เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์ยิงถล่มชาวอเมริกัน 4 คน พร้อมกับเผาประจานลากไปแขวนไว้ที่ราวสะพานในเมืองฟัลลูยะห์ ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางตะวันตกประมาณ 50 กม. จากการกระทำดังกล่าวทำให้รัฐบาลสหรัฐพยายามเน้นประโคมข่าวความโหดเหี้ยมของมุสลิมชาวอีรัก ที่สังหารประชาชนที่บริสุทธิ์ชาวอเมริกัน ให้ทั่วโลกได้รับรู้เพื่อเป็นการเรียกคะแนนความเห็นใจให้กับรัฐบาลสหรัฐ
ขณะเดียวกันทั่วโลกก็เริ่มออกมาวิจารณ์ความโหดเหี้ยมของชาวอีรัก แม้กระทั่งอุลามาอ์ในอีรักเองก็ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการขัดต่อหลักศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง
แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วัน อุลามาอ์ซุนนะห์ในอีรักก็ออกมากล่าว ยกเลิกการประณามการสังหารชาวอเมริกันทั้ง 4 คน เนื่องจากบุคคลกลุ่มดังกล่าวนั้น เข้ามาทำธุรกิจควบคุมการส่งเสบียงให้กับทหารสหรัฐในอีรักโดยมีสัญญากับกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ซึ่งอุลามาอ์ซุนนะห์ในอีรักถือว่า บุคคลกลุ่มดังกล่าวเป็นเป้าหมายที่จะต้องขับไล่ต่อสู้ให้ออกไปจากแผ่นดินอีรัก
และแล้วการกระทำที่ป่าเถื่อน( ปิดประตูตีแมว )ของทหารสหรัฐก็เริ่มขึ้นโดยทหารสหรัฐประกาศจะล้างแค้นถล่มผู้ก่อการร้ายในเมืองดังกล่าว ซึ่งมีการเสริมกำลังทหารถึง 2 หมื่นนายพร้อมรถถังบุกเข้าปิดล้อมเมืองฟัลลูยะห์ไว้ทุกด้านอีกทั้งยังมีการประกาศเคอร์ฟิวและยังมีการส่งเครื่องบินรบและฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ บุกยิงเป็นระลอกถล่มเป้าหมายต้องสงสัย ซึ่งล่าสุดมีการรายงานว่า เป้าหมายที่ถูกถล่มนั้นคือ บ้านเรือน ตลาด สะพาน สวนเกษตรของชาวเมืองฟัลลูยะห์ และยังมีประชาชนชาวอีรักที่ถูกถล่มเสียชีวิตและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก
กล่าวได้ว่าทหารสหรัฐบุกเข้ายึดครองประเทศอีรักโดยไม่มีความชอบธรรม อีกทั้งสหประชาชาติก็ไม่เห็นด้วย
แต่ในขณะที่ชาวอีรักซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ออกมาขับไล่ต่อสู้กับศัตรูที่เข้ามายึดครองประเทศของพวกเขา กลับกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายไปเสียแล้ว เท่ากับว่าในขณะนี้ชาวอีรักกับชาวปาเลสไตน์กำลังตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันนั่นเอง และอย่างนี้จะให้การก่อการร้ายหมดไปได้อย่างไร ?
สงวนลิขสิทธิ์โดย © Moradokislam.org All Right Reserved.