หลังจากการลอบสังหารนายรอฟีก อัลฮารีรี่ย์ อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอนเสียชีวิต ทำให้การเมืองในแถบตะวันออกกลางเริ่มร้อนระอุขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลซีเรียด้วยแล้ว เป็นที่หมายหัวของสหรัฐกับอิสราเอลว่า ซีเรียต้องอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้ ทั้งๆที่ยังไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนที่จะบ่งชี้ถึงซีเรียนั้นพัวพันการลอบสังหาร แต่ว่าสหรัฐกับอิสราเอลซึ่งกำลังรอโอกาศนี้มาตั้งนานเพียงเพื่อหาความชอบธรรมต่อชาวโลกในการคิดบัญชีจัดการกับซีเรียซึ่งเป็นหอกข้างแคร่กับอิสราเอลมานมนาน และเรื่องราวที่เกี่ยวพันกันเริ่มเป็นมาอย่างไร ผมขอนำท่านผู้อ่านไปรู้จักประวัติของนายร่อฟีก อัลฮารีรี่ย์ อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอนกันก่อน
นายรอฟีก อัลฮารีรี่ย์ อายุ 61 ปี เป็นชาวมุสลิมซุนนะห์ เกิดในประเทศเลบานอน ในอดีตที่ผ่านมาประกอบอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและได้รับงานประมูลรับเหมาในประเทศซาอุดิอารเบียจนกระทั่งร่ำรวยเป็นระดับมหาเศรษฐี ขณะเดียวกันนายอัลฮารีรี่ย์ ก็เป็นที่รู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับคนในราชวังของซาอุดิอารเบียเป็นอย่างดี
แต่ในขณะที่นายอัลฮารีรี่ย์ยังอยู่ในซาอุดิอารเบีย ในปีที่ 1989 ทางด้านประเทศเลบานอนเองก็เกิดสงครามกลางเมืองถึง 3 ฝ่าย คือฝ่ายคริสเตียน,ฝ่ายซุนนะห์และฝ่ายชีอะห์ จากสงครามดังกล่าวทำให้สันนิบาตรอาหรับนำโดยรัฐบาลซาอุดิอารเบียต้องส่งนายอัลฮารีรี่ย์ เข้าไปเป็นตัวกลางเพื่อหาทางสงบศึกภายในประเทศเลบานอน
จนกระทั่งปี 1990 สงครามกลางเมืองในเลบานอนก็ยุติลง โดยแต่ละฝ่ายได้รับตำแหน่งทางการเมืองปกครองประเทศกันต่อไป โดยฝ่ายคริสเตียนได้รับตำแหน่งเป็นถึงประธานาธิบดี และฝ่ายซุนนะห์ได้เลือกให้นายฮารีรี่ย์เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนทางด้านฝ่ายชีอะห์ก็ได้รับตำแหน่งสำคัญทางการเมืองเช่นเดียวกัน ต่อมานายฮารีรี่ย์ได้ทำสัญญายอมให้ซีเรียส่งทหารเข้ามาช่วยคุ้มครองประเทศเลบานอน ซึ่งเลบานอนเองก็ยังมีศัตรูที่สำคัญตัวฉกาจที่กำลังจ้องมองคอยเขมือบนั่นก็คืออิสราเอลนั่นเอง ในขณะที่เลบานอนไม่มีศักยภาพด้านการทหารที่เพียงพอที่จะคอยดูแลตัวเองหลังจากเกิดสงครามกลางเมืองที่ผ่านมา ซึ่งสัญญาดังกล่าวจัดทำขึ้นต่อหน้ารัฐบาลซาอุดิอารเบียในเมืองตออิฟ ประเทศซาอุดิอารเบีย
จากสัญญาการส่งทหารซีเรียเข้าไปในเลบานอนดังกล่าว แน่นอนย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับอิสราเอลเป็นอย่างมาก และที่สำคัญถ้าอิสราเอลไม่พอใจก็เท่ากับว่ารัฐบาลสหรัฐก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน แต่ทั้งสหรัฐและอิสราเอลก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากเป็นการยอมความกันและเป็นการพึงพอใจกันระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นมาการเมืองในเลบานอนก็ดำเนินมาด้วยดีพร้อมกับอิทธิพลของนายฮารีรี่ย์ที่แผ่ขยายจนถึงขั้นเป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์รวมถึงสถานีโทรทัศน์เลบานอนชื่อ อั้ลมุสตะบั้ล
จวบจนปีที่ผ่านมานายฮารีรี่ย์เริ่มมีปัญหาด้านการเมืองจนถึงขั้นประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนตุลาคมปี 2004 และลงสมัครเลือกตั้งครั้งใหม่แต่ไม่ได้รับเสียงข้างมาก จนต้องกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านไปในที่สุด และที่สำคัญพรรคฝ่ายค้านรวมถึงนายฮารีรี่ย์(เปลี่ยนจุดยืนเดิมที่ทำมากับมือ)เริ่มยกปัญหาขึ้นมาโดยเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐบาลเลบานอนต้องให้ซีเรียถอนทหารออกจากเลบานอนให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐซึ่งรอโอกาศอยู่แล้วรีบออกมาสนับสนุนพรรคฝ่ายค้านเลบานอนโดยกล่าวถึงทหารซีเรียว่า จำเป็นที่ซีเรียต้องถอนทหารออกจากเลบานอน ซึ่งรัฐบาลทั้งซีเรียและเลบานอนก็ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าวมาโดยตลอด
แต่แล้วนายฮารีรี่ย์ก็มาถูกลอบสังหารเสียชีวิต ท่ามกลางการยิ้มกริ่มของรัฐบาลสหรัฐกับอิสราเอลที่กำลังเข้าทางปืนและนับว่าถือไพ่เหนือกว่าซีเรียหลายขุม ถึงแม้ว่าสหรัฐยังไม่มีหลักฐานใดๆ ก็ตาม แต่สหรัฐกำลังจะบอกกับชาวโลกว่า ซีเรียมีผู้นำประเทศที่ชั่วร้าย ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยในภูมิภาคตะวันออกกลางใหม่หมด โดยอ้างความสงบสุขของชาวโลกนั่นเอง
สงวนลิขสิทธิ์โดย © Moradokislam.org All Right Reserved.