ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
เหลือเชื่อ !!! เสื้อเรารักนบีเป็นบิดอะห์
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 15, 16, 17 ... 25, 26, 27  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Sat Apr 29, 2006 4:29 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างจากคุณอะดีล

อัลฟารูกกำลังเปลี่ยนประเด็น เพราะหลักฐานที่คุณกับพวกนำเสนอนั้นล้วนแล้วแต่เป็นข้ออ้างว่ากินบุญบ้านมัยยิตโดยครอบครัวมัยยิตเป็นเจ้าภาพ ผมจะขอสอบถามประเด็นนี้ให้หายสงสัยก่อน นอกจากคุณและพวกจะกลับลำว่า หลักฐานที่ยกมานั้น ไม่ใช่เรื่องกินบุญบ้านคนตาย

อัลฟารูกวิจารณ์ว่า

คุณอ้างขึ้นเอง หรือพวกเราอ้างครับคุณอะดีล สิ่งที่พวกเราอ้างนั้น คือการช่วยเหลือครอบครัวผู้ตายทำอาหารเพื่อเป็นทานแก่มัยยิดของพวกเขา ซึ่งพวกเราก็ชี้แจงอย่างนี้ และส่งเสริมกันอย่างนี้ คือให้ช่วยกันทำอาหารให้ครอบครัวมัยยิด และ ช่วยกันทำอาหารเพื่อเป็นทานแก่มัยยิดด้วย นั่นคือสิ่งที่พวกเราได้ทำการสนทนา แต่คุณยกอ้างสิ่งที่เรานำเสนอมาบางส่วนแล้วคุณก็เข้าใจเอาเอง แล้วก็อ้างพาดพิงถึงพวกเราเหมือนกับว่าพวกเราเข้าใจเหมือนคุณ ซึ่งแบบนี้ เขาเรียกว่าเป็นการสนทนาไม่ใช่อยู่ในเชิงวิชาการ

ผมขอตอบว่า

อ้าวเป็นงั้นไป หาว่าผมเข้าใจเอาเอง แล้วยัดเยียดให้พวกคุณ ก็ฮาดีสเจ้าปัญหาที่มูหะหมัดอ้างมานั่นไง เนื้อหาบอกจะจะว่า นบีกับซอฮาบะห์ไปกิน โดยภรรยาคนตายเป็นเจ้าภาพ และในวันแรกที่ฝังมัยยิตด้วย ก็พวกคุณยกมาเองแล้วจะให้ผมทำยังไง และที่อัลฟารูกบอกว่าสมควรตำหนิและประณามมันคืออะไร

และที่อัลฟารูกพูดว่า สิ่งที่พวกเราอ้างนั้น คือการช่วยเหลือครอบครัวผู้ตายทำอาหารเพื่อเป็นทานแก่มัยยิดของพวกเขา ซึ่งพวกเราก็ชี้แจงอย่างนี้ และส่งเสริมกันอย่างนี้ คือให้ช่วยกันทำอาหารให้ครอบครัวมัยยิด และ ช่วยกันทำอาหารเพื่อเป็นทาน

อ้าว......ยังงั้นฮาดีสท่านอุมัร และฮาดีสฏอวูสที่พวกคุณเอามาอ้างนั้น ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานกินบุญบ้านคนตายนะซี ฮ่าๆๆ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Sat Apr 29, 2006 4:32 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัลฟารูกล่าวว่า

ทำไมคุณอะดีลถึงยกอ้างการนำเสนอของผมไม่หมดล่ะครับ แบบนี้มันเป็นการซอลิมอธรรมกับผมและบิดเบือนทัศนะของพวกเรานี่ครับ ทำไมคุณไม่อ้างอิงคำพูดของผมหลังจากนั้นอีกหนึ่งย่อหน้าล่ะครับ ซึ่งผมได้กล่าวแนวทางของเราไว้แล้ว ดังนี้

"การทำอาหารให้แก่ครอบครัวของมัยยิดนั้น เป็นสุนัต ไม่ใช่ เป็นวายิบ ดังนั้น การที่เราไม่ทำอาหารให้พวกเขานั้น ไม่ถือว่าเป็นบิดอะฮ์หรือกระทำบาป แต่ถือว่าเป็นมักโระฮ์ คือกระทำแล้วได้ผลบุญ หากไม่กระทำก็ไม่ได้รับโทษอะไร เนื่องจากสิ่งที่วายิบ(แบบฟัรดูกิยาฟะฮ์)ต่อบรรดาพี่น้องมุสลิมนั้น ก็คือการจัดการเกี่ยวกับมัยยิด คือการอาบน้ำศพ ห่อ ละหมาด และฝัง และการที่ศาสนาให้บรรดาพี่น้องมุสลิมทำอาหารให้แก่ครอบมัยยิดในหนึ่งวันและหนึ่งคืนนั้น เนื่องจากพวกเขากำลังโศกเศร้ากอปรกับมีภาระยุ่งอยู่กับการจัดการมัยยิด"


ผมขอตอบว่า

ที่ผมอ้างการโพ้สต์ของคุณนั้นเป็นประเด็นที่บรรดาอุลามาอ์ และมัซฮับทั้ง 4 โดยเฉพาะอิหม่ามชาฟีอี มีจุดยืนในเรื่องนี้ชัดเจนซึ่งคุณเป็นผู้โพ้สต์เอง ผมไม่ทราบว่าความคิดของคุณจะเทียบเท่าระดับมัซฮับทั้ง 4 จึงต้องการให้ผมอ้างอิงด้วยเป็นมัซฮับ 5

แต่ก็ดีครับ แสดงจุดยืนได้ชัดเจนว่า การทำอาหารให้ครอบครัวมัยยิตเป็นสุนัต และถ้าครอบครัวมัยยิตเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงก็น่าตำหนิและประณาม

เอะ......และเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮาดีสของท่านอุมัร กับฮาดีสของท่านฏอวูส ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานกินบุญบ้านคนตาย โดยครอบครัวมัยยิตเป็นเจ้าภาพ แล้วจะเอาไปใส่ในประเด็นไหนละ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุหัมมัด
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005
ตอบ: 210


ตอบตอบ: Sat Apr 29, 2006 8:02 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นายอะสันกล่าวว่า

ไม่ว่าจะเป็น หะดิษอุมัร และหะดิษฏอวูส ซึ่ง น้อง al-farook มาอ้างนั้น มันเป็นหะดิษที่ขัดแย้ง กับหะดิษญะฟัร และหะดิษญะรีร ดังที่ได้นำเสนอไปแล้ว และหะดิษทั้งสองนี้ ท่านอิหม่ามทั้งสี่ คนใหนบ้าง นำมาเป็นหลักฐาน การกำหนดรูปแบบการของ การทำบุญคนตายสามวันเจ็ดวัน โดยมี พีธีกรรมมาประกอบ คือ ตะฮลีล อ่านกุรอ่าน และจบด้วยดุอาอาอุทิศผลบุญให้คนตาย พิธีกรรมแบบนี้เป็นพิธีกรรมที่ถูกเพิ่มเติมขี้นมาประกอบ

ผมขอกล่าวว่า

นายอะสันอย่าคิดเอาเองว่า หะดิษท่านญะฟัรนั้น วายิบต้องทำอาหารให้แต่เป็นสุนัต หะดิษของท่านญะรีรนั้น ก็ไม่ได้ชี้ถึงหะรอมตามทัศนะของอุลามาอ์ส่วนมาก แต่มันเป็นเพียงแค่มักโระฮ์ ดังนั้น การที่ไม่ทำของสุนัตนั้นไม่ใช่เป็นบิดอะฮ์ตกนรกตามที่วะฮาบีย์ชอบมอบสิ่งนี้ให้กับมุสลิมทั่วไป และการทำสิ่งที่มักโระฮ์นั้น ไม่ใช่ว่าต้องเป็นบิดอะฮ์ฮะรอมตกนรกตามที่วะฮาบีย์จ้องจะฮุกุ่มพี่น้องมุสลิม ดังนั้น พวกวะฮาบีย์ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ทำไมผมต้องพูดอย่างนี้ เพราะว่าวะฮาบีย์อย่างพวกคุณนั้น ได้ยกความเข้าใจของอุลามาอ์ผู้มีมัซฮับกันทั้งนั้น เมื่อวะฮาบีย์อย่างพวกคุณยกคำกล่าวของพวกเขามา วะฮาบีย์อย่างพวกคุณก็ต้องเข้าใจเจตนารมณ์จากคำวินิจฉัยของอุลามาอ์มัซฮับที่วะฮาบีย์อย่างพวกคุณยกอ้างอิงมา ไม่ใช่ว่า ยกอ้างคำของอุลามาอ์มัซฮับมา แล้วนำมาปรุงแต่งเข้าใจกันเองแล้วยกเมฆหุกุ่มว่า "มันเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงลงนรก" นั้น ก็คงจะมีแต่พวกบิดอะฮ์วะฮาบีย์คอวาริจญฺปัจจุบันนี้แหละที่จ้องจะหุกุ่มพี่น้องมุสลิมลงนรก และที่ผมกล่าวไปนั้น คือหลักการของวิชาฟิกห์เบื้องต้น แต่พวกวะฮาบีย์เข้าใจแบบบ้องตื้น กริ้วๆๆ

หะดิษท่านอุมัรและท่านฏอวูสไม่ได้ขัดแย้งกับหะดิษญะฟัรและหะดิษญะรีรเลยครับ และไม่มีอุลามาอ์ท่านใดกล่าวอย่างนั้น พวกวะฮาบีย์คิดเข้าใจกันไปเอง พวกวะฮาบีย์ต้องแยกแยะให้ดีระหว่าง การเลี้ยงอาหารรับแขกที่รวมตัวกันปลอบใจ และเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์ อะสันลองไปถามคนเมืองไทยนะครับว่า เขาทำกันเพื่ออะไร ? "[B]หุกุ่มชาริอะฮ์นั้น มันตามมะกอซิด(เจตนาการกระทำ[/B] " หากบรรดาที่น้องมุสลิมทำอาหารเลี้ยงเพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์ มันก็ยังการทำทานซอดาเกาะฮ์ จะไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก ความดีที่พวกเขาเจตนาตั้งใจจะทำแแบบนั้น มันจะกลับกลายไปนรกที่วะฮาบีย์มอบให้นั้น ไม่ได้หรอกครับ ฮ่าาๆๆ แบบนี้มันค่อวาริจญฺชัดๆ

และพิธีที่พวกวะฮาบีย์อย่างพวกคุณว่านั้น มันคืออะไรหรือครับ ? มันคือ ล้อมวงกัน อ่านอัลกุรอาน ซิกรุลเลาะฮ์ อิฆฟาร ดุอาอ์ให้แก่มัยยิด โดยทำกันพร้อมๆกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น เป็นบิดอะฮ์นรกตามแบบฉบับของวะฮาบีย์หรือครับ?? ขอดีเป็นนรกวะฮาบีย์ไปเสียแล้วครับท่านพี่น้อง แบบนี้คอวาริจญฺชัดๆ สิ่งการอ่านอัลกุรอาน การซิกรุลเลาะฮ์ การอิสติฆฟาร การอุดาอ์แก่มัยยิดนั้น เป็นแค่สุนัตให้กระทำ มันเป็นสิ่งที่ "นาฟิละฮ์" สิ่งดีๆที่สมัครใจกระทำเพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากฟัรดูได้ การซิกรุลเลาะฮ์ การอ่านอัลกุรอานั้น มันหะรอมในเวลาใดบ้างครับ มันหะรอมกระทำในช่วงใดบ้างครับ นบีห้ามกระทำหลังจากฝังคนตายแล้วหรือครับ นบีห้ามกระทำ 3 วัน 7 วัน หรือครับ ? สิ่งที่ศาสนาไม่ได้ห้าม พวกวะฮาบีย์ก็อย่าอุตริหุกุ่มขึ้นมาเองว่า ห้าม หรือหะรอม เพราะสิ่งทีหะรอมก็คือสิ่งที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลหะรอมไม่ใช่หรือ?? แต่นี่วะฮาบีย์มันหุกุ่มหะรอมบิดอะฮ์ตกนรกกับบรรดามุสลิมีน เพื่อสนองลัทธิของตน แบบนี้มันค่อวาริจญฺชัดๆๆ กริ้วๆๆ

_________________
ต่อต้านวะฮาบีย์บิดอะฮ์พันธ์ใหม่
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุหัมมัด
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005
ตอบ: 210


ตอบตอบ: Sat Apr 29, 2006 8:07 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อะสันกล่าวว่า

ท่านนบียอมรับได้อย่างไรในเมื่อท่านสอนอีกแบบ แต่ พวกคุณมาสร้างอีกแบบ ซึ่งผมได้นำเสนอไปแล้ว คือ
การที่ทายาทหรือครอบครัวผู้ตาย ไปเชิญผู้คนมาชุมนุมที่บ้าน แล้วเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่มาชุมนุม หลังจากที่เขาได้ทำพิธี ตะฮลีล และอ่านดุอาอุทิศผลบุญให้ผู้ตาย พิธีกรรมแบบนี้ มันมีแบบอย่าง(สุนนะฮ)มาจากท่านนบีหรือไม่ เปล่าเลย และตอนที่ท่านหญิงเคาะดียะฮ ถึงแก่กรรม ท่านนบี ทำบุญ 3 วัน 7 วัน แบบที่บ้านเราทำไหม เปล่าเลย
ทั้งหมดนี้ อาจจะกล่าวซ้ำบ้าง แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ น่าจะจบด้วยการเอาแบบอย่างของท่านนบี มาเป็นบรรทัดฐาน ในประเด็นนี้ อย่าเอาเรื่องเศาะดะเกาะฮมาอ้าง เพราะท่านนบี ไม่เคยทำเศาะดะเกาะอโดยจัดพิธีกรรมแบบที่ทำกัน จึงเรียนมาเพื่อความเข้าใจ
การทำบุญคนตาย 3 วัน 7 วัน ที่ทำกันในปัจจุบัน มันคือลอดช่องสิงคืโปร์รวมมิตร ยิบนี้นิด ยิบนั้นหน่อย มาประสมปนเป ให้เป็นรูป เป็นร่างขึ้นมา จึงอยากจะถามว่า ท่านอุมัรสั่งเสีย ให้ทำอย่างนั้นหรือ ทำไม เรื่องสำคัญขนาดนี้ ท่านนบีจึงสั่งไม่ตรงกับท่านอุมัร และหะดิษญะรีร ทำไมจึงขัดกับหะดิษออุมัร และหะดิษฏอวูส แล้วรูปแบบล่ะ ใครเป็นผู้กำหนด

ผมขอกล่าวว่า

การที่วะฮาบีย์จำกัดทุกเรื่องบนรูปแบบกับสิ่งที่สุนัตนั้น มันเป็นคำถามที่ผิด มันเป็นคำถามที่ทำให้การอะมัลในสิ่งที่สุนัตสิ่งที่สมัรคใจกระทำแคบลงไป ทั้งที่อิสลามนั้นกว้าง อัลเลาะฮ์ใช้ให้เราทำการซิรุลเลาะฮ์มากๆ ซึ่งมันก็อยู่ในหลักการแบบมูลรวม การที่จะไปเจาะจงว่าหะรอมในเรื่องการกระทำความดีงามนั้น มันต้องมีหลักฐานมายืนยัน การที่เราเอาหลักการที่"ไม่รู้หรือไม่เคยรู้ว่านบีทำ" มาเป็นหลักฐานหะรอม ในการซิกรุลเลาะฮ์ อ่านอัลกุรอาน การตะฮ์ลีล(กล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลฮ์)นั้น มันไม่ใช่หลักการของศาสนาอิสลาม มันมีหลักการของศาสนาด้วยหรือ ที่ระบุว่า "การอ่านอัลกุรอาน การซิกรุลเลาะฮ์ การอิสติฆฟาร การขอดุอาอ์ให้แก่มัยยิด" มันถูกตักศีศ เจาะจงว่าหะรอม ด้วย "หลักฐานอ้างว่าไม่รู้ว่านบีกระทำ" ซึ่งแบบนี้เขาเรียกว่า ( الدليل العدمى) (คือหลักฐานในเชิงที่ไม่มีระบุ) ขำอย่างแรง ที่วะฮาบีย์ เอาหลักฐานที่"ไม่มี" หรือ "หลักฐานที่ไม่รู้ว่านบีกระทำ" มาหะรอมกับ อ่านอัลกุรอาน การซิกรุลเลาะฮ์ อิสติฆฟาร การขอดุอาอ์ ทั้งที่ การอ่านอัลกุรอานนั้น ศาสนาส่งเสริม การซิรุลเลาะฮ์นั้นศาสนาส่งเสริม การอิสติฆฟารนั้นศาสนาส่งเสริม การดุอาอ์นั้นศาสนาส่งเสริมให้กระทำ แต่มันกลับหะรอม เมื่อไปอ่าน ไปซิกิร ไปอิสติฆฟาร และขอดุอาอ์ที่บ้านครอบครัวผู้ตาย "เพราะไม่มีหลักฐาน" ให้กระทำ???? มันเป็นหลักการที่แปลกพิเลนชอบกล และหลักการของบรรดาอุลามาอ์ผู้ทรงธรรมก็ไม่เคยกล่าวกันอย่างนี้ ว่า การที่ไม่มีหลักฐานให้กระทำ คือสามารถมาเจาะจงหะรอมกับสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมให้กระทำ ฮ้าาาา และขอดีหรือสิ่งดีๆเมื่อทำรวมกันแล้ว กลายนรกตามลัทธิของวะฮาบีย์ แบบนี้มันหลักการของค่อวาริจญฺวะฮาบีย์ชัดๆๆ กริ้วๆ

_________________
ต่อต้านวะฮาบีย์บิดอะฮ์พันธ์ใหม่
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุหัมมัด
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005
ตอบ: 210


ตอบตอบ: Sat Apr 29, 2006 8:11 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นายอะดีลกล่าวว่า

อัลฟารูกกล่าวว่า
แต่กระนั้น พวกเราก็ไม่ไปรวมตัวกันปลอบใจและรอให้ครอบมัยยิดทำอาหารเลี้ยงเด็ดขาด และเมืองไทยบ้านเราก็ไม่มีอย่างนั้น เนื่องจากเราก็ยึดหะดิษของท่านญะรีรที่รายงานเกี่ยวกับซอฮาบะฮ์เช่นเดียวกัน
ขอตอบว่า
คนเมืองไทยอ่านแล้วขำกลิ้งเลย กับคำปฏิเสธว่าครอบครัวมัยยิตทำอาหารเลี้ยงนั้นไม่มีในเมืองไทย จริงหรือคุณทนาย

ผมขอกล่าวว่า

ฮ่าๆๆ นายอะด้วน กำลังยกเหตุและดูถูกพี่น้องมุสลิมในเมืองไทยชัดๆ อะด้วน เอ้ย อะดีล เคยเห็นคนเราบ้านเราหม้ายล่ะครับ ที่ครัวมัยยิด สี่ห้าคน หรือหกเจ็ดคน นั่งกันทำอาหารตามลำพังเพื่อเป็นทาน และพี่น้องมุสลิมก็นั่งรอกิน ฮ่าๆๆ ก็คงแต่มีวะฮาบีย์ที่ทำกันอย่างนี้กระม้างง กริ้วๆๆ ฟังไม่ได้ศัพท์อย่าจับมากระเดียดเลยในอาด้วน

นายอะดีลกล่าวว่า

ที่ผมอ้างการโพ้สต์ของคุณนั้นเป็นประเด็นที่บรรดาอุลามาอ์ และมัซฮับทั้ง 4 โดยเฉพาะอิหม่ามชาฟีอี มีจุดยืนในเรื่องนี้ชัดเจนซึ่งคุณเป็นผู้โพ้สต์เอง ผมไม่ทราบว่าความคิดของคุณจะเทียบเท่าระดับมัซฮับทั้ง 4 จึงต้องการให้ผมอ้างอิงด้วยเป็นมัซฮับ 5
อ้าว......ยังงั้นฮาดีสท่านอุมัร และฮาดีสฏอวูสที่พวกคุณเอามาอ้างนั้น ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานกินบุญบ้านคนตายนะซี ฮ่าๆๆ
เอะ......และเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮาดีสของท่านอุมัร กับฮาดีสของท่านฏอวูส ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานกินบุญบ้านคนตาย โดยครอบครัวมัยยิตเป็นเจ้าภาพ แล้วจะเอาไปใส่ในประเด็นไหนละ

ผมขอกล่าวว่า

แต่มันเป็นหลักฐานที่อนุญาติให้เลี้ยงอาหารเป็นทานซอดาเกาะฮ์ให้แก่มัยยิด ไม่ว่าครอบครัวผู้ตายจะทำซอดาเกาะฮ์ให้ หรือบรรดาพี่น้องมุสลิมช่วยกันทำซอดาเกาะฮ์ให้แก่มัยยิด ซึ่งหลักฐานต่างๆก็เอามาจากตำราของอุลามาอ์มัซฮับอะฮ์ลิสซุนนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ และ"นบีไม่เคยห้ามให้ทายาททำการซอดาเกาะฮ์เป็นทานแก่มัยยิด" ฮ่าๆๆ แบบนี้เขาเรียกว่า ฟังไม่ได้ศัพธ์แล้วจับมากระเดียด

4 มัซฮับนั้น เขาไม่ได้หุกุ่มเหมือนกับวะฮาบีย์ที่อยู่นอกคอกจากสี่มัซฮับจากอะฮ์ลิสซุนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ แต่วะฮาบีย์หุกุ่มบิดอะฮ์หะรอมตกนรก ซึ่งมัซฮับวะฮาบีย์นี้ อยู่ในแนวทางของพวกค่อวาริจญฺ ไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ แล้ววะฮาบีย์เป็นมัซฮับที่เท่าไหร่ของคอวาริจญฺหว่า....??? กร๊ากๆ กริ้วๆๆ

_________________
ต่อต้านวะฮาบีย์บิดอะฮ์พันธ์ใหม่
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Sat Apr 29, 2006 12:34 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นายมูหะมัดกล่าวว่า

อะดีลเอ๋ย นายมีสิทธิ์อะไรที่มาว่า ผมโกหกใส่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ทั้งที่ผมก็เอาตัวบทมาจากหนังสือหะดิษ มิชกาฮ์ อัลมะซอบีหฺ ของท่าน อัลติบรีซีย์ ผมในฐานะคนตักลีดเอาหะดิษมาจากอุลามาอ์หะดิษ อย่างเช่น ท่านอัตติบรีซีย์ โดยมีคำว่า داعى إمرأته ซึ่งไม่มีอุลามาอ์ท่านใดกล่าวว่า ท่านอัตติบรีซีย์ ได้กุหะดิษแต่อย่างไร? ดังนั้น ตัวบทหะดิษ จะมี ฏอมีร หรือไม่มีฏอมีร นั้น มันเป็นการให้น้ำหนักหะดิษ ไม่ใช่ ไปกล่าวว่านั่นผิดหรือนี้ถูก และไม่ใช่ไปกล่าวว่า ผู้ที่นำหะดิษมาอ้างนั้น ต้องเป็นผู้ที่โกหกใส่ท่านนบี(ซ.ล.) เนื่องจากหะดิษดังกล่าว มีตัวบทที่ใช้คำที่ไม่เหมือนกันและแตกต่างกัน อย่างเช่นสายรายงานจาก ท่านอะหฺมัด และท่านอบูดาวูด ผู้อธิบายหะดิษที่มีฏอมีรต่างบอกว่า ผู้หญิงคนนั้น คือ ภรรยาของผู้ตาย อย่างเช่น ท่านอัลกอรีย์ แม้กระทั้ง อัลบานีย์เองก็บอกไว้

ผมขอตอบว่า

นายมูหะมัดเอ๋ย อย่าหลอกคนอื่นอยู่เลย ผมบอกแล้วไง ถ้ามีฮาดีสจากต้นฉบับที่มี คำว่า داعى إمرأته ก็เอามาให้ดูหน่อย (ขอย้ำว่าจากต้นฉบับ) ไม่ใช่อ้างจากหนังสือที่คัดลอกเขามาเช่นหนังสือ มิชกาฮ์ อัลมะซอบีหฺ แล้วนายมูหะมัดก็ก๊อปเขามาอ้างอีกทีจะถูกหรือผิดข้าไม่รับผิดชอบซะอย่าง

และที่โม้ว่าสายรายงานจาก ท่านอะหฺมัด และท่านอบูดาวูด ที่มีฏอมีร หมายถึงภรรยาของผู้ตายนะ
เอ้า.....เอาต้นฉบับจากท่านอะหฺมัด และอบูดาวูด มาให้ดูหน่อย อย่ามัวแต่โม้อยู่เลย ฮ่าๆๆๆ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Sun Apr 30, 2006 4:32 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำได้แค่นี้หรือนายมูหะมัด ถามอย่างตอบอย่าง สามวาสองศอกจริงๆ ได้แต่วนเวียนอยู่นั่นแหละว่าเอามาจาก หนังสือ มิชกาฮ์ อัลมะซอบีหฺของท่านอัตติบรีซีย์........ แล้วอัตติบรีซีย์เขาเอามาจากไหนละ ก็อ้างจากติรมีซี อบูดาวูดไม่ใช่รึ แต่ต้นฉบับของติรมีซีย์กับอะบีดาวูด ไม่มีฏอมีร ที่แสดงถึงภรรยาของคนตาย แล้วนายมูหะมัดจะตะแบงหัวชนฝาทำไม ทีบอกว่าตัวเองอยู่ในฐานะตักลีดนั้น ผมเข้าใจว่าตักลีดสไตล์มูหะมัดคือหลับหูหลับตาตาม ถูกก็ตามผิดก็ตาม ฮ่าๆๆ

และนายมูหะมัดยังมั่วนิ่มอีกว่า

ผู้อธิบายหะดิษที่มีฏอมีรต่างบอกว่า ผู้หญิงคนนั้น คือ ภรรยาของผู้ตาย

ถามว่าฮาดีสที่มีฏอมีรนั้นต้นฉบับมันอยู่ที่ไหนเล่า ถามไม่รู้กี่รอบแล้ว ไม่ยอมฉายซะที ถ้ามีจะเก็บไว้ทำไมเอามาให้ดูหน่อย เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมทำให้อยาก ถ้าหาต้นฉบับมาแสดงไม่ได้ก็หยุดเถอะ ดึงดันอยู่ทำไม และอัลฟารูกก็ยอมรับแล้วว่า ครอบครัวผู้ตายเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารนั้น ขอตำหนิและประณาม อย่าเสียเวลาโพ้สต์ซ้ำไปซ้ำมาเลยไม่เกิดประโยชน์ครับท่าน บอกกับคนอ่านตรงๆว่า ต้นฉบับไม่มีครับ จะได้ปิดประเด็นเรื่องกินบุญบ้านคนตายซะที และต่อไปนี้ก็อย่าพยายามกล่าวหาว่านะบีกินบุญบ้านคนตายอีก

อ้อ.....และที่โพ้สต์มายืดยาวนะ เสียเวลาอ่าน มัวแต่ประณามคนโน้นคนนี้ว่าก็ผิดเหมือนกัน ทำได้แค่เนียะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
adeel
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 172


ตอบตอบ: Sun Apr 30, 2006 4:35 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นายมูหะมัดกล่าวว่า

เป็นไงนายอะเดน สิ่งที่น้องอัล-ฟารูกสนทนาในเชิงวิชาการอย่างแท้จริงนั้น ไปไม่รอดแล้วซิเนอะ กร๊ากๆๆ แล้วก็หันมาสนทนากับผมอีก และยังทะลึ่งมาสนทนาโยนนรกให้ผม ฮ่าๆๆ และน้องอัลฟารูกได้ลอยแพผมนั้น เพราะเปิดโอกาสให้ผมสนทนาได้ตามที่ผมต้องการไงล่ะ ฮ่าๆๆ ดังนั้น น้องอัลฟารูก ไม่เกี่ยวและไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง กริ้วๆๆ

นายมูหะมัดเอ๋ย คนเล่นเน็ตเขาโง่หรอก ไอ้คำพูดที่สร้างกระแสชูตัวเองอย่างนี้มีค่าอะไร ก่อนนี้ก็ใช้คำพูดอย่างนี้ลดเครดิตบังอะสันผมก็ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์เลย แต่กลับดูถูกคนอ่านซะอีก

ที่บอกว่าไปไม่รอดแล้วซิ นั้นนะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะผมไม่เคยยกหลักฐานอะไรมาเสนอเลย ได้แต่นำเอาข้อความที่พวกคุณโพสต์ไว้มาสอบถามเท่านั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า คนถามกับคนตอบ ใครจะไปไม่รอด ฮ่าๆๆๆๆ เอิกๆๆ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
fais
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005
ตอบ: 84


ตอบตอบ: Sun Apr 30, 2006 12:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
อ้างคุณมูหัมหมัด
ขำอย่างแรง ที่วะฮาบีย์ เอาหลักฐานที่"ไม่มี" หรือ "หลักฐานที่ไม่รู้ว่านบีกระทำ" มาหะรอมกับ อ่านอัลกุรอาน การซิกรุลเลาะฮ์ อิสติฆฟาร การขอดุอาอ์ ทั้งที่ การอ่านอัลกุรอานนั้น ศาสนาส่งเสริม การซิรุลเลาะฮ์นั้นศาสนาส่งเสริม การอิสติฆฟารนั้นศาสนาส่งเสริม การดุอาอ์นั้นศาสนาส่งเสริมให้กระทำ แต่มันกลับหะรอม เมื่อไปอ่าน ไปซิกิร ไปอิสติฆฟาร และขอดุอาอ์ที่บ้านครอบครัวผู้ตาย "เพราะไม่มีหลักฐาน" ให้กระทำ???? มันเป็นหลักการที่แปลกพิเลนชอบกล และหลักการของบรรดาอุลามาอ์ผู้ทรงธรรมก็ไม่เคยกล่าวกันอย่างนี้ ว่า การที่ไม่มีหลักฐานให้กระทำ คือสามารถมาเจาะจงหะรอมกับสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมให้กระทำ
..............
วิจารน์ว่า
ยิ่งแปลกพิกล สำหรับคนที่พยามยามที่จะกระทำมันแล้วมาตั้งชื่อว่านี้คืออิสลาม ทั้งๆที่รู้ว่าในอิสลามนั้นไม่มี คิดว่าตัวเองกระทำอีบาดะห์ได้ดีไปกว่าท่าน ศาสนฑูต Solallah แล้วยังมาเรียกผู้ที่กระทำอีบาดะห์และพยายามที่จะเรียกร้องเพื่อกลับไปสู่อิสลามที่ท่านนบี Solallah ได้นำมาว่าเป็นพวกที่หลงทางใครกันแน่ที่หลงทาง อิสลามไม่มีหลายๆทางนอกจากทางที่ ท่านศาสนฑูตได้นำมา
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Sun Apr 30, 2006 7:10 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากคุณอะดีล

และอัลฟารูกก็ยอมรับแล้วว่า ครอบครัวผู้ตายเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารนั้น ขอตำหนิและประณาม

ตอบ

ผมเข้ามาอ่านแล้ว ก็จำต้องเข้ามาร่วมสนทนาสักหน่อย เนื่องจากคุณอะดีลกำลังแอบอ้างคำพูดของบังอัลฟารูกโดยอธรรมและผิดเป้าหมายของบังอัลฟารูก สงสัยคุณอะดีลคงจะไม่มีอะไรมาอ้างแล้ว ก็เลยเอาคำกล่าวของบังอัลฟารูกบางตอนแบบด้วนๆมาแอบอ้าง คุณอะดีลครับ จุดมุ่งหมายจากคำพูดของบังอัลฟารูกนั้น คือ"หากครอบครัวมัยยิดสมัครใจและออกทรัพย์ของพวกเขามาทำบุญเป็นทานซอดาเกาะฮ์ให้แก่มัยยิดโดยที่พี่น้องมุสลิมไม่ยอมไปช่วยเหลือหรือไปช่วยทำอาหารให้" นั่นคือจุดมุ่งหมายของบังอัลฟารูก ไม่ใช่อย่างที่คุณจะเอา

อ้างอิงจากคุณอะดีล

แล้วอัตติบรีซีย์เขาเอามาจากไหนละ ก็อ้างจากติรมีซี อบูดาวูดไม่ใช่รึ แต่ต้นฉบับของติรมีซีย์กับอะบีดาวูด ไม่มีฏอมีร ที่แสดงถึงภรรยาของคนตาย แล้วนายมูหะมัดจะตะแบงหัวชนฝาทำไม
อย่าเสียเวลาโพ้สต์ซ้ำไปซ้ำมาเลยไม่เกิดประโยชน์ครับท่าน บอกกับคนอ่านตรงๆว่า ต้นฉบับไม่มีครับ จะได้ปิดประเด็นเรื่องกินบุญบ้านคนตายซะที และต่อไปนี้ก็อย่าพยายามกล่าวหาว่านะบีกินบุญบ้านคนตายอีก

ตอบ

ผมเข้าใจว่า หลักฐานต่างๆที่บังอัลฟารูกยกมาจากหะดิษท่านอุมัรแลหลักฐานการกระทำของบรรดาซอฮาบะฮ์ในการทำการให้อาหารเป็นซอดาเกาะฮ์แก่มัยยิดนั้น มันก็น่าจะที่เพียงพอแล้ว บังอัลฟารูกเขาก็ทราบดีว่า หลักฐานหะดิษที่พาดพิงถึงท่านนบีนั้น มันมีถ้อยคำที่ขัดแย้งกัน และการที่ไม่มีฏอมีรมากล่าวนั้น ย่อมมีน้ำหนักมากกว่า บังอัลฟารูกจึงไม่ยกมาเป็นประเด็นในการกินบุญบ้านครอบครัวผู้ตาย แต่อย่างน้อยหะดิษดังกล่าวก็เป็นหลักฐานที่ชี้ถึงการอนุญาติให้เชิญกินบุญทั่วๆไปได้ โดยไม่ได้จำกัดการกินบุญหลังฝังมัยยิด และบังมุหัมมัดก็บอกไปแล้วหลังจากที่คุณอะดีลท้วงติงตามที่คุณเข้าใจว่า ต้นฉบับมันผิด อันนี้บังมุหัมมัดก็ไม่กล้าที่จะไปบอกว่านั่นผิดนั่นถูก บังเขาบอกเพียงแค่ว่า มีถ้อยคำที่ขัดแย้งกันและแตกต่างกัน โดยยกคำพูดของท่านอัลบานีย์ และบังมุหัมมัดอ้างอิงบอกคำกล่าวของท่านอัลบานีย์ต่อไปว่า สายรายงานของท่านบัยฮะกีย์นั้น มีน้ำหนักมากกว่า ซึ่งหมายถึงสายรายงานที่ไม่มีฏอมีร ดังนั้น เท่าที่ผมอ่านจากคำพูดของบังมุหัมมัดนั้น มันชี้ชัดถึงจุดยืนของบังเขาแล้วหลังจากที่คุณท้วงติงมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงยกอ้างซ้ำๆมาอีก หรือว่ามีเป้าหมายจะโค้นบังมุหัมมัดให้ลง เกี่ยวกับเรื่องหลักฐานที่ไม่ใช่เป็นหลักฐานหลักของเรื่องทำบุญเป็นทานแก่ผู้ตาย ซึ่งมันเป็นการโค้นผิดเวทีแล้ว และคุณก็โค้นบังเขาไม่ลงหรอก เพราะเขาไม่ได้ตะแบง และ หลักฐานจากท่านอุมัรซึ่งเป็รคอลิฟะฮ์อัรรอชิดีนและบรรดาซอฮาบะฮ์นั้นก็ยังคงอยู่ให้ทิ่มแทงหัวใจของพวกคุณอยู่ดีซึ่งหากคุณยังคัดค้านโดยหุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงเรื่องเลี้ยงทำทานแก่มัยยิด และคนอ่านเองเขาไม่ได้โง่หรือทำโง่ในการเข้าใจคำพูดของบังมุหัมมัดหรอกครับคุณอะดีล

เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณคงทราบดีแล้วนะครับว่าทำไมบังมุหัมมัดถึงยกคำชี้ของบังเขามาซ้ำๆ ก็เพื่อที่จะให้คุณเข้าใจคำพูดของบังมุหัมมัดอย่างแท้จริงนั่นเอง และตั้งแต่ที่ผมได้สนทนามา ผมก็ทราบดีว่า คุณเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากมาก และไม่ค่อยอย่างทำความเข้าใจคำกล่าวของคู่สนทนา อย่างเช่นในกรณีสนทนาเรื่องบิดอะฮ์ คุณถามมาตั้ง 5 ครั้ง ทั้งที่เราตอบไปแล้วครั้งแรก เมื่อเป็นเช่นนี้ บังมุหัมมัดจริงโพสต์ซ้ำเพื่อให้คุณอ่านมันอย่างเข้าใจในคำพูดของบังเขาไงล่ะครับคุณอะดีล แต่หากคุณยังทำไม่เข้าใจอีก คุณเข้ามาทวงคำถามซ้ำๆอีก ก็แล้วแต่คุณนะครับ เพราะผมเองก็อยากรู้ข้อที่ 6 คุณวะฮาบีย์บิดเบือนชาริอะฮ์อิสลามที่บังมุหัมมัดจะนำเสนอ หุหุหุ ซึ่งมันเป็นโอากาศของบังมุหัมมัดเขาแล้ว จะลบกระทู้นี้ก็ลบไม่ได้ เพราะวะฮาบีย์กำลังคิดเองว่าได้โอกาศโค่นบังมุหัมมัดอยู่ เมื่อลบไม่ได้ บังมุหัมมัดทำงานได้สะดวกตามที่เขาต้องการ หุหุหุ ส่วนตัวผมเองนั้นไม่ขอออกความเห็นและไม่ขอยุ่งเกี่ยวเหมือนจุดยืนของบังอัลฟารูก แต่เราจะไปห้ามบังมุหัมมัดคงไม่ได้อะน่ะ

การสนทนากันนั้น คุณจะหุกุ่มพวกเราว่า บิดอะฮ์ หรือมั๊วะติซิละฮ์ หรืออะไรก็แล้วแต่เราก็ชินชาเสียแล้ว แต่หากว่าสนทนากันแบบจะเอาผู้ร่วมสนทนาลงนรกกันล่ะก็ บังมุหัมมัดแก่คงไม่ยอมง่ายๆหรอก ยิ่งคุณอะดีลเข้ามาท้วงติงอีกแบบไม่เข้าใจคำพูดของบังมุหัมมัดนั้น งั้นก็รอการบิดเบือนชาริอะฮ์ของวะฮาบีย์ ข้อที่ 6 ก็แล้วกันนะครับ แต่ไม่รู้วันใหนจะบังเขาจะเข้ามาน่ะ

อ้างอิงจากคุณฟาอิส

ยิ่งแปลกพิกล สำหรับคนที่พยามยามที่จะกระทำมันแล้วมาตั้งชื่อว่านี้คืออิสลาม ทั้งๆที่รู้ว่าในอิสลามนั้นไม่มี คิดว่าตัวเองกระทำอีบาดะห์ได้ดีไปกว่าท่าน ศาสนฑูต แล้วยังมาเรียกผู้ที่กระทำอีบาดะห์และพยายามที่จะเรียกร้องเพื่อกลับไปสู่อิสลามที่ท่านนบี ได้นำมาว่าเป็นพวกที่หลงทางใครกันแน่ที่หลงทาง อิสลามไม่มีหลายๆทางนอกจากทางที่ ท่านศาสนฑูตได้นำมา

ตอบ

คุณฟาอิสใจเย็นๆครับ อย่าเพิ่งไปตีโพยตีพายกล่าวหาพวกเราอย่างไม่เป็นธรรมว่า "พวกเราทำอิบาดะฮ์ได้ดีกว่าท่านศาสนทูต" แบบนี้คนที่มีปัญหาเขาไม่พูดกัน คนเราจะหลงนั้น ไม่ใช่เพราะ อ่านอัลกุรอาน ซิกิร อิสติฆฟาร หรือขอดุอาอฺให้แก่มัยยิด เนื่องจากอิสลามก็มีทัศนะส่วนมากที่บอกว่าผลบุญนั้นถึงมัยยิด อิสลามยืนยันว่า การซอดาเกาะฮ์แก่มัยยิดนั้นทำได้ การอ่านอัลกุรอานยิ่งดี การอิสติฆฟารก็ยิ่งสมควร การขออุดาอ์ก็ย่อมเป็นสมองของอิบาดะฮ์ แล้วเมื่อทำรวมกันมันเป็นหนทางของชัยฏอนตามทัศนะของวะฮาบีย์ได้อย่างไร?? ผมจึงขอบอกว่ามันแปลกพิกล

ส่วนการไปรวมตัวบ้านครอบครัวผู้ตายเพื่ออ่านอัลกุรอาน อิสติฆฟาร ซิกิร ขอดุอาอ์แก่มัยยิด และมีการเลี้ยงอาหารเป็นทานแก่มัยยิดนั้น ผมคิดว่าบังอัลฟารูกได้อธิบายไปชัดเจนแล้วนะครับ หากคุณบอกว่าหะรอมหรือบิดอะฮ์ลุ่มหลงนั้นคุณต้องมีหลักฐานแบบตรงไปตรงมาเพื่อมาโค่นล้มผู้ รวมตัวกันทำการอ่าน ซิกิร อิสติฆฟาร ขอดุอาอ์ และเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์
และเป็นที่รู้กันว่า ทุกๆความดีย่อมเป็นผลบุญและมีประโยชน์ให้กับผู้ตาย นี่คือทัศนะอิจญฺมาอ์ของอุลามาอ์ การทำความดีหรืออิบาดะฮ์ต่างๆนั้น มันย่อมถึงทั้งรูปแบบกว้างๆ (มุฏลัก หรือ อาม) และรูปแบบที่ถูกจำกัด รูปแบบที่ถูกเจาะแล้วนั้น (คอศ หรือ มุก๊อยยัด) ก็คือรูปแบบอิบาดะฮ์ที่มีคำสั่งมาระบุเฉพาะไว้แล้ว แต่อิบาดะฮ์ที่มีรูปแบบแบบกว้างๆ (มุฏลัก หรือ อาม) นั้น อิสลามเปิดกว้างให้กระทำได้ ไม่มีว่ารูปแบบใดก็ตามแต่ต้องไม่เป็นรูปแบบที่ขัดกับหลักฐานและหลักการของศาสนาหรือรูปแบบที่ศาสนาระบุหะรอมห้ามให้กระทำหรือมีหลักฐานที่มาเจาะจง(คอซ หรือ มุกอยยัด)หะรอมเฉพาะรูปแบบนั้นๆ แต่การเอาหลักการหรือหลักฐาน "ในเชิงไม่มี" หลักหลักฐาน "ที่ไม่รู้ว่านบีกระทำ" มาเจาะจง (คอซ หรือ มุกัยยิด) หะรอมกับรูปแบบกว้างๆที่ไม่ขัดกับหลักศาสนานั้น ย่อมไม่ใช่เป็นการหลักพิจารณาของหลักวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชาฟิกห์ ที่เรากำลังสนทนาพาทีกันอยู่นี้ ผมนี้เรียนสายชาริอะฮ์ หรือสายฟิกห์ ผมก็ไม่เคยรู้หลักการที่ว่า "หลักฐานที่ไม่มี หรือหลักฐานที่ไม่รู้ว่าท่านทำ" ทำการ (ตักซีซ) เจาะจงหะรอมกับการทำอิบาดะฮ์ที่มีรูปแบบกว้างๆที่ไม่ขัดกับศาสนาเลย

ดังนั้น อิบาดะฮ์รูปแบบกว้างๆ ที่นบีไม่ได้ทำนั้น ย่อมไม่ได้ชี้ถึงหะรอมเสมอไป

และเหมือนกับที่บังอัลฟารูกว่าไว้นั้นแหละครับ มันเป็นการดีหากพวกคุณได้ทำการสนทนเรื้อยๆอย่างนี้ เพื่อพวกเราจะได้ทำการชี้แจงเพิ่มเติมและตอกย้ำความเข้าใจผู้อ่านไปเรื่อยๆ และวันนี้ผมเองก็ได้นำเสนอหลักการฟิกห์อิสลาม เพื่อตอกย้ำความเข้าใจอีกครั้งหนึ่งสำหรับผู้อ่านครับ อัลหัมดุลิลลาห์

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sun Apr 30, 2006 10:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้อง al-azhary กล่าวว่า
ผมเข้าใจว่า หลักฐานต่างๆที่บังอัลฟารูกยกมาจากหะดิษท่านอุมัรแลหลักฐานการกระทำของบรรดาซอฮาบะฮ์ในการทำการให้อาหารเป็นซอดาเกาะฮ์แก่มัยยิดนั้น มันก็น่าจะที่เพียงพอแล้ว บังอัลฟารูกเขาก็ทราบดีว่า หลักฐานหะดิษที่พาดพิงถึงท่านนบีนั้น มันมีถ้อยคำที่ขัดแย้งกัน และการที่ไม่มีฏอมีรมากล่าวนั้น ย่อมมีน้ำหนักมากกว่า
.....................
ตอบ
เมื่อน้องอัล-อัซฮารีย์เข้ามา บังก็ขอแจมด้วย นั่งดูมาตลอด แต่ ไม่ขอสนทนากับนายมุหัมหมัด เพราะเราสนทนากันในฐานะผู้รู้ศาสนาอิสลาม ไม่ใช่กับ จิกโก๋ เรื่อง หะดิษที่อ้างเรื่องนบีกินอาหารบ้านผู้ตาย ดังที่ฝ่ายน้องอัล-อัซฮารีอ้างคือ
وفى المشكاة : داعى إمرأته باإضافة إلى الضمير، قال القارى : أى زوجة المتوفى

"ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมิชากาฮ์ ว่า "ผู้เชิญชวนจาก(เจ้าภาพ)ของภรรยาของเขา" ด้วยการพาดพิงไปยัง สรรพนาม(คือเขา) ซึ่งท่าน อัลกอรีย์ กล่าวว่า มันหมายถึง ภรรยาผู้ตาย " ดู หนังสือ เอานุลมะบูด ชัรหฺ สุนัน อบีดาวูด เล่ม 6 หน้า 220
…………..
จริงๆแล้วในตัวบทเดิมๆของหะดิษนี้ ไม่มีฮาเฏาะมีร โปรดดู
داعى امرأة من قريش
- มุสนัดอิหม่ามอะหมัด เล่ม 5 หน้า 293
- داعي امرأة
- มุนตะกอ็ลอัคบาร เล่ม 2 หน้า 409
- สุนันอนัลลุ้ลเอาฏอร كتاب الغصب والضمانات
- บีดาวูด เล่ม 3 หน้า 244
- نصب الراية في تخريج أحاديث الهداية - فصل فيما يتغير بفعل الغاصب-الجزء الخامس-صفحة 401 - 403
داعى امرأة من قريش
- อัดดารุ้ลกุฏนีย เล่ม 5 หน้า 545
لفظ داعي امرأته باضافة امرأة الى الضمير وهوليس بصحيح
คำที่ว่า داعي امرأته โดยการนำคำว่า “อิมเราะอะตุ้น” ไปประกอบกับคำสรรพนามนั้น มันไม่เศาะเฮียะ - ดู ตุหฟะตุ้ลอะหวะซีย์ เล่ม 4 หน้า 78
- และตัวบทที่เศาะเหียะ คือ คำว่า داعي امرأة ที่เป็นสามานยนาม(อิสมุนนะกิเราะอ) ดู มิชกาตอัลมะศอเบียะ เล่ม 2 /1771-1772
..................
จึงสรุปได้ว่า ท่านนบีไม่ได้กินอาหารที่บ้านผู้ตาย อินชาอัลลอฮ บังจะนำรายละเอียดเกี่ยวกับหะดิษฏอวูสและ หะดิษอุมัรต่อ ในโอกาสต่อไป เพราะ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่..เพื่อลบคำดูถูกของนายมุหัมหมัดว่า "นายอะสัน มาแก้โง่ไปวันๆ ใครกล่าวหาว่า พวกเราเป็นขบถต่อศาสนา อินชาอัลลอฮ อัลลอฮจะให้กลับไปหามันอย่างแน่นอน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sun Apr 30, 2006 10:51 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แก้ไข
- สุนันอนัลลุ้ลเอาฏอร كتاب الغصب والضمانات
- บีดาวูด เล่ม 3 หน้า 244
เป็น

- นัลลุ้ลเอาฏอร كتاب الغصب والضمانات
- สุนันอบีดาวูด เล่ม 3 หน้า 244
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sun Apr 30, 2006 11:18 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ดูเพิ่มเติม
عن كليب عن رجل من الأنصار قال خرجنا مع رسول الله صلى الله عليه وسلم في جنازة فرأيت رسول الله صلى الله عليه وسلم وهو على القبر يوصي الحافر أوسع من قبل رجليه أوسع من قبل رأسه فلما رجع استقبله داعي امرأة فجاء وجيء بالطعام فوضع يده ثم وضع القوم فأكلوا فنظر آباؤنا رسول الله صلى الله عليه وسلم يلوك لقمة في فمه ثم قال أجد لحم شاة أخذت بغير إذن أهلها فأرسلت المرأة قالت يا رسول الله إني أرسلت إلى البقيع يشتري لي شاة فلم أجد فأرسلت إلى جار لي قد اشترى شاة أن أرسل إلي بها بثمنها فلم يوجد فأرسلت إلى امرأته فأرسلت إلي بها فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم أطعميه الأسارى * ( صحيح ) _ أحكام الجنائز 143 - 144 .
الكتاب صحيح سنن أبي داود باختصار السند 2
...............

داعي امرأة แปลว่า "หญิงคนหนึ่ง" ไม่ใช่ภรรยาผู้ตาย ตามที่นายมุหัมหมัดคนฉลาดอ้าง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon May 01, 2006 1:06 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ที่นี้มาดูเกี่ยวกับหะดิษฏอวูสที่ว่า
سفيان قال ، قال طاووس : إن الموتى يفتنون فى قبورهم سبعاَ وكانوا يستحبون أن يطعموا عنهم تلك الأيام

" ท่านซุฟยานกล่าวว่า ท่านฏอวูสกล่าวว่า แท้จริงผู้ตายนั้น พวกเขากำลังถูกสอบถามในกุบูรของพวกเขา ถึง 7 วัน และพวกเขามีความชอบที่จะทำการเลี้ยง(ให้)อาหารแทนจากพวกเขา ในเจ็ดวันดังกล่าว" ท่าน ชัยค์ อัลอะซ่อมีย์กล่าวว่า สายรายงานหะดิษนี้ قوى (มีน้ำหนัก) หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 199
.....................
ผมได้บอกไปแล้วว่า หะดิษข้างต้น เป็นหะดิษมักฏัวะ เอามาเป็นหลักฐานในเรื่องหุกุมว่าด้วยหุกุมเกี่ยวกับศาสนบัญญัติไม่ได้ น้อง al-farook แย้งว่า เป็นหะดิษมัรฟัวะ
حكم الإحتجاج به
المقطوع لا يحتج به فى شيىء من الأحكام الشرعية ، أى ولو صحت نسبته لقائله، لأنه كلام أو فعل أحد المسلمين ، لكن ان كانت هناك قرينة تدل على رفعه ، كقول بعض الرواة : ــ عند ذكر التابعى ــ ( يرفعه ) مثلا ، فعتبر عندئذ له حكم المرفوع المرسل

หุกุ่มการอ้างหลักฐานของหะดิษมักฺฏั๊วะ

หะดิษมักฺฏั๊วะนั้น ไม่สามารถนำมาอ้างเป็นหลักฐานด้วยกับมัน ในสิ่งใดจากบรรดาหุกุ่มของศาสนาได้ หมายถึง หากแม้ว่าจะมีความซอฮิหฺโดยอ้างไปยังผู้กล่าวก็ตาม เพราะว่ามันเป็นเพียงคำพูดหรือการกระทำของคนหนึ่งจากบรรดามุสลิมีนเท่านั้น แต่ว่า หากมันมีสิ่งแวดล้อมที่บ่งถึง มัรฟั๊วะ (ยกอ้างไปถึงนบี) เช่นคำกล่าวของส่วนหนึ่งจากบรรดานักรายงาน ในขณะที่ตาบิอีนได้กล่าว ยกอ้างถึงท่านนบี เป็นต้น ดังนั้น จึงถูกพิจารณามัน ให้เป็นหุกุ่มที่มัรฟั๊วะที่มุรซัล" ดู หนังสือ ตัยซีร มุสฏ่อละหฺ อัลหะดิษ ของ ดร. มะหฺมูด อัลฏอหฺหาน หน้า 134 ตีพิมพ์ มักตะบะฮ์ อัลมะอาริฟ ริยาด ฮ.ศ. 1417 - ค.ศ. 1996
............................
ถ้าจะอ้างว่า หะดิษฏอวูส เป็น หะดิษมัรฟัวะ มุรซัล ก็ไม่สามารถเอามาเป็นหลักฐานได้อยู่ดี เป็นหะดิษมุรซัล ซึ่งเป็นประเภทของหะดิษเฎาะอีฟ หะดิษมุรซัลคือ หะดิษที่ เล่าโดย ตาบิอีน โดยสืบไม่ถึงท่าน นบี ศอลฯ
والمرسل في الأصل ضعيف مردود ، لفقده شرطا من شروط المقبول ؛ وهو إتصال السند ، وللجهل بحال الراوي المحذوف ؛ لاحتمال أن يكون المحذوف غير صحابي ، وإذا كان ذلك ؛ احتمل أن يكون ضعيفا ، وإذا كان ثقة ؛ احتمل أن يكون روى عن تابعي آخر يكون ضعيفا . وإنما ترك الأكثرون الاحتجاج به ، لعدم الطمأنينة إليه للاحتمال المذكور
หะดิษมุรสัลนั้น ในหลักเดิมนั้น เฎาะอิฟ ไม่ถูกรับรอง เพราะมันขาดเงื่องไข จากบรรดาเงื่อนไขที่ได้รับการรับรอง คือ สายสืบต่อเนื่อง และเนื่องจาก ไม่รู้สถานภาพของผู้รายงานที่ถูกตัดออกไป เพราะเป็นไปได้ว่า ผู้ที่ถูกตัดออกไปนั้น ไม่ใช่เศาะหาบะอ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ว่า เขาผู้นั้น(ผู้ที่ถูกตัดออกไป) เฎาะอิฟ (หลักฐานอ่อน)และ เมื่อปรากฏว่า เขาผู้นั้นเชื่อถือได้ ก็เป็นไปได้ว่า มันถูกถูกรายงานมาจากตาบิอีนอีกคน ที่เฏาะอีฟ และความจริง นักวิชาการส่วนมาก ได้ละทิ้ง การเอามัน(หะดิษมุรซัล) มาอ้างอิงเป็นหลักฐาน เนื่องจากไม่มั่นใจ ต่อมัน เนื่องจากการคาดคะเนดังกล่าวว่า – ตัยสีรมุศเฏาะละหหะดิษ หน้า 71
......................
ข้อความของ หะดิษฎอวูสที่กล่าวว่า “และพวกเขามีความชอบที่จะทำการเลี้ยงอาหารแทนจากพวกเขา ในเจ็ดวัน" จึงไม่ทราบว่า “พวกเขาดังกล่าวชื่ออะไรบ้าง” หรือมีใครบ้าง จึงเป็นปริศนา ดำมืดอยู่
قال النووي في التقريب : « ثم المرسل حديث ضعيف عند جماهير المحدثين ، وكثير من الفقهاء وأصحاب الاصول
อันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัตตะรีบว่า “ต่อมา อัลมุรสัล เป็นหะดิษเฎาะอีฟ ในทัศนะนักหะดิษส่วนใหญ่ และอุลามาอฟิกฮส่วนมาก และ บรรดานักวิชาการอุศูลุดดีน – ตัดรีบบุรรอวีย เล่ม 1 หน้า 198
อิหม่ามมุสลิม กล่าวไว้ในคำนำเศาะเหียะมุสลิมว่า
والمرسل من الروايات في أصل قولنا وقول أهل العلم بالاخبار ليس بحجة
และหะดิษมุรซัลนั้น เป็นส่วนหนึ่งจาก บรรดารายงาน ซึ่ง ในรากฐานแห่งทัศนะของเราและนักวิชาการหะดิษ นั้น เอามาเป็นหลักฐานไม่ได้ - เศาะเหียะมุสลิม เล่ม 1 หน้า 30
อิบนุศเศาะละห ได้กล่าวไว้ในคำนำหนังสือของท่านว่า
ثم اعلم أن حكم المرسل حكم الحديث الضعيف ، إلا أن يصح مخرجه بمجيئه من وجه آخر
หลังจากนั้น พึงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริง หุกุมของหะดิษมุรซัลนั้น คือ หุกุมหะดิษเฎาะอีฟ เว้นแต่ว่า ที่มาของมันนั้นถูกต้องด้วยการนำมันมาจากสายรายงานอื่น - มุกอ็ดดิมะฮ อิบนิศเศาะลาห หน้า 136
.....................
เพราะเหตุนี้เองที่ หะดิษฏอวูสจึงไม่มีใครเอามาอ้างอิง สนับสนุน นอกจาก ท่านอัล-หาฟิซฺอิบนุ หะญัร อัลฮัยตะมีย์ แต่ท่านคงไม่ได้หมายถึงพิธีกรรมแบบกินบุญคนตาย ที่เป็นอยู่อย่างปัจจุบันแน่นอน อุลามาอฟิกฮ ส่วนท่านเป็นอย่างไรนั้น เราไม่บังอาจไปจาบจ้วงท่าน เพราะท่านก็มีบุญคุณต่อโลกอิสลาม
...........................
อินชาอัลลอฮ จะนำรายละเอียดเกี่ยวกับหะดิษฎอวูส มานำเสนอ ในโอกาสต่อไป เพราะตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ คงไม่นาน อินชาอัลลอฮ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon May 01, 2006 3:28 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นายมุหัมหมัดครับ
ทีนี้มาดูหะดิษที่โพสต์และแปลโดย ทีมนายมุหัมหมัด เกี่ยวกับหะดิษอุมัร ว่าใครบิดเบือน กันแน่
1. ของนายมุหัมหมัดและคณะ คือ
ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวไว้รายงาน จากท่าน อะหฺมัด บิน มะนีอฺ ซึ่งเขาได้กล่าวรายงานไว้ใน มุสนัดของเขาว่า
عن الأحنف بن قيس قال : كنت أسمع عمر يقول : لا يدخل أحد من قريش فى باب إلا دخل معه ناس ، فلا أدرى ما تأويل قوله حتى طعن عمر فأمر صهيبا أن يصلى بالناس ثلاثا ، وأمر أن يجعل للناس طعاما فلما رجعوا من الجنازة جاءوا وقد وضعت الموائد ، فأسك الناس عنها للحزن الذى هم فيه فجاء العباس بن عبد المطلب ، فقال : ياأيها الناس قد مات...الحديث
" รายงานจากอะหฺนัฟ บิน กัยซฺ เขากล่าวว่า ฉันได้ยินท่านอุมัรกล่าวว่า "คนหนึ่งจากกุร๊อยช์ จะไม่เข้าในประตูหนึ่ง นอกจากว่า ต้องมีผู้คนเข้ามาพร้อมกับเขาด้วย" ดังนั้น ฉันจึงไม่รู้ถึงการตีความคำพูดของท่านอุมัร จนกระทั้ง ท่านอุมัรได้ถูกลอบแทง แล้วท่านอุมัรจึงใช้ให้ ท่านซุฮัยบ์ ทำการนำละหมาด(ญะนาซะฮ์)สามรอบด้วยกัน และท่านอุมัรก็ใช้ให้เขาทำอาหารให้แก่บรรดาผู้คน ดังนั้น ในขณะที่ผู้คนได้กลับมาจาก(ฝัง)ญะนะซะฮ์ พวกเขาก็กลับมา โดยมีบรรดสำหรับอาหารวางอยู่แล้ว แต่บรรดาผู้ตนก็งดที่จะรับประทานนั้น อันเนื่องจากความโศรกเศร้าที่พวกเขาเป็นอยู่ ดังนั้นท่าน อัลอับบาส บิน อบูฏอลิบ ก็มา แล้วกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้เสียชีวิตไปแล้ว....." สายรายงาน "หะซัน" ดู หนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซฺะวาอิด อัลษะมานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 198 หะดิษที่ 709
............................
ที่นี้มาดูของนายอะสัน ที่แก่เรียกว่าไอ้แก่โง่
คือ
وعن الأحنف بن قيس قال كنت أسمع عمر بن الخطاب رضي الله عنه يقول لا يدخل رجل من قريش من باب إلا دخل معه أناس فلا أدري ما تأويل قوله فأمر صهيبا أن يصلي بالناس ثلاثاً وأمر أن يجعل للناس طعاماً تلك الثلاث الأيام حتى يجتمع أهل الشورى على رجلٍ فلما رجعوا من الجنازة جاءوا وقد وضعت الموائد فأمسك الناس للحزن الذي هم فيه فجاء العباس بن عبد المطلب فقال يا أيها الناس قد مات رسول الله صلى الله عليه وسلم فأكلنا وشربنا بعده ومات أبو بكر رضي الله عنه فأكلنا وشربنا بعده أيها الناس كلوا من هذا الطعام فمد يده ومد الناس أيديهم فأكلوا فعرفت تأويل قوله . رواه الطبراني وفيه علي بن زيد وحديثه حسن ، وبقية رجاله رجال الصحيح

รายงานจากอะหฺนัฟ บิน กัยซฺ เขากล่าวว่า ฉันได้ยินท่านอุมัรกล่าวว่า "คนหนึ่งจากกุร๊อยช์ จะไม่เข้าในประตูหนึ่ง นอกจากว่า ต้องมีผู้คนเข้ามาพร้อมกับเขาด้วย" ดังนั้น ฉันจึงไม่รู้ถึงความหมาย คำพูดของท่านอุมัร จนกระทั้ง ท่านอุมัรได้ถูกลอบแทง แล้วท่านอุมัรจึงใช้ให้ ท่านซุฮัยบ์ ทำการนำละหมาดผู้คนสามวัน และท่านอุมัรก็ใช้ให้เขาทำอาหารให้แก่บรรดาผู้คนในสามวันดังกล่าวว่า จนกว่า บรรดาคณะที่ปรึกษา ได้ลงมติ ต่อคนคนหนึ่ง แล้วขณะที่ผู้คนได้กลับมาจาก(ฝัง)ญะนะซะฮ์ พวกเขาก็กลับมา โดยมีบรรดสำหรับอาหารวางอยู่แล้ว แต่บรรดาผู้คนก็งดที่จะรับประทานนั้น อันเนื่องจากความโศรกเศร้าที่พวกเขาเป็นอยู่ ดังนั้นท่าน อัลอับบาส บิน อบูฏอลิบ ก็มา แล้วกล่าวว่า โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้เสียชีวิตไปแล้ว ...แล้วพวกเรากินและดื่มหลังจากท่าน และอบูบักร(ร.ฎ) ได้ตายไปแล้ว แล้วพวกเราได้กิน ได้ดื่มหลังจากท่าน แล้วพวกเราได้กิน ได้ดื่ม หลังจากท่าน โอ้บรรดาผู้คนทั้งหลาย จงกินอาหารนี้เถิด แล้วเขา ได้ยื่นมือของเขา และผู้คนทั้งหลายก็ได้ยื่นมือของพวกเขา แล้วพวกเขาก็รับประทานกัน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงรู้ ความหมายคำพูดของท่าน(อุมัร) – รายงานโดย อัฏฏอ็บรอนีย และในสายรายงานหะดิษนี้ มี อาลี บุตร เซด ซึ่ง หะดิษของเขานั้น อยู่ในระดับที่ดี และบรรดาผู้รายงานที่นอกเหนือจากเขานั้น เป็นบรรดาผู้รายงานที่ถูกต้อง
مجمع الزوائد / ج: 5 ص : 195
.....................
แล้วจุดใหน คือ หลักฐานว่า กินอาหารบ้านผู้ตาย ในขณะนั้นท่านอุมัรยังไม่ตาย แต่ก็ได้รับาดเจ็บสาหัส จึงให้มีคนทำหน้าที่นำละหมาดผู้คนแทน จนกว่าจะมีการลงมติว่าจะให้ใครเป็นผู้นำ นายมุหัมหมัดจอมดีเดือดครับ พวกที่ท่านบิดเบื่อนหรือเปล่าที่แปล คำว่า “عمر فأمر صهيبا أن يصلى بالناس ثلاثا
แล้วท่านอุมัรจึงใช้ให้ ท่านซุฮัยบ์ ทำการนำละหมาด(ญะนาซะฮ์)สามรอบด้วยกัน “
...............
พวกท่านพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับการเลี้ยงอาหารที่บ้านผู้ตาย ทั้งที่ความจริง แปลว่า
ท่านอุมัรได้ใช้ให้สุฮัยบ์นำละหมาด(ฟัรดู)แก่ผู้คนเป็นเวลา สามวัน มาดูหะดิษ เพิ่มเติมซิครับท่าน

صلى عبد الرحمن بن عوف بالناس حينما طعن عمر بن الخطاب،1 وكما أمر عمر صهيباً بالصلاة بالناس بعده في الأيام الثلاثة التي عينها لأهل الشورى، من أجل أن يختاروا الخليفة منهم2
............................
(1) صحيح البخاري ج:3 ص:1354 كتاب فضائل الصحابة: باب قصة البيعة والاتفاق على عثمان بن عفان (رضي الله عنه) . صحيح ابن حبان ج:14 ص:193 كتاب إخباره (صلى الله عليه و سلم) عن مناقب الصحابة رجالهم ونسائهم بذكر أسمائهم (رضي الله عنهم أجمعين): ذكر رضا المصطفى (صلى الله عليه و سلم) عن عثمان بن عفان (رضي الله عنه) عند خروجه من الدنيا. المستدرك على الصحيحين ج:3 ص:97 كتاب معرفة الصحابة: ومن مناقب أمير المؤمنين عمربن الخطاب (رضي الله عنه) مما لم يخرجاه : مقتل عمر (رضي الله عنه) على الاختصار. السنن الكبرى للبيهقي ج:3 ص:113 كتاب الصلاة: جماع أبواب موقف الإمام والمأموم: باب الصلاة بإمامين أحدهما بعد الآخر. المصنف لابن أبي شيبة ج:1 ص:406 كتاب الصلاة: التخفيف في الصلاة من كان يخففها. مسند أبي يعلى ج:5 ص:116. حلية الأولياء ج:4 ص:151 عند الحديث عن عمرو بن ميمون الأودي. كتاب الآثارص:47. الثقات ج:2 ص:238 في استخلاف عمر بن الخطاب. الطبقات الكبرى ج:3 ص:337 في ترجمة عمر بن الخطاب: ذكر استخلاف عمر (رحمه الله) . نيل الأوطار ج:6 ص:158 كتاب الوصايا: باب وصية من لا يعيش مثله. موارد الظمآن ص:537 باب فضل عمر بن الخطاب (رضي الله عنه) . مجمع الزوائد ج:9 ص:76 كتاب المناقب: باب وفاة عمر (رضي الله عنه) . مسند الحارث ج:2 ص:622 كتاب الإمارة: باب ما جاء في الخلفاء. وغيرها من المصادر الكثيرة.

(2) صحيح ابن حبان ج:15 ص:333 كتاب إخباره (صلى الله عليه و سلم) عن مناقب الصحابة رجالهم ونسائهم بذكر أسمائهم (رضي الله عنهم أجمعين): ذكر رضا المصطفى (صلى الله عليه و سلم) عن عمر بن الخطاب (رضي الله عنه) في صحبته إياه. المصنف لابن أبي شيبة ج:7 ص:437 كتاب المغازي: ماجاء في خلافة عمر بن الخطاب. مجمع الزوائد ج:5 ص:195 كتاب الخلافة: باب الخلافة في قريش والناس تبع لهم. الطبقات الكبرى ج:3 ص:61 في ترجمة عثمان بن عفان: ذكر الشورى وما كان أمرهم، ج:3 ص:341 في ترجمة عمر بن الخطاب: ذكر استخلاف عمر (رحمه الله) . فتح الباري ج:7 ص:68. سير أعلام النبلاء ج:2 ص:26 في ترجمة صهيب بن سنان. وغيرها من المصادر
..................
อินชาอัลลอฮ เรื่อง หะดิษอุมัรที่ถูกอ้างไว้กินบุญคนตายนี้ ผมจะให้รายละเอียดในโอกาสต่อไป โปรดรอ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 15, 16, 17 ... 25, 26, 27  ถัดไป
หน้า 16 จากทั้งหมด 27

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.24 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ