เมื่อพระองค์อัลลอฮฺได้ให้อัลอิสลามเป็นศาสนาแก่มนุษย์ชาติพระองค์ก็ได้ทรงแต่งตั้งศาสนฑูตของพระองค์เพื่อรับบัญชาและให้
ประกาศศาสนา แต่ทว่าบรรดาศาสนฑูตในยุคต้นๆได้รับการแต่งตั้งให้ประกาศศาสนาเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น
เช่น ท่านนบีมูซา
เป็นศาสนฑูตสำหรับชาวยะฮูดี และท่านนบีอีซาเป็นศาสนฑูตสำหรับชาวนะศอรอ ซึ่งต่างจาก ท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม
ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนฑูตแก่มนุษยชาติทั้งมวล พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า
"และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใดนอกจากเป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้เตือนถึงข่าวร้ายแก่มนุษย์ทั้งมวล" (สะบะ:28)
จะเห็นได้ว่าพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงแต่งตั้ง ท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม เพียงคนเดียว ให้ทำหน้าที่ประกาศอัลอิสลาม
แก่มนุษย์ในยุคสุดท้ายทั้งหมด โดยที่พระองค์มิได้ทรงแต่งตั้งบุคคลอื่นมาเป็นศาสนฑูตร่วมด้วย เพราะฉะนั้นมนุษย์ทุกเชื้อชาติ
ทุกเผ่าพันธุ์จึงต้องย้อนกลับไปศึกษาเรื่องอัลอิสลามจากคำสอนของ ท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น
เมื่อพระองค์อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานอัลอิสลามให้เป็นศาสนาแก่มนุษย์ชาติโดยผ่าน ท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม
พระองค์ก็ทรงยืนยันว่า
"ประกาศเถิดว่า ที่จริงแล้วฉันก็เป็นปุถุชนเหมือนพวกท่าน หากแต่มีวะฮียฺมายังฉัน" (อัล-กะฮฺฟิ:110)
"และเขามิได้พูดจากอารมณ์ หากแต่มันเป็นวะฮียฺที่ถูกประทานมา" (อัลนัจมฺ:3-4)
จึงกล่าวได้ว่า อัลอิสลามถูกประทานมาโดยผ่าน ท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยวิธีทางวะฮียฺ
บางท่านให้ความหมาย "วะฮียฺ" ว่า หมายถึงการดลใจ ซึ่งป็นความหมายที่ใกล้เคียง แต่วะฮียฺที่อัลลอฮฺได้ให้แก่นบีนั้น บางครั้งก็ด้วย
การให้ท่านนบีฝัน บางครั้งก็ให้ฑูตสวรรค์ (ญิบรีล) นำมาบอกแก่ท่านนบีโดยตรง นั่นย่อมหมายถึงทุกวิถีทางที่พระองค์อัลลอฮฺ
ได้ทรงสื่อให้ท่านนบีได้รับรู้ในเรื่องของอิสลาม
วะฮียฺส่วนหนึ่งเป็นคำของพระองค์อัลลอฮฺ ถูกเรียกว่า "อัลกุรอาน" และวะฮียฺอีก
ส่วนหนึงเป็นคำของท่านนบี ถูกเรียกว่า "หะดีษ"
หรือ "ซุนนะห์" ซึ่งวะฮียฺทั้งสองส่วนนี้เป็นมาตรฐานทางศาสนาอิสลามควบคู่กัน
สงวนลิขสิทธิ์โดย © Moradokislam.org All Right Reserved.