อนุรักษ์มรดกอิสลาม

[AlGhuraba]

----------------------------
Matto Le Chalier_ VI
----------------------------
ความรักในองค์พระมหากษัตริย์ของไทย ของมุสลิม ควรจะเป็น เช่นเดียวกับความรัก ของ มุสลิม ทั้งหลายที่ มีความรักต่อ พ่อแม่และบุตร ธิดา ภรรยา ทั้ง หลายของ เขา ซึ่งไม่ถือว่า เป็น การสร้าง ภาคี
(matt : ชนิดของความรัก Tue Jul 04, 2006 2:16 am�)
---------------------

ดีใจมากๆเลย ที่นานๆจะเห็นอาจานพูดจาเข้าท่า ตรงตามตัวบท ถูกต้องตามหลักการเปี๊ยบไม่บิดเบือน และยืนยันได้ด้วยเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรกๆ(หมายถึงยุคของอุมมะฮฺมุฮัมมัดนะครับ)

เมื่อมีอะไรที่ผมเห็นว่าผิดพลาด บิดเบือน ก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องท้วงติง ชี้แนะ และแก้ไข ในทางกลับกันเมื่ออาจานพูดถูกก็พึงยอมรับว่าถูกต้อง และขานรับยืนยันแนวคิดนั้น

อัลลอฮฺทรงตรัสว่า....

لَا تَجِدُ قَوْمًا يُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ يُوَادُّونَ مَنْ حَادَّ اللَّهَ وَرَسُولَهُ وَلَوْ كَانُوا آبَاءَهُمْ أَوْ أَبْنَاءَهُمْ أَوْ إِخْوَانَهُمْ أَوْ عَشِيرَتَهُمْ أُولَئِكَ كَتَبَ فِي قُلُوبِهِمُ الْإِيمَانَ وَأَيَّدَهُمْ بِرُوحٍ مِنْهُ وَيُدْخِلُهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِنْ تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ خَالِدِينَ فِيهَا رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا عَنْهُ أُولَئِكَ حِزْبُ اللَّهِ أَلَا إِنَّ حِزْبَ اللَّهِ هُمُ الْمُفْلِحُونَ

เจ้าจะไม่พบหมู่ชนใดที่พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกรักใคร่ชอบพอผู้ที่ต่อต้านอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อของพวกเขา หรือลูกหลานของพวกเขา หรือพี่น้องของพวกเขา หรือเครือญาติของพวกเขาก็ตาม ชนเหล่านั้นอัลลอฮฺได้ทรงบันทึกการศรัทธาไว้ในจิตใจของพวกเขา และได้ทรงเสริมพวกเขาให้มีพลังมากขึ้นด้วยการสนับสนุนพระองค์ และจะทรงให้พวกเขาได้เข้าสวนสวรรค์หลากหลาย มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างของสวนสวรรค์ โดยเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล อัลลอฮฺทรงโปรดปรานต่อพวกเขาและพวกเขาก็ยินดีปรีดาต่อพระองค์ ชนเหล่านั้นคือ-หิซบุลลอฮฺ-พรรคของอัลลอฮฺ พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพรรคของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จ (58:22)

นั่นคือ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หน้าไหน ใครจะยิ่งใหญ่เพียงใดในหน้าแผ่นดิน แม้จะเคยรัก เคารพสุดๆ มีพระคุณท่วมฟ้าท่วมแผ่นดินขนาดไหน หรือจะจงรักภักดีกันมาเพียงใด แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ขัดกับคำสั่งของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ เมื่อนั้นไม่มีคำว่า ประนีประนอม ไม่มีคำว่า เกรงใจเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่ พี่น้อง ลูกเมีย(สามี) หรือจะเป็นญาติสนิทชิดเชื้อกันเพียงใด หรือผู้ใดใครก็ตาม ตรงตามที่อาจานย้ำกับพวกเราในข้อความข้างต้น

จากบันทึกในประวัติศาสตร์เราจะพบว่า....
อบูอุบัยดะฮฺ บินญัรรอห์ สังหารบิดาแท้ๆของท่านในสมรภูมิบัดร์ เนื่องจาก อัลญัรรอห์(ผู้บิดา) เป็นปฏิปักษ์ต่ออัลลอฮฺและรอซูล และหมายมุ่งจะทำลายอัลอิสลามและท่านนบี แม้ว่าจะรักเคารพบิดาเพียงใด จงคิดดูว่าท่านต้องข่มใจขนาดไหนที่จะเงื้อดาบฟันบิดาตายไปต่อหน้าต่อตา ไม่มีใครตราหน้าว่าท่านเป็นลูกทรพี คนเนรคุณ ตรงกันข้าม ท่านอุมัรกล่าวตอนที่ให้บรรดาเศาหาบะฮฺปรึกษาหารือกันเพื่อสรรหา กกต....เอ๊ย... หาคนที่จะรับตำแหน่งผู้ปกครอง(เคาะลีฟะฮฺ)ต่อจากท่านว่า...
وَلَوْ كَانَ أَبُو عُبَيْدَة حَيًّا لَاسْتَخْلَفْته
ถ้าหากว่าอบูอุบัยดะฮฺยังอยู่ ฉันจะตั้งให้เขาเป็นเคาะลีฟะฮฺต่อจากฉัน

ท่านอบูบักร์ บิดาของท่านชื่อ อบูกุหาฟะฮฺ ครั้งหนึ่งอบูกุหาฟะฮฺได้กล่าวผรุสวาทต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม อบูบักร์จึงตีพ่อไปทีหนึ่งโดนที่ใบหน้าท่าน พอท่านอบูบักร์ไปหาท่านนบีเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ท่านนบีบอกว่า ท่านทำเช่นนั้นเชียวหรือ ทีหลังอย่าทำเช่นนั้นอีกนะ” อบูบักร์จึงกล่าวว่า “ขอสาบานต่อพระผู้ทรงแต่งตั้งท่านมาเป็นนบีด้วยสัจจธรรม ถ้าหากว่าตอนนั้นฉันมีดาบอยู่ใกล้มือละก็ ฉันคงฆ่าเขาไปแล้วครับ”

นี่ครับคือความรู้สึกของ มุอ์มินของแท้ ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด ใช่แต่เท่านั้น ท่านอบูบักร์อีกเช่นกัน ยังเคยเรียกบุตรชายของท่านคนหนึ่งมาประดาบกันในคราวสงครามบัดร์ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย เพราะบุตรชายคนนี้ตอนนั้นยังสวามิภักดิ์อยู่ฝ่ายกุฟฟารกุร็อยช์ ส่วนท่านอบูบักร์อยู่เคียงข้างท่านนบีมาตลอด ต่อมาภายหลัง เมื่อลูกๆของท่านเข้ารับอิสลาม ลูกมาบอกกับอบูบักร์ว่า คุณพ่อที่รัก เมื่อครั้งสงครามบัดร์ พ่อตกอยู่ภายใต้คมดาบของฉันถึงสองครั้ง แต่ฉันทำไม่ลงเพราะพ่อเป็นพ่อของฉัน ท่านอบูบักร์ตอบว่างัยรู้มั้ยครับ...
“ดีมาก เจ้าลูกชาย... ถ้าโอกาสนั้นเป็นของพ่อ เจ้าอาจจะไม่ได้อยู่มาจนถึงวันนี้หรอก” ..... อัลลอฮุอักบัร!

ยังมีอีกมากครับ .... มุศอับ บินอุมัยร์ สังหารพี่ชายชื่ออุบัยด์ บินอุมัยร์ ในสมรภูมิบัดร์
อุมัร อิบนิอัลค็อฏฏอบ ฆ่าน้าชายชื่อ อัลอฺาศ บินฮิชาม บินอัลมุฆีเราะฮฺในสมรภูมิบัดร์
อฺะลี กับหัมซฺะฮฺ ฆ่า อุตบะฮฺ, ชัยบะฮฺ และอัลวะลีด... ใครเป็นใคร ลองไปนับญาติกันดูนะครับ นี่ก็ที่บัดร์เหมือนกัน

ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าอิสลามสอนให้มุสลิมเนรคุณ เป็นลูกทรพี หรือโหดเ หี้ ย ม ไร้ความปรานีแม้กับญาติสนิท มิตรสหาย แต่ พึงรำลึกไว้เสมอว่าอัลลอฮฺผู้ทรงสร้างเรา สร้างพ่อแม่ลูกเมียรวมทั้งบรรพบุรุษทุกลำดับชั้นของเรา พระองค์ย่อมทรงสิทธิ์เหนือทุกชีวิตบนหน้าโลก พึงรำลึกไว้เสมอว่าอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ต้องสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด...แอะ-แอะ... อย่าเอาประโยคนี้มาตีรวนว่าผมกำลังชวนทำชิริกนะครับ... กลับไปหาดูใหม่นะครับ ว่าอัลลอฮฺ กับ รอซูลของอัลลอฮฺ นั้นอยู่ในฐานะต่างกันอย่างไรที่เราจะต้องฏออฺะฮฺ ท่านนบีบอกว่า

وَاَلَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ لَا يُؤْمِن أَحَدكُمْ حَتَّى أَكُون أَحَبّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِده وَوَلَده وَالنَّاس أَجْمَعِينَ " وَرَوَى الْإِمَام أَحْمَد

“ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ คนใดคนหนึ่งในพวกท่านจะยังไม่ถึงซึ่งความศรัทธาอย่างแท้จริง จนกว่าฉันจะเป็นรักของเขายิ่งกว่าพ่อแม่ของเขา ยิ่งกว่าลูกของเขา และยิ่งกว่ามวลมนุษย์ทั้งหมด” (รายงานโดย อะหฺมัด)

แล้วอย่าแปลหะดีษนี้ให้มันขัดกับอัลกุรอานล่ะครับ...รู้นะ กำลังคิดอะไรอยู่!
มุสลิมมีความรักต่อ พ่อแม่และบุตร ธิดา ภรรยาทั้งหลายของเขา แบบนี้ครับ เพราะฉะนั้นจะรักใครให้เหมือนรักพ่อ รักแม่ ฯลฯ ก็ต้องรักให้ได้แบบนี้เช่นกัน.... ไม่ถือว่าเป็นการสร้าง ภาคีแน่นอน !
อาจานครับ เหรียญน่ะมันมีสองหน้า ดมดูซะก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะ “เลีย” หน้าไหนดี
-------------------------

[AlGhuraba]

----------------------------
Matto Le Chalier_ VII
----------------------------

ในยุคหนึ่ง มุสลิมนิกายซุนนีย์ พยายามจะใช้การปกครองแบบ เลือกและแต่งตั้งบุคคล ที่เหมาะสม เป็น หัวหน้ารัฐ ในตำแหน่ง คอลิฟะ ซึ่งในภายหลัง ก็กลายเป็นระบบ เข่นเดียว กันกับ ระบบ สืบ ราชบัลลังก์ และในปัจจุบัน ระบบ คอลิฟะ นี้ ก็ ถูกพิจารณา ว่า เป็น ระบบเดียว กับ ระบบ กษัตริย์
( matt : ชนิดของความรัก - Tue Jul 04, 2006 2:16 am )
---------------------
ขออภัย... ไม่ทราบว่า แมวตัวไหนมันพิจารณาให้อาจานเชื่อได้อย่างนั้นครับ นั่นน่ะ เค้าไม่เรียกว่าพิจารณากระมังครับ แต่มันคือการบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อที่จะชักลากถูกลู่ถูกังไปตามที่มันจะบงการ หรือไม่ก็เป็นการสุ่มสี่สุ่มห้าพิจารณาลวกๆ โดยไร้ข้อมูล โมเม และมั่วซั่ว ก็คงมีแต่คนชนิดเดียวกันเท่านั้นที่ยอมรับการพิจารณานั้นถึงกับเอาลูกโป่งโคมลอยอันนี้มาอ้างอิงเป็นคุ้งเป็นแควได้

ระบบเคาะลีฟะฮฺที่นักวิชาการอิสลามยอมรับคือยุคที่เรียกว่า คุละฟาอุรรอชิดีน - เคาะลีฟะฮฺที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ได้รับการรับรองโดยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม อันได้แก่ยุคสมัยของท่านอบูบักร์ ท่านอุมัร ท่านอุษมาน และท่านอฺะลี ยุคนั้นน่ะถ้าจะชูธงว่า "ไม่มีซุนนีย์ ไม่มีชีอฺะฮฺ" ละก็ ถูกต้องตรงเผงเลย เพราะเชื้อชั่วตัวนั้นยังไม่ปฏิสนธิ จึงมีแต่เพียง อิสลามอันบริสุทธิ์ มีแต่มุสลิมที่ยืนหยัด เท่านั้น

ต่อจากนั้น รุ่นลูก รุ่นหลานมุอฺาวิยะฮฺ กับบรรดาลูกขุนพลอยพยักต่างหาก ที่มาทำให้ระบบมันเสีย อาจานเข้าใจคำว่า"เสีย"มั้ยครับ เสียแปลว่า ใช้ไม่ได้แล้ว มันไม่ใช่ คิลาฟะฮฺ แล้ว มันกลายเป็นอย่างอื่นซึ่งใครอยากจะอุปโลกน์เรียกอะไรก็เรียกกันไป แต่มันไม่ใช่คิลาฟะฮฺ ไม่ใช่ระบบการปกครองแบบเคาะลีฟะฮฺที่เศาะหาบะฮฺรุ่นแรกเขาสืบสานก่อร่างกันขึ้นมาจากสิ่งที่ได้เรียน ได้รู้จากท่านนบี

ตอนที่ท่านอุมัรถูกลอบแทงจนเห็นว่าไม่รอดแน่ มีคนเคยเสนอให้ท่านอุมัรแต่งตั้งบุตรชายของท่าน...อับดุลลอฮฺ อิบนิอุมัร..ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนต่อจากท่าน ท่านอุมัรบอกว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันมิได้ต้องการให้อัลลอฮฺทรงให้เป็นเช่นนั้นเลย จะให้ฉันแต่งตั้งคนที่ไร้ความสามารถขนาดจะหย่าภรรยาตัวเองยังไม่ได้เลยได้อย่างไรกัน? ในตระกูลลูกหลานอุมัรเนี่ย มีคนไปตอบคำถามอัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ คนเดียวก็พอแล้ว(คือตัวท่านเอง)

ท่านอิบนิอุมัร น่ะ.... ไม่ใช่ "กระจอก" นะครับ เป็นเศาะหาบะฮฺระดับแนวหน้าคนหนึ่งทีเดียว แต่ท่านอุมัรมองเห็นถึงความไม่เหมาะสมบางอย่างในตัวบุตรชายของท่าน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าที่ว่า "ไร้ความสามารถในการหย่าภรรยา" ท่านอุมัรยกมาอ้างนี้เรื่องราวเป็นอย่างไร แต่จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านอิบนิอุมัรหย่าภรรยาคนหนึ่งในขณะที่นางอยู่ระหว่างการมีรอบเดือน ปรากฏว่าการหย่าครั้งนั้น ท่านนบีสั่งให้รับตัวนางกลับมาอยู่ด้วยกันก่อนจนกว่าจะหมดรอบเดือน แล้วจึงค่อยหย่าใหม่โดยไม่ได้ร่วมหลับนอนกับนางอีก... จะเป็นกรณีนี้ หรือว่ามีเหตุผลอื่น อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆคือ ท่านอุมัรไม่ยอมรับการสืบทอดตำแหน่งแบบเครือญาติ

แล้วท่านก็ให้กลุ่มบุคคลที่ได้ชื่อว่า อัลมุบัชชะรูน บิลญันนะฮฺ... ผู้ได้รับข่าวดีว่าเป็นชาวสวรรค์ หกในสิบคนที่เหลืออยู่ คือ อุษมาน, อฺะลี, อับดุรเราะหฺมาน บินเอฺาฟ์, สะอฺด์ บินอะบีวักฺกฺอศ, ฏ็อลหะฮฺ และซุบัยร์ ไปคุยกันเอง แล้วเลือกเฟ้นตัวบุคคลที่เหมาะสมกันขึ้นมาในระหว่างพวกเขา เพราะท่านอบูบักร์กับอบูอุบัยดะฮฺ บิน อัลญัรรอหฺ ก็ตายไปแล้ว ส่วนท่านอุมัรเองก็กำลังจะตาย ... 1-2-3-4-5-6 บวก 7-8-9... เอ๊ะ แล้วทำไมหายไปคนนึง ไม่ครบสิบ? .... ไม่หายไปไหนหรอกครับ อีกคนคือ “สะอีด บินซัยด์” ก็เป็นหนึ่งในสิบนั่นเหมือนกัน แต่คนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านอุมัรเอง คือเป็นลูกของอาท่านอุมัร ท่านตัดชื่อคนนี้ออกไปเป็นคนแรกเลย เพราะเกรงจะเป็นที่ครหาว่าเอาญาติโกโหติกามารับตำแหน่งสำคัญๆในรัฐบาล และเพื่อตัดตอนการกลายพันธุ์ไปเป็นระบบราชวงศ์

จะเห็นได้ว่าระบบเคาะลีฟะฮฺ น่ะเค้าคัดกันด้วย คนดี มีอีมานเข้มแข็ง มีความเชี่ยวชาญทั้งบู๊และบุ๋นและมีความรู้ความสามารถครับ เค้าไม่ได้เลือกกันด้วยการตรวจ DNA เพราะฉะนั้น การสืบสันตติวงศ์ จึงเป็นอะไรที่ไม่มีอยู่ในสารบบอิสลาม ไม่นับว่าเป็นระบบเคาะลีฟะฮฺ ตรงกันข้าม กลับเป็นการทำลายระบบด้วยซ้ำ เพราะถ้าลูกหลานยังแข็งแกร่งด้วยอีมาน ยืนหยัดในหลักการ ก็รอดตัวไป แต่ถ้าเมื่อใดที่อีมานอ่อนแอ ถูกเชื้อความฝักใฝ่ต่อลาภ ยศ ศฤงคาร ความเพริดแพร้วแห่งดุนยาเข้าครอบงำละก็...เมื่อนั้นความวิบัติของประชาชาติอิสลามจะเข้ามากล้ำกรายทันที

ดังนั้นนิยามของคำว่า "ระบบเคาะลีฟะฮฺ" จึงถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ สี่สมัยในยุคต้นเท่านั้นมีระยะเวลาเพียงสามสิบปี ตามที่อัลลอฮฺทรงชี้แนะให้ท่านนบีบอกไว้ หลังจากนั้นเป็นการสืบราชวงศ์ ไม่ใช่ คิลาฟะฮฺแม้จะสวมรอยเอาคำนี้มาใช้ก็ตาม คือ...

حدثني ‏ ‏سفينة ‏ ‏قال ‏
‏قال رسول الله ‏ ‏صلى الله عليه وسلم ‏ ‏الخلافة في أمتي ثلاثون سنة ثم ملك بعد ذلك ( الترمذي : الفتن - ما جاء في الخلافة )

ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "คิลาฟะฮฺในประชาชาติของฉันจะมีอยู่สามสิบปี แล้วจากนั้นก็จะมีการรวบอำนาจเป็นระบบกษัตริย์" ( อัตติรมิซี : อัลฟิตัน )

ก็นับดูนะครับ...
อบูบักร์................ 2 ปี
อุมัร .................. 10 ปี
อุษมาน ............ 12 ปี
อฺะลี ................... 6 ปี
พอดีครับ 30 ปี ! แล้วจากนั้นก็เริ่มกลายเป็นราชวงศ์อุมัยยะฮฺ อับบาสิยะฮฺ ฟาฏิมียะฮฺ .... ฯลฯ
แต่ไม่ว่าระบบการปกครองจะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แม่บทแห่งการปกครองในระบอบอิสลามก็ยังคงอยู่ คือ อัลกุรอาน และซุนนะฮฺของท่านนบีซึ่งถูกรวบรวมไว้ในหะดีษต่างๆ และจากตรงนั้นนั่นเอง ที่เรากำลังเรียกร้องให้นำระบอบนี้กลับมาปกครองโลกอีกครั้งหนึ่ง อินชาอัลลอฮฺ มันจะต้องเป็นจริงเข้าสักวัน เพราะท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม บอกไว้ว่า ....

‏عن ‏ ‏أبي هريرة ‏ ‏قال ‏
‏قال رسول الله ‏ ‏صلى الله عليه وسلم ‏ ‏بدأ الإسلام غريبا وسيعود غريبا ‏ ‏فطوبى ‏ ‏للغرباء
بدأ الإسلام غريبا - الفتن : سنن ابن ماجه

"อิสลามนั้นเริ่มมาในสภาพที่แปลก และมันจะกลับมาใหม่ในสภาพที่แปลก(เหมือนเมื่อตอนแรกเริ่ม) ดังนั้น ขอความจำเริญจงมีแด่ อัลฆุเราะบาอ์ ... ผู้ที่ถูกหาว่าแปลกทั้งหลาย" ( อิบนิมาญะฮฺ : อัลฟิตัน )
----------------------------
อัลฆุเราะบาอ์

[asan]

‏عن ‏ ‏أبي هريرة ‏ ‏قال ‏
‏قال رسول الله ‏ ‏صلى الله عليه وسلم ‏ ‏بدأ الإسلام غريبا وسيعود غريبا ‏ ‏فطوبى ‏ ‏للغرباء
بدأ الإسلام غريبا - الفتن : سنن ابن ماجه

"อิสลามนั้นเริ่มมาในสภาพที่แปลก และมันจะกลับมาใหม่ในสภาพที่แปลก(เหมือนเมื่อตอนแรกเริ่ม) ดังนั้น ขอความจำเริญจงมีแด่ อัลฆุเราะบาอ์ ... ผู้ที่ถูกหาว่าแปลกทั้งหลาย" ( อิบนิมาญะฮฺ : อัลฟิตัน )

ขออนุญาตคุณ อัลฆุเราะบาอฺ อธิยคำว่า "อัลฆุเราะบาอฺ" สักเล็กน้อย เพราะประทับใจคำนี้มาก


روى عبد الله بن المبارك في كتابه "الزهد" عن عبد الله بن عمرو بن العاص قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم طوبى للغرباء قيل ومن الغرباء يا رسول الله؟ قال ناس صالحون قليل في ناس سوء كثير، ومن يعصيهم أكثر ممن يطيعهم
อับดุ้ลลอฮ บุตร อัลมุบารอ็ก ได้รายงานไว้ในหนังสือของท่าน "อัซซุฮ"ว่า รายงานจากอับดุ้ลลอฮ บุตร อัมริน บุตร อัลอาศ กล่าวว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า " ขอความจำเริญจงมีแด่ อัลฆุเราะบาอ์ " มีผู้กล่าวว่า "และอัลฆุเราะบาอฺ คือ ผู้ใด โอ้ทานรซูลลุ้ลลอฮ? ท่านกล่าวตอบว่า " บรรดาคนดีที่มีจำนวนน้อย ที่อยู่ในท่ามกลางคนชั่วที่เป็นคนหมู่มาก และ ผู้ที่ฝ่าฝืน พวกเขา มากกว่า ผู้ที่เชื่อฟังพวกเขา - ซิลซิละฮ อัลอะหาดิษุษเศาะฮีหะฮ หะดิษหมายเลข 1619
فهو غريب في دينه لفساد أديانهم، غريب في تمسكه بالسنة لتمسكهم بالبدع، غريب في اعتقاده لفساد عقائدهم، غريب في صلاته لسوء صلاتهم، غريب في طريقه لضلال وفساد طرقهم" مدراج السالكين (3 / 194-201).

แล้วเขาคือ คนแปลกหน้าในศาสนาของเขา เพราะศาสนาของพวกเขาเหล่านั้นผิดพลาด ,เขาเป็นคนแปลกหน้าในการที่เขายึดถืออัสสุนนะฮ เพราะพวกเขาเหล่านั้น ยึดถือ บิดอะฮ, เขาเป็นคนแปลกหน้าในหลักความเชื่อของเขา เพราะหลักความเชื่อของพวกเขาเหล่านั้นผิดพลาด .เขาเป็นคนแปลกหน้าในละหมาดของเขา เพราะการละหมาดของพวกเขาเหล่านั้นไม่ถูกต้อง ,เขาเป็นคนแปลกหน้า ในแนวทางของเขา เพราะแนวทางของพวกเขาเหล่านั้น หลงผิดและผิดพลาด - มัดรอญุสสาลิกีน เล่ม 3 หน้า 194 (

[AlGhuraba]

ขอบคุณ.... และยินดีครับ

[AlGhuraba]

ขอต้อนรับเราะมะฎอน พร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ สดสวยแปลกตากว่าเดิม ด้วยการกล่าวสลามแก่พี่น้องมุสลิมที่มีชะฮาดะฮฺครบ 2 ประโยค

แต่สำหรับคนที่ชะฮาดะฮฺด้วน .... ผมยังคง อะชิดดาอ์ คงเส้น คงวา ไม่เปลี่ยนแปลงครับ
หลายต่อหลายสมรภูมิในอดีต เกิดขึ้นในเดือนเราะมะฎอน .... ที่นี่ก็เช่นกัน...... แม้จะล่วงเข้าสู่เราะมะฎอน .... The Show Must Go On !

----------------------------
Matto Le Chalier_ VIII
----------------------------

ประชาขน ส่วนใหญ่ ของ ประเทศ ซาอุดิอารเบีย จงรักภักดีต่อ กษัตริย์ เช่น เดียว กับ ประชาชนไทย จงรักภักดี ต่อ พระมหากษัตริย์ ของไทย
.. ... ... ...
ถ้าการจงรักภักดี ต่อ พระมหากษัตริย์ ขัด ต่อ หลักเตาฮีด ของอิสลามแล้ว ประชาชน มุสลิมชาวอรับ คง เลิกล้มระบบกษัตริย์ไปนาน แล้ว
( matt : ชนิดของความรัก - Tue Jul 04, 2006 2:16 am )
---------------------

ผมคิดว่า เราควรมีมารยาทที่จะไม่แอบอ้างชื่อคนอื่นอย่างส่งเดชเพื่อทำให้ตัวเอง"ดูเหมือนพูดจริง" ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เขาคิดอย่างนั้น รู้สึกอย่างนั้นกันจริงหรือเปล่า

คนไทยที่จงรักภักดีต่อในหลวงพระองค์นี้ เป็นความรู้สึกจากใจ นั่นใช่ครับ
แต่ความรู้สึกที่ชาวสะอูดีมีต่อกษัตริย์ของพวกเขานั้น คือความจงรักภักดีที่กลั่นออกมาจากใจเช่นคนไทยหรือไม่ ผมไม่กล้ายืนยัน รู้แต่ว่ามีขบวนการใต้ดินมากมายที่มีอีมานแข็งแกร่งคอยจ้องจะล้มบัลลังก์กษัตริย์อยู่ตลอดเวลา มีเครือข่ายปฏิบัติการทั้งในและนอกประเทศ ด้วยเหตุนี้สะอูดีจึงต้องไปซูฮกกับพญาแร้งแห่งอเมริกา ต้องยอมทุกอย่างให้พวกมันขนอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาใช้ถล่มพี่น้องของตัวเองรอบบ้าน เสียเท่าไหร่ เสียกัน เพียงเพื่อให้ช่วยค้ำบัลลังก์ไว้ให้หน่อย ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าประชาชนของเขาอยู่ข้างไหนในขณะที่ในวังเสพสุขกันอย่างสำราญ ส่วนคนนอกวังได้แต่นั่งเฝ้าดูพวกเขาผลาญกัน!

"ถ้าการจงรักภักดี ต่อ พระมหากษัตริย์ ขัด ต่อ หลักเตาฮีด ของอิสลามแล้ว ประชาชน มุสลิมชาวอรับ คง เลิกล้มระบบกษัตริย์ไปนาน แล้ว " การจงรักภักดีน่ะ ไม่ได้ขัดกับเตาฮีดหรอกครับ แต่มันอยู่ที่ว่าการจงรักภักดีนั้น จงรักภักดีต่อคนดีหรือคนชั่ว และการที่ระบบกษัตริย์ยังคงอยู่ในแผ่นดินใดก็ตาม ปัจจัยหนึ่งขึ้นอยู่กับว่า "อำนาจ" มันอยู่ในมือใครด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าอำนาจอยู่ในมือชนชั้นผู้ปกครองที่โฉดชั่ว ประชาชนพลเมืองก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อไป แต่ถ้าอำนาจอยู่ในมือคนดีในแผ่นดินนั้น กษัตริย์นอกคอกก็มีสิทธิ์กระเด็นได้ไม่ยากนัก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น อาจานก็คงจะได้เห็น "ประชาชน มุสลิมชาวอรับเลิกล้มระบบกษัตริย์ไปนาน แล้ว "

----------------------------

[AlGhuraba]

----------------------------
Matto Le Chalier_ IX
----------------------------

อัลกุรอาน และ ท่าน รอซูล สอนให้ มุสลิมเราให้รู้จัก บุญ คุณ ผู้ ให้ ข้าว ให้น้ำ และ ที่พำนักอาศัย แก่เรา

ตัวอย่าง…

เมื่อเราเดินหลงทาง ได้ที่พำนักอาศัยชั่วคราว จากชาวบ้านที่ไม่ใช่มุสลิม เรายังจำเป็น จะต้อง รำลึกในบุญคุณ ของเจ้าของ บ้าน ในความมีน้ำใจเอื้อ เฟื้อ ต่อเรา เราจำเป็นต้องรักนับถือในความโอบอ้อมอารีของเขา จะไปขี้รด บ้าน เนรคุณต่อเจ้าของบ้านไม่ได้ ผิดหลักการของอิสลลาม และการสอนของท่านรอซูล แต่การรักการนับถือ เจ้าของบ้านนี้ จะนำไปเทียบ ต่อความรักเคารพบูชาต่อพระเจ้า หรือ พระองค์ อัลลอฮ์ ไม่ได้, อัลบะเกาะเราะฮฺ 165 ไม่ได้ หมายถึง ความรัก เช่นนี้ คุณต้องอ่านอัลกุรอานให้เข้าใจ
( matt : ชนิดของความรัก - jul 04, 2006 2:16 am )
------------------------------------------
นั่นสิครับ.... ต้องอ่านอัลกุรอานให้เข้าใจ
อาจานบอกว่า ถ้ามีอันต้องลอยตุ๊บป่องๆ ไปติดชายฝั่งประเทศไหน ไปอาศัยใบบุญ ข้าวแดงแกงร้อนใครเขาแล้วจะไปขี้รดบ้านเนรคุณเจ้าของบ้านไม่ได้ ...อืมมม... มิน่าล่ะ ด้วยเหตุนี้ จานจึงจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาใจ"เจ้าของบ้าน"ที่จานลอยตุ๊บป่องไปอาศัยเขาอยู่เพื่อไม่ให้เขาเห็นเป็นสวะ ใช่มั้ยล่ะ

อาจานกลับมาแว้งกัดศาสนาที่เป็น دين الله เพราะคำสอนนี้ขัดผลประโยชน์ของมัน ด้วยการพยายามตีความบทบัญญัติของอัลลอฮฺไปต่างๆนานาตามแนวทางฏอฆูตเหล่านั้นที่ชูธงคำว่า "สันติภาพ" ให้ชาวโลกเห็นและหลงเชื่อว่านั่นคือสุดยอดปรารถนาของพวกเขา แต่แท้ที่จริง เบื้องหลังมันคือการบีบบังคับให้สิโรราบต่ออำนาจอธรรม ต่อแสนยานุภาพของมันต่างหาก ซึ่งสันติภาพที่จะได้มาตามแนวทางนั้น มันเป็นเพียง negative peace คือสันติภาพที่อยู่ภายใต้เงื้อมเงาแห่งความอึมครึม เก็บกด อัดอั้นตันใจ และไร้ความเป็นธรรม

ตัวอย่างการขี้รดบ้าน - เนรคุณเจ้าของบ้านที่จานอ้างมานี้ มันคนละเรื่องกับสถานภาพของมุสลิมในประเทศไทยครับ
มุสลิมในเขตดินแดนภาคใต้ของไทย ไม่ใช่คนที่มาพึ่งใบบุญใครในแผ่นดินนี้ แต่พวกเขาคือเจ้าของแผ่นดินที่ถูกยื้อแย่งสิทธิการปกครองไปต่างหาก ความจริงกำพืดของอาจานก็มีส่วนที่สืบเชื้อสายมาจากมาเลเซียหรือมลายูเหมือนกันไม่ใช่หรือ น่าจะเข้าใจสถานภาพบรรพบุรุษตัวเอง และพี่น้องของปู่ย่า ตายาย ดีกว่านี้

เชื้อสายเทือกเถาเหล่ากอของคนในพื้นที่นั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก แต่ที่เปลี่ยนนั้นคือศรัทธาที่ซึบซาบอยู่ในหัวจิตหัวใจต่างหาก อาจจะมีการอ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าผู้ปกครองอาณาจักรศรีวิชัยในอดีตเป็นพุทธศาสนิกมาก่อน...เราไม่เถียง

แต่สิ่งที่ประจักษ์ชัดยืนยันมาถึงปัจจุบันคือพวกเขา หรือลูกหลานของพวกเขาได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ยอมจำนนต่อพระองค์ และปรารถนาอิสลามเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต จึงเปลี่ยนดินแดนนั้นเป็นอาณาจักร ฟะฏอนี ดารุสสะลาม มาตั้งแต่"กรุงสยาม"ยังไม่ลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำ

เป็นธรรมดาแห่งวัฏจักรความเป็นไปในโลก ที่ใครแกร่งกว่าก็สามารถถือสิทธิ์การปกครองได้ เราก็ไม่อยากกล่าวโทษใครในความอ่อนแอของบรรพบุรุษมุสลิมฟะฏอนี เมื่อศรัทธากล้าแกร่ง อาณาจักรก็แกร่งกล้า เมื่อศรัทธาอ่อนล้า อาณาจักรก็ล่มสลาย อัลลอฮฺทรงตรัสว่า...

وَأَطِيعُواْ اللّهَ وَرَسُولَهُ وَلاَ تَنَازَعُواْ فَتَفْشَلُواْ وَتَذْهَبَ رِيحُكُمْ
และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และจงอย่าขัดแย้งกัน จะทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป ( 8:46 )

เมื่อถึงคราวที่ดินแดนมุสลิมถูกยึดการปกครอง และจับจองโดยแกนกำลังจากกรุงสยามก็ถือเเสียว่า..ทีใคร-ทีมัน...เราไม่ว่ากัน

قُلِ اللَّهُمَّ مَالِكَ الْمُلْكِ تُؤْتِي الْمُلْكَ مَن تَشَاء وَتَنزِعُ الْمُلْكَ مِمَّن تَشَاء وَتُعِزُّ مَن تَشَاء وَتُذِلُّ مَن تَشَاء
จงกล่าวเถิด ข้าแต่อัลลอฮฺ ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง พระองค์ทรงประทานอำนาจ(หรืออาณาจักร)แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงถอดถอนอำนาจ(หรืออาณาจักร)จากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงยังความตกต่ำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ( 3: 26 )

นั่นคือตักดีรของอัลลอฮฺที่จะปลูกฝังบทเรียนอันนี้แก่ลูกหลานมุสลิม เพื่อว่า คนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาจะต้องไม่เป็นเยี่ยงพวกเขา

وَإِن تَتَوَلَّوْا يَسْتَبْدِلْ قَوْمًا غَيْرَكُمْ ثُمَّ لَا يَكُونُوا أَمْثَالَكُمْ
และถ้าพวกเจ้าผินหลังออก พระองค์จะทรงเปลี่ยนหมู่ชนอื่นแทนพวกเจ้า แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเจ้า ( 47:38 )

ดังนั้นการที่มุสลิมจะกระทำการอันใดต่อบ้านเกิดเมืองนอนที่ตกทอดมาแต่บรรพชนของเขาตามวิถีทางของอัลลอฮฺนั้น มันไม่ใช่การไปขี้รดบ้านใครหรอกครับ แต่มันเป็นการปัดกวาดเช็ดถู ทะนุบำรุงทำบ้านเรือนของตัวเองให้สะอาดปราศจากสิ่งชั่วร้ายและฟิตนะฮฺของฏอฆูตต่างๆต่างหาก ....

ดังนั้นนอกจากต้องอ่านอัลกุรอานให้เข้าใจแล้ว อาจานยังต้องอ่านประวัติศาสตร์ให้ออกด้วยครับ
-----------------------------------

[AlGhuraba]

---------------------------
Matto Le Chalier_ X
---------------------------

อัลกุรอานไม่ได้ ห้าม มุสลิม มิให้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (ถ้าผู้ใดอ่านพบ โปรดนำมาแสดง ให้ ผมเห็น และ เข้าใจด้วย )
( matt : ชนิดของความรัก - Tue Jul 04, 2006 2:16 am )
===========================
อาจานได้หลักฐานนั้น เดี๋ยวนี้ครับ!

เรื่องราวของกษัตริย์นัมรูด

أَلَمْ تَرَ إِلَى الَّذِي حَآجَّ إِبْرَاهِيمَ فِي رَبِّهِ أَنْ آتَاهُ اللّهُ الْمُلْكَ إِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّيَ الَّذِي يُحْيِـي وَيُمِيتُ قَالَ أَنَا أُحْيِـي وَأُمِيتُ قَالَ إِبْرَاهِيمُ فَإِنَّ اللّهَ يَأْتِي بِالشَّمْسِ مِنَ الْمَشْرِقِ فَأْتِ بِهَا مِنَ الْمَغْرِبِ فَبُهِتَ الَّذِي كَفَرَ وَاللّهُ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ
เจ้า (มุฮัมมัด) มิได้มองดูผู้ที่โต้แย้งอิบรอฮีมในเรื่องพระเจ้าของเขาดอกหรือ ? เนื่องจากอัลลอฮฺได้ทรงประทานอำนาจแก่เขา ขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า พระเจ้าของฉันนั้น คือ ผู้ที่ทรงให้เป็นและทรงให้ตายได้ เขากล่าวว่า ข้าก็ให้เป็นและให้ตายได้ อิบรอฮีมกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออก ท่านจงนำมันมาจากทิศตะวันตกเถิด แล้วผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นก็ถูกทำให้อึ้งไป และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงประทานแนวทางอันถูกต้องแก่ผู้อธรรมทั้งหลาย (2:258)

กษัตริย์ก็กษัตริย์เถอะ .... มุสลิมเถียงได้ครับ และต้องเถียงด้วย! ถ้าสิ่งที่กษัตริย์นำมาคือการหลงผิด และสิ่งที่เรายืนยัน คือความถูกต้อง .... ไม่ใช่ต้องไป "พ่ะย่ะค่ะ" แสดงความจงรักภักดี ตะพึดตะพือ... จิงป่ะ?
--------------------------
เรื่องราวของจอมจักรพรรดิ์แห่งไอยคุปต์

ก็แค่ตั้งชื่อให้ดูตื่นเต้นเท่านั้นเอง ที่จริงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน จอมอหังการ์ตัวยง... ฟิรเอฺาน์...ที่เรารู้จักกันดี

قَالَ أَلَمْ نُرَبِّكَ فِينَا وَلِيدًا وَلَبِثْتَ فِينَا مِنْ عُمُرِكَ سِنِينَ
وَفَعَلْتَ فَعْلَتَكَ الَّتِي فَعَلْتَ وَأَنتَ مِنَ الْكَافِرِينَ
قَالَ فَعَلْتُهَا إِذًا وَأَنَا مِنَ الضَّالِّينَ
فَفَرَرْتُ مِنكُمْ لَمَّا خِفْتُكُمْ فَوَهَبَ لِي رَبِّي حُكْمًا وَجَعَلَنِي مِنَ الْمُرْسَلِينَ
وَتِلْكَ نِعْمَةٌ تَمُنُّهَا عَلَيَّ أَنْ عَبَّدتَّ بَنِي إِسْرَائِيلَ

เขา(ฟิรเอฺาน์) กล่าวว่า เรามิได้เลี้ยงดูเจ้าเมื่อขณะเป็นเด็กอยู่กับพวกเราดอกหรือ? และเจ้าได้อยู่กับเราหลายปีในช่วงชีวิตของเจ้า
และเจ้าได้ทำการกระทำของเจ้าซึ่งเจ้าได้กระทำไปแล้ว และเจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เนรคุณ
เขา (มูซา) กล่าวว่า ฉันได้กระทำมันโดยที่ฉันไม่รู้
ดังนั้น ฉันได้หนีไปจากพวกท่าน เมื่อฉันกลัวพวกท่านแล้วพระเจ้าของฉันได้ทรงประทานฮิกมะฮ์แก่ฉัน และทรงแต่งตั้งฉันให้เป็นร่อซูลคนหนึ่ง
( 26:18-22 )

ถึงจะชุบเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยจนเติบใหญ่ ให้อยู่ดีกินดีขนาดไหน บุญคุณก็ส่วนบุญคุณ ไม่ได้หมายความว่าเป็น"ผู้ศรัทธา"แล้วจะต้องทำตัวซื่อสัตย์และแสนรู้ จงรัก สวามิภักดิ์ต่อนายเหนือหัวเหมือนอะไรที่มันผ่านสถาบัน "K-9" มาหมาดๆโดยไม่รู้จักแยกแยะว่านายดีเลวอย่างไร ถูกหรือผิด
แต่ผู้ศรัทธา...ถูกก็ต้องว่าถูก ผิดก็ต้องว่าผิด ไม่มีเกรงใจ ไม่ต้องอ้ำอึ้ง ไม่ว่าใครจะลำเลิกบุญคุณอย่างไรก็ตาม มุอ์มินผู้ศรัทธาต้องยืนหยัดตามบัญชาของอัลลอฮฺเท่านั้น

فَلَمَّا جَاء السَّحَرَةُ قَالُوا لِفِرْعَوْنَ أَئِنَّ لَنَا لَأَجْرًا إِن كُنَّا نَحْنُ الْغَالِبِينَ
قَالَ نَعَمْ وَإِنَّكُمْ إِذًا لَّمِنَ الْمُقَرَّبِينَ
قَالَ لَهُم مُّوسَى أَلْقُوا مَا أَنتُم مُّلْقُونَ
فَأَلْقَوْا حِبَالَهُمْ وَعِصِيَّهُمْ وَقَالُوا بِعِزَّةِ فِرْعَوْنَ إِنَّا لَنَحْنُ الْغَالِبُونَ
فَأَلْقَى مُوسَى عَصَاهُ فَإِذَا هِيَ تَلْقَفُ مَا يَأْفِكُونَ
فَأُلْقِيَ السَّحَرَةُ سَاجِدِينَ
قَالُوا آمَنَّا بِرَبِّ الْعَالَمِينَ
رَبِّ مُوسَى وَهَارُونَ
قَالَ آمَنتُمْ لَهُ قَبْلَ أَنْ آذَنَ لَكُمْ إِنَّهُ لَكَبِيرُكُمُ الَّذِي عَلَّمَكُمُ السِّحْرَ فَلَسَوْفَ تَعْلَمُونَ لَأُقَطِّعَنَّ أَيْدِيَكُمْ وَأَرْجُلَكُم مِّنْ خِلَافٍ وَلَأُصَلِّبَنَّكُمْ أَجْمَعِينَ
قَالُوا لَا ضَيْرَ إِنَّا إِلَى رَبِّنَا مُنقَلِبُونَ
إِنَّا نَطْمَعُ أَن يَغْفِرَ لَنَا رَبُّنَا خَطَايَانَا أَن كُنَّا أَوَّلَ الْمُؤْمِنِينَ

เมื่อพวกนักเล่นกลมาถึง พวกเขากล่าวแก่ฟิรเอาน์ว่า “พวกเราจะมีรางวัลแน่นอนหรือถ้าพวกเราเป็นผู้ชนะ
เขากล่าวว่า “ถูกแล้ว และพวกท่านขณะนั้นจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิดอย่างแน่นอน”
มูซาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “จงโยนซิสิ่งที่พวกท่านจะต้องโยน"
แล้วพวกเขาก็ได้โยนเชือกหลายเส้นของพวกเขาและไม้เท้าหลายอันของพวกเขา และพวกเขากล่าวว่า “ด้วยเกียรติยศของฟิรเอาน์แท้จริงเราเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน”
ครั้นแล้วมูซาก็ได้โยนไม้เท้าของเขา ณ บัดนั้นมันได้กลืนสิ่งที่พวกเขาได้ลองมันขึ้น
พวกนักเล่นกลจึงก้มหัวลงกราบสุญูด
พวกเขากล่าวว่า “เราศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งสากลโลก”
พระเจ้าของมูซา และฮารูน
เขากล่าวว่า พวกท่านศรัทธาต่อเขาก่อนที่ฉันจะอนุญาตแก่พวกท่านกระนั้นหรือ? แน่นอนเขาต้องเป็นหัวหน้าของพวกท่านซึ่งได้สอนการเล่นกลแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านจะรู้ แน่นอนฉันจะตัดมือของพวกท่านและเท้าของพวกท่านสลับข้างกันและแน่นอนฉันจะแขวนตรึงไว้ทั้งหมด
พวกเขากล่าวว่า ไม่เป็นไรหรอกแท้จริงเรานั้นต้องเป็นผู้กลับไปยังพระเจ้าของเรา
แท้จริงเราปรารถนาที่จะให้ พระเจ้าของเราทรงยกโทษแก่เรา เพราะเราเป็นกลุ่มแรกที่เป็นผู้ศรัทธา
( 26:41-51 )

ไม่ว่าจะเอาผลประโยชน์รางวัลฟาดหัวไว้มากมายเพียงใด แต่เมื่อเข้ามาสู่ใต้ร่มเงาแห่งศรัทธา ผลโยชน์แห่งดุนยาย่อมไม่มีความหมายที่จะทำให้ผู้ศรัทธาไขว้เขวหรือยอมสวามิภักดิ์ต่อราชันย์จอมอหังการ์
หรือในทางตรงกันข้าม.... จะเอาโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหนมาข่มขู่ ก็อย่าได้หวังว่า มุอ์มินจะยอมคล้อยตามกษัตริย์สุดชั่วนั้นได้
แล้วอัลลอฮฺยังบอกต่ออีกว่า...

فَلَمَّا تَرَاءى الْجَمْعَانِ قَالَ أَصْحَابُ مُوسَى إِنَّا لَمُدْرَكُونَ
قَالَ كَلَّا إِنَّ مَعِيَ رَبِّي سَيَهْدِينِ
فَأَوْحَيْنَا إِلَى مُوسَى أَنِ اضْرِب بِّعَصَاكَ الْبَحْرَ فَانفَلَقَ فَكَانَ كُلُّ فِرْقٍ كَالطَّوْدِ الْعَظِيمِ
وَأَزْلَفْنَا ثَمَّ الْآخَرِينَ
وَأَنجَيْنَا مُوسَى وَمَن مَّعَهُ أَجْمَعِينَ
ثُمَّ أَغْرَقْنَا الْآخَرِينَ
إِنَّ فِي ذَلِكَ لَآيَةً وَمَا كَانَ أَكْثَرُهُم مُّؤْمِنِينَ
ครั้นเมื่อแต่ละฝ่ายได้มองเห็นกัน พวกพ้องของมูซาได้กล่าวว่า “แท้จริงเราถูกตามทันแล้ว”
เขา (มูซา)ได้กล่าวว่า “ไม่หรอก แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงอยู่กับฉัน พระองค์ทรงชี้แนะทางแก่ฉัน
ดังนั้นเราได้ดลใจมูซาว่า “จงฟาดทะเลด้วยไม้เท้าของเจ้า” แล้วมันก็ได้แยกออก แต่ละข้างมีสภาพเหมือนภูเขาใหญ่
และเราได้ให้พวกอื่น ให้เข้ามาใกล้ ณ ที่นั้น
และเราได้ให้มูซาและผู้ที่อยู่ร่วมกับเขาทั้งหมดรอดพ้นไป
และเราได้ให้พวกอื่น(คือพวกฟิรเอฺาน์)จมน้ำตาย
แท้จริงในการนั้นเป็นสัญญาณอย่างแน่นอน แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่เป็นผู้ศรัทธา
( 26:61-67 )

وَلَقَدْ أَوْحَيْنَا إِلَى مُوسَى أَنْ أَسْرِ بِعِبَادِي فَاضْرِبْ لَهُمْ طَرِيقًا فِي الْبَحْرِ يَبَسًا لَّا تَخَافُ دَرَكًا وَلَا تَخْشَى
فَأَتْبَعَهُمْ فِرْعَوْنُ بِجُنُودِهِ فَغَشِيَهُم مِّنَ الْيَمِّ مَا غَشِيَهُمْ
وَأَضَلَّ فِرْعَوْنُ قَوْمَهُ وَمَا هَدَى
และโดยแน่นอน เราได้วะฮีแก่มูซาว่า “จงเดินทางในเวลากลางคืนพร้อมด้วยปวงบ่าวของข้าแล้วฟาดลงในทะเล ให้เป็นทางเดินแห้งแก่พวกเขา เจ้าอย่าได้กลัวว่าจะถูกตามทัน และเจ้าอย่าได้กลัวจมน้ำ”
ฟิรเอาน์พร้อมด้วยไร่พลของเขาได้ตามมาทันพวกเขา แล้วน้ำจากทะเลได้ท่วม ทำให้พวกเขาจมน้ำ
และฟิรเอาน์ได้ทำให้กลุ่มชนของเขาหลงผิด และมิได้แนะทางที่ถูกต้องให้
( 20:77-79 )


เห็นมั้ยครับ พวกที่ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะแสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ของตน ผลสุดท้ายมันเป็นยังงัย?

เพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ พอจะสรุปได้รึยังครับว่า "กษัตริย์" มีความหมายแค่ไหนในอิสลาม และจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องแสดงความสวามิภักดิ์โดยไม่รู้จักแยกแยะ

มันมิใช่ฐานันดรแห่งกษัตริยาธิราชดอก ที่มุสลิมจะต้องให้ความสนใจ จะเป็นกษัตริย์ เป็นขี้ข้าหรือว่ายาจก ถ้าเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม(ที่สอดคล้องกับอัลอิสลาม) ไม่ว่าจะนับถือลัทธิศาสนาใด บ่าวผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺก็สามารถมอบมิตรภาพและไมตรีให้ได้เสมอ

แต่ถ้าบุคคลผู้นั้นมีลักษณะตรงกันข้าม ไม่ว่าจะอ้างตัวว่ามีอำนาจล้นฟ้า ท่วมแผ่นดินขนาดไหน มันก็ทำได้เพียงวางก้ามบนหน้าดุนยานี้เท่านั้น และไม่มีความหมายใดๆแม้เพียงเท่าเศษผงธุลี ในสายตาของมุอ์มินผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง

[AlGhuraba]

---------------------------
Matto Le Chalier_ XI
---------------------------

ตามที่คุณ "ขอหลักฐานในอัลกุรอ่านว่า เราสามารถทำให้คนต่างศาสนิกเกิดความศรัทธาได้" นั้น ในอัลกุรอาน อธิบายวิธีการที่เราจะ อธิบายหลักการของอิสลามต่อ มุชริก อย่างไร พวกเขาจึงจะเกิดศรัทธา คุณลองอ่าน ใน ซูเราะห์ อัลบะเกาัะเราะห์ และ ซูเราะห์ อาระอิมรอน คงจะพบคำสอนที่อัลลออ์ ทรงแนะนำท่านรอซูล ถ้าผมจำไม่ผิด
( matt : ชนิดของความรัก, Thu Jul 06, 2006 1:33 am� )

============================================

แหม...อาจาน ตอบเหวี่ยงแหซะขนาดนั้น จะไปงมหากันยังงัยไหวล่ะครับ บะเกาะเราะฮฺ + อาละอิมรอน น่ะเกือบ 4 ญุซ หนึ่งในแปดของกุรอานทั้งเล่มเชียวนะครับ ทีหลังจะอ้างหลักฐานใดมาตอบ กรุณา เจาะให้ตรงจุดหน่อยนะครับ เราเดาใจอาจานไม่ออกหรอกครับว่าจะกลิ้งไปออกหน้าไหนว่าอย่างไรมั่ง บอกมาชัดๆ เราจะได้ช่วยกันพิจารณาได้ว่าอาจานเข้าใจหลักฐานเหล่านั้นอย่างไร อาจานเล่นตอบอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่เคยยืนยันว่า มีตัวบทวิธีการละหมาดในกุรอานแน่นอน และสัญญาลอยลมเหมือนถ่มเสมหะเอาอะไรที่มันติดขัดค้างคาอยู่ในคอออกไปพ้นๆว่าจะนำหลักฐานมาแสดงให้ดูสมัยที่ยังไม่จนมุม แต่จนแล้วจนรอดกี่ปีมาแล้วก็ยังคงเป็นเพียงลมปาก ตุ ตุ สักแต่เพียงแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆเท่านั้น

ที่จริงผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรในเรื่องหน้าที่ในการเผยแผ่อิสลามของพวกเราสู่ชาวโลก ตามที่อาจานบรรยายไว้ในช่วง 4 ก.ค. วันซากอเมริกา หรอกนะครับ เพราะจุดสะดุดหลายๆจุด ครู asan ก็ได้ถากได้ถางไปพอสมควรแล้ว (5 ก.ค.) แต่พอมาเจออีกข้อความหนึ่งว่า...

อีกประการหนึ่ง ถ้าเรา "มุสลิม" ไม่สามารถที่ จะ ทำให้คนต่างศาสนิกเกิดความศรัทธา ต่ออิสลามได้ ปัจจุบัน คงไม่มีมุสลิม อยู่ทั่งทุกมุมโลก หรอก คุณลองคิดดู
( matt : ชนิดของความรัก, Thu Jul 06, 2006 1:33 am� )

ทำให้เกิดจุดสะดุด ปูดขึ้นมาอีกแล้ว
อาจานครับ มุสลิม หรือแม้แต่ท่านนบีเองก็ยังไม่มีความสามารถทำให้ใครศรัทธาได้หรอกครับ เพราะการศรัทธานั้นมาจากอัลลอฮฺเท่านั้น

وَاللّهُ يَهْدِي مَن يَشَاء إِلَى صِرَاطٍ مُّسْتَقِيمٍ
อัลลอฮฺทรงฮิดายะฮฺให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์สู่ทางที่เที่ยงตรง ( 2:213 )

อาจานอ้างเรื่องลุงท่านนบีว่า

ท่านนะบี รักลุงของท่านมาก จนถึงวินาฑีสุดท้าย, ลุงของท่านนะบีไม่ใช่มุสลิม และ ไม่ยอมรับ ชะฮาดะห์ ทีท่านนะบีสอนก่อนตายด้วย,
( matt : ชนิดของความรัก, Tue Jul 04, 2006 10:32 am�)

คงหมายถึงท่านอบูฏอลิบ แต่...เอ....ไม่ทราบว่าอาจานทราบ(และเชื่อ)ได้อย่างไรว่าท่านนบีไปสอนชะฮาดะฮฺลุงก่อนตาย เพราะผมไม่พบเรื่องนี้ในอัลกุรอานเลย แต่ก็เอาเถอะครับ เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเป็นที่มาของการประทานอายะฮฺอัลกุรอานมาเตือนท่านนบีว่า

إِنَّكَ لَا تَهْدِي مَنْ أَحْبَبْتَ وَلَكِنَّ اللَّهَ يَهْدِي مَن يَشَاء وَهُوَ أَعْلَمُ بِالْمُهْتَدِينَ
แท้จริง เจ้าไม่สามารถชี้ทางสว่าง(ฮิดายะฮฺ)ให้กับคนที่เจ้ารักได้หรอก แต่ว่าอัลลอฮฺเท่านั้นที่จะทรงฮิดายะฮฺให้กับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ และพระองค์ทรงรอบรู้อย่างยิ่งถึงผู้ที่อยู่ในทางนำ ( 28:56 )

ขนาดนบีผู้ซึ่งรู้และเข้าใจวิธีการเผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮฺดีที่สุดในบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย ก็ยังไม่อาจโน้มน้าวลุงผู้เป็นที่รักให้รับอิสลามได้ แม้ท่านจะรัก ห่วงใย และทุ่มเทเพื่อลุงคนนี้สักปานใด ดังนั้นไม่ว่ามุสลิมทั้งโลกจะทุ่มเทกันขนาดไหนก็ไม่มีทางที่จะทำให้คนต่างศาสนาเกิดความศรัทธาได้แม้แต่คนเดียว แต่ที่อิสลามยังคงอยู่ ที่มุสลิมยังเต็มโลก และที่คนต่างศาสนายังคงหลั่งไหลกันเข้ารับอิสลามไม่ขาดสายจนทุกวันนี้ และจวบจนใกล้วันกิยามะฮฺโน่น ก็ด้วยพระเมตตาที่อัลลอฮฺทรงประทานฮิดายะฮฺให้แก่บุคคลนั้นๆนั่นเอง มันไม่ใช่ความสามารถอันใดของมนุษย์ผู้ต่ำต้อยคนไหนในหน้าแผ่นนี้เลยครับ

وَعَلَى اللّهِ قَصْدُ السَّبِيلِ وَمِنْهَا جَآئِرٌ وَلَوْ شَاء لَهَدَاكُمْ أَجْمَعِينَ
และเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺในการชี้แนะทางที่เที่ยงตรง และจากมัน(ทางต่าง ๆ) นั้น ก็มีทางคดเคี้ยวและหากพระองค์ทรงประสงค์แน่นอนพระองค์จะทรงชี้นำทางแก่พวกเจ้าทั้งหมดก็ได้ ( 16:9 )

แต่ก็ปรากฏว่ามนุษย์ไม่ได้รับฮิดายะฮฺกันทั้งโลกใช่มั้ย นั่นก็แสดงว่าพระองค์มิได้ทรงประสงค์จะกราดให้ฮิดายะฮฺแก่มนุษย์ทุกคนไม่เลือกหน้าเสมือนเป็นตุ๊กตาไขลานเดินดุ๊กดิ๊กๆเหมือนกันหมดทั้งโลก พระองค์ทรงฮิดายะฮฺแก่บางคน และทรงปล่อยให้บางคนหลงตามแต่ใครพอใจจะเลือกทางเดินไหนให้แก่ตัวเอง ไม่ใช่เพราะเรา-มุสลิม-ทำอะไร หรือไม่ทำอะไร หน้าที่ของเรามีเพียงการยืนหยัดตามบัญชาของพระองค์โดยไม่ต้องโอนอ่อนผ่อนปรนให้ใคร หรือยอมลดมาตรฐานของอัลลอฮฺเพื่อประจบประแจงเอาใจใครให้เขาเห็นว่าเราดีอย่างนั้น น่ารักอย่างนี้ในสายตาของเขา ... นั่นเป็นหน้าที่ของ มุนาฟิกฺครับ ไม่ใช่มุสลิม

فَتَرَى الَّذِينَ فِي قُلُوبِهِم مَّرَضٌ يُسَارِعُونَ فِيهِمْ يَقُولُونَ نَخْشَى أَن تُصِيبَنَا دَآئِرَةٌ فَعَسَى اللّهُ أَن يَأْتِيَ بِالْفَتْحِ أَوْ أَمْرٍ مِّنْ عِندِهِ فَيُصْبِحُواْ عَلَى مَا أَسَرُّواْ فِي أَنْفُسِهِمْ نَادِمِينَ {52}
แล้วเจ้าจะได้เห็นบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรค(แห่งการสับปลับ) ต่างรีบเร่งกันไปอยู่ในหมู่พวกเขา(ศัตรูของอัลลอฮฺ) โดยกล่าวว่า พวกเรากลัวภัยพิบัติ จะเวียนมาประสบแก่พวกเรา อาจเป็นไปได้ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงนำมาซึ่งชัยชนะหรือไม่ก็นำพระบัญชาอย่างหนึ่งอย่างใดมาจากที่พระองค์ แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้เสียใจต่อสิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้ในใจของพวกเขา ( 5:52 )

ส่วนอัลลอฮฺจะทรงฮิดายะฮฺให้ใคร หรือจะทรงให้ใครหลงออกไปจากทางของพระองค์ นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งยังไม่ใช่เวลาจะนำมากล่าวอะไรกันตอนนี้ .... แต่ก็ อดไม่ได้นะที่จะขอยกตัวอย่างของการหลงทางสักเล็กน้อยว่า

أَفَرَأَيْتَ مَنِ اتَّخَذَ إِلَهَهُ هَوَاهُ وَأَضَلَّهُ اللَّهُ عَلَى عِلْمٍ وَخَتَمَ عَلَى سَمْعِهِ وَقَلْبِهِ وَجَعَلَ عَلَى بَصَرِهِ غِشَاوَةً فَمَن يَهْدِيهِ مِن بَعْدِ اللَّهِ أَفَلَا تَذَكَّرُونَ
เจ้าเคยเห็นผู้ที่ยึดถือเอาความคิดเห็นของมันเป็นพระเจ้าของตัวเองบ้างไหม ? และอัลลอฮฺจะทรงให้มันหลงทางด้วยการรอบรู้ (ของพระองค์) และทรงผนึกการการฟังของมันและหัวใจของมันและทรงทำให้มีสิ่งบดบังดวงตาของมัน ดังนั้นผู้ใดเล่าจะชี้แนะแก่มันหลังจากอัลลอฮฺ พวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ ? ( 45:23 )

พวกที่ยึดถือทัศนะความคิดเห็นตัวเองเป็นพระเจ้านี่แหละ คือตัวอย่างหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงปล่อยให้มันหลง ซ้ำยังทรงผนึกหัวใจมันอีกด้วย คำว่า "عَلَى عِلْمٍ" สามารถเข้าใจได้ 2 นัย คือ อัลลอฮฺทรงปล่อยให้มันหลงทางโดยที่พระองค์ทรงดียิ่งว่ามันจะเลือกทางนั้น หรือ ทรงปล่อยให้มันหลงทางทั้งๆที่ตัวมันเองก็รู้ดีว่าที่ถูกคืออย่างไร ไม่ว่าใครจะบอก จะเตือน จะชี้แจง อ้างหลักฐาน เหตุผลสารพัดกับมันยังงัย มันก็ยังคงดันทุรังไปตามเรื่องละครับ กู่ไม่กลับหรอก

เพราะฉะนั้น ผมลองคิดดูแล้วละ... อาจานพูดผิด
=======================