วิธีปั้มน้ำนมออกมาด้วยการดูดน้ำนมมารดาของเขา
โดยที่เขานั้นยังมองไม่เห็นไม่ได้ยินและไม่มีปัญญาอะไรเลย
ต่อมาพระองค์อัลลอฮฺทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่บรรดาบ่าวของพระองค์ อันได้แก่วัชพืช
และธัญพืชที่ล้มลุกและไม้ยืนต้น ซึ่งได้ให้ผลิดผลมาเป็นอาหาร ซึ่งมาจากดิน น้ำ และอากาศ
และพระองค์ทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์มีส่วนช่วยพืชไร่ทั้งหลายให้ผลของมันสุกงอม
เป็นอาหารแก่มนุษย์และสัตว์
อาหารนั้นจะไม่เพียงพอแน่ หากแม้นว่าพระองค์อัลลอฮฺมิทรงประทานน้ำจืดมาให้
และได้ทรงเตรียมดินที่เหมาะแก่การเกษตรพร้อมทั้งดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยต่อ
การให้ผลผลิด
พระองค์ได้ทรงตรัสว่า
" " ดังนั้น มนุษย์จงดูอาหารของเขาเถิด แท้จริงเราได้หลั่งน้ำฝนลงมาอย่างน่าประหลาด
ต่อมาเราได้แยกพื้นดินออกเป็นกระบิ แล้วเราได้ทำให้เมล็ดพืชงอกงามขึ้นมาในมัน
อีกทั้งองุ่น พืช ผัก และมะกอกกับอินทผาลัม และสวนพืชที่มีต้นไม้ทึบ ผลไม้และใบหญ้า
เป็นปัจจัยสำหรับสูเจ้าและสำหรับปศุสัตว์ของสูเจ้า" " (อะบะสะ ที่24 ถึง 32)
เมื่อมนุษย์และสัตว์กินอาหาร แล้วมันก็ถูกย่อยเสร็จเรียบร้อยด้วยกลไกสำหรับย่อย
ที่อัลลอฮฺทรงเนรมิตให้กับทุกชีวิต พระผู้ทรงให้ปัจจัยยังชีพ ก็จะส่งอาหารดังกล่าวไปสู่ทุก
ส่วนของร่างกาย ไม่ว่ากลางสมอง บนผิวหนังและไขข้อ

[addullslam]

อัลลอฮฺได้ตรัสไว้สมจริงแล้ว
" " ใครกันนี่ที่จะให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกสูเจ้า หากว่า พระองค์ทรงยับยั้งปัจจัยยังชีพ
ของพระองค์ไว้ ทว่าพวกเจ้าดื้อรั้นอยู่ ในความยะโสและหันห่าง(จากความจริง)
(อัลมุลก์ ที่21 )
เราขอสรรเสริญแด่พระองค์ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพที่ได้ทรงประกันปัจจัยยังชีพต่างๆ
แก่พวกเราและเพื่อนร่วมโลกของเรา ดังที่พระองค์ทรงนำอาหารของปลาบางชนิดไปไว้
ในใต้ทะเลลึกและทรงนำอาหารของหนอนบางชนิดไปเก็บไว้ตามรูโพรงของหินโสโครก
และขอนไม้ และได้ทรงนำอาหารของทารกตัวอ่อนมาไว้ในความมืดของรังมดลูก
และยังได้ทรงเตรียมสารอาหารของต้นอ่อนของพืชไว้ภายในเมล็ดที่มันจะงอกออกมา
พระองค์ทรงตรัสว่า
" " ไม่มีสัตว์ใดๆในโลกนี้เว้นแต่ปัจจัยยังชีพของมันนั้นเป็นภาระหน้าที่ของอัลลอฮฺ
แต่เพียงผู้เดียว และพระองค์ทรงรู้ที่พำนักอันถาวรของมัน และที่พักชั่วคราวของมัน
ทุกสิ่งนั้นอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง " " (ฮูด ที่6)
และพระองค์ทรงตรัสอีกว่า
" " มนุษย์เอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกสูเจ้า มีผู้สร้างหน้าไหน
อื่นจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ที่จะให้ปัจจัยยังชีพแก่สูเจ้า ทั้งจากฟากฟ้าและแผ่นดิน
ไม่มีพระเจ้าอื่นใด(ที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้) นอกจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้น
(หลังจากทางนี้แล้ว) พวกสูเจ้าจะถูกหันเหไปทางไหนอีก " " (ฟาฏิร ที่3 )
และผู้ใดมั่นใจว่าปัจจัยยังชีพและโชคลาภของเขานั้น ถูกประทานให้แก่เขา โดยพระเจ้า
ผู้ทรงสร้าง ก็จะไม่มีใครสามารถช่วงชิงโชคลาภของเขาไปได้ และจะไม่กลัวผู้ใด
นอกจากอัลลอฮฺ ที่จะมาขัดลาภของเขาได้

[addullslam]

" " ผู้ทรงนำทาง " "
เมื่อท่านสังเกตขนตาด้านบน ท่านจะเห็นมันงอนขึ้น และขนตาส่วนล่างมันจะงอนลง
ถ้าสมมุติว่ากลับสภาพกัน แน่นอนมันจะทำให้เกิดอาการเคืองตา แล้วใครเล่าที่ชี้นำ
ขนตาทุกเส้นของมนุษย์และสัตว์ ถ้าไม่ใช่อัลลอฮฺผู้ทรงนำทาง
ใครเล่าคือผู้นำทางบรรดาฟัน ขากรรไกรล่าง ให้มุ่งสู่ด้านบน และบรรดาฟันขากรรไกร
ด้านบนให้มุ่งลงสู่ด้านล่าง ใครที่นำทางฟันเคี้ยวบนให้งอกออกมาตรงกัลฟันเคี้ยวล่าง
และฟันกรามตรงกับฟันกราม แน่นอนไม่มีใครนอกจาก ผู้นำทางที่ได้ตรัสว่า
" " ผู้ซึ่งทรงสร้างแล้วทรงทำให้สมบูรณ์และผู้ทรงกำหนด(สภาวะ)แล้วก็ทรงนำทาง " "
(อัลลอะฮฺลา ที่2 ถึง 3)
ใครที่นำทางอวัยวะทุกส่วนในลำต้นของบรรดาพืชและในร่างกายของมนุษย์และสัตว์
ให้โผล่ออกมาตรงกับอวัยวะอีกชิ้นหนึ่งที่เป็นคู่ของมัน และให้มันงอกมาตามกำหนด
ที่เหมาะสมกับส่วนอื่นๆ และใครคือผู้ที่สั่งอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเราให้หยุดเติบโต
เมื่อถึงขีดสุดๆของมัน ถ้าสมมุติว่าพระผู้สร้างไม่ทรงสั่งให้มันหยุดเติบโต
แน่นอนป่านนี้บรรดาอวัยวะเหล่านั้นมันคงยาวเก้งก้างดูพิลึกไม่น้อย เมล็ดพืชที่งอกอยู่
ในดินนั้น ใครที่นำทางมันให้แทงรากเหว้าลึกลงไปในดิน และให้ลำต้นและใบของมัน
โผล่เหนือดิน ทำไมเราไม่เคยเห็นแม้แต่เมล็ดเดียวที่มีปฎิกิริยาแตกต่างไปจากนี้
ดังกล่าวนั้นมิเป็นเครื่องยืนยันหรือว่ามันเป็นผลงานของ พระเจ้าผู้ทรงนำทาง
ใครที่นำทางหมู่ใบไม้ให้กระจายไปตามลำต้นและกิ่งก้านของมัน ใบแรกผลิดออกทางหนึ่ง
ใบที่สองก็ผลิดออกอีกทางหนึ่ง ใครที่นำทางดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวน้อยใหญ่
ในท้องฟ้าให้โคจรไปตามจักรราศรีของมัน และใครที่นำทางหมู่วิหกให้โผผินบินเที่ยวไป
ตามเมืองต่างๆ แน่นอน ผู้นั้นคือพระเจ้าผู้ทรงนำทางทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเส้นผม เมล็ดพืช
และใบไม้ และพระองค์ได้ทรงให้ทางนำของพระองค์ครบถ้วนสมบูรณ์แกมวลมนุษย์ชาติ
โดยส่งบรรดาศาสนทูตมาชี้แจงทางนำของพระองค์แก่พวกเขา
ผู้ใดที่เชื่อมั่นว่า อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงนำทาง ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้นั้นย่อมจะไม่รับแนวความ
คิดใดๆ ทีสวนทางกับทางนำของพระองค์
ดำรัสของพระองค์ที่ว่า
" " จงประกาศเถิด แท้จริงทางนำของอัลลอฮฺ คือ ทางนำอันเที่ยงธรรม"
" (อัล บะกอเราะฮฺ ที่ 120)
ยังมีต่อ อินชาอัลลอฮฺ

[addullslam]

" " ผู้ทรงพิทักษ์ " "
แท้จริงผู้ที่พิทักษ์ท่านจากอันตรายต่างๆ ขณะที่สถิตย์อยู่ภายในครรภ์มารดา
ของท่านนั้น คือผู้ที่พิทักษ์สมองอันบอบบางของท่านด้วยกระโหลก ซึ่งเสมือนกรงเหล็ก
ที่แข็งแรง และเป็นผู้พิทักษ์ดวงตาด้วยกระดูกของคิ้ว จมูกและแก้มและเป็นผู้พิทักษ์
หัวใจและปอดทั้งสอง ด้วยกรงกระดูกหน้าอก
แท้จริงเขาคือ ผู้พิทักษ์ชีวิตของท่าน และยังอำนวยจตุปัจจัยในการดำเนินชีวิตให้กับ
ท่านอันได้แก่ อาหาร น้ำ อากาศ แสง ความร้อนและอื่นๆ พระองค์มิทรงบังคับท่าน
ให้ป้อนอากาสเข้าไปในร่างกายของท่าน หรือล้วงอากาศออกมา ทั้งยามหลับหรือตื่น
ซึ่งนับว่าเป็นพระมหากรุณาอันสูงส่งถ้าไม่เช่นนั้น ท่านก็คงจะทำมาหากินอะไรไม่ได้
เพราะแต่สาละวนกับการป้อนอากาศเข้าและล้วงอากาศออก ยามท่านหลับ
อากาศก็จะขาดแล้วท่านก็จะสิ้นลมล้มตาย
ผู้ทรงพิทักษ์ คือผู้ผลักดันหมู่เมฆที่อยู่เหนือศรีษะของท่านไม่ให้หลั่งลงมามากจนเกิด
เป็นอุทกภัยทำรายเรือกสวนไร่นาและเผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์
แท้จริง ผู้พิทักษ์คือผู้ทรงปกคลุมโลกด้วยเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศ เพื่อป้องกัน
รังสีอุลตร้าไวโอเลต อันร้อนแรงจากดวงอาทิตย์ และดวงดาวต่างๆ มิให้มาฆ่าสิ่งมี
ชีวิตในโลกและพระองค์คือผู้บันดาลให้ชั้นบรรยากาสทั้งหลาย เป็นเกราะป้องกันศักย
ภาพการทำลายล้างของอุกาบาตและสะเก็ดดาว(ผีพุ้งไต้) ซึ่งในแต่ละวันนั้นจะตกลง
มาบนโลกของเรา เป็นจำนวนล้านๆดวง พระองค์คือผู้ทรงกรุณาให้โลกเรานี้ มั่นคง
และแน่นแฟ้นด้วยเทือกเขาและภูพาน เมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราจะไม่สำนึกในพระมหา
กรุณาธิคุณอันล้นพ้นนี้อีกหรือ ในฐานะที่พระองค์ทรงคุ้มครองและพิทักษ์เราทั้งภายใน
และภายนอก ทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน
พระองค์ตรัสว่า " " สำหรับเขา(มนุษย์)มียามเฝ้า(มะลาอิกะฮฺ) ซึ่งผลัดเปลี่ยนกัน
ทั้งข้างหน้าและข้างหลังของเขา คอยพิทักษ์คุ้มครองเขา ตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ
(อัตเตาบะฮฺ ที่51)
คำขวัญของเขาคือ ดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
" " จงกล่าวเถิดว่าจะไม่ประสบกับเราเว้นแต่สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา" "
(อัตเตาบะฮฺ ที่51)

[addullslam]

" " ลักษณะอื่นๆ " "
เมื่อท่านพิจารณาอาหารชนิดเดียวกันที่สมาชิกในครอบครัวหนึ่งร่วมรับประทาน
พร้อมกันและต่อมาอาหารนั้นก็มีปฎิกิริยาให้สรีระผู้ชายเป็นชาย และสรีระหญิง
เป็นหญิง เด็กก็เป็นเด็ก แมวกินก็เป็นแมว หนูกินก็เป็นหนู ทั้งๆที่มันเป็นอาหาร
ชนิดเดียวกัน ขอแซ่สร้องสรรเสริญแด่องค์ผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงกำหนดรูปลักษณะต่างๆ
ตามที่พระองค์ทรงประสงค์
เมื่อท่านพิจารณาสิ่งที่ใหญ่มหึมาของโลก เช่นดวงดาวทั้งหลายที่ใหญ่กว่าโลก
หลายล้านเท่า แล้วท่านจงสังเกตสิ่งที่เล็กที่สุดที่ไปรวมตัวกันอยู่ในน้ำเพียงหยด
เดียวเป็นจำนวนล้านๆตัว แล้วท่านลองถามตัวเองซิว่าทำไม สิ่งเหล่านั้นจึงสยบ
ต่ออำนาจเดียวที่มั่นคงและละเอียดอ่อน เมื่อนั้นท่านจะได้คำตอบว่า
แน่นอนมันต้องเป็นงานของ พระเจ้าผู้ทรงพลัง ผู้ทรงคุมอำนาจทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

[addullslam]

" " ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว " "
ทุกๆสิ่งที่ปรากฎในจักรวาลนั้น ต่างก็จะเสนอการรับรองว่ามันนั้นเกิดมาจากผลงาน
ของผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวทั้งสิ้น ดังนั้นท่านจะเห็นว่า แท้จริงอาหารที่ท่านบริโภคนั้น
ต้องอาศัยการทำงานของกระเพาะและลำใส้ วงการแพทย์ยืนยันว่า การทำงานของ
ลำใส้นั้นต้องอาสัยการทำงานของโลหิต การทำงานของโลหิตต้องอาศัยอากาศและ
ระบบการหายใจ อากาศที่ใช้สำหรับหายใจ(ออกวิเจน)นั้น ต้องอาศัยพืชสีเขียวต่างๆ
นั้นต้องอาศัยการสังเคราะห์แสงของดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ต้องอาศัยดวงดาวน้อย
ใหญ่ที่ห้อมร้อมตัวมัน ดังลูกโซ่เช่นนี้แหละเราจะพบว่า การเป็นอยู่ของแต่ละสิ่งและ
การทำงานของมันนั้น ต้องอาศัยซึ่งกันและกันดังที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า
แม้แต่กระเพาะนั้นยังมีความผูกพันกัยดวงดาวบนท้องฟ้า และดังกล่าวนั้นได้ยืนยัน
ว่าทั้งหมดนั้นเกิดมาจากการควบคุมของพระเจ้าองค์เดียว
พระองค์ตรัสว่า
" อัลลอฮฺมิได้ทรงตั้งผู้ใดเป็นบุตร และไม่มีพระเจ้าอื่นใดร่วมกับพระองค์
ถ้าเผื่อมีพระเจ้าอื่นๆอีก แน่นอนพระเจ้าแต่ละองค์ก็จะแยกปกครองเฉพาะที่
ตนสร้างและแน่นอนบางองค์ของพวกเขาคงเหนือกว่าอีกบางองค์
พระองค์อัลลอฮฺทรงบริสุทธุ์จากสิ่งที่พวกเขาเสกสรร" (อัล มุมินูน ที่91)
และพระองค์ตรัสอีกว่า
" (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า พระองค์คืออัลลอฮฺนั้นองค์เดียว
อัลลอฮฺทรงเป็นที่พึ่งของทั้งมวล
พระองค์มิทรงให้กำเนิดใครและไม่ได้ถือกำเนิด(จากใคร)
และไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ " (อัล อิคลาศ )
สมมุติว่ามีพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ แน่นอนจะต้องเกิดการพิพาทกันระหว่าง
พวกเขาในการบริหารโลกใบนี้ และเมื่อนั้นความวิบัติจะเกิดขึ้นทั้งในฟากฟ้าและ
แผ่นดิน พระองค์ตรัสว่า
" หากแม้นว่ามีพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺในมันทั้งสอง(ในฟ้าและแผ่นดิน) แน่นอนมัน
ทั้งสองคงจะปั่นป่วน(เพราะแย่งชิงอำนาจกัน) ดังนั้น อัลลอฮฺพระผู้ทรงอภิบาลแห่ง
บัลลังก์นั้นจึงทรงบริสุทธุ์ ยิ่งจากสิ่งที่พวกเขาเสกสรร (อัล อัมบิยา ที่22)

[addullslam]

" " ใครเป็นเจ้าของบรรดาลักษณะเหล่านั้น " "
จากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว เราได้เห็นแล้วว่า เมื่อเราพิจารณาจักรวาลและสรรพสิ่ง
รอบๆตัวเรา แน่นอนเราจะพบว่าทั้งหมดนั้นยืยยันว่า ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายนี้คือ
พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเป็น ผู้ทรงนิรันด์ ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงเชี่ยวชาญ
ผู้ทรงให้ปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงนำทาง ผู้ทรงพิทักษ์ ผู้ทรงกำหนดรูปพรรณ ผู้ทรงปราณี
ผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอานุภาพ ผู้ทรงกุมอำนาจ ผู้ทรงเอกะเป็นหนึ่งเดียว เช่นเดียวกับที่โลก
ได้ยืนยันนี้ คนมุสลิมได้ให้การรับรองกับโลกนี้ด้วย
โดยเขากล่าวย้ำคำยืนยันนี้ ด้วยความเชื่อมั่นว่า
" " " อัซฮะดุ อัลลาอิลาฮะ อิ้นลั้ลลอฮฺ " " "
ความว่า " ข้าพเจ้ายืนยันว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น "
และเมื่อเราได้ทราบจากทฤษฎีที่หนึ่งว่า "การไม่มีพระเจ้านั้นจะบันดาลอะไรไม่ได้ "
และจากทฤฎีที่สองเราได้ทราบเกี่ยวกับลักษณะบางอย่างของผู้ทรงสร้าง
ต่อไปนี้เราจะได้ทราบจากทฤษฎีที่สามว่า ไม่มีใครมีสิทธิ์ในลักษณะเหล่านี้ได้
นอกจากพระองค์อัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ใดเป็นหุ่นส่วนกับพระองค์เลย

[addullslam]

" " ทฤฎิที่สาม " "
" " " ผู้ที่ปราศจากสิ่งใดย่อมให้สิ่งนั้นไม่ได้ " " "
แน่นอน คนที่ไม่มีเงินนั้น จะไม่มีใครไปขอเงินจากเขา คนโง่เขลาความรู้ย่อมไม่เกิด
ทั้งนี้ดพราะผู้ที่ปราศจากสิ่งใดย่อมให้สิ่งนั้นไม่ได้ และโดยการพิจารณาและใคร่ครวญนั้น
ทำให้เราได้เห็นสัญญาณต่างๆ ในโลกซึ่งทำให้เรารู้จักบรรดาลักษณะของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง
ครั้นเมื่อเรารู้จักบรรดาลักษณะของผู้สร้างแล้วแน่นอนเราก็จะรู้จักผู้สร้าง เขาก็คือ
อัลลอฮฺ ซุบฮานาฮูวะตะอาลา
ผู้ที่เชื่อว่า เขาเกิดมาโดยธรรมชาตินั้นเขากำลังค้านกับปัญญาและกำลังทำสงครามกับสัจธรรม
เพราะปรากฎการต่างๆในโลกนั้น ได้ยืนยันว่า แท้จริงผู้ที่สร้างและเนรมิตรพวกเขานั้น
เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ทรงรอบรู้ ทรงเชี่ยวชาญ ทรงนำทาง ทรงให้ปัจจัยยังชีพ ทรงพิทักษ์คุ้มครอง
ทรงเมตตา และทรงเอกะเป็นหนึ่งเดียว
เรามาพิจารณาธรรมชาติกันเถิดว่า มันมีสภาพเป็นอย่างไร มันปราศจากสติสัมปชญญะ
ไร้วิญญาณ ไม่มีความรู้ ไม่มีเหตุผล ไม่มีเมตตาและไม่มีเจตนา และเหตุไฉนเหนอ
พวกนิยมธรรมชาติจึงสำคัญผิด คิดว่าพวกเขาเกิดมาโดยธรรมชาติ
(ผู้ที่ปราศจากสิ่งใด ย่อมให้สิ่งนั้นไม่ได้
" " ธรรมชาติคืออะไร " "
ในทัศนะของนักนิยมธรรมชาติ เชื่อว่าธรรมชาติคือสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามวิสัยของโลก เช่น มนุษย์
สัตว์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ แต่ในทัศนะของอิสลาม เชื่อว่าพระเจ้าคือผู้สร้างและควบคุม
ธรรมชาติทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
บรรดาผู้ที่เลื่อมใสลัทธิบูชารูปปั้นนั้น ได้กราบไหว้บางส่วนของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว ไฟ หินและมนุษย์ และบรรดาผู้เลื่อมใสลัทธิบูชารูปยุคใหม่ ซึ่งเป็นพวกที่
นิยมธรรมชาติเชื่อว่า ธรรมชาติดังกล่าวเป็นผู้สร้างพวกเขา ทั้งๆที่ธรรมชาตินั้นไร้ซึ่งปญญา
แต่พวกเขานั้นเปี่ยมด้วยปัญญา และธรรมชาตินั้นปราศจากความรู้แต่พวกเขานั้นมีพร้อม
ทั้งความรู้การศึกษา ธรรมชาติไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่พวกเขามีความเชี่ยวชาญ ธรรมชาติ
ไม่มีแม้แต่เจตนา แต่พวกเขามีเจตนา พวกเขาไม่เฉลียวใจบ้างเลยหรือว่า อันผู้ปราศสิ่งใด
ย่อมให้สิ่งนั้นไม่ได้
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
" " มนุษย์เอ๋ย อุทาหรณ์หนึ่งได้ถูกอุปมาไว้ ดังนั้นพวกเจ้าจงฟังมัน แท้จริงบรรดาสิ่งที่พวกเจ้า
ขอวิงวอนอื่นจากอัลลอฮฺนั้น จะไม่สามารถสร้างแมลงวันสักตัวได้เลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะร่วม
มือกัน เพื่อการนี้ก็ตาม และถ้าแมลงวันพาสิ่งใดไปจากพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามารถเอาสิ่ง
นั้นคืนมาจากมันได้อ่อนแอแท้ทั้งผู้ขอและผู้ถูกขอ พวกเขาไม่ได้นับถืออัลลอฮฺอย่างแท้จริง
แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง เป็นผู้ทรงอำนาจ " (อัล ฮัจญ์ ที่73)

[addullslam]

" " ไขข้อข้องใจ " "
ผู้ปฎิเสธบางคนเชื่อว่า โลกนี้เกิดมาโดยธรรมชาติและเขาได้พิสูจน์ความเชื่อของเขาด้วย
การปฎิสนธิของตัวหนอนที่อยู่ในเศษซากของมนุษย์และสัตว์ และเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์
ได้ค้นพบแล้วว่า ตัวหนอนที่ได้ปฎสนธิอยู่ในเศษซากดังกล่าวนั้นเกิดจากไข่เล็กๆ
ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์
ฉนั้นข้อสงสัยสมควรที่จะตกไป แต่ทว่าพวกเขากลับมาอ้างอีกว่า เมื่อตัวหนอนนั้น
มาจากหนอนตัวอื่นที่มาจากไข่เล็กๆที่เรามองไม่เห็น ฉนั้นเชื้อโรกที่ทำให้อาหารมีกลิ่นเหม็น
และบูดนั้น เกิดมาจากธรรมชาติ ข้อสงสัยนี้ถูกหักล้างอีก เมื่อแปดสิบกว่าปีมาแล้ว
โดยมีผู้ค้นพบวิธีรักษาอาหารไม่ให้มีกลิ่นเหม็น ด้วยการบรรจุอาหารด้วยกรรมที่ทันสมัย
ลงในกระป๋องที่มาตรฐาน ผ่านการฆ่าเชื้อและใช้ระบบสูญญากาศ เพื่อป้องกันมิให้เชื้อโรค
ผ่านเข้าไป และด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงทราบว่าโลกนี้มิได้เกิดมาโดยธรรมชาติเหมือนดังที่
ผู้ปฎิเสธทั้งหลายเข้าใจ ที่น่าประหลาดก็คือ ทั้งๆที่แกนนำของบรรดาผู้ปฎิเสธได้ทราบ
ข้อเท็จจริงนี้ตั้งแต่แปดสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ยังคงเผยแพร่ทฤฎีผิดๆนี้ในหมู่พวกเขาอยู่เนืองๆ