ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Sun May 28, 2006 1:27 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
---อีกอย่างหนึ่งว่าแนวทางนี้มความเชื่อว่า เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถือว่าทุกอย่างเป็นสิ่งตายตัว จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกบันทึกตายตัวในกระดาน เลาฮิลมะฟูด มนุษย์แต่ละคนได้ถูกบันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเรื่องบุญวาสนา ริสกีต่างๆ การเกิด การตาย เมื่อพระองค์ทรงบันทึกแล้ว พระองค์จะไม่เปลียนแปลใดๆ คือเปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นเอง
ลักษณะการศรัทธาดังกล่าวมันขัดกับความเชื่อหรือการศรัทธาของแนว ทางอะลิสซุนนะวัญญะมาอะ โดยสิ้นเชิง เพราะแนวทางอะลิสซุนนะวัญญะมาอะนั้นเขาถือว่า พระองค์บันทึก และกำหนดแล้วก็จริง แต่มิได้ผูกมัดตายตัว หรือจะต้องเป็นไปตามข้อบันทึกเสมอไป เพราะถ้าเราย้อนดูจากคำดำรัสของพระองค์ที่ทรงกล่าวสอนและตักเตือนเราแล้วก็จะพบว่า ในอายะกรุอ่านของพระองค์เอง ที่ว่า "จงขอต่อเราซิ แล้วเราจะตอบรับการขอขอของเจ้า" ฉนั้นแนวทางอะลิซุนนะวัญญะมาอะ จึงถือว่า การที่พระองค์เป็นผู้กำหนดกิจดารงานทุกอย่างแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท มีการผูกมัดและตายตัว ซึ่งในพระองวค์นั้นทรงมีซีฟัตฮาโรส ของพระองค์
หมายุชถึงว่า เมื่อบ่าวหรือข้าทาสของพระองค์ได้ทำทำการวิงวอนขอจากพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะรับการของ หมายถึงว่าพระองครับรู้แล้ว แต่การที่พระองค์จะให้ก็ได้ไม่ให้ก็ได้ หรือพระองค์จะตอบการรับการขอแบบให้เร็วทันที หรือประวิงเวลาหรือตอบแทนให้ในโลกหน้านั้น มันล้วนเป็นสิทธิของพระองค์ทั้งนั้น ซึ่งจะเห็นว่าไม่ว่าเราๆท่านๆจะคิดทำกิจการใดๆส่วนมากแล้วเราก็จะไม่ลืมขอทางนำหรือการชี้แนะของพระองค์ก่อนหรืแม้กระทั้งขอความปลอดภัยในชีวิตขณะเดินทางหรือในทรัพย์สินของเราเอง
นอกจากนั้นถ้าเราค้นคว้าในคำดำรัสของพระองค์เกี่ยวกับการมอบหมายต่ออัลลออ์นั้น พบว่ามีหลายตัวบทที่กล่าวในทำนองเช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกันเรารก็จะพบเช่นกันว่าพระองค์นั้นเป็นผู้เดียวในการใช้อำนาจใจการตัดสินต่างๆ
และ พระองค์นั้นจะทำตามที่พระประสงค์เท่านั้น ดังนั้นในทุกๆเรื่อง พระองค์นั้นมีสิทธิแต่ผู้เดียว ไม่ว่าเรื่อง บุญวาสนา ริสกี การเกิด การตาย ทุกอย่างในดุนยานี้ มันเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มนุษย์หรือมัคโล๊คไม่มีส่วนรวมใดๆ
เกี่ยวกับการขอสิ่งใดๆจากอัลลออ์นั้นอุลามะในแนวทางของท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)ได้อ้างอิง
จากตัวบทอาบยะกรุอ่านยว่าบ่าวนั้นสามรถจะทำการขอต่อพระองค์ได้ทุกเมื่อโดยไม่จำกัดเวลา ไม่ว่ายามทุกข์ยาก ยามคับขันของชีวิต หรือขณะตกทุกข์ได้ยาก หรือแม้กระทั่งขอให้กับตัวเองมีสุขภาพที่ดีร่างกายแข็งแรงอายุยืน ซึ่งจะเห็นว่าพี่น้องมุสลิมของเราส่วนมาก มารวมตัวกันในมัสยิดของอัลลออ์เผื่อทำการมีการอ่านยาซีน หรือคำดำรัสของอัลลออ์ในคืน นิสฟูชะบาน
ซึ่การกระทำดังกล่าว อุลามะในแนวทางของท่านอีหม่ามชาฟีอีมีหลักฐานจากอัลฮาดีสและมีทั้งคำดำรัสในอัลกรุอ่านที่ชี้ให้เห็นว่าการขอให้อายุยืน การขอริสกีโชคลาภ การให้ตายในอีหม่านหรือขอสิ่งอื่นๆที่ไม่ขัดกับหลบักศาสนานั้นสามารถจะขอ.นั้นคือขอกับจากพระองค์เท่านั้น.
ส่วนพระองค์จะตอบรับการขอหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิของพระองค์แต่เราในฐานะบ่าวหรือข้าทาสที่อ่อนแอนั้นจำเป็นต้องพึ่งพาพระองค์เท่านั้น
การวิงวอนหรือขอให้อายุยืน
อุลามะได้อ้างในคำดำรัสจากอัลกรุอ่านที่ว่า...จลประกาศเถิด (มูฮำมัด ฉันนั้นไม่มีอำนาจให้โทษและคุณแก่ตัวฉันเองได้ นอกจากการเป็นไปตามทีอัลลออ์ทรงประสงค์ท่านั้น
และแต่ละประชาติ นั้นย่อมมีอายุขัย(ที่๔กกำหนดไว้) เมื่ออายุขัยของพวกเขาได้มา พวกเขาก๋ไม่(สามารถ) ขอให้ล้าช้าสักยามเดียวก็ตาม และพวกเขาไม่(สามรถ) ขอให้ล่วงหน้า(ก่อนกำหนดได้ สักยามเดียวก็ตาม ) ซูเราะที่10 อายะที่49
ในอายะดังกล่าวนั้นอุลามะเขาได้ให้ความหมายว่า เมื่อชีวิตมนุษย์ได้ถูกชัก(มาละอีกัตผู้มีหน้าที่เอาชีวิตหรือวิญญาณกลับ ซึ่งวิธีการเอาวิญญาณกลับของมาลีอีกัตนั้นแตกต่างกันไป บ้างก็กระเสือกกระสนทุรนทุราย บ้างก็ไม่มีการกระตุกและเจ็บปวดให้เห็น) เมื่อชีวิตมนุษย์ได้ถูกชัก
ขึ้นมาถึงฮัรกุม แล้ว หมายถึงว่าขณะที่วิญญญาฯถูกชักมาถึงลูกกระเดือกแล้ว พระองค์ก็จะปิดประตูรับการขอใดๆที่ก่อนที่วินาทีสุดท้ายของชีวิตมาถึง ซึ่งจะการขออไรในตอนนั้นไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าตราบใดที่ชีวิตยังไม่ถึงจุดนั้น มนุษย์หรือเราๆท่านๆก็ยังสามารถขอได้เสมอ
แต่ในบางทัศนะนอกจากอีหม่ามทั้ง4 คัดค้านอย่างไม่มีเหตุผลว่า ไม่สามรถขอได้เพราะเขาเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นพระองค์กำหนดมาแล้วและถือว่าตายตัวด้วย ซึ่งการเชื่อนี้มีในพวกศรัทธาแบบมัวะตะซีละ ซึ่งสองแนวทางนีจะมีความขัดกันแย้ง ตลอด ไม่ว่า ในหลักการศรัทธา(อูซุล)
หลักชารีอัต(ฟิกฮ์) หลักในตะเซาวุฟ(อัลอิคคลาส)
ทางฝ่ายมัวะตะซีละก็อ้างถึงสัญญาว่า "เมื่อพระองค์ได้สัญญาแล้วพระองค์ต้องไม่ผิดสัญญา"
ทางฝ่ายอะลิสซุนนะก็โต้กลับว่า อ้าว แล้วการที่พระองค์เป็นถึงพระผู้เป็นเจ้าของทุกๆสิ่งทุกอย่าง
แล้ว พระองค์ยังต้องมาอยู่ภายใต้กฏของสัญญากระนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นสัญญาต่างๆจะต้องยิ่งใหญ่กว่าพระองค์อย่างนั้นหรือไร
และในบางครั้งในการศรัทธามัวะตะซีละนั้น
ซึ่งเป็นที่รู้กันแล้วว่า เขายึดมั่นในหลักชารีอัต ของท่านนบี (ฟิกฮ์)อย่างมุ่งมั่น มากกว่าหลักฮะกีกัตของอัลลออ์(คำดำรัสในอัลกรุอ่าน)
ดังนั้น สิ่งใดที่อัลฮาดีสที่ไม่ระบุชัดเจน ในการรายงานที่ดีของตัวบท ซึ่งเขาจะละทิ้งมัน และเขาอ้างว่าไม่มีในหลักชารีอัตหรือไม่มีการกระทำจากท่านนบี โดยเขาเน้นหนักไปยังท่านนบีมากกว่าคำดำรัสของอัลลออ์ ถึงขนาดบางครั้ง อ้าง คำพูดของท่านนบีในการฮูกมพี่น้องทีมีการศรัทธาต่างกับตน เเล้วพาดพิงไปยังอัลลออ์ คล้ายกับ ว่า เมื่อท่านนบีพูดสิ่งใด อัลลออ์ต้องทำตามสิ่งนั้นเสมอทุกอย่าง โดยไม่เข้าใจว่า แท้จริงอัลลออ์ทนั้นทรงอยู่เหนือมัคโล๊คทุกๆอย่าง
แต่สิ่งที่ร้ายที่สุดของการศรัทธาแบบมัวะตะซีละคือ การที่กลุ่มๆนี้ได้ทำการแบ่งกำลังความสามารถออกจากอัลลออ์โดยสิ้นเชิงโดยเชื่อว่า มนุษย์นั้นมีความสามารถด้วยตัวเอง เท่ากับว่าเป็นการแบ่งกำลังความสามารถของอัลลออ์ออกเป็นสองแรง เพราะกำลังหรือความสามารถหนึ่งอยู่ที่มนุษย์ และกำลังความสามารถหนึ่งอยู่ที่อัลลออ์....
ฉนั้นเมื่อกำลังและความสามารถของถูกแบงแล้ว เราจะเรียกว่า เตาฮีด ได้อย่างไร
ยังมีต่อ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun May 28, 2006 6:35 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
konykroo กล่าวว่า
ขอโทษนะครับ ผมขอตำหนิบังสักนิดกระทู้เมาลิด บังหะสัน ปิดกระทู้เร็วเกินไปนะครับ บังก็รู้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า น้องนักศึกษาเขากำลังสอบอยู่ น่าจะเปิดไปพลางๆก่อน
.............
ตอบ
อันที่จริง ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ในข้ออ้างต่างๆที่น้องบ่าวและสหายเข้ามารำพึงรำพัน
เพราะ ตลอดเวลาที่สนทนากันในกระทู้นี้ หากเจ้าของกระทู้มีหลักฐานจริงๆ ไม่ใช่เหตุผล ป่านนี้คงจะสรุปกันไปนานแล้ว แต่นี่เข้ามานำเสนอเหตุผลของตนเองและอุลามาอบางท่าน ซึ่ง ข้ออ้างและเหตุผล นั้น มันจะมีเรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้น เพราะผู้นำเสนอไม่ได้มีจุดยืนอยู่บนหลักฐานที่มาจากกิตาบุ้ลลอฮและอัสสุนนะฮ บางครั้งเข้ามาจาบจ้วงคู่สนทนา ผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะปิดกระทู้ และเราก็ยินดีที่จะให้เปิดกระทู้ในเชิงวิชาการใหม่ได้ แต่สิ่งที่ควรมีในการสนทนานั้นคือ มารยาท ในการสนทนา
....................
ตอนนี้ น้อง konyakroo กำลังนำเสนอขอเขียนในกระทู้นี้ เราก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เพราะดำเนินไปด้วยดี และขอร้องอย่าเสริม การกล่าวหาผู้อื่นมาให้เสียบรรยากาศ อีกเลย
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Sun May 28, 2006 7:26 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
KONYAKRUUU
---อีกอย่างหนึ่งว่าแนวทางนี้มความเชื่อว่า เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถือว่าทุกอย่างเป็นสิ่งตายตัว จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกบันทึกตายตัวในกระดาน เลาฮิลมะฟูด มนุษย์แต่ละคนได้ถูกบันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเรื่องบุญวาสนา ริสกีต่างๆ การเกิด การตาย เมื่อพระองค์ทรงบันทึกแล้ว พระองค์จะไม่เปลียนแปลใดๆ คือเปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นเอง
................
ตอบ
คุณกำลังเข้าใจผิดในข้อความ ได้โปรดไปศึกษาใหม่
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Mon May 29, 2006 8:57 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณฟาอิส ณเชียงใหม่
บทความที่กล่าวว่า
--อีกอย่างหนึ่งว่าแนวทางนี้มความเชื่อว่า เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถือว่าทุกอย่างเป็นสิ่งตายตัว จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกบันทึกตายตัวในกระดาน เลาฮิลมะฟูด มนุษย์แต่ละคนได้ถูกบันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเรื่องบุญวาสนา ริสกีต่างๆ การเกิด การตาย เมื่อพระองค์ทรงบันทึกแล้ว พระองค์จะไม่เปลียนแปลใดๆ คือเปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นเอง
................
ตอบ
คุณกำลังเข้าใจผิดในข้อความ ได้โปรดไปศึกษาใหม่
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอบ คุณว่าผมเข้าใจผิดในข้อความอย่างไรหรือครับ กรุณาช่วยอธิบายด้วยและยินดีรับฟังครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Mon May 29, 2006 11:24 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ฉนั้นเมื่อกำลังและความสามารถของพระองค์ถูกแบ่งแล้ว เราจะเรียกว่าพระองค์เป็น เตาฮีด ได้อย่างไร---หรือพระองค์นั้นทรงมีลักษณะการเป็นเอกภาพได้อย่างไรอีก ก็ในเมื่อมีความเข้าใจว่ากำลังส่วนหนึ่งอยู่ที่มนุษย์และส่วนหนึ่งอยู่ที่พระองค์
ดังนั้น ตรงนี้แหละที่อุลามะส่วนใหญ่เขาชี้ว่าเรากำลังสร้างภาคีหรือชีริกต่ออัลลออ์อย่างเปิดเผย
เพราะความเข้าใจว่า กำลังความสามารถส่วนหนึ่งอยู่ที่มนุษย์
ตรงนี้ฝ่ายอะลิสซุนนะฯก็แย้งว่า ถ้าอย่างนั้น การที่พระองค์กล่าวไว้ในอัลกรุอ่าน บอกให้บ่าววิงวอนขอสิ่งต่างๆต่อพระองค์ หรือบทขอพรต่างๆที่ท่านนบีได้สั่งสอนและทำแบบอย่างเอาไว้ ก็ไร้ความหมายใดๆใช่หรือไม่ เพราะ เรานั้นก็มีกำลังและความสามารถเป็นของตัวเอง จึงไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือหรือขอความสามารถใดจากอัลลออ์แล้ว
ด้วยเหตุนี้อุลามะส่วนมากมีจึงมีมติว่า ให้เราวิงวอนหรือขอกับพระองค์ได้ เพราะถึงแม้ว่า พระองค์เป็นผู้กำหนดทุกอย่างก็จริง แต่พระองค์ก็มิให้มนุษย์รับรู้สิ่งเร้นลับเหล่านี้ของพระองค์ (ฆอยส์)เช่นโชคลาภ วาสนา อายุขัยฯลฯ หรือการเป็นการตายฯลฯ การที่มนุษย์ไม่รู้นี่แหละ พระองค์จะทรงไม่บกพร่องหรือเสียหาย ถ้ากำหนดแล้วให้มนุษย์รับรู้ได้ ด้วยนีซิ จึงจะถือว่าพระองค์ผิดสัญญากับมนุษย์ เพราะถือว่าพระองค์กำหนดมาแล้ว และไม่รักษาสัญญาที่กำหนดไว้หรือไม่ทำตามที่กำหนดไว้
ดังนั้น ก็เพราะมนุษย์ไม่รู้นี้ในการกระทำใดๆของพระองค์นี้แหละ มันเป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่มีไว้กับมัคโล๊คที่ถูกสร้างเช่นเราๆท่านๆ พระองค์จึงสามารถที่จะยืดอายุ ให้ยาวหรือลดอายุให้สั้น หรือเพิ่มริสกีให้มากหรือลดก็ได้ พระองค์สามารถกระทำได้ทุกเรื่อง ดังคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า 'จงกล่าวเถิด มูฮำมัด ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้นั้น มาจากอัลลอฮ์ทั้งสิ้น"
การวิงวอนขอรีสกีเพิ่มพูน การขอให้พระองค์เพิ่มริสกีเพิ่มพูนก็เหมือนกัน กลุ่มอะลิสซุนนะฯถือว่า สามารถขอได้ เพราพระองค์นั้น คือผู้ยิ่งใหญ่ในสากลจักรวาล กำหนดการหรืออำนาจใดๆนั้น ขึ้นอยู่กับพระองค์เพียง
ผู้เดียว พระองค์อาจะให้หรือไม่นั้น เป็นสิทธิของพระองค์ที่มีต่อบ่าว แต่ถ้าเราศรัทธาว่า เมื่อพระองค์เป็นผู้กำหนดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยนั้น ต้องกลายเป็นว่า พระองค์ต้องตกไปอยู่ถายใต้ข้อกำหนดนั้น และถ้าอย่างนั้นใครใหญ่กันแน่ ข้อกำหนดหรือว่าพระองค์ใหญ่กว่า
เช่นเดียวเรามักจะได้ยินจากปากของกลุ่มที่ศรัทธาในแนวมัวะตะซีละมักกล่าวว่า......
---พระองค์นั้นจะไม่ผิดสัญญาใดๆ ที่พระองค์ได้กล่าวไว้และเป็นคำดำรัสในอัลกรุอ่านด้วยเช่นกัน ที่สั่งให้ ทำตามห้ามตามใช้ แล้วพระองค์จะตอบแทนด้วยสวรรค์ จะว่าอย่างไร---
----ซึ่งตรงนี้กลุ่มอะลลิสซุนนะฯก็ยึดถือ และไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงแต่มองกันคนละมุม//กลุ่มมัวตะซีละ จะเจาะจงมองไปที่ข้อกำหนดที่ตายตัวเป็นเกณท์ตัดสิน เรื่องสวรรค์-นรก
แต่กลุ่มอะลิสซุนนะมองในแง่ของหลักศรัทธาต่อพระองค์ ซึ่งแม้ว่าพระองค์พูดก็จริงแต่ถ้าพระองค์จะเปลี่ยนแปลงไม่ทำตามข้อกำหนดหรือตามสัญญา ใครจะมีสิทธิ์เหนือพระองค์ เพราะพระองค์อยู่เหนือการควบคุมและอำนาจการตัดสินใดๆนั้นเป็นของพระองค์เพียงผู้เดียวและพระองค์นั้นจะเป็นผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์เสมอ..
และถ้ามองกันอีกแง่มุมหนึ่ง คำว่าพระองค์ไม่ผิดสัญญานั้น ถามว่าเป็นสัญญาตอนไหน
เพราะคำว่าสัญญานั้นมีหลายลักษณะที่เรียกว่าสัญญาแต่ถ้าคำว่าสัญญาของมุสลิมโดยทั่วไปก็หมายถึง คำกล่าวกาลีมะชาฮาดะในการรับเป็นอิสลาม หรือรู่กนอิสลามที่เราจ้องปฏิบัติตาม
แต่ในที่นี้สัญญานี้หมายถึง ตั้งแต่ตอนที่พระองค์ทรงสร้างวิญญาณนั้น และพระองค์ได้ทรงถามวิญญาณเหล่านั้นว่า...........................
ยังมีต่อ............. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon May 29, 2006 11:51 am ชื่อกระทู้: |
|
|
konyakroo
ขอมูลที่น้องบ่าวนำเสนอ ถ้าจะให้เป็นวิชาการ น่าจะ อ้างอิงที่มา บ้างก็จะดีนะครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Mon May 29, 2006 3:41 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บังหะสันที่คิดถึง
ใจเย็นๆซิครับบัง(รูปหล่อ) สิ่งผมนำมามีที่มาแน่ครับ แต่บังก็ต้องเข้าใจนะว่า นี้เป็นแค่บทความเท่านั้น และผมขอรับรองว่าบทความนี้ไม่ได้เป็นบิดอะนะครับ แม้ว่าท่านนบีไม่ได้พูดในบทความนี้ทั้งหมดก็ตาม
ซึ่งอุลามะในทัศนะของอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)เป็นผู้เขียนและเรียบเรียงนั้นก็เอาจากหลักฐานทั้งสองมาตักเตือนประกอบเป็นช่วงๆ และก็ไม่ได้เกิดจากอารมณ์หรือนัฟซูอัมเราะของผู้เขียนมาเป็นเกณท์ในการนำเสนอทั้งหมดนะครับ
บังจะเห็นว่า ข้อความบางช่วงนั้นก็อ้างมาจากคำดำรัสของอัลลอฮ์ บางครั้งก็อ้างมาจากคำสอนของท่านนบี บางช่วงก็มีคำพูดของคุลีฟะอันรอซีดีนและบรรดาซอฮาบะของท่านนบีอีกหลายคน
แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่เริ่มต้นนะครับ
และอีกอย่าง สิ่งที่นำมาเสนอนี้ มันเป็นแค่การสอนหรือตักเตือนพี่น้องมุสลิมทั้งฝ่ายบังและฝ่ายเราให้เช็คตรวจสอบตัวเองในด้านอะกีดะด้วยกันเท่านั้น
ดังนั้นหลักฐานหรือ(ดะลี้ล)ที่บังต้องการสืบว่าบทความนี้ซอเหียะหรือฮะซันหรือดออีฟ ถึงขั้นเมาดัวะหรือไม่นั้น มันไม่มีครับ เพราะมันเป็นแค่คำพูดของมนุษย์หรือบ่าวของอัลลออ์คนหนึ่ง
ที่พระองค์ประทานความรู้และสติปัญญาให้เท่าที่พระองค์ประสงค์นะครับ
ยังไงผมก็ขอร้อง บังก็อย่าได้ตัดสินปิดกระทู้นี้ด้วยเพราะว่าผมไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีสที่ซอเยะมารองรับนะครับ...อิงชาอัลลอฮ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Mon May 29, 2006 3:47 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอร้องอีกครั้ง
ยังไงผมก็ขอร้อง บังก็อย่าได้ตัดสินปิดกระทู้นี้ด้วยเพราะว่าผมไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีสที่ซอ
เหี้ยะมารองรับนะครับ...อิงชาอัลลอฮ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon May 29, 2006 4:28 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
konyakroo กล่าวว่า
ยังไงผมก็ขอร้อง บังก็อย่าได้ตัดสินปิดกระทู้นี้ด้วยเพราะว่าผมไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีสที่ซอเยะมารองรับนะครับ...อิงชาอัลลอฮ์
.............
ตอบ
แค่..แนะนำเท่านั้น ความคิดจะปิดกระทู้ มันไม่ได้อยู่ในความคิดของอาบังเลย อยู่ดีๆแล้วไปปิดกระทู้เขา ได้อย่างไร ส่วนกระทู้เมาลิดที่ปิดไป ถ้าน้องบ่าว อ่านด้วยใจเป็นกลาง แล้วจะรู้ว่า ทำไมบังจึงปิด เช่น ขอความของนายมุหัมหมัด
อันนี้จากน้องเขาได้ไปที่เวปมุรีดโดยฟังการปราศัยของนายมุรีดเกี่ยวกับเรื่องเมาลิด ปรากฏว่านายมุรีดพูดจากหลอกลวงชาวบ้านตาดำๆไว้หลายประเด็นด้วยกัน ซึ่งนายมุรีดนั้นสมควรที่จะได้รับฉายาว่า "อุลามาอิสซูอฺ".................
เพราะฉนั้นควรจะเข้าใจบังด้วยว่า ทำไมถึงต้องปิด "คำว่า"อุลามาออิสซูอฺ" แปลว่า "ผู้รู้ที่ชั่วช้า"
มันสมควรหรือไม่ที่จะมาสนทนาศาสนากันอย่างนี้ และ ตอนนี้ เห็นไปโวยวาย กันในเว็บมิฟตาหไคโร ว่า ถูกวะฮบีย์ลอ็คไอพี ซึ่งบังก็ไม่รู้เรื่องเลย ที่จริงเขาสามารถตั้งกระทู้ใหม่ที่สร้างสรรค์ได้ ไม่มีปัญหา ยกเว้นนายมุหัมหมัด เพราะเขาไม่พร้อมที่จะพูดแบบคนดีเขาพูดกัน ที่จริงอาบังไม่อยากจะรื้อฟื้นขึ้นมา แต่..เมื่อยังคาใจน้องบ่าวอยู่ บังจึงอธิบายอีกที่
..................
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Tue May 30, 2006 5:10 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แต่ในที่นี้สัญญานี้หมายถึง ตั้งแต่ตอนที่พระองค์ทรงสร้างวิญญาณนั้น และพระองค์ได้ทรงถามวิญญาณเหล่านั้นว่า.......
...."ข้าไม่ได้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ"................
วิญญาณเหล่านั้นก็กล่าวตอบว่า
"หามิได้ พระองค์นั้นแหละคือ พระเจ้าของเรา."
จะเห็นว่า ในทุกๆชีวิตเราได้สัญญากับพระองค์กันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่พอวิญญาณมาจุติสู่ร่างมนุษย์ ทุกคนกลับลืมสิ้นในสัญญาตอนนั้น แต่พระองค์ผู้ทรงยุติธรรมที่สุด ก็ยังได้ส่งท่านรอ
ซู้ลมาบอกอีก แล้วให้มาทำสัญญากับมนุษย์อีก..จากคำดำรัสอัลกรุอานที่ว่า
"...แท้จริงผูที่ทำสัญญากับเจ้านั้น อันที่จริงเขาได้ทำสัญญากับอัลลอฮ์โดยตรง อำนาจแห่งอัลลอฮ์ย่อมอยู่เหนือมือของพวกเขา ดังนั้นผู้ใดละเลยสัญญา ที่จริงเขาได้ละเลยกับตัวเอง และผู้ใดทำตามสัญญาอย่างครบสมบูรณ์ ตามที่อัลลอฮ์สัญญาไว้ แน่นอนที่สุด พระองค์จะทรงประทานรางวัลอันยิ่งใหญ่แก่เขา.."
อลามะบางท่านกล่าวว่า สัญญาที่ทุกคนหลีกนีไม่ได้คือ กาลีมะ2ชาฮาดะ ในรูกนอิสลาม
และสัญญาในรูกนอีหม่านหรือภาคการศรัทธาคือ การศรัทธาว่าอัลลออ์เป็นเจ้าและท่านบีมุฮำมัดเป็นรอซุลลัลลอฮ์ของพระองค์..
การวิงวอนหรือขอให้เราตายในอีหม่าน..
พี่น้องครับเรื่องการตายในอีหม่านนั้นใครๆก็ต้องการไม่ว่าจะอยู่ในมัสหับไหนหรือการศนรัทธาแบบไหน ประเด็นมันอยูที่ว่าเราและท่านต่างก็เป็นข้าทาสด้วยกัน เคยยอมขอวิงวอนกับพระองค์บ้างหรือไม่
สำหรับแนวทางอะลิสซุนนะวัญญะมาอะนั้น ถือว่าการขอนี้ย่อมกระทำได้อยู่แล้ว และยะเก่นหรือเชื่อมั่น..ว่าพระองค์นั้นให้ได้เสมอ โดยไม่ยึดติดอยู่กับข้อกำหนดของพระองค์ ว่าจะต้องตายตัวเสมอไป พระองค์จะให้ทางนำกับใคร หรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิของพระองค์ ในชนกลุ่มนี้จึงมีการขอกันเสมอไม่ว่าหลังละหมาดสุนัตหรือหลังละหมาดฟรัดู
ส่วนฝ่ายมัวะตะซีละนั้นเขาถือว่า เขาจะยึดหลักฐานด้านชารีอัตเป็นหลัก และถ้าหลักฐานไม่ชัดเจนในสายของเขาเขาถือว่า ไม่ส่งเสริมให้กระทำ เพราะจะเป็นการอุตริกรรมและบิดอะ
และในการศรัทธาของเขานั้นเขาถือว่า เมื่อพระองค์กำหนดแล้วเปะๆเเล้ว จะขออย่างไรก็ไม่ได้แล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกำหนดเดิมของพระองค์ โดยเอาข้อกำหนดนี้ไปผูกมัดกับพระองค์ เพื่อป้องกันไม่ให้พระองค์บิดพลิ้วหรือเปลี่ยนแปลงสัญญา... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
adeel มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 172
|
ตอบ: Thu Jun 01, 2006 2:02 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
นายคนอยากรู้พูดว่า
ฉนั้นนักวิชาการจึงได้แบ่งการศรัทธาออกเป็น4ลักษณะด้วยกัน
1. การศรัทธาแบบ ยับบารียะ
2.การศรัทธาแบบมัวะตะซีละ
3.การศรัทธาแบบอะลลิสซุนนะวัญญะมาอะ
4.การศรัทธาแบบอะลิ้ลกะซัฟ
ถาม..... ใครเป็นคนแบ่งให้ครับ บิดอะฮ์ไหมละเนี่ย ฮ้าๆๆ
แล้วอิหม่ามทั้งสี่โดยเฉพาะอิหม่ามชาฟีอีของผมอยู่ในข้อไหน หวังว่านายคนอยากรู้หัวหอกตะรีกัตคงตอบได้นะขอรับ ฮ้าๆๆ เอิกๆๆ
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Jun 01, 2006 3:57 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ตอบ: Thu Jun 01, 2006 5:02 pm ชื่อกระทู้:
--------------------------------------------------------------------------------
นายคนอยากรู้พูดว่า
ฉนั้นนักวิชาการจึงได้แบ่งการศรัทธาออกเป็น4ลักษณะด้วยกัน
1. การศรัทธาแบบ ยับบารียะ
2.การศรัทธาแบบมัวะตะซีละ
3.การศรัทธาแบบอะลลิสซุนนะวัญญะมาอะ
4.การศรัทธาแบบอะลิ้ลกะซัฟ
ถาม..... ใครเป็นคนแบ่งให้ครับ บิดอะฮ์ไหมละเนี่ย ฮ้าๆๆ
แล้วอิหม่ามทั้งสี่โดยเฉพาะอิหม่ามชาฟีอีของผมอยู่ในข้อไหน หวังว่านายคนอยากรู้หัวหอกตะรีกัตคงตอบได้นะขอรับ ฮ้าๆๆ เอิกๆๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อะแฮ้ม..นายอดีตอ่านบทความของผมด้วยหรือครับ อัลหัมดูลิ้ลลาห์...คุณจะได้หูตาสว่างเสียบ้าง
ไหนๆคุณก็ถามผมมากแล้ว
ผมขอถามคุณนิดเถอะว่า
---การที่เราเอาคำพูดที่ถูกถ่ายทอดมาจากคนมีความรู้ ในวิชาภาคอุซุ้ลและตะเซาวุฟมาบอกกล่าวให้กับพี่น้องของเรานั้นมันเป็นบิดอะตรงไหนหรือครับ คนรู้มาก...
เเล้วที่นี้ผมจะถามย้อนเกล็ดคุณบ้างเดี๋ยวนะแล้วคุณอย่าหนีลงหลุมนะครับ
ถามว่าอุลามะวะฮาบีย์คนใดบ้างที่ฮูกมว่าสิ่งที่นักวิชาการในมัสหับชาฟีอี(รฮ)แบ่งการศรัทธาออกเป็น4 แนวทางเป็นบิดอะนั้นมีใครบ้างไหมครับกรุณายกหลักฐานมาด้วยอย่าพูดพล่อยๆ
จากคำถามเดียวกันการที่คุณเอาคำพูดของอุลามะหรือผู้รู้หรือ อจ.คนใดคนหนึ่งมาถ่ายทอด
ไม่ว่าจากคำบอกกล่าวจากสื่อใดๆเป็นบิดอะไหมครับ
หรือถ้าคุณเอาคำพูดคำสอนของอามีรวะฮาบีย์ที่ไปบรรยายมาถ่ายทอดลงซีดีหรืออินเตอร์เน็ทอย่างนี้เป็นบิดอะไหมครับฮ้าๆๆๆ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แล้วอิหม่ามทั้งสี่โดยเฉพาะอิหม่ามชาฟีอีของผมอยู่ในข้อไหน หวังว่านายคนอยากรู้หัวหอกตะรีกัตคงตอบได้นะขอรับ ฮ้าๆๆ เอิกๆๆ
อะฮ้า..นายอดีตหน้าด้านนะที่เปลี่ยนสักัดมาตักลีดตามอีหม่ามชาฟีอีแล้ววหรือครับ
อย่างนี้ท่านอีหม่ามชาฟีอีเขาไม่ว่าหรือครับปุ๊บปั๊บเปลี่ยนจากวะฮาบีย์มาเป็นอัชชาฟีอี(รฮ)ค่ายใหม่ ท่านห้ามตักลีดนะครับถ้าไม่รู้จริง
คุณต้องศึกษาให้มากก่อนครับไม่ใช่ตักลีดแบบคนตาบอด
แนวทางของมีวตะซีละถือว่า ห้ามตักลีดครับและอะลอสซุนนะถือว่าแค่บาปครับ
ฉนั้นคุณว่าคุณตักลีดตามท่านอีหม่ามทั้ง4จริงโดยเฉพาะท่านอีหม่ามชาฟีอีนั้นผมถือว่า คุณมุสาครับ
ทางที่ดีคุณกลับไปแนวทางอีหม่ามชาฟีอีให้ละเอียดครับว่าการเชื่อฟังอุลามะในมัสหับของเรานั้น
ถูกปิดหรือไม่..ไม่รู้จริงอย่าทำเป็นรู้ครับ กลับลงหลุมไปนอนกับความมืดเถอะครับฮ้าๆๆๆ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Jun 01, 2006 4:21 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แก้ไข...ทางที่ดีคุณควรกลับไปค้นคว้าและศึกษาแนวทางอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)ให้ละเอียดก่อนดีกว่า
ครับว่าการเชื่อฟังอุลามะในคำสอนต่างๆในมัสหับของเรานั้น
ถูกปิดกั้นหรือไม่..ไม่รู้จริงอย่าทำเป็นรู้ครับ กลับลงหลุมไปนอนกับความมืดเถอะครับฮ้าๆๆๆ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาต่อกันครับ
และในการศรัทธาแบบมัวะตะซีละนั้นเขาถือว่า เมื่อพระองค์กำหนดแล้วเปะๆเเล้ว จะขออย่างไรก็ไม่ได้แล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกำหนดเดิมของพระองค์ โดยเอาข้อกำหนดนี้ไปผูกมัดกับพระองค์ เพื่อป้องกันไม่ให้พระองค์บิดพลิ้วหรือเปลี่ยนแปลงสัญญา.หรืออีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระองค์สัญญาแล้วพระองค์จะดิ้นไม่ได้ เพราะข้อกำหนดนั้นมันได้ผูกมัดพระองค์อยู่
พี่น้องการที่เรามีความเชื่อหรือการมีอีหม่านเช่นนี้ ขอให้ท่านได้พิจราณาและตรวจเช็คกันเองก็แล้วกัน ว่าจุดไหนเป็นสิ่งถูกต้อง
สรุปแนวทางมัวะตะซีละคือ
มีการแบ่งกำลังความสามารถของบ่าวออกจากอัลลฮ์อย่างสิ้นเชิง ไม่เกี่ยวพันกัน ข้อกำหนดของอัลลฮ์เมื่อพระองค์ ทรงกำหนดแล้วต้องตายตัว เปลี่ยนแปลงไม่ได้
แนวทางในการศรัทธาแบบมัวะตะซีละนั้น จะแตกต่างกับกลุ่มชนอะลิสซุนนะวัญญมาอะ มาตลอด
จนกลายเป็นเรื่องปัญหาคีลาฟียะฮ์ ที่ถูกสั่งสมและถกเถียงกันอยู่อย่างวไม่มีวันจบสิ้น
ยันกียามะฮ์
ในกรณียการศรัทธาแบบมัวะตะซีละนั้น อุลามะส่วนมากจากมัสหับทั้ง4 เขาฮูกมว่า
เป็นบิดอะและฟาซิก เพราะเขาถือว่าชนกลุ่มนี้ยึดแต่หลักชารีอัตหรือคำสอนของท่านบีเป็นหลักในใหญ่ แต่ไม่เอาหลักฮะกีกัตของอัลลออ์มาใช้เลย
โดยแบ่งแยกบ่าวออกจากอัลลอฮ์แบบไม่เกี่ยวพันกันอะไรทั้งสิ้น บ่าวก็คือบ่าว อัลลออ์ก็
คืออัลลออ์ ซึ่งเป็นการแยกออกอย่างชัดเจน
ไม่ว่าการยกหลักฐานจากท่านนบีมาอ้าง และว่าไปถามหลักฐานนั้นๆนบีว่าอย่างไรต้องอย่างนั้นและอัลลออ์จะต้องทำตามตลอด โดยเอาคำพูดของท่านนบีไปผูกมัดกับคุณลักษณะของอัลลอฮ์ทั้งๆที่พระองค์นั้นอยู่เหลือมัคโล๊กทั้งปวง
โดยตัดฮะกีกัตหรือกุดดอรัตของพระองค์อย่างสิ้นเชิง...
แนวทางของอะลิสซุนนะวัญญะมาอะฮ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Jun 01, 2006 4:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แนวทางของอะลิสซุนนะวัญญะมาอะฮ์
พี่น้องชาวอะลิสซุนนะทั้งหลายครับ คำๆนี้ใครก็ต้องการและอยากได้ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรละครับว่าเรานั้นมีการศรัทธาแบบอะลิสซุนนะวัญญามาอะที่นบี(ซล)รับรองว่าได้เข้าสวรรค์
และจากบางตอนของฮาดิสที่ท่านนบีได้กล่าวเตือนเราว่า...ประชาติของฉันนั้นจะแตกออกเป็น73 พวก และที่ถูกเพียงพวกเดียว ซอฮาบะถามว่าพวกไหนหรือครับ ท่านนบีว่า..อะลลิสซุนนะวัญญะมาอะฮ์...
พี่น้องครับนี้คือข้อความบางส่วนของเนื่อหาฮาดีสที่นำมายืนยันใหพี่น้องได้เห็น
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครๆในประชาชาติของท่านนบีต่างใฝ่ฝัน ในคำว่าอะลิสซุนนะวัญญมาอะ
แม้กระทั้งบรรดาภรรยาท่านบีและวงค์วานของ ท่านบรรดาซอฮาบะทั้งหญิงและชาย บรรดาตาบีอีน บรรดาตาบีอิตตาบีอีน บรรดาอีหม่ามทั้ง4 บรรดาคนในยุคสลัฟ และชนในยุคคอลัฟและพวกสุดท้ายคทือเราๆท่านๆนั้นเอง
ต่างก็ใฝ่ฝันอยากอยู่ใต้ร่มธงผืนนี้กันทุกคน
.
แล้วใครละจะรู้ว่าสิ่งที่เราศรัทธาในเอกภาพต่ออัลออฮ์ที่เป็นสิ่งสำคัญสุดในด้านเตาฮีดต่อพระองค์จะถูกต้อง
ดังนั้น นอกจากคำพูดในอัลฮาดีสที่บ่งบอกถึงชารีอัต(ฟิกฮ์)หรือแบบอย่างท่านนบีแล้ว
จะมีอะไรอีกไหมที่จะนำสู่เราไปสู่เส้นทางของร่มธงอะลิสซุนนะวัญญามาอะอีก
โปรดติดตามเถิดพี่น้อง..... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dabdulla มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005 ตอบ: 437
|
ตอบ: Fri Jun 02, 2006 1:49 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เรียนถามคุณคนอยากรู้นิดครับ ที่ว่า
อย่างนี้ท่านอีหม่ามชาฟีอีเขาไม่ว่าหรือครับปุ๊บปั๊บเปลี่ยนจากวะฮาบีย์มาเป็นอัชชาฟีอี(รฮ)ค่ายใหม่ ท่านห้ามตักลีดนะครับถ้าไม่รู้จริง
คุณต้องศึกษาให้มากก่อนครับไม่ใช่ตักลีดแบบคนตาบอด
แนวทางของมีวตะซีละถือว่า ห้ามตักลีดครับและอะลอสซุนนะถือว่าแค่บาปครับ
_____________________________________________________________________
ผู้คนในบ้านเรา ที่ไม่มีความรู้นั้น ต่างก็อ้างว่าตามอีหม่ามชาฟีอีย์ หรือ แม้แต่พวกวะฮาบีย์เองก็ตามครูที่สอนทั้งนั้น
มันมีเงื่อนใขมากกว่านี้หรือไม่ เช่นตามผู้รู้ที่ตามสังกัดได้ แต่เขาจะต้องมีที่มาที่ไปของหลักฐาน
การสอนของวะฮาบีย์ เขาจะยึดบรรทัดฐานโดยมีการกล่าวอ้างว่า สิ่งนี้ทำได้ สิ่งนี้ทำไม่ได้เพราะมีตัวบท จากอัลกุรอ่าน และ ฮาดิษอย่างไร แต่ในกรณีโต๊ะครูทั่วไปที่อ้างว่าตามอีหม่ามชาฟีอีย์ ผมเองยังไม่เคยเห็นใครมีการอ้างหลักฐานเลย มีก็ในเวปนี้แหละ
คำพูดผมอาจจะไม่ถูกใจใครบางคุณนะครับ อาจจะเป็นคุณด้วยก็ได้ แต่มันเป็นความจริง ท่านนบีใช้ให้เราพูด
อีกคำถามหนึ่ง ที่คุณกล่าวว่า พวกมัวอ์ตะซิละห์ห้าม แต่อะห์ลุสซุนนะห์ถือว่าแค่บาป
บอกตรงๆ ว่าตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย ก็คือ คำว่าแค่บาป และในเมื่อมันบาป ศาสนาก็ต้องห้าม เมื่อห้ามก็ตรงกับมัวอ์ตะซิละห์ แล้วมันต่างกันยังงัยครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|