ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
ฟารุก มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2007 ตอบ: 142
|
ตอบ: Sat Jul 28, 2007 10:44 pm ชื่อกระทู้: ทำไมมุสลีมะฮ์ต้องปิดหน้า |
|
|
ช่วยบอกหลักฐานหรือสาเหตุที่เค้าต้องปิดหน้าด้วยครับ
ขอบคุณครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
anissfarra มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 25/08/2006 ตอบ: 2 ที่อยู่: Pattani
|
ตอบ: Thu Sep 20, 2007 3:42 pm ชื่อกระทู้: ปิดหน้าเพราว่าสวย |
|
|
อันนี้ก็ไม่เข้าใจของจุดประสงค์ ของแต่ละคน
ปิดหน้าทำไม่ อยากรู้เหมือนกัน ที่เห็นมุสลิมมะบางคนเป็นโรคเดี่ยวปิดเดี่ยวเปิด
แต่ไม่อยากให้เป็นโรคดังกล่าว |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
อลัน มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 21/09/2007 ตอบ: 10
|
ตอบ: Fri Sep 21, 2007 4:40 pm ชื่อกระทู้: จะปิดหน้าหรือเปิดหน้าดีสำหรับมุสลีมะห์ |
|
|
ประเด็นฮิญาบว่า : จะปิดหน้าหรือเปิดหน้านั้น บรรดาอุลามะฮฺมีความเห็นแตกต่างกันว่า มุสลิมะฮฺต้องปิดหน้า เมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่แต่งงานกันได้หรือไม่?
บางกลุ่มเห็นว่าเป็นที่อนุญาตให้เปิดหน้าได้ อีกกลุ่มเห็นว่าวาญิบต้องปิดหน้า สองกลุ่มต่างก็อ้างอิงหลักฐานด้วยกันทั้งสิ้น จึงขอนำเสนอหลักฐานของแต่ละกลุ่มต่อไปนี้
กลุ่มที่หนึ่ง : ผู้ที่เห็นว่าอนุญาตให้เปิดหน้าได้ อุละมาอฺกลุ่มนี้ได้แก่ ผู้รู้ของมัซฮับฮะนะฟีรุ่นแรกๆ ผู้รู้จากมัซฮับมะลีกียฺ ผู้รู้บางคนจากมัซฮับชะฟีอียฺ อิมามเอาซาอียฺ ซึ่งพวกเขาเห็นว่ามุสลิมะฮฺสามารถเปิดใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองได้
หลักฐานของกลุ่มที่ 1
1-อายะฮฺที่ 31 ของซูเราะฮฺอันนูร ที่ว่า และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้
โดยให้ความหมายของคำว่า สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ ว่าคือใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง ศอหะบะฮฺที่มีความเห็นนี้คือ อิบนุ อับบาส , อิบนุ อุมัร และ ตาบิอีนที่มีความเห็นนี้คือ สะอีด บิน ญุบัยรฺ , อะฎอ , อิกริมะฮฺ, เดาะหฺหาก ,อะบุล ชะอฺษาอฺ , อิบรอฮีม อันนะคออียฺ
ดังนั้นจากการตีความ การอธิบายความหมายของอายะฮฺนี้ก็คือ พวกนางทั้งหลายอย่าได้เปิดเผยเครื่องประดับเว้นแต่สิ่งที่จำเป็น นั่นคือ ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง
2- หลักฐานจากอัลหะดีษได้แก่
หะดิษที่รายงานจากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ เล่าว่า หลังจากเสร็จจากละหมาดอีด ท่านนบีได้เข้าไปกล่าวกระตุ้นให้บรรดาผู้หญิงบริจาคเพราะพวกนางส่วนใหญ่เป็นเชื้อไฟนรก ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งตรงกลางกลุ่มและมีแก้มทั้งสองเปลี่ยนสีหรือมีสีดำ ได้ถามท่านนบีถึงสาเหตุที่พวกเธอเป็นชาวนรกส่วนใหญ่ หะดิษนี้จึงเป็นหลักฐานว่า หากผู้หญิงคนนั้นปิดหน้าแล้วละก็ ผู้รายงานหะดีษคงไม่สามารถบรรยายลักษณะแก้มของนางได้
หะดิษที่รายงานจากสะฮฺล บิน สะอฺด เล่าถึงเหตุการณ์ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเสนอตัวเป็นภรรยาต่อท่านนบี ท่านจึงได้ช้อนสายตาขึ้นมองนาง อุละมาอฺในกลุ่มนี้จึงเห็นว่า หากหญิงคนนี้มิได้เปิดหน้า ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ท่านนบีต้องเงยหน้าขึ้นมองนาง
หะดิษที่รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เล่าถึงเหตุการณ์ที่อัสมา บินติ อะบีบักรฺ เข้ามาที่บ้านของท่านนบี โดยสวมเสื้อผ้าบาง ท่านนบีได้เบือนหน้าและกล่าวว่า อัสมาเอ๋ย ผู้หญิงเมื่อถึงวัยมีประจำเดือน ไม่บังควรที่ส่วนใดจะถูกมองเห็น เว้นแต่นี่กับนี่ และท่านก็ได้ชี้ไปยังใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองของท่าน หะดิษนี้นับเป็นหลักฐานที่อนุญาตให้เปิดหน้าและฝ่ามือทั้งสองที่ชัดเจนที่สุด(หากว่ามันไม่เป็นหะดิษอ่อน)
แต่อย่างไรก็ตามอุละมาอฺกลุ่มนี้ก็ได้วางเงื่อนไขว่า ในการอนุญาตให้เปิดหน้าและฝ่ามือได้นั้นจะต้องไม่นำเอาเครื่องประดับไปตกแต่งอวัยวะทั้งสองส่วนนี้
กลุ่มที่สอง : ผู้ที่เห็นว่าวาญิบต้องปิดหน้า อุละมาอฺกลุ่มนี้ได้แก่ สายมัซฮับฮัมบาลียฺ , อุละมาอฺส่วนใหญ่สายมัซฮับชาฟีอียฺ , อุละมาอฺรุ่นหลังในสายมัซฮับฮะนะฟียฺและมาลิกียฺ โดยพวกเขาอ้างอิงหลักฐานดังต่อไปนี้
1) จากการที่สลัฟบางคนเช่น อิบนิมัสอูด , อัลหะซัน , อิบนุซีรีน ได้อธิบายอายะฮฺที่ว่า สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ คือ เสื้อผ้า และอวัยวะที่พ้นชายผ้า สิ่งที่บางทีก็ต้องเปิดเผยเช่นแหวน ส่วนใบหน้ากับฝ่ามือนั้นไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้นที่ให้เปิดได้ ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ผู้ที่มิใช่สามีหรือมะหฺรอม มองเว้นแต่กรณีจำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่น การรักษาโรค การเป็นพยาน
อิบนุกะษีร ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า คือ มิให้พวกนางเปิดเผยเครื่องประดับแก่คนอื่น(ที่แต่งงานกันได้) เว้นแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปิด ซึ่งอิบนิ มัสอูด กล่าวว่า สิ่งนั้นคือเสื้อผ้านั่นเอง
อิบนุ อะฏียะฮฺ ให้ความเห็นเพิ่มเติมจากความเห็นที่แตกต่างกันของเหล่าผู้รู้ท่านอื่นว่า ถ้อยคำของอายะฮฺนี้สั่งให้มุสลิมะฮฺปกปิดเป็นหลัก และให้พยายามในการปกปิดเครื่องประดับโดยยกเว้นสิ่งที่สุดความสามารถเพราะความจำเป็นในการเคลื่อนไหว และความสะดวกในการทำงานบางอย่าง ดังนั้นสิ่งที่เปิดเผยเพราะการเหล่านี้จะได้การอภัยให้
2) จากการที่เศาะฮาบะฮฺและตาบิอีนบางท่านได้อธิบาย อายะฮฺที่ 59 ของซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ ที่ว่า
โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
ในประเด็นการดึงญิลบาบลงมานั้น พวกเขาให้ความเห็นว่า คือ การปิดหน้านั่นเอง ผู้รู้ในกลุ่มนี้ได้แก่ อิบนุ มัสอูด , อิบนุ อับบาส , อุบัยดะฮฺ , เกาะตาดะฮฺ , อัลหะซัน อัลบะศอรียฺ , สะอีด บิน ญุบัยรฺ , อิบรอฮีม อันนะคออียฺ
3) หลักฐานจากอัลหะดิษที่รายงานจากอะลียฺ บิน อะบีฏอลหะฮฺ จากท่านอิบนิ อับบาส ว่า อัลลอฮฺ(ซ.บ) ได้บัญชาถึงมุอฺมินะฮฺทั้งหลายว่า เมื่อพวกนางออกจากบ้านเพื่อทำธุระจำเป็น ให้พวกนางปิดหน้าด้วยญิลบาบ(โดยดึงผ้ามาจากด้านบนศรีษะ) เหลือไว้แต่ตาข้างเดียว
และอุมมุ สะละมะฮฺได้เล่าว่า เมื่ออายะฮฺที่ 59 ของซูเราะฮฺอัลอะหฺซาบ ได้ประทานลงมา ผู้หญิงชาวอันศอร เวลาออกจากบ้านบนศีรษะของพวกนางดูคล้ายมีกาเกาะอยู่ เนื่องจากการแต่งกายของพวกนาง
ด้วยเหตุนี้ เชค อัล ญัศศอศ กล่าวว่า อายะฮฺนี้เป็นหลักฐานให้หญิงวัยรุ่นต้องปิดหน้า เพื่อแสดงถึงการครองตนจากบาปทั้งปวงเมื่อออกจากบ้านและเป็นการป้องกันจากพวกใจเป็นโรค
4) หลักฐานจากอัลหะดิษที่รายงานจากอิบนุ อุมัร ว่า ท่านรอซูลศ็อลลัอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ผู้หญิงที่ครองเอียะหฺรอมไม่ต้องปิดหน้าและไม่ต้องสวมถุงมือ จากหะดิษนี้ อิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า นี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผ้าคลุมหน้าและถุงมือเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้หญิงที่ไม่ครองเอียะหฺรอม ซึ่งพวกนางได้ปิดหน้าและสวมถุงมือ
เชคอบุล อะอฺลา เมาดูดียฺ กล่าวว่า นี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด ที่แสดงว่า ผู้หญิงในสมัยท่านนบีคุ้นเคยกับการปิดหน้าและสวมถุงมือ และพวกนางถูกห้ามจากการปิดหน้าและสวมถุงมือก็ต่อเมื่อครองเอียะหฺรอมเท่านั้น
ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ยืนยันว่า การปิดหน้าเป็นเครื่องแต่งกายของหญิงที่เป็นอิสระชน เพื่อให้มีความแตกต่างกับทาสี ศอฟียะฮฺ บินติ อะบี อุบัยดฺ เล่าว่า หญิงคนหนึ่งออกจากบ้านโดยสวมญิลบาบและปิดหน้า ท่านอุมัรกล่าวว่า นางเป็นใคร มีผู้ตอบว่า เป็นทาสีของคนในเผ่าเดียวกับเขา ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า เหตุใดทาสีจึงสวมญิลบาบและปิดหน้าเหมือนกับหญิงที่เป็นไท จงอย่าให้ทาสีแต่งกายเหมือนกับหญิงที่เป็นอิสระชน
ในทรรศนะของ ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล ก็อรฎอวียฺ
ฮิญาบมีปรากฏอย่างชัดเจนในอัล กุรอาน อย่างปฏิเสธมิได้ ด้วยอายะฮฺต่อไปนี้ ...และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้(อัน นูร 36) และอายะฮฺที่ว่า ... ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง ...(อะหฺซาบ 59)
ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล ก็อรฎอวียฺ ได้อธิบายอายะฮฺดังกล่าว ดังต่อไปนี้
นักตัฟซีรต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันในเกี่ยวกับถ้อยคำที่ว่า เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และบรรดาผู้นำทางวิชาการต่างๆก็เห็นขัดแย้งกันอยู่ในการระบุขอบเขตของเอาเราะฮฺ(สิ่งที่ต้องปกปิด)ของผู้หญิง ดังที่ท่านเชาเกานียฺได้รายงานเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ นัยลุล เอาฏอรฺ
ส่วนหนึ่งจากพวกเขามีทรรศนะว่า ทั้งหมดของร่างกายเว้นแต่ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง นี่ยังเป็นทรรศนะของอัล ฮาดียฺ เป็นทรรศนะหนึ่งของอัล กอซิม เป็นหนึ่งในสองทรรศนะของท่านอิหม่ามอบู ฮะนีฟะฮฺ และเป็นทรรศนะของมาลิกด้วย
ส่วนหนึ่งจากพวกเขามีทรรศนะว่า ยกเว้นใบหน้า ฝ่ามือทั้งสอง เท้าทั้งสอง รวมทั้งกำไลเท้า นี้เป็นทรรศนะหนึ่งของอัล กอซิม เป็นอีกทรรศนะหนึ่งของอิหม่ามอบู ฮะนีฟะฮฺ เป็นทรรศนะของท่านอัษ เษารียฺ และอบุล อับบาส
ยังมีผู้มีทรรศนะอีกว่า ทั้งหมดของร่างกาย เว้นใบหน้า นี่เป็นทรรศนะของอิหม่ามอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัล และท่านดาวูด
ไม่มีผู้ใดเคยกล่าวว่า หน้าเป็นเอาเราะฮฺ(สิ่งที่ต้องปกปิด) เว้นแต่ปรากฏอยู่ในรายงานของอิหม่ามอะหฺมัด ซึ่งไม่เป็นรายงานที่ไม่เป็นรู้จักกัน(ไม่มะอฺรูฟ) และทรรศนะบางส่วนของผู้ดำเนินตามมัซฮับชะฟิอียฺ
ตามที่ปรากฏในตัวบทต่างๆและฮะดีษที่รายงานกันมานั้นแสดงให้เห็นว่าใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮฺ นี่เป็นสิ่งที่ได้รายงานกันมาโดยท่านอิบนุ อับบาส, ท่านอิบนุ อุมัร และคนอื่นๆจากเหล่าเศาะฮาบะฮฺ บรรดาตาบิอีน และผู้นำ(สำนักคิด)ต่างๆ
ท่านอิบนุ อัซมฺ ซึ่งอยู่ในแนวของพวกซอฮิรียฺที่ยึดเอาความหมายทางตัวอักษรที่ได้จากตัวบท ได้สรุปพระดำรัสของอัลลอฮฺในอีกอายะฮฺหนึ่งที่ว่า ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง (อายะฮฺที่ 59 ของซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ ) หมายถึงการอนุญาตให้เปิดหน้าได้ อันเนื่องจากว่า การที่พระองค์สั่งให้ดึงเสื้อคลุมมาปิดหน้าอก ไม่ใช่ปิดเหนือใบหน้า .......
บรรดามุสลิมมีมติเป็นเอกฉันท์ต่อหลักการชะรีอะฮฺที่ว่า การละหมาดของผู้หญิงในมัสญิดต่างๆนั้น ให้เปิดใบหน้าและฝ่ามือ โดยอยู่แถวหลังผู้ชาย - และอนุญาตให้เข้าร่วมรับฟังทางความรู้ได้ ตามที่รับรู้กันในสงครามและสมรภูมิต่างๆนั้น ผู้หญิงเคยร่วมเดินทางไปกับพวกผู้ชายสู่แดนญิฮาดและสนามรบ เพื่อดูแลคนบาดเจ็บ ให้น้ำพวกเขา และมีรายงานว่าบรรดาภรรยาของเศาะฮาบะฮฺเคยช่วยเหลือพวกผู้ชายในสงครามยัรมูก เช่นเดียวกันได้มีมติเอกฉันท์ในเรื่องของผู้หญิงที่ครองอิหฺรอมในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮฺให้เปิดหน้า.... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
hamzah มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/05/2004 ตอบ: 34
|
ตอบ: Mon Sep 24, 2007 4:47 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ญะซากัลลอฮ ครับ สำหรับ ข้อมูล
ยังสงสัยอยู่นิดนึง ครับ ตรง ที่
(บรรดามุสลิมมีมติเป็นเอกฉันท์ต่อหลักการชะรีอะฮฺที่ว่า การละหมาดของผู้หญิงในมัสญิดต่างๆนั้น ให้เปิดใบหน้าและฝ่ามือ โดยอยู่แถวหลังผู้ชาย - และอนุญาตให้เข้าร่วมรับฟังทางความรู้ได้ ตามที่รับรู้กันในสงครามและสมรภูมิต่างๆนั้น ผู้หญิงเคยร่วมเดินทางไปกับพวกผู้ชายสู่แดนญิฮาดและสนามรบ เพื่อดูแลคนบาดเจ็บ ให้น้ำพวกเขา และมีรายงานว่าบรรดาภรรยาของเศาะฮาบะฮฺเคยช่วยเหลือพวกผู้ชายในสงครามยัรมูก เช่นเดียวกันได้มีมติเอกฉันท์ในเรื่องของผู้หญิงที่ครองอิหฺรอมในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮฺให้เปิดหน้า....)
หมายความว่าไม่มีการขัดแย้ง ระหว่างอุลามาอฺ หรือ บรรดามุสลิม เลยหรือครับ?
กรณีนี้ การปิดหน้า ในการละหมาด จะถือว่า เป็นสิ่ง ที่ทำให้ละหมาด ไม่สมบูรณ์ หรือป่าว ครับ?
ผมอยากได้หลักฐานอ้างอิงในกรณีนี้ด้วยครับ(เพื่อนำไปอ้างอิง ครับ ญะซากัลลอฮ) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|