ทหารสหรัฐทุกนายจงจดจำไว้ว่า กลุ่มก่อการร้ายจะแต่งตัวมาในรูปแบบของพลเรือนชาวอีรัก รถพยาบาลจะแอบซุ่มบรรทุกระเบิด รถที่ไม่ยอมหยุดให้ตรวจค้นคือผู้ก่อการร้าย ถ้าพวกท่านไม่สังหารพวกเขาก่อน พวกเขาก็จะสังหารพวกท่าน และสิ่งที่สำคัญก็คือ อย่าได้ให้นักข่าวเข้าใกล้สถานที่ๆ เกิดเหตุอย่างเด็ดขาด
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สร้างความปวดร้าวอย่างใหญ่หลวงให้กับตัวผมก็คือ ในขณะที่ผมกำลังแจกจ่ายอาหารและยาให้กับชาวอีรักกลางกรุงแบกแดด แต่ถูกปฏิเสธจากชาวอีรักโดยกล่าวว่า พวกเราจะไม่รับความช่วยเหลือจากผู้ที่บุกยึดครองและสังหารพ่อแม่พี่น้องของพวกเรา และยังข่มขืนพี่สาวเราอีกด้วย
หลายครั้งผมพยายามตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนผมถึงกับลุยเข้าขอพบกับผู้บังคับบัญชาระดับสูง และเล่าเรื่องราวดังกล่าวให้พวกเขาฟังพร้อมกับชี้แจงอีกว่า การกระทำดังกล่าวไม่ใช่การปลดปล่อยชาวอีรัก อีกทั้งยังเป็นการละเมิดสิทธิด้านมนุษยชนและยังเป็นการก่ออาชญากรรมอีกด้วย แต่คำพูดดังกล่าวนั้นกลับถูกผู้บังคับบัญชาสะบัดหน้าหนีไม่ให้ความสำคัญแม้แต่น้อยนิด
หลังจากที่ผมเดินทางกลับจากอีรัก เกือบทุกครั้งที่ผมนอนในยามค่ำคืนจะต้องสะดุ้งตื่นหวาดผวากับภาพเหตุการณ์ที่คอยหลอกหลอน..........ครั้งหนึ่งผมเคยกราดยิงใส่รถยนต์ของชาวอีรักที่กำลังวิ่งใกล้เข้าสู่ด่านตรวจค้นในกรุงแบกแดด เลือดสดๆ ที่ไหลรินออกจากรถยนต์พร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากชาวอีรักที่บริสุทธิ์ไม่มีอาวุธติดตัวโดยพวกเขาถามว่า ......ทำไมต้องทำกับพวกฉันอย่างนี้.......ทำไมต้องฆ่าพวกฉันด้วย.......พวกฉันผิดอะไร..........
จากเรื่องราวดังกล่าวทำให้ผมเป็นกังวลและอับอายเป็นอย่างมากจนบางครั้งคิดว่าการฆ่าตัวตายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และเพื่อเป็นการชดใช้หนี้กรรมที่ผมได้ทำไว้กับชาวอีรัก ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีทหารสหรัฐฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมากหลังกลับจากอีรัก และบางรายก็ไม่ยอมกลับไปในอีรักอีก
นั่นเป็นการออกมาแฉและเปิดโปงโดย นสพ.ลองมาเนเต้ ของประเทศฝรั่งเศส ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2004โดยนักข่าวชาวฝรั่งเศสบุกสัมภาษณ์อดีตนายทหารสหรัฐที่เคยเข้าไปปฏิบัติการทหาร 1 ปีเต็มในอีรัก และขณะนี้ถูกส่งตัวกลับสู่รัฐคาโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
สงวนลิขสิทธิ์โดย © Moradokislam.org All Right Reserved.