ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 3:27 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
จากตำราชีอะฮ
عن الصادق أنه قال ما من رجل تمتع ثم اغتسل إلا وقد خلق الله تعالى سبعين ملكا من كل قطرة ماء يتقاطر من جسده ليستغفر له إلى يوم القيامة ويلعن على من يجتنب منه حتى تقوم الساعة .
รายงานจากอัศศอดิก ว่า เขากล่าวว่า "ไม่มีชายใด ที่ทำการมุตอะฮ (เสพสุขชั่วคราวกับสตรี) หลังจากนั้นเขาอาบน้ำ นอกจากอัลลอฮ ได้ทรงสร้างมลาอิกะฮ 70 องค์ จากทุกๆหยดน้ำ ที่หยดจากร่างกายของเขา แล้ว เขาได้ขออภัยโทษให้แก่เขาผู้นั้นและสาบแช่งผู้ที่ออกห่างจากเขา ตราบจนวันกิยามะฮ - ดู มุนตะฮาอัลอามาล เล่ม 2 หน้า 341
.......
มันอะไรกันครับ น้องบ่าว isriya ขนาดน้ำที่หยดจากร่างกายผู้ที่เล่นมุตอะฮ อัลลอฮบันดาลให้กลายเป็นมลาอิกะฮ เชียวหรือ นะอูซุบิลละฮ ท่านเอาคำสอนมาจากศาสดาท่านใดหรือ _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 3:56 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ปัญหาของบังอะซัน คือ ทำไมการอาบน่ำญะนาบะ ลิดล้างโสโครกของมุตอะจึงได้รับภาคผลมาก
เช่นนั้น
ในเมื่อนิกาห์มุตอะ เป็นเรื่องอนุญาตให้ทำได้ ก็เท่ากับว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตาม
หลักศาสนา ตามหลักการของชีอะ ถือว่าทั้งคู่วาญิบให้อาบน้ำญะนาบะฮ์หรือยกฮะดัษ หลังจากมี
เพศสัมพันธ์
ซึ่งการอาบน้ำยกฮะดัษระหว่างสามีภรรยา ตามหลักการของชีอะ ก็มีฮะดีษนบีบอกว่า จะได้รับ
มรรคผลมากมาย ความบาปจะถูกชำระล้างเหมือนใบไม้ร่วงจากต้น
บรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ ยืนยันว่า การยกเลิกมุตอะโดยคำสั่งของผู้ปกครองบางท่านในอดีต
ไม่ชอบต่อหลักการอนุญาตจากอัลลอฮ และต้องการไม่ให้คนทั้งหลายยึดติดกับทัศนะเช่นนั้น
(ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮ์อนุญาต) จึงได้กล่าวไว้เช่นนั้น และคำพูดของอิมาม ก็ทำให้ผู้คนมีความมั่น
ใจ ว่าการทำมุตอะ ไม่ได้ถูกยกเลิกจริง ใครที่สามารถทำมุตอะได้ ก็เท่ากับทำให้สิ่งที่ฮะลาล
ของอัลลอฮ์ ปรากฏเป็นสิ่งฮะลาล (อะฮัลลา มาอะฮัลลัลอฮ) เพราะถ้าถือสิ่งฮะลาลของอัลลอฮ์
เป็นสิ่งฮะรอม (ฮัรรอมะ มา อะฮัลลอฮ์) จะเป็นบาปใหญ่ ฉะนั้นผลบุญของการยกเลิกคำสั่งที่ไม่
ชอบ(ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮอนุญาต)จึงมีมากกว่า เป็นธรรมดา
(นี่เป็นความเชื่อของชีอะ ตอบโดยไม่ต้องใช้หลักตะกียะใดๆ) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 4:01 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
israya บันทึก: |
(นี่เป็นความเชื่อของชีอะ ตอบโดยไม่ต้องใช้หลักตะกียะใดๆ) |
[B]ความเชื่อนี้ ได้มาจากคำสอนของอัลลอฮ หรือรอซูล หรือเปล่า เพราะความเชื่อเรื่องศาสนาต้องมาจากพระเจ้าและศาสดาของพระเจ้า ใหนช่วยโพสต์ตัวบทให้อาบังทัศนาหน่อยน้องบ่าวที่รัก _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 4:08 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แต่ผมให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจบังเสียเหลือเกิน ไม่นับรวมที่บังลบข้อความและปิดกระทู้
ของผมนะครับ
นั่นก็คือ ทำไมทีบังขอหลักฐานและคำตอบจากผม ไม่ว่าเรื่องใดๆ ผมก็มักจะให้คำตอบแก่บัง
ตามเหตุและผล จากความรู้ที่มีเพียงน้อยนิดสม่ำเสมอ แล้วเหตุไฉน ในเมื่อเวลาผมของหลัก
ฐานจากบังบ้าง บังไม่เคยแยแสจะให้คำตอบแก่ผมเลย ทำไมบังใจจืดใจดำกับผมเช่นนี้ เช่น
กรณีที่บังปิดบังอำพรางความรู้ เรื่องเล่นมิสยาร เพื่อตอบสนองราคะกรรมของฝ่ายซุนนะบ้าง บัง
จึงไม่มอบให้ผมเลย ผมจึงไม่ทราบว่า หลังจากหญิงชายได้ผ่านการสมสู่ตามกระบวนการสิมยาร
ที่อุละมาของบังได้ปลุกเสกขึ้นมาเป็นหลักการแล้ว พวกเขาอาบน้ำญะนาบะกันหรือเปล่า และ
พวกเขามีหลักฐานอ้างอิงไปถึงอุละมา หรือนบีคนไหนบ้าง ว่าพวกเขาจะได้รับผลบุญมากใด เท่า
นี้แหละ ขอให้บังตอบคำถามผมบ้าง ยอมรับครับว่าผมยังโง่เขลาหลายเรื่อง ถ้าถามควยามรู้เรื่อง
เล่นมิสยาร ผมจนปัญญาและโง่จนแทบจะถูกเรียกขานว่า "หัวควาย" อยู่แล้ว นะบัง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 4:10 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บังตอบผม แล้วผมจะตอบบัง ??? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
สับสน มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 03/09/2009 ตอบ: 13
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 6:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขออณุญาติฉายซ้ำ
ชีอะฮฺกับการเล่นมุตอะฮฺ
เรื่องราวอันแปลกประหลาดอีกประการหนึ่งในแนวทางชีอะฮฺนั้นก็คือ ชาวชีอะฮฺมักจะนิยมการ เล่นมุตอะฮฺ
คำว่ามุตอะฮฺนี้ความหมายในเชิงภาษา(อาหรับ) หมายถึง ความปิติยินดี,ความสนุกสนานและความต้องการก็ได้
แต่ในหมู่ชาวชีอะฮฺคำนี้มีความหมายว่า การแต่งงานชั่วคราว ตามหลักนิติศาสตร์ของชาวชีอะฮฺนั้นเป็นที่อนุมัติที่ผู้ชายจะมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยการแต่งงานชั่วคราว
สำหรับการเล่นมุตอะฮฺกันระหว่างชายหญิงนั้นสามารถกระทำได้ไม่ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่ หนึ่งชั่วโมง หนึ่งวัน หรือมากกว่านั้น
โดยทั้งนี้ระยะเวลาที่กำหนดก็ขึ้นอยู่กับการตกลงของคนทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตามการเล่นมุตอะฮฺกันในแนวทางชีอะฮฺย่อมไม่มีอะไรกีดขวางเลยแก่คนหนุ่มสาว เพราะนอกจากจะเป็นที่อนุมัติแล้ว
การเล่นมุตอะฮฺยังเป็นอิบาดัตที่ประเสริฐยิ่งกว่าการละหมาด การถือศีลอด และการทำฮัจญ์ด้วยซ้ำ จากหลักฐานต่างๆเหล่านี้
قال ابو عبدالله ما من رجل تمتع ثم اغتسل الا خلق الله كل قطرة تقطر منه سبعين ملكا
يستغفرون له الي يوم القيمة
อบูอับดุลลอฮฺได้กล่าวว่า: ไม่มีชายคนใดที่เขาได้ทำการมุตอะฮฺ หลังจากนั้นเขาได้อาบน้ำ นอกเสียจากว่าอัลลอฮฺจะสร้างมาลาอิกะฮฺขึ้นมา 70 ท่าน จากน้ำทุกหยดที่หยดออกมาจากตัวเขา โดยที่มาลาอิกะฮฺเหล่านั้นจะทำการขออภัยโทษให้แก่เขาจนถึงวันกิยามะฮฺ
قل النبي ضلي الله عليه وسلم من تمتع مرة واحدة عتق ثلثه من النار ومن تمتع مرتين عتق ثلثاه
من النار ومن تمتع ثلاث مرات عتق كله من النار
ผู้ใดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺเพียงแค่ครั้งเดียว หนึ่งในสามของเขาจะรอดพ้นจากนรก และผู้ใดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺสองครั้ง สองในสามของเขาจะรอดพ้นจากไฟ และเช่นนั้นแหละ บุคคลผู้ซึ่งเล่นมุตอะฮฺสำเร็จจนถึงสามครั้ง เขาจะได้รับการปกป้องจากไฟนรกทั้งปวง
قل النبي صلي الله عليه وسلم من تمتع مرة فد رجته كد رجة الحسين ومن تمتع مر تين فد رجته كد رجة الحسن ومن تمتع ثلاث مرات فدرجته كدرجة تاعلي ومن تمتع اربع مرات درجته كدرجتي
ผู้ใดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺจนสำเร็จแม้แค่ครั้งเดียว ตำแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับท่านฮุเซน และใครที่เล่นมุตอะฮฺสองครั้งตำแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับฮะซัน และเช่นนั้นแหละ บุคคลที่เล่นมุตอะฮฺสามครั้ง เขาได้ไปถึงตำแหน่งของท่านอะลี และใครก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺครั้งที่สี่เขาย่อมไปถึงตำแหน่งของท่านนบี قال ابو جعفر عليه السلام ان النبي صلي الله عليه وسلم لم اسري به الي السماء قال لحقيني جبريل عليه
السلام فقال يا محمد ان الله تبارك وتعالي يقول اني قد غفرت للمتمتعين من امتك من النساء
อบูญะอฺฟัร ได้กล่าวว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึง เหตุการณ์ของการเดินทางสู่ฟากฟ้าในค่ำคืน(อิสรออฺมิร็อจ) ว่า ญิบรีลได้มาพบฉันและกล่าวแก่ฉันว่า โอ้มุฮัมมัด พระองค์อัลลอฮฺได้ป่าวประกาศไว้ว่า แท้จริง ข้าได้อภัยแก่สตรีทั้งหมดเหล่านั้นจากอุมมะฮฺของเจ้าที่ได้มีส่วนร่วมในมุตอะฮฺ
ชาวชีอะฮฺนั้นมักจะอ้างเหตุผลง่ายๆเพื่อรองรับการเล่นมุตอะฮฺว่ามันเป็นการแก้ไขปัญหาสังคม ที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิง
เพราะชายหญิงหากไม่ได้เป็นคู่ครองกันนั้นไปไหนมาไหนด้วยกันย่อมถือว่าหะรอมดังนั้นจึงได้มีการอนุมัติมุตอะฮฺขึ้นมา
เกี่ยวกับข้ออ้างนี้นั้นข้าฯขอตอบว่าเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี อิสลามถือว่าความสุขสำราญทางเพศไม่ใช่เป้าหมายหลักของการแต่งงานเลย
และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมอิสลามจึงไม่เห็นด้วยกับการหย่าร้างนอกจากตัวเลือกสุดท้ายแล้วจริงๆ เพราะมนุษย์มิใช่จะง่ายดายที่คิดจะสมสู่กับใครก็กระทำ
และเมื่อเสร็จกามกิจก็หย่ากัน ลองคิดดูเถิดว่าคู่ที่มุตอะฮฺกันจะไม่เป็นเพียงแค่ความรักและชีวิตคู่ที่ลวงหลอกและเจ็บปวดดอกหรือ?
การที่ฝ่ายชายไม่ต้องมีพันธะรับผิดชอบผู้หญิงแม้ว่านางจะท้องขึ้นมาหลังจากเสร็จสิ้นการมุตอะฮฺแล้วนี่คือการแก้ไขปัญหาสังคมตามสติปัญญาของชีอะฮฺเหรอ
เด็กนั้นร้อยนับพันจะไม่มีพ่อนี่คือทางออกและการแก้ปัญหาหรือ และจงถามลึกๆในใจของพวกเชคชีอะฮฺตันหากลับทั้งหลายดูสิว่า
หากเป็นลูกสาวของมันเองจะยอมให้ชายอื่นๆมามุตอะฮฺไหม? บางครั้งความถูกผิดของเรื่องบางเรื่องมันบ่งบอกได้จากความรู้สึกจิตใต้สำนึก
หากแม้นมุตอะฮฺเป็นสิ่งที่ถูกจริง เหตุใดเมื่อชายมุสลิมหยอกผู้หญิงชีอะฮฺด้วยคำว่า มามุตอะฮิด้วยกันไหม
ทำไมผู้หญิงชีอะฮฺต้องโกรธด้วยล่ะ ในเมื่อมันถูกต้อง ปล่าวเลย ที่โกรธเพราะใจก็รู้อยู่ลึกๆว่ามันไม่ถูกต้อง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 7:03 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขออณุญาติฉายซ้ำ
ชาววาฮาบีกับการเล่นมิสยาร
เรื่องราวอันแปลกประหลาดอีกประการหนึ่งในแนวทางวาฮาบีนั้นก็คือ ชาววาฮาบีมักจะนิยมการ มิสยาร
คำว่ามิสยารนี้ความหมายในเชิงภาษา(อาหรับ) หมายถึง เดินทางระยะสั้นๆ สิ่งที่ง่ายๆ,
แต่ในหมู่ชาววาฮาบี คำนี้มีความหมายว่า การแต่งงานกันระยะสั้นๆ ตามหลักนิติศาสตร์ของ
ชาววาฮาบีนั้นเป็นที่อนุมัติที่ผู้ชายจะมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยการเล่นมิสยาร
สำหรับการเล่นมิสยารกันระหว่างชายหญิงนั้นสามารถกระทำได้ตลอดไป ไม่มีการจำกัดวัน
เวลา โดยทั้งนี้ระยะเวลาการเลิกรา ให้ขึ้นอยู่กับชายเพียงฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ตามการเล่นมิสยารกันในแนวทางวาฮาบีย่อมไม่มีอะไรกีดขวางเลยแก่คนหนุ่มสาว
ฉะนั้นนอกจากจะไม่เป็นที่อนุมัติแล้ว การเล่นมิสยารยังเป็นบิดอะที่เลวร้ายยิ่ง เพราะบิดเบือน
หลักการแต่งงานทุกประเภทในอิสลาม
เท่ากับทำลายการละหมาด การถือศีลอด และการทำฮัจญ์ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆจากอัล
กุรอาน และฮะดีษรองรับ
ผู้ใดก็ตามที่เล่นมิสยารจนสำเร็จแม้แค่ครั้งเดียว ตำแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับการทำซินา
และใครที่เล่นมิสยารสองครั้งตำแหน่งของเขาก(จะเทียบเท่าชัยตอน และเช่นนั้นแหละ บุคคลที่เ
ล่นมิสยารมากไปกว่านั้น เขาจะต้องได้ไปพบกับการลงโทษของอัลลอฮ์อย่างแน่นอน
ชาววาฮาบีนั้นมักจะอ้างเหตุผลง่ายๆเพื่อรองรับการเล่นมิสยารว่ามันเป็นการแก้ไขปัญหาสังคม
ที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงในสาอุ ทั้งๆที่ปัญหาชายหญิงก็มีเหมือนกันทั่วโลก คำถามก็คือ อัลลอฮ์
ผ่อนปรนให้พวกสาอุให้เล่นมิสยารตั้งแต่เมื่อใด
เพราะชายหญิงหากไม่สามารถเป็นคู่ครองกันได้เพราะมะฮัรแพง ไม่มีบ้านอยู่ ก็ไม่มีโอกาสมี
เพศสัมพันธ์ ตายไปก็ขาดทุนที่ไม่เคยได้รู้รสการสมสู่ ดังนั้นจึงได้มีการอนุมัติมิสยารขึ้นมา
เกี่ยวกับข้ออ้างนี้นั้นข้าฯขอตอบว่าเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี อิสลามของพวกเขาถือว่าความสุข
สำราญทางเพศไม่ใช่เป้าหมายหลักของการแต่งงานเลย ฉะนั้น พวกเขาคงคิดว่า ถ้าแค่ต้องการ
ความสุขทางเพศ ให้เล่นมิสยารกันก็พอ
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมวาฮาบีจึงไม่ยอมกำหนดเวลาการหย่าร้างให้กับผู้เล่นมิสยาร ถึงแม้จะ
จ่ายมะฮัรให้นางแค่หนเดียว และฝ่ายชายไม่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูใดๆ แต่กระนั้นอำนาจการหย่าก็
ให้ขึ้นอยู่กับฝ่ายชาย เพราะพวกวาฮาบีถือว่า ปกติแล้ว มิใช่เรื่องง่ายดาย ที่มนุษย์จะมีโอกาสได้
สมสู่กับใคร
ถ้าเสร็จกามกิจก็หย่ากัน ลองคิดดูเถิดว่าคู่ที่เล่นมิสยารกัน จะคิดถึงความสุขทางเพศสักขนาด
ไหนและชีวิตคู่ที่หย่ากันตามกำหนด วาฮาบีมองว่า เป็นการลวงหลอก ฉะนั้นผู้ชายจะยอมให้ตัว
เองเจ็บปวดหรือ?
การที่ฝ่ายชายไม่ต้องมีพันธะรับผิดชอบผู้หญิงแม้ว่านางจะท้องขึ้นมาหลังจากเสร็จสิ้นการเล่นมิส
ยารแล้ว จะทำอย่างไร ในเมื่อไม่วาญิบที่สามีจะต้องส่งเสียให้ภรรยา นี่คือการแก้ไขปัญหา
สังคมตามสติปัญญาของวาฮาบีเหรอ
เด็กนับร้อยนับพันจะตกในสภาพเหมือนไม่มีพ่อ นี่คือทางออกและการแก้ปัญหาหรือ และจงถาม
ลึกๆในใจของพวกเชควาฮาบีตันหากลับทั้งหลายดูสิว่า
หากเป็นลูกสาวของมันเองจะยอมให้ชายอื่นๆมาเล่นมิสยารไหม? บางครั้งความถูกผิดของเรื่อง
บางเรื่อง นอกจากบ่งบอกได้จากความรู้สึกจิตใต้สำนึกแล้วยังต้องคำนึงถึงหลักศาสนาด้วย
หากแม้นการล่นมิสยารเป็นสิ่งที่ถูกจริง เหตุใดเมื่อจึงมีเว็บในโลกวาฮาบีเปิดโอกาสให้ชายหญิง
ถามตอบกันว่า จะเล่นมิสยารกับฉันไหม ?
ทำไมผู้หญิงวาฮาบีจึงไม่มีความละอายเหมือนกับหญิงทั่วไปด้วยเล่า ที่ยอมเสนอตัวออกมาให้
ผู้ชายเล่นมิสยาร ไม่เหมือนผู้หญิงอิสลามทั่วไป ถึงแม้การนิกาห์ถาวรหรือมุตอะจะเป็นเรื่องที่ถูก
ต้อง แต่ถ้าวาฮาบีที่ไร้มารยาทผลีผลามเข้าไปทาบทามขอมุตอะ ก็จะถูกตบหน้าคว่ำกลับมาทุก
ราย เพราะไม่ใช่ว่า ถ้าเป็นสิ่งถูกต้องแล้วจะต้องเสนอตัวให้ผู้ชายระบายความใคร่ได้ง่ายๆ
เหมือนการเล่นมิสยาร เพราะหญิงชีอะยังต้องรักษาความเป็นมุมินะ ที่ฝ่ายชายควรจะให้ผู้ชายสู่
ขอตามประเพณีที่ดีงามและตามหลักศาสนา หลังจากนั้นแล้ว จะนิกาห์ถาวร หรือมุตอะ ก็ค่อยว่า
กัน ไม่ใช่ออกโรงแชทกันตามหน้าจอขอเล่นมิสยาร ให้ขายหน้าคนไปทั่วโลก
ไม่ดีกว่าหรือ ? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dolmabahce มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 11/03/2008 ตอบ: 90
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 7:28 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอิสรายาจอมขี้ขลาดครับ ไปตอบกระทู้นี้ด้วย
http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&p=12639#12639
มิวยาร ถ้ามันจะผิดจริงก็มาจากการวินิจฉัยที่ผิดไปของบรรดาอุลามาอ์
ขอยำว่ามิสยารคือ การวินิจฉัยของบรรดาอุลามาอ์ทั้งจากอาชาอิเราะและวะฮาบี(ซุนนะฮ์)ครับ
มิใช่มาจากหลักการหะดิษตรงๆแต่อย่างใด
ผิดกับมุตอะฮ์ของชีอะฮ์ที่ยังไงๆ ก็ผิดเต็มประตูครับ
เพราะกระทำได้แม้แต่กับกาเฟร และหญิงเล่นชู้ หลักฐานนี้อยู่ในหนังสือ ตะฮ์รีลอัลวะซีลละ ของท่านโคไมนี่
ถ้าท่านต้องการจะพิสูจน์ก็ขอมาจะยกให้ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dolmabahce มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 11/03/2008 ตอบ: 90
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 7:31 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
มุตอะฮ์ถูกยกเลิกแล้วชัวร์ๆล้านเปอร์เซน
قال أمير المؤمنين صلوات الله عليه:
( حرم رسول الله صلى الله عليه وآله يوم خيبر لحوم الحمر
อะมีรุลมุมินีน กล่าวว่า ท่านรอซูลได้ห้ามในวันแห่งการพิชิตค็อยบัร ซึ่งการกินเนื้อลาและการนิกะฮฺมุตอะฮฺ
(หนังสือ อัตตะฮฺซีบ เล่ม 2 หน้า 186,อัลอิสติบซ็อร เล่ม 2 หน้า 142
قال: فاقبل عبدالله بن عمير فقال: يسرك أن نساءك وبناتك وأخواتك وبنات عمك يفعلن ؟ قال فأعرض عنه أبو جعفر حين ذكرنساءه وبنات عمه
"อับดุลเลาะฮฺ บิน อุมัยรฺ หันมา แล้วพูดว่า ท่าน(คืออิหม่ามบากิร อ.)ยินดีไหม ? ด้วยการที่บรรดาภรรยาของท่าน บรรดาบุตรสาวของท่าน บรรดาพี่น้องสาวของท่าน และบรรดาหลานสาวของท่าน ได้กระทำ(มุตอะฮฺ) ? ซุรอเราะฮฺ กล่าวว่า อบูญะฟัร (อิหม่ามบากิร ) จึงเบือนหน้าหนีขณะที่เขาได้กล่าวเกี่ยวกับ บรรดาภรรยา และบรรดาหลานของเขา (คือของอิหม่ามบากิร)
สรรหามาอ่านซะพี่บ่าวยาซีน
ฟูรู๊ อัลกาฟี เล่ม 2 หน้า หน้า42 อัต-ตะฮฺซีบ เล่ม 2 หน้า 1
وكان عليه السلام يوبخ أصحابه ويحذرهم من المتعة فقال: أما يستحي أحدكم أن يرى موضع فيحمل ذلك على صالحي إخوانه وأصحابه؟
และเช่นกันท่านอิมามญะอิฟัรเคยประนามและติเตียนสหายของท่านเกี่ยวกับการเล่นมุตอะฮฺ
สรรหามาอ่านซะ
ฟุรัวอฺกาฟี เล่ม 2 หน้า 44
ولما سأل علي بن يقطين أبا الحسن عليه السلام عن المتعة أجابه:
ما أنت وذاك؟ قد أغناك الله عنها
อะลี บินยักตีน ถามอบูฮะซันเกี่ยวกับมุตอะฮิ ท่านจึงได้ตอบว่า เจ้าจะได้ประโยชน์อะไรจากมันล่ะ แน่แท้อัลลอฮฺได้ทดแทนแก่เจ้าด้วยสิ่งที่ดีกว่า (หมายถึงการแต่งงาน)
สรรหามาอ่านนะ
ฟุรัวอฺ กาฟี เล่ม 2 หน้า 43 |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dolmabahce มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 11/03/2008 ตอบ: 90
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 7:32 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
กระหายมุตอะฮ์มากเกินจนเลวชาติสอนกันว่านบีเคยเล่นมุตอะฮ์
تمتع رسول الله صلى الله عليه واله وسلم قال: نعم
ครั้งหนึ่งอิมามศอดิกได้ถูกถามว่า "ท่านรอซูลเคยเล่นมุตอะฮฺหรือปล่าว" ท่านอิมามตอบว่า"ใช่"
ตรวจสอบหะดีษนี้ได้จาก
http://www.al-shia.com/html/ara/books/f ... /a156.html |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dolmabahce มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 11/03/2008 ตอบ: 90
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 7:35 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
หะดิษที่ยกมาคงเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่ามุตอะฮ์ถูกยกเลิก หลักฐานจาก กุตตุบอัรบาอะ ของชีอะฮ์เอง
แต่อย่างไรก็ตามเชื่อเหลือเกินว่าพวกชีอะฮ์อ่อนหัดอย่างคุณอิสรายาจะอ้างห่วยๆว่าหะดิษเหล่านี้ดออีฟๆๆๆๆ
งั้นอ่านซะนะจะได้ฉลาดขึ้นบ้าง
ท่านเชคกุลัยนีได้กล่าวไว้ในบทนำหนังสืออัลกาฟีย์ของท่านว่า
إنك تحب أن يكون عندك كتاب كاف يجمع فيه من جميع فنون علم الدين ما يكتفي به المتعلم ويرجع إليه المسترشد ويأخذ منه من يريد علم الدين والعمل به بالآثار الصحيحة عن الصادقين عليهم السلام
แท้จริง ท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าท่านครอบครองตำราเล่มหนึ่งซึ่งเป็นที่เพียงพอแล้ว(แก่ชีอะฮฺของฉัน) พร้อมกับนำไปสู่ศาสตร์ทั้งหมดของศาสนา สรรสาระทั้งหมดภายในตัวของมันนั้นตอบสนองต่อความต้องการของนักศึกษา(ผู้แสวงหาความรู้) ซึ่งอยู่ในฐานะที่ประหนึ่งราวกับว่าเป็นหลักฐานอ้างอิงของบรรดาผู้แสวงหาทางนำ อีกทั้งจะถูกยึดถือใช้โดยบุคคลผู้ซึ่งมีเป้าประสงค์ในการจะบรรลุความเข้าใจถึงศาสตร์แห่งศาสนาและปฏิบัติอาม้าลเหนือมันโดยได้รับมาจากรายงานที่ ซอเฮี๊ยฮฺ จากบรรดาอิมามผู้สัตย์จริง!!!
(อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๘ ใน มุก็อดดิมะฮฺ ฉบับตีพิมพ์ที่เมืองอิหร่าน)
คำกล่าวของท่านกุลัยนีในประเด็นนี้ได้รับการเน้นย้ำอีกครั้งโดย อะยาตุลลอฮฺ อบูฏอลิบ อัตต็อบริซีย์ ซึ่งตัวเขาได้นำมากล่าวยืนยันไว้ในบทนำหนังสือของเขาว่า
وقد صرح في مقدمته بصحة أحاديثه حيث قال وقلت تحب أن يكون عندك كتاب يأخذ منه من يريد علم الدين والعمل به بالآثار الصحيحة عن الصادقين عليهم السلام . . . . إلى أن قال وقد يسر الله وله الحمد تأليف ما سألت وأرجو أن يكون بحيث توخيت
เขา(กุลัยนี)ได้กล่าวประกาศถึงความ ซอเฮี๊ยฮฺ ของบรรดาหะดิษในอัลกาฟีย์ในภาคบทนำไว้ว่า แท้จริง ท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าท่านครอบครองตำราเล่มหนึ่งซึ่งเป็นที่เพียงพอแล้ว(แก่ชีอะฮฺของฉัน) พร้อมกับนำไปสู่ศาสตร์ทั้งหมดของศาสนา สรรสาระทั้งหมดภายในตัวของมันนั้นตอบสนองต่อความต้องการของนักศึกษา(ผู้แสวงหาความรู้) ซึ่งอยู่ในฐานะที่ประหนึ่งราวกับว่าเป็นหลักฐานอ้างอิงของบรรดาผู้แสวงหาทางนำ อีกทั้งจะถูกยึดถือใช้โดยบุคคลผู้ซึ่งมีเป้าประสงค์ในการจะบรรลุความเข้าใจถึงศาสตร์แห่งศาสนาและปฏิบัติอาม้าลเหนือมันโดยได้รับมาจากสายรายงานที่ ซอเฮี๊ยฮฺ จากบรรดาอิมามผู้สัตย์จริง!!! ไปจนถึง พระองค์อัลลอฮฺได้ทำให้เป็นสิ่งที่ง่ายดายแก่การรวบรวมของสิ่งที่ท่านได้เรียกร้อง ฉันหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงจะอยู่ในการยอมรับอย่างเห็นพ้องต้องกันพร้อมกับความปรารถนาคุณในจิตใจ(มัวอฺญัมอัลมะฮะซิน วะอัลมะศอมี หน้าที่ ๑๗ ฉบับตีพิมพ์ที่เมืองกุมประเทศอิหร่าน) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dolmabahce มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 11/03/2008 ตอบ: 90
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 7:36 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คำพูดของเชคกุลัยนีนี้ได้รับการตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของอัลกาฟีย์โดยท่านชัยคฺอับดุลฮุเซน อัจฉริยะโลกชีอะฮฺ ไว้ว่า
الكافي والاستبصار والتهذيب ومن لا يحضره الفقيه , يعني الكتب الأربعة , متواترة مقطوع بصحة مضامينها , والكافي أقدمها وأعظمها وأحسنها وأتقنها
หนังสือ อัลกาฟีย์, อัลอิสติบซ้อร, ตะฮฺซีบบุลอะฮฺกาม และมันลายะฮิฎุรุฮุลฟะกีฮฺ หรือที่เรียกว่ากุตุบ อัรบะอะฮฺ คือ (หนังสือที่ประมวลไปด้วยหะดีษ) มุตะวาติเราะฮฺ โดยเฉพาะตำราอัลกาฟีย์ ที่เก่าแก่ที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ดีเลิศที่สุดและถูกต้องมากที่สุด!!!
อัลมุรอญะอาต หมายเลขที่ 110 |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dolmabahce มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 11/03/2008 ตอบ: 90
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 8:15 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ชีอะมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตัวเองนับเป็นพันปี ตั้งแต่สมัยท่านรอซูลมีชีวิต จนถึงวันวา
ฟาต กระทั่งถึงวันนี้ แนวทางของพวกเขาชัดเจนมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะถูกราวีด้วยลูกหลาน
ของอะบูซุฟยานอย่างหนักก็ตาม แม้ว่าจะถูกระรานจากพวกอับบาซียะอย่างหนักขนาดไหนก็ตาม
หลักการของพวกเขาโดดเด่นเป็นตัวของตัวเองมาตั้งแต่ท่านรอซูล ท่านอะลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อิ
มามฮะซัน ฮุเซน ซัยนับ และอุมมุลกุลซูม ตลอดจนถึงบรรดาทายาทผู้สืบตระกูล
หลักการทั้งหมดของชีอะ เคยเป็นอยู่อย่างไรในอดีต ก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าศอฮาบะสายมุ
อาวียะ หรือตาบิอีน หรืออุละมาที่นิยมมุอาวียะในรุ่นต่อมา จะทุ่มเทเพียรพยายามลบล้าง เพื่อดับ
รัศมีของพวกเขามาแล้วสักเพียงใด
ทายาทสืบทอดเจตนารมณ์ของเหล่าบรรดาผู้อธรรมทุกยุคทุกสมัย พยายามหักล้างคำสอน ของ
อิมามียะฮ์มาโดยตลอด พวกคุณเคยรู้บ้างหรือไม่ หัดอ่านประวัติและเรื่องราวของบรรดาอะฮ์ลุ
ลบัยต์บ้างเพื่อเจริญหูตาตัวเอง บัดนี้ ผ่านยุคสมัยที่ชีอะถูกกักบริเวณไว้อย่างถูกอธรรมแล้ว ได้
เวลาพวกคุณลืมตามองโลกแห่งความเป็นจริงของชีอะเสียที เพื่อจะได้รู้ว่าสัจธรรมของอิสลาม อยู่
กับฝ่ายใด มัซฮับทั้ง ๔ หรือวาฮาบี หรือชีอะกันแน่ ??
เพื่อจะได้รับแสงสว่าง จงอย่าหลงตัวเอง อย่าปิดหู ปิดตาตัวเอง อย่าขังตัวเองในคุกมืดทาง
วิชาการ และที่สำคัญ อย่าตกเป็นทาสความพึงพอใจกับความเป็นอิสลามตามความรู้สึก อิสลาม
ตามจินตนาการ นั่นคือ การหลับหูหลับตา ยอมตกเป็นทาสทางปัญญาของอุละมาอย่างอิบนุตัยมี
ยะ อิบนุก็อยยิมและสมุนบริวารลิ่วล้อทั้งหลาย จนมาถึงอิบนุวะฮาบ ที่ให้แนวทางด้านวิชาการอัน
หลงผิดให้แก่พวกพ้อง จนได้กลายเป็นวาฮาบี ตราบจนถึงปัจจุบัน
พวกเขาเหล่านั้น ไม่มีความรู้ทางศาสนาดีกว่าพวกคุณหรือ ถ้าหากพวกคุณคิดโง่ๆว่า สามารถหัก
ล้างหลักฐานของชีอะ แม้สักเรื่องเดียวไม่ว่าเรื่องใด ทำไมพวกคุณไม่ใช้หัวสมองคิดว่า อุละมานับ
ตั้งแต่รุ่นแรกที่ปฏิบัติการณ์จองเวรกับชีอะ มากระทั่งถึงยุคของมุฮัมมัด อิบนุ วะฮาบ ขณะที่พวก
เขาอยู่กับหลักฐานข้อมูลด้วยกันมา ต่างเป็นเจ้าของภาษาอาหรับด้วยกัน เคยมีสักครั้งไหม ที่
พวกอุละมาเหล่านั้นสามารถยกหลักฐานใดๆไปหักล้างพวกชีอะได้
พวกคุณซิ เอาแค่หลักฐานทางวิชาการเรื่องเดียว แค่เรื่องพ่อแม่นบีตกนรก พวกคุณก็ทนรับฟัง
ไม่ได้ ปิดประตูหนีการพูดคุย อุละมาของพวกคุณ เอาชนะอุละมาชีอะได้ด้วยการขู่จะเอาตำรวจ
จับ เมื่อจนมุมต่อหลักฐาน แล้วน้ำหน้าอย่างพวกคุณ ที่ไม่รู้เรื่องแม้กระทั่งความหมายอายะกุ
รอาน อายะที่ ๒๔/๑๗ น่ะหรือ จะมีศักยภาพพอในการห้ำหั่นทางวิชาการกับชีอะแม้สักประเด็น
เดียว
แต่ชีอะไม่ได้เป็นอย่างนั้น พวกเขายืนหยัด รับคำท้าทายของพวกคุณมาตลอด ถ้าหากเป็นเวที
แห่งจริยธรรม ฉะนั้น อย่าได้รีรอ แม้สักนาทีเดียว เอามาเถิดหลักฐานใดๆที่พวกคุณมี และที่
พวกคุณคิดว่า สามารถนำมาหักล้างหลักการใดๆสักข้อหนึ่งของชีอะได้ พวกคุณจะได้ชื่อว่า เป็นอุ
ละมาระดับโลก จะมีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ไปจนถึงวันกิยามะฮ์ ว่าคณะนักวิชาการประจำเว็บ
มรดกอิสลาม ในประเทศไทย สามารถเอาชนะ โค่นล้มหลักการของชีอะได้แล้ว เชิญครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Thu Oct 08, 2009 8:33 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ว้า !! งานกร่อย
หวังว่า Israya จะนำเสนอหลักฐานหักล้าง กลับพร่ำพรรณนาสรรพคุณตนเองเสียยืดยาว เสียเวลาอ่านจริงๆ
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|