อนุรักษ์มรดกอิสลาม

[areebaba]

พฤติกรรม

1.ตั้งศาลเตี้ย พิพากษากัน ไม่ทำตามกระบวนการอิสลาม

2.ตัดต่อ แต่งเติม บิดเบือน หลอกชาวบ้าน

3.เรื่องผิดมีจริงผมก็ชี้ว่าผิด แต่ไม่ใช่ก็อดฯ ก็ต้องลากให้เป็นก็อดฯให้ได้ ไม่เข้าใจจริงๆ

* 4.สำคัญที่สุดคือ ไม่ใช่เรื่องปกป้องศาสนา แต่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่อง....พวกคุณก็น่าจะรู้*

พวกคุณก็คอยส่งเสริมกัน

เรื่องเก่าของพวกคุณ ไหนจะเรื่องเดือน ฯลฯ.....แย่ น่าสงสาร...

มาเพิ่มเรื่องอิควานอีก ยิ่งน่าขำเข้าไปใหญ่

ก็นักวิชาการชมรมคุณไปรับเงินจากกลุ่มที่คูเวตที่เป็นอริกับอิควาน

พวกคุณก็มาทำอาละวาดเรื่องอิควานที่ประเทศไทย...

ยิ่งคนที่คุณกล่าวหา ยิ่งน่าขำ...

เพราะเค้าไม่ใช่อิควาน คุณก็ยัดเยียดอยู่นั้น...

เอางี้ เอาชื่อหัวข้องานที่จะจัด ไปถามเชคใหญ่ของคุณที่อยุธยา แล้วดูว่าจะเจออะไรบ้าง

คนของคุณแท้ๆที่ยกย่องอิควาน ตีพิมพ์ลงสายสัมพันธ์ตั้งหลายครั้ง...

ไปคุยกันให้เสร็จก่อนได้มั๊ย....


สุดท้าย ถ้าไม่มีงานทำ...ก็บอก จะได้แนะนำให้

งานที่เป็นอามั้ลที่ดี ที่มีอิคลาศ มีเหนียตเพื่อศาสนาจริงๆ

จะได้ทันเวลา....ก่อนจะสายเกินไป

[mahdisaudi]

เรื่องดาราศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าติดตามน่าสนใจเพื่อให้รับทราบความยิ่งใหญ่
ขององค์อัลลอฮฺตะอาลา ไม่ใช่เป็นเป็นเรื่องที่จะต้องกระแนะกระแหนกัน

ส่วนเรื่องการโจมตีใบ๋ฮิมในทางเสียหายเป็นเรื่องที่คุณจีจี้ต้องระวังจะเป็นบาปติดตัว
ให้คุณเตาบะฮฺนั้นน่าจะดีกว่า

หลักในการอธิบายอัลกุรอาน

1-จะต้องไม่ให้คำอรรถาธิบายใดๆที่ค้านต่อหลักการที่มีการกล่าวไว้อย่างชัดแจ้ง

ในอัลกุรอาน(3/6)

คือที่กล่าวถึงโองการ มุหฺกะมาต และมุตะชาบิฮาต มุหฺกะมาตคือเนื้อหาในถ้อยคำ

และความหมาย

ของมันชัดแจ้งไม่คลุมเครือ ส่วนมุตะชาบิฮาตนั้นมีเนื้อหาเป็นนัย เป็นอุปมา

อุทาหรณ์ กล่าวเปรียบเทียบ ตีความได้หลายแง่ ซึ่งอันยุติได้ด้วยอาศัยโองการหลัก

ที่ชัดแจ้งเป็นบรรทัดฐาน.

2-หะดีษและสุนนะฮฺของท่านนบีฯ ศ็อลลัลลอฮฺฯ ซึ่งมีรายงานที่ถูกต้องนั้นเป็นคำอธิบาย

ขยายอัลกุรอาน

ที่ดีที่สุด เว้นแต่หะดีษนี้นถูกยกเลิกไปตามกาลสมัยเนื่องจากบทบัญญัติขอลอัลกุรอาน

เพราะหะดีษไม่มีฐานะเหนืออัลกุรอาน.

3-พึงเคารพในของผู้อธิบายรุ่นก่อนๆ ที่ไม่ขัดต่อหลักการใหญ่ทั้งสองข้อข้างต้น.

4-เรื่องนิยายปรัมปราที่รับสืบช่วงกันมาจากพวกบนูอิสรออีล หรือพวกนะศอรอ

หรือที่แต่งขึ้นกันเองนั้น มักจะถูกนำมาปะปนในการอธิบายอัลกุรอาน

จนบางส่วนได้กลายเป็นเรื่องราวเล่าโดยมุฟัสสิรีน ในสมัยก่อน และติดมาในสมัยต่อๆมา

เพราะฉนั้นจำต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ถี่ถ้วน

ว่าเกี่ยวพันกับเนื้อหาในอัลกุรอานโดยแท้จริงหรือไม่ .

5-การยึดถือว่าตัฟสีรของบรรดาผู้อธิบายอัลกุรอานในสมัยกลาง ปิดประตูการหาความเข้าใจ

จากอัลกุรอาน และไม่ควรมีความเข้าใจอันใดเพิ่มเติม อีกแล้วจากเหตุการณ์ผันแปรหรือ

วิวัฒนาการที่จะมีต่อๆไป จวบชั่วฟ้าดินสลายก็ดี

การยึดถือเหล่านี้เป็นผลร้ายต่อการใช้สติปัญญาของมนุษย์

6-เรายอมรับในเรื่องปาฎิหาริย์ มุอญิซฺาต ที่มีปรากฎในอัลกุรอานและหะดีษที่ถูกต้อง และไม่เป็น

ความผิดอันใดถ้าเราสามารถอธิบายสาเหตุนั้นๆได้.

7-การใช้สติปัญญาประกอบด้วยเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างพลังความคิดของมนุษย์ให้ก้าวหน้า

ในกรณีที่การใช้สติปัญญานั้นไม่ไปลบล้างบทบัญญัติอันชัดแจ้งของอัลกุรอานและหะดีษที่ถูก

ต้อง.

[nes]

ข้อหาให้การสนับสนุนก็อดยานี คว่ำเขาลงไม่ได้

ข้อหาอิควานก็ตามมา ถ้าคว่ำเขาไม่ได้อีก

ข้อหาค่อวาริจญ์ จะตามมาติดๆ

อย่าตกใจเลยคุณอาลีบาบา

แค่ขบวนการทำลายล้างกันของผู้อ้างตัวเองว่าเป็นชาวซะลัฟ

[mahdisaudi]

بسم الله الرحمن الرحيم
تبت يدآ أبي لهب وتب
ما أغنى عنه ما له وما كسب
سيصلى نارا ذات لهب
وامرأته حما لة الحطب
في جيد ها حبل من مسد
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานีผู้ทรงเมตตาเสมอ
มือทั้งสองของอบูละฮับพินาจ และตัวเขาก็ได้รับความพินาจแล้ว
ทรัพย์สมบัติของเขาและสิ่งที่ขวนขวายไว้มิได้อำนวยประโยชน์อันใดแก่เขา
เขาจะเข้าไปในไฟนรกที่ลุกโพลง
ทั้ง(นางอัรวาหรืออุมมุญะมีล)เมียของเขาด้วยนางผู้แบกฟืน
ที่คอของนางมีเชือกถักเป็นไยอินทผลัม(คล้องคอ)
(นางผู้แบกฟืน ซะอด์ บินญุเบร กล่าวว่าคนที่เอาบาปของผู้อื่นมาแบกไว้เอง นางชั่วร้ายแบกบาปไว้หรือกิ่งไม้ มุฟัสสิรีนบางท่านบอกว่านางแบกฟืนไว้ใส่ไฟที่เผาอบูละฮับ)

[u]

ทำไมถึงไม่เอาเวลา มาเชิญชวนให้คนกล่าวว่า



"ไม่มีพระเจ้า นอกจากอัลลอฮฺ
และมุฮัมหมัด เป็นศาสนฑูตของอัลลอฮฺ"






พี่น้องครับ เรากำลังจัดลำดับความสำคัญผิดกันอยู่รึเปล่าครับ

วัสลาม

[u]

.








..........................

[natee]

คุณจีจี่

ุถามจริงๆ เถอะ เนียตของคุณในการนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ในเวปนี้ เพื่ออะไรกันแน่ ช่วยบอกหน่อยซิ อ่านไปอ่านไปมันชักจะยังไงอยู่นา

[mahdisaudi]

ความหมายของการลงโทษ
การลงโทษในนรกเรียกว่า อฺะซฺาบ عذاب หรือ ตะอฺซีบ มีคำคล้ายคือ อุกูบะฮฺ แต่เดิมหมายถึงการลงโทษด้วยการโบยตี (อัลมุฟเราะดาต คำ عذب ) คำอะซฺะบะ เขาเว้นจากการกินด้วยความหิวจัด หรือจากการงาน
السفر قطعة من العذاب
การเดินทาง เป็นการทรมาณชนิดหนึ่ง เพราะผู้เดินทางต้องงดเว้นจากความสะบายต่างๆ ในอัลกุรอานมีว่า 25/53 และพระองค์คือผู้ทรงทำให้ทะเล ทั้งสองบรรจบกัน ด้านหนึ่งจืดและจืดสนิท อีกด้านหนึ่งเค็ม และเค็มจัด
มาอุน อัซฺบุน น้ำใสสะอาดจืดและเย็น
อะซฺะบีย์ คนที่มีมารยาทเรียบร้อยอ่อนโยน

ในทำนองเดียวกัน คำว่า บะชีร และตับชัร การแจ้งข่าวที่ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไป ใช้ทั้งชาวนรกและชาวสวรรค์ แต่โดยมากใช้ในการแจ้งข่าวดี 2/25 และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่า.....
2/155-156 และจงแจ้งข่าวดีแก่ผู้อดทน บรรดาที่- เมื่อทุกขภัยประสบแก่เขา พวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮฺและเราเป็นผู้กลับไปหาพระองค์
9/3 และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ปฎิเสธถึงการลงโทษอันเจ็บปวด
4/138 จงแจ้งข่าวดีแก่พวกสับปลับว่า สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวด

การอะซฺาบ หรือการลงโทษทรมาณในนรกจึงเป็นข่าวดีและความเมตตา
จากอัลลอฮฺ เพื่อซักฟอกความผิดของผู้นั้นจนเบาบางในบั้นปลาย

55/43-45 นี่คือนรก ซึ่งพวกมีผิดได้ว่ามุสา (ไม่มีจริง) พวกเขาจะให้วนรอบระหว่างมันและน้ำร้อนที่เดือด ดังนั้น อันใดแห่งความโปรดปราน ของพระผู้อภิบาล ของเจ้าทั้งสองเล่าที่เจ้าทั้งสองว่ามุสา

คำว่า อาลาอ์ อัลยุน อิลัน อะลัน หมายถึงความโปรดปราน นิอฺมะะฮฺ มีหะดีษว่า
จงใคร่ครวญในความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และจงอย่าใคร่ครวญในอาตมันของอัลลอฮฺ (อันนิฮายะฮฺ เล่า 1 หน้า 63 )
ท่านอิมามรอฆิบ ขยายความว่า จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺคือ นิอฺมะฮฺ ของพระองค์ เอกพจน์ของคำนี้คือ อะลัน และอิลัน (มุฟเราะดาตคำإلى )
คำว่า อัลฟัตนุ จากคำว่าฟะตะนะ หมายถึง การหลอมเพื่อให้แร่บริสุทธิ์จากขี้ของมัน ความหมายเดิมของอัลฟัตนุ คือการเอาทองใส่เข่าไปในไฟเพื่อแยกของเีออกจากของเสีย และใช้ในการที่มนุษย์เข้าไปในไฟนรก (51/14) จงชิมการทำเข็ญของสูเจ้าเถึด กล่าวคือการลงโทษทรมาณของสูเจ้า (มุฟเราะดาต คำ فتن )
คำว่าฟิตนะฮฺ มีความหมายกว้าง เช่น ถูกเผาไหม้หลอมในไฟ ทุกขภัย การทดลอง ความยากลำบาก ความปั่นป่วนวุ่นวาย แต่ในที่นี้ใช้คำ ฟิตนะฮฺ กับชาวนรก นั้นเป็นหลักฐานอีกข้อหนึ่งว่า เพื่อการหลอมไล่ความชั่วของชาวนรกออกไปจนเหลือความดีที่เคยทำใว้บ้าง อย่าวเดียวกับการหลอมสินแร่

ตามหลักฐานข้างต้นนี้ การลงโทษของชาวนรกจึงมีความมุ่งหมายเป็นพิเศษ กล่าวคือเพื่อร่อนตะแกรง ความชั่ว ด้วยการลงโทษนานับประการ ให้สาสมกับความชั่วของผู้นั้น เพื่อสำรองความเมตตาของพระองค์อัลลอฮฺสุบหานะฮุวะตะอาลา

[areebaba]

ความเชื่อที่คุณจีจี่ยกมา ก็มีในกลุ่มอื่นๆ

ไม่ใช่เฉพาะก็อดยานีย์.....

ฉะนั้นขอความกรุณาคุณจีจี่ ผู้สันทัดงานด้านนี้

กรุณายกหลักฐานให้ชัดๆว่า

1.อะกีดะห์ก็อดยานีย์ มีอะไรบ้างๆ ย้ำแล้วนะ

ต้องเฉพาะของก็อดยานีย์...

2.หลักการพิจารณาตามกระบวนการอิสลามของศาลชารีอะห์ในประเทศมุสลิมนั้น

เค้ามีขั้นตอนกันอย่างไรบ้าง...

3.เรื่องเวปที่ท่านอ้าง ผมว่า เว็ปนี้ดีกว่ากันเยอะเลยครับ

http://saaid.net/Doat/rida-samadi/Tazkia.jpg

http://www.saaid.net/Doat/rida-samadi/index.htm

http://www.saaid.net/Warathah/index.htm

อย่าลืมที่จะนำมาบอกด้วยนะครับว่า มีอะไรในนั้นบ้าง

วัสลาม

[mahdisaudi]

สภาพของนรก
ไฟนรกนั้นร้อนแรงยิ่ง ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่า ท่านนบีฯศ็อลฯกล่าวว่า ไฟของพวกท่านที่ลูกๆของอาดัมจุดนั้นร้อยเพียงหนึ่งในเจ็ดสิบของความร้อนของไฟนรก (มุสลิม บทที่ 51 บาบที่2 )
คำว่า เจ็ดสิบหมายถึงหลายเท่า คือร้อนมาก
บรรดาที่ปฏิเสธความโปรดปรานของอัลลอฮฺและเนรคุณ จะได้อยู่ในนรก ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความพินาศ ( 14/28 )
ซึ่งพวกเขาจะถูกต้อนลงเหมือนฝูงสัตว์ที่กระหายน้ำ 19/86
นรกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลรับชาวนรกได้ไม่จำกัดจำนวน 50/30
จะถูกทรมานโดยไม่ได้หยุดพัก 4/56
ตามความชั่วที่ได้กระทำไว้ 6/161
คนไหนที่หลับตาตามคนอื่นอย่างงมงาย 7/38
สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากไฟนรก ลวกอยู่ตลอดเวลา 22/19
จึงถือว่านรกเป็นแม่ 101/8-11
นรกเป็นเพื่อน 57/15

ตามชื่อและลักษณะดังกล่าวนี้ เราเข้าใจได้ว่านรกเป็นสถานที่คนชั่วถูกโยนดิ่งลงไปเผาไหม้ถูกทรมานให้ได้รับความอัปยศ 16/27

ที่น่าสังเกตอีกก็คือ อัลกุรอานเรียกนรกว่าเป็นแม่ คำว่า อุมมฺ ในความเดิมหมายถึงแม่ และความหมายที่รองลงมานั้น น้ำหนักความเดิมยังมีอยู่ เช่น ที่มา ต้นกำเนิด รากฐาน การสนับสนุน ส่วนใหญ่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหล่านี้ล้วนโยงความสำคัญถึงรากศัพท์ เดิมทั้งสิ้น
ในอัลกุรอานกล่าวว่า 3/3 โองการในอัลกุรอานแบ่งออกเป็นโองการหลักและโองการที่เป็นนัย โองการที่เป็นหลักนั้นเป็นอุมมุลกิตาบ –แม่ของคัมภีร์ คือเป็นหลักรากฐานของคัมภีร์ ซึ่งโองการที่เป็นนัยนั้นต้องอาศัยโองการหลักเป็นแม่บท
ในอัลกุรอานอีกเช่นกัน 6/93 อุมมุลกุรอ –เมืองแม่ คือเมืองเอก หมายถึงเมืองมักกะฮฺ ที่ว่าบท อัลฟาติหะฮฺเป็นอุมมุลกิตาบ ของคัมภีร์
บรรดาภริยา ของท่านนบีฯได้รับฉายาว่า อุมมะฮาตุล มุอฺมินีล แม่ของบรรดามุอฺมิน ในคำไทยของเรา แม่ทัพ แม่กอง แม่น้ำ แม่เหล็ก ล้วนอ้างถึงคำหลักทั้งสิ้น
และพระดำรัสของอัลลอฮฺ ดังนั้น แม่ของเขาคือไฟ และพระองค์ทรงทำให้มันเป็นแม่ของเขา (มุฟเราะดาต คำ أم )
อัมมุลค็อยริ แม่ของความดี อุมมุลชัรริ แม่ของความชั่ว หมายถึงที่รวมของความดี ที่รวมของความชั่ว
เมื่อนรกเป็นแม่ เป็นที่อยู่อาศัย จึงเป็นที่คุ้มครอง ทำนุถนอม ชาวนรก อย่างที่แม่มีต่อทารก ซึ่งจะต้องทำนุถนอมชั่วระยะหนึ่งจนกว่า(คุณจีจี้) จะโตพ้นอกแม่ นรกที่ได้ชื่อเช่นนี้ ก็มีความหมายเช่นเดียวกัน
อีกคำหนึ่งคือ นรกเป็นเพื่อนด้วย 57/15 คำว่าเมาลา หมายถึงเราะฟีกฺ แสดงถึงความไกล้ชิด อัลลอฮฺทรงเป็นเมาลา และวะลีย์ของบรรดาผู้ศรัทธา 8/40
มนุษย์เป็นวะลียุลลอฮฺ ได้ แต่ไม่พูดกันว่าเป็น เมาลาของอัลลอฮฺ บางท่านว่า ที่นรกเป็นเมาลา เหมาะสมสำหรับสูเจ้าแล้ว (ในอัลญะลาลัย) แต่ท่านอบุลอะอฺลา มาวดูดีย์ กล่าวว่า ถ้อยคำเดิมก็คือ هىمولاكم
ฮิยะเมาลากุม นรกเป็นเมาลาของสูเจ้า มีความหมายเป็นสองประการ หนึ่งนั้นเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับสูเจ้าแล้ว อีกข้อหนึ่งคือ สูเจ้าไม่ได้ยึดเอาอัลลอฮฺเป็นเมาลา เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงดูแลสูเจ้าเป็นอย่างดี แต่บัดนี้ นรกเป็นเมาลาของสูเจ้าแล้ว และมันจะดูแลสูเจ้าเป็นอย่างดี دوزخ هى تمارى مولاهو اس كو دو مطلب هو سكتىهين โดซัคแฮตุมมารา เมาลาแฮ (ตัฟฮีมุลกุรอาน เล่ม 5 หน้า 313)
ที่ว่านรกเป็นเพื่อน เป็นผู้อุปถัมภ์ เหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า นรกเป็นสถานบำบัดโทษของผู้มีผิดอย่างแน่นอน ถึงแม้จะถูกทนทุกข์ทรมาน ก็มีเพื่อนคอยปลอบ ว่าทนไปก่อนเถิด เพราะความเมตตาของพระองค์อัลลอฮฺนั้น แผ่ไปถึงทุกสิ่ง แม้ในนรก โดยที่พระองค์ทรงเป็น ร็อบบุน ربٌ

[mahdisaudi]

ความเมตตาของอัลลอฮฺ
มุสลิมต้องศรัทธาว่า คุณลักษณะทั้งหลายของอัลลอฮฺนั้นไม่ขึ้นต่อเวลาและสถานที่
เราจะมาทึกทักเอาว่าบางเวลาอัลลอฮฺไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ไม่ได้ยิน
หรือในสถานที่เช่นนี้ไม่มีการอภัยหรือความเมตตาของพระองค์นั้น ไม่ได้โดยเด็ดขาด
การศรัทธาเช่นนี้ถือว่าบกพร่อง และเท่ากับผู้นั้นไม่มีความรู้ขั้นพื้นฐานว่า
คุณลักษณะของอัลลอฮฺนั้นเป็นอย่างไร อัลลอฮฺทรงรอบรู้ในทุกสถานที่
และทุกเวลา ไม่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต กีดกั้นพระองค์ พระองค์ทรง
ได้ยิน ทรงเห็น ทรงอานุภาพ ฯลฯ ในทุกสถานที่และทุกเวลา
ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวว่า บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ
พระผู้ซึ่งการได้ยินของพระองค์แผ่ทั่วเสียงทั้งหลายทั้งปวง
(อัลบุคอรี บทที่ 98 กิตาบุตเตาหีด บาบที่ 9 )
ความเมตตาของพระองค์แผ่ทั่วทุกสิ่ง เพราะพระองค์ ใด้ทรงเน้นไว้
ในอัลกุรอานว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความเมตตา ในหะดีษก็มีบอกว่า
ความเมตตาของพระองค์ทรงมีเหนือความโกรธกริ้วของพระองค์

[mahdisaudi]

18/58 และพระผู้อภิบาลของเจ้าผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตา
6/134 และพระผู้อภิบาลของเจ้าคือ ผู้ทรงมีอย่างเหลือหลาย ผู้ทรงครองความเมตตา
6/12 พระองค์ผู้ทรงกำหนดความเมตตาไว้บนอาตมันของพระองค์
40/7 ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา พระองค์ทรงแผ่ความเมตตาและความรอบรู้ทั่วทุกสิ่ง.
ผู้ที่ไม่พยายามเข้าใจถึงความกว้างขวางแห่งความเมตตาของอัลลอฮฺนั้นไม่แตกต่างไปจากพวกอรับ อียิปต์ อิหร่านสมัยงมงาย ที่ไม่ยอมรับรู้ในเรื่องนี้
25/60 และเมื่อได้กล่าวแก่พวกเขาว่า จงกราบต่ออัรเราหฺมาน พวกเขากล่าวว่า อัร เราะหฺมาน คืออะไร และเราจะกราบที่ท่านสั่งเรากระนั้นหรือ และ(ท่าทีเช่นนี้) มันได้เพิ่มการห่างเหินแก่เขา .
[size=18]อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์เพราะด้วยความเมตตาของพระองค์ แต่ถ้าผู้ใดกระทำผิดจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามความชั่วของผู้นั้น แล้วพระองค์ทรงจะทรงแผ่ความเมตตาอภัยพวกเขา หลักฐานเหล่านี้มีชัดแจ้งทั้งในอัลกุรอานและหะดีษ
11/118-119 และมาตรพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอน พระองค์จะทำให้มนุษย์ทั้งหลายเป็นหมู่ชนเดียวกันก็ได้ แต่พวกเขามิหยุดยั้งเป็นผู้โต้แย้งเว้นแต่ผู้ที่พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงมีเมตตา และเพราะด้วยเหตุนั้นที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเขา.
ตอนท้ายของอายะฮฺนี้ยืนยันว่า นิสัยของมนุษย์นั้นชอบโต้แย้ง และดื้อรั้นเสมอ อย่างไรก็ตามพระองค์ก็จะทรงแผ่เมตตาแก่พวกเขา พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ก็เพราะเพื่อความเมตตาของพระองค์ ท่านอัลลามะ สุลัยมาน นัดวีย์อธิบายว่า เป็นที่ประจักษ์ชัดจากโองการนี้ว่า อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์เพื่อความเมตตาของพระองค์ ไม่ใช่สร้างมาเพื่อการลงโทษทรมาน แต่มนุษย์เอง แทนที่จะให้การงานของตน ได้รับความเมตตาของอัลลอฮฺ กลับหาการลงโทษทรมานมาใส่ตนเอง ในการอธิบายอายะฮฺนี้ ท่าน อิบนุ อับบาส กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺทรงสร้างพวกเขาเพื่อความเมตตา พระองค์มิได้ทรงสร้างพวกเขาเพื่อการลงโทษ (อัฏเฏาะบารีเล่มที่ 12 หน้า 81 ฉบับพิมพ์ไคโร)
(จากสีเราะตุนนบีเล่มที่ 4 หน้า767 )[/size]

[mahdisaudi]

เห็นท่านไข่นุ้ย เขียนความคิดเห็นเรื่องเกี่ยวกับทหารไทยในอิรัค ผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับเราบ้าง โดยเฉพาะพวกที่โจมตีคนดีๆที่ชราภาพแล้วไม่สามารถมานั่งเขียนโต้การใส่ร้ายนั้นได้ ก็ขอยกข้อความมาด้านล่างนี้

ท่านร่อซู้ล (ซ.ล.) กล่าวว่า " การกระทำทั้งหลายจะถูกตัดสินโดยเจตนา และทุกคนจะได้รับผลตอบแทนตามเจตนารมณ์ของเขา" (รายงานโดย บุคอรี)
อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงตรัสไว้ใน อัลกรุอ่านว่า " บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงหลีกให้พ้นจากส่วนมากของการสงสัย เพราะว่าการสงสัยบางชนิดนั้นเป็นบาป"
ท่านร่อซู้ล (ซ.ล.) กล่าวว่า " จงหลีกเลี่ยงการระแวงสงสัย เพราะการเผยแพร่การระแวงสงสัยเป็นรูปแบบของการพูดโกหก" (รายงานโดย บุคอรี)
และท่านร่อซู้ล (ซ.ล.) กล่าวว่า "โอ้บรรดาผู้ที่ประกาศอิสลามด้วยลิ้นโดยที่ศรัทธาไม่ถึงหัวใจของท่าน จงอย่าสร้างความรำคาญให้แก่มุสลิมหรือแสวงหาความผิดของเขา เพราะผู้ที่แสวงหาความผิดของพี่น้องมุสลิมของเขาจะถูกอัลลอฮ์คอยแสวงหาความผิดของเขา และเมื่ออัลลอฮ์แสวงหาความผิดของใคร พระองค์จะทรงเปิดเผยมันถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ภายในบริเวณบ้านของเขาก็ตาม" (รายงานโดย ติรมีซี และ อิบนุ มาญะ)
"ถ้าท่านแสวงหาความผิดของคน ท่านจะทำให้พวกเขาเสียหาย หรือนำพวกเขามาใกล้ความเสียหาย" (รายงานโดย อบูดาวูด และ อิบนิ ฮิบบาน)
" ท่านรู้ไหมการนินทาคืออะไร บรรดาสาวกตอบว่า อัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์รู้ดีที่สุด ท่านได้กล่าวว่า มันคือการพูดสิ่งใดเกี่ยวกับพี่น้องของท่านและเขาไม่ชอบ มีบางคนถามว่าจะเป็นอย่างไรหากฉันพูดบางสิ่งที่เป็นจริง เกี่ยวกับพี่น้องของฉัน ท่านศาสดาตอบว่า ถ้าหากว่าส่งที่ท่านพูดถึงเขาเป็นความจริง มันก็เป็นการนินทา และถ้ามันไม่เป็นจริง ท่านก็ได้กล่าวหาเขาแล้ว" (รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด )

[ahlussunnah]

To Jiji
The main topic you said about "Godayanee".

How do you know? Who is Godayanee,
Who is Shi-ah,
Who is Qawaridj,
Who is Muatasilah,
Who is Quaniyeen.

What is the Criteria of Ulama for Godayanee word?

You need to know first.

[mahdisaudi]

อัลลอฮฺจะทรงชำระพวกเขาด้วยความเมตตาตามลำดับ กล่าวคืออย่างมากที่สุด ในบรรดาผู้ทำความชั่วเหล่านั้นหลังจากได้ชดใช้ความชั่วของตนแล้วในที่สุดก็จะเข้าในร่มแห่งความเมตตาของพระองค์และพระองค์จะทรงยกฐานะของพวกเขาด้วยการอภัยของพระองค์
(สีเราะตุน นบี เล่ม 4หน้า 768-769)

ท่านอบูฮุร็อยเราะรายงานว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮฺได้ทรงทำการสร้างเสร็จแล้ว พระองค์ได้ทรงจารึกไว้ ณ บันทึกของพระองค์ซึ่งอยู่บนบัลลังก์ใกล้พระองค์ แท้จริงความเมตตาของฉันท่วมท้นความโกรธกริ้วของฉัน.
(อัลบุคอรี บทที่59 กิตาบุบัดอิลค็อลกิ บาบที่ 1)