| ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป   | 
	
	
	
		| ผู้ส่ง | 
		ข้อความ | 
	
	
		ahlussunnah มือใหม่
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 25/06/2004 ตอบ: 43
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Wed Jul 21, 2004 3:46 am    ชื่อกระทู้: What is the dangerous of Shi-ah? Pls read : www.siamic.com | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				อิบนุซะอูด ผู้ก่อการร้ายที่ได้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์เหนือฮิญาศ 
 
ลัทธิวะฮาบีย์หรือซะละฟีย์ ที่ก่อตั้งโดยบินอับดุลวะฮาบนั้น เป็นลัทธิที่เคารพนับถือมุอาวิยะห์และยะศีดเป็นผู้นำ และเจริญรอยซุนนะห์ของโจรสองพ่อลูกตลอดมา  
 
 
 
อะศัม ตอริก ผู้นำขบวนการซีปาห์เอซอฮาบัต (กองทัพสา่วก) และสมุน อ้างเอาอิสลามเป็นเครื่องมือในการก่อการร้ายในปากีสถาน ก่อนถูกฆ่าตาย 
 
อันที่จริง อิสลามลงมาเพื่อต่อสู้กับอธรรมในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อฉล หรือ การก่อการร้าย ในยามที่อารเบียและแผ่นดินในตะวันออกกลาง ถูกอธรรมและอวิชชาึครอบงำอยู่ อัลลอหฺ พระผู้เป็นเจ้า ได้ส่งศาสนทูตมุฮัมมัดลงมาเพื่อนำทางมวลมนุษย์สู่รัศมีแห่งการศรัทธา ที่นำควา่มสันติมาให้แก่จิตวิญญาณ และวิทยาการที่ปลดแอกมนุษย์ออกจากความลุ่มหลงงมงายในผีสางเทวดา และเจว็ดที่พวกเขาเสกสรรปั้นแต่ง นำธรรมนูญอันตั้งอยู่บนรากฐา่นของความเสมอภาคนั้นมาให้แก่มวลมนุษย์ 
 
เมื่อนั้นบรรดาผู้กดขี่ทั้งหลายก็เริ่มเห็นว่า สาร์นแห่งอิสลามเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกตนต้องสูญเสียอำนาจบรรดาศักดิ์ และต้องประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ เมื่ออิสลามห้ามการกินดอกเบี้ย การเก็บส่วย การรีดนาทาเร้น เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จักรพรรดิ์แห่งเบซันไทน์ และเปอร์เซีย จึงเริ่มติดตามพฤติกรรมของศา่สนทูตมุฮัมมัด แต่ผู้ที่ประสบความสูญเสียมากที่สุดคือ อะบูซุฟยาน, อะบูญะฮัล และ พรรคพวก ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจบาตรใหญ่มากที่สุดในมักกะห์ นครอันเป็นศูนย์กลางของอารเบียและเป็นศูนย์รวมทางด้านจิตวิญญาณของเหล่าอาหรับ พวกเขาเริ่มก่อการร้าย ด้วยการทรมานและสังหารบรรดาผู้ที่ศรัทธาสิทธิและเสรีภาพ อันเป็นหลักคำสั่งสอนของศาสนทูตมุฮัมมัด 
 
เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่ปี พวกเขาก็ได้ก่อการร้ายที่รุนแรงมากขึ้น ด้วยการประกาศคว่ำบาตร ไม่ให้ผู้ใดทำการค้าขาย หรือมีความสัมพันธ์ไมตรีกับศรัทธาชน พวกเขาจึงถูกจำกัดอาณาเขตในพื้นที่ภายใต้การอารักขาของอะบูฏอลิบ น้าชายของศาสนทูต ผู้ใดออกนอกอาณาเขตดังกล่าว ก็จะถูกประทุษร้าย  
 
ในที่สุด พวกเขาก็ได้วา่งแผนสังหารศาสนทูต จนศาสนทูตต้องอพยพออกจากมักกะห์ สู่นครยัธริบ และก่อตั้งอาณาจักรแห่งความสันติในแผ่นดินนั้น โดยให้ทุกคนมีควา่มเสมอภาค แม้ว่าจะเป็นชนชาติใดนับถือศาสนาใดก็ตาม  
 
เมื่อบรรดาผู้ก่อการร้ายในมักกะห์เห็นว่าเหล่าศรัทธาชนได้อพยพหนีไปต่างแดน ก็เข้ายึดทรัพย์สมบัติเป็นของพวกเขาเกือบหมดสิ้น แล้วคิดการใหญ่ วางแผนขยายฐานอำนาจและเศรษฐกิจของพวกตนด้วยการเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นทุนในการค้าขาย โดยซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากจากซีเรีย ให้กองคาราวานลำเลียงกลับมายังมักกะห์ 
 
เมื่อกองคาราวานถูกบรรดาศรัทธาชนในมะดีนะห์สกัดกั้นที่บะดัร และเหล่าสินค้าถูกริบไป อะบูซุฟยานจึงปลุกระดมชาวอาหรับในมักกะห์และรอบข้าง เพื่อจัดกองทัพหมายขยี้เมืองมะดีนะห์ให้ราบเป็นหน้ากลอง ในปีต่อมาอะบูซุฟยานก็กรีฑาทัพจนถึงที่อุฮุด ในกองทัพมีผู้หญิงเป็นจำนวนมากท่ร้องรำทำเพลง หมายปลุกขวัญให้พวกผู้ชายไม่หนีทัพ 
 
สงครามที่บะดัรและอุฮุดยิ่งเพิ่มความแค้นให้แก่อะบูซุฟยานและครอบครัวยิ่งขึ้น หลังจากนั้นอะบูซุฟยานก็พยายามทุกรูปแบที่จะทำลายล้างอาณาจักรอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นการยุยงให้อาหรับบางเผ่าและชาวยิวผิดสัญญา ตั้งตนเป็นศัตรู หรือการจัดทัพและกำลังทหารเพื่อต่อสู้โดยตรง หลังสงครามคอนดัก อะบูซุฟยานก็เริ่มเห็นว่าโอกาสที่จะเอาชนะศาสนทูตนั้นมีน้อยเหลือเกิน จึงต้องยอมวางมือเป็นการชั่วคราว เมื่อกองทัพธรรมเข้ามหานครมักกะห์ด้วยความสันติใน ฮ.ศ. ที่ 10 นั้น อะบูซุฟยานจำใจกล่าวคำว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอหฺ" แต่ก็ไม่ยอมรับมุฮัมมัดว่าเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ 
 
ศาสนทูตมุฮัมมัดรู้ซึ้งถึงความสับปลับของคนในตระกูลอุมัยยะห์ จึงได้มีการกำชับสั่งเสียให้คว่ำบาตรอัลฮะกัม อัลอุมะวีย์ ญาติอะบูซุฟยานคนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ศาสนทูตมุฮัมมัดเคยหวั่นกลัว ก็กลายเป็นความจริง เมื่อศาสนทูตเสียชีวิตแล้ว บรรดาโจรเหล่านั้นก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ในจำนวนนั้นมีมุอาวิยะห์ บุตรอะบูซุฟยาน และมัรวาน บุตรอัลฮะกัม ที่ได้ก่อกบฎล้มอาณาจักรอิสลาม แล้วเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช นำความเดือดร้อนมาให้แก่ผู้คนทั่วทุกหนแห่ง ความฝันของอะบูซุฟยานกลายเป็นความจริงเพียงแค่ในเวลาสี่ทศวรรษ 
 
เมื่อมุอาวิยะห์ตายไป ยะศีด บุตรชายก็ขึ้นครองแผ่นดิน สิ่งที่เขาทำ ก็คือการก่อการร้ายในแผ่นดิน เขาได้สั่งให้กรีฑาทัพเข้าตีนครมะดีนะห์อันเป็นนครแห่งศาสนทูต แล้วให้เหล่าทหารฆ่าฟันผู้คน และข่มขืนสตรีในนครมะดนะห์ อีกทั้งปล้นสะดมภ์ทรัพย์สิน สงครามในฮุรเราะห์นั้นมีผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วน มีสตรีที่ตั้งท้องเพราะถูกเหล่าทหารข่มขืนถึง 500 คน ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่ปู่อะบูซุฟยาน ที่เคยพ่าย และเหล่าญาติที่ถูกฆ่าตายในสงครามบะดัรและอื่นๆ  
 
การที่ยะศีดและพรรคพวกตั้งตนเป็นศัตรูต่ออิสลามนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันมา เพียงแค่การสังหารวงศ์วานศาสนทูตที่กัรบะบะลาอ์ ในนั้นมีฮุเซนหลานตาศาสนทูต ย่อมเป็นสัญลักษณ์ของการก่อการร้ายที่ไม่อาจจะอภัยได้ 
 
ทว่าเมื่ออิบนุตัยมียะห์ก่อตั้งลัทธิเทอดทูนมุอาวิยะห์และยะศีดเป็นอะมีรุลมุมินีน (ผู้นำแห่งศรัทธาชน) อีกทั้งยังประณามอะลีย์ บินอะบีฏอลิบว่าเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถ อิบนุตัยมียะห์ก็กลายเป็นผู้รู้ที่เทอดทูนการก่อการร้ายไปโดยปริยาย เมื่ออินุอับดุลวะฮาบคิดการใหญ่หมายยึดอารเบียและแผ่นดินอาหรับทั้งหมดให้อยู่ใต้อำนาจ เขาก็ได้เอาเยี่ยงอย่างมุอาวิยะห์ที่เคยปฏิบัติต่อคอลีฟะห์อะลีย์ นั่นคือการก่อกบฏต่อต้านคอลีฟะห์และอาณาจักรอิสลามออตโตมาน โดยอ้างว่าผู้ที่ไม่ได้นับถือลัทธิของนั้นเป็นกาฟิร สมควรแก่การฆ่าสังหาร และอนุมัติให้ปล้นสะดมภ์ทรัพย์สินของพวกเขา 
 
การปล้นบ้านเมืองและหมู่บ้านจึงกลายเป็นกิจวัตรของพวกวะฮาบีย์ เช่นเดียวกับการการทำลายล้างสุสาน โดยอ้างว่าเป็นต้นเหตุของการตั้งภาคี ในขณะเดียวกันก็ทำลายสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามต่างๆ และการลดระดับของศาสนทูตมุฮัมมัดให้มีฐานันดรเสมือนบุรุษไปรษณีย์ การกระทำทุกย่างนั้น บ่งบอกถึงความอคติที่มีต่อศาสนทูต ในขณะเดียวกันกลับมุ่งพยายามที่จะสถาปนาลูกหลานซะอูดให้เป็นใหญ่ในอารเบีย เมื่ออังกฤษให้ความช่วยเหลือ ความตั้งใจของเชคอันนัจดีย์ก็สมหวัง อารเบียกลายเป็นสมบัติของตระกูลซะอูด มีนามใหม่ว่า ซาอุดิอารเบีย 
 
เมื่อลัทธิวะฮาบีย์เ็ห็นการก่อร้ายเป็นอุปกรณ์ในการเผยแพร่ลัทธิ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุใดจึงมีเรื่องฆ่าฟันเกิดขึ้นทุกที่ที่พวกวะฮาบีย์มีอำนาจ ตัวอย่างของความโหดร้ายนั้นปรากฏให้เห็นในอัฟกานิสถาน (โดยกลุ่ม ฏอลิบาน) และปากิสถาน (โดยกลุ่ม ซีปาห์เอซอฮาบัต) เมื่อพวกเขาจ้องฆ่าสังหารผู้คนที่รักและเทอดทูนวงศ์วานศาสนทูต เช่นเดียวกับพวกอุมัยยะห์เคยทำมาในอดีต 
 
การก่อการร้ายของวะฮาบีย์ในวันนี้ ทำขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจและเรียกร้องความเห็นใจจากชาวมุสลิมทั่วโลก โดยไม่ได้สนใจว่าอิสลามต้องเปรอะเปื้อนไปกับการกระทำเหล่านี้มากเพียงใด เป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายล้างศัตรู นั่นคือ สหรัฐอเมริกาและตะวันตก โดยลืมไปว่าในอดีตอันไม่นานมานี้ พวกเขาเคยเป็นพันธมิตรที่จับมือกันมั่น และเอื้อผลประโยชน์ให้กันและกัน 
 
การก่อการร้ายของพวกวะฮาบีย์ในวันนี้มีเป้าหมายที่ดูเหมือนจะเด่นชัดว่าต่อต้านโลกตะวันตก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอะไรที่แอบแฝงอยู่ เพราะต้นตำรับของวะฮาบีย์ที่แท้จริงนั้นคือการต่อต้านความจงรักภักดีต่อศาสนทูตและวงศ์วานของศาสนทูต ดังนั้นไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน พวกวะฮาบีย์จะไม่ยอมให้ชาวชีอะห์ผู้เทอดทูนศาสนทูตขึ้นมาีมีอำนาจอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นในอัฟการิสถาน ปากิสถาน หรือ อิรัก พวกเขายอมฆ่าตัวตาย เพียงแต่อย่าให้ชาวชีอะห์มีโอกาสโงหัวขึ้น 
 
เอกสารที่พบในอิรักนั้น เปิดเผยถึงการร่วมมือระหว่างซัดดาม ฮุเซน จอมโจรผู้ฆ่าประชาชน และอุซามะห์ บินลาดิน ผู้ที่พลิกประวัติศาสตร์นำฉายาการก่อร้ายมาให้อิสลาม ไม่มีอะไรที่จะต้องสงสัย ในเมื่อทั้งสองมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือ อย่าให้รัฐอิสลามที่สองเกิดขึ้นในอิรัก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม 
 
มุสลิมในประเทศไทยจำนวนไม่น้อยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาถูกอิทธิพลของผู้มีใจเอนเอียงทางอุซามะห์ บินลาดิน และซัดดาม ฮุเซน เข้าครอบงำ พวกเขาเห็นดีเห็นงามไปกับบินลาดิน และซัดดามฮุเซน เว็บไซต์มุสลิมบางเว็บเชียร์การก่อร้ายจนออกหน้าออกตา การนำเสนอที่บิดเบือนของพวกเขา ทำให้เยาวชนชาวมุสลิมไทยได้รับข้อมูลที่ผิดกับความเป็นจริงไปด้วย | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Fri Jul 23, 2004 8:36 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				  
 
ขอ  อภัยกระดานนี้เป็น  มุสลิมที่แท้จริง
 
ผมต้องการให้เป็นความรู้ในเรื่องของศาสนา  อิสลาม
 
ส่วนว่า  ใครเหล่าใหนปฎิบัติตนอย่างไร
 
ก็ควรไปขึ้นกระทู้ใหม่จะดีกว่า
 
ahlussunnah   ขอให้คุณ  ใช้ตัวบทในอิสลามอย่าใช้
 
ความกระทำของมุสลิมมาเป็นเหตุให้คุณไม่สบอารมณ์  
 
ขอฝากให้  ท่านวิทยากร  ช่วยดูแลด้วย
 
ผมขอยืนยันว่าข้อความที่พิมพ์ของคุณahlussunnah   
 
บางแห่งไม่เหมาะสม  เป็นการกล่าวหาตัวบุคคล
 
และที่สำคัญเป็นการกล่าวหา ซอหาบะฮฺ ของท่านนบี   
 
ซึ่งท่านได้กล่าวห้ามไว้
 
ท่านวิทยากร  ปล่อยให้พิมพ์เข้ามาได้อย่างไร
 
นี่เป็นความผิดร้ายแรง
 
ถ้าท่านเห็นว่าข้อความนี้เป็นสิ่งถูกต้องก็ให้อยู่ต่อไป
 
ถ้าท่านเห็นในสิ่งที่ผิดก็ขอให้ถอนออกไป
 
ผมพูดในฐานะ สมาชิคและมุสลิมคนหนึ่งที่รักใน
 
อัลลอฮฺและรอซูล  และ บรรดาซอหาบะฮฺ
 
ของท่านนบี   
 
   | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Fri Jul 23, 2004 8:46 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				ประมวลคำพูดของบรรดานักปราชญ์ทั้ง4ท่าน
 
ในเรื่องการตำหนิผู้เรียนแบบอย่างตาบอด
 
 #  อิมามอบูฮะนีฟะฮฺ  ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ  กล่าวว่า
 
เป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ที่ไม่รู้ชัดในหลักฐานที่ฉันอ้างอิง
 
แล้วมาชี้ขาดในคำพูดของฉัน  เพราะเรานั้นก็คือคนธรรมดา
 
เราพูดวันนี้อย่างนี้  พรุ่งนี้เราอาจจะกลับคำพูดใหม่ก็ได้
 
#  อิมามมาลิก  ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ  กล่าวว่า
 
เราเป็นคนธรรมดา  มีผิดมีถูก  จงพิจารณาคำพูดของฉันด้วย
 
หากถูกต้องตรงกับอัลกุรอานและแบบฉบับของท่านร่อซูล   
 
ท่านทั้งหลายจงรับไป  แต่ถ้าหากคำพูดของฉัน
 
ขัดกับอัลกุรอานและแบบฉบับของท่านร่อซูล     ก็จงทิ้งไปเสีย | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Fri Jul 23, 2004 8:50 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				#  อิมามชาฟิอี  ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ  กล่าวว่า
 
เมื่อพวกท่านพบว่าในหนังสือของฉันขัดกับแบบฉบับของท่าน
 
รอซูล     พวกท่านก็จงพูดตามแบบฉบับของท่านรอซูล    
 
และจงทิ้งคำพูดของฉันเสีย
 
# อิมามอะหมัด  อิบนุฮัมบัล  รอฮิมะฮุลลอฮฺ  กล่าวว่า
 
อย่าตามฉันหรืออิมามมาลิก  ชาฟิอี  เอาซาอี  และเซารี
 
แต่จงเอาจากสิ่งที่พวกเขาเอามา | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Fri Jul 23, 2004 8:52 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				# จงระวังเรื่องบิดอะฮฺ
 
ดังมีรายละเอียดดังนี้
 
บิดอะฮฺ  คืออะไร
 
บิดอะฮฺคือ  วิถีทางที่กำหนดขื้นมาใหม่ในด้านศาสนา
 
คล้ายคลึงกับบทบัญญัติของศาสนา  เข้าใจว่าเมื่อทำแล้ว
 
จะได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ  โดยไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้อ้างอิง
 
ไม่ว่าจะเป็นตัวบทหรือรูปลักษณะ  นี่เป็นคำนิยามของท่านอิมามอัชชาฎิบีย์
 
#  ข้อชี้ขาดในเรื่องบิดอะฮฺ
 
บิดอะฮฺทุกชนิดในเรื่องศาสนาถือว่าเป็นการหลงผิด
 
และเป็นการกำหนดบัญญัติศาสนาของ อัลลอฮฺขึ้นมา  โดยมิได้รับความพอพระทัยจากพระองค์
 
ท่านรอซูล      กล่าวว่า
 
และข้อปฎิบัติที่เลวร้ายที่สุดคือ  การกำหนดหลักศาสนาขึ้นมาใหม่
 
และทุกสิ่งที่กำหนดขึ้นมาใหม่ในศาสนาถือว่าเป็นบิดอะฮฺ  ( บันทึกโดยมุสลิม ) | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Fri Jul 23, 2004 8:55 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				ท่านรอซูล     ได้กล่าวว่า
 
ท่านทั้งหลายจงยึดมั่นต่อแบบฉบับของฉันและบรรดาคุลิฟาอัรรอชิดีนให้มั่นคง
 
เหมือนกัดด้วยฟันกราม  และจงระวังการบิดอะฮฺในเรื่องศาสนา
 
เพราะการบิดอะฮฺทุกอย่าง(ในเรื่องศาสนา)เป็นการหลงผิด
 
(บันทึกโดยอัตติรมีซีย์  อิบนุมาญะฮฺและอะฮฺหมัด)
 
และอีกรายงาน
 
ใครที่อุตริทำในเรื่องที่ไม่มีในแบบฉบับของเรา  งานนั้นถูกส่งคืน
 
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์  และมุสลิม)
 
การทำบิดอะฮฺทุกอย่างเป็นการหลงผิด  แม้ผู้คนส่วนมากจะว่าดีก็ตาม
 
นั่นเป็นคำพูดของ  อับดุลลอฮฺ อิบนิอุมัร  เพราะฉนั้นในศาสนาบัญญัติจะไม่มี
 
บิดอะฮฺดีหรือบิดอะฮฺไม่ดี  เพราะในหะดีษที่ท่านรอซูลกล่าวไว้มิได้แยกบิดอะฮฺไว้
 
แต่บอกว่าบิดอะฮฺทุกอย่างเป็นการหลงผิด  ใครจะกำหนดว่าอย่างนั้นดีอย่างนี้ดี
 
ถือเป็นบัญญัติศาสนานั้นไม่ได้เป็นอันขาด  แม้แต่ท่าน นบีเองก็ตาม
 
ผู้ที่จะกำหนดว่าดีและเป็นบัญญัติศาสนาได้นั้นมีเพียงผู้เดียว
 
คือ  อัลลอฮฺ | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Mon Jul 26, 2004 10:47 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				ท่านอิมามชาฟิอี  ได้กล่าวว่า
 
ใครที่ได้ให้เรื่องหนึ่งเรื่องไดเป็นเรื่องที่ควรกระทำ
 
(ในเรื่องศาสนา)เขาผู้นั้นก็วางบัญญัติศาสนา
 
พระองค์ อัลลอฮฺ ตรัสว่า
 
วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว  และได้ให้ความโปรดปราน
 
ของเราสมบูรณ์แล้ว  และเราพอใจที่จะให้อิสลามเป็นศาสนา (อัลมาอิดะฮฺ  อายะฮฺที่3
 
ท่าน นบีมุฮัมมัด ฯ ได้กล่าวว่า
 
อะไรที่อัลลอฮฺใช้ให้พวกท่านกระทำ  ฉันก็ได้บอกให้พวกท่านกระทำหมดแล้ว
 
และอะไรที่อัลลอฮฺทรงห้ามมิให้กระทำ  ฉันก็ได้บอกให้พวกท่านมิให้กระทำทั้งสิ้นแล้ว | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Mon Jul 26, 2004 10:49 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				# ผลตอบแทนที่ผู้กระทำบิดอะฮฺจะได้รับ #
 
1 สิ่งที่เขากระทำไปนั้นจะถูกส่งกลับหมด (ไม่ได้รับผลตอบแทนแต่อย่างได)
 
ท่านรอซูล    กล่าวว่า
 
ใครที่อุตริทำในเรื่องศาสนาโดยไม่มีแบบฉบับ  สิ่งที่ทำไปนั้นจะถูกส่งกลับ
 
2 การเตาบะฮฺ(กลับตัว)  จะถูกปิดกั้น
 
ท่านรอซูล     กล่าวว่า
 
อัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงรับการเตาบะฮฺของผู้ที่ทำบิดอะฮฺ
 
จนกว่าเขาจะทิ้งการกระทำบิดอะฮฺนั้นเสีย ( บันทึกโดยอัตติรมีซียฺ อัฎฎ็อบรอนียฺ )
 
3 จะต้องรับโทษที่ตัวเองกระทำ  และโทษของผู้อื่นที่ได้กระทำบิดอะฮฺตามไปด้วยเพราะ
 
อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า
 
เพื่อพวกเขาจะได้รับกรรมชั่วของพวกเขาอย่างเต็มเปี่ยมในวันกิยามะฮฺ
 
และกรรมชั่วของบรรดาพวกที่เขาทำให้หลงผิดโดยไม่รู้อีกด้วย (อันนะฮฺลิ  อายะฮฺที่25 ) | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Mon Jul 26, 2004 10:51 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				#  บิดอะฮฺต่างๆ #
 
 1 บิดอะฮฺที่ถือว่าเป็นการปฎิเสธ  ได้แก่
 
การขอดุอาอฺต่อบรรดานบีและคนซอและฮฺที่ล่วงลับไปแล้ว
 
เพื่อขอความช่วยเหลือหรือให้ขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายต่างๆ
 
2 บิดอะฮฺที่ถือว่าต้องห้าม  ได้แก่
 
การขอให้คนตายเป็นสื่อเพื่อเข้าใกล้อัลลอฮฺ
 
การถือเอากุบุรเป็นมัสยิดทำการละหมาด  มีการเชือดสัตว์ ปล่อยสัตว์ มีการเวียนรอบ
 
 3 บิดอะฮฺที่น่ารังเกียจ  จัดอยู่ในประเภทต้องห้าม  ได้แก่
 
การละหมาดซุฮฺริหลังจากได้ละหมาดวันศุกร์แล้ว
 
การอ่านกุรอานเอาค่าจ้าง
 
การอ่านซูเราะฮฺยาซีนให้คนตาย
 
การจัดงานคืนนิศฟุซะอฺบาน
 
การจัดงานเมาลิดนบี    | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Mon Jul 26, 2004 10:53 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				การขอดุอาอฺรวมกัน  อื่นจากการขอดุอาอฺรวมกันในคุฎบะฮฺวันศุกร์
 
ละหมาดตะรอวีฮฺ และละหมาดขอฝน
 
การทำซิกรุลลอฮฺรวมกันหลังละหมาดเสร็จ
 
การถือศิลอดเฉพาะเดือนเราะญับเดือนเดียว
 
การจัดงานคืนอิสรออฺและเมียะอฺรอจญฺ
 
การเอาท่าน นบีเป็นสื่อในการขอพร
 
หรือการกระทำทุกอย่างที่ไม่มีตัวบทจาก อัลกุรอาน หรืออัลหะดีษระบุไว้ | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Mon Jul 26, 2004 10:56 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				การกระทำต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น  ไม่มีหลักฐานระบุให้กระทำจาก อัลกุรอาน
 
และจากการกระทำของท่าน รอซูล      หรือบรรดาสะลัฟศอลิฮฺแต่อย่างได
 
จึงเป็นการแน่นอนที่สุดว่า  ผู้กระทำสิ่งดังกล่าวจะต้องได้รับโทษ
 
ตามที่ อัลลอฮฺ  ได้ทรงสัญญาไว้กับผู้ที่กระทำบิดอะอฺทั้งหลาย
 
ท่านผู้เป็นมุสลิมทั้งหลาย  สิ่งสำคัญที่ทำให้ศาสนาอิสลามนี้ยืนหยัดอยู่ได้ก็คือ
 
ความบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน  ไม่เหมือนกับบางศาสนาที่มีการตัดทอนเพิ่มเติม
 
เพราะฉนั้นใครก็ตามที่พยายามจะตัดทอนหรือเพิ่มเติมสิ่งใดลงไปในบัญญัติ
 
ของอิสลาม  จึงถือว่าเป็นการสร้างความมัวหมองให้แก่อิสลาม
 
ขอให้ทุกคนระวังตัวเองและป้องกันมิให้ตกไปเป็นผู้กระทำบิดอะฮฺอย่างเด็ดขาด | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:49 pm    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				#แบบฉบับบางอย่างที่ท่านรอซูล    
 
ใช้ให้เอาใจใส่ต่อสรีระของมนุษย์#
 
ความเป็นมุสลิมจะมีความสำคัญหรือไม่  อยู่ที่ตัวของมุสลิมเองว่า
 
จะปฎิบัติตามจริยวัติที่ท่าน รอซูล      ได้กระทำไว้  ได้มากน้อยเพียงได
 
สิ่งที่อิสลามได้สนับสนุนให้กระทำเป็นอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ
 
การตบแต่งรักษาสิ่งที่เป็นธรรมชาติในสรีระของมนุษย์เอง
 
ให้มีความสะอาดสวยงาม  สมกับเป็นลูกผู้ชาย
 
และสมกับความเป็นสุภาพสตรี  ซึ่งได้ใช้ได้ห้ามไว้หลายอย่าง
 
ดังนี้ | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:51 pm    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				1  การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย
 
2  การขจัดขนในร่มผ้า
 
3  การขลิบหนวด
 
4  การตัดเล็บ
 
5  การขจัดขนรักแร้
 
ท่านรอซูล     กล่าวว่า
 
ธรรมชาติในร่างกายของมนุษย์ 5 อย่าง (ที่ต้องถือปฎิบัติ)
 
คือ การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย  ขจัดขนในร่มผ้า  การขลิบหนวด
 
การตัดเล็บ  และการขจัดขนรักแร้ (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ มุสลิม และอะฮฺหมัด ) | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Tue Jul 27, 2004 10:53 pm    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				# การเลี้ยงเคราและตบแต่งให้สวยงาม #
 
ลักษณะของท่านรอซูลอย่างหนึ่งคือการไว้เครา  ท่านได้ใช้ให้เลี้ยงเครา
 
โดยกล่าวว่า
 
ท่านทั้งหลายจงเลี้ยงเครา  ตัดหนวด  เปลี่ยนสีผมที่หงอก
 
(ด้วยการย้อมใบเทียน)และอย่าได้เลียนแบบของพวกยะฮูดี  และนัศรอนี
 
(บันทึกโดยมุสลิม)
 
การเลี้ยงเคราและตบแต่งให้สวยงามนั้น  เป็นสิ่งที่ท่านรอซูล     
 
ได้สนับสนุนให้กระทำเป็นอย่างยิ่ง  และอีกสิ่งหนึ่งที่ท่านสนับสนุนให้กระทำก็คือ
 
การย้อมผมที่หงอกขาวด้วยใบเทียน  ทั้งนี้โดยมีเป้าหมาย
 
นอกเหนือไปจากความสวยงามแล้ว  อีกอย่างหนึ่งคือเพื่อไม่ให้
 
เหมือนกับลักษณะของพวกยะฮูดีและนัศรอนี | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		addullslam มือเก๋า
  
  
  เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
  
  | 
		
			
				 ตอบ: Thu Jul 29, 2004 10:33 am    ชื่อกระทู้:  | 
				     | 
			 
			
				
  | 
			 
			
				# ให้ผู้ชายสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ยาวเกะกะจนเกินไป#
 
ท่านรอซูล    กล่าวว่า
 
บุคคลสามจำพวกที่อัลลอฮฺไม่ทรงพูดและไม่ยอมมอง
 
พวกเขาในวันกิยามะฮฺ  จะไม่มีการซักฟอก  พวกเขาจะได้รับโทษ
 
อย่างเจ็บแสบ คือ ผู้ที่ห่มเสื้อผ้ายาว (เพื่อโอ้อวด)
 
ผู้ที่ให้สิ่งของผู้อื่นเพื่อหวังการตอบแทน
 
ผู้ที่จ่ายของของเขาไปด้วยการสาบานเท็จ
 
(บันทึกโดยมุสลิมและอะฮฺหมัด)
 
ฉนั้น  จึงสมควรที่ผู้เป็นมุสลิมทุกคน  จะต้องรักษาและ
 
ปฎิบัติตามท่าน รอซูล      ได้สนับสนุนให้กระทำไว้
 
และเพื่อหวังความโปรดปรานจาก อัลลอฮฺ  ในบั้นปลาย | 
			 
		  | 
	
	
		| กลับไปข้างบน | 
		 | 
	
	
		  | 
	
	
		 |