ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
อะกีดะฮสะลัฟของแท้(ไม่แอบอ้าง)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon Mar 24, 2014 10:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อะชาอิเราะฮ กล่าวว่า
เมื่อไปดูอีกสายรายงานหนึ่งของท่านอิบนุมัสอูด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็จะอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของอัลลอฮฺแต่เป็นเสียงก้องกังวานของชั้นฟ้าไม่ใช่เสียงของอัลลอฮฺ
ท่านอะบูดาวูด ได้รายงานว่า
عَنْ مَسْرُوقٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِذَا تَكَلَّمَ اللَّهُ بِالْوَحْىِ سَمِعَ أَهْلُ السَّمَاءِ لِلسَّمَاءِ صَلْصَلَةً كَجَرِّ السِّلْسِلَةِ عَلَى الصَّفَا فَيُصْعَقُونَ فَلاَ يَزَالُونَ كَذَلِكَ حَتَّى يَأْتِيَهُمْ جِبْرِيلُ حَتَّى إِذَا جَاءَهُمْ جِبْرِيلُ فُزِّعَ عَنْ قُلُوبِهِمْقَالَ : فَيَقُولُونَ : يَا جِبْرِيلُ مَاذَا قَالَ رَبُّكَ فَيَقُولُ : الْحَقَّ فَيَقُولُونَ : الْحَقَّ الْحَقَّ

“รายงานจากมัสรูก จากอับอิลลาฮ์ อิบนุมัสอูด เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮฺทรงพูดด้วยวะห์ยู บรรดาชาวฟ้าก็ได้ยินชั้นฟ้ามีเสียงก้องกังวานเหมือนกับสายโซ่ลากอยู่บนหินเงาเรียบ แล้วพวกเขาก็สลบล้มลง พวกเขายังคงเป็นเฉกเช่นนั้นจนกระทั่งญิบรีลได้มาหาพวกเขา เมื่อญิบรีลได้มาที่พวกเขาแล้ว ความหวาดกลัวก็หายไปจากหัวใจของพวกเขา พวกเขาจึงกล่าวว่า โอ้ญิบรีล พระเจ้าของท่านได้ทรงตรัสอะไร ญิบรีลตอบว่า (พระงอค์ทรงตรัส)สัจธรรม ดังนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า (พระองค์ทรงตรัส)สัจธรรม (พระองค์ทรงตรัส)สัจธรรม” รายงานโดยอะบูดาวูด, หะดีษเลขที่ 4740.

ผมขอชี้แจงว่า
ข้างต้น ท่านอะชาอิเราะฮ ที่อ้างว่า ไม่ใช่เสียงอัลลอฮ เป็นการเข้าใจเอาเอง ไม่ได้นำหลักฐานตามความเข้าใจของสะลัฟแต่อย่างใด
โปรดมาดู อิบนุญะรีร ได้กล่าวว่า
حُدِّثْتُ عَنِ الْحُسَيْنِ قَالَ : سَمِعْتُ أَبَا مُعَاذٍ قَالَ : أَخْبَرَنَا عُبَيْدٌ قَالَ : سَمِعْتُ الضَّحَّاكَ يَقُولُ فِي قَوْلِهِ ( حَتَّى إِذَا فُزِّعَ عَنْ قُلُوبِهِمْ . . . ) الْآيَةَ قَالَ : كَانَ ابْنُ عَبَّاسٍ يَقُولُ : إِنَّ اللَّهَ لَمَّا أَرَادَ أَنْ يُوحِيَ إِلَى مُحَمَّدٍ ، دَعَا جِبْرِيلَ ، فَلَمَّا تَكَلَّمَ رَبُّنَا بِالْوَحْيِ ، كَانَ صَوْتُهُ كَصَوْتِ الْحَدِيدِ عَلَى الصَّفَا ، فَلَمَّا سَمِعَ أَهْلُ السَّمَاوَاتِ صَوْتَ الْحَدِيدِ خَرُّوا سُجَّدًا ، فَلَمَّا أَتَى عَلَيْهِمْ جِبْرَائِيلُ بِالرِّسَالَةِ رَفَعُوا رُءُوسَهُمْ ، فَقَالُوا : ( مَاذَا قَالَ رَبُّكُمْ قَالُوا الْحَقَّ وَهُوَ الْعَلِيُّ الْكَبِيرُ ) وَهَذَا قَوْلُ الْمَلَائِكَةِ

ข้าพเจ้าได้รายงานจากอัลหุสัยนฺ กล่าวว่า ฉันได้ยินอบูมุอาซ กล่าวว่า อุบัยดฺ ได้บอกเรา โดยเขากล่าวว่า “ ฉันได้ยินอัฎเฎาะหาก กล่าว เกี่ยวกับคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
حَتَّى إِذَا فُزِّعَ عَنْ قُلُوبِهِمْ . .
จนกระทั่งเมื่อความหวาดกลัวได้คลายจากจิตใจของพวกเขา...จนจบอายะฮ เขากล่าวว่า “อิบนุอับบาสกล่าวว่า “
แท้จริงเมื่ออัลลอฮ ต้องการจะวะหยูแก่มุหัมหมัด พระองค์ได้เรียกญิบรีล แล้วขณะที่ พระผู้อภิบาลของเราทรงพูดด้วยวะหยูนั้น ปรากฏว่าเสียงของพระองค์ เสมือนหนึ่ง เหล็กลากบนหิน แล้วเมื่อ ชาวฟากฟ้าได้ยินเสียงก้องกังวานเหมือนกับเหล็ก(ลากอยู่บนหินเงาเรียบ) พวกเขาก็ก้มลงกราบ(สุญูด) แล้วเมื่อ ญิบรีลได้นำสาส์น มายังพวกเขา พวกเขาก็เงยศีรษะพวกเขาขึ้นพลางกล่าวว่า (“ “พระเจ้าของพวกท่านได้ตรัสอะไรนะ ? “พวกเขากล่าวว่า "สัจธรรม และพระองค์เป็นผู้ทรงสูงสุด ผู้ทรงยิ่งใหญ่") และนี้คือคำพูดของมลาอิกะฮ
- ดู ตัฟสีร อิบนุญะรีร เล่ม 20 หน้า 398 อธิบาย อายะฮที่ 23 ซูเราะฮ สะบาอฺ
...............
จากคำอธิบายนั้น ได้แสดงให้เห็นว่า เสียงกังวานเสมือนหนึ่ง เหล็กหรือโซ่ที่ถูกลากบนหินเรียบนั้น ของเสียงของอัลลอฮ ส่วนคำพูดของมลาอิกะฮนั้นคือ คำพูดที่ว่า
مَاذَا قَالَ رَبُّكُمْ قَالُوا الْحَقَّ وَهُوَ الْعَلِيُّ الْكَبِيرُ
“พระเจ้าของพวกท่านได้ตรัสอะไรนะ ? “พวกเขากล่าวว่า "สัจธรรม และพระองค์เป็นผู้ทรงสูงสุด ผู้ทรงยิ่งใหญ่
...........
เพราะฉะนั้น คำพูดของท่านอะชาอิเราะฮ ไม่มีน้ำหนักที่จะนำมาเป็นหลักฐานได้

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย asan เมื่อ Fri Apr 18, 2014 4:26 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 25, 2014 8:40 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ความหมายคำว่า أمروها كما جاءت

Bud Lanta มันเป็นความปลอดภัยมั๊ยครับ..ถ้าเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับซ้าตของพระองค์...ไม่ว่าจะมือหรือใบหน้าหรืออื่นๆ.และไม่ตีความไปยังซาตของพระองค์ขอมอบหมายแก่พระองค์แต่ผู้เดียวไม่ว่าจะเป็นซาตหรือซีฟัต
………………………………
ตอบ
อัลหัมดุลิลละฮ
คำว่า “ไม่ไปยุ่งเกี่ยว พี่น้องเข้าใจว่าอย่างไรครับ พี่น้องคงจะหมายถึงคำนี้
أمروها كما جاءت
คำนี้ บางคนเข้าใจให้เพี้ยนถึงขนาดบอกว่า ถ้าเป็นอายาตสิฟาต ห้ามแปลเป็นภาษาอื่น นอกจากภาษาอาหรับ แล้วถ้าไม่แปลเป็นภาษาที่คนเขาเข้าใจ แล้ว อัลกุรอ่านถูกประทานมาเพื่อท่องจำอย่างเดียวหรือครับ ท่องแบบนกขุนทอง พูดได้แต่ไม่รู้ความหมาย
ที่นี้มาดูคำอธิบายครับท่านพี่น้อง
أمروها كما جاءت
จงปล่อยให้มันผ่านไปดังเช่นสิ่งที่มันได้มีมา
บางสำนวนคือ
أمروها كما جاءت بلا كيف.
ปล่อยมันให้ผ่านไปดังเช่นสิ่งที่ได้มีมา โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร
ความจริง ให้เข้าใจง่ายๆ คือ ปล่อยให้เป็นไปตามความหมายที่มีมา โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร หรือ ไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ
ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า
هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.
หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยให้ดำเนินไปตามความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู
الأسماء والصفات للبيهقي (ج2 ص377)
และมุหัมหมัด ชัมสุลหักอัลอะซีม อะบาดีย์ ได้สรุปว่า
وَالْحَاصِلُ أَنَّ هَذَا الْحَدِيثَ وَمَا أَشْبَهَهُ مِنَ الْأَحَادِيثِ فِي الصِّفَاتِ كَانَ مَذْهَبَ السَّلَفِ فِيهَا الْإِيمَانُ بِهَا وَإِجْرَاؤُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا وَنَفْيُ الْكَيْفِيَّةِ عَنْه
และสรุปว่า แท้จริงหะดิษนี้ (คือหะดิษนูซุล หมายเลข 1315) และสิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษ ใน บรรดาสิฟาต ปรากฏว่ามัซฮับสะลัฟ ในมัน คือ การศรัทธาด้วยมัน และ ปล่อยมันให้ดำเนินไปบนความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธ รูปแบบวิธีการจากมัน – ดูเอานุลมะอฺบูด ชัรหุสุนันอบีดาวูด เรื่อง คืนใหนที่ประเสริฐกว่า หะดิษหมายเลข 1315
หะดิษดังกล่าวคือ
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى سَمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الْآخِرُ فَيَقُولُ مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ท่านรซูลุลอฮ วอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ทุกๆค่ำคืน จนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า “ ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็ก็จะอภัยโทษแก่เขา
อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 538) อธิบายคำพูดอิบนุอุยัยนะฮว่า
كل شيء وصف الله به نفسه فقراءته تفسيره ثم قال: أي هو على ظاهره لا يجوز صرفه إلى المجاز بنوع من التأويل
ทุกสิ่งที่อัลอฮ พรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน การอ่านมัน คือ การอธิบายมัน …….
ต่อมาเขากล่าวว่า หมายถึง มันอยู่บนความหมายที่ปรากฏของมัน ไม่อนุญาตให้ผันมันไปสู่ความหมายเชิงอุปมา (มะญาซ) ด้วยชนิดใดๆ จากการตีความ
العلو للعلي الغفار للذهبي (ص263)؛ وكتاب العرش له (ج2 ص359-360)
………………..
เพราะฉะนั้น คำว่า “อย่าเข้าไปยุ่งที่ท่านพี่น้องว่า “หมายถึง อย่าไปยุ่งเรื่อง รูปแบบวิธีการ ไม่ใช่ไม่ให้แปลความหมาย

พื่อให้ชัดเจนขึ้น มาดูคำอธิบาย ของอิหม่ามอัลคิฏอบีย์ ใน อัลอะอฺลาม โดยอิบนุเราะญับ ได้ถ่ายทอดว่า
مذهب السلف في أحاديث الصفات: الإيمان، وإجراؤها على ظاهرها، ونفي الكيفية عنها ، ومن قال: الظاهر منها غير مراد، قيل له: الظاهر ظاهران: ظاهر يليق بالمخلوقين ويختص بهم، فهو غير مراد، وظاهر يليق بذي الجلال والإكرام، فهو مراد، ونفيه تعطيل.
และอัลคิฏอบีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลอะอลาม ว่า “มัซฮับ สะลัฟ ใน บรรดาหะดิษสิฟาตนั้น คือ การศรัทธา และปล่อยมันให้ดำเนินไปบนความหมายที่ปรากฏของมัน และ ปฏิเสธรูปแบบวิธีการจากมัน และ ผู้ใดที่กล่าวว่า ความหมายที่ปรากฏ จากมันนั้น ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ ก็จะถูกกล่าวแก่เขาว่า “ ความหมายที่ปรากฏนั้น มี 2 ประเภท คือ ความหมายที่ปรากฏที่คู่ควรกับบรรดามัคลูค และมันถูกเจาะด้วยพวกเขา มันคือ ความหมายที่ไม่ต้องการ และ (ความหมายที่ 2) คือ ความหมายที่ปรากฏ ที่คู่ควร กับพระผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงเกียรติยิ่ง และมันคือ ความหมายที่ต้องการ และการปฏิเสธมัน ก็คือ การตะอฺฏีล(การปฏิเสธสิฟัตอัลลฮ) – ดูฟัตหุลบารีย ของอิบนุเราะญับ
http://islamport.com/w/srh/Web/67/1223.htm

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย asan เมื่อ Fri May 15, 2015 12:47 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 25, 2014 7:31 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Bud Lanta ประโยคที่ว่า...ลัยซากามิศลีฮีชัยอุน. มันมีความแตกต่างแบบไหนอย่างไรบ้างครับ.
...........
ตอบ

อัลหัมดุลิลละฮ ดีใจที่พี่น้องเข้ามาถาม เพราะฉะนั้น ขอนำคำพูดของนักวิชาการอธิบายก็แล้วกัน นะครับ
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น
มาดูคำอธิบายชอง
เช็คมุหัมหมัด เคาะลีล ฮะรอช (ฮ.ศ 1334 ) هـ
أَنَّهُ لَيْسَ الْمُرَادُ مِنْ نَفْيِ الْمِثْلِ نَفْيَ الصِّفَاتِ ؛ كَمَا يَدَّعِي ذَلِكَ الْمُعَطِّلَةُ ، وَيَحْتَجُّونَ بِهِ بَاطِلًا ، بَلِ الْمُرَادُ إِثْبَاتُ الصِّفَاتِ مَعَ نَفْيِ مُمَاثَلَتِهَا لِصِفَاتِ الْمَخْلُوقِينَ
แท้จริง ความมุ่งหมายจากการปฏิเสธการเหมือน(ของอัลลอฮกับมัคลูค)นั้น ไม่ใช่ เป็นการปฏิเสธบรรดาสิฟาต(ของอัลลอฮ) ดังสิ่งที่พวกมุอฏอ็ลละฮ(พวกปฏิเสธคุณลักษณะอัลลอฮ)ได้อ้าง และพวกเขา อ้างหลักฐานสิ่งที่เป็นโมฆะด้วยมัน แต่ทว่า หมายถึง การยืนยันบรรดาคุณลักษณะ(ของอัลลอฮ) พร้อมกับ ปฏิเสธการเหมือนของมัน กับบรรดาลักษณะ(สิฟาต)ของมัคลูค - ดูอะกีดะฮ อัลวาสิฏียะฮ เล่ม 1 หน้า 129
...........
หมายความว่า ให้รับรองหรือยืนยัน บรรดาคุณลักษณะที่อัลลอฮและรอซุลบอกไว้ พร้อมกับให้ปฏิเสธ การเหมือนของบรรดาสิฟัตเหล่านั้น กับบรรดาสิฟาตมัคลูค แต่ อะชาอิเราะฮยุคหลัง กลับไม่ยืนยัน ตามตัวบท แต่มาตีความ แล้วใครให้อำนาจมาตีความเปลี่ยนแปลงคำสอนอัลลอฮละครับ พี่น้อง
มาดูปราชญ์สะลัฟอธิบาย
อบูอิสหาก อิบรอฮีม บิน ชากิล อัลหัมบะลีย์ (ฮ.ศ 369)
فأما نحن فنقول: له وجهه، كما أثبت لنفسه وجهًا، وله يدٌ، كما أثبتَ لنفسه يَداً، {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ} الشورى : 11] ومن قال هذا فقد سَلِم.)

สำหรับเรา เราจะกล่าวว่า “ พระองค์ทรงมีพระพักต์ของพระองค์ ตามที่ทรงยืนยัน พระพักต์(ใบหน้า) ให้แก่พระองค์ ,พระองค์ทรงมี พระหัตถ์ ตามที่ทรงยืนยัน พระหัตถ์(มือ) ให้แก่พระองค์ (ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น) – อัชชูรอ /11
และผู้ใด กล่าวแบบนี้ เขาก็ปลอดภัย
طبقات الحنابلة لابن أبي يعلى (ج3 ص239)،
…………..
ข้างต้นคือ ความเข้าใจและทัศนะปราชญ์ยุคสะลัฟ เขาจะยืนยัน ตามที่อัลลอฮบอก และปฏิเสธการเหมือนกับมัคลูค แต่อาชาอิเราะฮยุคหลังไม่ยอมรับตามนั้น แล้วไปตีความ ได้รับอำนาจจากใครหรือที่ไปตีความ แล้วยังไม่พอ กลับไปใส่ร้ายป้ายสีคนที่เชื่อตามตัวบทว่ามีอะกีดะฮโสมม จะตอบคำถามอัลลอฮว่าอย่างไรครับ

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 25, 2014 7:32 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มาดูเพิ่มเติมครับพี่น้อง ท่านอิสหาก บิน รอฮาวียะฮ ปราชญ์ชาวสะลัฟ (ฮ.ศ 161 - 238 )กล่าวว่า

إِنَّمَا يَكُونُ التَّشْبِيهُ إِذَا قَالَ يَدٌ كَيَدٍ أَوْ مِثْلُ يَدٍ أَوْ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ. فَإِذَا قَالَ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ فَهَذَا التَّشْبِيهُ وَأَمَّا إِذَا قَالَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى يَدٌ وَسَمْعٌ وَبَصَرٌ وَلَا يَقُولُ كَيْفَ وَلَا يَقُولَ مِثْلُ سَمْعٍ وَلاَ كَسَمْعٍ فَهَذَا لَا يَكُونُ تَشْبِيهًا وَهُوَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى فِى كِتَابِهِ: { لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

การตัชบีฮฺ(เปรียบกับมัคลูก)นั้นคือการที่เรากล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺก็เหมือนกับมือของฉันหรือใกล้เคียงกับมือของฉัน หรือการที่เขากล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับที่ฉันได้ยินหรือคล้ายกับที่ฉันได้ยิน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าตัชบีฮฺ แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงสดับฟัง, ทรงทอดพระเนตร พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา พระองค์กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น” (หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51)
……………………
เพราะฉะนั้น การที่เราเชื่อ ตามที่อัลลอฮทรงบอกว่า ทรงมี พระหัตถ์ หรือ สิฟัตอื่นๆ ตามที่ทรงบอกไว้ ไม่ใช่ว่า เป็นการเปรียบเทียบกับมัคลูค หรือ มีรูปร่างเหมือนมัคลูค เพราะพระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่า

لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น
Bud Lanta มันเป็นความปลอดภัยมั๊ยครับ..ถ้าเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับซ้าตของพระองค์...ไม่ว่าจะมือหรือใบหน้าหรืออื่นๆ.และไม่ตีความไปยังซาตของพระองค์ขอมอบหมายแก่พระองค์แต่ผู้เดียวไม่ว่าจะเป็นซาตหรือซีฟัต
………………………………

อัลหัมดุลิลละฮ
คำว่า “ไม่ไปยุ่งเกี่ยว พี่น้องเข้าใจว่าอย่างไรครับ พี่น้องคงจะหมายถึงคำนี้
أمروها كما جاءت
คำนี้ บางคนเข้าใจให้เพี้ยนถึงขนาดบอกว่า ถ้าเป็นอายาตสิฟาต ห้ามแปลเป็นภาษาอื่น นอกจากภาษาอาหรับ แล้วถ้าไม่แปลเป็นภาษาที่คนเขาเข้าใจ แล้ว อัลกุรอ่านถูกประทานมาเพื่อท่องจำอย่างเดียวหรือครับ ท่องแบบนกขุนทอง พูดได้แต่ไม่รู้ความหมาย
ที่นี้มาดูคำอธิบายครับท่านพี่น้อง
أمروها كما جاءت
จงปล่อยให้มันผ่านไปดังเช่นสิ่งที่มันได้มีมา
บางสำนวนคือ
أمروها كما جاءت بلا كيف.
ปล่อยมันให้ผ่านไปดังเช่นสิ่งที่ได้มีมา โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร
ความจริง ให้เข้าใจง่ายๆ คือ ปล่อยให้เป็นไปตามความหมายที่มีมา โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร หรือ ไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ
ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า
هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.
หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยให้ดำเนินไปตามความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู
الأسماء والصفات للبيهقي (ج2 ص377)
และมุหัมหมัด ชัมสุลหักอัลอะซีม อะบาดีย์ ได้สรุปว่า
وَالْحَاصِلُ أَنَّ هَذَا الْحَدِيثَ وَمَا أَشْبَهَهُ مِنَ الْأَحَادِيثِ فِي الصِّفَاتِ كَانَ مَذْهَبَ السَّلَفِ فِيهَا الْإِيمَانُ بِهَا وَإِجْرَاؤُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا وَنَفْيُ الْكَيْفِيَّةِ عَنْه
และสรุปว่า แท้จริงหะดิษนี้ (คือหะดิษนูซุล หมายเลข 1315) และสิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษ ใน บรรดาสิฟาต ปรากฏว่ามัซฮับสะลัฟ ในมัน คือ การศรัทธาด้วยมัน และ ปล่อยมันให้ดำเนินไปบนความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธ รูปแบบวิธีการจากมัน – ดูเอานุลมะอฺบูด ชัรหุสุนันอบีดาวูด เรื่อง คืนใหนที่ประเสริฐกว่า หะดิษหมายเลข 1315
หะดิษดังกล่าวคือ
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى سَمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الْآخِرُ فَيَقُولُ مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ท่านรซูลุลอฮ วอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ทุกๆค่ำคืน จนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า “ ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็ก็จะอภัยโทษแก่เขา
อิบนุอุยัยนะฮ กล่าว่ว่า
كل شيء وصف الله به نفسه فقراءته تفسيره» ثم قال: أي هو على ظاهره لا يجوز صرفه إلى المجاز بنوع من التأويل
ทุกสิ่งที่อัลอฮ พรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน การอ่านมัน คือ การอธิบายมัน …….
ต่อมาเขากล่าวว่า หมายถึง มันอยู่บนความหมายที่ปรากฏของมัน ไม่อนุญาตให้ผันมันไปสู่ความหมายเชิงอุปมา (มะญาซ) ด้วยชนิดใดๆ จากการตีความ
العلو للعلي الغفار للذهبي (ص263)؛ وكتاب العرش له (ج2 ص359-360)
………………..

เพราะฉะนั้น คำว่า “อย่าเข้าไปยุ่งที่ท่านพี่น้องว่า “หมายถึง อย่าไปยุ่งเรื่อง รูปแบบวิธีการ ไม่ใช่ไม่ให้แปลความหมาย

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Mar 25, 2014 7:34 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เพื่อให้ชัดเจนขึ้น มาดูคำอธิบาย ของอิหม่ามอัลคิฏอบีย์ ใน อัลอะอฺลาม โดยอิบนุเราะญับ ได้ถ่ายทอดว่า
مذهب السلف في أحاديث الصفات: الإيمان، وإجراؤها على ظاهرها، ونفي الكيفية عنها ، ومن قال: الظاهر منها غير مراد، قيل له: الظاهر ظاهران: ظاهر يليق بالمخلوقين ويختص بهم، فهو غير مراد، وظاهر يليق بذي الجلال والإكرام، فهو مراد، ونفيه تعطيل.
และอัลคิฏอบีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลอะอลาม ว่า “มัซฮับ สะลัฟ ใน บรรดาหะดิษสิฟาตนั้น คือ การศรัทธา และปล่อยมันให้ดำเนินไปบนความหมายที่ปรากฏของมัน และ ปฏิเสธรูปแบบวิธีการจากมัน และ ผู้ใดที่กล่าวว่า ความหมายที่ปรากฏ จากมันนั้น ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ ก็จะถูกกล่าวแก่เขาว่า “ ความหมายที่ปรากฏนั้น มี 2 ประเภท คือ ความหมายที่ปรากฏที่คู่ควรกับบรรดามัคลูค และมันถูกเจาะด้วยพวกเขา มันคือ ความหมายที่ไม่ต้องการ และ (ความหมายที่ 2) คือ ความหมายที่ปรากฏ ที่คู่ควร กับพระผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงเกียรติยิ่ง และมันคือ ความหมายที่ต้องการ และการปฏิเสธมัน ก็คือ การตะอฺฏีล(การปฏิเสธสิฟัตอัลลฮ) – ดูฟัตหุลบารีย ของอิบนุเราะญับ
http://islamport.com/w/srh/Web/67/1223.htm
ขอเพิ่มเติมคำอธิบาย ของเช็ค มุหัมหมัด บิน เคาะลีล บินฮะรอช ว่า
وَاللَّهُ سُبْحَانَهُ نَادَى مُوسَى بِصَوْتٍ ، وَنَادَى آدَمَ وَحَوَّاءَ بِصَوْتٍ ، وَيُنَادِي عِبَادَهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ بِصَوْتٍ ، وَيَتَكَلَّمُ بِالْوَحْيِ بِصَوْتٍ ، وَلَكِنَّ الْحُرُوفَ وَالْأَصْوَاتَ الَّتِي تَكَلَّمَ اللَّهُ بِهَا صِفَةٌ لَهُ غَيْرُ مَخْلُوقَةٍ ، وَلَا تُشْبِهُ أَصْوَاتَ الْمَخْلُوقِينَ وَحُرُوفَهُمْ ؛ كَمَا أَنَّ عِلْمَ اللَّهِ الْقَائِمَ بِذَاتِهِ لَيْسَ مِثْلَ عِلْمِ عِبَادِهِ ؛ فَإِنَّ اللَّهَ لَا يُمَاثِلُ الْمَخْلُوقِينَ فِي شَيْءٍ مِنْ صِفَاتِهِ
และอัลลอฮ ซ.บ เรียกมูซาด้วยเสียง ,เรียกอาดัม,หะวาอฺ ด้วยเสียง และเรียกบ่าวของพระองค์ ในวันกิยามะฮด้วยเสียง และทรงพูด ด้วยการวะหยูด้วยเสียง แต่ว่า บรรดาอักษรและเสียง ที่อัลลอฮทรงพูดด้วยมันนั้น เป็นสิฟัตของพระองค์ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง และไม่คล้ายคลึง บรรดาเสียงของบรรดามัคลูค และบรรดาอักษรของพวกเขา ดังที่ แท้จริง ความรู้ของอัลลอฮ ที่ดำรงอยู่ ด้วยซาตของพระองค์ ไม่เหมือนกับ ความรู้ของบ่าวของพระองค์ เพราะแท้จริง อัลลอฮ ไม่เสมอเหมือนบรรดามัคลูค ในสิ่งใดๆ จากบรรดาสิฟาตของพระองค์ - อะกีดะฮอัลวาสิเฏาะฮ เล่ม 1 หน้า 183
...........
ส่วนอะชาอิเราะฮ เชื่อว่า การพูดของอัลลอฮ การเรียกของอัลลอฮ ไม่ใช่เสียงของอัลลอฮ แต่เป็นเสียงที่ถูกสร้างขึ้นมา ในอากาศ มันแปลกไหมละครับ ที่อัลลอฮเรียก มูซา อะลัยฮิสสลาม และได้พูดกับนบีมูซา แต่ กลับไปได้ยินเสียงที่ถูกสร้างที่ถูกเก็บเป็นแพคเกจไว้ในอากาศ ....

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon Mar 31, 2014 8:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หะดิษอบูสะอีด อัดคุดรีย์ (ร.ฎ)
حَدَّثَنَا مُوسَى بْنُ إِسْمَاعِيلَ حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَاحِدِ بْنُ زِيَادٍ حَدَّثَنَا الْأَعْمَشُ عَنْ أَبِي صَالِحٍ عَنْ أَبِي سَعِيدٍ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَجِيءُ نُوحٌ وَأُمَّتُهُ فَيَقُولُ اللَّهُ تَعَالَى هَلْ بَلَّغْتَ فَيَقُولُ نَعَمْ أَيْ رَبِّ فَيَقُولُ لِأُمَّتِهِ هَلْ بَلَّغَكُمْ فَيَقُولُونَ لَا مَا جَاءَنَا مِنْ نَبِيٍّ فَيَقُولُ لِنُوحٍ مَنْ يَشْهَدُ لَكَ فَيَقُولُ مُحَمَّدٌ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأُمَّتُهُ فَنَشْهَدُ أَنَّهُ قَدْ بَلَّغَ وَهُوَ قَوْلُهُ جَلَّ ذِكْرُهُ وَكَذَلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَالْوَسَطُ الْعَدْلُ
จากอบีสะอีด กล่าวว่า “รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า นุฮและอุมมะฮของเขาถูกนำมา แล้วอัลลอฮ ตาอาลาตรัสว่า “เจ้าได้เผยแพร่หรือยัง ? แล้วเขา(นุฮ)กล่าวตอบว่า “ครับ โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสแก่อุมมะฮของเขาว่า “ เขาได้เผยแพร่แก่พวกเจ้าแล้วใช่ไหม? พวกเขากล่าวตอบว่า “ไม่” ไม่มีนบีคนใดมายังเรา แล้วพระองค์ ตรัสแก่นุฮ ว่า “ ใครเป็นพยานให้แก่เจ้า ? แล้วเขา(นุฮ) กล่าวว่า “คือมุหัมหมัดและอุมมะฮของเขา (โดยพวกเขากล่าวว่า) เราเป็นพยานว่า “แท้จริงเขาได้เผยแพร่แล้ว และ(อบูสะอีดกล่าวว่า)มันคือ คำตรัสของพระองค์ ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง ว่า
وَكَذَلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَيَكُونَ الرَّسُولُ عَلَيْكُمْ شَهِيدًا

"และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า "
และคำว่า “อัสวะสัฏ หมายถึง ความยุติธรรม” – รายงานโดย อิหม่ามบุคอรี
..............
การสนทนาของอัลลอฮกับนบีนุฮอะลัยฮิสสลามและอุมมะฮของท่าน ด้วยการสนทนา ถามตอบระหว่างกัน คนมีปัญญาปกติเขาจะไม่ถามหรอกว่า “นบีนุฮ อะลัยฮิสสลามและอุมมะฮของท่านได้ยินเสียงอัลลอฮไหม? และคนงี่เง้า ก็ไม่มีหนทางที่จะมาอ้างว่า นั้นคือเสียงมลาอิกะฮ หรือ เสียงอัลลอฮที่พระองค์สร้างบรรจุไว้ในต้นไม้ –วัลอิยาซุบิลละฮ ช่างน่าอนาจใจจริงๆ

อิหม่ามอัลกุรฎุบีย์ นักตัฟสีร ทีอะชาอิเราะฮมักอ้างว่ามีแนวคิดอะชาอิเราะฮกล่าวว่า
وكلم الله موسى تكليما تكليما مصدر معناه التأكيد ؛ يدل على بطلان من يقول : خلق لنفسه كلاما في شجرة فسمعه موسى ، بل هو الكلام الحقيقي الذي يكون به المتكلم متكلما . قال النحاس : وأجمع النحويون على أنك إذا أكدت الفعل بالمصدر لم يكن مجازا ،
และอัลลอฮฺได้ตรัสแก่มูซาจริงๆ) คำว่า “ตักลีมัน” เป็นอาการนาม ความหมายของมันคือการเน้น ,แสดงบอกถึงความเป็นโมฆะ(ความไม่ถูกต้อง)ของ คำพูดผู้ที่กล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างคำพูดให้แก่ตัวพระองค์ ในต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วมูซาได้ยินมัน แต่ในทางกลับกัน มันคือ คำพูดจริงๆ ที่ผู้พูด เป็น มุตะกัลลิม ด้วยมัน และ อัลนุหาส กล่าวว่า “มติเอกฉันท์ ของบรรดานักวิชาการไวยกรณ์อาหรับ ว่า เมื่อ คำกริยาถูกเน้นด้วย อาการนาม(มัศดัร) ไม่ก็ไม่ใช่เป็นคำอุปมา - ดูตัฟสีร อัลญาเมียะลิอะหกามิลกุรอ่าน เล่ม 6 หน้า 18
.................
อัลนุหาส มีชื่อเต็มว่า
أبو جعفر أحمد بن محمد النحاس
มีเสียชีวิตในปี ฮ.ศ 338
...................
ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ แค่เป็นคำอธิบายของปราชญ์คนสำคัญชาวสะลัฟ และเคาะลัฟยุคแรกๆส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมาก ที่ยืนยันว่า นบีมูซา ได้ยินเสียงจากคำพูดอัลลอฮโดยตรง ไม่ใช่เสียงที่อัลลอฮสร้างไว้ ต่างหาก
ท่านครูอาชาอิเราะฮอ้างว่า แต่เมื่อเรามาดูหนังสือ อาริเฎาะฮ์อัลอะห์วะซีย์ บิชัรห์ ศ่อฮิห์อัตติรมีซีย์ ปรากฏว่าท่านอิบนุอัลอะร่อบีย์ ได้ไม่ตัดสินว่าหะดีษของอิบนุอะกีล จากญาบิร จากอิบนุอุนัยส์ ความว่า

لاَ يَحِلُّ لِمُسْلِمٍ أَنْ يَعْتَقِدَ أَنَّ كَلاَمَ اللهِ صَوْتٌ وَحَرْفٌ، لاَ مِنْ طَرِيْقِ الْعَقْلِ وَلاَ مِنْ طَرِيْقِ الشَّرْعِ،
فَأَمَّا طَرِيْقُ الْعَقْلِ فَلأَنَّ الصَّوْتَ وَالْحَرْفَ مَخْلُوْقَانِ مَحْصُوْرَانِ، وَكَلاَمُ اللهِ يَجِلُّ عَنْ ذَلِكَ كُلِّهِ
وَأَمَّا طَرِيْقُ الشَّرْعِ فَلأَنَّهُ لَمْ يَرِدْ فِيْ كَلاَمِ اللهِ صَوْتٌ وَحَرْفٌ مِنْ طَرِيْقٍ صَحِيْحَةٍ، وَلِهَذَا لَمْ نَجِدْ طَرِيْقًا صَحِيْحَةً لِحَدِيْثِ اَبْنِ أُنَيْسٍ وَابْنِ مَسْعُوْدٍ

“ไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดเชื่อว่ากะลามของอัลลอฮฺนั้นมีเสียงและอักษร ไม่ว่าจะมาจากหนทางของสติปัญญาและหนทางของบทบัญญัติ สำหรับหนทางของสติปัญญานั้นคือ เพราะเสียงและอักษรเป็นสิ่งที่ถูกบังเกิดขึ้นมาใหม่และถูกจำกัด(คือเมื่อพูดแล้วต้องมีเสียงหยุดและอักษรก็หยุด)และกะลามของอัลลอฮฺนั้นทรงบริสุทธิ์จากสิ่งดังกล่าวทั้งหมด และสำหรับหนทางของบทบัญญัติ ก็เพราะว่าไม่มีรายงานใดที่ศ่อฮิห์ว่ากะลามของอัลลอฮฺนั้นมีเสียงและอักษร และด้วยเหตุนี้เราจึงไม่พอสายรายงานที่ศ่อฮิห์ให้กับหะดีษของอิบนุอุนัยส์(ที่รายงานจากญาบิรและอิบนุอะกีล)และอิบนุมัสอูด(ที่ยืนยันว่ากะลามของอัลลอฮฺมีเสียงและอักษร)” ดู อิบนุอัลอะร่อบีย์, อาริเฏาะฮ์อัลอะห์วะซีย์, เล่ม 12, หน้า 102.
.............
อิบนุอะเราะบีย์ มีชื่อเต็มว่า
محمد بن عبدالله بن محمد المعافري،
ชื่อเรียกที่แพร่หลายคือ
لقاضي أبو بكر بن العربي الإشبيلي المالكي
มีชีวิตยู่ระหว่าง ปี ฮ.ศ 468 - 543 อยู่ในยุคเคาะลัฟ
ส่วนอิหม่ามบุคอรี ที่เอาหะดิษเรื่อง เสียง มาเป็นหลักฐาน ยืนยันว่า คำพูดอัลลอฮมีเสียง มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ฮ.ศ 194 – 256 ซึ่งอยู่ในยุคสะลัฟ
ท่านกล่าวว่า
وَفِي هَذَا دَلِيلٌ أَنَّ صَوْتَ اللَّهِ لاَ يُشْبِهُ أَصْوَاتَ الْخَلْقِ ، لأَنَّ صَوْتَ اللَّهِ جَلَّ ذِكْرُهُ يُسْمَعُ مِنْ بُعْدٍ كَمَا يُسْمَعُ مِنْ قُرْبِ ، وَأَنَّ الْمَلاَئِكَةَ يُصْعَقُونَ مِنْ صَوْتِهِ ، فَإِذَا تَنَادَى الْمَلاَئِكَةُ لَمْ يُصْعَقُوا (خلق أفعال العباد، ص: 213)
ความ ว่า ในหะดีษนี้ (คือหะดีษที่กล่าวอย่างชัดเจนว่าอัลลอฮฺพูดด้วยเสียง) เป็นหลักฐานบ่งบอกว่า แท้จริงเสียงของอัลลอฮฺนั้นไม่เหมือนบรรดาเสียงของมัคลูก เพราะเสียงของอัลลอฮฺจะได้ยินจากไกลเหมือนกับการได้ยินจากใกล้ และบรรดามะลาอิกะฮฺต่างล้มลงจากการได้ยินเสียงของพระองค์ ซึ่งหากบรรดามะลาอีกะฮฺเรียกกันเอง แน่นอนพวกเขาจะไม่ล้มลงหมดสติไป

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Wed Apr 02, 2014 9:18 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

และสิ่งที่อิหม่ามนะวาวียกล่าวที่ขัดแย้งกับความเชื่ออะชาอิเราะฮคือ

قَوْله صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي مُوسَى صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ( الَّذِي كَلَّمَهُ اللَّه تَكْلِيمًا )
هَذَا بِإِجْمَاعِ أَهْل السُّنَّة عَلَى ظَاهِره وَأَنَّ اللَّه تَعَالَى كَلَّمَ مُوسَى حَقِيقَة كَلَامًا سَمِعَهُ بِغَيْرِ وَاسِطَة ، وَلِهَذَا أُكِّدَ بِالْمَصْدَرِ ، وَالْكَلَام صِفَة ثَابِتَة لِلَّهِ تَعَالَى لَا يُشْبِه كَلَام غَيْره

คำพูดของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในเรื่อง มูซา ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม(ที่อัลลอฮได้ทรงพูดกับเขาจริงๆ) นี้คือ มติเอกฉันท์ของชาวสุนนะฮ บนความหมายที่ปรากฏของมัน และแท้จริง อัลลอฮตะอาลา ได้ทรงพูดกับมูซา จริงๆ เป็นคำพูดที่เขาได้ยินมัน โดยไมมีคนกลาง และเพราะเหตุนี้ จึงถูกเน้นด้วย อาการนาม(มัศดัร) และ กะลามนั้น เป็นคุณลักษณะที่แน่นอนของอัลลอฮ ตะอาลา มันไม่คล้ายคลึงกับคำพูดของผู้อื่นจากพระองค์ – ดู ชัร หุมุสลิม เล่ม 2 หน้า 54...
............................................คำว่าได้ยินโดยไม่มีคนกลาง แสดงว่าได้ยินโดยตรง...แล้วที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงหรือไม่เป็นเสียง แบบนี้คนปกติคงจะไม่ถาม
หะดิษอบูสะอีด อัดคุดรีย์ (ร.ฎ)
حَدَّثَنَا مُوسَى بْنُ إِسْمَاعِيلَ حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَاحِدِ بْنُ زِيَادٍ حَدَّثَنَا الْأَعْمَشُ عَنْ أَبِي صَالِحٍ عَنْ أَبِي سَعِيدٍ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَجِيءُ نُوحٌ وَأُمَّتُهُ فَيَقُولُ اللَّهُ تَعَالَى هَلْ بَلَّغْتَ فَيَقُولُ نَعَمْ أَيْ رَبِّ فَيَقُولُ لِأُمَّتِهِ هَلْ بَلَّغَكُمْ فَيَقُولُونَ لَا مَا جَاءَنَا مِنْ نَبِيٍّ فَيَقُولُ لِنُوحٍ مَنْ يَشْهَدُ لَكَ فَيَقُولُ مُحَمَّدٌ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأُمَّتُهُ فَنَشْهَدُ أَنَّهُ قَدْ بَلَّغَ وَهُوَ قَوْلُهُ جَلَّ ذِكْرُهُ وَكَذَلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَالْوَسَطُ الْعَدْلُ
จากอบีสะอีด กล่าวว่า “รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า นุฮและอุมมะฮของเขาถูกนำมา แล้วอัลลอฮ ตาอาลาตรัสว่า “เจ้าได้เผยแพร่หรือยัง ? แล้วเขา(นุฮ)กล่าวตอบว่า “ครับ โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสแก่อุมมะฮของเขาว่า “ เขาได้เผยแพร่แก่พวกเจ้าแล้วใช่ไหม? พวกเขากล่าวตอบว่า “ไม่” ไม่มีนบีคนใดมายังเรา แล้วพระองค์ ตรัสแก่นุฮ ว่า “ ใครเป็นพยานให้แก่เจ้า ? แล้วเขา(นุฮ) กล่าวว่า “คือมุหัมหมัดและอุมมะฮของเขา (โดยพวกเขากล่าวว่า) เราเป็นพยานว่า “แท้จริงเขาได้เผยแพร่แล้ว และ(อบูสะอีดกล่าวว่า)มันคือ คำตรัสของพระองค์ ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง ว่า
وَكَذَلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَيَكُونَ الرَّسُولُ عَلَيْكُمْ شَهِيدًا

"และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า "
และคำว่า “อัสวะสัฏ หมายถึง ความยุติธรรม” – รายงานโดย อิหม่ามบุคอรี
..............
การสนทนาของอัลลอฮกับนบีนุฮอะลัยฮิสสลามและอุมมะฮของท่าน ด้วยการสนทนา ถามตอบระหว่างกัน คนมีปัญญาปกติเขาจะไม่ถามหรอกว่า “นบีนุฮ อะลัยฮิสสลามและอุมมะฮของท่านได้ยินเสียงอัลลอฮไหม?

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Apr 18, 2014 11:26 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เพิ่มเติม เรื่อง กะลามุลลอฮ
อัลอัศบะฮานีย์ ปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์ (ฮ.ศ 457 -535 ) กล่าวว่า

كلام اللَّه تعالى مدرك مسموع بحاسة الأذن ، فتارة يسمع من اللَّه تعالى ، وتارة يسمع من التالي ، فالذي يسمعه من اللَّه تعالى من يتولى خطابه بنفسه بلا واسطة ، ولا ترجمان كمُحَمَّد صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حين كلمه ليلة المعراج ، وموسى عليه السلام عَلَى جبل الطور ، ومن عدا ذلك
، فإِنما يسمع كلام اللَّه تعالى عَلَى الحقيقة من التالي خلافا لأصحاب الأشعري فِي قولهم يسمعه من اللَّه عند تلاوة التالي

คำพูดของอัลลอฮตะอาลา เป็นสิ่งที่ถูกรับรู้ ที่ถูกได้ยิน ด้วยประสาทหู บางครั้ง ถูกได้ยิน จากอัลลอฮตะอาลา (โดยตรง) และบางครั้งถูกได้ยินจากผู้อ่าน ดังนั้นผู้ที่ได้ยินมันจากอัลลอฮ ตะอาลา คือผู้ที่ได้สนทนากับพระองค์ด้วยตัวเขาเอง โดยไม่มีสือกลาง และไม่มีล่าม เช่น มุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อ พระองค์ได้ตรัสกับท่านในคือ เมียะรอจ และมูซา อะลัยฮิสสลาม บน ภูเขาฏูร และบุคคลอื่นจากดังกล่าวนั้น เพราะแท้จริง เขาได้ยินคำพูดอัลลอฮตะอาลา บนคำพูดจริงๆ จากผู้อ่าน ต่างกับบรรดาสานุศิษย์ของอัชอะรีย์ ในทัศนะของพวกเขา มัน(กะลามุลลอฮ)ถูกได้ยิน จากอัลลอฮขณะทีผู้อ่านอ่าน -อัลหุจญะฮ ฟี บะยานิล มะฮัจญะฮ เล่ม 1 หน้า 302
ชื่อเต็มของอัลอัศบะฮานีย์คือ

إسماعيل بن محمد بن الفضل بن علي بن أحمد بن طاهر القرشي التيمي، ثم الطلحي الأصبهاني أو الأصفهاني

อิหม่าม อบูนัศรุน อัสสัจญซีย์ (ฮ.ศ 444) กล่าวว่า

والنداء عند العرب صوت لا غير، ولم يرد عن الله تعالى ولا عن رسوله صلى الله عليه وسلم أنه من الله غير صوت

อัลนิดาอฺ(การเรียก) ในทัศนะของชาวอาหรับนั้น คือ เสียง ไม่เป็นอื่น และไม่ปรากฏมาจากอัลลอฮตะอาลา และไม่ปรากฏมาจากจากรอซูลของพระองค์ ศอ็ลฯ ว่า แท้จริง ที่มาจากอัลลอฮนั้น อื่นจากเสียง
رسالة السجزي إلى أهل زبيد (ص166).

อัลอัศบาฮานีย์ (ฮ.ศ 457 -535)กล่าวว่า

وقد أجمع أهل العربية أن ما عدا الحروف والأصوات ليس بكلام حقيقة

แท้จริง นักวิชาการด้านภาษาอาหรับ มีมติว่า สิ่งที่อื่นจากบรรดาอักษรและเสียงนั้น ไม่ใช่คำพูดจริงๆ
الحجة في بيان المحجة (1/399).

อิบนุมันซูร กล่าวไว้ใน ลิซานิลอัรบิ ว่า
النداء: الصوت
คำว่า อัลนิดาอฺ(เรียก)นั้น คือเสียง

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sun Apr 27, 2014 10:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เรื่อง การเสด็จลงมาของอัลลอฮ เพิ่มเติม

เนื่องจากอะชาอิเราะฮคนหนึ่ง กล่าวหาว่า อิบนุอุษัยมีน เอาความเชื่อแบบนี้มาจากความเชื่อยิว โดยเขากล่าวหาว่า


กล่าวว่า
นักวิชาการระดับแนวหน้าของวะฮาบีย์เป็นที่รู้จักนามว่า เชคอิบนุอุษัยมีน ที่ไม่ใช่นักวิชาการของชาวอะลุสซุนนะฮ์เราได้เขียนตำราเผยแพร่หลักความคิดที่มาจากศาสนายิวว่า
اذاً ينزل ربنا إلي السماء الدنيا نزولاً حقيقياً،والذي ينزل هو الله تعالى بذاته
" พระเจ้าของเราจะทรงลงมายังฟากฟ้าชั้นต่ำสุด โดยการลงมาจริงๆ และผู้ที่ลงมานั้นคืออัลลอฮฺตะอาลา (ทรงลงมา) ด้วยซฺาตของพระองค์เองเลย "
ดูตำรา ชาเราะห์อัลอะกีดะฮ์อัสซะฟารีนียะฮ์ หน้าที่ 274
‪#‎น่าอูซุบิ้ลลาฮิมินซฺาลิกกับแนวคิดที่อุตรินี้‬
……………………….

ความจริงผมไม่ได้เจตนาไปยุ่งกับคนกลุ่มนี้ แต่เมื่อเห็นว่า ท่านอิบนุอุษัยมีนถูกกล่าวหา จึงขอชี้แจงเพื่อให้ท่านพ้นจากฟิตนะฮของคนๆนี้ ท่านครู พยายามจะกล่าวหาว่า อิบนุอุษัยมีน เอาความเชื่อนี้มาจากยิว มาดูว่าอิบนุอุษัยมีน เอาหลักฐานมาจาก ยิว หรือมาจากนบี ศอ็ลฯ มาดูคำพูดของอิบนุอุษัยมีน เต็มๆที่ไม่ถูกตัดตอน

النزول : يعني إلى السماء الدنيا ، وذلك لأنه تواتر عن النبي صلى الله عليه وسلم ، أو اشتهر اشتهاراً قريباً من التواتر أن الله تعالى ينزل إلى السماء الدنيا حين يبقى ثلث الليل الآخر ، ينزل - نزولاً حقيقياً ؛ بذاته إلى السماء الدنيا ، لأن النبي صلى الله عليه وسلم قال : (( ينزل ربنا إلى السماء الدنيا حين يبقى ثلث الليل الآخر فيقول : من يدعوني فأستجيب له ، من يسألني فأعطيه ، من يستغفرني فأغفر له )).

อัลนุซูล (การเสด็จลงมา) หมายความว่า เสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา และดังกล่าวนั้น เพราะมีรายงานที่ต่อเนื่องหลายสายรายงานมาจากนบี สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หรือ มันเป็นนายงานที่แพร่หลาย ใกล้เคียงกับหะดิษมุตาวาตีร ระบุว่า “อัลลอฮตะอาลา เสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ในช่วงหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน ,พระองค์เสด็จลงมา เป็นการเสด็จลงมาจริงๆ ด้วยซาต(ตัวตน)ของพระองค์ ยังฟากฟ้าดุนยา เพราะนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
:
يَنْزِلُ رَبُّنَا كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى سَمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ ، فَيَقُولُ : مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ ؟ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ ؟ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ

ความว่า "พระผู้อภิบาลของเราจะลงมายังฟากฟ้าของดุนยาในทุกๆ คืนในช่วงหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน แล้วทรงตรัสว่า ผู้ใดที่วิงวอนข้า ข้าจะตอบรับเขา ผู้ใดที่ขอข้า ข้าจะให้เขา ผู้ใดที่ขออภัยโทษต่อข้า ข้าจะอภัยให้เขา"
...................
ข้างต้น อิบนุอุษัยมีน ได้อ้างหะดิษนบี ศอ็ลฯ ไม่ใช่เอามาจากความเชื่อของยิว อย่างที่ ครู อะหมัดรอซีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ กล่าวหา และหะดิษนี้เป็นหะดิษเศาะเฮียะ มาดูที่มาของหะดิษ

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِيَ الله عَنْهُ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ:
"يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الْآخِرُ فَيَقُولُ مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ".

รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ) ว่า นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
พระผู้อภิบาลของเราจะลงมายังฟากฟ้าของดุนยาในทุกๆ คืนในช่วงหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดที่วิงวอนข้า ข้าจะตอบรับเขา ผู้ใดที่ขอข้า ข้าจะให้เขา ผู้ใดที่ขออภัยโทษต่อข้า ข้าจะอภัยให้เขา
..............
หะดิษนี้ มีผู้รายงานมากมายเช่น

أخرجه مالك (1/214 ، رقم 498) ، وأحمد (2/487 ، رقم 10318) ، والبخاري (1/384 ، رقم 1094) ، ومسلم (1/521 ، رقم 758) وأبو داود (2/34 ، رقم 1315) ، والترمذي (5/526 ، رقم 3498) وقال : حسن صحيح. وابن ماجه (1/435 ، رقم 1366) . وأخرجه أيضًا : عبد الله بن أحمد فى السنة (2/480 ، رقم 1102).

และอัลบัฆวีย์ ได้กล่าวไว้ใน ชัรหอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 168 ว่า

"والإصبع المذكورة في الحديث صفة من صفات الله عز وجل وكذلك كل ما جاء به الكتاب أو السنة من هذا القبيل من صفات الله تعالى؛ كالنفس، والوجه، والعين، واليد، والرجل، والإتيان، والمجيء، والنزول إلى السماء الدنيا, والاستواء على العرش، والضحك، والفرح" أ.هـ.

“และบรรดานิ้ว ที่ถูกระบุในหะดิษ ก็เป็นคุณลักษณะหนึ่งจากบรรดา คุณลักษณะของอัลลอฮ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเกรียงไกร และในทำนองเดียวกันนั้น ทุกสิ่งที่ อัลกิตาบ หรือ อัสสุนนะฮ นำมา เกี่ยวกับการนี้ จากบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ (ซ.บ) เช่น ตัวตน, ใบหน้า, ตา ,มือ ,เท้า ,การไป ,การมา, การลงมายังฟากฟ้าชั้นที่หนึ่ง ,การประทับบนบัลลังก์ ,การหัวเราะ และ การยินดี –
.............
.
ท่านอัล-อาญะรีย์ ได้กล่าวว่า

والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة

และการศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง

باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة

อบูนัศรุสสัจญซีย์ กล่าวว่า

"أئمتنا كسفيان الثوري ومالك وحماد بن سلمة وحماد بن زيد وسفيان بن عيينة والفضيل وابن المبارك وأحمد وإسحاق متفقون على أن الله سبحانه بذاته فوق العرش وعلمه بكل مكان وأنه ينزل إلى السماء الدنيا وأنه يغضب ويرضى ويتكلم بما شاء
อิหม่ามของเรา เช่น สุฟยาน อัษเษารีย์ ,มาลิก,หัมมาด บุตร สะละมะฮ ,หัมมาด บุตร ซัยดฺ,สุฟยาน บุตร อุญัยนะฮ ,อัลฟะฎีล,อิบนุ้ลมุบารอ็ก,อะหมัดและอิสหาก พวกเขาเห็นฟ้องกันว่า อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่บนอะรัช ,ความรอบรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสถานที่ ,แท้จริง พระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ,พระองค์ทรงกริ้ว,ทรงพอพระทัยและทรงพูด ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ "
المختصرالعلو ص 266وينظر سير أعلام النبلاء17/656
..................ตกลงบุคคลข้างต้นมีอะกีดะฮเป็นยิวหมดกระนั้นหรือ

อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)กล่าวว่า

وَأَمَّا قَوْلُهُ فِي هَذَا الْحَدِيثِ : " يَنْزِلُ رَبُّنَا " الَّذِي عَلَيْهِ أَهْلُ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْحَقِّ وَالْإِيمَانِ بِمِثْلِ هَذَا وَشِبْهِهِ مِنَ الْقُرْآنِ وَالسُّنَنِ دُونَ كَيْفِيَّةٍ فَيَقُولُونَ يَنْزِلُ وَلَا يَقُولُونَ كَيْفَ النُّزُولُ ؟ وَلَا يَقُولُونَ كَيْفَ الِاسْتِوَاءُ ؟ وَلَا كَيْفَ الْمَجِيءُ ؟ فِي قَوْلِهِ ( عَزَّ وَجَلَّ ) : " وَجَاءَ رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا " الْفَجْرَ 22 وَلَا كَيْفَ التَّجَلِّي فِي قَوْلِهِ : " فَلَمَّا تَجَلَّى رَبُّهُ لِلْجَبَلِ " الْأَعْرَافِ 143

สำหรับ คำพูดของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในหะดิษนี้ว่า “พระผู้อภิบาลของเราจะเสด็จลงมา ซึ่ง นักวิชาการจากอะฮลุสสุนนะฮ และผู้ที่อยู่บนความจริง และ ศรัทธา ด้วย ที่เหมือนสิ่งนี้ และที่คล้ายคลึงกับมัน จากอัลกุรอ่านและบรรดาสุนนะฮ โดยปราศจากการพรรณนารูปแบบวิธีการ และพวกเขากล่าวว่า จะเสด็จลงมา และพวกเขาไม่กล่าวว่า การเสด็จลงมานั้นเป็นอย่างไร ? พวกเขาจะไม่กล่าวว่า การอิสติวาอฺ (การประทับ )นั้นเป็นอย่างไร? และ(พวกเขาจะไม่กล่าวว่า) ทรงมาอย่างไร? ในคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงเกรียงไกร และสูงส่ง ที่ว่า

" وَجَاءَ رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا " الْفَجْرَ 22

และพระผู้อภิบาลของเจ้าเสด็จมาพร้อมทั้งมลาอิกะฮฺเป็นแถวๆ- อัลฟัจญรฺ/22
และพวกจะไม่(กล่าวว่า)ทรงปรากฏอย่างไร ? ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า

فَلَمَّا تَجَلَّى رَبُّهُ لِلْجَبَلِ

ครั้นเมื่อองค์อภิบาลของเขาได้ปรากฏ ณ.ที่ภูเขานั้น –อัลอะรอฟ/143
- ดู อัลอิสติซกัร ของ อิบนุอับดิลบัร เล่ม 2 หน้า 529 เรื่อง สิ่งที่มีมาในดุอา หะดิษหมายเลข 10840
.................
จากคำอธิบายของ อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)จะเห็นได้ว่า ผู้ที่เป็นนักวิชาการชาวอะลุสสุนนะฮ ,ผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนความจริงและศรัทธาต่อสิ่งที่มาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนนะฮนั้น เขาเชื่อตามที่หลักฐานได้ปรากฏ แต่จะไม่ถามว่า เป็นอย่างไร ซึ่งต่างกับ คนบางกลุ่มที่ใช้เหตุผลไปตีความเพื่อให้กินกับปัญญาตัวเอง แล้วอ้างว่า “เป็นผู้ยึดมั่นในซุนนะฮ และไปกล่าวหา คนที่เชื่อโดยไม่ตีความว่า “เอาความเชื่อมาจากยิว” นะอูซุบิลละฮ

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sun Apr 27, 2014 11:27 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มุหัมหมัด อัสสะฟารินีย์ อัลหัมบะลีย((1114 – 1188)

وَقَالَ الْعَلَامَةَ الطَّوْفِيُّ فِي ( قَوَاعِدِ الِاسْتِقَامَةِ وَالِاعْتِدَالِ ) : الْمَشْهُورُ عِنْدَ أَصْحَابِ الْإِمَامِ أَحْمَدَ - رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ - أَنَّهُمْ لَا يَتَأَوَّلُونَ الصِّفَاتَ الَّتِي مِنْ جِنْسِ الْحَرَكَةِ ، كَالْمَجِيءِ وَالْإِتْيَانِ وَالنُّزُولِ وَالْهُبُوطِ وَالدُّنُوِّ وَالتَّدَلِّي ، كَمَا لَا يَتَأَوَّلُونَ غَيْرَهَا مُتَابَعَةً لِلسَّلَفِ الصَّالِحِ ، وَقَالَ : وَكَلَامُ السَّلَفِ فِي هَذَا الْبَابِ يَدُلُّ عَلَى إِثْبَاتِ الْمَعْنَى الْمُتَنَازَعِ فِيهِ ، وَقَالَ الْأَوْزَاعِيُّ لَمَّا سُئِلَ عَنْ حَدِيثِ النُّزُولِ : يَفْعَلُ اللَّهُ مَا يَشَاءُ . وَقَالَ حَمَّادُ بْنُ زَيْدٍ : يَدْنُو مِنْ خَلْقِهِ كَيْفَ يَشَاءُ

อัลอัลลามะฮ อัฏฏูฟีย์ ใน (เกาะวาอิดอิสติกอมะฮวัลเอียะติดาล) ว่า ทีแพร่หลายในทัศนะของบรรดาสานุศิษย์ของอิหม่ามอะหมัด (ร.ฎ) ว่า แท้จริงพวกเขาไม่ตีความ บรรดาสิฟาต ที่เกี่ยวกับชนิดการเคลื่อนไหว เช่น อัลญะญีอฺ(การเสด็จมา) อัลอิตยาน(การเด็จมาถึง) อัลนุซูล (การเสด็จลงมา) อัลฮะบูฏ (ทรงลงมา) ,การใกล้ชิด และ อัตตะดัลลา (การลงมาจากเบื้องสูง) ดังที่พวกเขา ไม่ตีความ อื่นจากมัน (อื่นจากสิฟาตที่กล่าวมา) เป็นการปฏิบัติตาม(แนวทาง)สะลัฟผู้ทรงธรรม และเขา(อัฏฏูฟีย)กล่าวว่า “ คำพูด ชาวสะลัฟ ในเรื่องนี้ แสดงบอกถึง การยืนยัน(รับรอง)ความหมาย ที่แตกต่างกันในมัน และ อัลเอาซาอีย์ กล่าว เมื่อถูกถามเกี่ยวกับ หะดิษอัลนุซูล(การเสด็จลงมาของอัลลอฮ) ว่า “ อัลลอฮทรงกระทำ สิ่งที่ทรงประสงค์ และ หัมมาด บิด เซด กล่าวว่า “ทรงใกล้ชิด มัคลูคของพระองค์ ตามรูปแบบที่พระองค์ทรงประสงค์ – ดู ละวามิอุลอันวาร อัลบะฮียะฮ ของ มุหัมหมัด อัสสะฟารินีย์ อัลหัมบะลีย เล่ม 1 หน้า 243
................
อัสสะฟารินีย์ ได้ยืนยันว่า ชาวสะลัฟไม่ตีความบรรดาสิฟาต ส่วนหนึ่งจากนั้นคือ สิฟัตอัลนุซูล คนที่ไม่ตีความกลับถูกกล่าวหาว่ามีอะกีดะฮยิว นะอูซุบิลละฮ

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat May 03, 2014 5:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร กล่าวว่า
وَقَدْ قَالَ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلٍ فِي كِتَابِ السُّنَّةِ : سَأَلْتُ أَبِي عَنْ قَوْمٍ يَقُولُونَ لَمَّا كَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى لَمْ يَتَكَلَّمْ بِصَوْتٍ ، فَقَالَ لِي أَبِي : بَلْ تَكَلَّمَ بِصَوْتٍ ، هَذِهِ الْأَحَادِيثُ تُرْوَى كَمَا جَاءَتْ وَذَكَرَ حَدِيثَ ابْنِ مَسْعُودٍ وَغَيْرِهِ .
และแท้จริง อับดุลลอฮ บิน อะหมัด บิน หัมบัล ได้กล่าวไว้ใน หนังสืออัสสุนนะฮ ว่า “ข้าพเจ้าได้ถามบิดาของข้าพเจ้า (หมายถึงอิหม่ามอะหมัด) เกี่ยวกับ คนกลุ่มหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า “ขณะที่อัลลอฮทรงพูดกับมูซานั้น พระองค์ไม่ได้ทรงพูดด้วยเสียง แล้วบิดาของข้าพเจ้ากล่าวตอบว่า “ แต่ทว่า พระองค์ทรงพูดด้วยเสียง ,บรรดาหะดิษเหล่านี้ ได้มีการรายงาน ตามที่มันได้มีมา และเขาได้ระบุหะดิษอิบนุมัสอูดและคนอื่นจากเขา – ฟัตหุลบารีย์ กิตาบุตเตาฮีด อธิบายหะดิษหมายเลข ๗๐๔๕ และ เฏาะบะกอตอัลหะนาบะละฮ ของ อิบนุ อะบีย ยะอลา เล่ม ๑ หน้า ๑๘๕
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า
وَأَثْبَتَتِ الْحَنَابِلَةُ أَنَّ اللَّهَ مُتَكَلِّمٌ بِحَرْفٍ وَصَوْتٍ ، أَمَّا الْحُرُوفُ فَلِلتَّصْرِيحِ بِهَا فِي ظَاهِرِ الْقُرْآنِ
นักวิชาการมัซฮับอัลหะนาบะฮละฮ ยืนยัน ว่า แท้จริงอัลลอฮ คือผู้ทรงพูด ด้วยอักษรและเสียง ,สำหรับบรรดาอักษรนั้น สำหรับความชัดเจนด้วยมัน ในตัวบทที่ปรากฏในอัลกุรอ่าน – ฟัตหุลบารีย เล่ม 13 หน้า 469
เพิ่มเติม
قال عبد الله بن أحمد بن حنبل : وقال أبي رحمه الله : حديث ابن مسعود رضي الله عنه : إذا تكلم الله عز وجل سمع له صوت كجر السلسلة على الصفوان . قال أبي : وهذا الجهمية تنكره
อับดุลลอฮ บิน อะหมัด บิน หัมบัล กล่าวว่า “บิดาของข้าพเจ้า (ร.ฮ) กล่าวหะดิษอิบนุมัสอูด (ร.ฎ) ว่า เมื่ออัลลอฮ ผู้ทรงเกรียงไกร และทรงสูงส่ง ตรัส มันถูกได้ยิน เหมือนกับเสียงของโซ่ที่ถูกลากบนหิน ,บิดดาของข้าพเจ้า กล่าวว่า “ และสิ่งนี้ พวกญะฮมียะฮ ปฏิเสธมัน –
كتاب السنة ج1 ص 281 رقم 534 .

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Wed Jun 18, 2014 9:33 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ครู อะชาอิเราะฮท่านหนึ่ง ใช้นามแฝงว่า AbdulHageem Al Ashari ได้กล่าวโจมตีวะฮบีย์ ในเฟสบุคว่า อัลลอฮ์ อะกีดะดออีฟแนวทางวะบีย์นี้ทั้งนั้นเลยนะ รวมถึงความเข้าใจที่บกพร่องทางด้านความเข้าใจฮะดิษด้วย เช่นนบีชี้ไปที่ตา ก็บอกอัลลอฮฺตะอาลามี2ตา..อะกีดะดออีฟยอมรับซะ แล้วแก้ไขให้ถูกต้อง อย่าเอาตัวเองจมปลักกับความเท็จเลย
.....................................ชี้แจง
ท่านครู AbdulHageem Al Ashari เที่ยวไปโพนทะนา ว่า อะกีดะฮวะฮบีย์เฏาะอีฟ แต่ไม่ยอมเข้ามาคุยว่า เฎาะอีฟอย่างไร กล่าวหาวะฮบีย์ บกพร่องในการเข้าใจหะดิษ ที่เชื่อและ บอกว่าอัลลอฮมีสองตา
ต่อไปนี้ คือ ข้อมูลที่พิสูจน์ว่า คนที่บกพร่อง คือใคร
อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ ผู้นำมัซฮับอะชาอิเราะฮกล่าวว่า
"وأن له عينين بلا كيف كما قال: "تَجْرِي بِأَعْيُنِنَا" [القمر:14
และพระองค์ทรงมีสองพระเนตร (ตา) โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร ดังที่พระองค์ตรัสว่า “มัน(เรือ)แล่น ด้วยบรรดาสายพระเนตรของเรา –เกาะมัร – ดู มะกอลาตอัลอิสลามียีน เล่ม ๒ หน้า ๒๖๐-๒๖๑
อะนัสเล่าว่า ท่านนบี ศ็อล กล่าวว่า
مَا بُعِثَ نَبِيٌّ إِلَّا أَنْذَرَ أُمَّتَهُ الْأَعْوَرَ الْكَذَّابَ ، أَلَا إِنَّهُ أَعْوَرُ ، وَإِنَّ رَبَّكُمْ لَيْسَ بِأَعْوَرَ ، وَإِنَّ بَيْنَ عَيْنَيْهِ مَكْتُوبٌ : كَافِرٌ
“ไม่มีนบีคนใดนอกจากต้องเตือนประชาชาติของเขาให้ระวังต่อจอมโกหกมีตาบอดข้าง จงจำไว้ให้ดี มันเป็นคนที่ตาบอดข้างหนึ่ง และแท้จริงองค์อภิบาลของพวกเจ้าไม่บอดข้าง และถูกเขียนไว้บนหน้าผากของมันว่า กาเฟร- รายงานโดย อิหม่ามบุคอรี 6625
เพิ่มเติม

عن عبد الله بن عمر رضي الله عنهما قال : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : ( إن الله لا يخفى عليكم ، إن الله ليس بأعور - وأشار بيده إلى عينه - وإن المسيح الدجال أعور العين اليمنى كأن عينه عنبة طافية

รายงานจากอับดุลลอฮ บิน อุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า “รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ ไม่ทรงซ่อนเร้นพวกท่าน แท้จริง อัลลอฮ ไม่ได้ตาเหล่ และท่านนบีชี้ไปยังตาของท่านด้วยมือของท่าน “แท้จริงอัลมะเซียะห์ อัลดัจญาล นั้นตาด้านขวาจะเหล่”ตาของมัน เหมือนกับ เม็ดองุ่นที่โปนออกมา –รายงานโดยบุคอรี หะดิษหมายเลข 6858
อิหม่ามอัดดาริมีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

ففي تأويل قول رسول الله صلى الله عليه وسلم : (إن الله ليس بأعور) : بيان أنه بصير ذو عينين ، خلاف الأعور " انتهى .

ดังนั้น ในการอธิบายคำพูดของเราะซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮูอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า( แท้จริงอัลลอฮ ไม่ได้ตาเหล่) แสดงให้เห็นชัดเจนว่า แท้จริงพระองค์คือ ผู้ทรงเห็น ผู้ทรงเป็นเจ้าของแห่งสองตา ต่างกับ ผู้ที่ตาเหล่ (ตาเสียข้างหนึ่ง) – ดู หนังสือตอบโต้บะชีร อัลมะรีซีย เล่ม 1 หน้า 327
อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ กล่าวว่า

" وأن له سبحانه عينين بلا كيف ، كما قال سبحانه : (تجري بأعيننا) "

และแท้จริง อัลลอฮ (ซ.บ) ทรงมีสองตา โดยไม่มีการพรรณนารูปแบบ(ว่าเป็นอย่างไร) ดังที่อัลลอฮ (ซ.บ)ตรัสว่า (มัน (เรือ) ได้แล่นไปต่อหน้าเรา (อัลเกาะมัร 54 : 14)-ดูอัลอิบานะฮ อัน อุศูลิดดิยานะฮ เล่ม 1 หน้า 20
“”””””””””””””””
ท่านครู AbdulHageem Al Ashari บอกว่า ข้างต้น เป็นเท็จ เรามาช่วย อิสตีฆฟาร ต่ออัลลอฮ ให้ครูผู้นี้ก็แล้วกัน หลงไปใกลไม่เห็นฝุ่นแล้ว ยังจะมาใส่ร้ายคนอื่น

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Aug 15, 2014 8:23 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หลักฐานที่มีผู้อ้างว่าห้ามแปลความหมายอายะฮและหะดิษสิฟาต

มีผู้อ้างคำพูด ท่านอิมามอะหฺมัดจึงกล่าวว่า

هذه الأحاديت نؤمن بها ونصدق ، لا كيف ولا معنى ، ولا نصف الله تعالى بأكثر مما وصف به نفسه

"บรรดาหะดิษเหล่านี้ เราได้ศรัทธานั้น และเชื่อ โดยที่ไม่มีวิธีการว่าเป็นอย่างไร และไม่มีความหมาย(ที่เฉพาะ) และเราไม่พรรณากับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ให้มากกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาไว้กับพระองค์เอง" ดู หนังสือ ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 3
………….

ชี้แจง.
อิบนุอุษัยมีกล่าวว่า
وقوله : ولا معنى أي : لا نثبت لها معنى يخالف ظاهرها كما فعله أهل التأويل وليس مراده نفي المعنى الصحيح الموافق لظاهرها الذي فسرها به السلف

และคำพูดของเขาที่ว่า (และไม่มีความหมาย) หมายถึง เราจะไม่ยืนยันความหมายแก่มัน ที่ขัดแย้งกับความหมายที่ปรากฏของมัน(ตามตัวบท) ดังที่นักตีความ ได้ปฏิบัติต่อมัน และ ไม่ได้หมายถึง ปฏิเสธความหมายที่ถูกต้อง ที่สอดคล้องกับความหมายที่ปรากฏของมัน(ตามตัวบท) ที่นักวิชาการสะลัฟอธิบายมัน – ชัรหุลัมอุลเอียะตีกอด ของอิบนุอุษัยมีน 1/35
ข้างต้นไม่ได้หมายถึง ห้ามไม่ให้แปลความหมายหรืออธิบายความหมาย
...........

คำนี้ บางคนเข้าใจให้เพี้ยนถึงขนาดบอกว่า ถ้าเป็นอายาตสิฟาต ห้ามแปลเป็นภาษาอื่น นอกจากภาษาอาหรับ แล้วถ้าไม่แปลเป็นภาษาที่คนเขาเข้าใจ แล้ว อัลกุรอ่านถูกประทานมาเพื่อท่องจำอย่างเดียวหรือครับ ท่องแบบนกขุนทอง พูดได้แต่ไม่รู้ความหมาย
ที่นี้มาดูคำอธิบายครับท่านพี่น้อง จะได้เข้าใจ
أمروها كما جاءت
จงปล่อยให้มันผ่านไปดังเช่นสิ่งที่มันได้มีมา
บางสำนวนคือ

أمروها كما جاءت بلا كيف.

ปล่อยมันให้ผ่านไปดังเช่นสิ่งที่ได้มีมา โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร
ความจริง ให้เข้าใจง่ายๆ คือ ปล่อยให้เป็นไปตามความหมายที่มีมา โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร หรือ ไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ
ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า

هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.

หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยให้ดำเนินไปตามความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู
الأسماء والصفات للبيهقي (ج2 ص377)
لا كيف ولا معنى
คำพูดข้างต้น ไม่ใช่ ห้ามแปลความหมายแต่อย่างใด

การนนำคำพูดของอิหม่ามอะหมัดมาอ้างว่าไม่แปลความหมายนั้น เป็นการบิดเบือน หรือไม่เข้าใจคำพูดอิหม่ามอะหมัด มาดูความเข้าใจที่ถูกต้อง
มาดูตัวอย่าง

عن يعقوب بن بختان قال: سئل الإمام أبو عبدالله عمن زعم أن الله لم يتكلم بصوت، قال:
بلى يتكلم سبحانه بصوت.

รายงานจากยะอฺกูบ บิน บุคตาน กล่าวว่า “อิหมามอบูอับดุลลอฮ(หมายถึงอิหม่ามอะหมัด) ถูกถามเกี่ยวกับผู้ที่เข้าใจผิดว่า อัลลอฮ ไม่ได้ตรัสด้วยเสียง เขา(อิหม่ามอะหมัด)กล่าวตอบว่า “ แต่ทว่า พระองค์ (ซ.บ)ตรัสด้วยเสียง – ดู อัลมะสาอีล วัรเราะสาอีล เล่ม ๑ หน้า ๓๐๒ เป็นตำรารายงานเกี่ยวกับอะกีดะฮอิหม่ามอะหมัด
เป็นที่ชัดเจนว่า อิหม่ามอะหมัด ยืนยัน ความหมายของ คำว่า “กะลามุลลอฮ” หรือ ความหมายคำว่า “กะลาม(พูด) เพราะการพูดนั้น ตามนิยามทางภาษา เป็นเสียงที่เปล่งออกมา ท่านจึง ยืนยันว่า พระองค์ตรัสด้วยเสียงที่ได้ยิน
มาดูคำพูดอิหม่ามอิบนุกุดามะฮ
ومذهب السلف رحمة الله عليهم الإيمان بصفات الله تعالى وأسمائه التي وصف بها نفسه في آياته وتنزيله أو على لسان رسوله من غير زيادة عليها ولا نقص منها ولا تجاوز لها ولا تفسير ولا تأويل لها بما يخالف ظاهرها
มัซฮับสะลัฟ (ร.ฮ) นั้น คือ การศรัทธา ด้วยบรรดาสิฟาต อัลลอฮตะอาลา และบรรดาพระนามของพระองค์ ที่พระองค์ทรงพรรณนาคุณลักษณะให้แก่ตัวพระองค์เองด้วยมัน ในอายาตต่างๆและการประทานลงมาของพระองค์ หรือ ด้วยผ่านคำพูดของรอซูลของพระองค์ ไม่มีมีการเพิ่มเติมบนมัน และไม่ทำให้บกพร่องจากมัน และไม่เกินเลยขอบเขต แก่มัน ,ไม่อธิบายมัน และไม่ตีความมัน ด้วยสิ่งที่ขัดแย้งกับความหมายที่ปรากฏของมัน - ดู ซัมมุตตะวีล หน้า 11
จากคำพูดของอิบนุกุดามะฮข้างล่าง แสดงให้เห็นว่า ให้เชื่อตามความหมายที่ปรากฏตามตัวบท โดยไม่ตีความ และไม่ไปอธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร ห้ามเพิ่มเติม ห้ามตัดตอน
ขอยกตัวอย่างที่อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ อธิบายทัศนะสะลัฟ เกี่ยวกับความหมาย “อิสติวาอฺว่า
وَإِنَّمَا جَهِلُوا كَيْفِيَّة الِاسْتِوَاء فَإِنَّهُ لَا تُعْلَم حَقِيقَته . قَالَ مَالِك رَحِمَهُ اللَّه : الِاسْتِوَاء مَعْلُوم - يَعْنِي فِي اللُّغَة - وَالْكَيْف مَجْهُول , وَالسُّؤَال عَنْ هَذَا بِدْعَة
และความจริง พวกเขา(สะลัฟ) ไม่รู้รูปแบบวิธีการของอิสติวาอฺ เพราะแท้จริง ลักษณะที่แท้จริงของมันไม่ถูกรู้ (ว่าเป็นอย่างไร) ,มาลิก (ร.ฮ)กล่าวว่า “อิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน หมายถึง( เป็นที่รู้กันความหมายในทางภาษา และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน และการถามจากสิ่งนี้เป็นบิดอะฮ –
الجامع لأحكام القرآن 7/219-220
การอ้างสะลัฟ ไม่ว่าจะเป็นอิหม่ามอะหมัด หรือท่านอื่นๆว่าไม่แปลความหมาย ไม่ยุ่งกับความหมาย ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่แปล ไม่อธิบายความหมายนั้น ไม่ใช่แนวทางสะลัฟ แต่เป็นแนวทางของอะฮลุลกะลามหรือนักวิภาษวิทยา สะลัฟห้ามอธิบายรูปแบบของสิฟาตว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจแนวทางสะลัฟเขาจะไม่ถามว่ามือเป็นอย่างไร

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Aug 15, 2014 8:30 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มีผู้อ้างว่า อ้างคำพูดที่ว่า

أمروها كما جاءت ،وردوا علمها إلى قائلها ومعناها إلى المتكلم بها

"พวกท่านจงอ่านผ่านมันไปเสมือนที่มันได้มีระบุมา และจงกลับคือการรู้มัน(บรรดาซีฟาต)ไปยังผู้ที่กล่าวมัน และ(จงกลับคืน)กับ ความหมายของมัน ไปยังผู้ที่พูดด้วยกันมัน" ดู หนังสือ ซัมมุ อัลตะวีล ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ หน้า
...............

อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า
كذب من زعم أن السلف لا يدرون معاني ألفاظ الصفات
ผู้ที่เข้าใจว่า สะลัฟไม่รู้บรรดาความหมายของถ้อยคำบรรดาสิฟาตนั้น โกหก – มุคตะศอรอัศเศาะวาอีก เล่ม 1 หน้า 133
หมายถึงใครเข้าใจว่า ชาวสะลัฟไม่รู้ความหมายเกี่ยวกับถ้อยคำบรรดาสิฟาตนั้นเขาโกหก
การมอบหมายความหมาย โดยไม่รู้ความหมายของสิฟาตนั้น ไม่ใช่แนวทางสะลัฟ แนวทางสะลัฟคือ การยืนยันความหมาย และรู้ความหมาย และมอบหมายความรู้กี่ยวกับรูปแบบวิธีการ(กัยฟียะฮ)ของสิฟัต แก่อัลลอฮ
ตัวอย่างเช่น การอธิบายของอิบนุญะรีร ปราชญ์ตัฟสีรยุคสะลัฟต่อไปนี้ ซึ่งท่านอธิบายความหมาย “อัลอิสติวาอฺ”ในซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์อายะฮ์ที่ 29 ท่านอัฏเฏาะบะรีย์ได้เลือกความหมายที่ว่า
ว่า
وأوْلى المعاني بقول الله جل ثناؤه:"ثم استوى إلى السماء فسوَّاهن"، علا عليهن وارتفع،
บรรดาความหมายที่ดีที่สุด จากคำตรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า “หลังจากพระองค์ทรงอิสติวาสู่ฟากฟ้า แล้วพระองค์ก็ทรงสร้างมัน” คือ พระองค์ทรงอยู่สูงเหนือมันและขึ้นบน(มัน ) -
และ และอัลอิสติวาอฺในซูเราะฮ์ฏอฮา อายะฮ์ที่ 5 ท่านอัฏเฏาะบะรีย์ ได้ให้ความหมายว่า

وَقَوْله : { الرَّحْمَن عَلَى الْعَرْش اسْتَوَى } يَقُول تَعَالَى ذكْره : الرَّحْمَن عَلَى عَرْشه ارْتَفَعَ وَعَلَا และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า "ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ หมายถึง อยู่สูง อยู่เหนือขึ้นไป - ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 5 ซูเราะฮ ฏอฮา
แสดงให้เห็นว่า สะลัฟเขารู้ความหมายของ คำว่า “อิสติวา อิลัสสะมาอฺ และ อิสตะวา อะลัลอัชชิ คือ
ارْتَفَعَ وَعَلَ
เพราะฉะนั้น การที่บอกว่า สะลัฟไม่รู้ความหมายนั้น เป็นการโกหก ให้แก่สะลัฟ

คนที่อ้างว่า สะลัฟ ไม่อธิบายความหมายสิฟัต เป็นการโกหกเช่นกัน อิหม่ามติรมิซีย์ ยืนยันว่า สะลัฟ อธิบายความหมายสิฟัต และพวกญะมียะฮ อธิบายความหมายสิฟัต ที่ไม่ตรงกับการอธบายของสะลัฟ ดังที่ท่านอิหม่ามติรมิซีย์กล่าวว่า
فتأولت الجهمية هذه الآيات ففسروها على غير ما فسر أهل العلم وقالوا إن الله لم يخلق آدم بيده وقالوا إن معنى اليد هاهنا القوة
ทว่าพวกญะฮฺมียะฮฺได้ทำการตีความบรรดาโองการเหล่านี้(หมายถึงอายาตสีฟาต) และพวกเขาได้ทำการอธิบายบนอื่นจากสิ่งที่บรรดานักวิชาการ ได้ทำการอธิบายเอาไว้ พวกเขากล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮฺตะอาลามิได้สร้างอาดัมมาจากพระหัตถ์ของพระองค์ แต่พวกเขากล่าวว่า พระหัตถ์นั้นหมายถึงอำนาจ - หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51
...........
ท่านอิหม่ามอัตติรมิซีย์ เป็นปราชญ์ยุคสะลัฟ ได้ยืนยันว่า พวกยะฮมียะฮ อธิบายอายาตสิฟาต ไม่ตรงกับสิ่งที่นักวิชาการสะลัฟ อธิบายไว้ เช่น สิฟัต ยะดุน (มือ) พวกญะฮมียะฮ ตีความว่า “อำนาจ ..

ช็คอับดุรรอซซาก อัลอะฟีฟีย์ กล่าวว่า

مذهب السلف هو التفويض في كيفية الصفات لا في المعنى

มัซฮับสะลัฟ คือ การมอบหมาย ในเรื่องรูปแบบวิธีการของบรรดาสิฟาต ไม่ได้มอบหมายในความหมาย – ฟะตะวาเช็คอะฟีฟีย หน้า 104 อิบนุกุตัยบะฮ (ฮ.ศ 213-276) ปราชญ์ยุคสะลัฟกล่าวว่า
ولم ينزل الله "شيئاً" من القرآن إلا لينفع به عباده، ويدل به على معنىً أراده
และอัลลอฮ จะไม่ทรงประทานสิ่งใดๆ จากอัลกุรอ่านลงมา นอกจาก เพื่อให้บ่าวของพระองค์ได้รับประโยชน์ด้วยมัน และ แสดงบอกถึงความหมาย ที่พระองค์ต้องการด้วยมัน – ดู มุชกิลุลกุรอ่าน หน้า 98-99
............
เพราะฉะนั้น การที่อ้างว่า อายะฮ อัลกุรอ่านที่กล่าวถึงสิฟาตอัลลอฮ ไม่มีใครรู้ความหมาย คือ นบี ก็ไมรู้ เหล่าเศาะหาบะฮก็ไม่รู้ บรรดาปราชญ์ยุคสะลัฟทั้งหลายก็ไม่รู้ การอ้างแบบนี้ เป็นการโกหก

อัลอัชอีย์ อัชชาฟีย์ อ้างว่า
แต่สำหรับแนวทางอาชาอีเราะนั้นพวกเขาจะตามอะกีดะสลัฟตามคำถ่ายทอดจากปราชญ์สลัฟของพวกเขา.ตามที่ท่านอิม่ามฮัมบาลี(รฮ)ได้กล่าว ไว้ว่า”
هذه الأحاديت نؤمن بها ونصدق ، لا كيف ولا معنى ، ولا نصف الله تعالى بأكثر مما وصف به نفسه
"บรรดาหะดิษเหล่านี้ เราได้ศรัทธานั้น และเชื่อ โดยที่ไม่มีวิธีการว่าเป็นอย่างไร และไม่มีความหมาย(ที่เฉพาะ) และเราไม่พรรณากับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ให้มากกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาไว้กับพระองค์เอง
" ดู หนังสือ ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 3
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
มาดูคำพูดเต็มๆ ซึ่ง ท่านอัชอีย์ อัชชาฟีย์ เองก็ไม่รู้เลยว่ามีต้นต่อเป็นอย่างไร มาดูครับ
อัลกอฎีย์อบูยะอฺลา กล่าวว่า
قال أبو يعلى : " وقال – يعني الإمام أحمد - في رواية حنبل في الأحاديث التي تروى: " إن الله، تبارك وتعالى، ينزل إلى سماء الدنيا " والله يرى " وأنه يضع قدمه " وما أشبه بذلك، نؤمن بها ونصدق بها ولا كيف ولا معنى ولا نرد شيئا منها، ونعلم أن ما قاله الرسول، صلى الله عليه وسلم، حق إذا كانت بأسانيد صحاح
และเขากล่าวว่า หมายถึงอิหม่ามอะหมัด ในรายงานหนึ่งของ หัมบัล ในบรรดาหะดิษที่ถูกรายงานว่า “แท้จริงอัลลอฮ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง เสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา และแท้จริง อัลลอฮ ทรงถูกเห็น และแท้จริง อัลลอฮทรงวาง เท้าของพระองค์ และสิ่งที่คล้ายคลึงกับบรรดาหะดิษเหล่านี้ ,เราศรัทธา ด้วยมัน ,เราเชื่อด้วยมัน และไม่มีการถามถึงรูปแบบวิธีการ และไม่มี ความหมาย และเราไม่ปฏิเสธสิ่งใดจากมัน และเรารู้ว่า แท้จริงสิ่งที่รซูลุลลอฮ นำมาด้วยมันนั้นเป็นความจริง เมื่อปรากฏว่า ด้วยบรรดาสายรายงานที่เศาะเฮียะ
إبطال التأويلات (صفحة :45

การที่ท่านอัชอีย์ อัชรีย์ยกมา แค่ท่อนเดียว แต่ไม่นำมาเสนอให้หมด ก็เพื่อปกปิดจุดตายของตนเอง คือ ไม่กล้าแปลส่วนที่อยู่ช่วงแรก กลัวจะเข้าทางวะฮบีย์ ว่าแปลความหมาย ถ้าไม่แปลก็จะกลายเป็นจุดบอกว่าแปลไม่ได้ ซึ่งได้ปิดฝาโลงตัวเองไว้แล้วว่าห้ามแปล เพราะประโยคก่อนหน้าที่ตนเองนำมาอ้างคือ
إن الله، تبارك وتعالى، ينزل إلى سماء الدنيا " والله يرى " وأنه يضع قدمه "
และสำหรับผู้คำพูดอิหม่ามอะหมัดข้างต้น มีสำนวนไม่เหมือนกัน เช่น
รายงานโดยอบูยะลา ใน อิบฏอลุตะวีลาต หน้า 45
، لا كيف ولا معنى
รายงานโดยอัลลาลุกาอีย ในชัรหุอุศูลเอียะติกอดอะฮลิสสุนนะฮ เล่ม 3 หน้า 453 ไม่มีคำว่า
لا كيف ولا معنى
แต่มีสำนวนว่า
قال حنبل ابن إسحاق قال: سألت أبا عبدالله أحمد بن حنبل عن الأحاديث التي تروى عن النبي صلى الله عليه وسلم: ( إن الله ينزل إلى السماء الدنيا)، فقال أبو عبدالله: نؤمن بها ونصدق بها، ولا نرد شيئا مما جاء منها إذا كانت أسانيد صحاح، ولا نرد على رسول الله قوله ونعلم أن ما جاء به الرسول حق …".
และในรายงานของท่าน อบูกอเซม ฮิบะตุลลอฮ อิบนุ อัลหะซัน บิน มันศูร อัฏฏอ็บรีย์ ไม่มีคำว่า
لا كيف ولا معنى
แต่มีคำว่า
بِلَا كَيْفٍ وَلَا حَدٍّ
ไม่มีการถามว่าเป็นอย่างไร และไม่มีการกำหนดขอบเขต
มันเป็นเรื่องที่แปลก ที่มาจากรายงานคนๆเดียวกัน คือ หัมบัล บิน อิสหาก แต่สำนวนไม่เหมือนกัน

..........รายงานแบบนี้จากคนๆคนเดียวคือ หัมบัล บิน อิสหาก ท่านคิดว่ามันคือหลักฐานเด็ด แอบอ้างสะลัฟได้หรือครับท่านครู อัชรีย ชาฟีย์ มาดูต่อครับ


มันเป็นเรื่องที่แปลก ที่มาจากรายงานคนๆเดียวกัน คือ หัมบัล บิน อิสหาก แต่สำนวนไม่เหมือนกัน
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
له مسائل كثيرة عن أحمد، ويتفرد ويغرب".
สำหรับเขา มีบรรดาประเด็นต่างๆมากมายที่รายงานจากอะหมัด และเขารายงานเพียงคนเดียวและ แปลก
سير أعلام النبلاء 13/52
อิบนุเราะญับ (ปราชญ์มัซฮับหัมบะลีย์)เองกล่าวว่า
وهذه رواية مشكلة جدا، ولم يروها عن أحمد غير حنبل ، وهو ثقة إلا أنه يهم أحيانا ، وقد اختلف متقدمو الأصحاب فيما تفرد به حنبل عن أحمد : هل تثبت به رواية أم لا) انتهى
และรายงานนี้ น่าสงสัยมาก และไม่มีใครรายงานจากอะหมัด อื่นจากหัมบัล และเขาเชื่อถือได้ ยกเว้นบางครั้ง เขามีความนรอบคอบน้อย และแท้จริงบรรดาปราชญ์มัซฮับหัมบะลี รุ่นก่อนก่อน มีความเห็นขัดแย้งกัน ในสิ่งที่ หัมบัล รายงานจาก อิหม่ามอะหมัดตามลำพัง ว่า รายงาน(ที่เขารายงาน)ด้วยมัน มีความแน่นอน(มีน้ำหนัก)หรือไม่ – ดูฟัตหุลบารีย์ ของ อิบนุเราะญับ เล่ม 2 หน้า 367

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Aug 22, 2014 10:37 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เมื่อแกนนำอะชาอีเราะฮ บิดเบือนใส่ร้ายอุลามาอฺ เช็คเฟาซานและอิบนุอุษัยมีน

มาดู การใส่ร้าบบิดเบือนต่อไปนี้

1. กล่าวหาว่า เช็คสอลิหอัลเฟาซานว่า เขาบอกว่าอัลลอฮมีอวัยวะ

แกนนำอาชาอิเราะฮ กล่าวว่า

หลักฐานที่ว่า อุลามาอ์วะฮ์ฮาบี ให้สัดส่วนอวัยวะแก่อัลลอฮ์ ซึ่งหลักฐานตรงนี้ไม่ใช่แนวทางของอะลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่แท้จริง แต่เป็นแนวทางที่แอบอ้างกิตาบุ้ลลอฮ์และซุนนะฮ์แต่เพียงลมปาก

ชัยค์ศอลิห์อัลเฟาซาน อุลามาอ์ของวะฮ์ฮาบี จากประเทศซาอุดี้ กล่าวว่า

إِنْ أَرِيْدَ بِالأَرْكَانِ وَالأَعْضَاءِ وَالأَدَوَاتِ : الصِّفَاتُ الذَّاتِيَّةِ مِثْلُ الْوَجْهِ وَالْيَدَيْنِ ، فَهَذَا حَقٌّ ، وَنَفْيُهُ بَاطِلٌ. وَإِنْ أُرِيْدَ نَفْيُ الأَعْضَاءِ اَلَّتِيْ تُشَابِهُ أَعْضَاءَ الْمَخْلُوْقِ وَأَدَوَاتِ الْمَخْلُوْقِيْنَ فَاللهُ مَنَزَّهٌ عَنْ ذَلِكَ

“ หากมีเป้าหมายขอบด้าน บรรดาอวัยวะ และสัดส่วนต่างๆ คือศิฟัตที่อยู่ ณ ที่ซาตของอัลลอฮฺ เช่น ใบหน้าและสองมือ ดังนี้ย่อมเป็นสัจจริงและการปฏิเสธมันนั้นย่อมเป็นอธรรม และมีเป้าหมายปฏิเสธบรรดาอวัยวะที่คล้ายคลึงกับบรรดาอวัยวะของสิ่งที่ถูกสร้างและสัดส่วนต่างๆ ของบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายนั้น อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์จากสิ่งดังกล่าว ”

(ตรงนี้ ชัยค์อัลเฟาซาน ยืนยันว่าใบหน้าและมือของอัลลอฮฺนั้นเป็นสัดส่วนและอวัยวะแต่ไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกสร้างนั่นเองครับนายรอมฎอน)

ศอลิห์อัลเฟาซาน, อัตตะอฺลีก อัลมุคตะศ่อเราะฮ์ อะลา มัตนิลอะกีดะฮ์อัฏเฏาะหาวียะฮ์, (ดารุลอาศิมะฮ์),หน้า 87.

..........
ขอชี้แจงดังนี้

ความจริงได้เคยชี้แจงแล้ว แต่ไม่ได้เซฟไว้ จึงขอชี้แจงใหม่อีกครั้ง

มาดู คำพูด ของ อิหหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ก่อนคือ

( وَتَعَالَى عَنِ الْحُدُودِ وَالْغَايَاتِ ، وَالْأَرْكَانِ وَالْأَعْضَاءِ وَالْأَدَوَاتِ

และอัลลอฮ ทรงบริสุทธิ์จาก บรรดาขอบเขต , บรรดาจุดมุ่งหมาย ,บรรดาส่วนประกอบที่สำคัญ ,บรรดาอวัยวะหลัก และบรรดาอวัยวะย่อย - ดูอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ ของ อิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์
แล้วเช็คเฟาะซาน อธิบายว่า

والأركان، والأعضاء، والأدوات) فيها إجمال أيضاً، إن أُريد بالأركان والأعضاء والأدوات: الصفات الذاتية مثل الوجه، واليدين، فهذا حق، ونفيه باطل. وإن أُريد نفي الأعضاء التي تشابه أعضاء المخلوقين وأدوات المخلوقين فالله سبحانه منزه عن ذلك:

จุดมุ่งหมาย ,บรรดาส่วนประกอบที่สำคัญ ,บรรดาอวัยวะหลัก และบรรดาอวัยวะย่อย ) ในมัน คือคำพูดโดยสรุป อีกเช่นกัน ด้วยคำว่า บรรดาส่วนประกอบที่สำคัญ ,บรรดาอวัยวะหลัก และบรรดาอวัยวะย่อย ข้าพเจ้าหมายถึง บรรดาสิฟาตอัซซาตียะฮ(บรรดาคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับซาต) เช่น ใบหน้า และสองมือ นี้คือ ความถูกต้อง และการปฏิเสธมัน คือ ความไม่ถูกต้อง และถ้าหากข้าพเจ้าหมายถึง การปฏิเสธ บรรดาอวัยวะ ที่คล้ายคลึงกับบรรดาอวัยวะของมัคลูค และบรรดาอวัยวะส่วนย่อยของบรรดามัคลูค อัลลอฮนั้น ทรงบริสุทธิ์ จากดังกล่าว
แล้วเช็คเฟาซานสรุปว่า

لحاصل: أن هذه الألفاظ التي ساقها المصنف فيها إجمال ولكن يحمل كلامه على الحق؛ لأنه -رحمه الله تعالى- من أهل السنة والجماعة، ولأنه من أئمة المحدثين، فلا يمكن أن يقصد المعاني السيئة، ولكنه يقصد المعاني الصحيحة،

และสรุปคือ แท้จริงบรรดาถ้อยคำเหล่านี้ ที่ผู้เรียบเรียง(หมายถึงอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย) ได้นำมันมากล่าวนั้น คือคำพูดแบบสรุป แต่ คำพูดของเขานั้น ถือว่า อยู่บนความถูกต้อง เพราะเขา(อิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย)(ร.ฮ) เป็นส่วนหนึ่งจากอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ และเพราะว่า แท้จริงเขาเป็นส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์หะดิษ ดังนั้นจึงป็นไปไม่ได้ว่า เขา(อิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย) เจตนาหมายถึง บรรดาความหมายที่ไม่ดี แต่เขาเจตนาหมายถึง บรรดาความหมายที่ดี – ดูชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ ของเช็ค ศอลิห อัลเฟาซาน 1/80
จากคำอธิบายของ ของเช็ค ศอลิห อัลเฟาซาน คือ
หนึ่ง – คำกล่าวของอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ ที่ว่า อัลลอฮบริสุทธิ์ จากบรรดาอวัยวะนั้น เป็นคำพูดแบบสรุป หรือพูดแบบรวมๆ
สอง – ถ้าต้องการ คำว่า อวัยวะ เช่น คำว่า ใบหน้า และสองมือ คือ คุณลักษณะของซาตนั้น ถือว่า ถูกต้อง
สาม - ถ้าหมายถึงอวัยวะ ที่คล้ายคลึงกับมัคลูค นั้น อัลลอฮบริสุทธิ์ จากดังกล่าว คือ ท่านเฟาซานไม่ได้บอกว่าอัลลอฮ มีมือ คล้ายคลึงกับมัคลูต

อิบนุอะบิลอิซ อัดดะมัชกีย์ อัลหะนะฟีย์กล่าวว่า

وَلَمْ يَرِدْ نَصٌّ مِنَ الْكِتَابِ وَلَا مِنَ السُّنَّةِ بِنَفْيِهَا وَلَا إِثْبَاتِهَا ، وَلَيْسَ لَنَا أَنْ نَصِفَ اللَّهَ تَعَالَى بِمَا لَمْ يَصِفْ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا وَصَفَهُ بِهِ رَسُولُهُ نَفْيًا وَلَا إِثْبَاتًا ، وَإِنَّمَا نَحْنُ مُتَّبِعُونَ لَا مُبْتَدِعُونَ .

ไม่ปรากฏตัวบท(หลักฐาน)จากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ปฏิเสธมัน และไม่ปรากฏ การยืนยันมัน และไม่อนุญาตแก่เรา อธิบายคุณลักษณะอัลลอฮตะอาลา ด้วยสิ่ง ที่พระองค์ ไม่ได้อธิบายคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เอง และรอซูลของพระองค์ ไม่ได้อธิบายคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมัน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธ หรือการยืนยัน และความจริง พวกเรา คือ บรรดาผู้ปฏิบัติตาม ไม่ใช่ผู้ที่อุตริบิดอะฮ – ดู ชัรหุ อะกีดะฮ อัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 261 ของ อิบนุอะบิลอิซ
.......................
อิบนุอะบิลอิซ ได้ยืนยันว่า คำว่า อวัยวะ เกี่ยวกับอัลลอฮนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮกล่าวถึง ไม่ว่าในเชิงปฏิเสธ หรือยืนยัน หมายความว่า “คำว่า “สองมือ” อัลกุรอ่าน และ อัสสุนนะฮ ไม่ได้ บอกว่า คือ อวัยวะ หรือไม่ใช่อวัยวะ มีแต่อาชาอิเราะฮยุคหลัง กล่าวหาว่า ใครแปลว่ามือ คนนั้น คือ พวกมุญัสสิมะฮ เชื่อว่า อัลลอฮมีรูปร่าง มีอวัยวะ แล้วฟิตนะใส่ คนนั้น คนนี้
ความจริง ในทัศนะสะลัฟนั้น การเชื่อตามที่ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮได้ ระบุเอาไว้นั้น ไม่ใช่การ ตัชบีฮ หรือการนำอัลลอฮไปเปรียบว่าคล้ายคลึงกับมัคลูคอย่างที่ อะชาอิเราะฮกลุ่มนี้กล่าวหา
ท่านอิสหาก บิน รอฮาวียะฮ ปราชญ์ชาวสะลัฟ (ฮ.ศ 161 - 238 )กล่าวว่า

إِنَّمَا يَكُونُ التَّشْبِيهُ إِذَا قَالَ يَدٌ كَيَدٍ أَوْ مِثْلُ يَدٍ أَوْ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ. فَإِذَا قَالَ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ فَهَذَا التَّشْبِيهُ وَأَمَّا إِذَا قَالَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى يَدٌ وَسَمْعٌ وَبَصَرٌ وَلَا يَقُولُ كَيْفَ وَلَا يَقُولَ مِثْلُ سَمْعٍ وَلاَ كَسَمْعٍ فَهَذَا لَا يَكُونُ تَشْبِيهًا وَهُوَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى فِى كِتَابِهِ: { لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

การตัชบีฮฺ(เปรียบกับมัคลูก)นั้นคือการที่เรากล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺก็เหมือนกับมือของฉันหรือใกล้เคียงกับมือของฉัน หรือการที่เขากล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับที่ฉันได้ยินหรือคล้ายกับที่ฉันได้ยิน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าตัชบีฮฺ แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงสดับฟัง, ทรงทอดพระเนตร พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา พระองค์กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น” (หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51)
……………………
เพราะฉะนั้น การที่เราเชื่อ ตามที่อัลลอฮทรงบอกว่า ทรงมี พระหัตถ์ หรือ สิฟัตอื่นๆ ตามที่ทรงบอกไว้ ไม่ใช่ว่า เป็นการเปรียบเทียบกับมัคลูค หรือ มีรูปร่างเหมือนมัคลูค เพราะพระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่า

لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น
...........
ไม่เข้าใจว่าทำไม่ อาชาอิเราะฮกลุ่มนี้ จึงพยายาม บิดเบือนข้อมูล สืบหาข้อมูล เพื่อทำลาย ดิสเครดิต คนที่ตนเองเรียกว่า “วะฮบีย” บอกตรงๆว่า ไม่เข้าใจจริงๆ
อินชาอัลลอฮ มีต่อ

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ถัดไป
หน้า 6 จากทั้งหมด 9

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 1.06 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ