ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 1:28 am ชื่อกระทู้: ชีอะห์ มีความเชื่ออย่างไร |
|
|
ชีอะห์ มีความเชื่ออย่างไร เกี่ยวกับ อัล-บะดาอ์
ชีอะห์ บอกว่า
อัล-บะดาอ์ หมายถึง การประจักษ์หลังจากการปกปิด หรือหมายถึง เกิดความเห็นใหม่(ที่ค้านกับที่เป็นอยู่) ซึ่งทั้งสองความหมายจะเกิดขึ้นหลัง จากความเขลา หรือไม่มีความรู้ ทั้งสองความหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้สำหรับอัลลอฮ แต่พวกชีอะห์กับนำความเชื่อเรื่อง อัล-บะดาอ์นี้
มาเป็นคุณลักษณะของอัลลอฮ
อัร-รอยยาน บินอัตศ็อลต รายงานว่า ฉันได้ฟัง อัร-ริฎอ กล่าวว่า อัลลอฮ จะไม่ส่งนบี เว้นแต่ ห้ามปรามการดืมเหล้า และยอมรับความเป็น อัล-บะดาอ์ ของอัลลอฮ (ดู อุศูล กาฟีย์ ของอัลกุลัยนีย์ หน้า 40)
อบูอับดิ้ลลาห์ กล่าวว่า ไม่มีการเคารพ ต่ออัลลอฮด้วยสิ่งใด จะประเสฐิธเท่ากับ อัล-บะดาอ์
(ดู อุศูล กาฟีย์ ของอัลกุลัยนีย์ บท อัลเตาฮีด 1/331 )
...............................................................................................................................................
จงดูเถิดว่าพวกเขากล้าพลาดพิง ความเขลาต่ออัลลอฮ ในขณะที่อัลลอฮได้ตรัสเกี่ยวกับตัวพระองค์เองว่า قل لا يعلم من في السماوات والأرض الغيب الإالله
ความว่า จงกล่าวเถิด (มุฮัมหมัด) ไม่มีผู้ใดเลยในทั้งชั้นฟ้าและบนหน้าแผ่นดิน ที่ล่วงรู้ในสิ่งที่พ้นสัญญาน วิสัย นอกจากอัลลอฮ (ซูเราะห์ อัล-นัมรุ 27:65)
ในทางกลับกันพวก ชีอะห์ กลับมีความเชื่อว่า บรรดาอีหม่ามของพวกเขาสามารถ ล่วงรู้ถึงสิ่งเร้นรับต่างๆ ไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดจากความหยั่งรู้ของพวกเขาได้
นี่หรือใช่คำสอนและความเชื่อของอิสลามที่ท่านนบี มุฮัหมัด ได้นำมาเผยแพร่!!!!?
والله أعلم بالصواب |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 2:08 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ชีอะห์ รอฟิเฎาะฮฺมีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ?
พวกรอฟิเฎาะฮฺ เป็นชนกลุ่มแรกที่มีแนวคิดที่ว่าอัลลอฮฺมีรูปทรง ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้ระบุไว้ว่า ในบรรดารอฟิเฎาะฮฺที่ริเริ่มกุความเชื่อดังกล่าวได้แก่ ฮิชาม บิน อัลหะกัมดู มินฮาญฺ อัสสุนนะฮฺ โดย อิบนุ ตัยมียะห์ (1/20) ฮิชาม บิน สาลิม อัลญะวาลิกีย์, ยูนุส บิน อับดุลเราะฮฺมาน อัลกุมมีย์ และ อบูญะอฺฟัร อัล อะหฺวัล (ดู อิอฺติกอด ฟิร็อก อัลมุสลิมีน วัลมุชริกีน หน้า 97)
ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นแกนนำของพวกชีอะฮฺ อิมามิยะฮฺ ต่อมาคนเหล่านี้ได้กลายเป็นพวกญะฮฺมิยะฮฺที่ปฏิเสธศิฟาต หรือคุณลักษณะทั้งหมดของอัลลอฮฺ เช่นเดียวกับมีรายงานจำนวนหนึ่งจากพวกเขาที่อธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮฺในเชิงลบ รวมทั้งปฎิเสธคุณลักษณะที่ถูกต้องของอัลลอฮฺด้วย อิบนุ บาบะวัยฮฺ ได้ยกรายงานมากกว่าเจ็ดสิบสายรายงานว่า แท้จริงอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลานั้นไม่ประกอบด้วยคุณลักษณะแห่งกาลเวลา สถานที่ วิธีการ การเคลื่อนไหว และเคลื่อนที่ ไม่ประกอบด้วยคุณลักษณะใดๆของรูปร่าง ไม่มีทั้งด้านความรู้สึก รูปร่างที่ชัดเจน และรูปภาพ ( ดู อัลเตาหีด ของ อิบนุ บาบะวัยฮฺ หน้า 57)
ดังนั้นเหล่าผู้รู้ของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ จึงได้เดินตามแนวทางอันงมงายนี้ พร้อมกับปฏิเสธคุณลักษณะของอัลลอฮฺที่ถูกระบุไว้ในอัลกุรอานและสุนนะฮฺ
เช่นเดียวกับที่พวกเขาปฏิเสธการลงมาของอัลลอฮฺ พวกเขากล่าวว่า: อัลกุรอานนั้นเป็นมัคลูกหรือสิ่งถูกสร้าง มิใช่ดำรัสของอัลลอฮฺ และยังปฏิเสธการมองเห็นอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ในวันอาคีรัต. มีกล่าวในหนังสือ บิหาร อัลอันวาร ว่า : มีคนถามอบู อับดิลลาฮฺ ญะอฺฟัร อัศศอดิก เกี่ยวกับการมองเห็นอัลลอฮฺในวันกียามัตว่าเป็นไปได้หรือไม่?. ท่านตอบว่า : มหาบริสุทธิ์และความสูงส่งเป็นขององค์อัลลอฮฺ ที่ทรงห่างไกลจากสิ่งนั้นยิ่งนัก แท้จริงแล้วสายตาไม่สามารถจะมองเห็นได้ นอกจากสิ่งที่มีสีและลักษณะวิธี ในขณะที่อัลลอฮฺคือผู้ที่สร้างมัน [ ดู หนังสือ บิหาร อัล อันวาร โดย อัลมัจลิสฺซีย์ เล่ม 4 หน้า 31].
นอกจากนี้ พวกเขายังกล่าวหาผู้ที่ยอมรับถึงคุณลักษณะบางประการของอัลลอฮฺ เช่นการมองเห็นพระองค์ในวันอาคีรัต ว่าเป็นผู้ที่ตกศาสนาหรือมุรตัด ดังที่มีรายงานจาก เชคของพวกเขาที่มีชื่อว่า ญะฟัร อันนัจฟีย์ ในหนังสือ กัชฟุ อัลเฆาะตออฺ หน้า 417
แท้จริงแล้ว การมองเห็นอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ในวันอาคีรัตนั้นเป็นสัจธรรมที่อัลกุรอานและสุนนะฮฺได้บอกไว้อย่างชัดเจน ว่าเป็นไปได้และมีจริง โดยที่เราไม่อาจบอกได้ว่าสามารถมองเห็นอย่างไรและขนาดใหน ดังที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้ว่า
( وُجوُهٌ يَومئِذٍ نَّاضِرَةٌ * إلى رَبها نَاظِرَةٌ )
ความว่า : ในวันนั้นใบหน้า (ของผู้ศรัทธา) จะเบิกบานและเจิดจรัส พวกเขาได้จ้องมองไปยังองค์อภิบาลของพวกเขา. (อัล กิยามะฮฺ 75:22-23)
และมีรายงานในเศาะฮีหฺ อัล บุคอรี และมุสลิม[อัล บุคอรีย์ หมายเลข 544 มุสลิม หมายเลข 633
] จาก ญะรีร บิน อับดุลลอฮฺ อัล บะญะลีย์ กล่าวว่า : ครั้งหนึ่ง ในขณะที่พวกเราได้นั่งอยู่กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ท่านได้มองไปยังพระจันทร์เต็มดวงในคืนสิบสี่ค่ำ แล้วท่านกล่าวขึ้นมาว่า ((แท้จริงพวกท่านจะได้มองเห็นองค์อภิบาลของพวกท่าน อย่างชัดเจน เหมือนดังที่พวกท่านกำลังมองดวงจันทร์อยู่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ต้องแย่งกันมองแต่ประการใด))
ยังมีโองการอัลกุรอานและบทหะดีษอีกมากมาย ที่ยืนยันถึงการมองเห็นอัลลอฮฺของผู้ศรัทธา ในวันอาคีรัต ซึ่งไม่อาจยกมากล่าว ณ ที่นี้ได้ [ดูในหนังสือของ อัล ดาเราะกุฏนีย์ และหนังสือของท่าน อิมาม อัล ลาลิกาอีย์ และอื่นๆ ]
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 2:09 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อะไรคือแนวความขัดแย้งระหว่างชีอะฮฺ รอฟิเฎาะฮฺ และอะฮฺลิสสุนนะห์ ?
นิซอมุดดีน มุหัมมัด อัล อะซอมีย์ ในหนังสือ อัชชีอะฮฺ วา อัลมุตอะห์ ได้อธิบายว่า : แท้จริงความขัดแย้งระหว่างเราชาวสุนนะห์กับชีอะฮฺ ไม่ได้เป็นตั้งอยู่บนเพียงความขัดแย้งในเรี่องของฟิกฮ์ที่แตกย่อยเท่านั้น เช่น เรื่องมุตอะห์เป็นต้น ความจริงแล้วความขัดแย้งระหว่างพวกเรากับพวกเขา คือความขัดแย้งในเรื่องของรากฐาน ใช่ มันคือความขัดแย้งในเรื่องอากีดะฮฺ หรือความเชื่อ ดังหัวข้อต่อไปนี้ :
1. รอฟิเฎาะฮฺกล่าวว่า อัลกุรอานนั้นถูกแก้ และไม่ครบถ้วน แต่พวกเราเชื่อว่าอัลกุรอานเป็นดำรัสของอัลลอฮฺที่ครบถ้วน และเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือกระทำการใดๆ ตราบจนถึงวันสุดท้ายของโลก เหตุเพราะอัลลอฮฺทรงตรัสว่า
(إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ )
ความว่า : แท้จริงเราได้ประทานลงมาซึ่งอัลกุรอาน และแน่แท้เราจะพิทักษ์รักษามัน [ อัลฮิจร์ 15 : 9 ]
2. รอฟิเฎาะฮฺกล่าวว่า บรรดาศอหาบะฮฺได้ตกเป็นมุรตัด หลังการเสียชีวิตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม และได้ทรยศหลังจากนั้น นอกเสียจากบางคนเท่านั้น พวกเขากล่าวหาว่า บรรดาสาวกเหล่านี้ได้ทำลายอะมานะห์และศาสนา โดยเฉพาะคอลีฟะห์ทั้งสามท่าน อบู บักร, อุมัร และอุษมาน ทั้งสามคนในความเชื่อของรอฟิเฏาะฮฺจึงเป็นผู้ที่ชั่วร้ายและหลอกลวงที่สุด
ในขณะที่พวกเรากล่าวว่า สาวกของท่านรสูล คือชนที่ดีที่สุดหลังจากบรรดานบี พวกเขาทั้งหมดล้วนเที่ยงธรรม และไม่มีเจตนาที่จะปั้นแต่งเรื่องราวแทนวจนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม พวกเขาล้วนซื่อสัตย์ในการเผยแพร่
3. รอฟิเฎาะฮฺกล่าวว่า บรรดาอิมามทั้งสิบสอง ล้วนเป็นผู้ที่ปลอดบาปและความผิดโดยสิ้นเชิง พวกเขาเชื่อว่าบรรดาอิมามรู้ความลับต่างๆ ที่มองไม่เห็น ทุกอย่างที่ออกไปยังมลาอิกะฮฺ นบีและรสูล ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ไม่มีสิงใดที่ปกปิดพวกเขาได้ อีกทั้งเชื่อว่าพวกเขารู้ภาษาทั้งหมดในโลก และโลกใบนี้เป็นของพวกเขานั่นเอง
ในขณะที่เรามีความเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้น ล้วนเป็นมนุษย์ที่ไม่แตกต่างแต่อย่างใด ในหมู่พวกเขามีที่เป็น ฟุกอฮาอ์(ผู้รู้ในเรื่องบทบัญญัติศาสนา) มีที่เป็นอุลามาอ์ และมีที่เป็นคอลีฟะห์ และเราจะไม่กล่าวในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้อ้างด้วยตัวพวกเขาเอง ซ้ำพวกเขาเองยังห้ามการดังกล่าว และห่างไกลจากการประพฤติเช่นนั้น [ดู อรัมพบท ของ นิซอมุดดีน มุหัมมัด อัล อะซอมีย์ จากหนังสือ อัชชีอะฮฺ วา อัลมุตอะห์ หน้าที่ 6) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 2:12 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อะไรคือความเชื่อ อัต ตีนะห์ (ดินศักดิ์สิทธิ์) ของพวกรอฟิเฎาะฮฺ ?
ความหมายของอัตตีนะห์คือ ดินบริเวณหลุมฝังศพท่าน หุเสน รอฎิยัลลอฮฺ อันฮุ มุหัมหมัด อันนุมาน อัล ฮาริษี เป็นบุคคลหนึ่งที่ทำให้พวกเขาหลงทาง ซึ่งถูกขานนามว่าเป็น อัชชัยคุล อัลมุฟีด ได้อ้างในหนังสือของเขา อัลมิซาร์ ว่า จาก อบู อับดิลลาฮฺ ว่า : ดินจากหลุมศพท่านหุเสน เป็นยาบำบัดสำหรับทุกโรคภัย มันเป็นยาอันยิ่งใหญ่
และอับดุลลอฮฺ กล่าวว่า : พวกท่านจงเปิดปากทารกของพวกท่านด้วยดินจากหลุมฝังศพท่านหุเสน
ยังมีรายงานอีกว่า : มีผ้าจำนวนหนึ่งถูกส่งไปยัง อบู หะซัน อัร ริฎอ จาก คุรอซาน ระหว่างผ้ามีดินติดอยู่ ผู้ที่มาส่งผ้านั้นจึงถูกถามว่า มันเป็นดินอะไร ? เขาตอบว่า : ดินจากหลุมศพหุเสน ไม่มีอะไรที่ถูกส่งนอกเสียจากต้องมีดินนี้ติดไปด้วย และยังกล่าวอีกว่า : มันเป็นดินที่ให้ความสงบสุขด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ
ยังมีรายงานอีกเช่นเดียวกันว่า มีชายผู้หนึ่งได้ถาม อัศศอดิก ถึงการกินดินดังกล่าว อัศศอดิก ตอบว่า : เมื่อใดที่ท่านจะกินให้กล่าวว่า โอ้ องค์อภิบาล ข้าขอจากพระองค์ด้วยสิทธิ์แห่งมลาอิกะห์ผู้ซึ่งควบคุมดินนั้นอยู่ และด้วยสิทธิ์แห่งนบีผู้เก็บมันไว้ และด้วยสิทธิ์แห่งผู้สืบสานที่พำนักอยู่ ณ ที่นั้น ข้าขอให้พระองค์ทรงประทานความสันติแก่นบีมุหัมมัดและครอบครัวของท่าน และขอให้พระองค์จงทำให้เป็นยาบำบัดแก่ทุกโรคภัย ให้เป็นความปลอดภัยจากทุกสิ่งที่อันตราย และให้เป็นสิ่งป้องกันจากทุกความชั่วร้ายทั้งปวง
อบู อับดิลลาฮฺ ถูกถามถึง การใช้ดินจากหลุมฝังศพหัมซะห์(ลุงของท่านนบี) และหลุมศพหุเสน ว่าอันไหนประเสริฐกว่า ท่านตอบว่า : ประคำที่ทำมาจากดินแห่งหลุมศพหุเสน จะกล่าวตัซบีห์ด้วยมือโดยที่เจ้าของไม่ต้องกล่าวมัน [ดู หนังสือ อัลมิรอซ์ โดย อัล มุฟีด หน้า 125]
ขณะเดียวกันรอฟิเฎาะฮฺยังอ้างอีกว่า ชีอะฮฺกำเนิดมาจากดินพิเศษ พวกสุนนีย์นั้นถูกสร้างมาจากดินชนิดอื่น แล้วดินทั้งสองชนิดถูกนำมาเคล้ากัน ดังนั้น บาปอะไรที่พวกชีอะฮฺทำ นั่นคือผลมาจากดินของพวกสุนนีย์ ส่วนความดีของชาวสุนนีย์ก็คือผลมาจากดินของพวกชีอะฮฺ ในวันกิยามัต ความชั่วและบาปของชีอะฮฺจะถูกโยนให้พวกสุนนีย์จนหมดสิ้น และความดีของสุนนีย์ก็จะกลับไปเป็นของพวกชีอะฮฺ [ดู อิลัล อัชชะรอฺอิอฺ หน้า 490-491 และ บิหาร อัลอันวาร เล่ม 5 หน้า 247-248 ] |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 2:13 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ดุอาสองเจว็ดแห่งเผ่ากุเรช
คนที่พวกเขาหมายถึงก็คือ ท่านอบู บักร และอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปราณียิ่งเสมอ ขอพระองค์ทรงศอลาวาตต่อมุหัมมัดและครอบครัวของท่าน ขอพระองค์ทรงสาปแช่งสองเจว็ดแห่งเผ่ากุเรช ผู้เป็นพ่อมด มารร้าย จอมโกหก และลูกสาวของทั้งสอง ซึ่งทั้งสองได้ขัดขืนคำสั่งของพระองค์ ปฏิเสธโองการของพระองค์ ขัดการประทานของพระองค์ ทรยศศาสดาของพระองค์ เปลี่ยนแปลงศาสนาของพระองค์ แก้ไขคัมภีร์ของพระองค์ รักศัตรูของพรองค์ ขัดคุณความดีของพระองค์ ทำลายบัญญัติของพระองค์ ยกเลิกกำหนดของพระองค์ เบี่ยงเบนโองการของพระองค์ ทำร้ายผู้ใกล้ชิดพระองค์ ใกล้ชิดอริของพระองค์ ก่อสงครามในแผ่นดินของพระองค์ และสร้างความหายนะให้กับบ่าวของพระองค์
โอ้ องค์เจ้า ขอทรงสาปแช่งเขาทั้งสอง ผู้ติดตาม ผู้ใกล้ชิด ผู้ช่วยเหลือ และผู้รักใคร่ทั้งสอง ขอสาบานแท้จริง พวกเขาทั้งสองได้ทำลายบ้านแห่งนบี ทั้งประตูและหลังคาที่ปกปิด พวกเขาได้ทำลายความสูงส่งเทียมฟ้าจนราบเรียบเท่าแผ่นดิน จากที่สูงกลายเป็นที่ต่ำ จากด้านหน้ากลายเป็นด้านหลัง พวกเขาได้กำจัดครอบครัวของท่าน และผู้ช่วยของท่าน ได้สังหารลูกหลานของท่าน ได้ปลดผู้สืบทอดและผู้รับความรู้ของท่านออกจากบัลลังก์ ได้กั้นเขาจากการเป็นผู้นำ พวกเขาทั้งสองได้ตั้งภาคีอับองค์อภิบาลของพวกเขา ดังนั้นขอจงทำให้เขาทั้งสองได้รับบาปมหันต์ จงกักพวกเขาในสะก๊อร ตลอดกาล สะก๊อร นั่นคืออะไรเล่า คือไฟที่กัดกินไม่ให้เหลือและไม่ทิ้งซาก
โอ้ องค์อภิบาล ขอทรงสาปแช่งพวกเขา ด้วยจำนวนความผิดที่พวกเขากระทำ สิทธิที่พวกเขาปกปิด บัลลังก์ที่พวกเขาครองมัน ผู้ศรัทธาที่พวกเขาเว้นห่าง มุนาฟิกที่พวกเขาใกล้ชิด วะลีที่พวกเขาทำร้าย คนผิดที่พวกเขานำเข้าใกล้ ผู้ซื่อสัตย์ที่พวกเขาไสส่ง กาฟิรที่พวกเขาค้ำจุน ผู้นำที่พวกเขาทารุณ บัญญัติที่พวกเขาดัดแปลง หลักฐานที่พวกเขาปฏิเสธ ความชั่วที่พวกเขานำมาใช้ เลือดที่พวกเขาได้หลั่ง ความดีที่พวกเขาเปลี่ยนมัน การปฏิเสธที่พวกเขาให้ท้าย ความเท็จที่พวกเขาโป้ปด มรดกที่พวกเขายึดไว้ ทรัพย์หลวงที่พวกเขาริบออม สมบัติหะรอมที่พวกเขากินมัน สินสงครามที่พวกเขาเอามาใช้ ความไม่ถูกต้องที่พวกเขาก่อมันขึ้น อธรรมที่พวกเขาปูมัน ความสับปลับที่พวกเขาตั้งมันขึ้นชัน ความทรยศที่พวกเขาซ่อนเร้น ความอยุติธรรมที่พวกเขาแพร่กระจาย สัญญาที่พวกเขาละเลย อะมานะห์ที่พวกเขาปล่อยปะ ปฏิญาณที่พวกเขาทำลาย หะลาลที่พวกเขาทำให้หะรอม หะรอมที่พวกเขาทำให้หะลาล ท้องไส้ที่พวกเขาผ่ามัน ทารกที่พวกเขาทำให้ตกแท้ง กระดูกที่พวกเขาทำให้หัก หนังสือที่พวกเขาฉีกทั้ง ความสามัคคีที่พวกเขาทำให้แตก คนมีเกียรติที่พวกเขาบั่นทอน คนจรจัดที่พวกเขายกย่อง ความจริงที่พกวเขาปิดกั้น ความเท็จที่พวกเขาเติมแต่ง บทบัญญัติที่พวกเขากระด้างกระเดื่อง อิมามที่พวกเขาไม่เชื่อฟัง
โอ้องค์อภิบาล ขอทรงสาปแช่งพวกเขาด้วยจำนวนโองการที่พวกเขาแก้ไข กฏเกณฑ์ที่พวกเขาปล่อยทิ้ง แนวทางที่พวกเขาเปลี่ยนแปลง บัญญัติที่พวกเขาละเลย ระเบียบที่พวกเขาตัดทิ้ง พินัยกรรมที่พวกเขาดัดแปลง คำสั่งที่พวกเขาละเลย ปฏิญาณที่พวกเขาทำลาย สักขีที่พวกเขาปกปิด คำอ้างที่พวกเขาลบล้าง ความชัดเจนที่พวกเขาปฏิเสธ อุบายที่พวกเขาคิดขึ้น การทรยศที่พวกเขาใช้มัน อุปสรรคที่พวกเขาตั้งไว้ พาหะรบที่พวกเขากลิ้งมัน เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่
โอ้องค์อภิบาล ขอทรงสาปแช่งพวกเขา ทั้งในที่ลับอันมืดมิดและเปิดเผยอันโจ่งแจ้ง ด้วยการสาปแช่งอันนับไม่ถ้วน ตลอดกาลตลอดไป นิรันดร ไม่มีขาดทุกจำนวน ไม่มีหมดในกาลเวลา การสาปแช่งที่ติดแต่เริ่มต้น และไม่ขาดจนสุดท้าย แช่งพวกเขา ผู้ช่วยและค้ำจุนพวกเขา ผู้รักใคร่ และใกล้ชิดพวกเขา ผู้ที่ยอมภักดีพวกเขา และขอจากพวกเขา ผู้ที่เปล่งเสียงด้วยการอ้างของพวกเขา ผู้ที่ลุกขึ้นด้วยปีกของพวกเขา ผู้ที่ประพฤติตามคำพูดของพวกเขา ผู้ที่เชื่อในการกำหนดของพวกเขา
(ให้กล่าวสี่ครั้ง) โอ้องค์อัลลอฮฺ ขอทรงทรมานพวกเขา ด้วยการทรมานที่ชาวนรกวิงวอนให้ปลอดพ้นจากมัน อามีน โอ้ องค์อภิบาลแห่งสากลโลก
(จงกล่าวสี่ครั้ง) โอ้ องค์อัลลอฮฺ ขอทรงสาปแช่งพวกเขาทั้งหมด ของทรงศอลาวาตต่อมุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด จงทำให้ข้าพระองค์พอเพียงด้วยสิ่งหะลาลจากสิ่งที่หะรอม ทรงทำให้ข้าพระองค์ปลอดจากความยากจน โอ้องค์เจ้า ข้าพระองค์ได้ทำผิดและทำร้ายตัวของข้าพระองค์เอง ข้าพระองค์ได้สำนึกในบาป ณ เบื้องหน้าของพระองค์แล้ว ดังนั้นขอพระองค์ประทานความโปรดปรานแก่ตัวข้าพระองค์ด้วยเถิด พระองค์มีสิทธิที่จะกล่าวโทษซึ่งข้าพระองค์ไม่ขอหลีกเลี่ยง ถ้าข้าพระองค์ทำอีก ขอพระองค์ได้อภัยให้อีก ด้วยความประเสริฐ ความดี การอภัยโทษและเกียรติของพระองค์ โอ้ องค์ผู้ทรงเมตตาที่สุด ขออัลลอฮฺทรงศอลาวาตแก่ผู้นำเหล่าศาสนทูต ผู้เป็นนบีคนสุดท้าย แก่บรรดาลูกหลานอันประเสริฐบริสุทธิ์ ด้วยความเมตตาของพระองค์ โอ้ องค์ผู้ทรงปราณียิ่ง [ดู มิฟตาห์ อัลญะนาน ของ อับบาส อัลกุมมีย์ หน้า 114] |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 2:17 am ชื่อกระทู้: |
|
|
รอฟิเฎาะฮฺมีความเชื่ออย่างไรต่อชาวสุนนีย์ (อะฮฺลิสสุนนะห์ วัลญะมาอะห์) ?
รอฟิเฎาะฮฺ ถือว่า สมบัติและเลือดของชาวสุนนีย์ เป็นที่อนุมัติให้ยึดและหลั่งได้ อัล ศอดูก ได้บันทึกในหนังสือ อัลอิลัล รายงานจาก ดาวูด บิน ฟิรก็อด ว่า : ฉันได้ถามอบู อับดิลลาฮฺ ถึงพวกสุนนีย์ว่า ท่านมีความเห็นอย่างไร ? ท่านตอบว่า : เลือดนั้นหลั่งได้ แต่ฉันกลัวท่านจะถูกทำกลับเช่นเดียวกัน ดังนั้นให้ท่านใช้วิธีกลบด้วยกำแพง หรือจมพวกเขาในทะเล เพื่อมิให้ท่านถูกจับได้. ฉันถามต่อว่า : แล้วสมบัติของพวกเขา ? ท่านตอบว่า : เท่าใดที่ท่านเอาได้ก็จงเอามันมา [ดู อัลมะหาสิน อัลนัฟสานียะห์ หน้า 166]
รอฟิเฏาะฮฺมองว่าทารกที่เกิดมาจากพวกเขาล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่สำหรับผู้อื่นนั้นมิใช่ ฮาชิม อัลบะห์รอนีย์ ได้บันทึกในหนังสือของเขา อัล บูรฮาน รายงานจาก มัยษัม บิน ยะห์ยา จากญะฟัร บิน มุหัมมัด ว่า ไม่มีผู้ใดที่เกิดมานอกเสียจาก อิบลิสจะอยู่ด้วยในขณะนั้น หากเขารู้ว่าทารกที่เกิดมานั้นเป็นชีอะฮฺ เขาก็จะสกัดกันทารกนั้นจากมารร้ายชัยตอน ถ้าหากทารกนั้นไม่ใช่ชีอะฮฺ อิบลิสก็นำนิ้วชี้ของเขาไปอัดในทวารหนักของทารกที่เป็นเพศชาย เนื่องจากด้านหน้าเป็นอวัยวะเพศไม่สามารถจะอัดนิ้วได้ เหตุผลเพื่อจะทำให้ทารกนั้นเป็นคนไม่ดี และหากเป็นเพศหญิงก็จะอัดนิ้วชี้ของเขาในอวัยะเพศเพื่อให้ทารกนั้นเป็นคนเลว ด้วยเหตุนี้เองทารกจึงร้องให้อย่างรุนแรงในขณะที่เกิดมาจากท้องแม่[ดู อัล บูรฮาน โดย ฮาชิม อัลบะห์รอนีย์ 2/300]
จนกระทั่งชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺถือว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมานั้นเป็นลูกซินา(เกิดจากการผิดประเวณี)!! อัลกุลัยนีย์ ได้บันทึกในหนังสือของเขา อัรเราเฏาะฮฺ มิน อัลกาฟีย์ รายงานจาก อบูหัมซะห์ จาก อบู ญะฟัร กล่าวว่า : ฉันได้บอกแก่ อบู ญะฟัร ว่า แท้จริง สหายของพวกเราบางคนได้กล่าวและตำหนิแก่ผู้ที่ขัดแย้งกับพวกเขา อบู ญะฟัร ก็ได้ตอบฉันว่า : เพียงพอแล้วในสิ่งที่ดีที่สุดของพวกเขา และพูดต่ออีกว่า : ฉันขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ!! โอ้ อบู หัมซะห์ แท้จริงแล้วมนุษย์ทั้งหมดเป็นบุตรของหญิงที่ซินา(ผิดประเวณี) นอกเสียจากชีอะฮฺของเราเท่านั้น[อัรเราเฏาะฮฺ มิน อัลกาฟีย์ โดย อัลกุลัยนีย์ 8/285]
นอกจากนี้ ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺยังมองว่า ชาวสุนนีย์นั้นตกศาสนาอย่างต่ำช้ากว่าพวกยิวและคริสต์ เพราะยิวและคริสต์นั้นเป็นกาฟิรโดยดั้งเดิม ในขณะที่ชาวสุนนีย์ เป็นพวกที่ตกศาสนาหลังจากที่เคยนับถือมาก่อน ประการหลังเป็นที่ยอมรับกันว่า โสมมกว่าประการแรก ดังนั้นพวกชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺจึงไม่นิ่งเฉยที่จะให้ความช่วยเหลือศัตรู เพื่อล้มล้างชาวสุนนีย์ ดังที่เห็นเป็นประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ [เชคคุล อิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้กล่าวว่า พวกรอฟิเฎาะฮฺได้ช่วยพวกตาตาร์ที่รบกับมุสลิม ดู มัจมูอฺ อัลฟะตาวา (25/151) และดูหนังสือ กัยฟะ ดะคอละ อัตตาตาร์ บิลาด อัลมุสลิมีน โดย ดร. สุลัยมาน บิน หะมัด อัลเอาดะห์. จงดูเถิดว่า พวกชีอะฮฺที่อิรักได้ให้ความร่วมมือกับผู้ที่เข้ามาครอบครองและยึดอำนาจประเทศของตนอย่างไร และหลักฐานที่ยืนยันคือการที่ชาวสุนนีย์ถูกสังหารโดยชีอะฮฺที่ฟัลลูญะห์และอีกหลายๆแห่งที่มีชาวสุนนีย์อาศัยอยู่!! ]
ในหนังสือ วะสาอิล อัชชีอะฮฺ จาก อัล ฟุฎัยล์ บิน ยะสาร กล่าวว่า : ฉันได้ถาม อบู ญะฟัร ถึงสตรีชีอะฮฺว่าฉันสามารภสมรสเธอให้กับสุนนีย์ได้ไหม? ท่านตอบว่า : ไม่ได้ เพราะพวกนี้เป็นกาฟิร [ดู วะสาอิล อัชชีอะฮฺ โดย อัล หุร อัล อามีลี (7/431) และ อัตะห์ซีบ เล่มที่ 7 หน้า 303 ]
ชาวสุนนีย์ เรียกพวกที่เกลียดชังท่านอาลี บิน อบี ตอลิบ ว่าเป็น นะวาศิบ แต่พวกชีอะฮฺกลับเรียกชาวสุนนีย์ว่าเป็น นะวาศิบเสียเอง ด้วยเหตุที่ชาวสุนนีย์ ยอมรับการเป็นอิมามของท่าน อบู บักร, อุมัร และอุษมาน ก่อนท่านอาลี พร้อมกับการยกย่อง อบูบักร, อุมัร และ อุษมาน เหนือกว่าอาลี ในสมัยของท่านท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ยังมีชีวิต หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ อิบนุ อุมัร ได้รายงานว่า : พวกเราได้ยกย่องบรรดาผู้คนในสมัยของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม และได้ยกย่องท่านอบู บักร หลังจากนั้นก็เป็นอุมัร และอุษมาน(ตามลำดับ) รายงานโดย อัล บุคอรีย์
อัต ตอบะรอนีย์ ใน อัลกะบีร มีรายงานเพิ่มว่า : ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม รู้เรื่องดังกล่าว และไม่ได้ห้ามอะไร
ในรายงานของ อิบนุ อะสากิร มีว่า : พวกเราได้ยกย่อง ท่านอบู บักร, อุมัร, อุษมาน และอาลี
รายงานจาก อิมาม อะห์มัด และคนอื่นๆ ว่า ท่านอาลี บิน อบี ตอลิบ รอฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้เคยกล่าวว่า : ผู้ที่ประเสริฐที่สุดในหมู่ประชาชาตินี้หลังจากท่านนบีคืออบู บักร หลังจากนั้นก็เป็นอุมัร และหากฉันต้องการ ฉันก็จะเรียกว่า ฉันคือบุคคลที่สาม(หลังจากอบู บักร และ อุมัร)
อัซ ซะฮะบีย์ กล่าวว่า : รายงานนี้เป็นรายงานมุตะวาติร(หมายถึง เป็นสายรายงานที่มากกว่าสิบขึ้นไปและเป็นที่ยอมรับโดยปริยาย) [ดู อัตตะลีกอต อะลา มัตนี ลัมอะฮฺ อัลอิติกอด โดย ท่านเชค อับดุลลอฮฺ บิน อัล ญับรีน หน้า 91 ] |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 8:03 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
รอฟิเฎาะฮฺมีความเชื่อย่างไร ต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ?
การศรัทธาของรอฟิเฎาะฮฺวางอยู่บนพื้นฐานแห่งการด่าทอ สาปแช่ง และกล่าวร้ายต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺ ว่าเป็นพวกที่นอกรีตและตกศาสนา อัล กุลัยนีย์ ได้บันทึกใน "ฟุรูอฺอัลกาฟีย์" ว่า มีรายงานจาก ญะอฺฟัร อะลัยฮิสสลาม กล่าวว่า : ผู้คนหลังการเสียชีวิตของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ล้วนตกศาสนา(มุรตัด) ยกเว้นสามคนเท่านั้น ฉันถามเขาว่า สามคนนั้นคือใคร ญะฟัรตอบว่า สามคนนั้น คือ อัล มิกดาด บิน อัล อัสวัด, อบู ซัร อัล ฆิฟารีย์ และสัลมาน อัล ฟาริซีย์ [1]
อัล มัจลิซีย์ ได้บันทึกใน บิหาร อัลอันวาร ว่า บ่าวของท่านอาลี บิน หุเส็น ได้กล่าวแก่ท่านว่า : การรับใช้ท่าน คือภาระหน้าที่ของฉัน ดังนั้นท่านจะบอกฉันเกี่ยวกับผู้ชายสองคน คือ อบูบักร และอุมัรได้ไหม?
ท่านอาลี ตอบว่า : ทั้งสองเป็นกาฟิร ผู้ใดที่รักคนทั้งสองก็ย่อมต้องเป็นกาฟิรด้วย
และรายงานจาก อบีหัมซะห์ อัษษุมาลีย์ ว่า เขาได้ถาม อาลี บิน อัล หุเส็น เกี่ยวกับอบูบักรและอุมัร อาลี บิน หุเส็น ตอบว่า ทั้งสองเป็นกาฟิร และผู้ปฏิบัติตามเขาทั้งสองด้วย [2]
ในดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า
( ... وَيَنهى عَنِ الفحشاءِ وَالمُنكَرِ وَالبَغيِ ... )
ความว่า : และอัลลอฮฺ ทรงห้ามจากการทำลามกและชั่วช้า และการอธรรม (อันนะห์ 16:90)
อัล กุมมีย์ ได้อธิบายว่า : บรรดาอุลามาอฺชีอะฮฺกล่าวว่า ฟะฮฺชาอฺ คือ อบูบักร, มุงกัร คือ อุมัร และ บัฆย์ คืออุษมาน [3]
อัลมัจลิซีย์ ได้บันทึกในหนังของเขา บิหาร อัลอันวาร ว่า หลักฐานได้ชี้ให้เห็นถึงการกุฟุรของ อบูบักร และ อุมัร รวมถึงบุคคลที่เหมือนทั้งสอง ผู้ที่สาบแช่งพวกเหล่านั้นจะได้รับผลบุญและปลอดภัยจากพวกเขา และความอุตริของพวกเขามีมากกว่าที่ได้กล่าวในเล่มนี้และหนังสือเล่มอื่นๆอีกด้วย ในสิ่งที่ฉันได้กล่าวมานี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้ที่ต้องการทางนำจากอัลลอฮฺไปสู่หนทางที่เที่ยงตรง[4]
นอกจากนี้ อัลมัจลิซีย์ ได้บักทึกในหนังสือ บิหาร อัลอันวาร ว่า อบูบักร, อุมัร, อุษมาน และ มุอาวียะห์ ล้วนเป็นชาวนรก[5]
พวกชีอะฮฺ ได้กล่าว(ดุอา)ในหนังสือของพวกเขาชื่อ อิห์กอก อัลหักฺ ของ อัลมัรอาชี ว่า : พรอันประเสริฐและความสันติสุขจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่านนบีมุหัมมัดและวงศ์วานของท่าน และการสาปแช่งจงมีแด่สองเจว็ดแห่งเผ่ากุเร็ช ผู้เป็นพ่อมดและมารร้าย และบุตรสาวของเขาทั้งสอง[6] คนที่พวกชีอะฮฺหมายถึงคือ อบูบักรและบุตรสาวของท่าน อาอิชะฮฺ, อุมัรและบุตรสาวของท่าน หัฟเศาะห์ รอฏิยัลลอฮฺ อันฮุม
อัลมัจลิซีย์ ได้บันทึกในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า อัลฺอะกอเอ็ด เขาได้กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญในการนับถือชีอะฮฺอิมามิยะฮฺ คือ การนิกาห์มุตอะห์เป็นเรื่องหะลาล การทำฮัจญ์ตะมัตตุอฺ และการเป็นอิสระหรือห่างไกลจากบุคคลสามคน(คือ อบูบักร อุมัร และ อุษมาน), มุอาวียะห์, ยาซีด บิน มุอาวียะห์ และ ทุกคนที่ต่อสู้กับท่านเคาะลีฟะฮฺอาลี[7]
ในวันอาชูรออฺ (วันที่สิบ เดือนมุหัรรอม) พวกเขาจะนำสุนัขมาตัวหนึ่ง และตั้งชื่อเป็นอุมัร หลังจากนั้นก็จะช่วยกันตีและขว้างปาสุนัขตัวนั้นด้วยไม้และก้อนหินจนตาย แล้วก็นำลูกแกะมาตัวหนึ่ง และตั้งชื่อเป็นอาอิชะฮฺ แล้วพวกเขาจะช่วยกันถอนขนและรุมทุบตีมันด้วยรองเท้าจนตายในที่สุด [8] นอกจากนี้ พวกเขายังจัดงานรื่นเริงเนื่องในวันที่อุมัร บิน อัลค็อตตอบ ถูกลอบฆ่าจนเสียชีวิต และพวกเขาได้ขนานนาม อบู ลุลูอะฮฺ อัลมะญูซีย์ ผู้เป็นฆาตกรว่า เป็น บาบา ชุญาอุดดีน (หมายถึงผู้กล้าแห่งศาสนา) [9] ขอ อัลลอฮฺ ทรงมอบความพอพระทัยแก่บรรดาเศาะหาบะฮฺและอุมมะฮาตุล มุอฺมินีน ทุกคน อามีน
พี่น้องมุสลิมที่รัก จงดูเถิด ว่าคนนอกศาสนาพวกนี้ได้แสดงความเคียดแค้นและปฎิบัติตัวเลวทรามอย่างไรต่อผู้คนที่ดีที่สุด หลังจากบรรดานบี พวกเขาเป็นบรรดาเศาะหาบะฮฺที่อัลลอฮฺและ รสูลของพระองค์ได้ยกย่องให้เกียรติ ผู้ซึ่งประชาชาติทั้งหมดต่างให้การยอมรับในความเที่ยงธรรมและความประเสริฐของพวกเขา นอกจากนี้ประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงยังจารึกว่าพวกเขาเป็นชนรุ่นที่ดีที่สุด ชนผู้เป็นทัพหน้า และพลีชีพในการญิฮาดเพื่ออิสลาม
*****
--------------------------------------------------------------------------------
[1] ดู ฟุรูอฺ อัลกาฟีย์ โดย อัล กุลัยนีย์ หน้า 115
[2] ดูหนังสือ บิหาร อัลอันวาร โดย อัลมัจลิซีย์ (69/137-138) ข้อสังเกตหรือข้อเท็จจริงที่ต้องทราบประการหนึ่งก็คือ ท่านอาลี บิน อัล หุเส็น และอะฮฺลิลบัยต์ ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับกล่าวหาเช่นนี้ เรื่องนี้เป็นการกุขึ้นมาของ รอฟิเฎาะฮฺทั้งสิ้น
[3] ดู ตัฟสีร ของ อัลกุมมีย์ (1/390)
[4] บิหาร อัลอันวาร โดย อัลมัจลิซีย์ (30/230)
[5] ดู อ้างอิงเดิม (30/236)
[6] อิห์กอก อัลหักฺ (1/337)
[7] อัลฺอะกอเอ็ด โดย อัลมัจลิซีย์ หน้า 58
[8] ดู ตับดีด อัลเซาะลาม วะตันบีฮ อัลนิยาม โดย เชค อิบรอฮีม อัล ญับฮาน หน้า 27
[9] ดู อัลกุนา วัล อัลฺกอบ โดย อับบาส อัลกุมมีย์ (2/55) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 8:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อุลามาอ์รุ่นก่อนและรุ่นหลังมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับรอฟิเฎาะฮฺ ?
อิบนุ ตัยมียะห์ ได้กล่าวว่า : เหล่าผู้รู้เกี่ยวกับสายรายงาน ได้มีความเห็นพ้องกันว่า พวกรอฟีเฎาะห์เป็นพวกที่โป้ปดที่สุด นิสัยโกหกในพวกเขามีมาตั้งแต่นมนาน ดังนั้นบรรดาผู้นำในอิสลามจึงยกให้พวกเขาเป็นพวกที่โกหกมากที่สุด
อัชฮับ บิน อับดุลอะซีซ ได้กล่าวว่า : มีคนถาม อิมาม มาลิก เกี่ยวกับรอฟิเฎาะฮฺ ท่านตอบว่า : จงอย่าพูดกับพวกเขา อย่าได้รายงานจากพวกเขา เพราะพวกเขาพูดปด ท่านยังกล่าวว่า : ผู้ที่ด่าทอเหล่าศอหาบะฮฺของท่านรสูล ไม่มีชื่อหรือฐานะของเขาในอิสลาม
ในดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
(مُحَمَّدٌ رَسُولُ اللَّهِ وَالَّذِينَ مَعَهُ أَشِدَّاءُ عَلَى الْكُفَّارِ رُحَمَاءُ بَيْنَهُمْ تَرَاهُمْ رُكَّعًا سُجَّدًا يَبْتَغُونَ فَضْلًا مِنَ اللَّهِ وَرِضْوَانًا سِيمَاهُمْ فِي وُجُوهِهِمْ مِنْ أَثَرِ السُّجُودِ ذَلِكَ مَثَلُهُمْ فِي التَّوْرَاةِ وَمَثَلُهُمْ فِي الْإِنْجِيلِ كَزَرْعٍ أَخْرَجَ شَطْأَهُ فَآَزَرَهُ فَاسْتَغْلَظَ فَاسْتَوَى عَلَى سُوقِهِ يُعْجِبُ الزُّرَّاعَ لِيَغِيظَ بِهِمُ الْكُفَّارَ وَعَدَ اللَّهُ الَّذِينَ آَمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ مِنْهُمْ مَغْفِرَةً وَأَجْرًا عَظِيمًا )
ความว่า : มุหัมหมัดนั้นคือรสูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ท่าน ล้วนเข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธ เป็นผู้ที่ปราณีระหว่างพวกเขา เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้ที่ชอบก้มกราบ เพื่อแสวงหาความประเสริฐจากอัลลอฮฺ และความพอพระทัยจากพระองค์ สัญลักษณ์แห่งการสุญูดจะเห็นได้บนใบหน้าของพวกเขา นั่นคืออุปมาของพวกเขาในคัมภีร์เตารอต ส่วนอุปมาของพวกเขาในคัมภีร์อินญีลนั้น พวกเขาประหนึ่งเป็นเมล็ดพืชที่แตกกิ่งก้านออกมาได้งอกงาม จนเติบโตแข็งแรง และทรงตัวอยู่บนลำต้น ซึ่งนำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน เพื่อที่จะสร้างความเคียดแค้นในหมู่ผู้ปฏิเสธการศรัทธา
[ อัล ฟัตห์ 48 : 29 ]
อิบนุ กะษีร ได้ให้การอธิบายโองการนี้ว่า : จากโองการนี้ อิมาม มาลิก ในสายรายงานหนึ่ง ได้มีความเห็นว่า พวกรอฟิเฎาะฮฺที่ชิงชังบรรดาศอหาบะฮฺนั้นก็คือพวกปฏิเสธที่ตกศาสนา เพราะพวกเขาเคียดแค้นศอหาบะฮฺ และผู้ใดที่โกรธแค้นศอหาบะฮฺ คนผู้นั้นก็คือกาฟิรตามโองการนี้
อัล กุรตุบีย์ กล่าวว่า : อิมาม มาลิก มีความคิดเห็นที่ดีและถูกต้องในการอธิบายโองการนี้ ผู้ใดที่บั่นทอนศอหาบะฮฺท่านใด หรือกล่าวหาพวกท่านในการรายงานและการเผยแพร่ แน่นอนคนผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่ต่อสู้กับองค์อภิบาลแห่งสากลจักรวาล และไม่ยอมรับบัญญัติของชนมุสลิม [1]
อบู ฮาติม ได้กล่าวว่า : หัรมะละห์ ได้เล่าให้เราฟังว่า : ฉันได้ฟัง อิมาม ชาฟีอีย์ กล่าวว่า : ฉันไม่เคยพบผู้ใดที่ประจักษ์ในการโป้ปดมากกว่ารอฟิเฎาะฮฺ
มุอัมมัล บิน อะฮาบ กล่าวว่า : ฉันได้ฟัง ยาซีด บิน ฮารูน กล่าวว่า : สามารถที่จะบันทึกจากผู้ที่ทำบิดอะห์ได้ทุกคน ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ที่เชิญชวนสู่การเป็นรอฟิเฎาะฮฺ เพราะคนพวกนี้โกหก
มุหัมมัด บิน ซะอีด อัล อัศบะฮานีย์ ได้เล่าว่า : ฉันได้ฟัง ชะรีก บิน อับดุลลอฮฺ (ผู้เป็นผู้พิพากษาแห่งกูฟะห์) กล่าวว่า : จงรับความรู้จากทุกคนที่ท่านเจอยกเว้นรอฟิเฎาะฮฺ เพราะพวกเขาปั้นแต่งหะดีษ และถือว่านั่นเป็นศาสนา
มุอาวิยะห์ ได้เล่าว่า : ฉันได้ฟัง อัล อะมัช กล่าวว่า : ผู้คนมากมายที่ฉันได้พบ ไม่ได้เรียกพวกเขาด้วยชื่อใดเลยนอกจากชื่อ จอมโกหก
คนที่ท่านหมายถึงก็คือ พรรคพวกของอัล มุฆีเราะฮฺ บิน สะอีด ผู้เป็นรอฟิเฎาะฮฺ ดังที่อัซ ซะฮาบีย์ ได้กล่าวไว้ [2]
อิบนุ ตัยมียะห์ ได้ให้ข้อสังเกตต่อคำพูดเหล่านี้ว่า : ส่วนรอฟิเฎาะฮฺนั้น ต้นตอของมันมาจากการต่อต้านความจริง หันเห และจงใจ การโกหกเป็นสิ่งที่มีอยู่มากในพวกเขา พวกเขาเองยอมรับในสิ่งนี้ ด้วยการกล่าวว่า การเสแสร้งคือศาสนาของพวกเรา นั่นคือการที่ผู้ใดผู้หนึ่งพูดในสิ่งที่ขัดกับความในใจ และนี่คือการโป้ปดและสับปลับ(นิฟาก) พวกเขาจึงเป็นเหมือนคำเปรยที่ว่า : มันใส่พิษให้ฉัน จนค่อยๆ แผ่ทั่ว [3]
อัลดุลลอฮฺ บิน อะห์มัด บิน ฮันบัล ได้เล่าว่า : ฉันได้ถามบิดาของฉันถึงพวกรอฟิเฎาะฮฺ ท่านตอบว่า : พวกเขาคือพวกที่ด่าทอ และสาปแช่งอบู บักร และอุมัร ท่านยังถูกถามถึง อบู บักร และอุมัรด้วย ท่านตอบว่า : จงกล่าวดุอาและขอความเมตตาให้กับทั้งสอง และจงห่างไกลจากพวกที่เกลียดชังคนทั้งสอง [4]
อัล คอลฺลาล ได้รายงานจาก อบูบักร อัลมิรวาซีย์ ว่าท่านได้ถาม อบู อับดิลลาฮฺ (หมายถึง อิมามอะห์มัด) ถึงผู้ที่ด่าทอ อบูบักร อุมัร และอาอิชะฮฺ ท่านตอบว่า : ฉันไม่เห็นว่าเขาเป็นมุสลิม [5]
จาก อัล คอลลาล อีกเช่นกัน เล่าว่า ฮัรบฺ บิน อิสมาอีล อัล กัรมานีย์ ได้เล่าให้ฉันฟังจาก มูซา บิน ฮารูน บิน ซิยาด ว่า : ฉันได้เห็นชายคนหนึ่งถาม อัล ฟิรยาบี ถึงผู้ที่ด่าทอ อบู บักร ท่านตอบว่า : เขาเป็นกาฟิร คนผู้นั้นถามต่อว่า : เราละหมาดศพเขาได้ไหม ? ท่านตอบว่า : ไม่ได้ [6]
ครั้งหนึ่ง อิบนุ หัซมี ได้โต้เถียงกับชาวคริสต์ คนผู้นั้นได้นำหนังสือของพวกรอฟิเฎาะฮฺมาโต้แย้งท่าน ท่านกล่าวว่า : แท้จริงรอฟิเฎาะฮฺไม่ใช่มุสลิม คำพูดของพวกเขาไม่ใช่หลักฐานที่อ้างอิงได้ แต่พวกเขาคือคนพวกหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ถึง 25 ปี การเริ่มต้นของพวกเขาก็คือ ตอบรับคำเชิญชวนของผู้ที่ต้องการทำลายอิสลาม พวกเขาเป็นชนที่เหมือนยิวและคริสต์ ในการบอกปัดและปฏิเสธการศรัทธา [7]
อบู ซุรอะฮฺ อัรรอซีย์ ได้กล่าวว่า : ถ้าเมื่อใดท่านเห็นใครบั่นทอนเกียรติของศอหาบะฮฺผู้ใดผู้หนึ่ง จงรับรู้เถิดว่า เขาผู้นั้นคือผู้ที่หันเหและปฏิเสธความถูกต้องยิ่งนัก
มีคำถามมาถึง องค์กรเพื่อการออกฟัตวาแห่งอาณาจักรซาอุดิอารเบีย ว่า ผู้ถามและพรรคพวกอาศัยอยู่บริเวณเขตแดนทางด้านเหนือที่ติดต่อกับอิรัก และมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า ญะฟารียะห์ มีบางคนที่กินสัตว์เชือดของพวกเขา และมีบางคนที่ไม่กิน คำถามก็คือ เราสามารถที่จะกินสัตว์เชือดของพวกเขาได้หรือไม่ ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าพวกเขากระทำการขอดุอาจากท่านอลี หะสัน, หุเสน และบรรดาผู้นำของพวกเขา ทั้งเวลาทุกข์และสุข ? ทางองค์กรซึ่งนำโดย ท่าน เชค อับดุลอาซีซ บิน อับดุลลอฮฺ บิน บาซ, เชค อับดุลรอซาก อาฟีฟี, เชค อับดุลลอฮฺ บิน ฆุดอยยาน และ เชค อัลดุลลอฮฺ บิน กออูด ได้ให้คำตอบว่า : การสรรเสริญเป็นสิทธิแห่งอัลลอฮฺ และขอศอละวาตรวมทั้งสลามแก่ท่านรสูล บรรดาครอบครัว และศอหาบฮฺของท่าน คำตอบก็คือ ถ้าการเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาต้องเป็นผู้ตั้งภาคี และตกศาสนา ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองเรา- เราไม่สามารถที่จะกินสัตว์เชือดของพวกเขาได้ เพราะมันเป็นซากสัตว์ ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวนามของอัลลอฮฺก็ตาม [8]
ได้มีคำถามถึงเชค อับดุลลอฮฺ บิน อัล ญับรีน ว่า : ในเมืองของเรามีชายผู้หนึ่งเป็นรอฟิเฎาะฮฺทำงานเป็นนักเชือดสัตว์ และมีชาวสุนนีย์ที่นำสัตว์ไปเชือดกับเขา อีกทั้งมีร้านอาหารอีกหลายร้านที่รับเนื้อมาจากเขา และยังมีรอฟิเฏาะฮฺอีกหลายคนที่ยึดอาชีพนี้เหมือนเขาคนนั้น คำถามก็คือ เราควรจะทำอย่างไร และสัตว์เชือดของเขาเป็นที่หะลาลหรือหะรอม? ขออัลลอฮฺทรงประทานเตาฟิก
ท่านตอบว่า : การเชือดและสัตว์เชือดของรอฟิเฎาะฮฺไม่เป็นที่หะลาล เพราะรอฟิเฎาะฮฺ ส่วนใหญ่เป็นมุชริก (ผู้ตั้งภาคี) ด้วยการขอดุอาจากอาลี บิน อบี ตอลิบ ทั้งยามทุกข์และสุข แม้กระทั่ง ในทุ่งอารอฟะห์ ในตอวาฟ และเดินซะแอ ระหว่างศอฟา และมัรวะห์ อีกทั้งยังขอจากลูกๆ ของท่าน และบรรดาอิมามของพวกเขา เหมือนที่เราเคยได้ยินบ่อยครั้ง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการตั้งภาคีที่ใหญ่หลวงและเป็นการตกมุรตัด ออกจากศาสนาอิสลาม สมควรที่ต้องโทษประหารเพราะเหตุดังกล่าว
เช่นเดียวกับที่พวกเขามีความเชื่อเลยเถิดต่อท่านอาลี และให้คุณลักษณะที่ไม่ควรให้นอกจากกับองค์อัลลอฮฺเท่านั้น ดังที่เราเห็นในวันอารอฟะห์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเป็นพวกที่ตกศาสนา เพราะได้ถือว่าอาลี เป็นผู้อภิบาลและผู้สร้าง ที่มีสิทธิในจักรวาล รู้ความลับทั้งหมด มีสิทธิในสิ่งดีและสิ่งชั่วร้าย
อีกทั้งพวกเขายังกล่าวหาในความบริสุทธิ์ของอัลกุรอาน กล่าวหาว่าศอหาบะฮฺได้ปั้นแต่งแก้ไขมัน และยังลบหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวกับอะฮฺลิลบัยต์และศัตรูของพวกเขาทิ้ง พวกเขาจึงไม่ติดตามศอหาบะฮฺ และไม่ถือว่าเป็นหลักฐานในการยึดมั่น
พวกเขายังกล่าวหาบรรดาศอหาบะฮฺชั้นผู้ใหญ่ เช่น คอลีฟะห์ทั้งสาม และผู้ที่ได้รับการประกันสวรรค์ทั้งสิบคนที่เหลือ รวมทั้งอุมมะฮาตุลมุมินีน(บรรดาภริยาของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sat Jan 15, 2011 8:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
มุมพิลึก :ลัทธิ(เลอะเทอะ)
แฉชีอะฮ ...
เข้าสวรรค์ด้วย ขี้
นี่คือแก่นแท้ที่ชีอะห์ ที่ปฏิเสธไม่ได้
เมื่อความโสโครกเป็นบทบัญญัติของศาสนาชีอะห์
ในตำราอัลกาฟีย์ของท่านหรือไม่ เพราะมีปรากฎรายงานที่พาดพิงไปยังท่านอิมามญะอฺฟัรของพวกท่านเองเลย มิใช่เป็นเรื่องเล่าเหมือนในบุคอรีความว่า
عن أبي جعفر عليه السلام قال : للإمام عشر علامات : يولد مطهرا ومختونا ..... ونجوه كرائحة المسك
จาก อบี ญะอ์ฟัร อลัยฮิสสลาม กล่าวว่า : สำหรับอิหม่ามมี 10 เครื่องหมายคือ : เขาถูกให้เกิดมาในสภาพบริสุทธิ์ และทำคิตานมาแล้ว และการผายลมของเขาหอมดังกลิ่นชะมดเชียง อัลอุศูล มินัลกาฟี เล่มที่ 1 หน้าที่ 388
แล้วด้วยกับหะดีษดีๆที่ชีอะฮฺเชื่ออย่างสิโรราบแบบนี้กระมังที่ทำให้ อัลลามะฮฺ ฮุจญะฮฺ อยาตุลลอฮฺ มุลลาซัยนุลอาบีดีน อุลามาอ์ใหญ่ชีอะฮฺมิใช่กระจอกๆแบบพวกซัยยิดปลอมบ้านเราได้ฟัตวาไว้ในหนังสือ อันวารุลวิลายะฮิ ของเขาว่า
"ปัสสวะของผู้มะซูม ( หมายถึงบรรดาอีหม่ามของพวกเขา ) และเลือด น้ำปัสสาวะ อุจจาระของพวกเขานั้น
ไม่ได้เป็นนาญิส - สิ่งโสโครก- ที่ต้องหลีกเลี่ยงในการทำละหมาด
.....แต่ทว่า ผู้ใดได้ดื่มปัสสาวะและอุจจาระและเลือดของพวกเขาแล้วไซร้
พระองค์อัลเลาะห์จะห้ามเขาจากไฟนรก และให้เขาได้เขาสวรรค์
เพราะฉะนั้นผมอยากจะถามชีอะห์ว่า
เป็นเรื่องราวมาจากการรายงานของอิมามญะอฺฟัรเอง ว่าตดของอิมามหอมยิ่งกว่าชะมดเชียงหรืออาจจะหอมกว่าโรออลทะเว้วพลัสด้วยซำ แล้วยังสามารถนำมาป้องกันไฟนรกได้อีกด้วย เป็นเรื่องเท็จ หรือเรื่องโกหกหลอกลวงกันแน่ และกุลัยนีผู้เป็นตัวแทนพิเศษของอิมามมะฮฺดี นำเรื่องนี้มาบันทึกเพื่อวัตถุประสงค์ใดในวิสัยของวิญญูชน
ในความเป็นจริงแล้ว นักฮะดีษระดับท่านกุลัยนี จะบันทึกเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้ลงในตำราได้อย่างไร เพราะใน "ขี้" หรือ ตด ของมนุษย์ ใครๆก็รู้ว่ามันเหม็น!!!?
อัลกาฟีย์ ที่ระบุว่าตดอิหม่ามหอมนั้นตกลงซอเฮี๊ยฮฺใช่ไหม
ถ้าหากศอเฮีย
ว่างๆก็ลองเขียนบทความบรรยายถึงสรรพคุณของขี้อิมามและตดอิมามทั้ง 12 ท่านด้วยล่ะ!!!? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
f1 มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 19/12/2010 ตอบ: 261
|
ตอบ: Sun Jan 16, 2011 12:35 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ชีอะฮ์"บ้า"ไปแล้วครับ อย่าเดินตามรอยพวกมันนะครับ _________________ go die to no grass |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sun Jan 16, 2011 12:47 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ความพยายามที่จะรวมความคิดของ อะฮฺลิสสุนนะห์และความคิดของรอฟิเฎาะฮฺ ให้เข้ากัน ทำได้หรือ
ข้าพเจ้าขอนำคำพูดของ ท่าน ดร.นาศิร อัล กอฟารีย์ ในหัวข้อที่เจ็ด จากหนังสือของท่าน มัสอะละห์ อัตตักรีบ เพื่อให้ความกระจ่างแก่พวกเราในเรื่องนี้ ซึ่งท่านได้กล่าวว่า :
เราจะเข้ากันได้เช่นไรกัน กับผู้ที่กล่าวหาคัมภีร์ของอัลลอฮฺ และให้การอธิบายในทางที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังกล่าวอ้างว่ามีคัมภีร์อื่นนอกจากอัลกรุอานถูกประทานลงมายังบรรดาอิมามของพวกเขา[ดู มัสอะละฮฺ อัตตักรีบ โดย ดร.นาศิร อัล กอฟารีย์ (2/302)
มองว่าบรรดาอิมามนั้นเป็นนบี อิมามก็คือนบีหรือดีกว่า และให้การอธิบายอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺที่ศาสนาทูตได้รับการประทานด้วยความหมายที่เบี่ยงเบน โดยอ้างว่า อิบาดะฮฺก็คือการเชื่อฟังอิมาม ส่วนการตั้งภาคีก็คือการเชื่อฟังผู้อื่นนอกจากอิมาม พวกเขากล่าวว่าสาวกของท่านนบีตกศาสนา นอกเสียจากสาม หรือสี่ หรือเจ็ดคน ตามความขัดแย้งของพวกเขา คนเหล่านี้ที่แยกห่างออกจากกลุ่มชนมุสลิมด้วยความเชื่อในเรื่องอิมามะห์, อัลอิศมะห์(การปลอดบาป), ตะกียะห์(การเสแสร้ง), รอจฺอะห์(การฟื้นอีกครั้ง), อัล ฆีบะห์(การหายตัว), อัล บาดาอ์(ความไม่รู้ก่อนที่จะรู้) [ดู มัสอะละฮฺ อัตตักรีบ โดย ดร.นาศิร อัล กอฟารีย์ (2/302)
ในส่วนท้ายของหนังสือที่ท่านอ่านอยู่นี้ เราจะหยิบเอาสูเราะฮฺหนึ่งที่ รอฟิเฎาะฮฺอ้างว่าถูกลบไปจากอัลกุรอาน นั่นคือ สูเราะฮฺ อัล วิลายะห์ ซึ่งเราได้เอามันมาจากหนังสือ ฟัศลุ อัลคีตอบ ของ อัน นูรี อัต รอบรอซีย์ และนี่คือการปฏิเสธดำรัสของอัลลอฮฺที่ทรงประกาศว่า ได้พิทักษ์อัลกุรอานจากการปลอมแปลงแก้ไข ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า
(إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ )
ความว่า : แท้จริงเราได้ประทานลงมาซึ่งอัลกุรอาน และแน่แท้เราจะพิทักษ์รักษามัน [ อัลฮิจร์ 15 : 9 ]
ทีนี้เรายังคลางแคลงอะไรอีกว่า คนที่มีความเชื่อดังกล่าวจะไม่ใช่ผู้ปฏิเสธ ?
والله أعلم بالصواب |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sun Jan 16, 2011 12:54 am ชื่อกระทู้: |
|
|
[B]สูเราะฮฺ อัล วิลายะห์ ตามความเชื่อของ รอฟิเฎาะฮฺนี้ คือซูเราะห์ใหม่ที่เหล่าชีอะห์นำมาอ้างว่าอายะห์กรุอ่านที่เรามีมันไม่ครบ พวกเราลองมาดูซิว่าพวกเขาแต่งอายะห์นี้พร้อมโมเมว่าเป็นกรุอ่านของอัลลอฮ ว่ามีความหมายเช่นไร
และที่สำคัญ พวกเขาประกาศความเป็นกาเฟรด้วยการปฎิเสธคำพูดของอัลลอฮที่ว่า
(إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ )
ความว่า : แท้จริงเราได้ประทานลงมาซึ่งอัลกุรอาน และแน่แท้เราจะพิทักษ์รักษามัน [ อัลฮิจร์ 15 : 9 ]
เรามาดูกันคับ ซูเราะห์ ใหม่ที่พวกชีอะห์ รอฟิเฎาะฮ์ แต่งขึ้น
สูเราะฮฺ อัล วิลายะห์ ตามความเชื่อของ รอฟิเฎาะฮฺ
นำมาจากหนังสือ ฟัศลุ อัลคิตอบ
โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา จงศรัทธาต่อสองรัศมีที่เราได้ประทานลงมา ซึ่งทั้งสองได้อ่านโองการของเราแก่พวกเจ้า ทั้งยังได้เตือนพวกเจ้าถึงการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่ * รัศมีสองประกาย อันหนึ่งมาจากอีกอันหนึ่ง และข้าเป็นผู้ที่รับฟังและรับรู้ยิ่ง * แท้จริงผู้ที่ปฏิบัติตามศาสดาในโองการ พวกเขาจะได้รับสวรรค์ที่เต็มด้วยความสุข * และผู้ที่ปฏิเสธหลังจากได้ศรัทธาแล้ว ด้วยการทรยศต่อคำปฏิญาณ และสัญญาที่ได้ให้ไว้กับศาสดา พวกเขาจะถูกโยนลงไปในไฟแห่งการทรมาน * พวกเขาทำร้ายตัวพวกเขาเอง และขัดขืนผู้สืบทอดของศาสดา พวกเขาจึงถูกรดด้วยน้ำร้อนแห่งนรก * แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงทำให้ชั้นฟ้าและแผ่นดินเจิดจรัสด้วยความประสงค์แห่งพระองค์ และทรงเลือกบรรดา มลาอิกะฮฺ และทรงสร้างในบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในการสร้างของพระองค์ด้วยพระประสงค์ทั้งสิ้น ไม่มีพระเจ้านอกจากองค์ผู้ทรงเมตตาปราณียิ่ง * แท้จริงคนรุ่นก่อนได้คิดร้ายต่อศาสดาของพวกเขา ดังนั้นอัลลอฮฺจึงทรงจัดการกับแผนร้ายของพวกเขา แท้จริงการจัดการของข้าย่อมหนักและเจ็บปวด * แท้จริงอัลลอฮฺได้ทำลาย อาด และ ษะมูด ด้วยสิ่งที่พวกเขาก่อ และได้ทำให้เรื่องของพวกเขาเป็นบทเรียนแก่พวกเจ้า ไฉนเจ้าจึงไม่ทบทวน * เช่นเดียวกับ ฟิรเอาน์ ด้วยการที่ได้ก่อกรรมกับมูซาและฮารูน ข้าได้จมเขาและผู้ติดตามเขาทุกคน * เพื่อที่จะเป็นเครื่องหมายให้พวกเจ้า และแท้จริงพวกเจ้าส่วนใหญ่นั้นกลับประพฤติร้าย * แท้จริง อัลลอฮฺ จะทรงรวบรวมพวกเขา ในวันแห่งการรวม ดังนั้นพวกเขาจะไม่สามารถตอบได้เมื่อถูกสอบสวน * แท้จริงนรกนั้นคือที่พำนักของพวกเขา และอัลลอฮฺทรงรอบรู้และปรีชายิ่ง * โอ้ ผู้เป็นรสูล จงบอกคำเตือนของข้าเพื่อพวกเขาจะได้รู้ * พวกที่ออกห่างจากโองการและบัญญัติของข้า ย่อมขาดทุน * เช่นเดียวกันกับผู้ที่รักษาสัญญาของเจ้า เพราะฉันจะตอบแทนพวกเขาด้วยสวรรค์แห่งความสุข * แท้จริง อัลลอฮฺ เป็นผู้ที่ครอบครองการอภัยและการตอบแทนอันยิ่งใหญ่ * และแท้จริงอลีนั้น เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ยำเกรง * และแท้จริงเราจะคืนสิทธิของเขาทั้งหมดในวันแห่งการตอบแทน * เราไม่ได้เผลอต่อสิ่งที่เขาถูกทำโดยไม่เป็นธรรม * และเราได้ให้เกียรติแก่เขาเหนือครอบครัวเจ้าทั้งหมด เพราะแท้จริงเขาและลูกหลานของเขาเป็นผู้ที่อดกลั้นยิ่ง * และแท้จริงศัตรูของพวกเขา เป็นผู้นำของพวกผู้ร้าย * จงกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธหลังจากการศรัทธา พวกเจ้าได้ขวนขวายการประดับประดาแห่งชีวิตโลก และได้รีบใช้มัน โดยลืมสิ่งที่อัลลอฮฺและ รสูลได้สัญญากับพวกเจ้า และยังทำลายคำมั่นหลังจากที่พวกเจ้าได้ปฏิญาณแล้ว และแท้จริงเราได้ยกการเปรียบเทียบให้พวกเจ้าแล้ว เผื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำ * โอ้ ผู้เป็นรสูล แน่นอนเราได้ประทานแก่เจ้า ซึ่งโองการที่ชัดแจ้งของเราแล้ว ในนั้นมีว่าผู้ใดที่ตายด้วยการศรัทธาและมอบความภักดีให้เขาหลังจากเจ้า ย่อมต้องเจิดจรัส * ดังนั้นจงห่างไกลจากพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่หันเหออกห่าง * แท้จริงเราจะเรียกพวกเขา * ในวันที่ไม่มีสิ่งใดช่วยพวกเขาได้ และพวกเขาจะไม่ได้รับความเมตตา * แท้จริงสำหรับพวกเขานั้น คือนรกโลกันตร์ที่เป็นแหล่งพำนัก พวกเขาหนีจากมันไม่พ้น * ดังนั้นจงกล่าวตัสบีหฺด้วยนามขององค์อภิบาลของเจ้า และจงอยู่ในหมู่ผู้กราบ * และแท้จริงเราได้ส่งมูซาและฮารูนด้วยสิ่งที่ มูซาได้มอบหมาย แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังฮารูน * ดังนั้นคือการอดทนที่ดีเลิศ จากนั้นเราได้ทำให้พวกเขามีที่เป็นลิง และหมู และเราได้สาปแช่งพวกเขาจนถึงวันที่พวกเขาฟื้น * ดังนั้น จงอดทนเพราะพวกเขาจะได้เห็น * และแท้จริงเราได้ประทานบัญญัติแก่เจ้า เหมือนบรรดาผู้ที่ผ่านมาในหมู่รสูล * และเราได้กำหนดให้เจ้ามีผู้สืบทอด เผื่อพวกเขาจะได้รับหวนกลับ * และผู้ใดที่หันเหจากคำสั่งของข้า ข้าจะกลับไปจัดการเขา ดังนั้นปล่อยพวกเขาให้เสพสุขกับการปฏิเสธเล็กน้อย และอย่าได้ถามถึงพวกที่ไม่รักษาสัญญา * โอ้ ผู้เป็น รสูล แท้จริงเราได้กำหนดให้มีคำมั่นบนไหล่ของผู้ศรัทธา ดังนั้นจงเอามัน และจงอยู่ในบรรดาผู้ขอบคุณ * แท้จริงอาลีนั้นเป็นผู้ที่นอบน้อม ยามกลางคืนได้น้อมสุญูด หวั่นเกรงอาคีรัต และปรารถนาในผลบุญแห่งพระเจ้า จงกล่าวเถิด เท่ากันหรือกับบรรดาผู้ที่อยุติธรรมทั้งๆ ที่พวกเขารู้ถึงการทรมานของข้า * เราจะผูกโซ่ตรวนที่คอของพวกเขา และพวกเขาจะเสียใจกับการกระทำนั้น * แท้จริงเราได้บอกข่าวดีแก่เจ้าด้วยลูกหลานที่ดีของเขา * และแท้จริงพวกเขาจะไม่ละเลยต่อคำสั่งของเรา * ดังนั้นศอลาวาตและความเมตตาของข้าเป็นของพวกเขา ทั้งที่มีชีวิตและเสียชีวิต ในวันแห่งการฟื้น * ผู้ที่ก่อกรรมกับพวกเขาหลังจากเจ้า จะได้รับความโกรธของข้า พวกเขาเป็นพวกที่ชั่วช้าและขาดทุน * และผู้ที่เดินตามเส้นทางของพวกเขาจะได้รับความเมตตาของฉัน พวกเขาจะได้อยู่ในห้องหับด้วยความสันติ * และการสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแห่งองค์อภิบาลสากลจักรวาล [1]
-------------------------------------------------------------------------------
[1] คัดมาจาก ฟัศลุ อัลคิตอบ เพื่อให้ผู้อ่านได้ดูถึงการที่พวกเขาปฏิเสธดำรัสของอัลลอฮฺที่ได้สัญญาว่าได้ปกป้องอัลกุรอานจากการแก้ไข และการปลอมแปลง
ทีนี้เรายังคลางแคลงอะไรอีกว่า คนที่มีความเชื่อดังกล่าวจะไม่ใช่ผู้ปฏิเสธ ?
والله أعلم بالصواب [/B] |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sun Jan 16, 2011 1:01 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เรียนพี่น้องทุกท่าน และ ท่านผู้ดูแลระบบ (เจ้าของเว็บไซต์นี้)
สิ่งที่ผมได้นำมาเสนอนี้ ไม่ได้ต้องการสิ่งใด เพียงแค่ต้องการให้พี่น้องมีภูมิคุ้มกันที่ถูกต้อง
รู้ทันพวกชีอะห์ และปกป้องครอบครัวของพี่น้องให้หลอดพ้นในหนทางที่ ไม่ถูกต้อง อันตราย
จึงใคร่ขอ ขอบคุณ เว็บมาสเตอร์ ที่ให้ผมทำการโพสข้อมูล อันตรายเช่นนี้ลงเว็บไซต์ของท่าน
والله أعلم بالصواب |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
f1 มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 19/12/2010 ตอบ: 261
|
ตอบ: Sun Jan 16, 2011 1:06 am ชื่อกระทู้: |
|
|
กระทู้นี้ผมจะไม่ค้านคุณเลยครับ แต่ผมขอเตือนคุณนิดนึงว่า"อย่านิสัยเหมิอนมัน" _________________ go die to no grass |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kolis_mala มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2010 ตอบ: 295
|
ตอบ: Sun Jan 16, 2011 1:23 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถ้าน้อง f1 ไม่มีไรทำ ก็ อย่าปากเสีย เอาเวลาหาหลักฐานตอบผมหรือยอมรับเสียเถิดว่าเมาลิดทำไม่ได้ อย่าดื้อดึ้งต่อสิ่งที่มันถูกต้องเลย
และขอบคุณกับการเตือนด้วยคับ
والله أعلم بالصواب |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|