ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - เขาว่าอุละมาซุนนะลอกการบ้านชีอะฮ์มา มุตอะกับมิสยาร นะ
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
เขาว่าอุละมาซุนนะลอกการบ้านชีอะฮ์มา มุตอะกับมิสยาร นะ
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 11, 12, 13 ... 27, 28, 29  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Fri Oct 09, 2009 11:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

israya บันทึก:


بل نصّ القرطبي على أن دلالتها على نكاح المتعة هو قول الجمهور، وهذه عبارته:;وقال الجمهور: المراد نكاح المتعة الذي كان في صدر الاسلامWink.

กุรฏุบีย์ได้ลงบันทึกว่ามัน(อายะนี้)เป็นหลักฐานการนิกาห์มุตอะ มันเป็นคำกล่าวของญุมฮูร และนี่คือรูปประโยคของท่าน (ความหมายคือ การนิกาห์มุตอะ เป็นสิ่งซึ่งปรากฏในยุคแรกของอิสลาม




มาดูรายละเอียดนตัฟสีรต่างๆ และการบิดเบือนข้อความในตัฟสีรอัลกุรฏุบีย์ ของน้องบ่าว isriya

1. ดูตัวอย่างอายะฮ ที่ 24 ซูเราะฮ อันนิสาอฺ เต็มๆ ว่า ที่มาที่ไปอัลลอฮ ตรัสเรื่องอะไร พร้อมคำอธิยายย่อๆ จากสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ


وَالْمُحْصَنَاتُ مِنَ النِّسَاء إِلاَّ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُكُمْ كِتَابَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ وَأُحِلَّ لَكُم مَّا وَرَاء ذَلِكُمْ أَن تَبْتَغُواْ بِأَمْوَالِكُم مُّحْصِنِينَ غَيْرَ مُسَافِحِينَ فَمَا اسْتَمْتَعْتُم بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ فَرِيضَةً وَلاَ جُنَاحَ عَلَيْكُمْ فِيمَا تَرَاضَيْتُم بِهِ مِن بَعْدِ الْفَرِيضَةِ إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلِيمًا حَكِيمًا

24. และบรรดาหญิงที่อยู่ในปกครองของสามี(*1*)นอกจากที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง(*2*) เป็นบัญญัติของอัลลอฮฺที่มีแก่พวกเจ้า และได้ถูกอนุมัติให้แก่พวกเจ้าที่นอกเหนือจากนั้น(*3*)ในการที่พวกเจ้าจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพสกเจ้า(*4*) ในฐานะเป็นผู้แต่งงาน(*5*)มิใช่ในฐานะผู้ล่วงประเวณี ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น(*6*) ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง(*7*) ตามที่มีกำหนดไว้และไม่เป็นบาปใด ๆแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้น(*8*) หลังจากที่มีกำหนดนั้นขึ้นแท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

----------------

(1) เป็นหญิงที่ถูกห้ามมิให้แต่งงานด้วยเช่นเดียวกัน
(2) หญิงที่มีสามี แต่ตกเป็นเชลยศึก แล้วถูกมอบให้เป็นกรรมสิทธิในฐานะหญิงทาส หญิงประเภทนี้อนุมัติให้ผู้เป็นนายสมสู่กับนางได้หลังจากที่นางพ้นอิดดะฮ์ โดยไม่ต้องทำพิธีสมรส แต่ถ้าเป็นชายอื่นต้องต่อสู่ขอจากผู้เป็นนาย และทำพิธีสมรสโดยจ่ายสินตอบแทนให้ ทั้งนี้หลังจากนางพ้นอิดดะฮ์ แล้วเช่นเดียวกัน
(3) หมายถึงหญิงที่นอกเหนือจากที่ได้ระบุห้ามไว้
(4) หมายถึงด้วยการจ่ายสินตอบแทน(มะฮัร)ให้แก่นาง
(5) แต่งงานกับนางโดยเจตนาที่จะครองเรือนกับนาง
(6) หญิงที่อนุมัติให้แต่งงานกับนางได้
(7) ให้มะฮัรแก่พวกนาง
(8) ยินยอมที่จะลดหรือเพิ่มมะฮัรให้หรือจะยกให้ก็ได้ หลังจากที่ได้กำหนดมะฮัรแล้ว

2. มาดู การอธิบายของบรรดานักตัฟสีรที่มีชื่อเสียง ในสำนวนของอายะฮที่ว่า

فَمَا اسْتَمْتَعْتُم بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ فَرِيضَةً


1. อิบนุกะษีร (ขออัลลอฮ เมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า


وَالْعُمْدَة مَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحَيْنِ عَنْ أَمِير الْمُؤْمِنِينَ عَلِيّ بْن أَبِي طَالِب قَالَ : نَهَى رَسُول اللَّه صَلَّى عَنْ نِكَاح الْمُتْعَة وَعَنْ لُحُوم الْحُمُر الْأَهْلِيَّة يَوْم خَيْبَر وَلِهَذَا الْحَدِيث أَلْفَاظ مُقَرَّرَة هِيَ فِي كِتَاب الْأَحْكَام وَفِي صَحِيح مُسْلِم عَنْ الرَّبِيع بْن سَبْرَة بْن مَعْبَد الْجُهَنِيّ عَنْ أَبِيهِ أَنَّهُ غَزَا مَعَ رَسُول اللَّه صَلَّى يَوْم فَتْح مَكَّة فَقَالَ " يَا أَيّهَا النَّاس إِنِّي كُنْت أَذِنْت لَكُمْ فِي الِاسْتِمْتَاع مِنْ النِّسَاء وَإِنَّ اللَّه قَدْ حَرَّمَ ذَلِكَ إِلَى يَوْم الْقِيَامَة فَمَنْ كَانَ عِنْده مِنْهُنَّ شَيْء فَلْيُخْلِ سَبِيله وَلَا تَأْخُذُوا مِمَّا آتَيْتُمُوهُنَّ شَيْئًا


และสิ่งที่ถูกมุ่งหมายคือ สิ่งที่ปรากฏแน่นอนในเศาะเฮียะบุคอรีและมุสลิม รายงานจากผู้นำแห่งบรรดาศรัทธาชน อาลี บิน อบีฏอลิบ กล่าวว่า " รซูลุลลอฮ Solallah ได้ห้ามจากการนิกะห์มุตอะฮ และ (การบริโภค)เนื้อลาบ้าน ในวันทำสงครามคอ็ยบัร และสำหรับหะดิษนี้ มีหลายสำนวน ที่ถูกรับรอง ซึ่งมันอยู่ใน บทว่าด้วยเรื่องหุกุมต่างๆ และในเศาะเฮียะมุสลิม รายงานจากอัรรุบัยอฺ บิน สับเราะฮ บิน มุอฺบัด อัลญุฮันนีย์ จากบิดาของเขา ว่า เขาได้ออกไปทำสงครามพร้อมกับรซูลุลลอฮ Solallah ในการพิชิตมักกะฮ แล้วท่านได้กล่าวว่า "โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย แท้จริง ข้าพเจ้าได้เคยอนุญาตให้พวกท่านหาความสุขกับบรรดาผู้หญิงได้ (นิกะหมุตอะฮ) และแท้จริงอัลลอฮ ได้ทรงห้าม(นิกะหมุตอะฮ)ดังกล่าวตราบจนถึงวันกิยามะฮ ดังนั้น ผู้ใดมีสิ่งใดจากบรรดาพวกนาง ก็จงปล่อยหนทางของมัน และพวกท่านอย่าเอาสิ่งใดที่พวกท่านมอบให้กับพวกนาง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร อรรถาธิบาย อายะฮที่ 24 ซูเราะฮอันนิสาอฺ

2. ท่านอิบนุญะรีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า


قَالَ أَبُو جَعْفَر : وَأَوْلَى التَّأْوِيلَيْنِ فِي ذَلِكَ بِالصَّوَابِ تَأْوِيل مَنْ تَأَوَّلَهُ : فَمَا نَكَحْتُمُوهُ مِنْهُنَّ فَجَامَعْتُمُوهُ فَآتُوهُنَّ أُجُورهنَّ ; لِقِيَامِ الْحُجَّة بِتَحْرِيمِ اللَّه مُتْعَة النِّسَاء عَلَى غَيْر وَجْه النِّكَاح الصَّحِيح أَوْ الْمِلْك الصَّحِيح عَلَى لِسَان رَسُوله صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ

อบูยะอฺฟัร กล่าวว่า “ บรรดาการอรรถาธิบายในเรื่องดังกล่าวที่ถูกต้องที่สุด คือ การอรรถาธิบาย ของผู้ที่อรรถาธิบายมันว่า “ ดังนั้น ผู้หญิงใดที่พวกเจ้าได้แต่งงานกับนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น แล้วพวกเจ้าได้ร่วมหลับนอนกับนาง ดังนั้นจงมอบสินสอดให้แก่พวกนาง” เพราะมีหลักฐานได้ยืนยันถึงการที่อัลลอฮทรงห้ามมุตอะฮ(หาความสุขชั่วคราว)กับบรรดาผู้หญิง โดยไม่ผ่านวิธีการแต่งงานที่ถูกต้อง หรือ การครอบครองที่ถูกต้อง(กรณีเป็นทาสหญิง) บนคำพูดของรอซูลของพระองค์ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม – ดูตัฟสีร อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 24 ซูเราะฮอันนิสาอฺ
……………..

แสดงให้เห็นว่า “คำว่า “فَمَا اِسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ”( ดังนั้น หญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขกับนาง จากบรรดาหญิงเหล่านั้น) หมายถึง การแต่งงานที่ถูกต้อง เป็นการแต่งงานเพื่ออยู่กันตลอดไป ไม่ใช่ เพื่อสนองตัญหาชั่วคราวตามความเข้าใจ ของชีอะฮ

ท่านอิบนุญะรีร ได้คัดค้านรายงานนี้ว่า

وَأَمَّا مَا رُوِيَ عَنْ أُبَيّ بْن كَعْب وَابْن عَبَّاس مِنْ قِرَاءَتهمَا : " فَمَا اِسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ إِلَى أَجَل مُسَمًّى " فَقِرَاءَة بِخِلَافِ مَا جَاءَتْ بِهِ مَصَاحِف الْمُسْلِمِينَ , وَغَيْر جَائِز لِأَحَدٍ أَنْ يُلْحِق فِي كِتَاب اللَّه تَعَالَى شَيْئًا لَمْ يَأْتِ بِهِ الْخَبَر الْقَاطِع الْعُذْر عَمَّنْ لَا يَجُوز خِلَافه

และสำหรับสิ่งที่ถูกรายงานมาจากอบี อุบัย บิน กะอับ และอิบนุอับบาส เกี่ยวกับการอ่านของคนทั้งสองว่า

“فَمَا اِسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ إِلَى أَجَل مُسَمًّى

(ดังนั้น หญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขกับนาง จากบรรดาหญิงเหล่านั้น จนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้)

เป็นการอ่านที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ บรรดาคัมภีร์ของมุสลิม ได้นำมาด้วยมัน และไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด นำสิ่งใดๆที่ไม่ปรากฏรายงานที่ตัดข้ออ้างจากผู้ที่ไม่อนุญาตให้เห็นต่างกับมัน(คือไม่ปรากฏรายงานที่เป็นหลักฐานที่เด็ดขาด) มาเพิ่มเติมในคัมภีร์ของอัลลอฮตาอาลา - ดูตัฟสีร อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 24 ซูเราะฮอันนิสาอฺ

............

หมายถึง รายงานสำนวนข้างต้น ไม่ปรากฏในบรรดาคัมภีร์ของอัลลอฮเล่มใดที่บรรดามุสลิมมีอยู่ และ ไม่อนุญาตให้นำสิ่งใดที่ไม่ใช่หลักฐานที่เด็ดขาดที่สามารถมาหักล้างข้ออ้างของผู้ที่เห็นต่างได้ มาเพิ่มเติมในคัมภีร์ของอัลลอฮ ตะอาลา และขอเรียนว่า รายงานที่อ้างอิบนุอับบาส ว่า ท่านได้อรรถาธิบายว่า “ เป็นการหาความสำราญกับหญิงโดยมีกำหนดเวลานั้น เป็นรายงานที่ผิดเพี้ยน(ชาซ) ไปจากรายงานอื่นๆ ซึ่งเอามาเป็นหลักฐานไม่ได้


3. อิหม่ามชิฮาบุดดีน อัลอะลูซีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า



فإذا استمتعتم وهو يدل على أن المراد بالاستمتاع هو الوطء والدخول لا الاستمتاع بمعنى المتعة التي يقول بها الشيعة والقراءة التي ينقلونها عمن تقدم من الصحابة شاذة


คำว่า “ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าเสพสุข” โดยที่ มันแสดงบอกว่า ความหมายของคำว่า “เสพสุข” คือ การร่วมเพศ ไม่ใช่เสพสุข ด้วยความหมายว่า “มุตอะฮ(การเสพสุขชั่วคราว) ตามที่ชีอะฮ กล่าว และ การอ่านที่พวกเขาได้รายงานมัน จากผู้ที่อยู่ในยุคก่อนจากเหล่าเศาะหาบะฮนั้น(หมายถึงรายงานอิบนุอับาสที่ถูกนำมาอ้างเรื่องนิกะห์มุตอะฮ) เป็นรายงานที่เพี้ยน(หมายถึง แปลกแยกไปจากรายงานอื่นๆ) – ดู ตัฟสีร อะลูซีย์ เล่ม 5 หน้า 7

4. อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า


قَالَ اِبْن الْعَرَبِيّ : وَقَدْ كَانَ اِبْن عَبَّاس يَقُول بِجَوَازِهَا , ثُمَّ ثَبَتَ رُجُوعه عَنْهَا , فَانْعَقَدَ الْإِجْمَاع عَلَى تَحْرِيمهَا ; فَإِذَا فَعَلَهَا أَحَد رُجِمَ فِي مَشْهُور الْمَذْهَب

อิบนุอะเราะบีย์ กล่าวว่า “ ปรากฏว่า อิบนุอับบาส กล่าวถึงการอนุญาตของมัน(ของนิกะหมุตอะฮ) ต่อมา ได้มีการยืนยันถึงการกลับคำของเขา(อิบนุอับบาส)จากมัน ดังนั้น จึงกลายเป็นมติของนักวิชาการ(อัลอิจญมาอฺ) ถึงการห้ามมัน ดังนั้น เมื่อคนใดได้กระทำมัน(กระทำมุตอะฮ) เขาจะถูกลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน ตามทัศนะของมัซฮับที่แพร่หลาย - ดูตัฟสีร อัลกุรฏุบีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 24 ซูเราะฮอันนิสาอฺ

5. อิหม่ามอัลบัฆวีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า


اتفق العلماء على تحريم نكاح المتعة، وهو كالإجماع بين المسلمين، وروي عن ابن عباس شيء من الرخصة للمضطر إليه بطول الغربة، ثم رجع عنه حيث بلغه النهي


บรรดานักวิชาการเห็นฟ้องกัน ว่า การนิกะหฺมุตอะฮเป็นสิ่งต้องห้าม และมันเป็นมติเอกฉันท์ระหว่างมุสลิมทั้งหลาย และมีสิ่งหนึ่งได้ถูกรายงานจากอิบนุอับบาส ว่า ได้การผ่อนปรนแก่ผู้ที่อยู่ในภาวะจำเป็นอันเนื่องมาจากอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลานาน ต่อมาเขา(อิบนุอับบาส)ได้กลับคำ หลังจากที่ข่าวการห้าม(การมุตอะฮ)ได้มาถึงเขา – ชัรหุสสุนนะฮ เล่ม ๙ หน้า

3. มาดูข้อความบิดเบือนของ isriya คือ ส่วนที่อ้างตัฟสีรอัลกุรฏุบีย์ข้อความที่ว่า “

بل نصّ القرطبي على أن دلالتها على نكاح المتعة هو قول الجمهور،

“แต่อัลกุรฏุบีย์ ได้บอกว่า บรรดาหลักฐานของมัน แสดงบอกว่า การนิกะห์มุตอะฮ เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนมาก”

...........

ข้างต้นเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และตบตาผู้คน ,มาดูข้อความเต็มๆที่อิหม่ามอัลกุฏบีย์ระบุไว้


قَالَ اِبْن خُوَيْزِ مَنْدَادٍ وَلَا يَجُوز أَنْ تُحْمَل الْآيَة عَلَى جَوَاز الْمُتْعَة ; لِأَنَّ رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنْ نِكَاح الْمُتْعَة وَحَرَّمَهُ ; وَلِأَنَّ اللَّه تَعَالَى قَالَ : " فَأَنْكِحُوهُنَّ بِإِذْنِ أَهْلِهِنَّ " وَمَعْلُوم أَنَّ النِّكَاح بِإِذْنِ الْأَهْلِينَ هُوَ النِّكَاح الشَّرْعِيّ بِوَلِيٍّ وَشَاهِدَيْنِ , وَنِكَاح الْمُتْعَة لَيْسَ كَذَلِكَ . وَقَالَ الْجُمْهُور : الْمُرَاد نِكَاح الْمُتْعَة الَّذِي كَانَ فِي صَدْر الْإِسْلَام . وَقَرَأَ اِبْن عَبَّاس وَأُبَيّ وَابْن جُبَيْر " فَمَا اِسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ " ثُمَّ نَهَى عَنْهَا النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ

อิบนุคุวัยซิน มันดาด กล่าวว่า “ ไม่อนุญาตให้นำอายะฮนี้มาอ้างว่า อนุญาตให้ทำมุตอะฮได้ เพราะแท้จริง รซูลุลลอฮ Solallah ได้ห้ามการนิกะฮมุตอะฮและได้กำหนดมันให้เป็นสิ่งต้องห้าม และเพราะอัลลอฮ ตะอาลาตรัสว่า “ พวกเจ้าจงแต่งงานกับพวกนาง ด้วยการอนุญาตของผู้ปกครองของนาง” และ เป็นที่รู้กันว่า การแต่งงาน ด้วยการอนุญาตของบรรดาผู้ปกครอง(ฝ่ายหญิง)นั้น คือ การแต่งงาน ตามศาสนบัญญัติ โดยวะลี(ผู้ปกครองฝ่ายหญิง)และพยานสองคน และการนิกะห์มุตอะฮ ไม่มีเช่นดังกล่าวนั้น และ นักวิชาการส่วนมาก กล่าวว่า “ หมายถึง การนิกะห์มุตอะฮที่ปรากฏในช่วงแรกของอิสลาม และอิบนุอับบาส,อุบัยและอิบนุญุบัยร ได้อ่านว่า “


فَمَا اِسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ


ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น จนกระทั่งถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง”หลังจากนั้น ท่านนบี Solallah ได้ห้ามมัน - ดู - ดูตัฟสีร อัลกุรฏุบีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 24 ซูเราะฮอันนิสาอฺ
…………..

เพราะฉะนั้น ได้ปรากฏแล้วว่า สิ่งที่น้องบ่าว asriya คัดลอกมาโพสต์นั้น เป็นการตัดตอนข้อความเพื่อบิดเบือนเพราะ สิ่งที่ท่านอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์กล่าว หมายถึง ทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่คือ การแต่งงานมุตอะฮ ได้ปรากฏในช่วงแรกของอิสลาม แต่ต่อมาท่านนบี Solallah ได้ห้าม

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 12:35 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

israya บันทึก:

وعنه وعن أبي التصريح بكونها غيرمنسوخة.

จากท่านอับบาสและอุบัยระบุชัดเจนว่า อายะนี้ ไม่มีการยกเลิก[b
]راجع التفاسير: الطبري والقرطبي وابن كثير والكشاف والدرّ المنثور. كلّها بتفسير الآية. وراجع أيضاً: أحكام القرآن ـ للجصّاص ـ 2|147، سنن البيهقي 7|205، شرح مسلم ـ للنووي ـ 6|127، المغني لابن قدامة 7|571..
(3) تفسيرالقرطبي 5|130.[/b]


ใครบอกครับน้องบ่าว isriya ว่า อิบนุอับบาส บอกว่าไม่ได้ถูกยกเลิก น้องบ่าวอ้าง ตัฟสีร อัดดุรอันมันษูร ของอิหม่ามสะยูฏีย์ ที่นี้มาดูของจริงจากหนังสือดังกล่าวครับ

وأخرج أبو داود في ناسخه وابن المنذر والنحاس من طريق عطاء عن ابن عباس في قوله { فما استمتعتم به منهن فآتوهن أجورهن فريضة } قال: نسختها
{ يا أيها النبي إذا طلقتم النساء فطلقوهن لعدتهن }
[الطلاق:1].
{ والمطلقات يتربصن بأنفسهن ثلاثة قروء }
[البقرة: 228].
{ واللائي يئسن من المحيض من نسائكم إن ارتبتم فعدتهن ثلاثة أشهر }
[الطلاق: 4].


อบูดาวูด ได้บันทึกในนาสิคของท่าน อิบนุอันมันซีรและอัลนุหาส ได้รายงานจาก สายรายงานของอะฏออฺ จากอิบนุอับบาส ในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า ( ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง) เขากล่าวว่า "มันถูกยกเลิก ด้วยอายะฮที่ว่า

{ يا أيها النبي إذا طلقتم النساء فطلقوهن لعدتهن }
[الطلاق:1].
โอ้นะบีเอ๋ย เมื่อพวกเจ้าอย่าภริยาก็จงหย่าพวกนางตามกำหนด (อิดดะฮฺ) ของพวกนาง

{ والمطلقات يتربصن بأنفسهن ثلاثة قروء }
[البقرة: 228].
และบรรดาหญิงที่ถูกหย่าร้าง พวกนางจะต้องรอคอยตัวของตนเองสามกุรุอ์

{ واللائي يئسن من المحيض من نسائكم إن ارتبتم فعدتهن ثلاثة أشهر }
[الطلاق: 4].

ส่วนบรรดาผู้หญิงในหมู่ภริยาของพวกเจ้าที่หมดหวังในการมีระดู หากพวกเจ้ายังสงสัย (ในเรื่องอิดดะฮฺของนาง) ดังนั้นพึงรู้เถิดว่าอิดดะฮิของพวกนางคือสามเดือน และบรรดาผู้หญิงที่มิได้มีระดูก็เช่นกัน
- ดูตัฟสีร อัดดุรอันมันษูร ของอิหม่ามสะยูฏีย์ อรรถาธิบายอายะฮที่ 24 ซูเราะฮอันนิสาอฺ

.............

สรุปความว่า ที่อ้างว่า อิบนิอับบาสบอกว่าไม่ได้ยกเลิก เป็นการรู้ไม่จริง หรือ ว่า แกล้งบิดเบือนครับน้อง
อินชาอัลลอฮ มีต่อ หากมีเวลา

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
israya
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009
ตอบ: 293


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 2:25 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ต้องขอชมนะ ว่าคราวนี้บังสามารถยกหลักฐานมาได้ดีมาก แต่ทว่าดีมากสำหรับทัศนะของบังและ

ฝ่ายซุนนะเท่านั้น และถือว่าเป็นข้อมูลที่สมบูรณ์ ครบถ้วนทุกประการของฝ่ายซุนนะแล้ว ในการ

แสดงหลักฐานว่า มุตอะ เป็นสิ่งต้องห้าม ในส่วนนี้ต้องให้คะแนนกับบัง ขอปรบมือให้จากใจจริง

ครับ ........

แต่ทว่า ขอให้บังสังเกตตัวเองไปด้วยว่า บังได้รับความเข้าใจอะไรใหม่ๆมาบ้าง จากหลักฐาน

ประการแรกของบัง นั่นคือ อายะกุรอานที่บังเคยค้านมาก่อนว่า ไม่เกี่ยวกับหลักการมุตอะที่ชีอะ

ถือปฏิบัติอยู่ แต่บัดนี้ บังได้ยอมรับโดยปริยายแล้วว่า มีหลักฐานชัดเจนจากตำราของบังเองว่า

อายะนั้นถูกประทานมาในเรื่องมุตอะจริง

فَمَا اسْتَمْتَعْتُم بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ فَرِيضَةً وَلاَ جُنَاحَ عَلَيْكُمْ فِيمَا تَرَاضَيْتُم بِهِ مِن بَعْدِ الْفَرِيضَةِ

ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนาง จากบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้แ

ก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนางตามที่มีกำหนดไว้ และไม่เป็นบาปใด ๆแก่พวกเจ้าในสิ่ง

ที่พวกเจ้าต่างพอใจกันในสิ่งนั้น หลังจากมีการกำหนดแล้ว

ความเข้าใจโดยสรุปจากหลักฐานแรก ก็คือ ถึงแม้การทำมุตอะ จะเป็นสิ่งที่เคยถูกอนุมัติมาก่อน

แล้วก็ตาม แต่มันก็ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และเพิ่งมาถูกยกเลิกเอาเมื่อทำสงครามค็อยบัร และ

เป็นการสั่งยกเลิกตลอดกาล ใช่ไหมครับ ?

ที่ผมย้ำอย่างนี้ ก็เพื่อให้ทุกคนจับประเด็นให้ถูก รวมทั้งผมและบังเองด้วย ว่าต่อไปนี้เราควรจะ

ถกกันในประเด็นใดบ้าง กล่าวคือ เราต้องไม่ด่าทอ และไม่ประณามเหยียดหยามหลักการมุตอะ

กันอีก ด้วยเหตุเพราะอย่างน้อยที่สุด ในทัศนะของบังก็ต้องเชื่อว่า การมุตอะเคยเป็นหลักการที่

อิสลามอนุมัติมาก่อน และบรรดาศอฮาบะผู้ทรงเกียรติหลายท่านก็เคยถือปฏิบัติกันมาก่อน ถึงแม้

จะมีหลักฐานว่าถูกยกเลิกแล้ว บังและใครๆก็ต้องไม่ควรประณามมันอีกต่อไป จริงไหมครับ ?

ประเด็นการถก การเสวานาของเราที่ยังเหลืออยู่ นับต่อจากนี้ไปก็จะอยู่ในวงจำกัดแคบๆคือ ที่ว่า

การมุตอะถูกยกเลิกไปแล้วนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ? และตรงนี้ เราสองฝ่ายจะต้องร่วมกันหา

หลักฐานมาพิสูจน์กัน ผมจะทำหน้าที่ให้หลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า ถึงแม้การทำมุตอะจะเคยถุกยก

เลิก แต่การยกเลิกนั้น มิได้เป็นการยกเลิกอย่างถาวร นั่นก็คือ ว่า การทำมุตอะยังมิได้ถูกยก

เลิก

นั่นเอง ส่วนบังและบรรดาผู้รู้เรืองนามทั้งหลาย มีหน้าที่ให้หลักฐานว่าเลิกแล้วจริง

ผมจะตั้งประเด็นไว้อย่างนี้ก่อน แล้วเราจะคุยกัน ถกกันในบรรยากาศแห่งความเป็นพี่น้อง

เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่เว็บอื่นๆ ที่ประชันขันแข่งกันในการด่าทอ และใช้วาจาหยาบ

คาย เมื่อพูดถึงชีอะ ?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
สับสน
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 03/09/2009
ตอบ: 13


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 5:40 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คงจะเสียดายอ่ะดิ ที่ถูกยกเลิก เพราะยังบ้ากามไม่หาย เอาเล๊ยชีอะเอ๋ย ยังดื้ออยู่ก็เชิญ

จะไม่มีข้ออ้างสำหรับคุนในปรโลกว่า " ผมไม่รู้ " , "ไม่มีใครบอกผม"

แต่จะว่าไปแล้ว บังอซันก็โดนความเจ้าเล่ห์ของชีอะเต็มๆ

มีแต่เนื้อ+เจ้าเล่ห์ หากขาดสิ่งไดสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ใช่ชีอะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
israya
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009
ตอบ: 293


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 9:14 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ประการแรกบังได้เผยความอธรรมกับผมอย่างชัดแจ้ง โดยป้ายสีผมว่าบิดเบือนในตัฟซีรอัลกุ

รฏุบีย์ ที่ผมยกตอนหนึ่งมาอ้างประกอบ พร้อมกับชี้แจงว่า มันเป็นเพียงหลักฐานหนึ่งนำราของ

ซุนนะ และชีอะก็ไม่ได้ยึดถือตำรานี้ แต่กระนั้น ตำราของซุนนะเล่มนี้ก็ยืนยันเรื่องการมุตอะ

และว่า การทำมุตอะ ยังไม่ถูกยกเลิก
بل نصّ القرطبي على أن دلالتها على نكاح المتعة هو قول الجمهور، وهذه عبارته:;وقال الجمهور: المراد نكاح المتعة الذي كان في صدر الاسلام.

แปลว่า อัลกุรฏุบีย์ตัฟซีรมีชื่อเสียงในวชาการซุนนะ อันได้รับการยกย่อง และความเชื่อถือไม่ลด

น้อยกว่าอิบนุกะษีร บันทึกในเล่ม ๕ หน้า ๑๕๐ว่า อายะนี้ (فَمَا اسْتَمْتَعْتُم بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ فَرِيضَةً

.... ... ) เป็นหลักฐานยืนยันว่าการถูกประทานมาในเรื่องมุตอะและนี่คือ คำกล่าวของญุมฮูรอุ

ละมา ประโยคหนึ่งที่อัลกุรฏุบีย์กล่าวก็คือ

ความหมายก็คือ การนิกาห์มุตอะ เป็นสิ่งซึ่งปรากฏในยุคแรกของอิสลาม แล้วพวกคุณก็กล่าวหา

ว่าบิดเบือน โดยไปอ้างตัฟซีรอิบนุกะษีรมาหักล้าง แบบนี้นักวิชาการเขาไม่ว่ากันว่าบิดเบือน

หวังว่า บังเข้าใจดีในอกตัวเองดีนะว่า บังจงใจใช้คำใส่ร้ายกันมากกว่า ผมยกหลักฐานจากอุละมา

ของพวกคุณคนหนึ่ง ส่วนพวกคุณก็ยกหลักฐานจากอุละมาของพวกคุณอีกคนหนึ่งมาหักล้าง

แล้วหาว่าหลักฐานแรกบิดเบือน ถ้าสมมติเป็นจริงตามนั้น คนบิดเบือนก็ยังมิใช่ผม แต่เปนท่าน

กุรฏุบีย์ต่างหาก แต่นี่ มิใช่การบิดเบือนเลยทั้งผมและกุรฏุบีย์ ส่วนใครเป็นคนบิดเบือนเดี๋ยว

ผมจะแจกแจง

นี่เราถึงบทต้องคุยกันอย่างนักวิชาการ บังต้องขอร้องพวกสมุน อย่าได้เข้ามาแทรกแซงด้วย

พฤติกรรมแบบพวกอวิชชา


อย่าให้ใครเข้ามาทำลายบรรยากาศ นอกจากเป็นผู้รู้ที่รู้สูงกว่าบังขึ้นไป หรือที่พวกคุณยอมรับที่

สุดว่าสามารถนำหลักฐานมาหักล้างกับผมได้ ผมไม่ได้ทะนงตัวและโอ้อวด แต่ขอพูดว่า แล้วให้บัง

โทรไปเรียนขอเชิญท่านนั้นมา ผมยังได้อ้างหลักฐานอีกว่า การทำมุตอะ เป็นสิ่งที่บรรดสาวกเคย

ทำ เช่น

عبدالله بن عبّاس، وأبي بن كعب، وعبدالله بن مسعود، وجابر بن عبدالله وأبو سعيد الخدري، وسعيد بن جبير، ومجاهد، والسدي وقتادة

ส่วนหนึ่งนั้น ได้แก่ อับดุลลอฮ์ อิบนุอับบาส, อุบัย บินกะอับ, อับดุลลอฮ์ บิน มัสอูด,ญาบิร บิน อั

บดุลลอฮ์ อะบูสะอีด อัลคุดรีย์ ,สะอีด บิน ญุบัยร์,มุญาฮิด,อัสสุดีย์ และกอตาดะฮ์ บรรดาสาวกเหล่า

นี้เอ่ยถึงอิบนุอับบาส ที่เคยกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ แน่นอน อัลลอฮทรงประทานมันลงมาใน

เรื่องนี้แหละ(สามครั้ง)

بل ذكروا عن ابن عباس قوله: ;والله لأنزلها الله كذلك ـ ثلاث مرات
หลักฐานที่บังยกมายังไม่สามารถหักล้าง คำพูดและก
ารกระทำของบรรดาสาวกอาวุโสเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุผลว่า

บังเชื่อถือว่า ฮะดีษสามารถยกเลิกอายะกุรอานได้ ซึ่งผิดพลาดจากหลักวิชาการของบรรดาอุละมา

ทั้งหลายนับจากอะดีษจนถึงปัจจุบัน ที่เชื่อถือตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า หลักฐานใดๆ หรือคำสั่งใดๆ

ในอัลกุรอานถือเป็นปกาศิต ไม่สามารถถูกยกเลิกได้ด้วยปกาสิต หรือหลักฐานใดๆ หรือคำสั่ง

ใดๆของฮะดีษ

ฉะนั้นการที่นักปราชญ์ที่ได้รับความเชื่อถือของซุนนะยืนยันตรงกับชีอะว่า อายะกุรอานอายะนั้น

ดังกล่าว รับรองถึงเรื่องมุตอะ จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของเรื่องมุตอะมากยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งที่กล่าว

มาแล้ว จากศอฮีฮ์บุคอรี ศอฮีฮ์มุสลิม ว่าบรรดาศอฮาบะ เคยทำมุตอะ ล้วนทำให้เห็นหลักฐานยืน


ยันการอนุญาตเรื่องมุตอะ ให้หนักแน่นยิ่งขึ้นทั้งนั้น

ฉะนั้น จึงถือว่า ยังไม่เพียงพอแก่เหตุที่จะใครนำฮะดีษใดๆมาหักล้าง

ท่านกุรฏุบีย์นักตัฟซีรที่เลื่องชื่อของฝ่ายซุนนะ ไม่แพ้อิบนุกะษีร ยังกล่าวอีกว่า

«لم يختلف العلماء من السلف والخلف أن المتعة نكاح إلى أجل، لا ميراث فيه، والفرقة تقع عند انقضاء الأجل من
غيرطلاق، ثم نقل عن ابن عطية كيفية هذا النكاح وأحكامه (2)
وكذا الطبري، فنقل عن السد
ي: «هذه هي المتعة، الرجل ينكح المرأة بشرط إلى أجل مسمّى
“
บรรดาอุละมาชาวซะลัฟ และคอลัฟ ไม่มีความเห็นต่างเลย ว่าแท้จริงแล้ว การมุตอะ คือการทำนิ

กาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ที่ไม่มีเรื่องมรดกเกี่ยวข้อง การแยกจากกัน ย่อมมีผลเมื่อพ้นกำหนด

เวลา โดยไม่ต้องมีการตอลาก ท่านได้อ้างคำอธิบายจากท่านอัสสุดีย์ว่า นี่แหละ คือการทำมุตอะ

ผู้ชายทำการนิกาห์ผู้หญิง โดยมีเงื่อนไข ที่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ช่วงหนึ่ง”นอกจากนี้ ยังได้อ้างอิง

ถึงคำอธิบายของท่านอิบนุอับดุลบัร ปรมาจารย์ใหญ่ของฝ่ายซุนนะ

ชื่อเต็มๆคือท่านอะบูอุมัร ยูซุฟ บิน อับดุลลอฮ์ บิน มุฮัมมัด บิน อับดุลบัร บิน อาศิม อัลอะมะรี อัล

ดะละซี อัลกุรฏุบีย์ อัลมาลิกีย์ เกิดเมื่อ ฮ.ศ ๓๖๘ ตาย ๔๖๓ นับป็นอิมามสายฟิกฮ์ขั้นมุจตะฮิดสูง

สุดคนหนึ่ง และเป็นทั้งนักฮาฟิซ นักฮะดีษประจำยุคสมัยของฝ่ายซุนนะ ท่านได้กล่าวถึงเรื่องมุต

อะว่า

وعن ابن عبدالبرّ في «التمهيد»:.«أجمعواعلى أن المتعة نكاح، لا إشهاد فيه، وأنه نكاح إلى أجل يقع فيه الفرقة بلا طلاق ولا ميراث بينهما».
ท่านกล่าวในหนังสืออัตตัมฮีดว่า “บรรดาปวงปราชญ์ ลงมติร่วมกันว่า การนิกาห์มุตอะ นั้น ไม่

ต้องมีพยาน และแท้จริง มันคือนิกาห์ในระยะเวลาหนึ่ง ที่ระบุการแยกจากกันในเวลานั้น โด

ยไม่ต้องมีการฏอลาก และไม่มีเรื่องมรดก ระหว่างคนทั้งสอง”

(โปรดดู ตัฟซีรอัลกุรฏุบีย์)

ให้เอาแค่นี้ก่อน ยังมีอีกมากครับ ตอนนี้รีบ ผมก็จะไปสอนหนังสือเช่นกัน สายๆกลับมา)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 10:25 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

israya บันทึก:
ประการแรกบังได้เผยความอธรรมกับผมอย่างชัดแจ้ง โดยป้ายสีผมว่าบิดเบือนในตัฟซีรอัลกุ
รฏุบีย์ ที่ผมยกตอนหนึ่งมาอ้างประกอบ พร้อมกับชี้แจงว่า มันเป็นเพียงหลักฐานหนึ่งนำราของ
ซุนนะ และชีอะก็ไม่ได้ยึดถือตำรานี้

..........

นอกจากน้องบ่าว isriya จะไม่เชื่อตามตำราของชาวซุนนีย์แล้ว ยังนำถ้อยคำมาหมกเม็ด ตัดหัวตัดท้ายหลอกชาวบ้าน ปกติอาบังไม่ค่อยคุยกับชีอะฮ แต่พอคุยมา ก็เห็นได้ชัดว่า ไร้ราคาจริงๆ อะกีดะฮชีอะฮ และความเข้าใจ ไม่ต่างอะไรกับไม้หลักปักขี้เลน ไร้มาตรฐานและความมั่นคง
ระดับน้องบ่าวบังว่า ทำให้สำนักชีอะฮเสื่อมถอยมากขึ้น ดังนั้น เอาสุดยอดชีอะฮมาสนทนากันได้ไหม เพราะถ้าวกไปเวียนมา ทำเป็นปลาไหลอยู่รู อย่างนี้ มันเสียเวลาจริง แต่ที่อาบังทนสนทนาอยู่ได้ ก็เพราะเห็นว่า ผู้อ่านพอจะแยกแยะได้ชัดเชนขึ้นแล้วว่า อะไรคือความจริง และอะไรคือความเท็จ

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 11:19 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

israya บันทึก:

สุดคนหนึ่ง และเป็นทั้งนักฮาฟิซ นักฮะดีษประจำยุคสมัยของฝ่ายซุนนะ ท่านได้กล่าวถึงเรื่องมุต

อะว่า

وعن ابن عبدالبرّ في «التمهيد»:.«أجمعواعلى أن المتعة نكاح، لا إشهاد فيه، وأنه نكاح إلى أجل يقع فيه الفرقة بلا طلاق ولا ميراث بينهما».
ท่านกล่าวในหนังสืออัตตัมฮีดว่า “บรรดาปวงปราชญ์ ลงมติร่วมกันว่า การนิกาห์มุตอะ นั้น ไม่

ต้องมีพยาน และแท้จริง มันคือนิกาห์ในระยะเวลาหนึ่ง ที่ระบุการแยกจากกันในเวลานั้น โด

ยไม่ต้องมีการฏอลาก และไม่มีเรื่องมรดก ระหว่างคนทั้งสอง”

(โปรดดู ตัฟซีรอัลกุรฏุบีย์)

ให้เอาแค่นี้ก่อน ยังมีอีกมากครับ ตอนนี้รีบ ผมก็จะไปสอนหนังสือเช่นกัน สายๆกลับมา)


คงจะไปสอนเรื่องมุตอะฮแก่เยาวชนละซิ..เฮ้อ.. ปัญหาสังคมจริงๆ

ที่นี้มาดูสิ่งที่ระบุไว้ในตัฟสีรอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ซึ่งเป็นละเรื่องกับที่ น้องบ่าว israya อ้างหลอกเด็ก โปรดดูนะครับ


وَقَالَ الْجُمْهُور : الْمُرَاد نِكَاح الْمُتْعَة الَّذِي كَانَ فِي صَدْر الْإِسْلَام . وَقَرَأَ اِبْن عَبَّاس وَأُبَيّ وَابْن جُبَيْر " فَمَا اِسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ " ثُمَّ نَهَى عَنْهَا النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . وَقَالَ سَعِيد بْن الْمُسَيِّب : نَسَخَتْهَا آيَة الْمِيرَاث ; إِذْ كَانَتْ الْمُتْعَة لَا مِيرَاث فِيهَا . وَقَالَتْ عَائِشَة وَالْقَاسِم بْن مُحَمَّد : تَحْرِيمهَا وَنَسْخُهَا فِي الْقُرْآن ; وَذَلِكَ فِي قَوْله تَعَالَى : " وَاَلَّذِينَ هُمْ لِفُرُوجِهِمْ حَافِظُونَ إِلَّا عَلَى أَزْوَاجهمْ أَوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُمْ فَإِنَّهُمْ غَيْر مَلُومِينَ " [ الْمُؤْمِنُونَ : 5 - 6 ] . وَلَيْسَتْ الْمُتْعَة نِكَاحًا وَلَا مِلْك يَمِين . وَرَوَى الدَّارَقُطْنِيّ عَنْ عَلِيّ بْن أَبِي طَالِب قَالَ : نَهَى رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ الْمُتْعَة , قَالَ : وَإِنَّمَا كَانَتْ لِمَنْ لَمْ يَجِدْ , فَلَمَّا نَزَلَ النِّكَاح وَالطَّلَاق وَالْعِدَّة وَالْمِيرَاث بَيْنَ الزَّوْج وَالْمَرْأَة نُسِخَتْ . وَرُوِيَ عَنْ عَلِيّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ أَنَّهُ قَالَ : نَسَخَ صَوْم رَمَضَان كُلّ صَوْم , وَنَسَخَتْ الزَّكَاة كُلّ صَدَقَة , وَنَسَخَ الطَّلَاقُ وَالْعِدَّةُ وَالْمِيرَاثُ الْمُتْعَةَ , وَنَسَخَتْ الْأُضْحِيَّة كُلّ ذَبْح

และนักวิชาการส่วนมาก(ญุมฮูร) กล่าวว่า " หมายถึง นิกะหมุตอะฮ ที่ปรากฏในยุคแรกของอิสลาม และอิบนุอับบาส,อุบัยและอิบนุญุบัยรฺ ได้อ่านว่า

" فَمَا اِسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ

ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น จนกระทั่งถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง”หลังจากนั้น ท่านนบี Solallah ได้ห้ามมัน และ สะอีด บิน อัลมุสัยยิบ กล่าวว่า "โองการเกี่ยวกับมรดกได้ยกเลิกมัน" ดังนั้น การนิกะหมุตอะฮ จึงไม่มีการสืบทอดมรดก ในมัน" และอาอีฉะฮ,อัลกอสิม บิน มุหัมหมัด ได้กล่าวว่า "การนิกะหมุตอะฮนั้น เป็นสิ่งต้องห้ามและมันถูกยกเลิกแล้วในอัลกุรอ่าน" และดังกล่าวนั้น อยู่ในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า "

" وَاَلَّذِينَ هُمْ لِفُرُوجِهِمْ حَافِظُونَ إِلَّا عَلَى أَزْوَاجهمْ أَوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُمْ فَإِنَّهُمْ غَيْر مَلُومِينَ " [ الْمُؤْمِنُونَ : 5 - 6 ]

และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้รักษา (ไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของ) อวัยวะเพศของพวกเขา ,เว้นแต่แก่บรรดาภรรยาของพวกเขา หรือที่มือขวาของพวกเขาครอบครอง (คือทาสี) ในกรณีเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ถูกตำหนิ - อัลมุมินูน/ 5-6
ดังนั้น การทำมุตอะฮ นั้น ไม่ใช่การแต่งงาน และไม่ใช่การครอบครองทาส , และอัดดารุลกุฏนีย์ ได้รายงานจาก อาลี บิน อบีฏอลิบ(อิหม่ามคนแรกตามความเชื่อชีอะฮ) กล่าวว่า "รซูลุลลอฮ Solallah ได้ห้ามการทำมุตอะฮ" โดยเขากล่าวว่า "ความจริง มัน(การทำมุตอะฮ)ได้ปรากฏแก่ผู้ที่ไม่มี(คู่ครอง หรืออยู่ในท้องถิ่นห่างใกลจากคู่ครอง จึงได้รับการผ่อนปรน) แล้วเมื่อ บทญัติว่าด้วยการแต่งงาน, การหย่า,การมีอิดดะฮ(ระยะเวลาการรอค่อยที่จะแต่งงานใหม่ของหญิงหม้าย) และการสืบทอดมรดกระหว่างสามีและภรรยา ได้ถูกประทานลงมา ,มัน(การทำมุตอะฮ)ได้ถูกยกเลิก" และได้มีรายงานจากอาลี (ร.ฎ)ว่า เขากล่าวว่า "การถือศีลอดเดือนเราะมะฎอนได้ยกเลิกทุกๆการถือศีลอด, การจ่ายซะกาตได้ยกเลิกทุกๆการให้ทานและ การหย่า,การกำหนดอิดดะฮและการสืบทอดมรดก ได้ยกเลิกการทำมุตอะอ" และการทำอุฎฮียะฮ ได้ยกเลิกทุกๆการเชือด"
- ดู ตัฟสีรอัลกุฏุบีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 24 ซูเราะฮ อันนิสาอ์
.........

จากรายละเอียดข้างต้น แสดงให้เห็นว่า น้อง israya หมกเม็ดตัดตอน คำอธิบายของอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ จริงๆ กลับตัวเถิดน้อง ก่อนที่สายเกินแก้

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 1:41 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ดูๆแล้ว ชี้อะฮนี่เจ้าเล่ห์ จริงๆ อ้างตำราตัฟสีรซุนนีย์ เป็นหลักฐานมาโต้แย้ง โดยบิดเบือน ตบตา แต่พอเจอของจริง กลับบอกว่าไร้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้น ต่อไปถ้าเจ้าเล่ห์ ใช้เหตุผลตนเองมาโพสต์ เสียยาวยืด มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ รกกระดานบอร์ด ผมจะลบทันที่ เพราะผู้อ่านเขารำคาญมากๆ
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
israya
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009
ตอบ: 293


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 1:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขอให้ทุกท่านได้อ่านข้อความให้ตลอดนะครับ เขียนมายาวอีกแล้ว มันจำเป็นนะครับ

สรุปหลักฐานแรกของบังก็คือ ฮะดีษเดิมๆที่บังยกมาอ้างในกระดานนี้มาก่อนแล้ว และผมก็ได้ยก

หลักฐานหักล้างผ่านไปแล้ว ไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง เพราะลำพังโดยหลักฐานฮะดีษ จะไม่สามารถ

หักล้างกุรอานได้ นักวิชาการ วิญญูชนทั่วไปที่มีใจเป็นธรรม จะสามารถพิจารณาได้เองว่าการ

สรุปอย่างนั้นถือเป็นโมฆะ เพราะปกาศิตของฮะดีษไม่สามารถยกเลิกปกาศิตของกุรอาน ดังที่รู้

กันดีอยู่ในโลกวิชาการทั้งซุนนี ชีอะ และฮะดีษที่นำมาอ้างก็ยังค้านกับฮะดีษศอฮีฮ์อื่นๆอีก

จำนวนมาก โดยเฉพาะ ที่บอกว่า เป็นรายงานจากท่านอะลีเอง ยิ่งถือว่า เป็นจุดบกพร่องอย่าง

รุนแรง เพราะผมเคยนำหลักฐานคำคุฏบะฮ์ของท่านอะลีในสมัยที่ท่านขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ต่อจาก

ท่านอุษมาน บินอัฟฟาน ไปแล้วบางตอน ระบุในนั้นว่า

- علي بن إبراهيم، عن أبيه، عن حماد بن عيسى، عن إبراهيم بن عثمان، عن سليم بن قيس الهلالي قال: خطب أمير المؤمنين (ع) فحمد الله وأثنى عليه ثم صلى على النبي صلى الله عليه وآله، ثم قال: ألا إن أخوف ما أخاف عليكم خلتان(5): اتباع الهوى وطول الامل أما اتباع الهوى فيصد عن الحق وأما طول الامل فينسي الآخرة،
.......................................................................... فقال: قد عملت الولاة قبلي أعمالا خالفوا فيها رسول الله صلى الله عليه وآله متعمدين لخلافه، ناقضين لعهده مغيرين لسنته ولو حملت الناس على تركها وحولتها إلى مواضعها وإلى ما كانت في عهد رسول الله صلى الله عليه وآله لتفرق عني جندي حتى أبقى وحدي أو قليل من شيعتي الذين عرفوا فضلي وفرض إمامتي من كتاب الله عزوجل وسنة رسول الله صلى الله عليه وآله، أرأيتم لو أمرت بمقام إبراهيم (ع)(5) فرددته إلى الموضع الذي وضعه فيه رسول الله صلى الله عليه وآله، ورددت فدك إلى ورثة فاطمة (عليها السلام)(6) و رددت صاع رسول صلى الله عليه وآله كما كان(7)، وأمضيت قطائع أقطعها رسول الله صلى الله عليه وآله
................................................................................................ المناكح وأنفذت خمس الرسول كما أنزل الله عزوجل وفرضه ورددت مسجد رسول الله صلى الله عليه وآله إلى ماكان عليه ، وسددت مافتح فيه من الابواب، وفتحت ماسد منه، وحرمت المسح على الخفين، وحددت على النبيذ وأمرت باحلال المتعتين وأمرت بالتكبير على الجنائز خمس تكبيرات وألزمت الناس الجهر ببسم الله الرحمن الرحيم

ใจความโดยย่อก็คือว่า ท่านอิมามอะลีมีความเป็นห่วงอนาคตของประชาชาติอิสลามว่า จะหลงผิด

จนกลับไปหาอัลลอฮ์ในวันปรโลก จึงได้แถลงการณ์ในคุฏบะของท่านว่า ผู้ปกครองคนก่อนๆได้

กระทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับท่านรอซูลุลลอฮ์หลายเรื่อง โดยเจตนา และหักล้างพันธะสัญญาของท่าน

นบี โดยเปลี่ยนแปลงซุนนะหรือแบบอย่างของท่านนบี ศ หลายสิ่งหลายอย่าง

ประการต่อมา ท่านไดประกาศเจตนารมณ์ว่าจะทำการมาแก้ไข เพื่อนำพาทุกสิ่งทุกอย่างที่เบี่ยง

เบนไปให้กลับเข้ามาสู่รูปรอยเดิมของท่านรอซูล แต่ก็มีอุปสรรคและความยากลำบากมาก จนไม่

สามารถทำได้ทั้งหมดทุกเรื่อง เพราะคนส่วนใหญ่ในยามนั้นจะขัดขวาง และจะกล่าวหาว่า ท่าน

เข้ามาพลิกแพลงกฎหมายเดิมของคอลีฟะฮ์คนก่อนๆ เพราะประชาชนยังยึดติดและชินชาอยู่กับ

ความบิดเบือนและการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ท่านพูดถึงเรื่องตำแหน่งที่

ตั้งมะกอมอิบรอฮีม พูดถึงเรื่องฟะดัก มรดกของท่านหญิงฟาฏิมะ พูดถึงอัตราชั่งตวงที่เรียกว่า

ศออ์ ในสมัยรอซูล ท่านพูดถึงเรื่องฟุรฎูของเงินคุมส์ ท่านพูดถึงตำแหน่งที่ตั้งของมัสยิดเดิม พูด

ถึงประตูที่เคยถูกเปิดแต่ถูกสั่งปิดและที่เคยถูกปิด แต่ถูกสั่งเปิด พูดถึงเรื่องการลูบรองเท้า พูด

ถึงอัตรากำหนดโทษคนดื่มน้ำเมา พูดถึงเรื่องฮะลาลของการทำมุตอะ พูดถึงการตักบีรนมาซญะ

นาซะ ๕ ครั้ง และพูดถึงว่าจะให้อ่านบิสมิลลาฮ์ออกเสียงดังในนมาซ


ฉะนั้นการยกหลักฐานของบังในข้อที่ว่า ท่านอะลียกเลิกมุตอะ จึงถูกหลักล้างไปด้วยคุฏบะนี้ของ

ท่านอะลีตั้งนานมาแล้ว แต่บังก็ไม่วายนำเสนอหลักฐานเดิมมากล่าวถึงซ้ำๆซากๆ เป็นเหตุให้ผม

ก็จำเป็นต้องยกหลักฐานเดิมๆนี้มาหักล้างซ้ำๆซากๆ เช่นกัน


หลักฐานที่ ๒ ของบัง เป็นคำบอกเล่าของอิบนุญะรีร อุละมาฝ่ายซุนนะ ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องมุต

อะ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของบัง และของฝ่ายซุนนะที่เชื่ออย่างนั้น แต่ถ้าเราพิจารณาถึงน้ำหนัก

ความน่าเชื่อถือของกุรอาน และของฮะดีษศอฮีฮ์ ที่อนุญาตในเรื่องมุตอะ จะเห็นได้ว่าการนำ

ทัศนะส่วนตัว ส่วนบุคคลของมนุษย์สามัญมาหักล้าง ย่อมเป็นไปไม่ได้ ใครก็ไม่สามารถหักล้างอา

ยะกุรอานได้ ฉะนั้นหลักฐานในข้อ ๒ ของบัง เป็นความคิด ความเห็นของอิบนุญะรีรล้วนๆ ผมจึง

ไม่ให้ราคา

หลักฐานข้อที่ ๓ ของบัง 3. อิหม่ามชิฮาบุดดีน อัลอะลูซีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

فإذا استمتعتم وهو يدل على أن المراد بالاستمتاع هو الوطء والدخول لا الاستمتاع بمعنى المتعة التي يقول بها الشيعة والقراءة التي ينقلونها عمن تقدم من الصحابة شاذة


คำว่า “ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าเสพสุข” โดยที่ มันแสดงบอกว่า ความหมายของคำว่า “เสพสุข” คือ การ

ร่วมเพศ ไม่ใช่เสพสุข ด้วยความหมายว่า “มุตอะฮ(การเสพสุขชั่วคราว) ตามที่ชีอะฮ กล่าว และ

การอ่านที่พวกเขาได้รายงานมัน จากผู้ที่อยู่ในยุคก่อนจากเหล่าเศาะหาบะฮนั้น(หมายถึงราย

งานอิบนุอับาสที่ถูกนำมาอ้างเรื่องนิกะห์มุตอะฮ) เป็นรายงานที่เพี้ยน(หมายถึง แปลกแยกไป

จากรายงานอื่นๆ) – ดู ตัฟสีร อะลูซีย์ เล่ม 5 หน้า 7

ผู้มีสติปัญญา สามารถมองเห็นได้ชัดเลยว่า นี่คือ คำพูดที่ไร้สาระและคลุมเครือ จุดประสงค์ที่

กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อสนับสนุนหลักฐานการยกเลิกุตอะ ให้ดูสมจริงยิ่งขึ้นเท่านั้น ใครละครับ ที่บอกอิ

มามชาบุดดีน อะลูซีย์ของบัง ว่าชีอะให้ความหมายคำว่า المراد بالاستمتاع (เสพสุข) ว่าไม่ใช่การร่วม

เพศ และไม่ใช่ความหมายว่า “มุตอะฮ(การเสพสุขชั่วคราว) ในกุรอานมีการใช้คำว่า มะตาอุน อิ

ลา ฮิน (ประโยชน์สุขไปชั่วระยะหนึ่ง) อยู่มากมายทำไมอุละมาอิมามใหญ่ของบังท่านนี้ ไม่

พิจารณา ส่วนเรื่องการติเตียนวิธีการอ่านของศอฮาบะในอายะนั้น ผมไม่ขอออกความเห็น

เพราะอยู่นอกประเด็นที่เรากำลังเสวนา

หลักฐานข้อนี้ของบัง ก็ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะนำมาหักล้างเรื่องมุตอะว่าไม่เคยมีในสมัยท่านนบี แต่ถึง

อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่ว่า มีการยกเลิกมุตอะก็ไม่ใช่ว่าไม่มี และจุดสำคัญที่ผมจะแสดงให้เห็น

ก็คือ ใครเป็นคนยกเลิก อัลลอฮ์ หรือท่านนบี หรือว่า ใครกันแน่ ? เพราะตามธรรมชาติของ

ประชาชาติอิสลาม ถ้าหากเรื่องใด สิ่งใดอัลลอฮ์เป็นผู้ยกเลิกเอง หรือท่านนบีเป็นผู้ยกเลิกเอง

ย่อมจะเป็นที่ยอมรับในบรรดาผู้ศรัทธากันอย่างเป็นเอกฉันท์ทุกเรื่อง เช่นการเลิกสุรา เลิก

ดอกเบี้ย เลิกกินซาก และเลือดสัตว์ เลิกการกินของเซ่นไหว้ ฯลฯ แต่ทำไม การมุตอะ ที่มันไม่

เป็นเช่นนั้น ?

หลักฐานข้อที่ ๔ บังอ้างคำอธิบายของอุละมาฝ่ายซุนนะของบังว่า อิบนุอะเราะบีย์ กล่าวว่า “ ปรากฏ

ว่า อิบนุอับบาส กล่าวถึงการอนุญาตของมัน(ของนิกะหมุตอะฮ) ต่อมา ได้มีการยืนยันถึงการกลับ

คำของเขา(อิบนุอับบาส)จากมัน ดังนั้น จึงกลายเป็นมติของนักวิชาการ(อัลอิจญมาอฺ) ถึงการห้าม

มัน. ......พูดไปบังก็จะยกคำด่าเดิมๆมาด่าใส่ผม แต่ก็จำเป็นต้องพูดอีกที ว่ามติของนักวิชาการ

ไม่สามารถหักล้างบทบัญญัติของอัลลอฮ์ได้ ตราบใดที่ยังหลักฐานจากกุรอาน และฮะดีษบ่งบอก

ปรากฏอยู่ชัดเจน

ใครก็ตาม ต่อให้เป็นอุละมาทั้งโลกรวมทั้งอุละมาซุนนีทุกมัซฮับและอุละมาชีอะทุกสำนัก ร่วมกัน

จับมือออกแถลงการณ์ร่วมกันสักฉบับหนึ่ง เพื่อยกเลิกคำสั่ง หรือกฏเกณฑ์ใดๆของอัลลอฮ์(เช่น

มุตอะ)พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้


หลักฐานข้อที่ ๕ บังอ้างว่า บรรดานักวิชาการเห็นพ้องกัน ว่า การนิกะหฺมุตอะฮเป็นสิ่งต้องห้าม

และมันเป็นมติเอกฉันท์ระหว่างมุสลิมทั้งหลาย และมีสิ่งหนึ่งได้ถูกรายงานจากอิบนุอับบาส ว่า ได้

มีการผ่อนปรนแก่ผู้ที่อยู่ในภาวะจำเป็นอันเนื่องมาจากอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลานาน ต่อมาเขา(อิบนุ

อับบาส)ได้กลับคำ หลังจากที่ข่าวการห้าม(การมุตอะฮ)ได้มาถึงเขา – ชัรหุสสุนนะฮ เล่ม ๙ หน้า


มาถึงตรงนี้เอง ที่ผมยอมรับว่า เป็นข้อมูลความจริง และขอย้ำว่าเป็นความจริงทั้งหมดของอิบนุอับ

บาสก็ว่าได้ แต่ขอให้ทุกท่านพิจารณาประโยคว่า “ต่อมาเขา(อิบนุอับบาส)ได้กลับคำ หลังจากที่ข่าว

การห้าม(การมุตอะฮ)ได้มาถึงเขา” ถามว่า ข่าวการห้ามมุตอะที่ว่านี้ มาถึงท่านอิบนุอับบาสในสมัย

ของใคร ใช่สมัยท่านนบีหรือเปล่า ? ท่านอิบนุอับบาสเป็นศอฮาบะผู้ใกล้ชิดของท่านนบี เป็นลูกพี่

ลูกน้องท่านนบี เป็นนักรายงานฮะดีษจากท่านนบี เป็นปราชญ์แห่งวิชาตัฟซีรผู้ยิ่งใหญ่ใน

บรรดาศอฮาบะ ทำไมท่านไม่ได้ยินเรื่องนี้จากท่านรอซูลด้วยตัวท่านเอง และข่าวนี้ท่านได้ยินมา

จากไหน ได้ยินในสมัยใด ในสมัยท่านรอซูล ศ หรือว่า ในสมัยของใคร นี่คือ ประเด็นสำคัญที่

สุด สำหรับการเสวนาครับบัง ?

จากการตรวจสอบหลักฐานของบังตั้งแต่ต้นมา จนถึงข้อนี้ สรุปว่า การมุตอะกับสตรี เคยมีในสมัย

ท่านรอซูล ศ อย่างแน่นอน

ผมขอเรียนเสริมว่า นอกจากจะมีปรากฏในสมัยท่านรอซูล นบีของเรา(ศ) แล้ว การมุตอะ ยังมี

ปรากฏในสมัยอะบูบักร์ และยังมีปรากฏต่อไป จนถึงระยะหนึ่งในสมัยของท่านอุมัร บิน ค็อตต็อบ

จนกระทั่งต่อมา มีคำประกาศของท่านอุมัร โดยได้กล่าวว่า


มุตอะทั้งสองประเภทนั้น(ทั้งฮัจญ์ตะมัตตุอ์และนิกาห์มุตอะ) เคยมีในสมัยของท่านรอซูลุลลอฮ์

และฉันได้สั่งห้าม ทั้งสองสิ่งนั้น และกำหนดโทษไว้แก่สองสิ่งนั้น


ของจริงมาแล้วครับบัง โปรดดูตัวบทจริงๆได้จากตำราที่มีชื่อเสียงและถูกยอมรับของฝ่ายซุนนะ

เหล่านี้ได้ ณ บัดนี้

وقد وردت قولته هذه في كتب الفقه والحديث والتفسير والكلام أنظر منها: تفسير الرازي 2|167، شرح معاني الاثار 374، سنن البيهقي 6|207، بداية المجتهد 1|346 المحلّى 7|107، أحكام القرآن ـ للجصّاص ـ 1|279، شرح التجريد

หลักฐานที่เหลือ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าบังจะหยิบยกมาสนับสนุนสักเท่าใด ก็ได้แค่เพียงการ

ค่อนแคะ เช่นกล่าวหาว่าผมบิดเบือนหลักฐานในตัฟซีรอัลกุรฏุบีย์ ผมเรียนแล้วว่าผมไม่ได้บิด

เบือน แต่ได้หยิงยกมาให้เห็นเพียงว่า การมุตอะในสมัยนบีมีจริงเท่านั้นเอง และเป็นเรื่องที่

หลักฐานของบังทั้งหมดก็ยืนยันตามนั้น แต่ทว่า เพิ่งมีหลักฐานยกเลิก และผมก็ไม่ได้แย้งว่า

เรื่องคำสั่งการยกเลิกนั้น ว่าจะไม่มี แต่ผมตั้งประเด็นไว้แล้วว่า เราจะคุยกันว่า ที่ว่ายกเลิกนั้น

สามารถเอามาเป็นหลักฐานทางศาสนาได้แน่นอนหรือไม่ และเป็นคำสั่งที่มีผลบังคับไปจนถึงวัน

กิยามัตจริงหรือไม่ หรือว่าแค่ยกเลิกชั่วคราวในสภาพสังคมยุคหนึ่งเท่านั้น แต่การอนุญาตในตัว

ของมันยังคงอยู่

และก็ได้ปรากฏหลักฐานจากผมแล้วว่า ผู้ยกเลิกรายนั้น หาใช่อัลลอฮ์ไม่ และหาใช่ท่านนบีไม่

หากแต่เป็นท่านอุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ ไม่ต้องให้ผมตั้งคำถามเหน็บแนมแกมประชดว่า ท่านอุมัร

เป็นใคร ท่านยิ่งใหญ่กว่าอัลลอฮ์หรือ ท่านมีอำนาจเหนือกว่าท่านรอซูลหรือ หรือว่าท่านได้รับวะห์

ยูมาใหม่จนสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งของอัลลอฮ์ได้


คำถามเหล่านี้แหละ ที่อาจทำให้เห็นว่าผมลบหลู่ศอฮาบะ แต่ที่จริงไม่ใช่ ส่วนฝ่ายอุละมาซุนนะ

และบัง ไม่คิดอย่างผม ไม่ได้คิดอย่างชีอะ เพราะเราถือหลักการว่า การมุตอะยังไม่ถุกยกเลิกจาก

อัลลอฮ์ และท่านอุมัร ไม่มีอำนาจใดๆมากำหนดนโยบายของอัลลอฮ และของท่านรอซูล ที่ได้วาง

ไว้ให้แก่ประชาชาตินี้ เอาแค่นี้ก่อนนะครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
israya
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009
ตอบ: 293


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 1:58 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำไมคุณเปนคนบังสานี้ ผมไม่เข้าใจ ขู่จะลบเพราะเห็นว่ายาวมาก หรือว่า เพราะเห็นอะไรที่ได้ลบ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
israya
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009
ตอบ: 293


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 2:04 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

บังผมขอโทษที่รบกวนเวบบังนะครับ แต่ไหนๆเมื่อเราคุยกันเข้าเรื่อง เข้าบทสรุปแล้วกรุณาผม

สักครั้ง อย่าลบนะครับ เพราะจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย จะได้เข้าใจกัน แล้วจะไม่ระรานกัน

อีก ผมขอเท่านั้น บังเก็บมันไว้นั่นแหละ อิย่าลบมันเลย ยาวสักฮิดกะ ขอสักที นะบังนะ คนดี สุด

หล่อของน้อง ต่อไปจะไม่ทำให้บังเสียใจอีก
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 4:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

israya บันทึก:
เพราะผมเคยนำหลักฐานคำคุฏบะฮ์ของท่านอะลีในสมัยที่ท่านขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ต่อจาก

ท่านอุษมาน บินอัฟฟาน ไปแล้วบางตอน ระบุในนั้นว่า

- علي بن إبراهيم، عن أبيه، عن حماد بن عيسى، عن إبراهيم بن عثمان، عن سليم بن قيس الهلالي قال: خطب أمير المؤمنين (ع) فحمد الله وأثنى عليه ثم صلى على النبي صلى الله عليه وآله، ثم قال: ألا إن أخوف ما أخاف عليكم خلتان(5): اتباع الهوى وطول الامل أما اتباع الهوى فيصد عن الحق وأما طول الامل فينسي الآخرة،
.......................................................................... فقال: قد عملت الولاة قبلي أعمالا خالفوا فيها رسول الله صلى الله عليه وآله متعمدين لخلافه، ناقضين لعهده مغيرين لسنته ولو حملت الناس على تركها وحولتها إلى مواضعها وإلى ما كانت في عهد رسول الله صلى الله عليه وآله لتفرق عني جندي حتى أبقى وحدي أو قليل من شيعتي الذين عرفوا فضلي وفرض إمامتي من كتاب الله عزوجل وسنة رسول الله صلى الله عليه وآله، أرأيتم لو أمرت بمقام إبراهيم (ع)(5) فرددته إلى الموضع الذي وضعه فيه رسول الله صلى الله عليه وآله، ورددت فدك إلى ورثة فاطمة (عليها السلام)(6) و رددت صاع رسول صلى الله عليه وآله كما كان(7)، وأمضيت قطائع أقطعها رسول الله صلى الله عليه وآله
................................................................................................ المناكح وأنفذت خمس الرسول كما أنزل الله عزوجل وفرضه ورددت مسجد رسول الله صلى الله عليه وآله إلى ماكان عليه ، وسددت مافتح فيه من الابواب، وفتحت ماسد منه، وحرمت المسح على الخفين، وحددت على النبيذ وأمرت باحلال المتعتين وأمرت بالتكبير على الجنائز خمس تكبيرات وألزمت الناس الجهر ببسم الله الرحمن الرحيم

ใจความโดยย่อก็คือว่า ท่านอิมามอะลีมีความเป็นห่วงอนาคตของประชาชาติอิสลามว่า จะหลงผิด

จนกลับไปหาอัลลอฮ์ในวันปรโลก จึงได้แถลงการณ์ในคุฏบะของท่านว่า ผู้ปกครองคนก่อนๆได้

กระทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับท่านรอซูลุลลอฮ์หลายเรื่อง โดยเจตนา และหักล้างพันธะสัญญาของท่าน

นบี โดยเปลี่ยนแปลงซุนนะหรือแบบอย่างของท่านนบี ศ หลายสิ่งหลายอย่าง

ความเห็นของอิบนุญะรีรล้วนๆ ผมจึง

ไม่ให้ราคา


จริงๆแล้วคุฏบะฮข้างต้น ผมไม่ได้ให้ราคาเช่นกันเพราะ มันเป็นสิ่งที่ชีอะฮอุปโลกน์สิ่งเท็จขึ้นมา ให้แก่ เคาะลิฟะฮอาลี บิน อบีฏอลิบ เพื่อทำลายความเชื่อถือของบรรดาเคาะลฟะฮก่อนหน้านี้ อบูบักร์,อุมัรและอุษมาน อินชาอัลลอฮ จะนำสิ่งที่ชีอะฮอุปโลกน์ให้แก่ท่านอาลีและทำลายความเชื่อถือเคาะลิฟะฮท่านอื่นๆในโอกาสต่อไป

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย asan เมื่อ Sat Oct 10, 2009 7:55 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
israya
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009
ตอบ: 293


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 6:42 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

บังหาว่าผมเขียนยาวเปล่าๆไม่มีน้ำ ไม่มีเนื้อ ผู้อ่านรำคาญมากๆ ผมว่า ไม่จริงมั้งครับ มีผู้อ่านหลายคนโทรมาหาผมบอกว่า ของผมมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ถ้าไม่ติดอยู่ที่คำว่าชีอะ เขายอมรับทันที

มีรายหนึ่ง ชื่อ firdawz เขาติดใจการคุยของเราสองคนมาก เขาอยากได้ไปลงประชาสัมพันธ์เปิดกระทู้ในเว็บมุสลิมไทย ผมว่า การเสวนาทั้งของผมและของบัง มีคนสนใจมากนะครับ

ผู้อ่านตัดสินได้ เสียอย่างเดียว ที่มีพวกแกลบ พวกรำเข้ามาปะปนมากทำให้เลือกไม่ออก

firdawz จึงคัดเอาเฉพาะท่อนหลังๆไปลงกระทู้ ในมุสลิมไทย ขอบคุณมากๆบัง กระทู้เราสองคน สุดยอด รู้ไหม ??
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 7:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

israya บันทึก:

มีรายหนึ่ง ชื่อ firdawz เขาติดใจการคุยของเราสองคนมาก เขาอยากได้ไปลงประชาสัมพันธ์เปิดกระทู้ในเว็บมุสลิมไทย ผมว่า การเสวนาทั้งของผมและของบัง มีคนสนใจมากนะครับ
??


ชื่อ firdawz ก็คือ sraya ไง ชีอะฮ ย่อมหอมตดชีอะฮอยู้แล้ว...

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AntiRafidah
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 05/06/2009
ตอบ: 120


ตอบตอบ: Sat Oct 10, 2009 8:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

israya บันทึก:

บังหาว่าผมเขียนยาวเปล่าๆไม่มีน้ำ ไม่มีเนื้อ ผู้อ่านรำคาญมากๆ ผมว่า ไม่จริงมั้งครับ มีผู้อ่านหลายคนโทรมาหาผมบอกว่า ของผมมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ถ้าไม่ติดอยู่ที่คำว่าชีอะ เขายอมรับทันที

มีรายหนึ่ง ชื่อ firdawz เขาติดใจการคุยของเราสองคนมาก เขาอยากได้ไปลงประชาสัมพันธ์เปิดกระทู้ในเว็บมุสลิมไทย ผมว่า การเสวนาทั้งของผมและของบัง มีคนสนใจมากนะครับ

ผู้อ่านตัดสินได้ เสียอย่างเดียว ที่มีพวกแกลบ พวกรำเข้ามาปะปนมากทำให้เลือกไม่ออก

firdawz จึงคัดเอาเฉพาะท่อนหลังๆไปลงกระทู้ ในมุสลิมไทย ขอบคุณมากๆบัง กระทู้เราสองคน สุดยอด รู้ไหม ??





โอโห โฆษณาเข้าข้างตัวเองอย่างหน้าไม่อายเลยครับ รอฟิเฏาะแบบคุณนี่ อย่างหนาตราช้างแท้ๆ



ที่คุณบอกว่าน่าเชื่อถือที่ว่า นั่นคือการที่คุณโดนจับได้ว่า หมกเม็ด และพลิกลิ้น ตั้งไม่รู้กี่รอบนี่เหรอครับ? โอโห สุดยอด



ความน่าเชื่อถือ ถ้าน่าเชื่อถือจริงไม่จำเป็นต้องมาป่าวประกาศเองหรอกครับ ก็คล้ายๆ กับเรื่องหน้าตาของคนเรานั่นแหละ
ที่เจ้าตัวไม่จำเป็นต้องมานั่งป่าวประกาศเองว่าข้าหล่อ ข้าสวย คนที่ดูเขาจะรู้เองว่าหล่อจริง สวยจริงหรือเปล่า



เพราะฉนั้น การที่คุณมาเขียนยกตนเองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรนอกจากเป็นการแก้เขิน
ที่ตัวเองโดนจับติดได้ไม่รู้กี่รอบจนนับไม่ถ้วนว่าหมกเม็ด และพลิกลิ้น จนหมดความน่าเชื่อถือไปแล้วนั่นเอง


และการที่ไปอ้างนายรอฟิเฏาะ firdawz จากเว็บมุสลิมไทย นั่นก็เพราะว่าคุณเองก็เริ่มไม่ไหวแล้ว
ก็เลยอยากจะเรียกพวกเข้ามา ก็พามาสิครับ เราอยากให้พามาตั้งนานแล้ว แต่พาตัวที่ใช้ได้ๆ มาหน่อยนะ พาพวกพล่ามไร้สาระไปเรื่อยๆ แบบคุณเราเบื่อ



อ้อ และความจริง ผมจับได้ตั้งนานแล้ว ว่าคุณ กับรอฟิเฏาะ firdawz นั้น มีเปอร์เซ็นสูงที่เป็นคนเดียวกัน
และเก็บข้อมูลไว้แล้วในเว็บมุสลิมไทย กระทู้โคไมนี่ฟัตวาเรื่องแปลงเพศได้ คนเขา
เข้าไปอ่านที่ผมเขียนไว้ ก็รู้แล้วว่ามีการชำแหละรอฟิเฏาะอยู่ที่นี่


อีกอย่าง นาย firdawz มันจะคัดไปลงกระทู้ทำบ้าอะไรครับ ในเมื่อไปเขียนเชิญชวนแล้ว
ก็แปะลิ้งค์ของเว็บนี้ไว้แค่นี้ก็ได้แล้ว ผู้อ่านเขาจะได้จับประเด็นได้ตั้งแต่เริ่มแรกด้วย
ไม่จำเป็นต้องคัดไป พอคัดไปแล้ว เข้าไปอ่านดู หน้าเว็บก็แตกเละเทะไปหมด อ่านไม่รู้เรื่องเลย
สู้เข้ามาอ่านต้นฉบับที่นี่เสียยังจะดีกว่า ก็รอฟิเฏาะมันทำงานไม่เป็นแบบนี้ไงครับ คนเค้าถึงเบื่อ



แล้วก็คุณรอฟิเฏาะ israya ครับ ที่คุณเขียนว่า คนที่โทรหาคุณ บอกว่าข้อความคุณน่าเชื่อถือ
ถ้าไม่ติดคำว่าชีอะ เขาจะยอมรับทันที แสดงว่าเขาน่าจะเป็นมุสลิม ไม่ใช่รอฟิเฏาะ ผมเลยสงกะสัยว่า


เขาได้เบอร์โทรศัพท์คุณมาแต่หนแห่งไหน ตำบลใดครับ ถึงได้โทรหาคุณได้?

ถ้าบอกว่าเขาคนนั้น คือ firdawz หรือรอฟิเฏาะด้วยกันเองละก็ โอโห จบกัน โกหกว่ารอฟิเฏาะด้วยกันเองเป็นซุนนี
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ปัญหาศาสนา ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 11, 12, 13 ... 27, 28, 29  ถัดไป
หน้า 12 จากทั้งหมด 29

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.18 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ