ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
“มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... , 21, 22, 23  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Mon Sep 12, 2005 4:44 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
สลามคุณ yoohoo ครับ

ตกลงที่คุณ post มา มันคือ “อะไร” ล่ะครับ ที่ว่า จริง- เท็จ, สาระ – ไร้สาระ, หลักการ-หลักกู ???
เห็นมีแต่ อะไร ลอยไปลอยมา เลยไม่รู้เลยครับว่าคำเฉลยคือ “อะไร” 555
-------------------------------
เรียนถามอาจานแมทท์ สักนิด

ไม่ใช่ชวนคุยนอกเรื่องนะครับ แต่งงกับคำถามเรื่อง บุรุษชุดขาว ที่จานตั้งแง่ว่า “นี่หรือที่ที่มาที่ไปของหลักการศรัทธา ของอิสลาม?” ผมอ่านดูก็ไม่เห็นมีข้อบกพร่องอะไรตรงไหนนี่นา หลักการต่างๆท่านนบีก็สรุปไว้ตรงกับในอัลกุรอาน แต่ไม่ถูกใจอาจานเรื่องชะฮาดะฮฺ 2 ประโยค ถ้าแค่นั้นย้อนกลับไปอ่านเรื่องชะฮาดะฮฺที่ผมชี้แจงไปแล้วอีกทีสิครับ หน้าไหนไม่แน่ใจแต่ตอบไปเมื่อ Fri Nov 05, 2004 9:12 pm ย้อนตามวันเวลาไปละกันครับ ในนั้นได้อ้างแล้วว่าอัลกุรอานก็บอกไว้ชัดเจนว่านบีแต่ละท่านประกาศเหมือนกันหมดว่า ท่านเหล่านั้นเป็นรอซูลมาจากอัลลอฮฺ ผู้ใดที่ศรัทธาก็ให้ปฏิบัติตามที่ท่านสอนสั่ง ตามที่ท่านทำให้ดู จานจะมาดำน้ำโมเมว่าชะฮาดะฮฺมันด้วนอยู่แต่ประโยคเดียวได้งัยล่ะครับ .... น่า..นะ ย้อนกลับไปอ่านใหม่เหอะ

อาจานถามเหมือนกับอ่านภาษาไทยไม่แตกฉานอย่างงั้นแหละ ผมว่าเค้าก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วนะครับ มีคนมาถามคำถามนบี ท่านนบีก็ตอบคำถามให้อย่างชัดเจน ... จบ เศาะหาบะฮฺที่อยู่ตรงนั้นฟังก็เข้าใจ คนรุ่นหลังต่อมาอีก 14 ศตวรรษอ่านรายงานแล้วก็เข้าใจกันทั้งนั้น ไม่มีเห็นมีอะไรน่าสะดุดสักกะนิด ส่วนที่ว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร ผมว่าอาจานน่าจะทราบคำตอบอยู่แล้ว ทำไมต้องแกล้ง...ขอโทษนะครับ...จะพุดตรงๆก็ จะหาว่าไม่สุภาพ หยาบคายอีก เอาเป็นว่า แกล้งไม่รู้ ละกัน จะได้ไม่แสลงหู ผมเชื่อว่ารายงานเต็มๆของหะดีษบทนี้ ไม่มีทางรอดสายตาอาจานไปได้หรอก ใช่ป่าวครับ!
-------------------------------------

พี่น้องทุกท่านครับ
เอางี้นะ ผมจะเสริฟของว่างไปเรื่อยๆละกันนะครับ ใครท้องร้องจ๊อกๆ ก็แวะเวียนมาหยิบไปทานเท่าที่จะเก็บได้นะ ใครมีข้อเสนอแนะ คำวิจารณ์ ท้วงติง หรือต่อเติมอะไร ก็เชิญได้นะครับ (เจ้าของบ้านเค้าคงไม่รังเกียจหรอก ใช่ป่ะ...จาน?) มีแต่ผมมานั่งจ้ออยู่คนเดียวมันเซ็งเหมียนกันนะ...จะบอกให่

จะต่อเรื่อง หะดีษไม่ใช่วะฮี(?) ต่อจากคราวก่อน โดยจะเริ่มในประเด็นว่าเราควรมีท่าทีอย่างไรต่อการรายงานหะดีษ.... จะรับได้หรือไม่ หรือจะปฏิเสธด้วยอคติไปเสียทั้งหมด
ลองอ่านดูครับ .....
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Mon Sep 12, 2005 5:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

-------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-2/2
-------------------------------------------



ประมาณฮิจญ์เราะฮฺที่ 6 มีการรบกับพวกบะนู มุศเฏาะลิก ซึ่งท่านหญิงอฺาอิชะฮฺร่วมไปในการเดินทางครั้งนั้นด้วย หลังจากเสร็จศึกขณะยกทัพกลับท่านนบีได้สั่งให้กองทัพตั้งพักที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งใกล้ตำบลมุร็อยซี ปรากฏว่าเกิดมีปากเสียงกันระหว่างมุฮาญิรีนกับอันศอรด้วยเรื่องเล็กน้อยคือเรื่องการตักน้ำจากบ่อขึ้นมาใช้ แล้วก็บานปลายกลายเป็นกรณีพิพาทใหญ่โตขึ้น แต่ในที่สุดก็ยุติลงได้ หลายท่านคงรู้จัก "อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์" บ่างช่างยุอันดับหนึ่งแห่งหน้าประวัติศาสาตร์อิสลามดี เจ้าคนนี้ที่ร่วมไปในกองทัพครั้งนั้นด้วยก็สบโอกาสจากกรณีพิพาทนั้น แอบยุยงชาวอันศอรให้ถอดถอนความช่วยเหลือแก่ท่านนบีเสีย ทั้งๆที่เรื่องน่าจะจบไปได้แล้ว

ท่านนบีทราบเรื่อง ดังนั้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ท่านจึงสั่งให้รีบออกเดินทางกลับมะดีนะฮฺทันทีโดยไม่หยุดพักที่ไหนเลยเพื่อให้ทหารอ่อนเปลี้ยและไม่มีเวลาคุยเรื่องไร้สาระ แต่คนเลวๆที่มีสมองไว้คิดแต่เรื่องชั่วๆ มันย่อมหาทางสร้างฟิตนะฮฺได้อยู่เสมอ

ตอนที่กองทัพตั้งพักที่บ่อน้ำนั้น ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺได้ออกไปทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก ก่อนที่จะเข้ากระโจมเสลี่ยงหลังอูฐ ก็พบว่าสร้อยคอขาด ลูกปัดที่ร้อยไว้ตกหายไป จึงย้อนกลับไปค้นหา .... กลับมาอีกที อ้าว .... ไปกันหมดแล้ว นางจึงนั่งรออยู่ตรงนั้น คิดว่าพอพวกเขารู้ว่านางไม่ได้มากับกองทัพด้วยก็คงจะกลับมารับ

แต่ทางทัพใหญ่ไม่รู้เรื่องครับ ด้วยเหตุที่จำเป็นต้องรีบเดินทางกลับมะดีนะฮฺเพื่อสยบแผนร้ายของ อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์ จนกระทั่งเที่ยงของอีกวันหนึ่ง แต่ท่านนบีก็ได้กำหนดให้มีพลระวังหลัง คือ ศ็อฟวาน บินมุอัฏฏ็อล คอยรั้งท้ายเพื่อตรวจสอบว่ามีสัมภาระสิ่งของอะไรตกหล่นอยู่ข้างหลังบ้าง ศ็อฟวานตามทัพใหญ่มาถึงจุดตั้งพักก็พบท่านหญิงอฺาอิชะฮฺรอจนหลับอยู่ตรงนั้น ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺบอกว่า ....

"รุ่งเช้าเมื่อศ็อฟวาน บินมุอัฏฏ็อล อัสสุละมี ผ่านมาเห็นก็จำฉันได้ เพราะเขาเคยเห็นฉันก่อนที่บทบัญญัติหิญาบจะถูกกำหนดแก่เรา เมื่อเขาเห็นฉันเขาก็หยุดอูฐของเขาและกล่าวว่า 'อินนาลิลลาฮฺ วะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน...ภรรยาของท่านรอซูลถูกทิ้งอยู่ที่นี่' ฉันจึงสะดุ้งตื่นขึ้นและรีบเอาผ้าคลุมหน้า เขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลย แล้วเขาก็ให้อูฐของเขามาหมอบข้างๆฉัน ส่วนตัวเขาไปยืนอยู่ข้างๆขณะที่ฉันขึ้นบนหลังอูฐ แล้วเขาก็เดินจูงอูฐมาจนทันกองทัพประมาณเที่ยงวัน .... "

และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งประกายความคิดชั่วๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมองของมนุษย์เลวๆคนนั้น....
ข่าวลือในทางเสื่อมเสีย เรื่องท่านหญิงอฺาอิชะฮฺกับศ็อฟวาน แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งท่านนบีเองก็ยังไม่รู้จะสะกัดอย่างไรเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานใดๆมาแก้ต่างให้ทั้งสองได้เลย จนท่านหญิงอฺาอิชะฮฺเองเมื่อทราบว่าตนตกเป็นเหยื่อของข่าวลือบัดสีนั้น นางร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลอยู่หลายวันหลายคืนทีเดียว แต่อัลลอฮฺมิทรงทอดทิ้งผู้ศรัทธา.....

لَوْلَا إِذْ سَمِعْتُمُوهُ ظَنَّ الْمُؤْمِنُونَ وَالْمُؤْمِنَاتُ بِأَنفُسِهِمْ خَيْرًا وَقَالُوا هَذَا إِفْكٌ مُّبِينٌ

"ไฉนเล่า เมื่อบรรดามุอ์มินชายและมุอ์มินหญิงได้ยินเรื่องนั้น จึงไม่คิดถึงตัวของพวกเขาในทางที่ดี และกล่าวว่านั่นคือเรื่องโกหกอย่างชัดแจ้ง"
(24:12)

คืออายะฮฺที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมาเพื่อเตือนสติแก่บรรดามุอ์มินในยุคนั้น ว่าได้ยินอะไรมา ก่อนที่เชื่อหรือฟันธงอย่างใดอย่างหนึ่ง จงไตร่ตรองให้ดี ให้ถ่องแท้เสียก่อนว่ามันเป็นไปได้ไหมกับบุคคลคนนั้นที่จะประพฤติตัวเสื่อมเสียดังที่เป็นข่าวลือ

และผมก็ขออนุญาตนำอายะฮฺเดียวกันนี้มาเตือนสติผู้สืบสานเจตนารมณ์ของอับดุลอฮฺ อิบนิอุบัยย์ ที่ตั้งหน้าตั้งตากล่าวหาปรักปรำบรรพชนในยุคแรกๆของอิสลามว่า....

หลังจาก ท่าน รอซูลมูฮัมมัด ได้ สิ้น ชีวิตไป แล้ว บรรดา เพื่อน ฝูง ผู้ที่เคย ติด ตาม และผู้ รับใช้ ท่าน รอซูล ผู้ซึ่ง ต้อง การ หาชื่อเสียง ให้ กับตัวเอง โดยการใช้ ความสัมพันธ์ ในอดีต ที่มีอยู่กับ ท่าน รอซูล มูฮัมมัด ก็ เริ่ม การ บอกเล่า เรื่อง ราว เกี่ยว กับ ท่าน รอซูล เป็น ต้น ว่า, “ฉันได้ เห็น ท่านรอซูลทำอย่างนี้ และ ฉันได้ ยิน ท่านรอซูลกล่าวว่าอย่างนั้น”, เป็นที่เห็น อย่างชัดแจ้งว่า ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ที่ท่าน รอ ซูล กล่าว หรือ กระทำ ไม่ ใช่ ข่าวสาร.. ที่พระองค์ อัลลอฮ์.. ต้องการ จะให้ท่านรอซูลนำมาประกาศ ให้ แก่ ปวง ชน (บัญญัติ ใน อัลกุรอาน) (matt ตอบ: Sun Feb 27, 2005 11:14 pm)

การบรรยายลักษณะของบรรดาเศาะหาบะฮฺด้วยข้อความว่า "บรรดา เพื่อน ฝูง ผู้ที่เคย ติด ตาม และผู้ รับใช้ ท่าน รอซูล ผู้ซึ่ง ต้อง การ หาชื่อเสียง ให้ กับตัวเอง โดยการใช้ ความสัมพันธ์ ในอดีต ที่มีอยู่กับ ท่าน รอซูล มูฮัมมัด ก็ เริ่ม การ บอกเล่า เรื่อง ราว เกี่ยว กับ ท่าน รอซูล" นั้น เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า เป็นทัศนคติที่ขัดกับข้อเตือนสติในอายะฮฺนี้อย่างสุดขั้วทีเดียว พิจารณาให้ดีจะเข้าใจได้ทันทีว่านั่นคือการประณามท่านรอซูลโดยตรงว่าผลงาน และสิ่งที่ท่านทุ่มเทมาตลอด 23 ปีของท่านนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะเพียงเมื่อท่านจากไป บรรดาผู้สนับสนุนรอบกายท่านก็กลับขั้ว กลายเป็นปฏิปักษ์ผู้ทำลายอิสลามให้ย่อยยับไปกับตาในทันทีด้วยการกุเรื่องเท็จ ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาสั่งสอนชนรุ่นต่อๆมา

มองให้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง นั่นคือการปรักปรำถึงอัลลอฮฺในการเลือกเฟ้นบุคคลอย่างมุฮัมมัด มาทำหน้าที่สำคัญนี้แล้วไม่สำเร็จ...นะอูซุบิลลาฮฺ!

จากคำใส่ร้ายดังกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากท่านนบีจากไปเปรียบได้กับ อาคารหลังหนึ่งที่พอส่งมอบแก่เจ้าของผู้ว่าจ้างปั๊บ เพียงโดนฝนเข้านิดเดียว หลังคาก็รั่ว น้ำนองพื้น ใช่แต่เท่านั้น น้ำหนักน้ำที่เจิ่งนองและซึมเข้าสู่วัสดุทำพื้นและฝาผนังก็เพิ่มขึ้นจนทำให้คานหัก เสาเคลื่อน หลังคาพังถล่ม พังพาบไปทั้งหลัง..... แน่นอนที่สุด วิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้างจนเสร็จถึงเวลาส่งมอบ คือจำเลยที่หนึ่งที่ต้องถูกฟ้องร้อง และบริษัทที่เป็นผู้คัดเลือกวิศวกรผู้นั้นส่งมาควบคุมงาน ต้องเป็นจำเลยที่สองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผลงานชิ้นสำคัญของท่านนบี ก็คือ สามารถสร้างประชาชาติที่ดีที่สุดที่ถูกอุบัติขึ้นแก่มนุษยชาติ ที่กำชับกันในความดีงาม ห้ามปรามกันในเรื่องชั่วช้า และพวกเขาศรัทธาอย่างแน่วแน่มั่นคงต่ออัลลอฮฺและสาส์นของพระองค์ อย่างน้อยที่สุดก็สืบทอดคุณสมบัติอันบริสุทธิ์นั้นต่อเนื่องยาวนานมาถึง 3 ชั่วคน (เศาะหาบะฮฺ - ตาบิอีน - ตาบิอิตตาบิอีน)

ยังมิทันที่กลิ่นไอแห่งอิสลามอันบริสุทธิ์จะจางลง ชนรุ่นต่อมาที่ยังคงความเข้มข้นแห่งจิตวิญญาณอิสลามและเล็งเห็นถึงอันตรายของสภาพที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป จึงได้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับการกอบกู้เก็บรวบรวมคำสั่งคำสอน การปฏิบัติของท่านนบี เพื่ออนุรักษ์ไว้แด่ชนรุ่นหลัง เพื่อให้เราสามารถที่จะประกอบศาสนากิจ และใช้ชีวิตตามครรลองของท่านนบีได้ประหนึ่งได้เห็นท่านปฏิบัติโดยตรง

คลำทางอะไรได้บ้างมั้ยครับ เกี่ยวกับทัศนคติอันพึงมีต่อบรรพชนมุสลิม?

///////////// - To be continued - /////////////

Matt : Thu Jun 30, 2005 11:57 am
ความจริงผมว่าจะรอตอบคุณ AlGhurabaจนกว่าคุณจะอธิบาย เรื่อง อะหะดีษ ในห้องนั้น จนจบ เสียก่อน ตามอ่านอยู่ทุกวัน ได้ ความรู้ ดี เหมือน กับอยู่ ในสมัยท่านรอซูล เลยทีเดียว ไว้คุณเล่าจบ ทุกเรื่องก่อน แล้ว ผมจะเข้า ไป คุยต่อ


ท่านนบีสอนไว้เมื่อเกือบ 15 ศตวรรษก่อนว่า
“เครื่องหมายมุนาฟิก 3 ประการ คือ
- เมื่อมันพูด...มันโกหก ตอแหล
- เมื่อมันให้สัญญา... มันก็หักหลังเขา
- เมื่อมันได้รับความไว้วางใจ(อะมานะฮฺ)... มันก็ทรยศ”


AlGhuraba ตั้งประเด็น เรื่องการละหมาดตามอัลกุรอาน ควรจะเริ่มด้วยคำถามว่า
1 การละหมาดเริ่มมาแต่สมัยใดกันแน่
2 ทราบได้อย่างไรว่าอัลลอฮฺสั่งให้เราละหมาดวันละกี่เวลา


Count down : Running
-------------------------------------------
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
yoohoo
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004
ตอบ: 65


ตอบตอบ: Mon Sep 12, 2005 7:13 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

สลามครับ คุณ AlGhuraba
ขอเฉลยปริศนาคาใจนะครับ อะไรคือหลักการ? นั่นก็คือ ข้อมูลหลักฐานที่ได้มาจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) คีอ อัล-กุรอาน และที่ได้จากร่อซู้ลของพระองค์ ก็คือ ซุนนะห์ของท่านร่อซู้ล มุฮัมหมัด (ซ.ล.) ตามที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ได้กำชับให้ยึดถือ และปฏิบัติตามทั้งสองสิ่งนี้ ซึ่งก็คือหลักการแห่งอิสลาม ส่วนผู้ที่ไม่ยอมรับในซุนนะห์ของท่านร่อซู้ล (ซ.ล.) ก็คือ พวกที่ใช้หลักกูไงละครับ ซึ่งมันมิใช่หลักการแห่งอิสลาม แล้วเราจะยอมรับกันได้อย่างไร ???

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Tue Sep 13, 2005 3:54 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-2/3
------------------------------------------------


เมื่อมีคดีความใดๆเกิดขึ้น สิ่งที่อัลลอฮฺทรงกำชับแก่พวกเราคือ....

وَإِنْ حَكَمْتَ فَاحْكُم بَيْنَهُمْ بِالْقِسْطِ إِنَّ اللّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ

และหากเจ้าตัดสิน ก็จงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ที่ยุติธรรม
(5:42)

ความยุติธรรมในการตัดสินคดีความนั้นคือคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับผู้ทำหน้าที่ตัดสินคดี แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอครับ สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง หรืออาจจะเรียกว่าเป็นตัวช่วยให้การตัดสินนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องก็คือ พยานหลักฐาน

เกี่ยวกับพยานนี้มีกล่าวไว้ในหลายๆกรณี เช่น กรณีหญิงมีชู้

وَاللاَّتِي يَأْتِينَ الْفَاحِشَةَ مِن نِّسَآئِكُمْ فَاسْتَشْهِدُواْ عَلَيْهِنَّ أَرْبَعةً مِّنكُمْ فَإِن شَهِدُواْ فَأَمْسِكُوهُنَّ فِي الْبُيُوتِ حَتَّىَ يَتَوَفَّاهُنَّ الْمَوْتُ أَوْ يَجْعَلَ اللّهُ لَهُنَّ سَبِيلاً
และบรรดาผู้ที่กระทำสิ่งลามก(มีชู้)จากในหมู่สตรีของพวกเจ้านั้น จงให้มีพยานสี่คนของพวกเจ้ายืนยันนางเหล่านั้น ....
(4:15)

เมื่อมีการกล่าวหาปรักปรำในเรื่องบัดสี อัลลอฮฺทรงวางมาตรการไว้ว่า ....

لَوْلَا جَاؤُوا عَلَيْهِ بِأَرْبَعَةِ شُهَدَاء فَإِذْ لَمْ يَأْتُوا بِالشُّهَدَاء فَأُوْلَئِكَ عِندَ اللَّهِ هُمُ الْكَاذِبُونَ

ไฉนเล่า พวกเขาจึงไม่นำพยานสี่คนมายืนยันข้อกล่าวหานั้น แต่ถ้าไม่สามารถนำพยานมายืนยันได้ ดังนั้นพวกเหล่านั้นในทรรศนะของอัลลอฮฺ มันคือจอมโกหก
(24:13)

ใครที่ดูแลสมบัติของเด็กกำพร้าช่วงที่เขายังเป็นเด็กอยู่ พอโตพอที่จะรับผิดชอบดูแลทรัพย์เองได้ ก็ให้ส่งมอบทรัพย์นั้นคืนแก่เขาไป ตอนนั้นอัลลอฮฺทรงสั่งว่า ...

فَإِذَا دَفَعْتُمْ إِلَيْهِمْ أَمْوَالَهُمْ فَأَشْهِدُواْ عَلَيْهِمْ وَكَفَى بِاللّهِ حَسِيبًا
ครั้นเมื่อเจ้ามอบทรัพย์ของพวกเขาคืนแก่พวกเขา ก็จงให้มีพยานยืนยันแก่พวกเขา และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสอบสวน
(4:6)

ในการทำธุรกรรมกู้หนี้ยืมสิน อัลลอฮฺทรงกำหนดให้มีการทำสัญญา และข้อกำหนดหนึ่งที่สำคัญยิ่งในการนั้น คือ ....

وَاسْتَشْهِدُواْ شَهِيدَيْنِ من رِّجَالِكُمْ فَإِن لَّمْ يَكُونَا رَجُلَيْنِ فَرَجُلٌ وَامْرَأَتَانِ مِمَّن تَرْضَوْنَ مِنَ الشُّهَدَاء أَن تَضِلَّ إْحْدَاهُمَا فَتُذَكِّرَ إِحْدَاهُمَا الأُخْرَى وَلاَ يَأْبَ الشُّهَدَاء إِذَا مَا دُعُواْ
และพวกเจ้าจงให้มีพยานสองคนจากบรรดาผู้ชายในหมู่พวกเจ้า แต่ถ้าปรากฏว่าไม่มีผู้ชายสองคน ดังนั้นก็ให้เป็นผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงสองคนจากผู้ที่พวกเจ้าพึงใจในหมู่พยานทั้งหลาย .... และบรรดาพยานก็จงอย่าปฏิเสธเมื่อพวกเขาถูกเรียกร้อง
(2:282)

เมื่อหย่าแล้ว จะอยู่หรือจะไปก็ต้องมีพยาน .....

فَإِذَا بَلَغْنَ أَجَلَهُنَّ فَأَمْسِكُوهُنَّ بِمَعْرُوفٍ أَوْ فَارِقُوهُنَّ بِمَعْرُوفٍ وَأَشْهِدُوا ذَوَيْ عَدْلٍ مِّنكُمْ وَأَقِيمُوا الشَّهَادَةَ لِلَّهِ

เมื่อพวกนางอยู่จนครบกำหนดของพวกนางแล้ว ก็จงยับยั้งพวกนางให้อยู่โดยดี หรือให้พวกนางจากไปโดยดี และจงให้มีพยานสองคนที่เป็นผู้เที่ยงธรรมในหมู่พวกเจ้า และจงให้การเป็นพยานนั้นเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺ....
(65:2)

หรืออย่างในกรณีของท่านนบียูสุฟตอนที่ถูกใส่ความว่าลวนลาม "ท่านผู้หญิง" !

قَالَ هِيَ رَاوَدَتْنِي عَن نَّفْسِي وَشَهِدَ شَاهِدٌ مِّنْ أَهْلِهَا إِن كَانَ قَمِيصُهُ قُدَّ مِن قُبُلٍ فَصَدَقَتْ وَهُوَ مِنَ الكَاذِبِينَ
وَإِنْ كَانَ قَمِيصُهُ قُدَّ مِن دُبُرٍ فَكَذَبَتْ وَهُوَ مِن الصَّادِقِينَ

เขา(ยูสุฟ)กล่าวว่า นางได้ยั่วยวนขืนใจฉัน และพยานคนหนึ่งในบ้านของนางได้เป็นพยานว่า หากเสื้อของเขาถูกดึงขาดทางด้านหน้า ดังนั้นนางได้พูดจริง และเขาอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ
แต่ถ้าเสื้อของเขาถูกดึงขาดทางด้านหลัง ดังนั้นนางได้กล่าวเท็จ และเขาอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง
(12:26-27)

ไม่ว่าจะเป็นพยานในกรณีไหนก็ตาม ทั้งหมดคือ "มนุษย์" ครับ มนุษย์ที่มีหู มีตา แต่ไม่มีหาง!
พวกเขาคือมนุษย์ที่มีสติปัญญาที่จะคิด ไตร่ตรอง มีสมองที่จะจดจำเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ และมีปากที่จะบอกกล่าว เล่าเรื่องราวความเป็นไปที่ได้ประสบพบเห็นมา ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในบทบัญญัติของอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงประทานมาเป็นวะฮีย์ในอัลกุรอานว่า ให้เรารับฟังและเชื่อถือ ถ้าพวกเขาถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติดังนี้

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ كُونُواْ قَوَّامِينَ بِالْقِسْطِ شُهَدَاء لِلّهِ وَلَوْ عَلَى أَنفُسِكُمْ أَوِ الْوَالِدَيْنِ وَالأَقْرَبِينَ

โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย จงเป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม จงเป็นพยานเพื่ออัลลอฮฺ แม้ว่าจะเป็นอันตรายแก่ตัวของพวกเจ้าเอง หรือผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและญาติใกล้ชิดก็ตาม
(4:135)

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ كُونُواْ قَوَّامِينَ لِلّهِ شُهَدَاء بِالْقِسْطِ وَلاَ يَجْرِمَنَّكُمْ شَنَآنُ قَوْمٍ عَلَى أَلاَّ تَعْدِلُواْ

โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย จงเป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม จงเป็นพยานเพื่ออัลลอฮฺ และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใดทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม
(5:8)

يِا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ شَهَادَةُ بَيْنِكُمْ إِذَا حَضَرَ أَحَدَكُمُ الْمَوْتُ حِينَ الْوَصِيَّةِ اثْنَانِ ذَوَا عَدْلٍ مِّنكُمْ أَوْ آخَرَانِ مِنْ غَيْرِكُمْ

ผู้ศรัทธาทั้งหลาย การเป็นพยานระหว่างพวกเจ้า เมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้าขณะมีการทำพินัยกรรมนั้น คือสองคนที่เป็นผู้เที่ยงธรรมในหมู่พวกเจ้า หรือคนอื่นสองคนที่มิใช่ในหมู่พวกเจ้า ....
(5:106)

นี่คือบัญญัติที่ระบุไว้ชัดเจนในอัลกุรอานให้มุสลิมทั้งโลก ทุกยุค ทุกสมัย ยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่ตอนที่อัลกุรอานถูกประทานมา จวบจนถึงกิยามะฮฺ ใช่ว่าจะให้ใช้เฉพาะ 3 ชั่วอายุคนในช่วงแรกๆที่เต็มไปด้วย"หัวกะทิ"ของบรรดาผู้ศรัทธาเท่านั้น แม้แต่สมัยนี้ที่ผู้คนก็ไม่ค่อยจะ "ศอและห์" เท่าไหร่ บัญญัตินี้ก็ยังคงมีผลบังคับใช้ ให้เชื่อ ให้รับฟังคำให้การ คำบอกเล่าของบุคคลในการยืนยันความเป็นไปของเหตุการณ์ "ถ้า" เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติ อย่างนี้ - อย่างนี้ - อย่างนี้ ..... มิใช่หรือ?

บรรดา "รอวี" แต่ละท่านที่สืบทอดรายงานหะดีษอันกอปรด้วยบุคคลรุ่นเศาะหาบะฮฺมาจนถึงอิมามผู้รวบรวมและกลั่นกรองบันทึกรายงานเหล่านั้น ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์ที่ชั่วช้าเลวทรามที่สุดบนหน้าแผ่นดินในสายตาของอาจานแมทท์กระมัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิมามบุคอรี ทั่นจึงได้จงเกลียดจงชังพวกเขาเสียเต็มประดา ถึงขนาดกล้าที่จะปฏิเสธบัญญัติของอัลลอฮฺที่จะรับฟัง "คำให้การ" ของบุคคลเหล่านั้น

อย่าลืมว่า การกล่าวหาปรักปรำใครสักคน มันต้องมีหลักฐาน ต้องมีพยาน ไม่ใช่เพียงแค่ตวัดลิ้นว่า ... "บรรดา เพื่อน ฝูง ผู้ที่เคย ติด ตาม และผู้ รับใช้ ท่าน รอซูล ผู้ซึ่ง ต้อง การ หาชื่อเสียง ให้ กับตัวเอง โดยการใช้ ความสัมพันธ์ ในอดีต ที่มีอยู่กับ ท่าน รอซูล มูฮัมมัด ก็ เริ่ม การ บอกเล่า เรื่อง ราว เกี่ยว กับ ท่าน รอซูล" แล้วมันจะมีน้ำหนักพอที่จะตราหน้าบุคคลเหล่านั้นว่าชั่วช้าสารเลว ว่าเป็นผู้ทำลายศาสนา เพื่ออ้างเป็นเหตุให้ปฏิเสธหะดีษทั้งหมด ทั้งๆที่ไม่เคยรู้เลยว่า บรรพชนเหล่านั้นท่านทุ่มเท ท่านกลั่นกรองคัดสรร ท่านมีมาตรการที่เข้มงวดและรัดกุมเพียงใด กว่าจะบันทึกสักรายงานหนึ่งลงในเศาะเฮียะห์หรือสุนันของท่าน

นำหลักฐานมาสิครับ.."ทั่นยอดทนาย"...ว่าคนไหนสักคนในสายรายงานหะดีษเศาะเฮียะห์ที่มันเลว คนไหนชั่วช้าไม่น่าคบ คนไหนประพฤติตัวเสื่อมเสียไม่มีอะมานะฮฺ หรือคนไหนเชื่อถือไม่ได้ ..... ??????
แต่ขอให้อ่านอายะฮฺนี้ประกอบด้วยก็แล้วกัน .....

وَالَّذِينَ يَرْمُونَ الْمُحْصَنَاتِ ثُمَّ لَمْ يَأْتُوا بِأَرْبَعَةِ شُهَدَاء فَاجْلِدُوهُمْ ثَمَانِينَ جَلْدَةً وَلَا تَقْبَلُوا لَهُمْ شَهَادَةً أَبَدًا وَأُوْلَئِكَ هُمُ الْفَاسِقُونَ

และบรรดาผู้ที่กล่าวหาปรักปรำผู้บริสุทธิ์ แล้วมันไม่นำพยานสี่คนมายืนยัน จงเฆี่ยนมันผู้นั้นแปดสิบทีและไม่ให้พวกเจ้ารับชะฮาดะฮฺจากมันอีกเลยตลอดไป พวกเหล่านี้แหละมันคือ "ฟาสิกฺ"
(คนที่หลุดออกนอกกรอบแห่งอิสลามไปแล้ว)
(24:4)

///////////// - To be continued - /////////////

Matt : Thu Jun 30, 2005 11:57 am
ความจริงผมว่าจะรอตอบคุณ AlGhurabaจนกว่าคุณจะอธิบาย เรื่อง อะหะดีษ ในห้องนั้น จนจบ เสียก่อน ตามอ่านอยู่ทุกวัน ได้ ความรู้ ดี เหมือน กับอยู่ ในสมัยท่านรอซูล เลยทีเดียว ไว้คุณเล่าจบ ทุกเรื่องก่อน แล้ว ผมจะเข้า ไป คุยต่อ


ท่านนบีสอนไว้เมื่อเกือบ 15 ศตวรรษก่อนว่า
“เครื่องหมายมุนาฟิก 3 ประการ คือ
- เมื่อมันพูด...มันโกหก ตอแหล
- เมื่อมันให้สัญญา... มันก็หักหลังเขา
- เมื่อมันได้รับความไว้วางใจ(อะมานะฮฺ)... มันก็ทรยศ”


AlGhuraba ตั้งประเด็น เรื่องการละหมาดตามอัลกุรอาน ควรจะเริ่มด้วยคำถามว่า
1 การละหมาดเริ่มมาแต่สมัยใดกันแน่
2 ทราบได้อย่างไรว่าอัลลอฮฺสั่งให้เราละหมาดวันละกี่เวลา


Count down : Running
-------------------------------------------------------------
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Wed Sep 14, 2005 11:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

--------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-2/4
--------------------------------------------------


ในสองตอนที่ผ่านมา เราสรุปอะไรได้บ้างครับ?
1 ให้พยายามมองบุคคลในแง่ดีไว้ก่อน ก่อนที่จะปรักปรำใคร นอกจากจะมีหลักฐานชัดเจนจึงค่อยฟันธงไปตามพฤติกรรมที่ปรากฏว่าผิดจริง เช่นกุลสตรีอย่างท่านหญิงอฺาอิชะฮฺ หรือสุภาพบุรุษอย่างศ็อฟวาน เป็นไปได้หรือที่จะประพฤติตัวเสื่อมเสียดังข่าวลือจากคำใส่ร้ายของ อับดุลลอฮฺ อิบนิอุบัยย์ บินสะลูล กับพวก .... ในทำนองเดียวกัน บรรดาเศาะหาบะฮฺผู้ใกล้ชิดท่านนบี ร่วมเป็นร่วมตาย ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการมาด้วยกันจนสามารถสถาปนาระบอบอิสลามบนหน้าแผ่นดินให้มั่นคงเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้งหนึ่ง ตลอดจนบรรดาผู้สืบทอดหะดีษทั้งหมดในสายรายงานเศาะเฮียะห์ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นบุคคลที่ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่งการเป็นพยาน ย่อมไม่มีมุสลิมที่แท้จริงคนใดหาญกล้าไปปรักปรำท่านเหล่านั้นโดยไร้หลักฐานพยานยืนยันอย่างแน่นอนว่าพวกเขากล่าวเท็จต่อรอซูล นอกจาก มันต้องเป็นมุนาฟิกฺเยี่ยงเดียวกับ อับดุลลอฮฺ อิบนิอุบัยย์ บินสะลูล ต้นแบบของมันนั่นเอง

2 อัลลอฮฺทรงอนุมัติให้เรายอมรับคำให้การ หรือคำบอกเล่าต่างๆจากบุคคลที่มีคุณสมบัติดีและน่าเชื่อถือ ในการยืนยันว่าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร หรือใครกล่าวอะไร แล้วให้เราสรุปความไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คำสอนใดๆก็ตามจากท่านนบี คำตัดสิน คำสั่ง คำห้าม หรือแม้แต่ท่าทีใดๆก็ตามของท่านนบีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าท่าน หรือแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อื่นแต่เมื่อได้ถูกรายงานไปให้ท่านได้รับทราบแล้วท่านมีท่าทีอย่างไรในเรื่องนั้น ย่อมถือว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงเมื่อมีผู้รายงานที่เชื่อถือได้สืบทอดเรื่องราวเหล่านั้นต่อเนื่องมาถึงเรา
.... นี่คือคำตอบที่ชัดเจนพอหรือยังต่อประเด็นที่ถามว่า .... " สิ่ง ที่เรา เชื่อ นั้น มัน มี ความ จริง อยู่ หรือ ไม่ และเป็นกล่าวของท่านรอซูลที่แท้จริงหรือไม่?"

เมื่อสรุปได้แล้วว่า หะดีษเศาะเฮียะห์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ประเด็นต่อไปที่ถามว่า .... "ถ้าเป็น เรื่อง เล่า ต่อๆ กันมา แล้ว และ ไม่ มี ความ จริง" ก็เป็นอันตกไป เพราะอันไหนที่มันเก๊ มันเท็จ มันปลอม นักวิชาการเค้าก็ reject ไปตั้งแต่ต้นแล้ว อาจจะไม่ถึงกับ ตัดทิ้ง ลบทิ้ง หรือเผาทำลาย แต่จะ classify ไว้ในอันดับบ๊วยๆ ประเภท เฎาะอีฟ-อ่อนหลักฐาน หรือเป็น "เมาฎัวะอฺ" หะดีษเก๊ หะดีษยกเมฆ หรืออะไรก็แล้วแต่กระบวนการกลั่นกรองหะดีษจะว่ากันไป ที่ยังเก็บไว้อยู่นี่เข้าใจว่า อย่างน้อยก็เพื่อเป็นหลักฐานว่า มีการปลอมแปลงมาในลักษณะนี้ ว่าอย่างนี้ โดยบุคคลผู้นี้ ฯลฯ อะไร

หรือ .... ในกรณีหะดีษเฏาะอีฟ .... เราอาจจะพบว่ามีการนำหะดีษประเภทนี้มาใช้ประกอบการขยายความอัลกุรอานบ้าง หรือในการส่งเสริมการทำความดีบางอย่าง ก็โปรดเข้าใจด้วยว่า ที่นำมาใช้นั้นมิใช่ใช้เป็นหลักฐานชี้ขาดในการตัฟสีร แต่ใช้เพื่อเสริมกับรายงานอื่นๆที่มีฐานะแข็งแรงอยู่แล้ว และได้พิจารณาแล้วว่าเนื้อหาสาระของหะดีษเฏาะอีฟนั้นๆไม่ขัดกับตัวบทหลัก คืออัลกุรอานและหะดีษเศาะเฮียะห์อื่นๆ

จะขอยกตัวอย่างจาก ข้อความทั้งหมดของอาจานแมทท์ที่ post ลงบนเวปตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่เราอ่านกันมา จะเป็นที่ muslimthai.com ที่ xxxusa ที่ pantip.com หรือว่าที่ มรดกฯ นี่ก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะสรุปกันว่าอาจานทั่นเป็นคนเช่นไรก็ตาม ก็ใช่ว่าทุกถ้อยคำ ทุกประโยคของทั่นจะเป็นเท็จไปเสียทั้งหมด ก็ยังมีครับ...บางส่วนที่เป็นความจริง.... บางส่วนที่เป็นเรื่องดีๆ... บางส่วนที่สอดคล้องสานรับกับคำสอนในอิสลาม.... แต่ที่บอกกัน เตือนกันให้ระวังให้ดีก็เพราะว่าสิ่งที่ถูกแต่งหน้า โรยผักชีมาว่ามันงดงาม มันจริง มันถูกต้องนั้น แท้ที่จริงมันปน มันคลุก มันเคลือบแฝงมาด้วยความเท็จและแผนการทำลายล้างนั่นเอง

หะดีษเฏาะอีฟก็เช่นกัน ที่มันเฏาะอีฟ-อ่อนหลักฐาน ก็ด้วยเหตุแห่งความบกพร่องบางประการของผู้สืบทอดหะดีษ"บางคน" ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า หะดีษนั้นจะต้องเป็นโมฆะ หรือหะดีษนั้นจะต้องเป็นเท็จเสมอไป หรือรับฟังไม่ได้เอาเสียเลย แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่อาจยืนยันได้ว่ามันเป็นจริง จึงต้องมาดูที่เนื้อหา มะตัน ตัวบทของมันว่ามีอันใดที่ขัดแย้งกับตัวบทหลักๆหรือไม่ ถ้ามันไม่ขัด ก็พอจะเก็บไว้ใช้เสริมกับหลักฐานอื่นๆได้ แต่แน่นอนครับ ไม่ใช่นำมาใช้เป็นหลักฐานอันดับแรกในการอรรถาธิบายขยายความอัลกุรอาน หรือเป็นตัวบทหลักในการประกอบอิบาดะฮฺ

ดังนั้นถ้าตัดประเด็นหะดีษเฏาะอีฟออกไป ตัดเมาฏัวะอฺ ออกไป ตัดประเภทที่ใช้ไม่ได้ออกไป ฯลฯ มันก็เหลือแต่หะดีษที่มีตัวบทหลักฐานชัดเจน ผู้สืบสายรายงานล้วนเป็นคนดีมีคุณภาพ เป็นที่เชื่อถือได้ แล้วยังเหลือข้ออ้างอันใดอีกหรือที่จะปฏิเสธฐานะความเป็นจริง การมีอยู่จริงของปรากฏการณ์ตามที่กล่าวในตัวบทหะดีษนั้นๆ อันได้แก่หะดีษในระดับเศาะเฮียะห์และหะสัน?

จาก Episode-VII : นบีไม่พูดตามอารมณ์ นั้น เราก็ได้ข้อสรุปโดยไม่มีข้อโต้แย้งไปแล้ว ... (เพราะนานแล้วไม่เห็นแย้งอะไร ก็คงต้องสรุปกันตรงๆอย่างนี้ละ) ว่า... สิ่งที่ท่านนบีพูด นบีสอน นบีชี้แจง สั่งใช้ ห้ามปราม หรือยอมรับ ฯลฯ เหล่านั้นคือสิ่งที่ท่านนบีประมวลออกมาอย่างถูกต้องตามที่ท่านได้รับวะฮีย์มา โดยไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นๆจะต้องถูกจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในอัลกุรอานด้วย

แล้วมื่อมาถึงภาคจบที่ Episode-II ตรงนี้เราก็ได้ข้อสรุปอีกประการหนึ่งว่า รายงานเศาะเฮียะห์ที่สืบย้อนกลับไปถึงท่านรอซูลนั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากผู้สืบสายรายงานทุกคนเป็นที่เชื่อถือได้ ดังนั้นในประเด็นที่ 3 ของอาจานแมทท์ที่ว่า.... "ถ้าเรา อ้างว่า “อะหะดีษ” ของ บุคอฮ์รีย์ เป็น “วะฮีย์” หรือ การพูด หรือ การ กระ ทำ ที่เกิดมาจาก การ ดลใจของ อัลลออ์" .... จึงต้องขอตอบว่า นั่นมิใช่เป็นเพียง "คำอ้าง" ตามที่ทั่นอาจานพยายามจะเบี่ยงเบนนัยยะ แต่มันคือ FACT คือข้อเท็จจริง คือตัวบทหลักฐานที่นำไปใช้ยืนยันได้ว่าอัลลอฮฺทรงมีวะฮีย์ให้ท่านนบีมาบอก มาสอน มาปฏิบัติอิบาดะฮฺ และบังคับใช้กฏหมายของพระองค์ในสังคมมนุษย์อย่างนี้จริง เป็นส่วนที่ช่วยขยายความอายะฮฺต่างๆในอัลกุรอานให้ชัดเจนและลงลึกในรายละเอียดว่าอายะฮฺต่างๆนั้นมีเป้าหมายอย่างไร ขอบเขตแค่ไหน และจะนำไปใช้ในทางปฏิบัติอย่างไร

ดังนั้นจะเห็นว่าการที่อาจานย้ำว่า ....
มุสลิมสามารถที่จะปฏิเสธ “เรื่องบอกเล่าที่อ้างว่า เป็นคำพูดหรือการปฏิบัติของ ท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จากปากคำของผู้อื่น เช่น เรื่องบอกเล่าต่างๆ ใน “อะหะดีษ บุคอรี”
(Matt-อยากรู้จังค่ะ นิกายของอิสลามในไทยน่ะค่ะ : Sun Jul 31, 2005 11:10 pm )

จึงเป็นเพียงความเข้าใจเลื่อนลอยที่ขัดกับอัลกุรอาน นอกจากจะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลผู้รายงานนั้นขาดคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในการเป็นพยาน

ในประเด็นสุดท้าย ข้อ 4 ของอาจานแมทท์ ... "แล้ว นำสิ่งนี้ ขึ้น เทียบเท่า อัลกุรอาน โดย นำ มา อธิบาย อัล กุรอาน หรือ จัดอันดับ อยู่ ใน “กีตาบุลลอฮ์” แล้ว การกระทำเช่นนั้น เป็น การ สร้าง ภาคี หรือ “ชิริก” " นี่ก็คงต้องให้ย้อนกลับไปอ่านมหากาพย์ชุดนี้ใหม่ตั้งแต่ Episode-I-III-IV-V-VI-VII-VIII จนมาสรุปกันตรงนี้ Episode-II ว่ามีตรงไหนบ้างที่ "มุสลิมจริงๆ" เขายกอัลหะดีษ(เศาะเฮียะห์) ขึ้นเทียบเท่าอัลกุรอานตามที่ "ลิ่วล้อคนขยันแห่งลัทธิ Submission ผู้แฝงตนอ้างตัวว่าเป็นมุสลิม" กล่าวหา???


///////////// - To be continued - /////////////

Matt : Thu Jun 30, 2005 11:57 am
ความจริงผมว่าจะรอตอบคุณ AlGhurabaจนกว่าคุณจะอธิบาย เรื่อง อะหะดีษ ในห้องนั้น จนจบ เสียก่อน ตามอ่านอยู่ทุกวัน ได้ ความรู้ ดี เหมือน กับอยู่ ในสมัยท่านรอซูล เลยทีเดียว ไว้คุณเล่าจบ ทุกเรื่องก่อน แล้ว ผมจะเข้า ไป คุยต่อ


ท่านนบีสอนไว้เมื่อเกือบ 15 ศตวรรษก่อนว่า
“เครื่องหมายมุนาฟิก 3 ประการ คือ
- เมื่อมันพูด...มันโกหก ตอแหล
- เมื่อมันให้สัญญา... มันก็หักหลังเขา
- เมื่อมันได้รับความไว้วางใจ(อะมานะฮฺ)... มันก็ทรยศ”


AlGhuraba ตั้งประเด็น เรื่องการละหมาดตามอัลกุรอาน ควรจะเริ่มด้วยคำถามว่า
1 การละหมาดเริ่มมาแต่สมัยใดกันแน่
2 ทราบได้อย่างไรว่าอัลลอฮฺสั่งให้เราละหมาดวันละกี่เวลา


Count down : Running

===========================
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Thu Sep 15, 2005 11:55 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

-----------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-2/5
-----------------------------------------------------

อัลกุรอานถูกบิดเบือนไปใช้เป็นหลักฐานเท็จอย่างไร
----------------------
ตัวอย่าง จากซูเราะฮฺ อัลญาซียะอฺ อายะ6

تِلْكَ آيَاتُ اللَّهِ نَتْلُوهَا عَلَيْكَ بِالْحَقِّ فَبِأَيِّ حَدِيثٍ بَعْدَ اللَّهِ وَآيَاتِهِ يُؤْمِنُونَ

“นี่คือบัญญัติ(โองการ) ของพระเจ้า ที่เราบรรยาย ให้เจ้า อย่างแท้จริง แล้วยังจะมีคำกล่าวอื่นใดอีกเล่าที่เขาเหล่านั้น จะศรัทธา
”

“ฮาดีษ” ในที่นี้ หมายถึง คำกล่าว, คำบรรยาย, ความคิด ข้อความ , นิทาน , คำพูด ฯลฯ พระองค์อัลลออ์ทรงทราบดีว่าหลังจากท่านรอซูลล์ สิ้นชีวิตไปแล้ว จะมีผุ้สรางสิ่งแปลกปลอม ขึ่นมาแทนอัลกุรอาน ท่านจึงส่งอายยัตนี้มา “เราได้กำหนดให้มีศัตรูของศาสดาทุกๆท่านคือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญิน , ซึ่งจะ สมคบกัน เพื่อที่จะหลอกลวงด้วยการตกแต่งคำพูดฒ และหากใช่ว่าไม่เป็นความประสงค์จองพระเจ้าของท่านแล้ว, พวก(ชัยฏอนมนุษย์ และญิน) ก็ไม่อาจทำได้? เจ้าจงอย่าสนใจกับพวกเขาและสิ่งหลอกลวงของเขา.....โดยเหตุนี้ปล่อยให้จิตสำนึกของผู้ที่ไม่เชื่อในวันอาคีเราะห์เชื่อถือสิ่งหลอกลวงเหล่านั้น ยอมรับและปฎิบัติตามสิ่งเหล่านั้น(ที่เขากระทำกันอยู่) (6:112-113)

(matt ตอบ: พ. มิย. 09, 2004 9:41 am)
================================

เอาละครับ..... ถึงเวลาที่จะต้องมาไล่เรียงทำความเข้าใจอายะฮฺที่ถูกนำมา "บิดเบือนความหมาย" ให้กลับกลายเป็นเครื่องมือบ่อนทำลายอิสลามอายะฮฺนี้กันเสียทีดีกว่า ผมได้พูดไว้ นาาาาาาานนนนนนน แล้วเหมือนกันว่า ว่างๆ จะนำอายะฮฺนี้มาชี้แจงให้รู้กันไปเลย ว่าอาจาน ดำน้ำ เก่งขนาดไหน

ตามที่จานแมทท์หยิบมาอ้างเพื่อใช้ปฏิเสธ "หะดีษ" ว่า ...
จากซูเราะฮฺ อัลญาซียะอฺ อายะ6

تِلْكَ آيَاتُ اللَّهِ نَتْلُوهَا عَلَيْكَ بِالْحَقِّ فَبِأَيِّ حَدِيثٍ بَعْدَ اللَّهِ وَآيَاتِهِ يُؤْمِنُونَ
“นี่คือบัญญัติ(โองการ) ของพระเจ้า ที่เราบรรยาย ให้เจ้า อย่างแท้จริง แล้วยังจะมีคำกล่าวอื่นใดอีกเล่าที่เขาเหล่านั้น จะศรัทธา”


โดยย้ำว่า.... “ฮาดีษ” ในที่นี้ หมายถึง คำกล่าว, คำบรรยาย, ความคิด ข้อความ , นิทาน , คำพูด ฯลฯ

หลายต่อหลายครั้งที่เวลามีใครนำอายะฮฺอัลกุรอานมาคัดค้านการบิดเบือนของ 'จาน 'จานก็จะบอกให้เขาย้อนไปอ่านมาตั้งแต่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ว่ามันมีเนื้อเรื่องเกี่ยวพาดพิงถึงอะไรอยู่ นี่ก็เช่นกัน ผมขออภัยถ้าจะทำให้ขุ่นเคือง ถ้าผมจะบอกให้ย้อนกลับไปอ่านซูเราะฮฺนี้ใหม่ตั้งแต่ต้นซูเราะฮฺเหมือนกัน อัลลอฮฺทรงตรัสอย่างนี้ครับ ว่า...

أعوذبالله من الشيطان الرجيم
بِسْمِ اللهِ الرَّحْمنِ الرَّحِيمِ
حم {1}
تَنزِيلُ الْكِتَابِ مِنَ اللَّهِ الْعَزِيزِ الْحَكِيمِ {2}
إِنَّ فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ لَآيَاتٍ لِّلْمُؤْمِنِينَ {3}
وَفِي خَلْقِكُمْ وَمَا يَبُثُّ مِن دَابَّةٍ آيَاتٌ لِّقَوْمٍ يُوقِنُونَ {4}
وَاخْتِلَافِ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ وَمَا أَنزَلَ اللَّهُ مِنَ السَّمَاء مِن رِّزْقٍ فَأَحْيَا بِهِ الْأَرْضَ بَعْدَ مَوْتِهَا وَتَصْرِيفِ الرِّيَاحِ آيَاتٌ لِّقَوْمٍ يَعْقِلُونَ {5}

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
1 ฮามีม
2 การประทานลงมาของคัมภีร์นี้จากอัลลอฮฺ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
3 แท้จริงในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น แน่นอนย่อมมีสัญญาณหลากหลายสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา
4 และในการบังเกิดพวกเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงให้สัตว์แต่ละชนิดแพร่สะพัดออกไปนั้นย่อมเป็นสัญญาณหลากหลายสำหรับหมู่ชนผู้เชื่อมั่น
5 และการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และสิ่งที่อัลลอฮฺทรงหลั่งลงมาจากฟากฟ้าเพื่อเป็นปัจจัยยังชีพนั้น พระองค์ทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาโดยน้ำฝนหลังจากการแห้งแล้งของมัน และการเปลี่ยนทิศทางของลมย่อมเป็นสัญญาณหลากหลายสำหรับหมู่ชนผู้ใช้สติปัญญา


อ่านแล้วเข้าใจมั้ยครับว่าอัลลอฮฺทรงกล่าวถึงเรื่องอะไร?
ครับ... อัลลอฮฺทรงชี้ให้เห็น ทรงให้เราพินิจพิจารณาถึงการสร้างของพระองค์ ให้รำลึกถึงพระเมตตาและบุญคุณของพระองค์ ให้ใคร่ครวญถึงเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการบันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดินและสรรพสิ่งต่างๆระหว่างทั้งสองนั้น ซึ่งพระองค์สร้างไว้ให้มีความแตกต่างหลากหลายทั้งรูปร่างลักษณะ ต่างชนิด ต่างประเภทมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมลาอิกะฮฺ ญิน มนุษย์ สัตว์ต่างๆ นกหลายพันธุ์ สัตว์ป่าหลากเผ่า สัตว์ล่าเนื้อ หรือแมลงอีกเป็นพันๆชนิด กระทั่งในท้องทะเลอันเวิ้งว้างก็ยังมีอะไรๆอีกเยอะแยะ หรือการเกิดกลางวัน-กลางคืนก็ดี เด๋วมืด-เด๋วสว่าง ..... ใครหน้าไหน ทำได้อย่างงี้มั่ง?

แหงนหน้าขึ้นฟ้า จะเห็นหมู่เมฆล่องลอยอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่เป็น "กลีบเมฆ" ที่ใครบางคนชอบอาศัยหลบลี้กำบังกาย ( ตามสำนวนไทยน่ะครับ...อิ อิ ) และที่เป็นกลุ่มก้อนหนาทึบดำทะมึนนำมาซึ่งข่าวดีและข่าวร้าย บ่อยครั้งนะครับที่ท่านนบีมีสีหน้าเป็นทุกข์และกระวนกระวายใจเมื่อเห็นกลุ่มเมฆหนาทึบเช่นนี้ ในขณะที่บรรดาเศาะหาบะฮฺต่างดีใจเพราะพวกเขาคิดว่านั่นมันหมายถึงความชุ่มฉ่ำกำลังมาเยือนดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนั้นในไม่ช้านี้ ท่านนบีอธิบายด้วยคำพูดของพวกอาดที่อัลลอฮฺเล่าไว้ในอัลกุรอานว่า

فَلَمَّا رَأَوْهُ عَارِضًا مُّسْتَقْبِلَ أَوْدِيَتِهِمْ قَالُوا هَذَا عَارِضٌ مُّمْطِرُنَا بَلْ هُوَ مَا اسْتَعْجَلْتُم بِهِ رِيحٌ فِيهَا عَذَابٌ أَلِيمٌ

ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นเมฆทึบเคลื่อนมายังที่ราบลุ่มในหมู่บ้านของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า นี่คือเมฆที่จะให้น้ำฝนแก่เรา
เปล่าเลย ..... มันคือสิ่งที่พวกเจ้าเร่งขอให้เกิด มันคือลมพายุ ในนั้นมีการลงโทษอันเจ็บปวด
(46:24)

ท่านนบีเกรงว่าประวัติศาสตร์สมัย "อาด" มันจะกลับมาซ้ำรอยน่ะครับ เมื่อมีคนชั่วทำลายบทบัญญัติของอัลลอฮฺแล้วพอมีใครออกมาบอก ออกมาเตือน มันก็ยังดื้อด้าน ดันทุรัง ไม่รับฟัง! แต่ถ้าจานแมทท์ไม่เชื่อ..ด้วยคิดว่านี่เป็น หะดีษที่แปลว่า "นิทานหลอกเด็ก" ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะมันยังไม่ใช่ประเด็นตรงนี้ .... ผ่านไปก่อนก็ได้

จากกลุ่มเมฆนั้น...ถ้ามันตกลงมาเป็นฝนที่ยังความชุ่มฉ่ำ สดชื่น ยังให้พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆเจริญงอกเงย สรรพสัตว์ต่างๆได้ดื่มได้กิน อัลลอฮฺทรงเรียกมันว่า "ริซกี"

แล้วก็....สายลม! ..... ลมเหนือ ลมใต้ ลมตะวันออก ลมตะวันตก ลมบก ลมทะเล ลมร้อน ลมเย็น ฯลฯ บางทีก็เป็นลมฝนที่ชุ่มฉ่ำ บางทีก็เป็นลมที่แห้งจัดแล้งจัดจนทำให้สรรพสิ่งต่างๆที่มันพัดผ่านกลายเป็นประหนึ่งสิ่งที่ถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้แหละครับ คือ อายาต ซึ่งก็เป็นคำที่มีหลายนัยยะเช่นเดียวกับคำว่า "หะดีษ" ที่จานไม่ยอมแปลนั่นละครับ อายาตเหล่านี้อัลลอฮฺทรงหยิบยกขึ้นมาเพื่อเตือนให้มนุษย์รำลึกถึงบุญคุณ ความเมตตาและความยิ่งใหญ่ของพระองค์อัลลอฮฺ และนั่นคือ "หมู่ชนผู้ใช้สติปัญญา" เท่านั้นที่จะตระหนักได้ถึงการเป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงองค์เดียวของอัลลอฮฺ ไม่มีภาคีใดๆคู่เคียงพระองค์อย่างเด็ดขาด

แล้วต่อจากนั้นจึงเป็นการท้าทายกุฟฟาร มุชริกีนทั้งหลายที่ดื้อด้านต่อสัญญาณต่างๆ อายาตต่างๆ ที่อัลลอฮฺทรงให้พิจารณาใคร่ครวญว่า...

تِلْكَ آيَاتُ اللَّهِ نَتْلُوهَا عَلَيْكَ بِالْحَقِّ فَبِأَيِّ حَدِيثٍ بَعْدَ اللَّهِ وَآيَاتِهِ يُؤْمِنُونَ

เหล่านั้นคือ "อายาต" ต่างๆของอัลลอฮฺที่เราได้สาธยายมันแก่เจ้าด้วยความจริง ดังนั้น ด้วยคำบอกเล่าอันใดอีกเล่าหลังจากอัลลอฮฺและ "อายาต" ต่างๆของพระองค์ที่พวกเขาจะศรัทธากัน?
(45:6)

คำบอกกล่าวเล่าขานอันใดอีกเล่าที่พวกเจ้าจะนำมาค้าน ว่า.....
..... อัลลอฮฺไม่ได้สร้าง... ทั้งๆที่อัลลอฮฺบอกว่า พระองค์สร้าง
..... ยังจะค้านอีกหรือว่าอัลลอฮฺไม่ได้บันดาลกลางวัน-กลางคืน... ทั้งๆที่อัลลอฮฺบอกว่า พระองค์ทำ
..... ยังจะค้านอีกหรือว่าอัลลอฮฺไม่ได้ทรงส่งฝนมาให้... ทั้งๆที่อัลลอฮฺบอกว่า มันเป็นอำนาจของพระองค์
..... ยังจะคิดอีกหรือว่ามีเจ้าอื่นๆ มีเทพยดา ฟ้า ดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนอีกที่ทรงอำนาจเยี่ยงเดียวกับพระองค์ หรือแม้จะเป็นรองก็ตามในการควบคุมความเป็นไปต่างๆในหล้าโลก... ทั้งๆที่อัลลอฮฺบอกว่า มีพระองค์องค์เดียวเท่านั้น ไม่มีภาคีใดๆคู่เคียงพระองค์เป็นอันขาด
..... และยังจะเอาคำใครมาค้านการยืนยันของพระองค์ขนาดนี้อีกหรือ?

"หะดีษ" ในที่นี้จึงหมายถึง การโต้เถียงใดๆก็ตามที่แสดงถึงการปฏิเสธเดชานุภาพของอัลลอฮฺ ปฏิเสธการเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวของพระองค์ ปฏิเสธพระเมตตาที่พระองค์ทรงประทานให้แก่มัคลูกทั้งหลายของพระองค์
ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลยกับ หะดีษ ที่จานแมทท์พยายามเฉไฉบิดเบือนว่า

“ฮาดีษ” ในที่นี้ หมายถึง คำกล่าว, คำบรรยาย, ความคิด ข้อความ , นิทาน , คำพูด ฯลฯ
พระองค์อัลลออ์ทรงทราบดีว่าหลังจากท่านรอซูลล์ สิ้นชีวิตไปแล้ว จะมีผุ้สรางสิ่งแปลกปลอม ขึ่นมาแทนอัลกุรอาน ท่านจึงส่งอายยัตนี้มา


เพราะ หะดีษ ที่อ้างถึงคำสอน การกระทำ การห้าม การใช้ และการยอมรับหรือการปฏิเสธของท่านนบีต่อการกระทำต่างๆของบรรดาเศาหาบะฮฺ นั้นเราทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีแต่การเน้นให้เชื่อมั่นศรัทธาต่ออัลลอฮฺองค์เดียว ให้ยอมรับในเดชานุภาพที่พระองค์ทรงบันดาลให้ปรากฏ ให้สำนึกในบุญคุณและพระเมตตาที่พระองค์ทรงประทานแก่เรา ไม่มีตรงไหนเลยที่สอนสิ่งที่ค้านกับบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจของท่านนบีก็มิได้รอดพ้นไปจากพระเนตรและการตรวจสอบของอัลลอฮฺเลยแม้เพียงชั่วพริบตา ดังนั้นจานแมทท์ยังกล้าที่จะกล่าวหาอีกหรือว่าท่านนบีละเมิดฝ่าฝืนคำสั่งอัลลอฮฺ ท่านนบีทำอะไรตามอำเภอใจ หรือที่ท่านนบีสอนสั่งนั้นมีทั้งผิดทั้งถูกปนเปคละเคล้ากัน ด้วยการตัดบทว่าคำสอนที่ถูกต้องคือเฉพาะแต่ข้อความที่เป็นอัลกุรอานเท่านั้น อันใดที่ท่านนบีพูดหรือกระทำนอกเหนือจากตัวอักษรที่ปรากฏระหว่างสองปกของอัลกุรอานนั้นล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น ???

ด้วยเหตุนี้แหละอาจาน ด็อกฯแมทท์ จึงพยายามเลี่ยงที่จะแปลคำว่า หะดีษ และ อายาต และพยายามคลุกเคล้าเหมารวมทั้งเรื่องจริง เรื่องเท็จให้มันปนกันจนแยกไม่ออก เพื่อเอาไว้ใช้ลวงผู้คนให้สับสน ตามคำบงการของสำนัก submission ของนาย ด็อกฯรอชาด เคาะลีฟะฮฺ ( لعنهم الله )

///////////// - To be continued - /////////////

Matt : Thu Jun 30, 2005 11:57 am
ความจริงผมว่าจะรอตอบคุณ AlGhurabaจนกว่าคุณจะอธิบาย เรื่อง อะหะดีษ ในห้องนั้น จนจบ เสียก่อน ตามอ่านอยู่ทุกวัน ได้ ความรู้ ดี เหมือน กับอยู่ ในสมัยท่านรอซูล เลยทีเดียว ไว้คุณเล่าจบ ทุกเรื่องก่อน แล้ว ผมจะเข้า ไป คุยต่อ


ท่านนบีสอนไว้เมื่อเกือบ 15 ศตวรรษก่อนว่า
“เครื่องหมายมุนาฟิก 3 ประการ คือ
- เมื่อมันพูด...มันโกหก ตอแหล
- เมื่อมันให้สัญญา... มันก็บิดพริ้ว
- เมื่อมันได้รับความไว้วางใจ(อะมานะฮฺ)... มันก็ทรยศหักหลังเขา”


AlGhuraba ตั้งประเด็น เรื่องการละหมาดตามอัลกุรอาน ควรจะเริ่มด้วยคำถามว่า
1 การละหมาดเริ่มมาแต่สมัยใดกันแน่
2 ทราบได้อย่างไรว่าอัลลอฮฺสั่งให้เราละหมาดวันละกี่เวลา


Count down : Running

===========================
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sat Sep 17, 2005 9:39 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

[ salam


คุณที่ AlGhuraba นับถือ:


ในที่สุดผมก็ เข้ามาถึงจุดที่ผมไม่เข้าใจเป็นเวลานับสิบๆปี ว่า มุสลิมส่วนใหญ่มีความศรัทธาในหลักการของศาสนา กัน อย่างไร? ซอเฮี๊ยะหะดีษ: หมวด 1, เล่ม 8, เลขที่ 345 บทนี้ ทำให้ผมเข้าใจ ความศรัทธา ของมุสลิมส่วนใหญ่ โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ผมไม่มีข้อข้องใจ เหลือในเรื่อง “การละหมาด 5 เวลา” ว่าที่มาที่ไปมาจากไหน?

ผมไม่เคย ทราบว่า ท่านรอซูล(ซล.) ท่านเหาะเหิร และ สามารถที่จะ สนทนา และ ต่อรอง กับ พระองค์อัลลอฮ์ในเรื่องบัญญัติของพระองค์ได้, ผมไม่ทราบว่า ท่าน นบีอดัม นั่ง ร้องไห้และ หัวเราะ อยู่บนสวรรค์ ทั้งวันทั้งคืน,ในขณะที่ ท่านหันไปหันมาทางซ้ายมือและทางขวา มือของท่าน, ผมไม่ทราบว่า ท่านรอซูล(ซล.) หลังจากถูก แหวะอก แล้ง ยังมีชีวิตต่อไปได้, และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่บรรยายไว้ในหะดีษบทนี้

( ถ้าหากว่า การสะกดชื่อ อรับ ผิดเพี้ยน หรือ การลำดับความไม่เรียบร้อย ผมต้อง ขอ อภัยด้วยครับ)


ซอเฮี๊ยะหะดีษ: หมวด 1, เล่ม 8, เลขที่ 345

บรรยายโดย أبو دار :

ท่านรอซูล(ซล.) กล่าวว่า, “ขณะที่ฉันอยู่ที่มักกะ หลังคาบ้านของฉัน ถูกเปิดขึ้น และญิบรีล ก็เหาะลงมา, แหวะทรวง ของฉัน, และชำระล้างทรวงอกฉันด้วยน้ำ ยัมยัม, แล้วก็นำถาดทองซึ่งบรรจุไว้ด้วย ความเฉลียวฉลาดและความศรัทธา, แล้ว (ญิบรีล) ก็เทสิ่งดังกล่าวจากถาดลงในทรวงอกของฉัน, แล้วก็ปิดทรวงอกของฉัน, แล้ว (ญิบรีล) ก็จับมือฉันเหาะไป ยัง สรวงสวรรค์ ที่ใกล้ที่สุด, เมื่อฉันมาถึง สวรรค์ที่ใกล้ที่สุด (สวรรค์ชั้นแรกหรือชั้นต่ำสุด)

ญิบรีล ก็สั่ง ยามรักษาประตูว่า, “จงเปิดประตู”

ยามรักษาประตูถามว่า, “ใครกันนั้น?”

ญิบรีล ตอบว่า: “ฉันญิบรีล”

ยามรักษาประตู ถามต่อไปอีกว่า, มีใครมากับท่านด้วยหรือไม่?

ญิบรีล ตอบว่า: “มี, มูฮัมมัด มากับฉันด้วย”

ยามรักษาประตูถามว่า, เขา (มูฮัมมัด) ได้มีบัญชาให้ถูกนำมาหรือ?

ญิบรีล ตอบว่า: “ใช่แล้ว”


และแล้วประตูสวรรค์ ก็เปิดขึ้น.. แล้วเรา (ท่านรอซูล(ซล.) และ ญิบรีล) ก็เหาะเข้าไปยังสวรรค์ที่ใกล้ที่สุดนั้น, ณ ที่ตรงนั้น เราได้เห็น ชายคนหนึ่ง นั่งอยู่กับ ผู้คน ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ของชายผู้นั้น, และเมื่อเขาผู้นั้นมองไปทางขวามือของเขา “เขาหัวเราะ”, และเมื่อเขามองไปทางด้านซ้ายของเขา เขา “ร้องคร่ำครวญ”, แล้วชายผู้นั้นก็กล่าวแก่ฉันว่า, “ เชิญเข้ามาศาสดา และลูกชายผู้ทรงศีล”, ฉัน(มูฮัมมัด) ถาม ญิบรีล ว่า “ชายคนนั้นคือใครหรือ?”, ญิบรีล ตอบว่า, “ เขาคือ อดัม และผู้คนทางขวามือและซ้ายมือของเขาคือวิญญาณชอง ลูกเต้าของเขา, พวกที่อยู่ทางขวามือ ของเขาเป็นชาวสวรรค์ และพวกที่อยู่ทางซ้ายมือ เป็นชาวนรก และเมื่อเขามองไปทางขวามือเขาจึงหัวเราะและเมื่อเขามองไปทางซ้ายมือเขาจึงคร่ำครวญ


และแล้วญิบรีลก็เหาะกับฉันไปถึงสวรรค์ชั้นสอง, และเขา(ญิบรีล) ก็กล่าวต่อยามเฝ้าประตูว่า , “จงเปิดประตู, ยามรักษาประตูก็กล่าวถาม ญิบรีล เช่นเดียวกับ คำถามในสวรรค์ชั้นแรก และเขาก็เปิดประตูของ (สวรรค์ชั้นสอง)


أنس กล่าวว่า , “أبو دار กล่าวเพิ่มอีกว่า, “ท่านรอซูล(ซล.) ได้พบกับ อดัม, อิดรีส, มูซา, อีซา และ อิบรอฮิม แต่ว่า เขา أبو دار ไม่ได้กล่าวถึงว่าบนสวรรค์ชั้นใดที่ซึ่ง ท่านรอซูล(ซล.) และ ญิบรีล พบกับท่าน เหล่านั้น, แต่ว่า เขา أبو دار , เล่าว่า เขาพบ อดัม บนสวรรค์ชั้นแรก และอิบรอฮิมบนสวรรค์ชั้น ที่หก.


أنس กล่าวว่าเมื่อท่านรอซูล(ซล.) และ ญิบรีล เหาะผ่าน อิดริส, อิดริส กล่าวแก่ท่านรอซูล(ซล.) ว่า“เชิญเข้ามาศาสดา และน้องชาย ผู้ทรงศีล”, ท่านรอซูล(ซล.) ถามว่าเขาคือใคร? ญิบรีลตอบว่า, “เขาคืออิดรีส”


ท่านรอซูล(ซล.) กล่าวเพิ่มอีกว่า, “ฉันเหาะผ่าน มูซาและ มูซากล่าวแก่ฉันว่า, “เชิญเข้ามาศาสดา และน้องชาย ผู้ทรงศีล” ฉัน (มูฮัมมัด) ถามว่าเขาคือใคร? ญิบรีลตอบว่า เขา คือ มูซา, แล้วฉันเหาะผ่าน อีซาและอีซากล่าวแก่ฉันว่า, “เชิญเข้ามาน้องชายและศาสดาผู้ทรงศีล” ฉัน (มูฮัมมัด) ถามว่าเขาคือใคร? ญิบรีล ตอบว่า เขา คือ อีซา,


แล้วฉันก็เหาะผ่านมายังท่านอิบรอฮิมและเขากล่าวว่า, “เชิญเข้ามาศาสดา และลูกชายผู้ทรงศีล”, ฉัน(มูฮัมมัด) ถามว่าเขาคือใคร? ญิบรีลตอบว่า เขา คือ อิบรอฮิม, ท่านรอซูล(ซล.) กล่าวเพิ่มอีกว่า, “ญิบรีล และฉัน (ท่านรอซูล (ซล.) เหาะ ไปยังสถานที่ที่ซึ่ง ฉันได้ยินเสียงปากกาขีดเขียน” ابن هازم และ أنس بن مليك , เล่าว่า, ท่านรอซูล (ซล.) กล่าวว่า, “พระองค์อัลลอฮ์ ทรงมีพระบัญชาให้สาวกของฉัน (มุสลิม) ทำละหมาดวันละ 50 ครั้ง”.


ในขณะที่ฉันกลับมาพร้อมด้วยคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ดังกล่าว, ฉันเหาะผ่านมาทางท่าน มูซา ท่าน มูซาถามฉันว่า, พระองค์อัลลอฮ์ มีบัญชาอะไรต่อสาวกของท่าน? ฉันตอบว่าพระองค์ต้องการให้สาวกของฉันทำละหมาดวันละ 50 ครั้ง, มูซากล่าวว่า กลับไปยังพระเจ้าของท่านอีกครั้ง และ ขอความกรุณาจากพระองค์ ให้ลดจำนวนการละหมาดลง ทั้งนี้เพราะ ว่า สาวกของท่านไม่สามารถจะทำ ตามบัญชาได้, (ดังนั้นฉันจึงเหาะกลับไปหา อัลลอฮ์และขอร้องพระองค์ให้ลดจำนวนการละหมาด และพระองค์ก็ลดจำนวนลงเหลือ 25 ครั้ง ต่อ วัน,



เมื่อฉันเหาะผ่าน มูซา, เขาก็กล่าวต่อฉันอีกว่า...จงกลับไปหาพระเจ้าของท่านอีกครั้ง ทั้งนี้เพราะว่าสาวกของท่านไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้หรอก, แล้วฉันก็เหาะกลับไปยัง..อัลลอฮ์อีกครั้ง, พระองค์ทรงตรัสว่า, “ ที่พระองค์ทรงมีคำสั่ง 50 ครั้งนั้น คือการละหมาด 5 เวลา และ5 เวลานั้นมีรางวัลเท่ากับการละหมาด 50 ครั้ง, ทั้งนี้ เพราะว่า พระวาจาของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง, ฉันเหาะกลับไปยัง มูซา และเขา(มูซา) ได้บอกให้ฉันกลับไปหา อัลลอฮ์อีกครั้ง, ฉันตอบแก่ มูซาว่า , “ฉันรู้สึกละอายที่จะขอร้องต่อพระเจ้าของฉันอีก”,


แล้ว ญิบรีล ก็พาฉันเหาะไปจนถึง ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งแผ่ กิ่งก้านสาขา อย่างไม่สิ้นสุด มีสีหลายหลากสี เหลือที่จะพรรณนาได้, แล้วฉันก็ได้รับให้เข้าสู่สวรรค์, ที่ซึ่งฉันได้พบ กระโจม หรือกำแพงที่ ทำด้วยไข่มุก และพื้นดินที่ มีกลิ่นชะมดเชียง”


เนื่องจาก ซอเฮี๊ยะหะดีษ เป็นเรื่องราวที่ที่มุสลิมส่วนใหญ่ ศรัทธาว่า เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนิยาย หรือเรื่องอุปมาอุปมัย, หรือเรื่องความฝัน แต่เป็นเรื่องที่ท่านรอซูล(ซล.) เล่า ให้ สาวกของท่าน ฟัง ผมจึงไม่อาจจะคัดค้านความเชื่อ ของมุสลิม ส่วนใหญ่ได้ แต่ผมอยากจะฝาก ข้อความข้างล่างนี้ไว้ให้ คุณได้คิดกัน ว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้ท่านรอซูล(ซล.) แจ้งแก่ “มุสลิม” ว่าอย่างไร?


จงกล่าวเถิด(โอ มูฮัมมัด), “ฉันไม่ใช่อะไรอื่นนอกเหนือไปจากการเป็นนมนุษย์เช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย, (ฉัน)ได้รับวะฮี จาก อัลลออ์ว่าพระเจ้าของท่านนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” (18:110)


"วันเวลาจะมาถึงเมื่อพระองค์อัลลอฮ์เรียกประชุมท่านศาสนทูตต่างๆและถามท่านเหล่านั้นว่, การสนองรับ(ในข่าวสารของพระองค์ ชองปวงชน)ต่อท่าน? “ เขา(ท่านศาสนทูต)เหล่านั้น จะกล่าวว่า, “เราไม่สามารถจะทราบได้, พระองค์(อัลลอฮ์) เท่านั้นคือผู้รอบรู้ความลับทั้งหลาย” (5:109)


"จงกล่าวเถิด( โอ มูฮัมมัด), ฉันไม่ได้แตกต่างไปจากศาสนทูตทั้งหลาย, ฉันไม่มีความเห็น(มองเห็น) สิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวฉันและตัวท่าน, ฉันปฏิบัติตามสิ่งที่วะฮีให้กับฉัน(อัลกุรอาน) ฉันไม่ใช่อื่นใดนอกเหนือไปจากผู้ตักเตือนที่แท้จริงเท่านั้น (46:9)


"จงกล่าวเถิด( โอ มูฮัมมัด) “ฉันไม่มีอำนาจที่จะหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวฉัน, หรือทำร้ายคัวฉัน, พระองค์อัลลอฮฺเท่านั้นที่จะบันดาลสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นกับฉัน”, ถ้าฉันล่วงรู้อนาคต, ฉันคงจะเพิ่มพูนความมั่งคั่งของฉัน, และจะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นแก่ฉัน, ฉันไม่ใช่อื่นใดนอกจากผู้ที่ตักเตือ, และผู้ที่มี(นำ) ข่าวดีมาแจ้งต่อผู้ศรัทธา (7:188)


จงกล่าวเถิด( โอ มูฮัมมัด), “ฉันไม่ได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ฉันมีอำนาจเยี่งพระเจ้า, ไม่ทั้ง ฉันรู้ถึงอนาค, ฉันไม่เคยกล่าวกับพวกท่านว่าฉันเป็น มะลาอิกะฮฺ, ฉันเพียงแต่ปฏิบัติตามโองการ(จองอัลลอฮ์)ที่ได้รัวะฮี(อัลกุรอาน)แก่ฉั, คนตาบอดจะเหมือนกับผู้ที่มองเห็นกระนั้นหรือ?(แสดงถึงความแตกต่างระหว่างท่านรอซูล(ซล.)และพระองค์อัลลอฮ์และบบรรดามะลาอิกะ) ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจหรือ? (6:50)


เราจะเชื่อ “อัลลอฮ์ และท่านรอซูล(ซล.) หรือว่าเราจะเชื่อ อิมามบุคอรี?” เป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธาจะต้องเลือกทางเอาเอง


แมทท์


ปล. ถ้าคุณ AlGhuraba จะอธิบาย ความหมายของ แต่ละอายะ ที่ผม