ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Jun 02, 2006 6:56 am ชื่อกระทู้: |
|
|
แนวทางของมีวตะซีละถือว่า ห้ามตักลีดครับและอะลอสซุนนะถือว่าแค่บาปครับ
.............................
แปลกนะครับ บาป กับ ห้าม มันคนละเรื่องกันได้อย่างไร ผมเองก็ไม่เคยได้ยิน อธิบายหน่อยได้ไหม คุณ konyakroo |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Fri Jun 02, 2006 12:52 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณดับดุลลา และบะงหะสัน
คำถามของคุณทั้งสองที่ถามผมเหมือนกันครับที่ว่า
ที่คุณกล่าวว่า พวกมัวอ์ตะซิละห์ห้าม แต่อะห์ลุสซุนนะห์ถือว่าแค่บาป
บอกตรงๆ ว่าตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย ก็คือ คำว่าแค่บาป และในเมื่อมันบาป ศาสนาก็ต้องห้าม เมื่อห้ามก็ตรงกับมัวอ์ตะซิละห์ แล้วมันต่างกันยังงัยครับ
ตอบ
เป็นธรรมดาครับที่บังและคุณดับสงสัย จริงๆแล้วผมเคยบอกแล้วหลายครั้งว่าในแนวทางของเรากับบังนั้นไม่แตกต่างกันแนวทางของเรามีการเรียนวิชาเรียนสอนทั้ง3 ภาค
ในด้านอูซุลลุดดีน บังกับเราก็แตกต่างกัน และเป็นธรรมดาครับกับสิ่งที่ผมนำเสนอมาซึ่งแนวทางของบังไม่เคยพบและบางคนถือว่าเป็นบิดอะบ้าง..จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายฮ้าๆๆๆ
ตัวอย่างง่ายๆครับ เช่น
-ในการเรียรู้เรื่องเตาฮีดแนงทางเรานั้นเรียนในซีฟัตของอัลลอฮ์ และไม่ถือว่าเป็นบิดอะ
แต่แนวทางบังไม่เรียนเรื่องนี้และแบ่งเตาฮีดออกป็น3 ประเภท
-ในเรื่องชารีอัตหรือฟิกฮ์ บังจะยึดถือตามรายงานที่บทซอเหียะและตามอุลามะบางคนในสายของคุณดับและบัง เป็นแกนหลักในการนำไปปฏฺบัติอ้าม้าลต่างๆ โดยไม่ละทิ้งฮาดีสดออีฟแต่สำหรับฮาดีสดออีฟนำมาใช้ในการส่งเสริมครับ
ด้านอิคลาสหรือจริยธรรมตะเซาวุฟแนวทางของเราเน้นหนักไปทางด้านนี้เช่นกันเลยมีหลายอย่างที่อุลามะของเราได้สอนเอาไว้ แต่ผมไม่มีเวลามากนักในวันนี้...ว่างๆจะเข้ามาต่อครับ
อิงชาอัลลอฮ์...
ไม่เป็นไรเดียวผมจะมีคำตอบให้
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Jun 02, 2006 3:21 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
การแบ่งประเภทของเตาฮีด
..............
เข้าไปอ่านดู แล้วหูตาจะสว่างขึ้น ครับ konyakroo |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Fri Jun 02, 2006 5:05 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ตัวอย่างง่ายๆครับ เช่น
ย้ำอีกทีเพื่อความชัดเจน
ในการเรียนรู้วิชาด้านของเตาฮีด
-แนวทางเรานั้นเรียนในซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลลอฮ์
และไม่ถือว่าเป็นบิดอะครับ.....
-แต่แนวทางบังและคุณดับไม่เรียนเรื่องซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลลอฮ์และถือเป็นบิดอะในการเรียนรู้หรือศึกษาในเรื่องนี้..ที่เป็นอย่างนี้เพราะอุลามะที่บังและคุณดับตักลีดตาม ได้ห้ามและตักเตือนไว้...
และในความเป็นจริงก็เป็นไปไม่ไดที่บังและคุณดับจะตั้งเงื่อนไขขึ้นมาเอง ถ้าไม่ตามผู้ที่มีความรู้มากกว่าในทางนี้..ใช่ไหมครับ
อีกอย่าง..ในเรื่องการแบ่งเตาฮีด..
-ในแนวทางของบังยังแบ่งเตาฮีดออกป็น3 ประเภท
-แนวทางของเราไม่ได้แบ่งแบบนี้ครับ...
ในเรื่องหลักของชารีอัตหรือฟิกฮ์
-แนวทางบังและคุณดับจะยึดถือตามรายงานที่บทซอเหียะและตามอุลามะบางคนในสายของคุณดับและบัง เป็นแกนหลักในการนำไปปฏฺบัติอ้าม้าลต่างๆ เช่นข้อกำหนดในด้านศาสนาโดยโดยได้ละทิ้งฮาดีสดออีฟ
-ในแนวทางของเราก็ยึดถือฮาดีสซอเหียะในการปฏฺบัติอ้าทั้ลและข้อกำหนดต่างๆเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่ละทิ้งฮาดีสดออีฟเสียทั้งหมดเลยเพราะคำว่า(ดออีฟนั้นมันมีหลายระดับ)แต่แนวทางของเรานำมาใช้ในการส่งเสริมในการทำอ้ามั้ลอีบาดัตด้วยเท่านั้น..
ด้านอิคลาสหรือจริยธรรม
-แนวทางของเราจะเรียนรู้ด้านตะเซาวุฟ เช่นกันฉนั้นจึงมีคำสอนและตักเตือนหลายๆอย่างที่
อุลามะของเราได้สอนและแนะนำไว้ กับเรา
-แนวทางของบังจะเรียนรู้เฉพาะพื้นฐานด้านจริยธรรมเท่านั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดังนั้นเป็นธรรมดาที่มีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นกับเราซึ้งอยู่คนละทัศนะ...
พี่น้องครับ...จริงๆแล้วผมอยากจะเสนอเรื่องแนวทางการศรัทธาในแบบอะลิสซุนนะวัญญามะอะให้จบครับแต่ด้วยความ จำเป็นที่มีพี่น้องของเรายังสงสัยบางอย่างในแนวทางของเราที่เขาไม่เคยพบครับ ผมเลยต้องชี้แจงก่อนครับและป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดเพื่อความเข้าใจกับพี่น้องที่อยู่คนละทัศนะกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บังหะสันและคุณดับครับ
ผมไม่เองก็แปลกใจเหมือนกันว่า เกือบทุกครั้งที่ผมนำเสนออะไรไปแล้ว ทางบังจะออกมาถามเสมอซึ่งผมก๋ไม่ได้ว่าอะไร แต่แอบคิดในใจว่า ...บังเองและพี่น้องผมหลายคนเคยบอกไม่ใช่หรือว่า กลุ่มของบังนั้นตั้งมั่น
อยู่ในแนวทางอะลิสซุนนะวัญญามาอะ แต่บ่อยครั้งในสิ่งที่ผมนำเสนในแนวทางมัวะตะซีละทางบังและเพื่อนจะออกมาคัดค้านและแย้งผมตลอด จนทำให้ผมคิดไปเองว่า หรือว่าทัศนะวะฮาบีย์ของบังและเพื่อนๆจะมีการศรัทธาแบบมัวะตะซีละเสียแล้วหรือนี่
แต่ผมก็ไม่อยากคิดมากนะครับ เพราะจะกลายเป็นบาปติดตัวผมที่อุลามะทั้ง4มัสหับเขาฮู
กมการศรัทธาแบบมัวะตะซีละว่า เป็นบิดอะฟาซิก
ดังนั้นสำหรับแนวทางเรานั้น นอกจากอัลกรุอานแล้วคือคำตักตือนของท่านนบีสองสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เรายึดมาตลอด
แต่หลังจากท่านบี วาฟาตไปแล้วปัญหาต่างที่เกิดขึ้นมากมายในดุนยานี้มีมากเหลือคณานับ
เรายังคงยึดมั่นในคำบอกกล่าวของคุลีฟะอัรรรอซีดีน ในบรรดาซอฮาบะของท่านนบีที่รับรองว่าได้เข้าสวรรค์และบรรดาซอฮาบะที่ถูกยอมรับว่ามีความรู้ดีและเป็นคนที่ดีและบรรดาตาบีอีน บรรดาตาบีอีตตาบีอีน รวมทั้งอีหม่ามทั้ง4และคนสลัฟอัสซอและห์นี่คือจากแบบอย่างของท่านนบี
ที่ถูกถ่ายทอดมาเป็นช่วงๆผ่านบุคคลที่กล่าวมาแล้วเป็นทอดๆและยุคสมัย
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเขาย่อมมีความรู้ที่ดีเลิศเสมอและไม่จำกัดเฉพาะเพียง3 วิชาคือที่เป็นฟรัดูเท่านั้น แต่รวมทั้งวิชาการตัฟซีร วิชาน่าฮู ซะรอฟฯลฯเท่านั้น
ดังนั้นในแต่ละยุคมันก็มีทั้งคนรู้และไม่รู้ปะปนกัน เช่นในบรรดาซอฮาบะของท่านนบีคนทีมีความรู้มากและเป็นที่ยอมรับจากคนสมัยเดียวกันนั้นมีประมาณ130คน นอกจากนั้นถือว่ามีความรู้เช่นเดียวกันแต่จะมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจจริงของคนเหล่านั้นดเอง แต่ทุกคนก็ได้ชื่อว่าเป็นซอฮาบะ..
ดังนั้นในยุคของเราใครจะกล้ายอมรับหรือฟันธงได้ครับว่ารู้มากและรู้จริงและถูกต้อง แต่ทุกวันนี้คนที่เขาเรีบยกว่ารู้นั้น จริงๆแล้วก็ไม่พ้นการนำความรู้จากคนอื่นมาถ่ายทอดนั้นเองและในสิ่งที่นำมาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะถูกหรือตรงกับคำดำรัสของอัลลออ์และตรงกับสอนของท่านนบีหรือไม่ เพราะเราทุกคนหนีไม่พ้นว่าการตามเขามาอีกที
และเมื่อเกิดความไม่เข้าใจกับตัวเรา ในเรื่องวิชสาใดๆก็ตาม และไม่มีทางออกใดๆสำหรับเราเทกคนก็ไม่ลืมที่กลับไปดูคำดำรัสอัลกรุอ่านเป็นอันดับแรก
เช่นเมื่อเราเองไม่เข้าใจสิ่งใดก็ตาม อัลกรุอ่านก็จะมีทางออกให้กับเรา ดังคำดำรัสของพระองค์ที่ทรงเป็นห่วงและตักเตือนพวกเราเสมอว่า...'' ดังนั้นเจ้าจงถามผู้รู้เถิด แม้หากสุเจ้าไม่รู้ "
จากอะยะห์นี้พระองค์ได้วางหลักใหญ่ๆไว้เท่านั้น..และเป็นที่รู้ว่าในสมัยท่านนบีมีชีวิตนั้นท่านเองจะทำหน้าที่ชี้แจงในสิ่งที่บรรดาสาวกไม่เข้าใจ และหลังจากท่านจากไปแล้วเราก็พบว่าบรรดาคุลีฟะอัรรอซีดีนเป็นผู้สืบเตนารมณืต่อมาและจากซอฮาบะอีกหลายคนก็ทำหน้าที่แนทท่านนบีตรงนี้เพื่อที่ไม่ให้อัลกรุอ่านยหรือคำดำรัสของพระองค์ถึงทางตัน เราจะพบว่ายะฮูดีและนัศรอนี
ที่มีความรู้มักจะซักถามความหมายในคำดำรัสในอัลกรุอ่านอย่างบ่อยครั้งไม่ว่าในสมัยใดๆ ดังนั้น คำอรรถาธิบายอัลกรุอานนั้นไม่ได้ถูกจำกัดแค่ท่านนบีเท่านั้น แต่บรรดาซอฮาบะเหล่านั้นล้วนก็ได้ขอทางนำต่างๆในการอธิบายความหมายใดๆจากพระองค์ก่อนทุกคนและแต่ละคนก็มีความรู้ที่ต่างระดับกัน แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ขัดแย้งกันในเรื่องนี้
เป็นที่รู้ว่าหลังจากท่านนบีจากดไปแล้วการอ่านทำนองอัลกรุอ่านจะมีถึง13แบบทำนอง แต่ซอฮาบะเหล่านั้นก็รับทราบกันแต่ไม่ปรากฏว่าท่านเหล่านั้นจะทำการฮูกมการอ่านในทำนองอัลกรุอ่านต่างๆนั้นเลยเพียงแต่มีการเชิญชวนและเเนะนำเท่านั้น
ในเรื่องการตีความนั้นสิ่งใดที่ไมมีหรือไม่ชัดเจนในสมัยท่านบี บรรดาซอฮาบะของท่านก็ช่วยกันตีความเพื่อหาทางออกให้กับเราชนรุ่นหลังได้รับความสะดวกสะบาย
เช่นเรื่อง การกระทบ(ละสามะ) อิบนุอับบาส ซึ่งเป็นลูกของอับบาส(ด)ผู้เป็นอาของท่านนบี มีความเห็นว่ากระทบนั้นหมายถึงการร่วมเพศเท่านั้น
แต่ท่าน อิบนุ อุมัร(รด) ผู้เป็นลูกของท่านอุมัร(รด)เป็นลุฏเขยของท่านนบี และอิบนุอุมัรก็มีศักดิ์เป็นหลานของท่านนบี เช่นกัน ท่านให้ความหมายว่า กระทบ คือการที่สัมผัสเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ อยากทราบว่าใครผิดและใครถูก...ต่างคนก็เป้นซอฮาบะของท่านนบีต่างคนก็ได้รับพรจากท่านนบี ต่างคนก็ไคยอยู่ในสมัยท่านนบี ต่างคนก็เป็นผู้ที่ชื่อว่าตามท่านนบี
แล้วเราจะเอาอะไรมา มัสยิด(เฮ้ย)มาวัด ว่าคนนั้นเป็นคนฝ่าฝืนคนเชื่อฟังคนนั้นเป็นคนซอลิม คนตัวอย่างง่ายๆครับ เช่น
ย้ำอีกทีเพื่อความชัดเจน
ในการเรียนรู้วิชาด้านของเตาฮีด
-แนวทางเรานั้นเรียนในซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลลอฮ์
และไม่ถือว่าเป็นบิดอะครับ.....
-แต่แนวทางบังและคุณดับไม่เรียนเรื่องซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลลอฮ์และถือเป็นบิดอะในการเรียนรู้หรือศึกษาในเรื่องนี้..ที่เป็นอย่างนี้เพราะอุลามะที่บังและคุณดับตักลีดตาม ได้ห้ามและตักเตือนไว้...
และในความเป็นจริงก็เป็นไปไม่ไดที่บังและคุณดับจะตั้งเงื่อนไขขึ้นมาเอง ถ้าไม่ตามผู้ที่มีความรู้มากกว่าในทางนี้..ใช่ไหมครับ
อีกอย่าง..ในเรื่องการแบ่งเตาฮีด..
-ในแนวทางของบังยังแบ่งเตาฮีดออกป็น3 ประเภท
-แนวทางของเราไม่ได้แบ่งแบบนี้ครับ...
ในเรื่องหลักของชารีอัตหรือฟิกฮ์
-แนวทางบังและคุณดับจะยึดถือตามรายงานที่บทซอเหียะและตามอุลามะบางคนในสายของคุณดับและบัง เป็นแกนหลักในการนำไปปฏฺบัติอ้าม้าลต่างๆ เช่นข้อกำหนดในด้านศาสนาโดยโดยได้ละทิ้งฮาดีสดออีฟ
-ในแนวทางของเราก็ยึดถือฮาดีสซอเหียะในการปฏฺบัติอ้าทั้ลและข้อกำหนดต่างๆเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่ละทิ้งฮาดีสดออีฟเสียทั้งหมดเลยเพราะคำว่า(ดออีฟนั้นมันมีหลบายระดับ)แต่แนวทางของเรานำมาใช้ในการส่งเสริมในการทำอ้ามั้ลอีบาดัตด้วยเท่านั้น..
ด้านอิคลาสหรือจริยธรรม
-แนวทางของเราจะเรียนรู้ด้านตะเซาวุฟ เช่นกันฉนั้นจึงมีคำสอนและตักเตือนหลายๆอย่างที่
อุลามะของเราได้สอนและแนะนำไว้ กับเรา
-แนวทางของบังจะเรียนรู้เฉพาะพื้นฐานด้านจริยธรรมเท่านั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดังนั้นเป็นธรรมดาที่มีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นกับเราซึ้งอยู่คนละทัศนะ...
พี่น้องครับ...จริงๆแล้วผมอยากจะเสนอเรื่องแนวทางการศรัทธาในแบบอะลิสซุนนะวัญญามะอะให้จบครับแต่ด้วยความ จำเป็นที่มีพี่น้องของเรายังสงสัยบางอย่างในแนวทางของเราที่เขาไม่เคยพบครับ ผมเลยต้องชี้แจงก่อนครับและป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดเพื่อความเข้าใจกับพี่น้องที่อยู่คนละทัศนะกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บังหะสันและคุณดับครับ
ผมไม่เองก็แปลกใจเหมือนกันว่า เกือบทุกครั้งที่ผมนำเสนออะไรไปแล้ว ทางบังจะออกมาถามเสมอซึ่งผมก๋ไม่ได้ว่าอะไร แต่แอบคิดในใจว่า ...บังเองและพี่น้องผมหลายคนเคยบอกไม่ใช่หรือว่า กลุ่มของบังนั้นตั้งมั่น
อยู่ในแนวทางอะลิสซุนนะวัญญามาอะ แต่บ่อยครั้งในสิ่งที่ผมนำเสนในแนวทางมัวะตะซีละทางบังและเพื่อนจะออกมาคัดค้านและแย้งผมตลอด จนทำให้ผมคิดไปเองว่า หรือว่าทัศนะวะฮาบีย์ของบังและเพื่อนๆจะมีการศรัทธาแบบมัวะตะซีละเสียแล้วหรือนี่
แต่ผมก็ไม่อยากคิดมากนะครับ เพราะจะกลายเป็นบาปติดตัวผมที่อุลามะทั้ง4มัสหับเขาฮู
กมการศรัทธาแบบมัวะตะซีละว่า เป็นบิดอะฟาซิก
ดังนั้นสำหรับแนวทางเรานั้น นอกจากอัลกรุอานแล้วคือคำตักตือนของท่านนบีสองสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เรายึดมาตลอด
แต่หลังจากท่านบี วาฟาตไปแล้วปัญหาต่างที่เกิดขึ้นมากมายในดุนยานี้มีมากเหลือคณานับ
เรายังคงยึดมั่นในคำบอกกล่าวของคุลีฟะอัรรรอซีดีน ในบรรดาซอฮาบะของท่านนบีที่รับรองว่าได้เข้าสวรรค์และบรรดาซอฮาบะที่ถูกยอมรับว่ามีความรู้ดีและเป็นคนที่ดีและบรรดาตาบีอีน บรรดาตาบีอีตตาบีอีน รวมทั้งอีหม่ามทั้ง4และคนสลัฟอัสซอและห์นี่คือจากแบบอย่างของท่านนบี
ที่ถูกถ่ายทอดมาเป็นช่วงๆผ่านบุคคลที่กล่าวมาแล้วเป็นทอดๆและยุคสมัย
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเขาย่อมมีความรู้ที่ดีเลิศเสมอและไม่จำกัดเฉพาะเพียง3 วิชาคือที่เป็นฟรัดูเท่านั้น แต่รวมทั้งวิชาการตัฟซีร วิชาน่าฮู ซะรอฟฯลฯเท่านั้น
ดังนั้นในแต่ละยุคมันก็มีทั้งคนรู้และไม่รู้ปะปนกัน เช่นในบรรดาซอฮาบะของท่านนบีคนทีมีความรู้มากและเป็นที่ยอมรับจากคนสมัยเดียวกันนั้นมีประมาณ130คน นอกจากนั้นถือว่ามีความรู้เช่นเดียวกันแต่จะมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจจริงของคนเหล่านั้นดเอง แต่ทุกคนก็ได้ชื่อว่าเป็นซอฮาบะ..
ดังนั้นในยุคของเราใครจะกล้ายอมรับหรือฟันธงได้ครับว่ารู้มากและรู้จริงและถูกต้อง แต่ทุกวันนี้คนที่เขาเรีบยกว่ารู้นั้น จริงๆแล้วก็ไม่พ้นการนำความรู้จากคนอื่นมาถ่ายทอดนั้นเองและในสิ่งที่นำมาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะถูกหรือตรงกับคำดำรัสของอัลลออ์และตรงกับสอนของท่านนบีหรือไม่ เพราะเราทุกคนหนีไม่พ้นว่าการตามเขามาอีกที
และเมื่อเกิดความไม่เข้าใจกับตัวเรา ในเรื่องวิชสาใดๆก็ตาม และไม่มีทางออกใดๆสำหรับเราเทกคนก็ไม่ลืมที่กลับไปดูคำดำรัสอัลกรุอ่านเป็นอันดับแรก
เช่นเมื่อเราเองไม่เข้าใจสิ่งใดก็ตาม อัลกรุอ่านก็จะมีทางออกให้กับเรา ดังคำดำรัสของพระองค์ที่ทรงเป็นห่วงและตักเตือนพวกเราเสมอว่า...'' ดังนั้นเจ้าจงถามผู้รู้เถิด แม้หากสุเจ้าไม่รู้ "
จากอะยะห์นี้พระองค์ได้วางหลักใหญ่ๆไว้เท่านั้น..และเป็นที่รู้ว่าในสมัยท่านนบีมีชีวิตนั้นท่านเองจะทำหน้าที่ชี้แจงในสิ่งที่บรรดาสาวกไม่เข้าใจ และหลังจากท่านจากไปแล้วเราก็พบว่าบรรดาคุลีฟะอัรรอซีดีนเป็นผู้สืบเตนารมณืต่อมาและจากซอฮาบะอีกหลายคนก็ทำหน้าที่แนทท่านนบีตรงนี้เพื่อที่ไม่ให้อัลกรุอ่านยหรือคำดำรัสของพระองค์ถึงทางตัน เราจะพบว่ายะฮูดีและนัศรอนี
ที่มีความรู้มักจะซักถามความหมายในคำดำรัสในอัลกรุอ่านอย่างบ่อยครั้งไม่ว่าในสมัยใดๆ ดังนั้น คำอรรถาธิบายอัลกรุอานนั้นไม่ได้ถูกจำกัดแค่ท่านนบีเท่านั้น แต่บรรดาซอฮาบะเหล่านั้นล้วนก็ได้ขอทางนำต่างๆในการอธิบายความหมายใดๆจากพระองค์ก่อนทุกคนและแต่ละคนก็มีความรู้ที่ต่างระดับกัน แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ขัดแย้งกันในเรื่องนี้
เป็นที่รู้ว่าหลังจากท่านนบีจากดไปแล้วการอ่านทำนองอัลกรุอ่านจะมีถึง13แบบทำนอง แต่ซอฮาบะเหล่านั้นก็รับทราบกันแต่ไม่ปรากฏว่าท่านเหล่านั้นจะทำการฮูกมการอ่านในทำนองอัลกรุอ่านต่างๆนั้นเลยเพียงแต่มีการเชิญชวนและเเนะนำเท่านั้น
ในเรื่องการตีความนั้นสิ่งใดที่ไมมีหรือไม่ชัดเจนในสมัยท่านบี บรรดาซอฮาบะของท่านก็ช่วยกันตีความเพื่อหาทางออกให้กับเราชนรุ่นหลังได้รับความสะดวกสะบาย เช่นนนี้เป็นคนอะดีล..
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที หรือหลักวิชาใด ที่เราไม่มีความรู้หรือความสันทัดกรณี เราก็สมควรจะถาม กับ อะฮลี คือคนที่มีความชำนาญเเละเชี่ยวชาญ...................
ยังมีต่อครับ...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ย้อนกลับมาที่คำถาม
ที่บังและคุณดับถามมานั้นมันอยู่ในหลักวิชาอุซ้ล ในเรื่องของ การรู้จักพระเจ้าในขอบเขตที่อันตราย ที่เกี่ยวกับการอีหม่านแบบตักลีดที่ไม่มีการพิจราณาใด
ซึ่งในคืออุลามะแนวทางของเราในมัสหับชาฟีอี(รฮ)เป็นผู้ตักเตือนและสอนเราว่า
การตามหรือการตักลีด โดยไม่ใช้มีเหตุผลและสติปัญญาของตัวเองว่า อัลลอฮ์มี
คุณลักษณะอย่างไร
ซึ่งพอเขาว่า พระองค์มีก็ มีกับเขาด้วย โดยไม่พิจรณาและหาหลักฐาน ใดมาศึกษาเขาเรียกว่าตักลีดแบบคนตาบอด หูหนวก การตักลีดเช่นี้อุลามะเขาถือว่าอันตราย
ที่อันตารายก็เพราะว่า เขามีสิติปัญญาแล้วแต่เขาไม่ใช้มันตึกตรองและใคร่ครวญ อุลามะในมัสหับทั้ง4ถือว่า มีบาป ที่เป็นบาปนั้นก็คือ เขาผู้นั้นมีการพิจรณาอย่างอื่นได้ เช่นนับ1-10ได้ หรือฉลาดในเรื่องทั่วไปแต่กลับไม่ไปเชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอก ว่าอัลลออฒนั้นทรงมี โดยไม่คิดพิจารณาว่ามีอย่างไร อุลามะจงลงมติว่า เป็นบาปกับเขาผู้นี้....
ยังไม่หมดครับ........
ก |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Jun 02, 2006 6:26 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ฟัง konyakroo ร่ายยาวมาหลายวัน รู้สึกว่า มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ คุณจะคุยเรื่องศาสนา หรือ คุยเรื่องความเชื่อของคุณกันแน่ครับน้องบ่าว น้องบ่าวกล่าวว่า
-แต่แนวทางบังและคุณดับไม่เรียนเรื่องซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลลอฮ์และถือเป็นบิดอะในการเรียนรู้หรือศึกษาในเรื่องนี้..
................
น้องบ่าวคนอยากรู้กินยาผิดขวดหรือเปล่า สิ่งที่เราศึกษา ท่านนบีได้สอนไว้คือ
إِنَّ لِلَّهِ تِسْعَةً وَتِسْعِينَ اسْمَا مِائَةً إِلاَّ وَاحِدًا مَنْ أَحْصَاهَا دَخَلَ الْجَنَّةَ
แท้จริง อัลลอฮทรงมีพระนาม 99 พระนาม ผู้ใดจำมัน เขาได้เข้าสวรรค์ - รายงานโดย บุคอรี
และพระนามดังกล่าวคือ
هُوَ الله الَّذِي لا إلَهَ إلاّ هُوَ الرَّحمنُ الرَّحيمُ المَلِك القُدُّوسُ السَّلاَمُ المُؤْمِنُ المُهَيمِنُ العَزِيزُ الجَبَّارُ المُتَكَبِّر الخَالِقُ البَارِىءُ المُصَوِّرُ الغَفَّارُ القَهَّارُ الوَهَّابُ الرَّزَّاقُ الفتَّاحُ العَلِيمُ القَابِضُ البَاسِطُ الخافضُ الرَّافِعُ المعزُّ المذِل السَّمِيعُ البَصِيرُ الحَكَمُ العَدْلُ اللّطِيفُ الخَبِيرُ الحَلِيمُ العَظِيمُ الغَفُورُ الشَّكُورُ العَلِيُّ الكَبِيرُ الحَفِيظُ المُقِيتُ الحَسِيبُ الجَلِيلُ الكَرِيمُ الرَّقِيبُ المُجِيبُ الْوَاسِعُ الحَكِيمُ الوَدُودُ المَجِيدُ البَاعِثُ الشَّهِيدُ الحَق الوَكِيلُ القَوِيُّ المَتِينُ الوَلِيُّ الحَمِيدُ المُحْصِي المُبْدِيءُ المُعِيدُ المُحْيِي المُمِيتُ الحَيُّ القَيُّومُ الوَاجِدُ المَاجِدُ الوَاحِدُ الصَّمَدُ القَادِرُ المُقْتَدِرُ المُقَدِّمُ المُؤَخِّرُ الأوَّلُ الآخِرُ الظَّاهِرُ البَاطِنُ الوَالِي المُتَعَالِي البَرُّ التَّوَّابُ المنتَقِمُ العَفُوُّ الرَّؤُوف مَالِكُ المُلْكِ ذُو الجَلاَلِ وَالإكْرَامِ المُقْسِط الجَامِعُ الغَنِيُّ المُغْنِي المَانِعُ الضَّارُّ النَّافِعُ النُّورُ الهَادِي البَدِيعُ البَاقِي الوَارِثُ الرَّشِيدُ الصَّبُور
...............
เรียนใหม่เถอะน้อง อย่าจมอยู่ในเฏาะรีกัต อยู่อย่างนี้ บังสงสารจริงๆ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Sat Jun 03, 2006 12:29 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บังหะสัน
แต่แนวทางบังและคุณดับไม่เรียนเรื่องซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลลอฮ์และถือเป็นบิดอะในการเรียนรู้หรือศึกษาในเรื่องนี้..
................
น้องบ่าวคนอยากรู้กินยาผิดขวดหรือเปล่า สิ่งที่เราศึกษา ท่านนบีได้สอนไว้คือ
إِنَّ لِلَّهِ تِسْعَةً وَتِسْعِينَ اسْمَا مِائَةً إِلاَّ وَاحِدًا مَنْ أَحْصَاهَا دَخَلَ الْجَنَّةَ
บังครับอย่าตาลายซิครับมันคนละเรื่องกันที่บังยกมานั้นการรู้จักนามของอัลลออ์ ผมพูดถึง คุณลักษณะหรือซีฟัตของอัลลออ์ต่างหากครับ
ผมว่า จะเสนอเรื่องดังกล่าวให้เสร็จครับ แต่แนวทางบังจะขัดขวางผมตลอดเวลา แต่ไม่เป็นไรผมเหนียตไว้ บังจะลบทั้งหมดก็ ตะเปาะครับ แล้วผมจะไปรอบังและทุกคนที่เว็บของเราครับ
เพราะน้องทั้งสามคนจากไคโรขอร้องผมครับ ฮ้าๆๆๆ
และอีกนานจะได้เข้ามาทักทายบัง
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Jun 03, 2006 5:44 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แต่แนวทางบังและคุณดับไม่เรียนเรื่องซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลลอฮ์และถือเป็นบิดอะในการเรียนรู้หรือศึกษาในเรื่องนี้..
................
น้องบ่าวคนอยากรู้กินยาผิดขวดหรือเปล่า สิ่งที่เราศึกษา ท่านนบีได้สอนไว้คือ
إِنَّ لِلَّهِ تِسْعَةً وَتِسْعِينَ اسْمَا مِائَةً إِلاَّ وَاحِدًا مَنْ أَحْصَاهَا دَخَلَ الْجَنَّةَ
บังครับอย่าตาลายซิครับมันคนละเรื่องกันที่บังยกมานั้นการรู้จักนามของอัลลออ์ ผมพูดถึง คุณลักษณะหรือซีฟัตของอัลลออ์ต่างหากครับ
...........
ตอบ
ไปกันใหญ่แล้วละครับน้องบ่าว
อยากจะถามว่า คำว่า
بسم الله الرحمن الرحيم
คำว่า " الرحمن الرحيم" นอกจากเป็นพระนามแล้ว เป็นคุณลักษณะ(สิฟาต)ของอัลลอฮด้วยหรือไม่
........
น้องบ่าวควรจะเรียนเรื่อง อะกีดะฮ ให้มากว่านี้ และน้องบ่าวสบประมาทว่า อาบังไม่เรียนสิฟาต 20 หรือ คิดผิดแล้วล่ะครับ ไปเถอะครับ แล้วอาบังจะตามไป เยี่ยม แต่..ต้องเชิงวิชาการนะครับ ไม่ใช่วิชาเกิน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Jun 03, 2006 6:09 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้องคนอยากรู้กล่าวว่า
บังครับอย่าตาลายซิครับมันคนละเรื่องกันที่บังยกมานั้นการรู้จักนามของอัลลออ์ ผมพูดถึง คุณลักษณะหรือซีฟัตของอัลลออ์ต่างหากครับ
.......................................
น้องบ่าวลองมาพิจารณาข้างล่างนี้ แล้วจะรู้ว่า น้องบ่าวไม่เข้าใจเรื่อง อะกีดะฮ เกี่ยวกับ อัสมาอฺและสิฟาตของอัลลอฮ คือ
{ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمنِ الرَّحِيمِ }
"بسم"#8207; الباء حرف جر، "اسم" اسم مجرور بالكسرة. والجار والمجرور متعلقان بخبر محذوف لمبتدأ محذوف، تقديره#8207; ابتدائي كائن بسم الله، وجملة التقدير ابتدائية. "الرحمن الرحيم"#8207; صفتان مجرورتان بالكسرة
................
"الرحمن الرحيم"#8207; صفتان مجرورتان بالكسرة
อัรเราะหมาน อัรเราะหีม ทั้งสองทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์(คำที่บอกคุณลักษณะของนาม) อ่านญัรด้วยสระกัสเราะฮ - โปรดดูหนังสือ مشكل إعراب القرآن الكريم
...........
คำว่า อัรเราะหมาน อัรเราะหีม เป็นพระนามของอัลลอฮและเป็นคุณลักษณะของพระองค์ด้วย
เพราะเหตุนี้ จึงเรียกว่า เตาฮีดอัลอัสมาอฺ วัสสิฟาต เพระพระนามเหล่านี้ เป็นของอัลลอฮองค์เดียวเท่านั้น - |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dabdulla มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005 ตอบ: 437
|
ตอบ: Sun Jun 04, 2006 5:34 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสลามุอลุยกุมครับ คุณคนอยากรู้
แล้วตกลงแค่บาป กับ ห้ามมันต่างกันยังงัยครับ
คุณบอกว่าเพราะอุลามาอ์ผมมีข้อห้ามหลายอย่าง คุณจะเอาผมไปเปรียบในระดับคุณกับอาจารย์อะสันไม่ได้นะครับ เพราะผมไม่มีความสามารถวินิจฉัยหลักฐาน จากต้นฉบับอาหรับได้ ดังนั้นอุลามาอ์ของผม ก็คือพวกคุณนั่นแหละ
ผมไม่อายนะครับ ที่จะถามคำถาม ถึงแม้ว่าจะแสดงให้เห็นถึงภูมิความรู้น้อยของตน แต่ผู้รู้ที่ถูกถามเนี่ยะ ต้องแสดงคำตอบที่ชัดเจน
ส่วนที่บอกว่า ผมไม่เรียนซีฟัต ของอัลลอฮนั้น ผมไม่ขอรับคำกล่าวนี้นะครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Tue Jun 06, 2006 1:36 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ คนอยากรู้ ครับ
ผมเห็นคุณกล่าวมาตั้งนานและผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าอีหม่ามทั้ง 4 มัซฮับ มีอากีดะห์ แบบใหนครับ ช่วยอธิบายหน่อยนะครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Sun Jun 11, 2006 4:02 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ใช้ความพยายามอยู่หลายวันกว่าจะเข้ามาได้ ขอนำเสนอดังนี้ครับ
สำนักคิด อัชอะริยะฮํ
หนังสืออ้างอิง ปรัชญาอิสลาม โดย รศ.รด อิมรอน มะลุลีม
ในปลายศตวรรที่ 3 ฮ.ศ ผู้คนไม่ยอมรับสิ่งใหม่ๆ(บิดอะห์)ใดๆอีก อิมามมาลิก อิบนุ อานัส ถือว่าควรจะต้องยอมรับศาสนาโดยไม่ต้องมีข้อแคลงใจใดๆได้แนะนำให้ประชาชนพึงพอใจกับศาสนาด้วยการศึกษา อัลกุรอ่านและฮะดิษเท่านั้นเพื่อไม่ให้มีการโต้เถียงและให้เหตุผลกันอีก ดังนั้น ปรัชญาและการคิดใคร่ครวญทั้งหลายจึงไม่ได้รับการสนับสนุน..
แต่สภาพเช่นนี้ไม่อาจเป็นอยู่ได้นานนัก จึ่งค่อยๆ มีคนจากกลุ่มผู้เคร่งครัด ซึ่งพร้อมที่จะให้เหตุผลในเรื่องศาสนาเกิดขึ้น คนกลุ่มนี้คือกลุ่ม ตะกัลลิมผู้ใช้เหตุผลเพื่อปกป้องความเชื่อในแบบเดิมโดยต่อต้านข้อสรุปของกลุ่ม มุตาซีละฮ และสำนักคิดที่มีความเคลือบแคลงสำนักอื่นๆ เพื่อจะพบกับกลุ่มมุตาซีละฮ ในระดับเดียวกัน กลุ่มมุตากัลลิมจึ่งได้สร้างทฤษฎีโดยใช้เหตุผลขึ้น ซึ่งรู้จักในนามว่า กาลาม..
สำนักคิดนี้มีการติดต่อนักวิชาการผู้มีความรู้จำนวนมาอย่างเช่น อะบุล-หะซัน,อาลี อัล-อัขอารี,อัล-มาตูรีดี,อัต-ฎอฮาวีอะบูบักร บากิลนี,อะบูญะฟัร สิมานีอับดุลมาลิก อัล-ญูวัยนี,อีมามฆอซาลี อิบนุตูมัรต,ฟัครูดีน รอซี และคนอื่นๆ.. ในบรรดาคนเหล่านี้ อัล-อัชอารี อัลมาตูรีดี กับฎอฮาวี เป็นคนในสมัยเดียวกัน พวกเขาเป็นผู้บุเบิกขบวนการนี้ในประเทศต่างๆ คือเมโสโปเตเมีย สะมัรกันด และอียิปต์ ระบบของพวกเขาแตกต่างกันแต่โดยวิธีการและทัศนคติแล้วเหมือนๆกันและของอัชอารีเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ปรัชญาด้านวิทยปัญญาของเขาได้รับการติดตามและพัฒนาโดย อัล-บากิลลานี และอีมามฆอซาลี ทั้งสองนั้นได้เอาระบบปรัชญามุตากัลลิมไปรวมกับปรัชญาซูฟีจึงทำให้เป็นที่นิยมกันมาก
เมื่อถูกขัไล่ออกจากนครบัฆดาด พวกนักคิดที่นิยมเหตุผลก็อพยพมาอยู่ที่กรุงไคโร(อียิปต์)แต่ก็ยิ่งประสบชะตากรรมร้ายกาจมากขึ้นอีกเพราะเคาะลีฟะฮราชวงค์อับบาซียะหํมีความเกลียดชังไคโรเป็นอย่างยิ่ง ในนครบัฆดาดได้มีการจัดตั้งวิทยาลัยนิติศาตร์ขึ้นแห่งหนึ่งเพื่อกำจัด พวกนออกรีตนอกรอย ออกไปเสียจากข้อเขียนด้านวิทยาศาสตร์และประชญา บัดนี้อิสลามกำลังตกอยู่ในสภาพเหมือนคริสตศาสนาสัยออร์ธอดอกข์
ในะรหว่างนั้นเองได้มีนักคิดอีกผู้หนึ่งแสดงตัวต่อสาธารณชน เขาคือ อะบุล หะซัน อะลี อิบนุอิสมาแอล อัล-อัชอะรี ผู้เป็นเชื้อสาย อบูมูซา อัล-อัชอะรี (ผูไกล่เกลียในสงครามแห่งชิฟฟินโดยเป็นตัวแทนของเคาะลีฟะหํอาลี(รฎ)) เขาเป็นศิษย์ของ อัล-ญับบาอี ซึ่งเป็นครูผู้มีชื่อเสียงอยู่ในสำนัก มุตาซีละฮํ........
อัล-อัชอะรี ผู้นี้เกิดในกรุงบัฆดาด ค.ศ 874 สิ้นชีวิต ค.ศ.935 ได้รับการฝีกฝนในสำนัก มุตาซีละหํเป็นเวลานานและยึดปรัชญามุตาซีละหํอย่างเหนียวแน่นจนกระทั้งอายุ 40 ปี เขาได้ศึกษาปรัชญาตรรกวิทยา คือวิธการใช้เหตุผลของสำนักคิดมาเป็นอย่างดี ในตอนนั้นในกรุงบัสเราะห์โดยทั่วไปได้มีความไม่พอใจในความคิดของสำนักมุตาซีละฮํ ซึ่งพยายามจะให้เหตุผลในเรื่องชะตากรรมของมนุษย์ ดูเหมือนว่า อัล-อัชอะรีซึ่งถือแนวความคิดของครูเขาอีกต่อไปเล็กน้อยได้มาสรุปเอาว่า วิวรรณ์ วะหํยูนั้นเป็นทางนำของชีวิตดีกว่าเหตุผล. ในด้านกฎหมาย เขาเป็นสานุศิษของอะหมัด อิบนุ-ฮัมบัล กล่าวกันว่าเขาได้ฝันถึ่งศาสดามุฮัมหมัด อยู่หลายครั้ง ครั้งที่หนึ่ง ท่านได้บอกให้เขาสนับสนุนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับท่านคือ ฮะดิษ อัล-อัชอะรีซึ่งไม่พอใจในวิธีคิดของกลุ่มมุตาซีละฮํอยู่แล้วจึงกลับไปศึกษา ฮะดิษ แต่ก็ยังแปลความหมายของฮะดิษตามวิธีการของมุตาซีละฮํ ต่อมา ครั้งที่สอง ท่านศาสดาได้มาปรากฎตัวอีก และถามว่าเขาได้ทำตามคำสั่งของท่านอย่างไรบ้าง อัล-อัชอะรีได้กล่าวแก่ท่านว่า เขาสงสัยในเรื่องการแลเห็นของพระผู้เป็นเจ้าด้วยสายตาเพราะมันตรงกันข้ามกับเหตุผล และเขาก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่ฮะดิษหรอกที่น่าสงสัย แต่การเถียงด้วยเหตุผลที่น่าสงสัย หลังจากฝันครั้งที่สองเขาก็เลิกใช้เหตุผลโดยสิ้นเชิงและจำกัดตัวอยู่ด้วยการศึกษาฮะดิษและให้อรรถาธิบายอัลกุรอ่าน ต่อมาอีกไม่นายท่านศาสดาก็มาปรากฎตัวในฝันของเขาอีกเป็นครั้งที่สาม และได้ถามเขาว่าทำตามคำสั่งของท่านอย่างไร เมื่อ อัล-อัชอะรีตอบไปท่านศาสดาก็ไม่พอใจและกล่าว่า ฉันไม่ได้สั่งให้ท่านเลิกถกเถียงด้วยเหตุผล เพียงแต่ให้ท่านสนับสนุนฮะดิษที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้อัล-อัชอะรีจึ่งหาวิธีการใหม่ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีใช้เหตุผลสนับสนุน ฮะดิษ หมายถึ่งใช้ฮะดิษเป็นหลักใหญ่และเหตุผลเป็นหลักรอง............วันหนึ่งในปี ค.ศ.912 เขาจึงประกาศตัวเองออกจากสำนักมุตะซีละฮํในมัสยิดใหญ่ในกรุงบัสเราะห์ต่อหน้าผู้คนเป็นจำนวนมากและประกาศแนวปรัชญาใหม่ของเขาเป็นแนวจารีตนิยม ในระยะนั้นมีสำนักปรัชญาเด่นอยู่ 2 สำนัก คือ มุตาซีละฮํ(ฝ่ายนิยมเหตุผล)และสำนักซีฟาตียะห์(ฝ่ายพิจารณาถึงคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า)ซึ่งมีความคิดขัดแย้งกันมาก อัล-อชอะรี เริ่มงานของเขาโดยพยายามไก่ลเกลี่ยระหว่างสองสำนักนี้ เขาประกาศว่าคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าเป็นนิรันดร์ร่วมกับเนื้อแท้ของพระองค์เองและคุณลักษณเหล่านี้มิได้อยู่นอกตัวตนอันแท้จริงของพระองค์อันแท้จริงของพระองค์แต่ก็มได้รวมอยู่ในตัวตนนั้นด้วย ในปัญหาเรื่องเจตนารมณ์อิสระ เขาก็เดินสายกลางเช่นเดียวกัน ระหว่างสองสำนักนี้ คือถือว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดการกระทำของมนุษย์ไว้ก่อนแล้ว หากแต่มนุษย์ก็มีอำนาจอยู่บ้างซึ่งทำให้เขาสามารถกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดไว้ก่อนแล้ว พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดการกระทำทุกอย่างไว้ก่อนบุคคลนั้นๆจะกระทำสิ่งนั้ๆ และมนุษย์ก็ทำตามความสามารถของเขาเอง ดังนั้นต้นกำเหนิดของการกระทำนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมนุษย์ แต่การทำให้สำเหร็จ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาเอง เขาเป็นคนพูดเก่งจึ่งเป็นที่ติดใจของผู้ฟังและได้รับความโปรดปรานจากเคาะลีฟะฮํ เป็นที่นิยมของนักกฎหมาย แต่ในระยะแรกเขาก็ถูกต่อต้านจากมุสลิมหัวเก่าและพวกมุตาซีละฮํ .......มีต่อภาค2
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Jun 11, 2006 4:23 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ญะซากัลลอฮุคอ็ยร้อน ครับ น้อง ฟาอิซ มีประโยชน์ต่อผู้อ่านมากครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Mon Jun 19, 2006 1:41 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
สำนักคิด อัชอะริยะฮํ ภาค.2
หนังสืออ้างอิง ปรัชญาอิสลาม โดย รศ.รด อิมรอน มะลุลีม
สาวกของสำนักกฎหมายทั้งสี (หะนีฟะ มาลีกี ซาฟีอี ฮัมบาลี)ก็ระแวงสงสัยในลักษณะด้านศาสนาของขบวนการใหม่นี้ สุลฎอนตุฆริล ผู้ก่อตั้งราชวงค์ฃิลญูก และเป็นศิษย์ของอีหม่ามอบูฮานีฟะฮํ ได้ขับไล่ผู้ถือปรัชญาของสำนักนี้ทั้งหมดออกจากราชอาณาจักรของพระองค์ และเสนาบดีของเขา คือ อบูนัศรํ มันซูรซึ่งเป็นฝ่ายมุตาซีละห์ก้ได้ประหารชีวิตนักวิชาการดีๆ ที่มีแนวโนมไปทางสำนักอัชอะรีเสียหลายคนอย่างไรก็ตามการประหัตประหารพวกอัชอะรีนี้เป็นไปในระยะสั้นๆเท่านั้นเมื่อสุลฎอนตุฆริลเสียชีวิตลง นิซอมอัลมุลกํ ซึ่งนิยมความคิดแบบเก่าขึ้นครองราชแทน สำนักอัชอะรีก็กลับรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่ถูกเนรเทศถูกเรียกตัวมามอบเกียรติยศให้และเปิดวิทยาลัยขึ้นในนามของคนเหล่านั้น
สำนักคิดมูตากาลิมนี้พยายามอธิบายตัวเองในปัญหาเก่าๆ เช่นเรื่องคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นนิรันดร์ของคัมภีร์ อัลกุรอ่าน การเห็นของพระผู้เป็นเจ้า เจตนารมณ์อิสระ ธรรมชาติของสิ่งของ ฯลฯ โดยอาศัยปรัชญาในสมันนั้นตายังคงรักษาหลักการของกลุ่มเคร่งครัดไว้จากการรุกรานของใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยความระแวงสงสัย สำนันี้จึ่งถือว่าเราไม่อาจอธิบายของเรื่องสากลจักรวาลได้ในลักษณะของความคิดมนุษย์เท่านั้น และให้คำอธิบายที่อาจจะเกิดผลสองประการนั้นได้
ในบางครั้งกลุ่มมูตากัลลิมก็ถูกถือว่าเป็นผู้สืบต่อของสำนัก มุตาซีละห์ ผูที่คิดเช่นนี้ถือว่ามุตาซีละห์เป็นขบวนการทางปัญญา สำนักแรก ต่อมาก็ถือสำนักอัชอะรียะห์ซึ่งเป็นสายสาขาของมุตาซีละห์ ในบางครั้งกลุมมุตาซีละห์ก็พูดถึ่งตัวเองว่าเป็นพวกมุตากัลลิม ในกรณีนั้นเราอาจเรียกสำนักมุตาซีละห์ว่าเป็นสำนักวิทยปัญญาใหม่หรือสำนักวิทยปัญญาที่เคร่งครัดในศาสนา
ถึ่งแม้ว่าอัลอัชอะรีจะได้แสดงความคิดแบบจารีตนิยมไว้มากในหนังสือ อัลอีบานะห์ อูซูลอัล ดียานะห์(ไคโร-1922)ก็ตาม แต่ในงานชิ้นอื่นๆ ของเขาโดยเฉพาะในเรื่อง VINDECATION OF THE SCIENCE OF KALAM (ไบรูต 1953) ท่านก็เป็นผู้ปกป้องวิธีการใช้เหตุผล ถึ่งแม้ว่าจะเอามันเข้ามาเกี่ยวโยงกับอัลกุรอ่านและสุนนะห์ก็ตาม
ถึ่งแม้ว่าเราจะกล่าวถึ่งเรื่องราวของอัล อัชอะรีแล้วก็ตาม แต่ต้นกำเหนิดของสำนักคินี้ยังไม่แจ่มแจ้ง มีผู้กล่าวว่าท่านเป็นคนหนึ่งในบรรดาคนที่นำวิธีการใช้เหตุผลมาสู่วิทยาของอิสลาม และแม้ว่าจะมีผู้ต่อต้านคำสอนของกลุ่มมุตาซีเลาะห์บางคนเกิดขึ้นก่อนหน้าท่านก็ตามเช่น ดิรอรํ จนถึ่งอัล-มุฮาสิบีแต่หนังสือของอัชอะรีก็เป็นพยานได้อย่างดีกว่า ท่านเป็นคนแรกที่ใช้วิธีของสำนักมุตาซีละห์ในแบบที่ทำให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มมุสลิมนิกายสุนนีได้ หนังสือของท่านเป็นหนังสือเล่มเดียวในแบบนี้ที่คนรุ่นหลังใช้ศึกษา แต่เราก็ต้องยอมรับว่าเราแทบจะไม่รูอะไรเกี่ยวกับสำนักคิดของท่านนอกจากชื่อไม่กี่ชื่อเท่านั้น
ปรัชญาของสำนักคิดอัล-อัชอะรียะห์ได้แพร่หลายจากอีรัคเข้าไปในซีเรียและอียิปต์ในราชวงค์อัยยูบและมัมลูก จากอีรัคก็ได้แพร่เข้าไปยังอัฟรีกาตะวันตกโดยอิบนุ ตูมัรตํ ผู้ก่อตั้งราชวงค์อัลโมฮาดในทวีปอัฟรีกาตะวันตกเฉียงเหนือและฝั่งรากลึกลงไปในประเทศมอรอโค ไม่มีสำนักคิดใดๆนอกจากสำนักฮัมบาลีและสาวกอบูฮานีฟะห์บางคนที่สามารถแข่งขันกับสำนักอัช-อะรีได้ ในเรื่องความคิดเห็นด้านศาสนาสำนักคิดเห็นฮัมบาลีกับอัชอะรีมีความสอดคล้องกันอย่างเต็มที่ มิได้มีความแตกต่างกันในเรื่องเฉพาะใดๆในคำสอนเบื้องต้นใดๆและในการยอมรับน้ำหนักพยานหลักฐานของฮะดิษ ด้วยเหตุผลนี้เองกลุ่มฮัมบาลีได้อาศัยกลุ่มอัช-อะรีอยู่เสมอในการต่อต้านความคิดเห็นของพวก นอกรีตนอกรอย ดังนั้นอัชอะรียะห์จึงกลายเป็นสำนักคิดสำคัญอยู่ในอาณาจักรมุสลิมตะวันออก แต่เมื่อราชวงค์บูยิคผู้รักวิชาความรู้เข้ามามีอำนาจ (ปี ค.ศ.932 ) ลัทธิผู้นิยมใช้เหตุผล ก็ฟื้นตัวขึ้นมาอีกในกรุงบัฆดาด ถึ่งแม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์เท่าเดิมก็ตามแต่กระนั้นสำนักอัช-อะรียะห์ก็ไม่เคยหมดไปจากความเชื่อถือของประชาชน เมื่อถึ่งสมัยชิลญูก (ปี ค.ศ.1039-1353 ) ชนชั้นปกครองถึ่งแม้จะเป็นผู้อุปถัมภ์วิชาการและวิทยาศาสตร์แต่ก็เป็นฝ่ายอัชอะรี ชัยชนะของซอละฮุดดินได้นำปรัชญาของอัชอะรีเข้าสู่อียิปต์ .............มีต่อภาค.3
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Thu Jun 22, 2006 1:54 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
สำนักคิด อัชอะริยะฮํ ภาค.3
หนังสืออ้างอิง ปรัชญาอิสลาม โดย รศ.รด อิมรอน มะลุลีม
ปรัชญาของกลุ่มอัชอะรียะฮ์ไม่ได้มีอิธิพลมากมายนัจนกระทั้งจากการก่อตั้งราชวงศ์ซิลญูกขึ้นแล้ว(หลัง ค.ศ.1040) โดยเฉพาะหลังจากการมีการจัดตั้งวิทยาลัยนิซอมิยะฮ์ ขึ้นในบาฆดาด (ประมาณปี 1065 )เพื่อเป็นโรงเรียนสอนศาสนาวิทยาของกลุ่มนิกายซุนนี ก่อนหน้านั้นบรรดากษัตริย์นิกายซีอะฮ์ คือ ราชวงค์บุวัยฮิด ฟาฎีมี และฮัมดานียะห์ ผู้ปกครองเอเซียตะวันตกและอียิปต์ได้ยอมให้มีการคิดแบบปรัชญาในเรื่องต่างๆกันได้อย่างกว้างขวางเมื่อปรัชญาของสำนักอัชอะรีเข้ามามีอิธิพลอย่างมากมายจึงเป็นเหมือนศัตรูของปรัชญา เพื่อปกป้องวิธีการคิดแบบปรัชญานี้ไว้ นาซีร คุสโร ในเปอร์เซียจึงได้เขียนหนังสือชื่อ กีตาบ ญามิอํ อัล-ฮิกมะตัยน์(คัมภีร์ของการใช้เหตุผล) เขาได้โต้นักการศาสนานิกายอิสมาแอลียะห์ ผู้ตำหนิคนที่อ้างว่า รู้ว่าสิ่งต่างๆ มีคุณสมบัติประจำตัวของมัน เช่นรู้ว่าดวงอาทิตย์จะตกก็เป็นเพราะธรรมชาติของมัน นาซีรโต้ว่า นักการศาสนาเหล่านั้นแหละคือคนนอกศาสนา เพราะไม่สนใจต่อคำสั่งของท่านศาสดาที่ให้พิจารณาไตร่ตรองถึ่งโลกซึ่งถูกสร้างมา ในเมื่อเขาไม่ยอมคิดก็เท่ากับเขาลดผู้สร้างกับผู้ถูกสร้างให้อยู่ในระดับเดียวกันและชอบทอดถิ้งความรู้มากกว่า (กลุ่มของอัชอะรียะห์เสนอความเกี่ยวพันโดยบังเอิญของสิ่งต่างๆที่เป็นธรรมชาติโดยถือว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นสาเหตุอันเดียว และความเสม่ำเสมอในธรรมชาติเกิดจากการที่พระองค์ทรงควบคุมมัน โดยสิ้นเชิง) เขากล่าวถึ่งผลเสียหายของการไม่ยอมอยู่ในขันติธรรมในเรื่องวิทยาศาสตร์และปรัชญาไว้ว่า นับตังแต่ผู้ที่เรียกกันว่า นักวิชาการได้ประณามผู้ที่รู้ถึ่งศาสตร์แห่งสิ่งต่างๆ ที่ถูกสร้าง ผู้แสวงหาเหตุผลจึ่งได้เงียบไป และผู้อธิบายวิทยาการนี้ก็เงียบไปเหมือนกัน จนทำให้อวิชามีชัยเหนือผู้คนทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในดินแดน คูรอซานและในอาณาจักรทางตะวันออก
ในระหว่างนี้ได้มีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มถือเหตุผลกับกลุ่ม PATRISTISM อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในปี ค.ศ.1150 งานปรัชญาทั้งหมดของอิบนุ-ซีนา และสำเนาเอนไซโคลปีเดียของกลุ่มภราดาแห่งความบริสุทธิ์อยู่ในห้องสมุดสาธารณะและห้องสมุดเอกชนก็ถูกเผ่าหมดโดยคำสั่งของเคาะลีฟะห์มุสตันญิด ในปี 1192 นายแพทย์อัรรูค์น์ อับดุลสาลามจากฝ่ายมุตาซีละห์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ไม่นับถือพระเจ้า พวกประชาชนและนักการศาสนาได้จัดการเผ่าหนังสือที่เขามีอยู่ นักการสาสนาเที่ยวปาฐกถาประนามปรัชญา การต่อสู้นี้จบลงเมื่อพวกมองโกลเข้ามาบุกอาณาจักรอิสลาม ลัทธินิยมเหตุผล วิทยาศาสตร์และศิลปวิทยาการก็พังทะลายไปในที่สุด ถึ่งแม้จะเล็ดลอดเข้าไปในอาณาจักรอิสลามตะวันตกได้บ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย ในสมัยของผู้สืบเชื้อสายต่อของกษัตริมองโกลคือ ฮาลากู นโยบายปราบปรามปรัชญาและลัทธินิยมเหตุผลก็ถูกนำมาใช้อีก พวกนักกฎหมายไม่เพียงกำลังเข้มแข็งเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนผู้ปกครองเผด็จการด้วย ผลก็คือความคิดของพวกหัวเก่าเข้าครอบครองหัวใจของมุสลิมส่วนใหญ่จนกลายเป็นลักษณะประจำของพวกเขาไป.......มีต่อภาค.4
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|