ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
คนทำดีได้ดี มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2005 ตอบ: 10
|
ตอบ: Tue Jul 12, 2005 10:59 pm ชื่อกระทู้: อยากรู้จังค่ะ นิกายของอิสลามในไทยน่ะค่ะ |
|
|
อยากทราบค่ะว่าศาสนสอิสลามในไทยน่ะมีทั้งหมดกี่นิกายคะ
แล้วนิกายอะไรมีคนนับถือมากที่สุดน่ะค่ะ ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
addullslam มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
|
ตอบ: Tue Jul 12, 2005 11:32 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ครับ ในศาสนาอิสลามนั้นไม่มีคำว่านิกาย
แต่เราจะใช้คำว่า มัชฮับ (แปลว่า แนวทาง)
ซึ่งแต่ละท่านก็ได้นำ คัมภีร์ อัลกุรอานและแบบอย่างของท่าน
ศาสนทูตมุฮัมมัด มาขยายความให้ง่ายต่อการเข้าใจ
ซึ่งคุณ คนทำดีได้ดีจะหาได้จากhttp://www.moradokislam.org/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=101
ก็อาจจะช่วยได้บ้าง ครับผม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
addullslam มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004 ตอบ: 672
|
ตอบ: Tue Jul 12, 2005 11:41 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
หรือไปที่ กระดานข่าวซึ่งอยู่ด้านบนของเว็บ
แล้วไปที่ หะลาล หะรอม แล้วไปที่ รู้ไว้ได้ประโยชน์เรื่องของสี่อิมาม
จะพอช่วยได้ ครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dabdulla มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005 ตอบ: 437
|
ตอบ: Wed Jul 13, 2005 12:41 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ครับอิสลาม ไม่มีนิกายอย่างที่คุณ addullslam ว่า
เรามีมัซฮับ ซึ่งวินิจฉัย บางปัญหา โดยมัซฮับเหล่าตัดสิน บนหลักการ ของ กุรอ่าน และ ซุนนะห์
ส่วนชีอะห์นั้น ไม่ใช่นะครับ ถ้าหากจะเปรียบเทียบแล้ว อิสลามก็เปรียบประดุจดั่งอาคารหลังใหญ่ และรอยแตกของอาคารนั้น ก็คือ ชีอะห์
ชีอะห์นั้น ทุกวันนี้ เขากำลังรออัลกุรอ่านฉบับของเขาเอง ซึ่งมี เจ็ดหมื่นอายะห์ ซึ่งมะห์ดี ผู้นำของเขา จะนำมันออกมา หลังจากหลบซ่อนอยู่ในถ้ำมาเป็นพันปี
ความเลอะเทอะ ของชีอะห์ ก็คือ จะมีคน ไปยืนเรียกที่ปากถ้ำ ทุกวัน เพื่อเรียกให้มะห์ดี นั้นออกมาจากถ้ำ
ส่วนอีหม่ามมะห์ดี ของอะห์ลุสซุนนะห์นั้น ไม่ได้หลบซ่อน แล้วเราก็ไม่ได้รอคอย เมื่อท่านยังไม่มา เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา แต่ชีอะห์นั้น มะห์ดีหายไปตั้งแต่ห้าขวบ ชีอะห์กำลังรอคอย บางครั้งชีอะห์ จึงเรียกผู้นำของเขาว่า มุนตะซอร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Sun Jul 17, 2005 7:33 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของพระเจ้า (อัลลอฮ์), ศาสนาอิสลามไม่มีศาสดาผู้ซึ่งตั้งบัญญัติศาสนาขึ้นมาจากความนึกคิดของตนเอง, ศาสนาอิสลาม มีศาสนทูต คือ รอซูล ศาสนาอิสลาม มีรอซูลเป็นจำนวนหลายท่าน ที่เป็นผู้นำ ข่าวสาร ของพระเจ้ามาสู่มวลมนุษย์, ข่าวสารที่สำคัญที่รอซุ,ทุกๆท่านนำมาคือ..
اللّهُ لا إِلَـهَ إِلاَّ هُوَ الْحَيُّ الْقَيُّومُ
ความหมายเป็นภาษาไทยว่า, พระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น(อัลลอฮ์), ไม่มีบุคคลอื่นใด(หรือสิ่งอื่นใด) ที่สมควรเป็นที่เคารพสักการะ นอกจากพระองค์(อัลลอฮ์) เท่านั้น, ผู้ทรงมีชีวิตอยู่ ชั่วนิรันดร์, ไม่สิ้นสุด, คงอยู่ชั่วกัลปาวสาน.
ท่านรอซูลทุกๆท่าน เป็นผู้ที่มีศรัทธาต่อ พระโองการ ที่ไดถูกประทานมาจากพระองค์อัลลอฮ์, และมุสลิมหรือผู้ที่ยอมตน สวามิภักดิ์ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า ก็มีศรัทธาต่อ อัลลอฮ์, ต่อ มาลาอิกะห์ บรรดาคัมภีร์ และบรรดารอซูล ของพระองค์ (2:285) ศาสนทูตมูฮัมมัด หรือ ท่าน รอซูลมูฮัมมัด เป็น รอซูลท่านสุดท้าย ผู้ซึ่ง รับบัญญัติของพระองค์อัลลอฮ์ หรือ คัมภีร์ เล่มสุดท้าย อัลกุรอาน
ศาสนาอิสลามห้ามการแบ่งแยกศาสนาออกเป็นนิกายต่างๆ ดังจะเห็นได้จากบัญญัติ ในอัลกุรอานต่อไปนี้
ซูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะ159
อย่างแน่แท้, เขาผู้ซึ่ง แบ่งแยกศาสนาและทำให้แตกออกเป็นนิกายต่างๆ, เจ้า(มูฮัมมัด) ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับพวกเขาแม้แต่เพียงน้อยเดียว.... (6:159)
และในซูเราะฮฺ อัรฺรูม อายะ 31-32
และจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคีผู้ซึ่งแบ่งแยกศาสนาออกเป็นนิกาย, ซึ่งแต่ละนิกายก็พอใจชื่นชมกับสิ่งที่เขามีอยู่ (ยึดมั่น) (30: 31-32)
ความหมายของคำว่า นิกาย :
นิกาย คือ กลุ่มผู้ถือศาสนา ที่แยกออกมาจาก ศาสนาใหญ่หลัก, มีความเชื่อพื้นฐานและหลักการ เช่นเดียว กับ ศาสนาหลัก แต่เพิ่มเติมกฎข้อบังคับต่างๆ นอกเหนือ ไปจาก หลักการที่กำหนด ไว้ ในศาสนาหลัก ซึ่งทำให้แตกต่างออกไปจาก หลักการ ของศาสนาที่แท้จริง
คำว่า มัซฮับ ในศาสนาอิสลาม ได้แก่กลุ่มของผู้ที่มีแนวการวิเคราะห์ กฎบัญญัติในอัลกุรอาน เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ของอิมามผู้นำ กลุ่ม การตัดสิน และ การแปลกฎบัญญัติทางศาสนาโดยท่านอีมาม, แล้วนำกฎบัญญัตินั้นขึ้นมาบังคับใช้ภายในกลุ่มของอีมามนั้นๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มเติม ข้อบังคับใหม่ขึ้นมาจาก ศาสนาหลัก, แต่พื้นฐานการอี มาน และพื้น ฐาน การปฏิบัติ ของพวกเขาไม่แตกต่างไปจากคำสอนในศาสนาหลัก
จากความหมาย ของ คำว่า นิกาย และ มัซฮับ จะเห็นว่า มีความหมายเช่นกัน คือ กลุ่มของผู้ต่อเติม บัญญัติใหม่ หรือแนวความคิด นอกเหนือ ไปจากที่ อัลลอฮ์และท่านรอซูลมูฮัมมัดสอนไว้ นั้นก็คือ อัลกุรอาน
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า หลังจากท่าน รอซูลสิ้นชีวิตไปแล้ว ศาสนาอิสลาม ก็มีการ แตกแยก ออก เป็น นิกาย ต่างๆ ทั้ง ใหญ่และเล็ก นิกาย ใหญ่ๆ ที่ แตกแยกและ เห็นได้ชัด คือ นิกายซุนนีย์ และ นิกายชีอะห์ นอกจาก นั้น ในกลุ่ม นิกาย ซุนนีย์ นี้ ยัง มี นิกายย่อยๆ อีก แต่เพื่อจะหลีกเลี่ยง การใช้คำว่า นิกาย เขากลับเรียก ว่า มัซฮับ ได้แก่กลุ่มของผู้ที่มีแนวการวิเคราะห์ ปัญหา เพื่อตั้งเป็นกฎบัญญัติ ตามความเห็นของตัวผู้นำเอง ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจาก ความหมายของคำว่า นิกายเลย, นิกายชีอะห์ ก็ แตก ออก เป็น มัซฮับ หรือ นิกายย่อยๆอีกเช่น กัน
ซุนนีย์มุสลิม, ชีอะหฺมุสลิม, มัซฮับฮานาฟี, มัซฮับซาฟีอี รวมทั้ง มัซฮับ อื่นๆ ทางฝ่ายชีอะหฺ์ด้วย, เหล่านี้ คือนิกายของศาสนาอิสลามทั้งนั้น แล้วอะไรเล่าที่เป็น หลักการของอิสลามอย่างแท้จริง และเป็นหลักการศาสนาที่เป็นพื้นฐาน ของนิกาย เหล่านี้
ตามที่กล่าวแล้วว่า อัลลอฮ์ และท่านรอซูล ประณาม การที่มุสลิมแตกแยก ออกเป็น นิกาย ต่างๆ ไม่ว่า จะเป็นซุนนีย์ , ชีอะหฺ, และ มัซฮับ ใดๆ ก็ตาม ทั้งของ ซุนนีย์ , ชีอะหฺ์
ศาสนา ที่อัลลอฮ์ทรง ได้ประทานให้มุสลิมคือ อิสลาม ที่หมายถึง การยอมจำนนและสวามิภักดิ์ ต่อพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ (3:19) และผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาที่จะนับถือศาสนาอื่นนอกจากอิสลามแล้ว พระองค์อัลลอฮ์ จะไม่ยอมรับ และในวันตัดสินเขาผู้นั้นจะเป็นผู้สูญเสีย (ความดีทางความศรัทธาของเขา) (3:85)
โดยพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์พระองค์ผู้ทรงประทาน บัญญัติฉบับสุดท้าย อัลกุรอาน ให้แก่มวลมนุษย์ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด ในอัลกุรอานคือ พระองค์อัลลอฮ์ เรียกร้อง ให้ ผู้ศรัทธาต่อพระองค์ มีความสามัคคีกัน มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน และเตือนผู้ศรัทธาอยู่เสมอว่า รอซูล ทุกๆ ท่านของพระองค์ ไม่มีความแตกต่างกัน ในความ สำคัญ
วัตุประสงค์ ของ มุสลิม ในการสักการบูชา อยู่ที่พระองค์อัลลอฮ์ ซึ่งเป็น พระเจ้าองค์ เดียว เท่านั้น ดังนั้น ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้ศรัทธาจึงต้องเป็น เอกฉันท์ ในท่ามกลางของผู้ที่มีศรัทธาต่อพระองค์, สิ่งที่ทำให้ มนุษย์ หันเหไปจาก การยึดมั่นในพระองค์อัลลอฮ์ นั้น, เกิดจาก หัวใจมนุษย์ ที่รักใคร่ ลุ่มหลง ใน ตัว บุคคล จนลืม พระเจ้า และหันเหออกนอกทางของพระองค์อัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) หันไป ยึดตัวบุคคลเป็นหลัก และทำให้เกิดการ แบ่งแยก, อิจฉาริษยา, มีความขมขื่น และ เกลียดชัง ซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ เพราะว่าเขา เหล่านั้น ต่าง ก็ ยึดมั่น และพอใจ ในสิ่งที่เขาตั้งขึ้นเป็นภาคี (30: 31-32)
ผู้ศรัทธาที่ได้รับแนวทางที่เที่ยงตรงจากพระองค์อัลลอฮ์ จะอุทิศตน เพื่อพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น, และจะสามัคคี,ชื่นชมอยู่ ในบรรดาผู้ที่เคารพบูชาและ สักการ ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ด้วยกันเท่านั้น โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องสังกัด อยู่ในชื่อกลุ่มของผู้ศรัทธา หรือ นิกาย ใดๆ, พระองค์อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ว่า.. (2:62, 5:69)
อย่างแท้จริง, บรรดาผู้ที่มีศรัทธา, บรรดาผู้เป็นชาว ยิว, เป็นชาวคริสเตียน, และผู้ที่กลับใจได้, ผู้ใดก็ตาม ที่มีศรัทธาต่อ พระเจ้าองค์เดียว (อัลลอฮ์), มีความเชื่อใน วันกิยามะห์(วันสิ้นโลก), และ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม(ตามวิถีทางของ อัลลอฮ์), เขาเหล่านั้นจะได้รับความกรุณาปราณี จากพระองค์อัลลอฮ์, เขาเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดจะต้องเกรงกลัว หรือจะต้องโศกเศร้า เสียใจ
จากอายาตทั้งสองนี้ เราจะเห็นว่า การนับถือ ศาสนาอิสลาม นั้น ง่ายมาก คือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ที่มีความเชื่อมั่น ใน พระองค์ อัลลอฮ์, ใช้ชีวิตตามวิถีทางที่เที่ยงตรง ที่พระองค์ ทรงบัญญัติไว้ (อัลกุรอาน) รวมทั้ง การเชื่อฟังคำสั่งสอนของ ท่านรอซูล(ศล) ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน คือ การทำละหมาด, การจ่ายซะกาต, การถือศีลอด และการทำฮัจจ์, เขาเหล่านั้น คือ มุสลิม หรือผู้ที่ถือศาสนาอิสลามที่แท้จริง
ถ้าบรรดา ผู้ที่เรียกตัวเองว่า มุสลิม แต่ต่าง ฝ่ายต่างกลุ่ม ต่างยึดถือตัวบุคคล นอกเหนือไปจาก อัลลอฮ์ และ ยึดถือ สิ่งประดิษฐ์ ที่เขาสร้างขึ้นมา เป็นแนวทางปฏิบัติศาสนกิจนอกเหนือไปจาก อัลกุรอาน, เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาเหล่านั้น จะไม่แตกต่างกันเลย, เพราะว่าเขาขาด ความสามัคคีและความ เป็นอันหนึ่งอันเดียว กัน ในความเป็นพี่น้อง มุสลิม เพราะ เขาเหล่านั้น ได้ แบ่งแยกศาสนาของพระองค์อัลลอฮ์ เป็นการไม่ปฏิบัติตาม พระประสงค์ ของพระองค์ และ คำสอนของท่าน รอซูลมูฮัมมัด
เรื่องนี้ขอจบลงด้วย ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ3 ความว่า
และพวกเจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นอยู่กับสายเชือกของอัลลอฮ์, (อัลกุรอาน), และจงอย่าแตกแยกกันในระหว่างพวกเจ้า,และจงจำไว้ว่า, ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์อัลลอฮ์ต่อพวกเจ้าในขณะ
ที่พวกเจ้า เป็นศัตรูกัน, พระองค์ได้รวมจิตใจของพวก เจ้า, ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ พวกเจ้าได้กลับกลายมาเป็นเช่นพี่น้องกัน, และเมื่อเจ้าเจียนจะอยู่ในไฟนรก, และพระองค์ ก็ทรงช่วยพวก เจ้าให้รอดพ้นจากไฟนรกนั้น, เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พระองค์อัลลอฮ์ ได้ส่งข่าวสาร (อัลกุรอาน) ให้เพวกเจ้าอย่างแจ้งชัด แล้ว เพื่อ พวกเจ้าจะได้ ปฏิบัติตามหนทางที่ถูกต้อง
ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ3... นี้เตือนใจพี่น้องมุสลิมทั้งหลายที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างในเรื่องของความศรัทธาต่อ ศาสนาอิสลาม และวิธีการปฏิบัติศาสนากิจ, จงรำลึกถึงพระมหากรุณาของพระองค์อัลลอฮ์ที่ประทาน อัลกุรอานให้เรายึดเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต ที่เที่ยงตรง เพื่อให้ มีความ สามัคคีกัน เช่นพี่น้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้ว มุสลิม จะได้ มีความ แข็งแกร่ง และกลับ เป็น ผู้ นำประชาชาติอีกครั้งหนึ่ง
พระองค์อัลลอฮ์ ได้วางบรรทัดฐาน ของความ ศรัทธา ไว้ให้เราแล้วใน อัลกุรอาน ขอให้เรายึดมั่น ในสาย เชือกเส้นนี้ ซึ่งเป็น สายเชือก เส้นเดียว กับที่ท่าน รอซูล มูฮัมมัด ยึดถืออย่างมั่นคง และท่านได้ประกาศชักชวนให้มุสลิมทุกๆคนปฏิบัติตามท่าน (6:114) คือ ยึดมั่นอยู่กับ สายเชือกเส้นเดียวกับท่าน นั้นก็คือสายเชือก ของ อัลลอฮ์ หรือ อัลกุรอาน นั้นเอง
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
yoohoo มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004 ตอบ: 65
|
ตอบ: Sun Jul 17, 2005 9:30 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อาจานแมทท์ครับ แล้วผู้ที่ยึดสายเชือกอื่น (ไม่ใช่กุรอานเล่มที่ใช้กันอยู่ตั้งแต่ก่อนจนถึงปัจจุบัน) จะยังคงนับว่าเป็นมุสลิมด้วยป่าวครับ ??? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Sun Jul 17, 2005 11:46 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณyoohoo...
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจเสียก่อนว่า มุสลิมคือใคร? และมีคุณสมบัติอย่างไร? และใครเป็นผู้ที่ตั้งชื่อให้ว่า มุสลิม? ทั้งนี้ เพราะว่า ศาสนาอิสลาม เริ่มต้น มาก่อนที่ อัลกุรอาน จะถูกประทาน, และคำว่า มุสลิม มีมานานแล้ว เรื่องนี้ผมอยากให้คุณศึกษาเอง คุณถึงจะเข้าใจคำถามของคุณ
ถึงอย่างไรก็ตามคุณจะเห็นในความยุติธรรมของพระองค์ อัลลอฮ์ ซึ่งเปิดหนทางสวรรค์ สำหรับ ผู้ที่นับถือและเชื่อฟังในคัมภีร์ เล่มอื่นๆ ของพระองค์ ก่อนที่ อัลกุรอานจะถูกประทานให้ กับท่านรอซูลมูฮัมมัด ว่า ,
อย่างแท้จริง, บรรดาผู้ที่มีศรัทธา, บรรดาผู้เป็นชาว ยิว, เป็นชาวคริสเตียน, และผู้ที่กลับใจได้, ผู้ใดก็ตาม ที่มีศรัทธาต่อ พระเจ้าองค์เดียว (อัลลอฮ์), มีความเชื่อใน วันกิยามะห์(วันสิ้นโลก), และ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม(ตามวิถีทางของ อัลลอฮ์), เขาเหล่านั้นจะได้รับความกรุณาปราณี จากพระองค์อัลลอฮ์, เขาเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดจะต้องเกรงกลัว หรือจะต้องโศกเศร้า เสียใจ (2:62, 5:69)
หลังจากอัลกุรอานถูกประทานมาแล้ว อัลกุรอานคือสายเชือกเส้นเดียวและเส้นสุดท้าย ที่ อัลลอฮ์ และท่านรอซูล ต้องการให้มุสลิม ทุกๆคนยึดถือ เพื่อที่จะ เป็นแนวทางที่เที่ยงตรง ทางเดียว ที่จะทำให้เกิด ความสามัคคี ใน บรรดามุสลิม, ผมเข้าใจในคำถามของคุณ ความหมายของ ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ103 นี้ สายเชือก หรือ วิถีทาง ธรรมของ พระองค์ อัลลอฮ์ นี้ หมายถึงอัลกุรอานแต่เพียงอย่างเดียว, เพราะ ตอนท้ายของอายะนี้ ได้ บ่งถึง ข่าวสารที่ พระองค์ส่งให้มาอย่างแจ้งชัด นั้น บ่งความหมายถึง อัลกุรอาน
และพวกเจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นอยู่กับสายเชือกของอัลลอฮ์, (อัลกุรอาน), และจงอย่าแตกแยกกันในระหว่างพวกเจ้า,และจงจำไว้ว่า, ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์อัลลอฮ์ต่อพวกเจ้าในขณะ ที่พวกเจ้า เป็นศัตรูกัน,พระองค์ได้รวมจิตใจของพวก เจ้า, ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ พวกเจ้าได้กลับกลายมาเป็นเช่นพี่น้องกัน, และเมื่อเจ้าเจียนจะอยู่ในไฟนรก, และพระองค์ ก็ทรงช่วยพวก เจ้าให้รอดพ้นจากไฟนรกนั้น, เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พระองค์อัลลอฮ์ ได้ส่งข่าวสาร (อัลกุรอาน) ให้ พวกเจ้าอย่างแจ้งชัด แล้ว เพื่อ พวกเจ้าจะได้ ปฏิบัติตามหนทางที่ถูกต้อง
ทางนิกายซุนนีย์ อธิบายคำว่าสายเชือกในอายะนี้ว่า หมายถึง อัลกุรอาน และ ซุนนะห์ ของท่านรอซูลมูฮัมมัด" (ซึ่งมีความหมายรวมว่า ศาสนาอิสลาม)
ทางนิกายชีอะห์ อธิบายคำว่าสายเชือกในที่นี้ หมายถึง อัลกุรอาน และอะห์ลุลบัยต์ (ลูกหลานวงศ์วานนบี)
แต่ผมเข้าใจความหมายของอายะนี้ที่ถูกต้องคือ สายเชือกของอัลลอฮ์หมายถึง อัลกุรอานเท่านั้น
เนื่องจากคุณเชื่อในฮะดีษซอเฮี๊ยะ คุณควรพิจารณา ฮะดีษข้อนี้....ที่มีผู้ได้ยินท่านรอซูลกล่าว
ใน คุตอบะห์ ครั้งสุดท้ายของท่าน รอซูล ที่มีคนเข้าฟัง เป็น พันๆคน ซึ่งถูกจดบันทึก ไว้ ดังนี้
ฉันทิ้งไว้ให้ท่าน, อัลกุรอาน นั้น เพียงสิ่งเดียว เพื่อท่านจะต้องยึดมั่น (เป็นหลักปฎิบัติศาสนกิจ) (มุสลิม 15/19 , นุ1218, อิบนุ มะญะฮ์ 25/84, อะบูดะวูด 11/56)
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Mon Jul 18, 2005 9:14 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ต้องขอภัยด้วยครับ รีบร้อนไปหน่อย
ผมเขียนว่า
เรื่องนี้ขอจบลงด้วย ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ 3 ความว่า .......
และ
ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ3... นี้เตือนใจพี่น้องมุสลิมทั้งหลายที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างในเรื่องของความศรัทธาต่อ ศาสนาอิสลาม
ที่ถุกต้องคือ....
เรื่องนี้ขอจบลงด้วย ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ10 3 ความว่า .......
และ
ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ103... นี้เตือนใจพี่น้องมุสลิมทั้งหลายที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างในเรื่องของความศรัทธาต่อ ศาสนาอิสลาม
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed Jul 27, 2005 10:09 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ تَرَكْتُ فِيكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا كِتَابَ اللَّهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ
แท้จริงท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า" ข้าพเจ้าได้ทิ้งไว้ให้พวกท่านสองประการ พวกท่านจะไม่หลงผิด ตราบใดที่พวกท่านยึดถือมันทั้งสอง คือ คัมภีร์ของอัลลอฮ และ สุนนะฮของศาสดาของพระองค์ - รายโดย มาลิก
คุณ แมท ยังคงปฏิเสธสุนนะฮ อยู่อีกหรือ ? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Sun Jul 31, 2005 11:10 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ asan
ด้วยความนับถือในความรู้ทางศาสนาของคุณ และผลงานของการ เผยแพร่วิชาความรู้ทางศาสนาอิสลาม ให้ กับ พี่น้อง มุสลิมและ เยาวชน มุสลิมทั้งหลาย, ผมหวังว่า ในการตอบคำถามของ คุณ นั้น คุณคงจะรับฟังด้วยเหตุผล และให้ความรู้ต่อผม ในส่วนที่คุณ เห็น ว่า ผมยังไม่เข้าใจ ในเรื่องที่ว่า,
เพราะ เหตุใด ที่ มุสลิมส่วนใหญ่ จึง หันเหหลักศรัทธา ในหลักการ ของ อิสลาม จาก อัลกุรอาน และจาก ซุนนะห์ ที่แท้จริง ของ ท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม? ไปยึดอยู่กับ เรื่องบอกเล่าที่ไม่ได้ รับการรับรอง จากท่านรอซูลหรือ มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ให้เชื่อถือบุคคลผู้เล่าเรื่อง เหล่านั้น?
เกือบทุกๆท่านสมาชิกในเวบนี้ ไม่เข้าใจความ ความเข้า ใจ ที่แท้จริงของ ผม ในหลักการของอิสลาม, ทุกๆท่านในที่นี้ เข้า ใจว่า ผม ปฏิเสธ หะดีษและ ซุนนะห์ หรือคำสอนและการปฏิบัติของท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
ที่แท้จริงแล้ว ผม ปฏิเสธความ ไม่เที่ยงแท้, ความ ไม่แน่นอน และความบกพร่อง ของ วิชาการอะหะดีษ ซึ่ง มีพื้นฐานมาจาก การรวบรวม เรื่อง บอกเล่า ที่ได้ยินต่อๆกันมา และถูกเก็บรวบรวม เป็นรูปเล่ม โดย ท่าน อีหม่ามบุคอรี มุสลิม และ อื่นๆ หรือที่เรียกว่า อะหะดีษ บุคอรี, ผมไม่มีศรัทธาว่า มุสลิมควรจะยึดถือเรื่องบอกเล่าเหล่านั้น เป็นหลักปฏิบัติ นอกเหนือ ไป จาก อัลกุรอาน หรือ ยกระดับหนังสือ เล่มนี้เป็นบัญญัติ เล่มที่สอง รองจากอัลกุรอาน
การไม่เชื่อเรื่องบอกเล่า ของ บุคคลอื่น ซึ่งอ้างว่า เป็นเรื่องเกี่ยว กับ คำพูด หรือ การกระทำของ ท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม (อะหะดีษ บุคอรี), ต่างจากการปฏิเสธ และไม่เชื่อฟัง ท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยตรง หรือ จากคำสอนที่ออกมาจากปากของท่านเอง โดย มี อัลลอฮ์ เป็นพยาน และท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เอง ก็เป็นผู้ที่ ยืนยันความแท้จริง โดยคำสั่ง ของพระองค์อัลลอฮ์ นั้นก็คือ อัลกุรอาน
มุสลิมสามารถที่จะปฏิเสธ เรื่องบอกเล่าที่อ้างว่า เป็นคำพูดหรือการปฏิบัติของ ท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จากปากคำของผู้อื่น เช่น เรื่องบอกเล่าต่างๆ ใน อะหะดีษ บุคอรี , แต่ มุสลิมที่แท้จริง ไม่อาจ จะปฏิเสธ อัลกุรอาน ซึ่งเป็น หะดีษที่แท้จริง ของอัลลอฮ์ และ เป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ ให้ท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าว หรือปฏิบัติ (หะดีษและซุนนะห์ที่แท้จริง) ได้, ภาย ใต้ บทบัญญัติของอัลกุรอาน
พระองคฺอัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า, บรรดาพวกเขา ไม่ได้พิจารณา อัลกุรอาน อย่างถ่องแท้หรือว่า, ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่น ที่ไม่ใช่ (วะฮี)จากอัลลอฮ์ แล้ว เขาเหล่านั้นจะพบว่ามีข้อผิดพลาดอย่างมากมาย(ในอัลกุรอาน) (4:82)
หรือจะอธิบายในอีกนัยยะหนึ่ง ก็คือ สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีจากอัลลอฮ์แล้ว จะพบว่ามีข้อผิดพลาดอย่างมากมาย , ซึ่งความจริงข้อ นี้ เราจะเห็น ได้ อย่างชัดเจน ใน ซอเฮี๊ยะหะดีษของบุคอรี ถ้าคุณ asan เป็นนักวิชาการ อะหะดีษ แล้ว คุณจะปฏิเสธได้ยากมาก ในความจริง ข้อนี้
นักวิชาการหะดีษ ได้ยกระดับ ของเรื่องบอกเล่าต่างๆ ที่อ้างถึงการกล่าวหรือการกระทำ ว่าเป็นของท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยใช้ คำศัพท์ หรือ เทอม ว่า ซอเฮี๊ยะ ให้อยู่ในระดับเดียวกับอัลกุรอาน และ พยามอธิบายไปในทำนองที่ว่า ศาสนาอิสลามนี้ จะสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าไม่ มี ซอเฮี๊ยะหะดีษ ใช้เป็นหลักการควบคู่ไปกับ อัลกุรอาน
หลังจากที่เราได้พิจารณาซอเฮี๊ยะหะดีษ อย่างถี่ถ้วนแล้ว เราจะ เห็นว่า มุสลิม ส่วนใหญ่ เชื่อผู้ที่เล่า เรื่อง เกี่ยวกับท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม มากกว่า หรือแทนที่จะเชื่อ คำกล่าวหรือ ซุนนะห์ ของ ท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่แท้จริง คือ ยึดถือ หลักปฏิบัติทางศาสนาจาก อัลกุรอานแต่เพียงอย่างเดียว
เราทราบจากอัลกุรอานว่า ผู้ใดก็ตามผู้ซึ่งไม่เชื่อฟัง อัลลอฮ์และท่านรอซูลของพระองค์จะตกอยู่ในไฟนรกไปตลอดกาล (72:23)
บัญญํตินี้มีทั้งคำสั่งและบทลงโทษอย่างหนัก, แม้กระนั้น มุสลิมส่วนใหญ่ก็หาใส่ใจไม่ , ซุนนะห์ ประการแรก ของท่านรอซูล คือ การเชื่อมั่นใน ในอัลลอฮ์ และ การยึดถืออัลกุรอานเพียงอย่างเดียว ในการปฏิบัติศาสนกิจ, แต่มุสลิมส่วนใหญ่ กลับประดิษฐ์ หนังสือเล่มใหม่ โดยให้ชื่อว่า อะฮะดีษ แล้วยก ระดับ หนังสือ เล่มนี้ ขึ้น เทียบเท่า กิตาบุลลอฮ์ ทั้งๆที่ อัลลอฮ์ทรงบอกว่า อัลกุรอานเท่านั้น เป็นกิตาบุลลอฮ์ เล่มสุดท้าย
พระองค์อัลลอฮ์ ทรงมีคำสั่ง ให้ท่านรอซูล ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงวะฮี ให้แก่ท่านรอซูลเท่านั้น นั้น ก็คือ อัลกุรอาน เป็นคำสั่งที่ชัดเจน ความสำคัญของอายะนี้ อยู่ที่ว่า, เจ้าจงปกครองบรรดาพวกเขาโดยบัญญัติ ของอัลลอฮ์เท่านั้น(5:49)
ถ้าเราเชื่อว่า ศาสนาอิสลามมีหลักการใหญ่อยู่ที่ ต้องปฏิบัติตามบัญญัติ ในอัลกุรอาน และ เชื่อฟังท่านรอซูลแล้ว เราจะต้อง มีความเข้าใจว่า อะไร ที่ อัลลอฮ์ มีพระประสงค์ จะให้มุสลิมเชื่อฟัง ท่านรอซูล, ข่าวสารที่ท่านรอซูลรับมาจากพระองค์ อัลกุรอาน หรือ การปฏิบัติที่เป็นประเพณี อรับ ที่ท่านรอซูลได้เคยปฏิบัติมา ตลอดชีวิตของท่านก่อน ที่ท่านจะได้รับวะฮีจะจาก อัลลอฮ์?
แน่นอนทีเดียว การเชื่อฟังท่านรอซูล จะต้องเป็นซุนนะห์ของท่านรอซูล ที่ปฏิบัติ ตามบัญญัติของ อัลกุรอาน ได้แก่ การละหมาด, การถือศีลอด, การจ่ายซะกาต และการทำฮัจจฺ, ส่วนการปฏิบัติที่เป็นส่วนตัวของท่าน เช่นการใช้มือขวาในการทานอาหารนั้น เป็นประเพณี อรับ (หรือ ธรรมชาติของ มนุษย์โดยทั่วๆไป) ทั้งนี้ เพราะว่า ชาวอรับทำความสะอาด ปัสสาวะและ อุจจาระ ด้วยมือซ้าย โดยอาจจะใช้ ก้อนหิน, ดิน, ทราย ในการ ชำระ ไม่อาจจะล้างมือด้วยน้ำ ได้ทุกๆครั้ง เป็นการ ถูกสุขลักษณะในการใช้มือขวาหยิบอาหารรับประทาน เราจะพบว่า ใน เรื่องเล่าต่างๆ ที่บุคอรีรวบรวมไว้นั้น เป็น ประเพณีมากเสียกว่า เป็นหลักการของศาสนาอิสลาม
มีผู้กล่าวว่า คนที่ปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์เป็นกาเฟร หรือสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม เพราะฮะดีษศอเฮียะห์นั้นได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นตามกระบวนการวิชาฮะดีษ จนมั่นใจว่า เป็นคำพูด การกระทำ หรือการยอมรับของท่านนบีจริงๆ
คำกล่าวเช่นนี้จะเป็นความจริงได้อย่างไรว่า, เป็นคำพูด การกระทำ หรือการยอมรับของท่านนบีจริงๆ ในเมื่อ การรวบรวมอะฮะดีษ เหล่านั้น กระทำหลังจาก ท่าน รอซูล สิ้นชีวิตไปแล้ว นานกว่า 200 กว่าปี, แล้วท่านรอซูลจะเป็นผู้รับรอง เรื่องเล่า เกี่ยวกับตัวของท่านได้อย่างไร?
ถ้าหากว่า คนที่ปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์เป็นกาเฟร หรือสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม, เมื่อ เป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าผู้ไม่ปฏิเสธ ฮะดีษศอเฮียะห์ แต่ไม่กระทำตาม ฮะดีษศอเฮียะห์ จะสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมกระนั้นหรือ?
ตัวอย่างเช่นฮะดีษศอเฮียะห์ ที่เล่าว่าท่านรอซูล กล่าวว่า, มุสลิมทั้งหญิง และ ชายจะต้องโกนขนในบริเวณ อวัยวะสืบพันธ์ให้ เกลี้ยงเกลา อยู่เสมอ นั้น จะมีมุสลิมไทย เหลือ อยู่ สักกี่เปอเซนต์ เนื่องจาก ฮะดีษศอเฮียะห์ บทนี้
อัลกุรอานสอนให้มุสลิม รู้จัก ระบบสุริยะจักวาล มานานกว่า 1415 ปีแล้ว แต่ มุสลิม ไทยเราบางท่าน ยังมี ปัญหา และยังไม่เข้าใจว่า จะต้องทำความสะอาดบริเวณและรูทวารอย่างไร หลังจาก ถ่ายอุจจาระและถ่ายปัสสาวะเสร็จแล้ว จึงจะถูก ฮุก่ม ของอิสลาม จะต้องใช้ ก้อนหิน อย่างน้อย 3 ก้อน เช็ดถู หรือ จะใช้กระดาษชำระ อย่างใดจึงจะ สะอาด หรือ ถูก ฮุก่ม กว่ากัน?
เหตุที่มีคำถามเช่นนี้ในสังคมมุสลิมก็เพราะ เราใช้ ประเพณีอรับ มาอธิบายอัลกุรอาน แทนที่จะหา ความเข้าใจจาก เนื่อหา จากบัญญัติ ในอัลกุรอาน, ถ้าอัลกุรอานบัญญัติ ให้ มุสลิมทำ ความสะอาด ร่างกายก่อนทำการละหมาด เราก็ควรจะใช้บัญญัติปรับตัวเองให้เข้ากับ วิธีการทำสะอาด ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพราะ อัลกุรอาน สอนให้เรา ใช้ ความคิด และ สติ ปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆ ตาม คำตัดสิน ของท่าน รอซูลโดยเชื่อฟังท่านรอซูล ทั้งนี้ จะต้องอยู่ใน ขอบเขตของ บัญญัติของพระองค์ ที่ วะฮี ให้กับท่านรอซูล เท่านั้น (อัลกุรอานเจ้าจงปกครองบรรดาพวกเขาโดยบัญญัติ ของอัลลอฮ์เท่านั้น(5:49), บัญญัติ ในอัลกุรอาน มีรายละเอียดที่เหมาะสมกับ ทุกยุคทุกสมัย ไม่จำกัดอยู่ใน เฉพาะ สังคมเมื่อ 1415 กว่าปี มาแล้ว แต่เพียงอย่างเดียว
การเชื่อฟังและปฏิบัติตามซุนนะห์ของท่านรอซูล ก็คือ การยึดถือสายเชือกเช่นเดียว กับท่านรอซูล(ซุนนะห์) นั้นคือ อัลกุรอาน ในปัจจุบัน บรรดาอาจารย์ ที่จบการศึกษาจาก กลุ่มประเทศ อรับ มักจะ พูด เป็น การ เหน็บแนม หรือ ดูถูกการสอน ของ ท่าน โต๊ะ ครู ในสมัยก่อน ซึ่งสอนศาสนาตาม ธรรมเนียมประเพณี โดย ให้อ่าน อัลกุรอาน โดยการท่องจำ ทั้งนี้ เพื่อ ให้ มุสลิม บรรลุวัตถุประสงค์ สิ่งแรกก่อน ในหลักการของ อิสลาม คือ อัลกุรอาน นั้นคือความรู้ที่ท่าน เหล่านั้น มี ตามความเข้าใจในสมัยท่าน, ซึ่งเราควรจะขอบคุณท่านโต๊ะครู เหล่านั้น ผมเชื่อว่า ทั้ง คุณและผม เริ่มแรกของการเรียน ศาสนาก็คือ การเรียน อัลกุรอาน อะลิฟ บาตา หนังสือ หัวเล็ก หนังสือ หัวใหญ่ จากท่าน โต๊ะ ครูเหล่านั้น พอ ถึง บท อัลฟาติหะฮ์ ก็มีการ ฉลองกันด้วย ข้าวเหนียว เหลือง หน้าไก่
มาในสมัยนี้ อาจารย์ ต่างๆที่เข้าใจที่มีความรู้ภาษาอรับ เป็นอย่างดี เข้า ใจว่า อัลกุรอาน บรรจุ ไปด้วย วิทยาการ ที่ก้าวหน้า ใน สาขาต่างๆ แต่แทนที่ จะยึดมั่นกับ อัลกุรอาน, และ สอน อะกิดะห์ หรือสิ่งที่จะต้องยึดมั่น ด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ ต่อ อัลลอฮ์ นั้นคือ อัลกุรอาน แต่เพียงอย่างเดียว ต่อ เยาวชน, แต่กลับไปสอน เรื่อง ของ ฮิกายะห์ (حكاية) ซึ่งเป็นเรื่องเล่า เป็นเรื่องบอกเล่า ต่อๆกันมา ซึ่งบางบทบางคำสอน ขัดกับอัลกุรอาน และขัดกันเอง และเต็มได้วย ธรรมเนียมประเพณีอรับ เมื่อ 1415 ปีมาแล้ว, นั้นก็คือ สอนให้ มุสลิม ยึด ความรู้ ของ ท่านอิหม่าม บุคอรี ควบคู่ไปกับอัลกุรอาน
อาจารย์ที่กระทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างไปจากท่านโต๊ะครูในสมัยก่อน คือ พยายาม จะชักจูงมุสลิมให้ถอยหลังเข้าคลอง ในขณะที่ โลกตะวันตก เขาเอาความรู้จากอัลกุรอาน ไป ประยุกต์ และไป สำรวจจักรวาล และ ไป เหยียบ ดวง จันทร์กันแล้ว, แต่ท่านอาจาย์ ผู้ที่มีความรู้มากกว่าท่านโต๊ะครู เมื่อสมัย ก่อน, เพิ่งเริ่มต้นการ สอน ให้มุสลิมรู้จัก ถึงวิธีที่จะ เช็ดก้น หลังจากการ ขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ว่าควรจำทำอย่างไร
หลักการของอิสลามไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนเรื่องบอกเล่า ที่เล่าต่อๆกัน มา, นิทาน หรือ ข่าวลือฮิกายะห์ (حكاية), แต่ อิสลามมีรากฐานอยู่บน บัญญัติของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) และ การสอนของท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่สอน ให้เรา ยึดถืออัลกุรอานเช่นเดียวกับท่าน, การเชื่อฟังท่านรอซูล คือการเชื่อฟัง ข่าวสารที่ท่านรอซูล รับวะฮีมาจากอัลลอฮ์(อัลกุรอาน) เท่านั้น อัลหะดีษ ที่แท้จริงของท่าน รอซูล คือ อัลกุรอานแต่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น, ผู้ใดก็ตามผู้ซึ่งไม่เชื่อฟัง อัลลอฮ์และท่านรอซูลของพระองค์จะตกอยู่ในไฟนรกไปตลอดกาล (72:23)
มุสลิมควรจะสำรวจตัวเองว่า แท้จริงแล้วเรา กำลังเชื่อฟังท่านรอซูลุลลอฮิ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม หรือ เรากำลังเชื่อ เรื่องบอกเล่าโดยการแอบอ้างชื่อของท่านรอซูล? และเราทราบได้อย่างไรว่าเรื่องเล่า เหล่านั้น เป็น การยอมรับของท่านนบีจริงๆ ในเมื่อท่านนบีสิ้นชีวิตไปก่อนหน้าที่จะมีการรวบรวมเรื่องเล่าเหล่านั้น กว่า 200 ปี
จากฮะดีษที่ คุณ asan อ้างถึงนั้น มีบันทึกอยู่ด้วยกัน 3 บท ใน คุตอบะห์ ครั้งสุดท้ายของท่าน รอซูล ที่มีคนเข้าฟัง เป็น พันๆคน ซึ่งถูกจดบันทึก ไว้ ในเวลาเดียวกัน
บทแรกเป็นบทที่สนับสนุน มุสลิมที่แตกออกเป็นนิกายได้แก่นิกายซุนนีย์ ได้แก่
แท้จริงท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า" ข้าพเจ้าได้ทิ้งไว้ให้พวกท่านสองประการ พวกท่านจะไม่หลงผิด ตราบใดที่พวกท่านยึดถือมันทั้งสอง คือ คัมภีร์ของอัลลอฮ และ สุนนะฮของศาสดาของพระองค์ - รายโดย มาลิก
บทที่สองเป็นบทที่สนับสนุน มุสลิมนิกายชีอะต์ ได้แก่
แท้จริงท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน อัลกุรอาน และอะห์ลุลบัยต์ (ลูกหลานวงศ์วานนบี) (มุสลิม 44/4, นู2408; อิบนฺ ฮะนะบาล4/366; ดอริมิ23/1; นู 3319)
บทที่สาม เป็นบทที่ตรงกับความเชื่อของมุสลิมที่ไม่สังกัดหรือแบ่งแยกนิกาย ซึ่ง ใกล้กับความเป็นจริงที่สุด เพราะ ตรงกลับบัญญัติ ในอัลกุรอานหลายอายะ โดยเฉพาะ ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะ103, และ ซูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะ 114 ดังนี้
แท้จริงท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า, เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือของ พวก ท่าน (มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56)
ฮะดีษซอเฮี๊ยะทั้งสามบทนี้ คุณ asan ว่า บทใดเป็นบทที่ถุกต้องที่สุด คุณจะเห็นว่า ยังมีความบกพร่องอยู่มากใน ฮะดีษซอเฮี๊ยะ ซึ่งไม่ได้มาตรฐานของ กิตาบุลลอฮ์(4:82)
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Mon Aug 01, 2005 12:08 am ชื่อกระทู้: |
|
|
พี่แมทครับ ไม่รู้เรียกถูกไม้ครับหรือพี่หมัด อาไรก็แล้วแต่ ผมยอมรับเลยว่าพี่ขยันเขียนดีจริงไม่รู้เขียนเพื่อเผยแพร่ หรือเผยแผ่ อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะครับพี่ ตอนนี้พี่จำไอ้ที่พี่ยึดถืออะครับ ที่ว่ากุรอานอะนะครับ พี่จำได้กี่ซูเราะฮ์แล้วครับพี่ ไม่ได้ถามเพื่อจะดูถูกอะไรนะครับพี่แบบว่าอยากรู้จริงๆ จากใจที่อิคลาสมากๆครับ เพราะผมไม่อยากฟิตนะห์ใครทั้งนั้นผมรู้สึกเป็นการเสียเวลาที่พระองค์ผู้ทรงความรู้ได้ให้เวลากับเรามาเพื่อ จดจำพระวจนะอันสูงส่งที่ทรงส่งมาถึงพวกเรา แต่พวกเรากลับมาโต้คารมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ว่าแพ้ทั้งคู่หรือปล่าว
ถ้าเป็นไปได้ เรามาคิดกันแบบ Win- Win ดีไม้ครับ วันนี้พี่จำกุรอานได้เพิ่มกี่อายะฮ์
วันนี้ พวกเราทุกคนท่องจำกุรอานได้เพิ่มมากี่อายะฮ์ อันนี้น่าจะเป็นเป้าหมายที่สุดยอดของพวกเราทุกคน พี่ๆว่าดีไม้ครับ หรือว่ามีความเห็นอย่างอื่น เพราะพี่ก็คงรู้ในคุณค่าของกุรอานว่าสุดยอดแค่ไหน ใครจะเชื่อฮาดิษพี่ก็ปล่อยเค้าไป ใครจะเชื่อกุรอานก็เข้าทางพี่ ไม่ต้องทะเลาะกันดี เอาเวลามาท่อง ท่อง ท่อง กุรอ่าน กันดีไม้คร้าบ พี่ๆที่จะเข้ามาเถียงพี่แม็ทก็ทำใจซอบัรไว้นิดนึงเอาเวลาไปท่องซักอายะฮ์นึง ดีกว่ามานั่งโมโหพี่แมท เขียนด่าแกให้แกไม่สบายใจ ไม่รักไม่สงสารพี่น้องกันบ้างหรือไงคร้าบ หลายพันอายะฮ์มหัศจรรย์ วันนี้เราจะนำมันไปเป็นเพื่อนในสุสานได้เท่าไรกัน
---คนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือคนที่เรียนกุรอานและสอนกุรอาน---
เรามาโจมตีชื่อเว็ปนี้กันดีกว่าอิอิ ***อิสลามยังไม่ตายมีมรดกอิสลามให้อนุรักษ์ได้อย่างไร** |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
natee มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 108
|
ตอบ: Wed Aug 03, 2005 2:04 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แหม! ถึงกับจะโจมตีเลยหรือคะ ไม่ปรามาสท่านอาจารย์ของเราไปหน่อยเหรอคะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Thu Aug 04, 2005 10:16 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อิอิ ก็ชื่อเวปนี้อ่านดีๆจะรู้สึกได้เลยอะครับ ว่า อิสลามตายไปแล้ว ถึงได้มีเวปนี้เพื่อเจตนาจะ ปกปักษ์รักษามรดกของอิสลาม ทั้งๆที่อิสลามยังไม่ตาย ศาสนาของอัลเลาะฮ์ไม่มีวันตายนะครับ ขนาดนบี ยังไม่มีมรดกเลย (อันนี้เรื่องจริงนะครับ)แล้วเราท่านจะยอมให้คนมาพูดถึงมรดกอิสลามได้อย่างไร ยังไงๆ ต้องขอเรียนให้ท่านอาจารย์กรุณาออกมาชี้แจงด้วยครับ ไม่งั้นผมไม่ยอม แล้วจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ถ้าไม่สำเร็จ ผมจะขอเป็นแกนนำล่ารายชื่อให้ครบ5หมื่นชื่อ เพื่อยื่นถอดถอนเว็ปนี้ต่อไป ฮา |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
natee มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 108
|
ตอบ: Thu Aug 04, 2005 2:24 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณคงจะเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่าคะ
คุณลองหาคำว่า มรดก ในพจนานุกรมดูนะคะ เท่าที่ดิฉันพบจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายของคำนี้ว่า สิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษหรือที่สืบทอดมาแต่บรรพกาล นอกเหนือไปจากอีกความหมายหนึ่งที่ว่า (กฎ) ทรัพย์สินทุกชนิดตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่างๆ ของผู้ตาย เว้นแต่ตามกฎหมายหรือโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตาย เรียกรวมๆ ว่า กองมรดก
ซึ่งแน่นอนค่ะว่า ชื่อเวปนี้ ไม่ได้หมายถึง อิสลามตายไปแล้วแน่นอนค่ะ ถ้าคุณจะโจมตีกันในแง่ของคำภาษาไทยแล้วละก้อ คุณลองดูคำว่า มรดกโลกซิ ที่ใช้กันอย่างเป็นทางการมีคณะกรรมการตั้งขึ้นภายใต้อนุสัญญาด้วยนั้น จะเห็นได้ว่า โลกก็ไม่ได้ตายไปแล้วสักหน่อย
และที่คุณบอกว่า ขนาดนบียังไม่มีมรดกเลย แล้วฮาดีสที่บอกว่า บรรดาผู้รู้คือผู้ที่รับมรดกจากบรรดานบี ล่ะคะ จะว่าอย่างไร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Thu Aug 04, 2005 6:34 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอบคุณมากครับ คุณน่าตี ไม่รู้เรียกถูกไม้ :P ดีใจจัง ที่คุณยอมคุยด้วย อิอิเอาครับ มาคุยกัน แลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ เอาเป็นว่า คำว่ามรดกมีความหมายเกี่ยข้องถึงความตายถูกต้องไม้ครับ หรือว่าไม่เกี่ยว คุยเพลินๆนะครับ ไม่ซีเรียส :P ผมเคยแนะนำว่า ชื่ออื่นเรามีตั้งเยอะแยะ อะครับ ถ้ามีความหมายกำกวม เราจะเอามาใช้ทำไม อย่างคำว่าเผยแพร่ ซึ่งแต่ก่อนใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เดี๋ยวนี้ พบว่าที่ถูกต้อง เราต้องใช้คำว่า เผยแผ่ ใช่ไม้ครับ ก็ยังมีคนใช้ผิด
หรือ อย่างนบี ของเรา เราจะเรียกว่าท่านเป็นศาสดาไม่ได้ ต้องเรียกว่าศาสนทูต อันนี้ยิ่งมีคนใช้ผิดอยู่ผมเข้าใจถูกไม้ครับ ไม่ถูกตรงไหน แก้ไขผมด้วยนะครับ สำหรับฮาดิษที่ว่า บรรดาผู้รู้คือผู้ที่รับมรดกจากบรรดานบี อันนี้แน่นอนครับ แต่ผมไม่ได้พูดถึงบรรดานบีอื่นเลยนะครับ เท่าที่อ่านกลับไปดู ผมบอกว่า ท่านนบี หมายถึงท่านบีมูฮัมมัด ท่านเดียวนะครับ ที่ได้ ซ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิว่ะซัลลัม และมรดกที่ผมพูดถึงก็คือตอนที่ ท่าน คอลีฟะฮ์อบูบักร (ร่อดิยัลลอฮุอันฮ์) ตอนที่ท่านวินิจฉัยไม่มอบมรดกของท่านนบี ให้กับท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซึ่งท่านหญิงเองก็เข้าใจ และก็กลับไป เราถูกทั้งคู่ไม้ครับ อาจจะมองคนละแนว ใช่ไม้เอ่ย ไม่ซีเรียสนะครับ ยังไงคุณก็น่าตีอยู่แล้ว อิอิ
ถ้าเข้าใจเจตนากันซักนิดไม่น่ามีปัญหาครับ ใช่ไม้ครับ
คุณจะเอาโลก มาเปรียบเทียบ กับศาสนาไม่ได้นะครับ ไอ้คำว่ามรดกโลก น่ะมนุษย์มันตั้งขึ้นเองลอยๆ มันจะคิดคำอะไรก็ได้ แต่คำว่ามรดกอิสลาม ต้องกลับไปดูตัวบทครับ ว่า มีตรงไหนที่จะบอกว่า อิสลามคือมรดก บางทีผมอาจจะยังไม่เจออะครับ ไม่เคยอ่านเจอจริงๆว่า พระองค์อัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัล ได้ทรงตรัสว่า เราได้ให้มรดกแก่พวกเจ้า คืออิสลาม ที่ผมเจอคือ วันนี้ เราได้ทำให้ศาสนาสมบูรณ์ คำว่าสมบูรณ์ ถ้าเอาไปคิดจะเปรียบเทียบ กับความตาย ก็ห่างไกลกันเยอะแล้วนะครับ คุณ เนติ ไม่รู้ว่าเรียกถูกอีกไม้ อิอิ ตกลงผมจะเรียกคุณว่าอย่างไรดีครับ ช่วยบอกหน่อย เด๋วจะกลายเป็นการตั้งฉายาไป
มีไรก็คุยกันเพลินๆนะครับ มีแต่คุณกับผมจริงๆกระทู้ในบอร์ดนี้
ยังไงๆ กว่าจะล่ารายชื่อ กว่าศาลรัฐทำมะนู จะตีความได้ก็ปาไปเกือบครึ่งชีวิตของพลูโตเนียมแล้วครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|
|
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้ คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
Powered by phpBB
ฉ 2001, 2002 phpBB Group
|