ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Oct 10, 2013 8:16 pm ชื่อกระทู้: อุมมะตุลวาฮิดะฮ |
|
|
อุมมะตุลวาฮิดะฮ
عَنْ أَبِيْ نَجِيْحٍ العِرْبَاضِ بْنِ سَارِيَةٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ :
"وَعَظَنَا رَسُوْلُ اللهِ صلى الله عليه وسلم مَوْعِظَةً وَجِلَتْ مِنْهَا القُلُوْبُ وَذَرَفَتْ مِنْهَا العُيُوْنُ . فَقُلْنَا يَا رَسُوْلَ اللهِ كَأَنَّهَا مَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ فَأَوْصِنَا ، قَالَ :
" اُوْصِيْكُمْ بِتَقْوَى اللهِ عَزَّ وَجَلَّ ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ وَإِنْ تَأَمَّرَ عَلَيْكُمْ عَبْدٌ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلَافاً كَثِيراً ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِيْ وَسُنَّةِ الخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ المَهْدِّيِّيْنَ عَضُّوْاعَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأمُوْرِ فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ "
رَوَاهُ أَبُوْ دَاودَ وَالتِّرْمِذِيُّ وَقَالَ : حَدِيْثٌ حَسَنٌ صَحِيْحٌ.
ความว่า: จากท่านอบู นะญีหฺ อัล-อิรบาฎฺ อิบนุ สาริยะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ เล่าว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศอ็ลฯ ได้ตักเตือนเราด้วยการตักเตือนหนึ่งที่ทำให้จิตใจหวาดหวั่น และน้ำตาเอ่อล้น แล้วพวกเราก็กล่าวว่า: โอ้เราะสูลุลลอฮฺ ประหนึ่งว่ามันคือคำตักเตือนของผู้ที่
จะจากลา ดังนั้นท่านจงสั่งเสียให้แก่พวกเราเถิด ท่านกล่าวว่า : ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺผู้ทรงเกียรติและสูงส่งยิ่ง และจงเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ถึงแม้นว่าทาสคนหนึ่งจะปกครองท่านก็ตาม และหากผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านมีชีวิตยืนยาวต่อไป เขาก็จะได้พบกับความขัดแย้งอันมากมาย ดังนั้นพวกท่านจงยึดไว้ซึ่งสุนนะฮฺ(แนวทาง)ของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมที่ได้รับทางนำ จงกัดมันด้วยฟันกราม และพวกท่านจงพึงระวังต่ออุตริกรรมทั้งหลายในศาสนา เพราะทุกๆ อุตริกรรม(บิดอะฮฺ) นั้นคือความหลงผิด และทุกๆ ของความหลงผิดนั้นอยู่ในไฟนรก หะดีษบันทึกโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมิซีย์ และท่านกล่าวว่า หะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ
ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในสภาพสังคมที่ขัดแย้งกันโดย
หนึ่ง- ปฏิบัติตามสุนนะฮของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
สอง- ปฏิบัติตามสุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน
สาม -ห่างใกลจากบิดอะฮและเตือนกันให้ระวังเรื่องบิดอะฮในศาสนา
อิสลามสอนให้มุสลิมเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยกกัน โดยให้ยึดสายเชือกแห่งอัลลอฮ
สายเชื่อกอัลลอฮคืออะไร โปรดดูต่อไปนี้
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
وقوله : ( واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ) قيل ( بحبل الله ) أي : بعهد الله ، كما قال في الآية بعدها : ( ضربت عليهم الذلة أينما ثقفوا إلا بحبل من الله وحبل من الناس ) [ آل عمران : 112 ] أي بعهد وذمة وقيل : ( بحبل من الله ) يعني : القرآن ، كما في حديث الحارث الأعور ، عن علي مرفوعا في صفة القرآن : " هو حبل الله المتين ، وصراطه المستقيم " .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ) มีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกอัลลอฮ)หมายถึง ด้วยพันธสัญญาแห่งอัลลอฮ ดังที่พระองค์ตรัส ในอายะฮหลังจากนั้นว่า (
ضُرِبَتْ عَلَيْهِمُ الذِّلَّةُ أَيْنَ مَا ثُقِفُوا إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์ -อาลิอิมรอน/12 หมายถึง พันธสัญญา และความรับผิดชอบ และมีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกของอัลลอฮ) หมายถึง อัลกุรอ่าน ดังระบุในหะดิษอัลหาริษอัลอะวัร รายงานจากอาลี เป็นหะดิษมัรฟัวะ ในคุณลักษณะของอัลกุรอ่านว่า มันคือ สายเชือกของอัลลอฮที่มั่นคง และเป็นหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร
....
อายะฮนี้ สอนให้มีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน บน การยึดมั่นในศาสนาหรือ อัลกุรอ่าน ไม่ใช่สามัคคีกัน บนอุตริกรรมหรือบิดอะฮ ถ้ายึดสายเชือกแบบตามอารมณ์ สายเชือกก็จะรัดคอเอานะครับพี่น้อง _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Oct 10, 2013 8:18 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อุมมะตุลวาฮิดะฮ หรือความเป็นประชาติที่เป็นเอกภาพนั้น จะต้อง มีอะกีดะฮและหลักปฏิบัติ โดยยึด กิตาลุลลอฮและสุนนะฮรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ เป็นบรรดาทัดฐาน จะต้องมีจิตสำนึกในความเป็นภราดรภาพหรือความเป็นพี่น้องกันในอิสลาม การยืนหยัดอยู่บนหนทางนี้ จะถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง เป็นเป็นหนทางที่ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ แต่ปลายทางนี้คือ สวรรค์ของอัลลอฮ คนที่อยู่บนหนทางนี้ จะต้องกล้าพูดความจริงแม้จะขมขื่นก็ตาม
عن عبادة بن الصامت رضي الله عنه قال: بَايَـعْنَا رَسُولَ الله ﷺ عَلَى السَّمْعِ وَالطَّاعَةِ فِي العُسْرِ وَاليُسْرِ، وَالمَنْشَطِ وَالمَكْرَهِ، وَعَلَى أَثَرَةٍ عَلَيْنَا، وَعَلَى أَنْ لا نُنَازِعَ الأَمْرَ أَهْلَـهُ، وَعَلَى أَنْ نَقُولَ بِالحَقِّ أَيْنَمَا كُنَّا، لا نَخَافُ فِي الله لَومَةَ لائِمٍ -وفي رواية بعد أَنْ لا نُنَازِعَ الأَمْرَ أَهْلَـهُ- قَالَ: إلَّا أَنْ تَرَوْا كُفْراً بَوَاحاً عِنْدَكُم مِنَ الله فِيهِ بُرْهَانٌ. متفق عليه
จากอุบาดะฮฺ บิน อัศศอมิต เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า
" พวกเราได้ทำสัตยาบันต่อท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามทั้งในเรื่องที่ยากและเรื่องที่ง่าย ในสิ่งที่รักและสิ่งที่ไม่พอใจ ในเรื่องที่เราต้องเสียสละให้แก่ผู้อื่น เราไม่แข่งแย่งกิจการ (ตำแหน่ง) กับผู้ที่เป็นเจ้าของอยู่ เราจะพูดในเรื่องสัจธรรมไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน เราจะไม่กลัวการตำหนิในกิจการของอัลลอฮฺ อีกสายรายงาน หลังจาก เราไม่แก่งแย่งกิจการ (ตำแหน่ง) กับผู้ที่เป็นเจ้าของอยู่ เขากล่าวว่า ยกเว้นในกรณีที่พวกท่านมีหลักฐานอย่างชัดแจ้งถึงการปฏิเสธต่ออัลลอฮฺของพวกเขา
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 7056
อบูซัร (ร.ฎ)ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
وأمرني أن أقول بالحق وإن كان مرا
และเขา(หมายถึงนบี ศอ็ลฯ) สั่งให้ข้าพเจ้าพูดความจริง แม้มันจะขมขื่นก็ตาม -รายงานโดยอะหมัดและอัลบัยฮะกีย์ ดู อัสสิลสิละฮ อัศเศาะฮีหะฮ เล่ม 5 หน้า 199
@@@@@@
เพราะฉะนั้น อุมมะตุลวาฮาดะฮ ทางสายนี้ ใครยืนหยัดอยู่ได้ นั้นแหละคือ คนที่ประสบความสำเร็จ
เพิ่มเติม
وأمرني ألا أخاف في الله لومة لائم
และเขา(หมายถึงนบี ศอ็ลฯ) สั่งให้ข้าพเจ้าอย่ากลัวการตำหนิในกิจการของอัลลอฮฺ-
الصحيح المسند مما ليس في الصحيحين ) (1/193
ความหมายคำว่า อุมมะฮ ในอัลกุรอ่าน
หนึ่ง หมายถึง มิลละฮ/อะกีดะฮ
وَمَا كَانَ النَّاسُ إِلَّا أُمَّةً وَاحِدَةً فَاخْتَلَفُوا وَلَوْلَا كَلِمَةٌ سَبَقَتْ مِنْ رَبِّكَ لَقُضِيَ بَيْنَهُمْ فِيمَا فِيهِ يَخْتَلِفُونَ
และมนุษย์นั้นไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นศาสนาเดียวกัน และพวกเขาก็แตกแยกกัน และหากมิใช่ลิขิตได้บันทึกไว้ที่พระเจ้าของพวกเจ้าแล้วแน่นอนก็คงถูกตัดสินระหว่างพวกเขา ในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน- ยูนูส/19
สอง หมายถึง อัลญะมาอะฮ/หมู่คณะ(อัลญะมาอะฮ)
وَمِنْ قَوْمِ مُوسَى أُمَّةٌ يَهْدُونَ بِالْحَقِّ وَبِهِ يَعْدِلُونَ (159)
และจากพวกพ้องของมูซานั้นมีกลุ่มหนึ่งที่แนะนำชี้แจงด้วยความจริง และด้วยความจริงนั้นพวกเขาใกล้ความเที่ยงธรรม- อัลอะรอฟ/159
สาม- หมายถึง กาลเวลา(อัซซะมะนุ)
وَقَالَ الَّذِي نَجَا مِنْهُمَا وَادَّكَرَ بَعْدَ أُمَّةٍ أَنَا أُنَبِّئُكُمْ بِتَأْوِيلِهِ فَأَرْسِلُونِ
เขาผู้รอดพ้นคนหนึ่งในสองคนรำลึกขึ้นมาได้หลังจากชั่วเวลาหนึ่ง กล่าวว่า ฉันจะบอกพวกท่านซึ่งการทำนายฝัน พวกท่านจงส่งฉันไปซิ- ยูซูฟ/45
สี่ หมายถึง อัลกุดวะฮ/เป็นแบบอย่าง
إِنَّ إِبْرَاهِيمَ كَانَ أُمَّةً قَانِتًا لِلَّهِ حَنِيفًا وَلَمْ يَكُ مِنَ الْمُشْرِكِينَ.
แท้จริง อิบรอฮีมนั้นเป็นแบบอย่างอันดีเลิศ เป็นผู้ภักดีต่ออัลลอฮ์ เป็นผู้เที่ยงธรรม และเขามิได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี- อัลนะหลุ/120
อัลลอฮ (ซ.บ) ตรัสว่า
وَمَا كَانَ النَّاسُ إِلَّا أُمَّةً وَاحِدَةً فَاخْتَلَفُوا وَلَوْلَا كَلِمَةٌ سَبَقَتْ مِنْ رَبِّكَ لَقُضِيَ بَيْنَهُمْ فِيمَا فِيهِ يَخْتَلِفُونَ
ความว่า และมนุษย์นั้นมิใช่อื่นใด นอกจากเป็นประชาชาติเดียวกัน แล้วพวกเขาก็แตกแยกกัน และหากมิใช่เพราะลิขิตซึ่งได้บันทึกไว้ที่พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าแล้วไซร้ แน่นอนก็คงเกิดการตัดสินแล้วระหว่างพวกเขาในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 19
อิบนุกะษีร ได้อธิบายอายะห์ข้างต้นดังนี้
ثُمَّ أَخْبَرَ تَعَالَى أَنَّ هَذَا الشِّرْكَ حَادِثٌ فِي النَّاسِ ، كَائِنٌ بَعْدَ أَنْ لَمْ يَكُنْ ، وَأَنَّ النَّاسَ كُلَّهُمْ كَانُوا عَلَى دِينٍ وَاحِدٍ ، وَهُوَ الْإِسْلَامُ ؛ قَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ : كَانَ بَيْنَ آدَمَ وَنُوحٍ عَشَرَةُ قُرُونٍ ، كُلُّهُمْ عَلَى الْإِسْلَامِ ، ثُمَّ وَقَعَ الِاخْتِلَافُ بَيْنَ النَّاسِ ، وَعُبِدَتِ الْأَصْنَامُ وَالْأَنْدَادُ وَالْأَوْثَانُ ، فَبَعَثَ اللَّهُ الرُّسُلَ بِآيَاتِهِ وَبَيِّنَاتِهِ وَحُجَجِهِ الْبَالِغَةِ وَبَرَاهِينِهِ الدَّامِغَةِ
หลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮ์ทรงบอกให้ทราบว่า การตั้งภาคีเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ทั้งๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะมนุษย์ทั้งหมดทุกคนต่างก็อยู่บนศาสนาเดียวกันก็คือ อิสลาม อิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า : ช่วงระหว่างนบีอาดัมถึงนบีนัวฮ์นั้นสิบศตวรรษ มนุษย์ทุกคนอยู่บนอิสลาม หลังจากนั้นก็เกิดการขัดแย้งระหว่างผู้คน เกิดการสักการะรูปปั้น, สิ่งเทียบเคียงพระเจ้า และเจว็ดต่างๆ ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงได้ส่งบรรดารอซูลมาพร้อมกับสัญญาณต่างๆของพระองค์, ข้ออ้างอิงที่ชัดเจน และหลักฐานที่มิอาจปฏิเสธได้ ตัฟซีร อิบนิกะษีร เล่มที่ 2 หน้าที่ 541
สรุปจากคำอธิบายของอิบนุกะษีร หากจะเรียกร้องสู่แนวคิดอุมมะตุลวาฮาดะฮ จากอายะฮข้างต้นคือ การเรียกร้อง มนุษย์ มาสู่ศาสนาและอะกีดะฮเดียวกัน ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสิบศัตวรรษแรกนับจากยุคของอาดัม _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Oct 10, 2013 8:20 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อิบนุญะรีร ปราชญ์นักตัฟสีรชาวสะลัฟอธิบายว่า
وَمَا كَانَ النَّاسُ إِلَّا أَهْلَ دِينٍ وَاحِدٍ وَمِلَّةٍ وَاحِدَةٍ فَاخْتَلَفُوا فِي دِينِهِمْ ، فَافْتَرَقَتْ بِهِمُ السُّبُلُ فِي ذَلِكَ
และปรากฏว่า มนุษย์นั้น ไม่มีอื่นใด นอกจาก เป็นผู้นับถือศาสนาเดียวกัน และมีแนวทางเดียวกัน แล้วพวกเขาได้ขัดแย้งกันในศาสนาของพวกเขา แล้วพวกเขาได้แตกแยกเป็นแนวทางต่างๆ ในดังกล่าวนั้น- ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 15 หน้า 48 อรรถาธิบาย อายะฮที่ 19 ซูเราะฮยูนูส -คำว่ามนุษย์ข้างต้นคือ มนุษย์ในยุคสิบศัตวรรษแรกนับจากยุคอาดัมจนถึงยุคโนอาหรือนุฮ
อัลลอฮ ตะอาลาตรัสว่า
إِنَّ هَذِهِ أُمَّتُكُمْ أُمَّةً وَاحِدَةً وَأَنَا رَبُّكُمْ فَاعْبُدُونِ
แท้จริง นี่คือประชาชาติของพวกเจ้า ซึ่งเป็นประชาชาติเดียวกัน และข้าเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพภักดีข้าเถิด อัลอัมบิยาอฺ/92
อิบนุกะษีร(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน อธิบายดังนี้
قَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ ، وَمُجَاهِدٌ ، وَسَعِيدُ بْنُ جُبَيْرٍ ، وَعَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ زَيْدِ بْنِ أَسْلَمَ فِي قَوْلِهِ : ( إِنَّ هَذِهِ أُمَّتُكُمْ أُمَّةً وَاحِدَةً ) يَقُولُ : دِينُكُمْ دِينٌ وَاحِدٌ .
อิบนุอับบาส ,มุญาฮิด,สะอีด บิน ญุบัยรฺ และอับดุรเราะหมาน บิน เซด บิน อิสลัม ได้กล่าวในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (แท้จริง นี่คือประชาชาติของพวกเจ้า ซึ่งเป็นประชาชาติเดียวกัน) ว่า หมายถึงพระองค์ ตรัสว่า ศาสนาของพวกเจ้า คือ ศาสนาหนึ่งเดียว
وَقَالَ الْحَسَنُ الْبَصْرِيُّ; فِي هَذِهِ الْآيَةِ : بَيَّنَ لَهُمْ مَا يَتَّقُونَ وَمَا يَأْتُونَ ثُمَّ قَالَ : ( إِنَّ هَذِهِ أُمَّتُكُمْ أُمَّةً وَاحِدَةً ) أَيْ : سُنَّتُكُمْ سُنَّةٌ وَاحِدَةٌ
และอัลหะซัน อัลบัศรีย์ ได้กล่าวในอายะฮนี้ว่า พระองค์ทรงอธิบาย แก่พวกเขา สิ่งที่พวกเขาจะต้องรักษา(หมายถึงอวัยวะเพศ) และสิ่งที่พวกเขาให้เกิดขึ้น(หมายถึงบุตรที่พวกเขาให้กำเนิด) ต่อมา พระองค์ตรัสว่า (แท้จริง นี่คือประชาชาติของพวกเจ้า ซึ่งเป็นประชาชาติเดียวกัน) หมายถึง แนวทางของพวกเจ้านั้น คือแนวทางเดียว
وَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " نَحْنُ مَعْشَرَ الْأَنْبِيَاءِ أَوْلَادُ عَلَّاتٍ دِينُنَا وَاحِدٌ " ، يَعْنِي : أَنَّ الْمَقْصُودَ هُوَ عِبَادَةُ اللَّهِ وَحْدَهُ لَا شَرِيكَ لَهُ بِشَرَائِعَ مُتَنَوِّعَةٍ لِرُسُلِهِ ، كَمَا قَالَ تَعَالَى : ( لِكُلٍّ جَعَلْنَا مِنْكُمْ شِرْعَةً وَمِنْهَاجًا ) [ الْمَائِدَةِ : 48 ]
และรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า พวกเราบรรดานบีทั้งหลาย เป็นลูกๆต่างมารดากัน ศาสนาของพวกเรานั้นมีหนึ่งเดียว หมายถึง มีเป้าหมายเดียวกัน คือ การเคารพภักดีต่ออัลลอฮองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆแก่พระองค์ ด้วยบรรดาศาสนบัญญัติของรอซูลพระองค์ที่แตกต่างกัน ดังที่พระองค์ ผู้ทรงสูงส่งตรัสว่า สำหรับแต่ละประชาชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้ อัลมาอิดะฮ/48 ดูตัฟสีร อิบนุกะษีร เล่ม 5 หน้า 372 _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Oct 20, 2013 9:38 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
รากฐานแห่งความเป็นหนึงเดียวของอุมมะฮอิสลาม
หนึ่ง ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านอะกีดะฮ
เช่นโองการในซูเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮ 285กล่าวว่า
آمَنَ الرَّسُولُ بِمَا أُنزِلَ إِلَيْهِ مِن رَّبِّهِ وَالْمُؤْمِنُونَ كُلٌّآمَنَ بِاللّهِ وَمَلآئِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ لاَ نُفَرِّقُ بَيْنَ أَحَدٍمِّن رُّسُلِهِ وَقَالُواْ سَمِعْنَا وَأَطَعْنَا غُفْرَانَكَ رَبَّنَا وَإِلَيْكَالْمَصِيرُ
เราะซูล ศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขา จากพระผู้อภิบาลของเขา และบรรดาผู้ศรัทธาทุกคนศรัทธาในอัลลอฮฺ และมะลาอิกะฮฺของพระองค์ และคัมภีร์ทั้งหลายของพระองค์ และเราะซูลทั้งหลายของพระองค์ เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาร่อซูลของพระองค์ และเขาทั้งหลายกล่าวว่า เราได้ยิน และเชื่อฟังปฏิบัติตาม การอภัยโทษจากพระองค์ (เท่านั้นที่พวกเราปรารถนา) โอ้พระผู้อภิบาลของพวกเรา และยังพระองค์นั้น คือ การกลับไป
สอง- ความเป็นหนึ่งเดียวของ สัญลักษณ์ และชะรีอะฮ
เช่นโองการในซูเราะฮฺอัชชูรอ อายะฮ 13 กล่าวว่า
شَرَعَ لَكُم مِّنَ الدِّينِ مَا وَصَّى بِهِ نُوحاً وَالَّذِي أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ وَمَا وَصَّيْنَا بِهِ إِبْرَاهِيمَ وَمُوسَى وَعِيسَى أَنْ أَقِيمُوا الدِّينَ وَلَا تَتَفَرَّقُوا فِيهِ
"พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัชาแก่นูห์ และที่เราได้วะฮีย์ยฺแก่เจ้าก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัชาแก่อิบรอฮิม และมูซา และอีซาว่า พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้คงมั่น และอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องให่แก่พวกตั้งภาคีที่เจ้าเรียกร้อง เชิชวนพวกเขาไปสู่ศาสนานั้น อัลลอฮ์ทรงเลือกสำหรับพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้แนะทางสู่พระองค์ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์" - อัชชูรอ/13
สาม ความเป็นหนึ่งเดียวของแหลงที่มาและทีกลับ (เมื่อเกิดประเด็นขัดแย้ง)
เช่นโองการในซูเราะฮฺอันนิสาอฺ อายะฮ 59 กล่าวว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง
สรุปจากเนื้อหาข้างต้น อุมมะฮตุลวาฮิดะฮ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ
หนึ่ง ต้องมีอะกีดะฮเดียวกัน
สอง มีชะรีอะฮเดียวกัน
สาม มีกติกาเดียวกัน เมื่อมีประเด็นขัดแย้ง คือ การกลับไปสู่กิตาบุลลอฮ และ สุนนะฮของรอซูล (ศอลฯ)
เมื่อมีประเด็นขัดแย้งในเรื่องศาสนา คนหนึ่ง อ้างอุลามาอฺหะนะฟีย์ ,คนหนึ่งอ้างอุลามาอฺมาลิกีย์ , คนหนึ่งอ้าง อ้างอุลามาอฺชาฟิอี และอีกคนหนึ่ง อ้างอุลามาอฺหัมบะลีย์ ต่างฝ่ายยืนยันกระตายขาเดียวว่า "ของข้าถูก" แบบนี้ อุมมะตุลวาฮิดะฮ ฮืดขึ้นคอ ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเป็นแน่ _________________ จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|