ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - อิหม่ามชาฟีอีฮูก่มพวกซูฟี เป็นซินดิก ตกมุรตัด
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
อิหม่ามชาฟีอีฮูก่มพวกซูฟี เป็นซินดิก ตกมุรตัด
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Sat Nov 08, 2008 3:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมก็ไม่ได้เถียงนี้ครับ ว่าบังไมหาสันไม่ได้รู้ดีในเรื่องซุนนะ

แต่ผมค้านในบางเรื่องที่บังหาสันรู้ไม่จริงในซุนนะของท่านนบีต่างหาก

แต่ถ้าเป็นซุนนะของวาฮาบีนั้นผมไม่ค้านครับคนฉลาดมาลิกSN.อ

ย่าให้เดาเลยครับว่าใครคือตัว

ตนที่แท้จริง อิๆๆ Twisted Evil
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
maliksn
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/10/2008
ตอบ: 164


ตอบตอบ: Sat Nov 08, 2008 4:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Konyakroo บันทึก:
ผมก็ไม่ได้เถียงนี้ครับ ว่าบังไมหาสันไม่ได้รู้ดีในเรื่องซุนนะ

แต่ผมค้านในบางเรื่องที่บังหาสันรู้ไม่จริงในซุนนะของท่านนบีต่างหาก

แต่ถ้าเป็นซุนนะของวาฮาบีนั้นผมไม่ค้านครับคนฉลาดมาลิกSN.อ

ย่าให้เดาเลยครับว่าใครคือตัว

ตนที่แท้จริง อิๆๆ Twisted Evil


Exclamation
อะไรที่ทำให้คุณ Konyakroo มั่นใจละครับ ว่าบังอะซันไม่ได้รู้ดีในเรื่องซุนนะของนบี และอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่า คุณหรือ al-azhary แห่ง sunnahstudent รู้ดี หรือรู้จริงในเรื่องของซุนนะของนบี ก็ในเมื่อในเว็บก็ยังเลี้ยงลูกคอก ในแนวทางต่างๆ มากมาย ทั้งศูฟี ทั้งบิดอะ ทั้งญามาอะตับลีฒ ต่างเข้ามาหาความรู้จากทายาท(อสูร) มัวตะซิละอย่างต่อเนื่อง ทั้งหลักฐานต่างๆ ยังบิดเบือนไม่ตรงกับความจริงตามต้นฉบับซะอีก และถ้าจะเดาตัวตนของผม ก็เดาไปเถอะครับ ไม่เห็นเป็นไร ผมไม่ได้เป็นประเภทประกาศตัวว่าจะล้างวะฮาบี แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวอยู่แล้ว อยากจะเดาก็เดาไปเถอะ แต่ขอให้อย่าเดามั่ว แบบ al-azhary ที่เดาความหมายอัลกุรอ่านบิดเบือน เพื่อจะเอามาโจมตีซุนนะก็เเล้วกันครับ

al-azhary ที่กล้าบิดเบือนความหมายอัลกุรอ่านเพื่อจะมาโจมตีซุนนะได้อย่างนี้ จะไปหวังพึ่งอะไรกับความรู้ซุนนะที่เขามีละครับ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าโต๊ะครูของคุณ Konyakroo คนนี้ จะไม่บิดเบือนหลักฐานฮาดีษของนบี เหมือนกับที่บิดเบือนอัลกุรอ่าน

__________________________________

คิดว่าเป็นอะไรที่ตรงกับ al-azhary แห่ง sunnahstudent ที่สุดแล้ว =

ซูเราะอาลิอิมรอม(3) อายะที่ 7

هوَالَّذِيَ أَنزَلَ عَلَيْكَ الْكِتَابَ مِنْه آيَاتٌ مّحْكَمَاتٌ هنَّ أمّ الْكِتَابِوَأخَر متَشَابِهَاتٌ فَأَمَّا الَّذِينَ في قلوبِهِمْ زَيْغٌ فَيَتَّبِعونَ مَا تَشَابَهَمِنْه ابْتِغَاء الْفِتْنَةِ وَابْتِغَاء تَأْوِيلِهِ وَمَا يَعْلَم تَأْوِيلَه إِلاَّ اللّهوَالرَّاسِخونَ فِي الْعِلْمِ يَقولونَ آمَنَّا بِهِ كلٌّ مِّنْ عِندِ رَبِّنَا وَمَا يَذَّكَّرإِلاَّ أوْلواْ الألْبَابِ

"พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโองการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน (เมื่อทุกคนได้อ่านหรือได้ฟังแล้วจะเข้าใจเหมือนๆกันโดยไม่ต้องตีความ) ซึ่งโองการเหล่านั้นคือรากฐานของคัมภีร์ (เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์ที่มุ่งหมายให้เป็นความรู้ทั้งในหลักการศัทธาและในข้อปฏิบัติของมนุษย์และยังเป็นหลักยึดถือในการตีความโองการที่เป็นนัยอีกด้วย) และมีโองการอื่นๆอีกที่มีข้อความเป็นนัย (มีข้อความเป็นเชิงเปรียบเทียบ อาจเข้าใจได้หลายทาง ผู้ที่มีความรู้ในศาสนาของพระองค์อย่างกว้างขวางเท่านั้นที่จะเข้าใจในทางที่ถูกต้องได้) ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีความเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย (เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ศรัทธาด้วยการตีความโองการที่เป็นนัยให้เฉออกไปจากความเป็นจริงที่พวกเขาเคยได้รับมาก่อน) และเพื่อการแสวงหาการตีความในโองการเท่านั้น (คือเพื่อแสวงหาการตีความไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการ โดยไม่คำนึงว่าจะขัดต่อความหมายของอายะฮที่ข้อความชัดเจนหรือไม่) และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น (มีพื้นฐานความรู้อย่างมั่นคง เกี่ยวกับคุณลักษณะต่างๆของพระองค์ (ศิฟาต) และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวางด้วย) โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศัทธาต่อโองการนั่น ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น และไม่มีใครที่จะได้รับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น"
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Sat Nov 08, 2008 10:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นี่ พวกคุณทั้งเพเลย กลับไปดูชื่อกระทู้ด้วย
กลับไปข้างบน
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Nov 08, 2008 10:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มัซฮับและขบวนการ : ซูฟีย์ : หลักการและการปฏิบัติ
ในระหว่างสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด สาวกบางคนของท่านได้ตัดสินใจที่จะละเว้นจากการนอนและจะใช้เวลาตลอดทั้งคืนไปกับการนมาซ บางคนได้ตัดสินใจที่จะถือศีลอดทุกวันโดยไม่ขาด บางคนก็ตัดสินใจที่จะหยุดมีความสัมพันธ์ทางด้านการแต่งงานกับผู้หญิงทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีเวลาอย่างเต็มที่สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจต่ออัลลอฮฺ

เมื่อท่านศาสดาได้ยินเรื่องนี้ ท่านได้กล่าวว่า : "เกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ซิถึงได้กล่าวเช่นนั้น ฉันเองถือศีลอดบางวันและฉันก็ละศีลอด ฉันนมาซในช่วงเวลาหนึ่งของกลางคืนและนอน และฉันก็แต่งงาน ดังนั้น ใครก็ตามที่หันไปจากแนวทางของฉัน เขาก็ไม่ได้เป็นพวกฉัน" (รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)

อิสลามได้สั่งใช้ให้ดำเนินชีวิตสายกลางทั้งนี้เพื่อที่มุสลิมจะได้ไม่ทำอะไรไปจนเกินพอดีหรือน้อยไปกว่าที่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ชีวิตสันโดษ (เหมือนอย่างสงฆ์) ก็เป็นที่ต้องห้ามในกุรอาน อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า " ส่วนการเป็นนักบวชนั้น เราไม่ได้บัญญัติมันขึ้นมาสำหรับพวกเขา พวกเขาเองต่างหากที่สร้างมันขึ้นมา" (กุรอาน 57:27)


ท่านศาสดาและสาวกของท่านตลอดจนนักวิชาการมุสลิมคนสำคัญจะทำงาน ต่อสู้ ตัดสินระหว่างมุสลิมและสอนกุรอานผู้คนและตักเตือนผู้คนให้ทำความดี


ยิ่งไปกว่านั้น สาวกหลายคนก็เป็นนักธุรกิจและแสวงหาความมั่งคั่งเพื่อที่จะใช้จ่ายเงินในหนทางแห่งอิสลามและท่านศาสดาก็ส่งเสริมพวกเขา ในฮะดีษหนึ่ง ท่านศาสดาได้กล่าวว่า :"จะประเสริฐยิ่งถ้าทรัพย์สินที่ซื่อสัตย์เป็นของคนที่มีคุณธรรม" (รายงานโดยอะหมัด)


ท่านได้วิงวอนให้อนัส อิบนุมาลิกบ่าวของท่านและได้จบการวิงวอนของท่านโดยกล่าวว่า : " โอ้ อัลลอฮฺ ได้โปรดเพิ่มพูนให้แก่เขาในทรัพย์สินและลูกๆและโปรดให้เขาได้รับความดีงามในสิ่งนั้น" (รายงานโดยบุคอรี)


อิบนุ มัศอูด ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลลอฮได้ลากเส้นๆหนึ่งด้วยมือของท่านและกล่าวว่า : " นี่คือแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลลอฮฺ" หลังจากนั้น ท่านก็ลากเส้นหลายๆเส้นไปทางด้านขวาและทางด้านซ้าย หลังจากนั้นก็กล่าวว่า : " นี่เป็นหนทางอื่นๆ ไม่มีเส้นทางใดสักเส้นทางเดียวจากเส้นทางเหล่านี้ที่ไม่มีมารร้ายบนเส้นทางเหล่านั้นเรียกร้องไปหามัน" หลังจากนั้น ท่านก็ได้อ่านกุรอานตรงที่มีความหมายว่า : "แท้จริง นี่คือหนทางที่เที่ยงตรง ดังนั้น จงตามมันและจงอย่าปฏิบัติตามทางอื่นๆ เพราะมันจะทำให้สูเจ้าออกห่างจากหนทางของพระองค์" (กุรอาน 6:153)


การเกิดขึ้นของ ซูฟีย์

ถึงแม้จะมีคำเตือนดังกล่าวแล้วก็ตาม มุสลิมบางคนก็ปฏิบัติอย่างสุดโต่งในทางด้านศาสนาและหลีกเลี่ยงชีวิตทางโลก ในกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือพวก ซูฟีย์ที่เลือกดำเนินชีวิตอย่างสุดโต่งและละทิ้งการแสวงหารายได้ที่ถูกต้องและงานที่เป็นประโยชน์ คนเหล่านี้อ้างถึงความไว้วางใจในอัลลอฮฺเพียงอย่างเดียวในเรื่องการยังชีพและชอบที่จะปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตสันโดษอยู่ตามลำพัง


คำว่า " ซูฟีย์" ความจริงแล้วเกิดขึ้นมาในยุคหลัง (ในเมืองกูฟะฮประเทศอิรัคระหว่างสมัยราชวงศ์อับบาซียะฮฺในคริสตศตวรรษที่ 9) มันอาจจะมาจากคำว่า "ซุฟ"ในภาษาอาหรับซึ่งหมายถึงเสื้อคลุมขนสัตว์หยาบๆที่พวกนักบวชสวมใส่และต่อมาพวกมุสลิมบางคนที่ชอบดำเนินชีวิตแบบสันโดษได้นำมาใช้


กล่าวโดยทั่วไปแล้ว แหล่งที่มาของลัทธิถือสันโดษในอิสลามได้เกิดขึ้นมาจากแหล่งต่างๆที่มิใช่อิสลามในยุโรปโบราณและแม้แต่ในอินเดีย ประเพณีก่อนหน้าอิสลามส่วนหนึ่งก็เข้ามาสู่อิสลามภายใต้คราบของการปลีกตัวออกไปถือสันโดษตามลำพัง


รูปแบบการใช้ชีวิต

หลักคำสอนและพิธีกรรมแทบจะทั้งหมดของ ซูฟีย์นั้นถ้าไม่เหมือนกันทุกอย่างก็แทบจะเหมือนกับขบวนการใช้ชีวิตแบบนักบวชโบราณที่มิใช่อิสลาม เช่น ศาสนาคริสต์ตะวันออก (นิกายเนสโตเรียนและซีรีแอค) และศาสนาพุทธ ดังนั้น หลักคำสอนและพิธีกรรมต่างของพวก ซูฟีย์จึงได้รับการปฏิเสธจากมุสลิมส่วนใหญ่เพราะมันเป็นสิ่งอุตริที่ขัดกับคำสอนที่แท้จริงของอิสลาม


ในปลายศตวรรษที่ 10 ซูฟีย์ได้แพร่ขยายไปทั่วอิรัค อิหร่านและอียิปต์ ในศตวรรษที่ 11 และ 12 แนวความคิดของพวก ซูฟีย์ได้รับการยอมรับบ้างทั้งนี้เนื่องมาจากความพยายามและการเขียนของผู้ทรงความรู้ชาวซุนนีคนสำคัญๆอย่างเช่น อิมามเฆาะซาลี ต่อมาพวก ซูฟีย์ก็ค่อยๆสร้างพิธีกรรมและหลักการต่างๆที่เสียหายรุนแรงขึ้นและบิดเบือนหลักความศรัทธาอันบริสุทธิ์ของอิสลามที่มีอยู่ในกุรอานและแบบอย่างคำสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด ผู้นำ (เชค) ของคนพวกนี้ได้ทำให้มุสลิมแตกออกเป็นกลุ่มและนิกายต่างๆ ในที่สุด ความเป็น ซูฟีย์สายกลางก็ค่อยๆหายไปจนทำให้หลักการและการปฏิบัติอันสุดโต่งห่างไกลออกไปจากหลักความเชื่อและกฎหมายอิสลาม


การให้ความเคารพผู้นำ (เชค) อย่างสุดโต่ง

หนึ่งในด้านที่เป็นอันตรายที่สุดของพวก ซูฟีย์สุดโต่งก็คือการให้ความเคารพแก่คนที่มีคุณธรรมความรู้อย่างเกินขอบเขตโดยสานุศิษย์ของคนเหล่านี้ บางกลุ่มสดุดีผู้นำของตนเป็นประจำด้วยข้อความแห่งความรักที่เลยเถิดและใช้เหล้าทำให้เกิดความมึนเมาเป็นสัญลักษณ์แทนความรักของพระเจ้า ผู้นำ (เชค) ของพวก ซูฟีย์ถูกเรียกว่า "อัล-อาริฟ บิลละฮฺ" (ผู้มีความรู้จักอัลลอฮฺอย่างลึกซึ้ง) บางทีพวก ซูฟีย์ก็ให้ความเคารพผู้นำของตนอย่างสิ้นเชิงจนถึงขนาดยอมทำตามผู้นำของตนทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขตจำกัด มีหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติตามแนวทาง ซูฟีย์ไว้ดังนี้
: " จงมอบหมายการงานแก่ท่าน (ผู้นำ) และไม่ต้องถามว่าทำไม ถึงแม้ว่าท่านจะออกมาด้วยบางสิ่งที่เป็นบาป จงอยู่ต่อหน้าท่านเหมือนกับคนตายที่ถูกอาบน้ำและถูกชำระล้างจากสิ่งสกปรก อย่าเดินบนเสื่อของท่านหรือนอนบนหมอนของท่าน"


พวก ซูฟีย์ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติตามที่จะต้องเป็นทาสในความคิดและร่างกายต่อผู้นำของตน ถ้าหาก ซูฟีย์ที่เป็นสานุศิษย์ฝ่าฝืนคำสั่งเหล่านี้ เขาจะไม่ได้รับความเมตตาจากผู้นำของเขาและจะไม่มีวันเจริญ อย่างไรก็ตาม หลักการอิสลามไม่อนุญาตให้มีการเชื่อฟังผู้ใดในเรื่องที่เป็นบาป พวก ซูฟีย์ทำความชั่วบางอย่างและพวกที่ตามคนพวกนี้เชื่อว่าคนเหล่านั้นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามและเป็นการกระทำอันมหัศจรรย์


ปาฏิหารย์ของพวก ซูฟีย์

ปาฏิหาริย์ที่ถูกกล่าวอ้างของพวก ซูฟีย์มีมากมายรวมทั้งการฟื้นคืนชีพหลังความตายหรือการที่พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายจากกระสุนหรือดาบหรือไฟ ปาฏิหาริย์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นโดยการใช้วิธีการทางไสยศาสตร์หรือการตบตาหรือโดยการช่วยเหลือของชัยฏอน แต่เล่ห์กลและปาฏิหาริย์จอมปลอมเหล่านี้สามารถดึงดูดผู้คนได้มากมาย

อัช-ชะอ์รอนี ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์คนหนึ่งได้อ้างว่าอะหมัด อัล-บะดาวี ครูของเขาได้ควบคุมจักรวาลจากหลุมฝังศพของเขา พวก ซูฟีย์จะปกป้องตัวเองให้พ้นจากการถูกลงโทษในการตกศาสนาโดยการใช้หลักความเชื่อลับๆและคำศัพท์ที่คลุมเครือ

เหยื่อของชัยฏอน

อัล-ฮาฟิซ อิบนุ อัล-เญาซี นักวิชาการมุสลิมคนสำคัญ (เสียชีวิตใน ฮ.ศ.597) ได้เขียนหนังสืออันทรงคุณค่าไว้เล่มหนึ่งชื่อ "ตัลบีส อิบลีส" (วิธีการของชัยฏอนต่อผู้นมาซ) ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เขาได้ปฏิเสธการปฏิบัติผิดๆของพวก ซูฟีย์ พวก ซูฟีย์ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับอัลลอฮฺ แต่การอ้างตัวว่าเป็นผู้ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่ขัดกับอิสลาม
อย่างไรก็ตาม พวก ซูฟีย์อ้างว่าอำนาจทางจิตใจและการเป็นสื่อกลางกับอัลลอฮฺมาจากครูของพวกเขา ความจริงแล้ว ชัยฏอนได้หลอกลวงพวกเขาให้เชื่อว่าพวกเขามีความสามารถที่จะบรรลุถึงการรวมกันทางด้านจิตวิญญาณหรือการติดต่อกับอัลลอฮฺและผู้รู้ได้ นั่นคือ การได้รับความรู้ในสัจธรรมของพระเจ้าโดยตรง (ฮะกีเก๊าะฮฺ)

พวก ซูฟีย์ได้รับอิทธิพลมาจากพวกบาฏิน ปรัชญากรีก ศาสนาพุทธและเทวศาสตร์ของชาวคริสเตียน ดังนั้น พวก ซูฟีย์จึงเชื่อในเรื่องการได้รับความรู้ภายในซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็โดยการฝึกฝนจิตวิญญาณและการทรมานร่างกายเพื่อขัดเกลาตนเองให้เป็นผู้ได้รับความรู้นั้น หลังจากนั้น ซูฟีย์ก็สามารถที่จะเห็นความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวบทของกุรอานและคำสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด คนที่ไม่ได้รับความรู้ภายในจะสามารถเห็นความหมายภายนอกของกุรอานเท่านั้นและคนเหล่านี้จะถูกเรียกว่าผู้ปฏิบัติตามชะรีอ๊ะฮฺหรือคนที่รู้ความหมายตามตัวอักษร (อะฮ์ลุซซอฮิร) ในขณะที่พวก ซูฟีย์เรียกตัวเองว่าผู้รู้ความจริงที่แท้จริงและผู้รู้ในสิ่งที่ซ่อนเร้น (อะฮ์ลุลบาฏิน) พวกเขากล่าวว่าพวกเขาก้าวพ้นชะรีอ๊ะฮฺไปถึงการรับรู้ภายในแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งต้องห้ามได้โดยเหตุผลที่ว่าความรู้ที่สูงกว่าของพวกเขาทำให้พวกเขาอยู่นอกข้อจำกัดของกฎหมายอิสลามที่เห็นอยู่
ซูฟีย์สร้างพิธีกรรมอุตริขึ้นมา
สิ่งอุตริที่พวก ซูฟีย์สร้างขึ้นมานั้นมีทั้งการทำตัวเองให้ต่ำต้อยต่อหน้าผู้คน พิธีกรรมรำลึกถึงอัลลอฮฺด้วยการกล่าววลีที่เอ่ยนามของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งขัดต่อแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัด การจัดงานฉลองวันเกิดขึ้นของท่านศาสดามุฮัมมัดอย่างฟุ่มเฟือย การไปเยี่ยมหลุมฝังศพของหัวหน้า ซูฟีย์และวิงวอนต่อคนเหล่านี้ให้ประทานความจำเริญแก่พวกเขาและเป็นตัวกลางระหว่างพวกเขากับอัลลอฮฺ
การปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่มุสลิมส่วนใหญ่ประณามว่าเป็น "การสักการะบูชานักบุญ" และเป็น "การชิริก" ยิ่งไปกว่านั้น ครูของพวก ซูฟีย์ยังอ้างว่าตัวเองเป็นแหล่งที่มาของการรู้จักพระเจ้า (มะอ์ริฟะฮ์) แก่นักวิชาการอิสลาม

ซูฟีย์สุดโต่ง
อัล-ฮุซัยน์ อิบนุ มันซูร อัล-ฮัลลาจเชื่อว่าอัลลอฮฺอาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์ ทุกสิ่งมีอยู่นั้นคืออัลลอฮฺในความเป็นจริง ส่วนอบู ยะซีด บิสตามี (ตายฮ.ศ.874) และอัล-ญุนัยด์ (ตาย ฮ.ศ.910) ได้เริ่มหาประสบการณ์ในการที่จะรวมกับอัลลอฮฺในตอนแรกด้วยการ "เมา" กับความรักของตนเอง
ในขณะที่พวก ซูฟีย์หลายคนปิดบังอำพรางหลักความเชื่อที่บิดเบนของตัวเอง แต่อัล-ฮัลลาจญ์สานุศิษย์คนหนึ่งของอัล-ญุนัยด์ได้ออกเดินทางไปสั่งสอนหลักการของตัวเองอย่างเปิดเผย เจ้าหน้าที่ในกรุงแบกแดดจึงได้จับกุมเขา นักวิชาการส่วนใหญ่ตัดสินว่าเขาตกศาสนาและต่อมาเขาได้ถูกประหารชีวิตใน ฮ.ศ.309
อิบนุอะเราะบีก็เชื่อในหลัก "วะฮ์ดะตุลวุญูด" คือเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงด้านหนึ่งของตัวตนที่แท้จริงของอัลลอฮฺและพระองค์นั้นคือทั้งหมดที่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นนอกจากภายในส่วนต่างๆของสิ่งทั้งหลายและทุกสิ่งที่มีอยู่นั้นก็คืออัลลอฮฺ เขาวิพากษ์วิจารณ์นบีฮารูนเมื่อตอนที่ท่านตำหนิพวกยิวที่เคารพบูชารูปปั้นวัวทองคำ มีคนอ้างว่าเขากล่าวว่า "ผู้เคารพสักการะวัวนั้นไม่ได้เคารพสักการะสิ่งใดนอกไปจากอัลลอฮฺ" เขาเองได้ยกย่องฟาโรห์และประกาศว่าฟาโรห์ตายในสภาพที่มีความศรัทธาอันบริสุทธิ์และเป็นผู้ศรัทธาคนหนึ่งซึ่งขัดกับตัวบทในกุรอาน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม อิบนุอะเราะบีก็ได้รับการยกย่องจากพวก ซูฟีย์และพวกเขาได้เรียกเขาว่า "อัล-กุตุบุล อักบัร" (แกนอันยิ่งใหญ่)
หนังสือหลายเล่มที่เขาเขียนขึ้นอย่างเช่น " อัล-ฟะตูฮาตุล มักกียะฮ์" และ "ฟุซูลุลฮิกัม" นั้นเต็มไปด้วยเรื่องนอกศาสนาอย่างเห็นได้ชัด เขาได้เขียนหนังสืออธิบายความหมายขึ้นมาเล่มหนึ่งซึ่งเขาเรียกว่า "อัต-ตัฟซีรุล บาฏิน" ทั้งนี้เพราะเขาถือว่าความหมายที่ซ่อนเร้นของกุรอานนั้นมีแต่ ซูฟีย์ที่รู้ลึกซึ้งเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ อิบนุอะเราะบีถือว่าพวกบูชาเทวรูปอยู่ในหนทางที่ถูกเนื่องจากในทัศนะของเขานั้นอัลลอฮฺทรงมีอยู่ในทุกสิ่ง (หมายความว่าสิ่งถูกสร้างทุกอย่างที่มีอยู่นั้นคือพระองค์) ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพสักการะรูปปั้นหรือเคารพหินหรือต้นไม้หรือมนุษย์หรือดวงดาวก็เท่ากับเขาผู้นั้นเคารพสักการะอัลลอฮฺ เขากล่าวว่า : " ดังนั้น คนที่มีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ก็คือคนที่เห็นวัตถุบูชาทุกอย่างเป็นปรากฏการณ์ของความจริงที่มีอยู่ในนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกเคารพสักการะ"

ดังนั้น พวกเขาจึงเรียกมันว่าพระเจ้าพร้อมกับชื่อเฉพาะของมันไม่ว่ามันจะเป็นก้อนหิน ต้นไม้ สัตว์ บุคคล ดวงดาวหรือทูตสวรรค์ อิบนุอะเราะบีจึงประกาศว่าการเคารพบูชาวัตถุจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าถูกประณามเพราะทุกสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะนั้นเป็นเพียงพระเจ้าที่ปรากฏในรูปของมนุษย์ ต้นไม้หรือหิน อิบนุอะเราะบียังเชื่อว่าทุกศาสนานั้นเป็นหนึ่งเดียวและหัวใจของเขาพร้อมที่จะยอมรับทุกนิกายและศาสนา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเตือนลูกศิษย์ของเขามิให้เชื่อในศาสนาใดเป็นการเฉพาะและมิให้ปฏิเสธศาสนาอื่นทั้งหมด
อับดุลการีม อัล-ญีลีซึ่งเสียชีวิตใน ฮ.ศ.830 ก็เชื่อในเอกภาพของศาสนาหรือทุกศาสนาก็เหมือนกันดังที่เขาได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง " อัล-อินซานุล กามิล" (มนุษย์ที่สมบูรณ์) ดังนั้น ในทัศนะของอับดุลการีม มัสญิดและโบสถ์จึงไม่มีความแตกต่างกันและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนบาปและไม่เชื่อฟังคำสั่งของอัลลอฮฺตามตัวบทกฎหมายอิสลาม (ชะรีอ๊ะฮ์) ที่ปรากฏอยู่ เขาก็ยังปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺ อิบนุลฟาริด
กวีคนหนึ่งได้อ้างว่าความจริงแล้วอัลลอฮฺก็คือสิ่งถูกสร้างของพระองค์และเขาได้แต่งบทกวีขึ้นมาบทหนึ่งซึ่งในนั้นเขากล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นเพศหญิง


ระบบตำแหน่งของ ซูฟีย์

ซูฟีย์หลายคนยังเชื่อว่าประชากรแต่ละรุ่นจะมีครูคนหนึ่งซึ่งเป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์" อย่างลับๆ และการมาปรากฏของคนผู้นี้เองที่ทำให้โลกยังดำเนินอยู่ต่อไป เป็นที่เชื่อกันว่าครูผู้นี้จะนำความจำเริญ (บะรอก๊ะฮ์) อันมหัศจรรย์ที่ได้รับมาจากครูคนก่อนๆมาให้ลูกศิษย์ของตน ซูฟีย์ส่วนใหญ่อ้างว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากอะลี อิบนุ อบีฏอลิบหรือครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัดและพวกเขาได้รับความจำเริญสืบทอดต่อเนื่องกันมาจากบุคคลเหล่านั้นผ่านทางตำแหน่งหน้าที่สืบทอดต่อกันมา


ซูฟีย์บางคนอาจถูกเรียกว่า "วะลี" (เพื่อนของพระเจ้า) ซึ่งหมายถึง "คนที่ไปถึงขั้นสูงสุดในการมีความสัมพันธ์กับอัลลอฮฺ" ดังที่กล่าวไว้ในกุรอานว่า " บรรดาผู้ไม่กลัวและไม่เศร้าโศกเสียใจ" เฉพาะคนที่ได้รับประสบการณ์ ซูฟีย์อย่างสมบูรณ์เท่านั้นที่จะรู้จัก "มนุษย์ที่สมบูรณ์"พวกเขาคือผู้นำที่มีความจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของจักรวาลเพราะพวกเขามีอำนาจ ความรู้และพลังอันมหัศจรรย์ที่พระเจ้ามอบหมายมาให้
ลำดับชั้นที่มองไม่เห็นของพวกผู้นำ (เชค) ซูฟีย์ประกอบด้วย 40 อับดัล ( "ตัวแทน" เพราะเมื่อคนหนึ่งคนใดเสียชีวิต อีกคนหนึ่งก็จะถูกเลือกโดยอัลลอฮฺให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเชค) 7 เอาตาด (หลักแห่งความศรัทธา) 3 นุกอบา (ผู้นำที่นำคนมาให้ครูของตน) ที่นำโดย "กุตุบ" (แกน) หรือ " เฆาซ์" (ผู้ช่วยเหลือ) ซึ่งเป็นฉายาที่ผู้นำ ซูฟีย์กล่าวอ้าง พวก ซูฟีย์มี "ตราประทับ" (คอติม) หรือบุคคลสุดท้ายที่สมบูรณ์ที่สุดของพวกตนในขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ด้วย อัล-มิรฆอนี แห่งซูดานได้อ้างว่าเขาเป็นตราประทับ (คอติม) และสำนัก ซูฟีย์ของเขาได้ถูกเรียกว่า "คอติมัยยะอ๊ะฮ์"
กลุ่ม ซูฟีย์

นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 พวก ซูฟีย์ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือ "เฏาะรีก" (ตะรีกัต) กลุ่มที่สำคัญๆและยังมีอยู่ในปัจจุบันก็คือกลุ่มซานุสซีในอาฟริกาเหนือ กลุ่มนักชบันดี กลุ่มนิมะตุลลอฮ์และกลุ่มชิสตี (ในอิหร่าน ตุรกี เอเชียกลางและอินเดีย) ซูฟีย์ส่วนใหญ่เป็นพวกซุนนี บางกลุ่มก็รับความเชื่อของชีอ๊ะฮ์ในระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 16 กลุ่มเบกตาชีและกลุ่มเศาะฟาวีเป็นพวกชีอ๊ะฮ์สุดโต่ง ในตอนต้นศตวรรษที่ 16 พวกเศาะฟาวีได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้ายึดอิหร่านไว้ได้เกือบทั้งหมด


พวก ซูฟีย์บางกลุ่มเป็นที่ยอมรับโดยคนในท้องที่ เช่น กลุ่มเบกตาชี (ต้นศตวรรษที่ 14) ในตุรกีและกลุ่มอะฮมะดียะฮ์ (หลังจากอะหมัด อัล-บะดะวี เสียชีวิตใน ฮ.ศ.1286) ในอียิปต์ อย่างไรก็ตาม พวกอะฮ์มะดียะฮ์สามารถดึงพวกผู้ปกครองในราชวงศ์มัมลูกให้มาเลื่อมใสได้ กลุ่มอื่นอย่างเช่นชาซิลีและริฟาอีก็มีสาวกของตนในหมู่ชนชั้นกลางชาวอียิปต์ ในอาฟริกาเหนือ กลุ่มติยานียะฮ์ซึ่งถูกก่อตั้งใน ค.ศ.1781และซานุสซีมีบทบาทขึ้นมาในศตวรรษที่ 19 และเข้าไปเล่นการเมืองด้วย กลุ่มติยานียะฮ์นั้นได้ขยายอิทธิพลของตนเข้าไปถึงเซเนกัลและไนจีเรีย

ซูฟีย์ปัจจุบัน

ปัจจุบัน พวก ซูฟีย์ที่เป็นลูกหลานของผู้นำ ซูฟีย์ผู้มีชื่อเสียงได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหราเหมือนกับคนราชวงศ์ บรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำลายการญิฮาดซึ่งหมายถึงการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺไปหมดสิ้นแล้วและพวกเขาอ้างว่าญิฮาดหมายถึงการต่อสู้กับจิตใจของตัวเองเท่านั้น การอธิบายความหมายของคำว่าญิฮาดเช่นนี้ได้เปิดโอกาสให้อำนาจล่าอาณานิคมเข้ามายึดครองดินแดนมุสลิมส่วนใหญ่ไว้ และเนื่องจากพวกอำนาจล่าอาณานิคมให้การสนับสนุนมุสลิมทุกกลุ่มที่หันเหออกไปจากหลักการที่แท้จริงของอิสลาม ดังนั้น พวกนักล่าอาณานิคมจึงตอบแทนพวก ซูฟีย์โดยการให้ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์แก่คนเหล่านี้ไว้เป็นที่ทำกิน แม้ในบางช่วงที่พวก ซูฟีย์ได้อำนาจทางการเมือง แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้ส่งเสริมความดีและห้ามปรามความชั่ว แต่พวกเขากลับหันห่างออกจากการเคารพสักการะพระเจ้าและปูพรมให้ลูกศิษย์คลานเข้ามาหาความสุขกับการกินและดื่ม
แปลโดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน คัดลอกจาก: Thaimuslimshop.com

http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?page=sub&category=39&id=144

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Sat Nov 08, 2008 10:25 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เฮ้อ ปวดหัว
กลับไปข้างบน
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Sun Nov 09, 2008 2:03 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุมคุณ คนอยากรู้ครับ

ผมได้ติดตามผลงานของคุณอัซฮารีย์ และ คุณฟารุกมาตั้งแต่ยุคของ siamic.com ดังนั้น
โดยส่วนตัวผม ถือว่าคุ้นเคยกันทางเน็ต

แต่ผมก็คัดค้านในบางคำตอบนะครับ เช่นเรื่องเมาลิดนบี ที่วะฮาบีย์ ได้กล่าวหา ทำตาม
ชีอะห์ ซึ่งคุณอัซฮารีย์ได้บอกว่า ไม่จริง เพราะนบีเคยถูกซอฮาบะห์ถามว่าทำไมจึงบวช
วันจันทร์ ท่านนบี ซล ตอบว่า เพราะวันจันทร์ เป็นวันเกิดของท่าน

ผมเป็นคนอาวาม จะนำพาผู้คนก็ไม่ได้ แต่คำตอบแบบนี้ ทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่า
คุณอัซฮารีย์ ควรจะส่งเสริมให้เราถือศีลอดในวันจันทร์ มากกว่าจัดงานเมาลิด และเหตุผลนี้
จะเอาคัดค้านกับงานเมาลิดที่มีในปัจจุบัน ก็ไม่ได้

ถ้าคุณอัซฮารีย์ตอบแบบนี้ คราวต่อไปใครมาว่าว่า วะฮาบีย์ ไม่จัดเมาลิด เราก็ตอบได้
เต็มปากว่าเราจัด เพราะเรามีการถือศีลอดกันในวันจันทร์ เอ้ะยังงัย ผู้ฟังจะงงมั้ยเอ่ย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Sun Nov 09, 2008 10:26 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ไม่ตรงประเด็นเล้ย ไปกันใหญ่
กลับไปข้างบน
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Sun Nov 09, 2008 11:06 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ประเด็นอยู่ที่คุณIklameและอ.อะห์หมัดครับ อย่ามั่วซิครับ
กลับไปข้างบน
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Mon Nov 10, 2008 8:49 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขอมาอัฟครับ ใส่หัวข้อผิด

ก็ Page 3 ดันขึ้นต้นเรื่องว่า อาจารย์อะซัน ไม่รู้ซุนนะห์ และอาจารย์อัซฮารีย์ รู้ซุนนะห์ ก็
เลยตอบไปแบบนั้น

ถ้าเห็น page 1 เรื่องอาจารย์อะหมัด ก็จะเว้นไว้
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Mon Nov 10, 2008 11:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เออ แปลกแฮ่ะ คนในกระทู้นี้ ดูก็มีความรู้ แต่ดันไม่ดูโจทย์ ทั้งโจทย์และจำเลยก็หายต๋อม เอ้า ทางเว็บน่าจะเข้ามาตรวจดูบ้างนะครับ
กลับไปข้างบน
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Nov 11, 2008 6:32 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Mr.shot บันทึก:
เออ แปลกแฮ่ะ คนในกระทู้นี้ ดูก็มีความรู้ แต่ดันไม่ดูโจทย์ ทั้งโจทย์และจำเลยก็หายต๋อม เอ้า ทางเว็บน่าจะเข้ามาตรวจดูบ้างนะครับ

Exclamation
อ.อะหมัด อยู่ใหนเอ่ย ช่วยตอบที่ คุณ Mr.shot นอนตายตาไม่หลับแน่ ถ้าไม่ได้รับคำตอบจากเรื่องนี้...เฮ้อ

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Tue Nov 11, 2008 2:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เอาความฝันมาฮุก่มเพื่อนว่าตกมุรตัด สงสัยแกคงไม่กล้ามาแล้วล่ะ เฮ้อ เบื่อจริงๆ พวกหักใส่ลายเมา
กลับไปข้างบน
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Tue Nov 11, 2008 9:17 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ่ะ ถ้าอ.อะห์มัดเข้ามาตอบกระทู้นี้อย่างตรงประเด็นล่ะก็ ผม Mr.shot จะขอบริจาคเงิน1,000บาทให้กับทางเว็บทันที วัลลอฮี Laughing :wink:
กลับไปข้างบน
Mr.shot
บุคคลทั่วไป






ตอบตอบ: Tue Nov 11, 2008 9:21 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เดี๋ยวก็รู้ ใครจริง ใครเล่น กับเรื่องแบบนี้น่ะจ่ะบังAsan
กลับไปข้างบน
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Wed Nov 12, 2008 5:44 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Mr.shot บันทึก:
อ่ะ ถ้าอ.อะห์มัดเข้ามาตอบกระทู้นี้อย่างตรงประเด็นล่ะก็ ผม Mr.shot จะขอบริจาคเงิน1,000บาทให้กับทางเว็บทันที วัลลอฮี Laughing :wink:

ลงทุน ถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ได้คำตอบจากอาจารย์ อะหมัด คุณ มิสเตอร์ จอท (ดับเบิ้ลยูบุช)คงตายตาไม่หลับแน่ เฮ้อน่าเห็นใจ

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
หน้า 3 จากทั้งหมด 5

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.09 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ