ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - ว่าด้วยเรื่อง ฮิญาบ เพราะสาเหตุใดในอิสลามจึงได้มีทั้ง 3 แบบ
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
ว่าด้วยเรื่อง ฮิญาบ เพราะสาเหตุใดในอิสลามจึงได้มีทั้ง 3 แบบ
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> เกี่ยวกับมุสลิมะห์
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Thu Jun 01, 2006 2:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อาจารย์ อะสัน แกเข้ามาตอบแล้วคุณแมทท์

เห็นแกถามคุณเพิ่มด้วยนั่นน่ะ ผมอ่านแล้วยังถามตัวเองเลยว่าจะพูดอ้อมค้อมทำไม

อาจารย์อะสัน แกถามได้ตรงประเด็นนะ เหมาะสำหรับคุณแมทท์ ในการตรวจสอบอากีดะห์

ถ้าผมเป็นคุณแมทท์ล่ะก็ ผมจะซักคำถาม อาจารย์อะสัน เรียกว่า เอาให้โล่งกันไปเลย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Fri Jun 02, 2006 8:18 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

สวัสดีครับคุณ dabdulla

เมื่อคุณขะยั้นขะยอผม ให้ตอบคุณในเรื่องนี้ ผมก็ขอตอบเฉพาะคุณก่อน แต่ว่าเมื่อ อาจารย์อาสาน มีเวลาท่านคง เข้ามาคุยกับผมอีก คุณไม่ต้องกังวล เลยกครับ และผมก็ไม่ไปไหน เพราะ ผมชอบคุยกับคุณ

คุณจะเห็นว่า ในกระดานเสวนานี้ ในขณะนี้ มีกระทู้ที่น่าสนใจ และ เป็นกระทู้ที่มี ข้อความเชื่อม โยงกัน อยู่ 3 กระทู้ คือ

1.ขอทราบหลักการที่ท่านเข้าใจในเรื่องนรก-สวรรค์ (IRF)
2.ว่าด้วยเรื่อง ฮิญาบ เพราะสาเหตุใดในอิสลามจึงได้มีทั้ง 3 แบบ (ba)
3.สตรีนำละหมาดโดยที่มีหญิงชายรวมกัน มุมมองจากอัลกรุอ่าน (alislam)

ทั้ง 3 กระทู้ นี้ เกี่ยวกับเรื่อง สิทธิของ “สตรีมุสลิม ตามหลักศรัทธา ของ ศาสนาอิสลาม” เป็นกระทู้ที่ ควรจะมีผู้สนใจมากกว่านี้ ผมเคยให้ความเห็น ไป ในกระทู้หนึ่ง ซึ่ง มีผู้อยากทราบถึง สิทธิ ของสตรี ในภาคตะวันออกกลาง การตอบของ ผม เป็น การตอบ อย่าง พยายามที่จะให้ ผู้ต่างศาสนา ซึ่งมอง อิสลามอย่าง ผิวเผิน ไม่เข้าใจผิด ไปว่า สังคมมุสลิมเรายัง ป่าเถื่อน และ ยัง ปฏิบัติต่อ เพศหญิง เช่นเดียว กับ สังคม ใน สมัย เมื่อ 1400 กว่า ปีมาแล้ว

เรื่อง อากิดะห์ เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล และมีหลักการศรัทธา ต่อศาสนาที่ตนนับถือ แตกต่างกันออกไป, สำ หรับ อิสลาม หลักความศรัทธา อยู่ที่มีความเชื่อมั่น ต่อพระเจ้าองค์เดียว มุสลิมคือผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์ และยอมจำนน ต่อ พระประสงค์ของพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เราจะเห็นว่า แม้แต่มุสลิมด้วยกันเอง ก็ไม่สามารถจะ ตัดสินใจได้ว่า การทำ เมาลิดนะบี เป็น ส่วนหนึ่งของความศรัทธา หรือ เป็น การ ต่อเติม หลักการของศาสนา ซึ่ง ยังหาจุดยืน ในเรื่อง อากิดะห์ ของตนเองไม่ได้ จนปัจจุบันนี้ ทั้งนี้เพราะ มุสลิมยังขาดความเชื่อมั่น ในอัลกุรอาน ที่ พระองค์ อัลลอฮ์ ทรงบัญญัติ ให้เชื่อฟัง และเป็น หนังสือของพระองค์เล่มสุดท้ายที่ มุสลิมจะต้องใช้ยึดถือเป็น แนวทางปฎิบัติภาระกิจในศาสนา เท่านั้น

“ผมไม่ทราบว่า มุสลิม สอนถึงเรื่อง ความศรัทธา ในศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีศรัทธาต่อพระองค์อัลลออ์ นั้น ขึ้นอยู่กับ ความหวังที่จะได้ขึ้นสวรรค์ และ ความกลัวที่จะถูกจับโยนใส่นรก”

ในอัลกุรอานบัญญัติไว้มีความหมายว่า:

“ ไม่ว่า จะเป็นผู้ใดก็ตาม จะเป็น คริสเตียน, ยิว, หรือผู้ที่กลับใจมา เข้ารับอิสลาม โดยถ้าเขาเหล่านั้น มีความศรัทธา ต่อ พระเจ้าองค์เดียว(อัลลอฮ์), วันสิ้นโลก, นรกและสวรรค์ และปฏิบัติตน ในการใช้ชีวิต ในโลกดุนยาอย่าง ถูกทำนองครองธรรม แล้ว เขาเหล่านั้น จะไม่เสียใจ”

ที่กล่าว ข้างบนนั้น คือ ความหมายของ คำว่า “มุสลิม” คือผู้ที่ยอมตัวสวามิภักดิ์ และ ยอมจำนนต่อ พระประสงค์ของ “พระเจ้าองค์เดียว เท่านั้น” หลักการปฏิบัติใน ในการใช้ชีวิต ในโลกดุนยาอย่าง ถูกทำนองครองธรรม นั้น มีหลักการ อยู่ ใน “อัลกุรอาน” และ จาก “ซุนนะห์” ของ ท่านรอซูล ที่ถ่ายถอดแบบฉบับ มาจาก ท่านนะบีอิบรอฮิม ต่อๆกัน มา จนถึง ปัจจุ บันนี้ โดยไม่มีการจดบันทึกเป็นอย่างอื่น เป็นแบบ ฉบับที่ ทำต่อเนื่อง กันมา เป็นนิสัย

การปฏิบัติความดี ในการใช้ชีวิต ในโลกดุนยาอย่าง ถูกทำนองครองธรรม นั้น เป็นกฏข้อบังคับ เพื่อแสดงความ ศรัทธา “ต่อพระองค์อัลลอฮ์” เท่านั้น ถ้ามุสลิมไม่ปฏิบัติตาม ก็แสดงว่า “ไม่ได้อยู่ในสังคมของผู้ศรัทธา ต่อพระเจ้า องค์เดียว (อัลลอฮ์) ส่วนว่า จะตกนรก หรือ ขึ้น สวรรค์ นั้น เป็น พระประสงค์ ของ พระเจ้า เท่านั้น “มนุษย์สามัญ ธรรมดาไม่อาจจะตัดสินในเรื่องนี้ได้ แม้แต่ตัวท่านรอซูลเอง” และไม่มีมนุษย์ผู้ ใด ในโลก ดุนยานี้ จะทราบการ ล่วงหน้า ได้ นอกจาก พระผู้ เป็นเจ้า เท่านั้น

ด้วยเหตุผลดังนั้น ผมจึงกล่าวว่า ถ้าเรามีความรักและศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว แล้ว เราต้องทำหน้าที่ของเราจาก จิตใจที่มีศรัทธาและความรักสวามิภักดิ์ ต่อ พระองค์ ไม่ใช้จาก การหวังผลตอบแทนต่อพระองค์ การทำความดี และปฏิบัติ ตัว ตามพระประสงค์ ของ พระเจ้า ซึ่ง ไม่ไช่การลงทุนแต่เป็นหน้าที่ รับผิดชอบ การขึ้นสวรรค์ หรือ ลงนรก ไม่ใช่การ ได้ผลกำไร หรือ การขาด ทุน เช่น ในการค้าขาย

ดอกเบี้ย ก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณลงทุน, ลงแรง และค่าใช้จ่าย ในสินค้าชิ้นหนึง ไป 100 บาท แต่คุณไป ขาย 500 บาท ก็ไม่ต่างอะไรกับ การ “กินดอกเบี้ย” หรือ ที่เรียก ว่า พ่อ ค้า หน้าเลือด สิ่งที่ต่าง กันอยู่ ระหว่าง การค้า กับ การ กินดอกเบี้ย ก็คือ การกินดอกเบี้ย เป็น “การค้า ของตัวกลางแลกเปลี่ยน” ได้แก่ธนบัตร์ หรือ เงินทอง ในสกุลต่างๆ แม้แต่ธนาคาร “มุสลิม” พูดกันอย่าง ธรรมดา ก็คือ ขบวน การ เปลี่ยนชื่อดอกเบี้ย ไปเป็น ชืออื่น เช่น “การแบ่งปันผลกำไร, ค่าบริการ , เอาดอกเบี้ยไปลงทุน ในนามของ บริษัท แล้วแบ่งปันผลกำไร?

คุณ dabdulla ทราบ หรือไม่ว่า “บนสวรรค์” ถ้าคุณอ่านใน อัลกุรอาน (โดยไม่พิจารณา และใช้สติปัญญา แล้ว หรือการนำมาอธิบาย ตามยุคสมัยแล้ว) รวมทั้ง ใน อะหะดีษ “ซอเฮี๊ยะ” แล้ว คุณ จะเห็นว่า แทบไม่มีมีที่สำหรับ “มุสลิมะ” ที่ทำความดี จะได้เข้าประตูสวรรค์, ถึงแม้ว่าในโลกดุนยา เธอจะยอม เป็นทาสที่ดีต่อ สามีชายมุสลิม อย่างไรก็ตาม โดยการ ยอมหลับนอน กับสามี เมื่อ ใดก็ตาม ที่สามีต้องการ ถึง แม้ ตัวเธอเองจะไม่ต้อง การใน คืนวันนั้น, ยอมให้สามีเฆี่ยนตีเธอได้, ไม่เถียงหรือ โต้ตอบสามี, ไปไหนมาไหน ก็ เอากระโจมคลุมตัว จนมืดมิด, ออกความคิดความเห็นใน การปกครองการบริหาร ครอบครัว และธุระกิจไม่ได้, ใช้ชีวิต ในโลกดุนยาอย่าง ถูกทำ นองครองธรรม ฯลฯ เธอกระทำตัวเหมือน สัตว์เลี้ยง ของ สามี ทุกๆทาง แต่ โอาสในการเข้าประตูสวรรค์ ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็ เช่นเดียว กับ “ความยากมากในการ ที่ คุณ จะเห็น อีกา มีปากและตีน สีแดงฉูดฉาด” (หะดีษ)

แต่สวรรค์ของผู้ชาย มีทั้งสุรานารี อย่างเหลือเฟือ ถ้าต้องการรายละเอียดแล้ว ผมจะนำมาให้คุณดูอย่างละเอียด และ ให้คุณตัดสินใจเอาเอง ว่า สตรีมุสลิม ถ้าอยากขึ้นสวรรค์แล้ว โอกาสมีมากเท่าใด และต่ำต้อย กว่า ผู้ชายมากเพียงใด รางวัลที่เธอจะได้รับในสรวงสวรรค์ ก็เพียงแค่ ได้อยู่ร่วมกับครอบครัว และสามี ที่เธอเป็น ข้าทาส ของ เขา ในโลกดุนยา

คุณเชื่อหรือว่า ศาสนาเราสอนเช่นนี้หรือ? ในอัลกุรอานสอนเราว่า ผู้ที่ใช้สติปัญญาเท่านั้น ที่จะเข้า ใจ ข้อเปรียบเทียบ และ การอุปมาอุปมัย ในบัญญัติต่างๆ ของพระองค์

การที่ผุ้หญิงไม่เท่าเทียมผุ้ชายในเรื่อง การปฏิบัติ ภาระกิจ ทางศาสนา, เพราะว่า เธอมีรอบเดือน ไม่อาจจะ จับต้อง อัลกุรอาน, ทำละหมาด และ ถือ ศีลอดได้ กฏเกณฑ์ นี้ ไม่มีข้อห้ามในอัลกุรอาน แต่มีในอะหะดีษ ทั้งนี้ ถือ ว่า เธอไม่สะอาด พอ เพราะ รอบเดือน ผมหาไม่พบในอัลกุรอานถึงข้อ ห้าม ในการปฏิบัติ ภาระกิจทางศาสนาดังกล่าว แล้ว ในอัลกุรอาน สั่ง ห้าม สามี หรือ ชาย เข้าใกล้ หญิง ที่ในเวลามีประจำเดือน ไม่ใช่ด้วยเหตุผล ของความสกปรก แต่เกรงว่า จะทำความเจ็บปวด และ การป่วยเจ็บ ให้ กับหญิง ในขณะมีรอบเดือน ด้วยเหตุผลทางสรีระของเพศหญิง ซึ่ง พระองค์อัลลอฮ์ทรงสร้าง เพศหญิง มาเช่นนั้น ฉนั้น ผมจึงเชื่อว่า พระองค์อัลลอฮ์ ไม่ได้ห้ามการปฏิบัติ ภาระกิจ ทางศาสนา ของเพศหญิง ในขณะมีรอบเดือน

ในทางตรงกันข้าม ในอะหะดีษกลับบอกว่า ให้ผู้ชาย เข้าใกล้และกอดประโลมลูบไล้ นางขณะมีรอบเดือนได้ เพียง แต่ ต้อง ให้ นาง เอาผ้าเตี่ยวพันรอบเอวปิดของ สงวนไว้ ในข้อนี้เราจะเห็น ว่า การสอนเช่นนี้ ส่อ ให้เห็น ถึงการ ไม่ เชื่อ ฟัง อัลลออ์ และ ไม่เห็นใจ ผู้หญิง ในขณะที่ มีการเจ็บ ปวด ในการมีรอบเดือน แต่ด้วยเกรงว่า ถ้าขัดขืนสามีแล้ว จะถูกสาปแช่ง ลงโทษ และ ไม่ได้ขึ้นสวรรค์

คุณ Dabdulla ลองคิดดูดีๆ ใช้ เหตุผลซิครับ ว่า ท่านรอซูล ผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติ ตาม โองการของอัลลอฮ์ จะกระทำเช่นนั้นหรือไม่ ? มันเป็นคำสั่ง ห้าม ของ พระองค์ อัลลอฮ์ ด้วยเหตุนี้ เรื่อง ท่านรอซูล กอดรัดภรรยา ในขณะมีรอบเดือนในอะหะดีษ จึงเชื่อถือไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล อย่างไรก็ตาม

เหตุผล ที่คุณ คุณ Dabdulla อธิบายว่า การที่มุสลิมมีความศรัทธาในเรื่องวันสิ้นโลก และ นรก สวรรค์นั้น เป็นจุด ยืนที่สำคัญของผู้ที่จะเป็น ประชาชาติ ตัวอย่างของโลก นั้น, คุณ Dabdulla ลืมคิดไปว่า เรื่อง นรกสวรรค์ และ บนสวรรค์ มีนางฟ้า ที่สวยสด งดงาม รวม ทั้ง ยังมี น้ำทิพย์ น้ำจันทน์ มีมาก่อน ศาสนาอิสลาม นาน แล้วครับ มีมาตั้ง ก่อน 2500 กว่าปี หรือนาน กว่านั้น อีก ในศาสนาพราหมณ์ กล่าวและบรรยาย ความสุขบนสวรรค์ เช่นเดียว กับ ในศาสนาอิสลาม สำหรับชาย แล้วคล้ายๆกัน และสภาพในนรกก็คล้ายกัน ผู้ที่มีอำนาจตัดสิน ในเรื่อง ใครจะ ไปนรกสวรรค์ ก็คือ พระพรหมณ์ ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเราตีความหมาย ในอัลกุรอาน โดยการไม่เข้าใจถึง ความหมายที่แท้จริง ในเรื่อง นรกสวรรค์ แล้ว เราจะเห็นว่า บนสวรรค์ คือ สถานที่เริงรมณ์ ของ เพศชาย เท่านั้น

เพศหญิงซึ่งเป็น เพศที่ เป็น “มารดา” ของมุสลิมชาย และเพศชายทุกๆ คน , ถ้าลูก ชายได้ขึ้น สวรรค์ ไปเริงรมณ์ กับ สุรานารี ถึง 70-72 นางต่อ ชาย 1 คน, และมองเห็นมารดา ยืนรอยู่หน้า ประตูสวรรค์ เพื่อที่จะคอยโอกาศ ให้ ประตูสวรรค์ เปิด ให้ท่านนั้น (ซึ่งอาจ จะยากมากทีเดียว) ลูกชาย จะมีความรู้สึก อย่างไร ? หรือว่าบนสวรรค์ ไม่มีการรู้บุญคุณ มารดา, ถึงแม้จะมีหะดีษ ที่กล่าวว่า “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา” ก็เป็นเพียง หะดีษฎออีฟ

ที่คุณกล่าวว่า
1. เวลาที่เขาทำความดีกับเพื่อนมนุษย์ เขาก็ไม่คุยโวโอ้อวด เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ความดีของเขาต้องมลายไป
2. เขาไม่กิน ดอกเบี้ย เพราะคนที่มีความหวังในการเข้าสู่สรวงสวรรค์ของอัลลอฮนั้นจะไม่ทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะชาติใด ภาษาใด หรือแม้แต่คนที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮก็ตาม
3. ไม่เล่นการพนัน ไม่ดื่มสิ่งมึนเมา ไม่ต้องอธิบาย เพราะคุณคงนึกได้
4. ไม่นินทาว่าร้ายต่อผู้ใด ผู้จะทำให้ความดีไปตกอยู่กับคนอื่น

ดูๆแล้วคล้ายกับข้อห้ามปฏิบัติ 5 ประการ ทางปรัชญาพุทธศาสนา แต่เนื่องจาก ศาสดาของศาสนาอื่น ก็เป็น ลูกหลานท่านนะบีอดัม ด้วยกันทั้งนั้น เพราะพระองค์อัลลอฮ์ เป็นผู้สร้างมนุษย์ ทุกๆเชื้อชาติ และในอัลกุรอาน กล่าวไว้อีกว่า “พระองค์อัลลอฮ์ จะไม่ปล่อย ให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น หลงไปในหนทางชั่วช้า ไม่มี จุดหมายปลายทาง อาจจะเป็นไปได้ ที่พระองค์ ทรงบันดาล ให้มนุษย์ ในสมัย 2500 ปีก่อน นั้น นึกถึง ข้อ บัญญัติ ที่สามารถ จะ ช่วยให้ สังคมมนุษย์ อยู่ร่วมกันได้ ตามที่คุณกล่าวมา คือ….

1. การละเว้น จาก ทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)ไม่ว่าจะชาติใด ภาษาใด หรือแม้แต่คนที่ตั้งภาคี ต่ออัลลอฮ์ ก็ตาม
2. ละเว้นจากการกล่าวคำเท็จ หรือการกล่าวใส่ร้าย ผู้ใดซึ่งไม่มีความจริงอยู่ (หะดีษซอเฮี๊ยะ)
3. ละเว้นจากการไม่คบชู้สู่สาว
4. ละเว้นจากการนินทา
5. ละเว้นจากการเสพของมึนเมาทุกขนิดในโลกดุนยา

คุณ dabdulla จะเห็นว่า ที่คุณกล่าว มานั้น ก็คือ –ข้อห้าม ที่ บุคคลไม่ควร กระทำ 5 ประการ ซึ่งความจริง แล้ว ข้อห้ามทั้งห้าข้อนี้ เป็น พื้นฐานของทุกๆศาสนา ทั้งนี้ เพราะว่า ถ้าทุกคน ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้ว มนุษย์ จะอยู่ ร่วมกัน ในสังคมอย่างสุขสบาย ไม่มีการเบียดเบียน กัน คุณเห็นด้วยไหม?

เนื่องจากในสมัยเมื่อ 2500 กว่าปีนั้น มนุษย์ ยัง ไม่รู้จักว่า มี พระเจ้า ผู้สร้าง เพียง พระองค์เดียว ศาสดาของ พุทธศาสนา ยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่มีความเชื่อว่า มีสิ่งหนึ่งที่สูงสุด ที่มีอำนาจ ในการ ควบคุมธรรมชาติ แต่ไม่ทราบว่าอะไร? อาจจะเป็น อวิชา ก็ว่าได้ ดังนั้น ถ้าเราสามารถจะ แนะนำพุทธศาสนิก ให้รู้จักและ มีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่าง จริงใจ และเชื่อ ใน นรกสวรรค์, เชื่อในวันสิ้นโลก เขาเหล่านั้น จะกลายเป็น มุสลิมที่ดีก็อาจจะเป็นได้

มุสลิมผู้เคร่งครัดและคิดว่าตัวเองมีความศรัทธาแรงกล้าและถูกต้อง กว่าผู้อื่น นั่งขอดุอาหฺ ให้ตัวได้มีโอกาศ เข้าสรวงสวรรค์ แต่ผมว่าไม่มีใครสักคนที่ นั่ง ขอดุอา ให้ ตัวเองได้ไปสวรรค์อย่างรวดเร็ว กว่าใครๆ, คุณ dabdulla
เคย ขอดุอาหฺ ให้ตัวเองได้ไปสวรรค์อย่างรวดเร็วก่อน ใครๆ หรือไม่?


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Fri Jun 02, 2006 9:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับ คุณแมทท์

คุณถามหลายเรื่องมาก แต่หลายเรื่องนั้นคงต้องเป็นอาจารย์อะสัน และ คุณอัลฟารุกล่ะครับ ที่ต้องให้ความเข้าใจ แต่เรื่องหนึ่งที่อ่านแล้วคุณเข้าใจอย่างผิดถนัดเลยก็คือ ข้อความที่ว่า

_______________________________________________________________________
เรื่อง อากิดะห์ เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล และมีหลักการศรัทธา ต่อศาสนาที่ตนนับถือ แตกต่างกันออกไป, สำ หรับ อิสลาม หลักความศรัทธา อยู่ที่มีความเชื่อมั่น ต่อพระเจ้าองค์เดียว มุสลิมคือผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์ และยอมจำนน ต่อ พระประสงค์ของพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เราจะเห็นว่า แม้แต่มุสลิมด้วยกันเอง ก็ไม่สามารถจะ ตัดสินใจได้ว่า การทำ เมาลิดนะบี เป็น ส่วนหนึ่งของความศรัทธา หรือ เป็น การ ต่อเติม หลักการของศาสนา ซึ่ง ยังหาจุดยืน ในเรื่อง อากิดะห์ ของตนเองไม่ได้ จนปัจจุบันนี้ ทั้งนี้เพราะ มุสลิมยังขาดความเชื่อมั่น ในอัลกุรอาน ที่ พระองค์ อัลลอฮ์ ทรงบัญญัติ ให้เชื่อฟัง และเป็น หนังสือของพระองค์เล่มสุดท้ายที่ มุสลิมจะต้องใช้ยึดถือเป็น แนวทางปฎิบัติภาระกิจในศาสนา เท่านั้น
_______________________________________________________________________

เรื่องของอากีดะห์ ทำไมคุณถึงไปโยงกับการทำเมาลิดได้

คนที่ทำ และ คนที่ไม่ทำ ต่างมีอากีดะห์อย่างเดียวกัน คือเชื่อในท่านนบีเป็นรอซูล ส่วนทำเมาลิดได้ ไม่ได้ เป็นเรื่องของการปฏิบัติ

ถึงแม้คุณจะเห็นว่า ทุกๆคนในที่นี้ ได้มีการถกเถียงกันในเรื่องของการปฏิบัติในศาสนา แต่พวกเราก็คือพี่น้องกัน มีการให้สลามกัน ขอความสันติให้กัน เพราะเรามีอากีดะห์บนพื้นฐานที่ถูกต้องเหมือนกัน และเราทุกคน ไม่ว่าใครก็จะถูกสอบสวนในวันอาคีเราะห์เหมือนกัน

คุณจะเอาเรื่องเมาลิด มารวมกับเรื่องอากีดะห์ ผมเห็นว่าคนพูดกันคนละเรื่องและไม่มีส่วนใดที่คล้ายกันเลย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Fri Jun 02, 2006 10:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

จากข้อความของคุณแมทท์
______________________________________________________________________

คุณ dabdulla ทราบ หรือไม่ว่า “บนสวรรค์” ถ้าคุณอ่านใน อัลกุรอาน (โดยไม่พิจารณา และใช้สติปัญญา แล้ว หรือการนำมาอธิบาย ตามยุคสมัยแล้ว) รวมทั้ง ใน อะหะดีษ “ซอเฮี๊ยะ” แล้ว คุณ จะเห็นว่า แทบไม่มีมีที่สำหรับ “มุสลิมะ” ที่ทำความดี จะได้เข้าประตูสวรรค์, ถึงแม้ว่าในโลกดุนยา เธอจะยอม เป็นทาสที่ดีต่อ สามีชายมุสลิม อย่างไรก็ตาม โดยการ ยอมหลับนอน กับสามี เมื่อ ใดก็ตาม ที่สามีต้องการ ถึง แม้ ตัวเธอเองจะไม่ต้อง การใน คืนวันนั้น, ยอมให้สามีเฆี่ยนตีเธอได้, ไม่เถียงหรือ โต้ตอบสามี, ไปไหนมาไหน ก็ เอากระโจมคลุมตัว จนมืดมิด, ออกความคิดความเห็นใน การปกครองการบริหาร ครอบครัว และธุระกิจไม่ได้, ใช้ชีวิต ในโลกดุนยาอย่าง ถูกทำ นองครองธรรม ฯลฯ เธอกระทำตัวเหมือน สัตว์เลี้ยง ของ สามี ทุกๆทาง แต่ โอาสในการเข้าประตูสวรรค์ ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็ เช่นเดียว กับ “ความยากมากในการ ที่ คุณ จะเห็น อีกา มีปากและตีน สีแดงฉูดฉาด” (หะดีษ)
_______________________________________________________________________

คุณอ้างถึงเรื่องสวรรค์กับสตรี แล้วใช้คำว่า แทบไม่มีที่สำหรับ มุสลิมะห์เลย ผมอยากย้อนถามกลับไปว่า ในกุรอ่าน กับ ฮาดิษไม่มี หรือว่า คุณหาไม่เจอ

การทำดีต่อสามีนั้น ผลบุญเท่ากับการที่ผู้ชายทำญิฮาด ในหนทางของศาสนา

คุณใช้คำว่า หาไม่เจอ น่าจะเหมาะสมกว่า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Fri Jun 02, 2006 10:32 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ดอกเบี้ย ก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณลงทุน, ลงแรง และค่าใช้จ่าย ในสินค้าชิ้นหนึง ไป 100 บาท แต่คุณไป ขาย 500 บาท ก็ไม่ต่างอะไรกับ การ “กินดอกเบี้ย” หรือ ที่เรียก ว่า พ่อ ค้า หน้าเลือด สิ่งที่ต่าง กันอยู่ ระหว่าง การค้า กับ การ กินดอกเบี้ย ก็คือ การกินดอกเบี้ย เป็น “การค้า ของตัวกลางแลกเปลี่ยน” ได้แก่ธนบัตร์ หรือ เงินทอง ในสกุลต่างๆ แม้แต่ธนาคาร “มุสลิม” พูดกันอย่าง ธรรมดา ก็คือ ขบวน การ เปลี่ยนชื่อดอกเบี้ย ไปเป็น ชืออื่น เช่น “การแบ่งปันผลกำไร, ค่าบริการ , เอาดอกเบี้ยไปลงทุน ในนามของ บริษัท แล้วแบ่งปันผลกำไร?

______________________________________________________________________

ดอกเบี้ย ก็คือ ดอกเบี้ย
พ่อค้าหน้าเลือด ก็คือพ่อค้าหน้าเลือด
ถ้าซื้อของมาขาย 100 บาท แล้วผมขาย 120 ล่ะ มันเหมือนกับดอกเบี้ยมั้ย

ไม่ได้หมายความ เมื่อคุณเอาอุจจาระ มาเปรียบเทียบ กับปัสสาวะ แล้วมันจะทำให้ ปัสสาวะกลายเป็นสิ่งที่สะอาดไปได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแล้ว การจะเอาพ่อค้าหน้าเลือดมาเปรียบเทียบแล้ว เพื่อให้มันเป็นที่อนุมัติก็ไม่ได้ครับคุณแมทท์

ทั้งสองมีความแตกต่างกัน ผู้ที่ชีวิตของผมอยู่อุ้งพระหัตย์ของพระองค์ เป็นผู้บอกครับ มีในกุรอ่านอีกเช่นกัน แล้วพระองค์ประกาศสงครามกับผู้ที่กินดอกเบี้ยนะครับ

อย่าบอกว่าไม่มีครับ แต่ให้ใช้คำว่า หาไม่เจอน่าจะชัดเจนกว่า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Fri Jun 02, 2006 10:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ในรายละเอียดที่เป็นทางด้านวิชาการ

ผมไม่เหมาะสมในการเข้ามาพูดคุยกับคุณ เพราะเนื่องจากมีผู้รู้อยู่ในนี้เยอะแยะมากมาย ที่สามารถให้คำอธิบายได้ดีกว่า

คุณแมทท์ควรตั้งคำถามกับผู้รู้นะครับ ไม่ควรเป็นผม เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผม และ คุณแมทท์

ตอนนี้ที่นิวยอร์คหนาวมั้ยครับ ส่วนที่เท็กซัส อากาศดีครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sat Jun 03, 2006 11:58 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ dabdulla คุณถามผมว่า เรื่องของอากีดะห์ ทำไมผมถึงไปโยงกับการทำเมาลิดได้? ทำไม่จะโยงไม่ได้ครับ ที่คุณๆ นักศึกษา เขียนโต้เถียงกันอยู่ กับอาจารย์อาสัน ก็เพราะว่า “ถ้าอากีดะห์ ของมุสลิมเชื่อใน พระเจ้าองค์เดียวแล้ว และ ยังเชื่ออีกว่า ศาสนฑูตทุกๆท่าน รวมทั้ง ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด เป็นศาสนฑูตที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงแต่งตั้ง แล้ว, เชื่อในวันปรโลก, เชื่อในนรกสวรรค์ ผมว่า "การทำเมาลิดอะฮ์เป็นบิดอะฮ์" เพราะไม่ได้อยู่ในอากีดะห์ ของอิสลาม

แต่ที่สำคัญที่สุด, มุสลิมจะต้องเชื่อว่า พระองค์อัลลอฮ์ เป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ที่สมควรจะได้รับการกราบไหว้บูชา และมุสลิมไม่อาจจะ สร้างภาคี ให้กับพระองค์ได้

”บิดอะฮ์" เป็นการกระทำใดๆ ก็ตามที่ มุสลิม อุตริสร้างขึ้น หรือประดิษฐ์ ขึ้น เพื่อ ต่อเติม หลักการของศาสนา อิสลาม ถ้าเราทำการต่อเติม หลักการใดๆก็ตาม มารวมอยู่ใน ความศรัทธา ของอิสลาม ก็คือการ ทำ ชิริก นั่นเอง

การฉลอง วันเกิด ของท่านรอซูลมูฮัมมัด ไม่มีอยู่ ในหลักการ ของศาสนาอิสลาม แต่ถ้าเรา มา ทำการฉลอง วันเกิดของท่านรอซูล และ สดุดีท่านรอซูลมูฮัมมัด จน เกินขอบเขต เหนือความ เป็นรอซูลเกินกว่าท่าน รอซูลท่านอื่นๆแล้ว ผมว่า เป็น บิดอะฮ์ ในเรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับ อาจารย์ อาสัน 100 % เลยครับ การกระทำเช่นนี้ พอกระทำกันไปนานๆ ในที่สุด ก็จะยกย่องท่านรอซูลเป็น พระเจ้า ไป เช่นเดียวกับ คริสเตียน ยกย่อง นะบีอีซา เรื่องนี้มันไม่ใช่คนละเรื่อง อย่างที่ นักศึกษา บางท่าน เข้าใจ

มีเพื่อนชาวพุทธ ของผมท่านหนึ่ง เล่า ให้ผมฟังว่า เมื่อก่อนนั้น ศาสนาพุทธ ไม่มี พระพุทธรูป ด้วยความรัก ศาสดา ก็ปั้น รูปมาเป็นที่ระลึก พอนานไปๆ ก็มีการทำรูปแบบต่างๆขึ้นมาบูชา เลยลืม คำสั่งสอนของ ศาสดา หลงอยู่กับรูปจำลอง เราจะเห็นได้ว่า ถ้าการ ยกย่องบุคคลจนเลยเถิดไป ทำให้ผิดวัดถุประสงค์แห่งความเชื่อถือไป ด้วยเหตุนี้ หลักการ “อากีดะห์” ที่สำคัญที่สุดของอิสลาม จึง อยู่ที่ เราจะต้องเชื่อว่า มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (อัลลอฮ์) เป็นอันดับแรก แล้ว อากีดะห์ ทั้งหลายจะตามมาเองอย่างถูกต้อง

ตามที่คุณ คุณ dabdulla กล่าวว่าคนที่ทำ และ คนที่ไม่ทำ ต่างมีอากีดะห์อย่างเดียวกัน คือเชื่อในท่านนบีเป็นรอซูล ส่วนทำเมาลิดได้ หรือ ไม่ได้ มัน เป็นเรื่องของการปฏิบัติ, การกล่าวเช่น นั้น ไม่ถูกต้องครับ ทั้งนี้เพราะว่า อากีดะห์ กับ การปฏิบัติเพื่อแสดงออก ถึงความศรัทธาที่ถูกต้อง จะต้อง ไปด้วยกัน “เช่นอากีดะห์ ของมุสลิม เชื่อว่าอัลกุรอาน เป็นคัมภีร์เล่มสุดท้าย ที่มุสลิมจะ ต้อง ยึด บัญญัติ เป็นหลักปฏิบัติ แต่ถ้ามุสลิมไปยึดหนังสือเล่มอื่น เป็นหลักปฏิบัติควบคู่ไปกับอัลกุรอาน ผมว่า นั้นก็เป็น บิดอะฮ์ อย่างหนึ่ง” คุณ dabdulla เข้าใจหรือยัง ว่า ถ้าคุณมีอากีดะห์ตามหลักการของอิสลามแล้ว คุณ จะ ต้อง มีการปฏิบัติให้สอดคล้อง กับ อากีดะห์ ของ อิสลาม คุณจึงจะได้ ชื่อว่า เป็น “มุสลิม” คุณเห็นหรือยัง ว่า ในเรื่องการทำเมาลิดนะบีนั้น เกี่ยว ข้อง กับ อากีดะห์ โดยตรง, อาจารย์ อาสัน มีความเข้าใจได้ถูกต้องกว่า,

ถ้าพวกเราก็คือ พี่น้องกัน มี การให้สลามกัน ขอความสันติให้กัน อย่างที่คุณว่า แล้ว พี่น้องกัน คงไม่ มีการกล่าว หยาบคาย ด่า พ่อด่าแม่ กัน อย่าง ที่นักศึกษาบางท่าน แสดงออก ในการเสวนา มาเช่นนั้น เมื่อ เปรียบเทียบ กับ คุณแล้ว คุณมีความสุภาพ สมกับที่เป็น มุสลิม มากกว่า บรรดานักศึกษา เหล่า นั้น

สำ หรับ เรื่อง นรก สวรรค์ นั้น ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ แต่ ขอให้เชื่อไว้ก่อนเถิดครับ เพราะเป็น อากีดะห์ ข้อหนึ่งของ อิสลาม ผมเป็นผู้หนึ่ง ที่อยากเห็น หญิงมุสลิม มีสิทธิเท่าเทียม กับผู้ชายมุสลิม ทั้งในโลกดุนยาและ บนสรวงสวรรค์

เรื่องดอกเบี้ยและ พ่อค้าหน้าเลือด ไว้คุยทีหลัง แล้วกัน

อากาศของผม 92 องศา F เมื่อ สองวันนี้, คุณอยู่ตอนไหนของ Texas ครับ ผมมา Houston บ่อยมาก

wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Sat Jun 03, 2006 12:23 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมขอโอนให้ผู้รู้ต่อไปสำหรับกระทู้นี้นะครับ แต่ขอต่อท้ายนิดนึง สำหรับคำกล่าวของคุณ
_______________________________________________________________________
”บิดอะฮ์" เป็นการกระทำใดๆ ก็ตามที่ มุสลิม อุตริสร้างขึ้น หรือประดิษฐ์ ขึ้น เพื่อ ต่อเติม หลักการของศาสนา อิสลาม ถ้าเราทำการต่อเติม หลักการใดๆก็ตาม มารวมอยู่ใน ความศรัทธา ของอิสลาม ก็คือการ ทำ ชิริก นั่นเอง
_______________________________________________________________________

คุณแยกออกมั้ยระหว่าง สามคำนี้

1. คิลาฟ
2. บิดอะห์
3. ชิริก

เรื่องของมุสลิมะห์น่ะครับ ผมดูยังงัย ในอิสลามก็สูงส่ง

ในประเทศที่มี องค์กรสิทธิสตรี ที่เติบโต อาชีพโสเภณี กลับเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับ

ผมอยู่ ออสติน ห่างจาก ฮุสตัน ประมาณ สี่ชั่วโมงขับรถ อาทิตย์นี้ว่าจะไปเที่ยวอินชาอัลลอฮ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sun Jun 04, 2006 6:56 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
คุณ matt กล่าวว่า
คุณ dabdulla ทราบ หรือไม่ว่า “บนสวรรค์” ถ้าคุณอ่านใน อัลกุรอาน (โดยไม่พิจารณา และใช้สติปัญญา แล้ว หรือการนำมาอธิบาย ตามยุคสมัยแล้ว) รวมทั้ง ใน อะหะดีษ “ซอเฮี๊ยะ” แล้ว คุณ จะเห็นว่า แทบไม่มีมีที่สำหรับ “มุสลิมะ” ที่ทำความดี จะได้เข้าประตูสวรรค์, ถึงแม้ว่าในโลกดุนยา เธอจะยอม เป็นทาสที่ดีต่อ สามีชายมุสลิม อย่างไรก็ตาม
..............................
ตอบ
ด้วยความรักและเคารพครับ คุณ matt ผมใคร่ให้คุณอ่านต่อไปนี้
وَمَن يَعْمَلْ مِنَ الصَّالِحَاتَ مِن ذَكَرٍ أَوْ أُنثَى وَهُوَ مُؤْمِنٌ فَأُوْلَـئِكَ يَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ وَلاَ يُظْلَمُونَ نَقِيراً
[4.124] และผู้ใดกระทำในส่วนที่เป็นสิ่งดีงามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นผู้ศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้จะได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมแม้เท่ารูเล็กๆ ที่อยู่บนหลังเมล็ดอินทผาลัม
.................
อายะฮข้างต้นนอกจากจะบอกว่า ผู้หญิงที่ทำความดีจะได้เข้าสวรรค์แล้ว ยังบอกถึง ความเป็นผู้ที่มิสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง ในอันที่จะได้รับการตอบแทนความดีจากพระเจ้า และอายะฮต่อไปนี้ก็เช่นกัน

إِنَّ الْمُسْلِمِينَ وَالْمُسْلِمَاتِ وَالْمُؤْمِنِينَ وَالْمُؤْمِنَاتِ وَالْقَانِتِينَ وَالْقَانِتَاتِ وَالصَّادِقِينَ وَالصَّادِقَاتِ وَالصَّابِرِينَ وَالصَّابِرَاتِ وَالْخَاشِعِينَ وَالْخَاشِعَاتِ وَالْمُتَصَدِّقِينَ وَالْمُتَصَدِّقَاتِ وَالصَّائِمِينَ وَالصَّائِمَاتِ وَالْحَافِظِينَ فُرُوجَهُمْ وَالْحَافِظَاتِ وَالذَّاكِرِينَ اللَّهَ كَثِيراً وَالذَّاكِرَاتِ أَعَدَّ اللَّهُ لَهُم مَّغْفِرَةً وَأَجْراً عَظِيماً
[33.35] แท้จริง บรรดาผู้นอบน้อมชายและหญิง บรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้ภักดีชายและหญิง บรรดาผู้สัตย์จริงชายและหญิง บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ถ่อมตัวชายและหญิง บรรดาผู้บริจาคทานชายและหญิงบรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง บรรดาผู้รักษาอวัยวะเพศของพวกเขาที่เป็นชายและหญิง บรรดาผู้รำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมากที่เป็นชายและหญิงนั้น อัลลอฮ ได้เตรียมไว้ให้แก่พวกเขา ซึ่ง การอภัยโทษและ การตอบแทนอันยิ่งใหญ่ – อัลอะฮซาบ/35
......................
การตอบแทนอันยิ่งใหญ่ คือ อะไร ผมคงไม่ต้องอธิบายแล้วใช่ไหม ว่า คืออะไร
ทีนี้มาดูหะดิษบ้าง ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
إذا صلت المرأة خمسها، وصامت شهرها، وحفظت فرجها، وأطاعت زوجها، دخلت الجنة بإذن ربها) رواه ابن حبان، انظر صحيح الجامع 660
เมือสตรี ละหมาดห้าเวลา ,นางถือศีลอดในเดือนของมัน ,นางรักษาอวัยเพศของนาง และนางเชื่อฟังสามีของนาง นางก็ได้เข้าสวรรค์ ด้วยการอนุมัติของพระเจ้าของนาง”- รายงานโดยอิบนิหิบบาน โปรดดู เศาะเหียะอัลญาเมียะ หะดิษหมาย เลข 660
……………..
ส่วนหนึ่งจาก อายะฮอัลกุรอ่านและหะดิษ ที่ผมนำเสนอ มานี้ แสดงให้เห็นว่า ศาสนาได้ระบุถึง การตอบแทนสวรรค์ให้แก่ผู้หญิงที่ทำความดี ซึ่ง ชัดเจน ไม่ใช่มาจากการตีความแต่ประการใด จึงใคร่ขอให้คุณ matt โปรดพิจารณา
................

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Mon Jun 05, 2006 9:12 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ขอบคุณอาจารย์

ผมต้องขอขอบคุณอาจารย์ อาสันที่ ช่วยค้นหา อายะในอัลกุรอาน และ หะดีษที่สนับสนุน ว่า หญิงมีสิทธิ เท่าเทียม กับชาย ในการ เข้าสวรรค์ ที่ผมเขียนไว้ ในวงเล็บ หลัง คำ ว่า “อัลกุรอาน” นั้น เพื่อ ให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่า ในอัลกุรอานให้สิทธิ การเข้า สวรรค์ ทั้งหญิงและชาย แต่เราจะต้องใช้ความพิจารณา เกี่ยว กับสิทธิต่างๆ ตามยุค สมัย ที่แต่ละอายะถูกส่วนมาก, นอกจากนี้ ผมขอนำ ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะห์ 195 และใน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะหฺ 1 มา สนับ สนุน ในเรื่อง ความเสมอภาค ฃองชายและหญิง นี้ด้วย สำหรับสิทธิของสตรีใน เศาะเหียะอัลญาเมียะ หะดิษหมาย เลข 660 ที่อาจารย์ยกมา นั้น ไม่ต่างไปจาก ความหมาย ของ อายะห์ 33.35

เราจะเห็นว่า เงื่อน ไขและรางวัล ที่ให้ สำหรับ ชาย นั้น กระจ่าง ชัด อธิบายไว้อย่าง ละเอียด และในอายะต่างๆ ในซูเราะห์ ต่างๆ เช่น ใน ซูเราะห์ อนิสาห์ ผู้อ่านจะต้อง ใช้ความพิจารณาและ ความเข้าใจ ในสิทธิต่าง จึงจะเข้า ใจใน ความยุติธรรม ฃององค์ พระผู้เป็น เจ้า ในการวาง บัญญัติต่างไว้ ในอัลกุรอาน ซึ่งผมไม่มีข้อข้องใจและสงสัยเลย เพราะใน ส่วนตัว ผมพยายาม หาเหตุผลว่า เพราะเหตุไร ในยุค และสมัย นั้นๆ พระเจ้าจึงส่งบัญญัติ เหล่านั้น มา ซึ่งผมใช้ในการศึกษาอัลกุรอาน


จากคำอธิบายของอาจารย์นี้ ถือได้ว่า ถ้าหากว่ามีข้อความใดๆ ที่กล่าวถึง สิทธิและโอกาศของ เพศหญิง ที่ ยากที่จะ เข้าสู่สรวงสวรรค์ และ ที่กล่าวว่า ส่วนมากจะเห็นผู้หญิง ใน นรกมากกว่า ชาย แล้ว… คำกล่าวเช่นนั้น จะขัดกับอัลกุรอาน 33.35 และ เศาะเหียะอัลญาเมียะ หะดิษหมาย เลข 660 ที่อาจารย์นำมาชี้แจง ได้ใช่ไหมครับ?

ผมอยากขอความกรุณาอาจารย์อาสันช่วยกรุณา อธิบายต่อเติม คำตรัสของอัลลอฮที่ว่า “และสำหรับบรรดาชายนั้น มีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง” ตามความเข้าใจของผม เข้าใจว่า เหนือกว่า เพศหญิง “ในทางกายภาพ” เท่านั้น ส่วนใน ความสามารถและ สติปัญญาแล้ว ไม่มีเพศใดเหนือกว่าผู้ใด อาจารย์ มีอายะกุรอาน อายะใดบ้างที่ สนับสนุน ดูตัฟสีรอิบนิกะษีร เล่ม 1
สมัยนี้ ไม่ใช่แต่ผู้ชายเท่านั้น ที่เลี้ยงดูครอบครัว สตรีมุสลิมเป็นจำนวนมากที่ หาเลี้ยงสามี


หน้า 363 ที่อธิบายว่า

“กล่าวคือ มีฐานะเหนือกว่า ในเรื่อง รูปร่าง อุปนิสัย ฐานะ การเชื่อคำสั่ง การใช้จ่ายและ การทำหน้าที่ รักษาผลประโยชน์ และความเหนือกว่าในโลกนี้และโลกหน้า ดังที่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ตรัสว่า (บรรดาชายนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺ ได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา)”

เมื่ออ่าน คำอธิบาย ดูตัฟสีรอิบนิกะษีร ที่อาจารย์อ้างมาสนับสนุน รู้สึกจะขัดกับ ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะห์ 195 ตามคำแปลของ สมาคมนักเรียนเก่าอรับ ที่อธิบายว่า (1) หมายถึง ว่ามนุษย์นั้นมีความเท่าเทียมกัน ประหนึ่งคนคน เดียวกัน เพราะต่างก็สืบสายเลือดมาจากกันและกันซึ่งก็ทั้งหมดนั้นมาจากอาดัมผู้เป็นมนุษย์คนแรก ของโลก

ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะห์ 195

“195. แล้วพระเจ้าของพวกเขาก็ตอบรับพวกเขาว่า แท้จขริงข้าจะไม่ให้สูญเสียซึ่งงานของผู้ทำงานคน หนึ่ง คนใด ในหมู่ พวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม โดยที่บางส่วนของพวกเจ้านั้นมาจากอีกบางส่วน(*1*) บรรดา ผู้ ทีอพยพ และที่ถูกขับไล่ให้ออกจากหมู่บ้านของพวกเขา(*2*) และได้รับความเดือดร้อนในทางของข้า และ ได้ต่อสู้ และถูกฆ่าตายนั้น แน่นอนข้าจะลบล้างให้พ้นจากพวกเขา ซึ่งบรรดาความผิดของพวกเขา และแน่ นอนข้า จะให้พวก เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น ทั้งนี้เป็นราง วัลตอบแทนจาก อัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์มีการตอบแทนอันดีงาม”

(1) หมายถึง ว่ามนุษย์นั้นมีความเท่าเทียมกัน ประหนึ่งคนคนเดียวกัน เพราะต่างก็สืบสายเลือดมาจากกันและกันซึ่งก็ทั้งหมดนั้นมาจากอาดัมผู้เป็นมนุษย์คนแรก ของโลก (2) หมายถึงบรรดาผู้ศรัทธาจากชาวมักกะฮ์ที่อพยพ และที่ถูกขับออกจากมักกะฮ์

ผมมีข้อชี้แจงเพียงเท่านี้ ในเรื่องสิทธิของสตรี ในอิสลาม และผมอยากจะเห็น สตรีมุสลิม สามารถที่จะมี การตัดสินใจและความเท่าเทียม กับ ชาย ตามที่อัลลอฮ์ ทรงบัญญัติไว้ ในอัลกุรอาน, ผมถือว่า คำอธิบาย ของอาจารย์อาสัน ต่อความข้องใจของผม ในเรื่องนี้ “เป็นคำตอบที่ปิดประเด็น “ ในเรื่องสิทธิของ สตรี มุสลิม" ระหว่างผมกับอาจารย์อาสัน และผมยอมรับความถูกต้องไว้พิจารณาเพื่อประกอบความรู้ของผม

ด้วยความนับถือยิ่ง

แมทท์

ป.ล.

มุสลิมทุกๆท่านจะต้องรู้จัก พระนางคอดิยะห์ ภรรยาคนแรกของท่าน รอซูล ซึ่งอาจจะยกมาเป็น ตัวอย่าง ว่า เพศหญิง ที่มีความสามารถ เทียบเท่าหรือ เหนือกว่า เพศชาย ซึ่ง ผมคัดลอกประวัติ ย่อๆมาดังนี้ (ผมไม่มีเวลาที่จะแปลเป็นภาษาไทยได้)

Here was a woman born when female infants were often buried alive and women were treated as chattel. Yet God gave her extraordinary character and superior business acumen. She became the richest merchant in all of Mecca and was hailed as the Princess of Mecca and the Princess of the Quraysh. She was also given the title of Al-Tahira, The Pure One, for her humanitarian efforts in aiding the poor, widows, orphans, the sick and disabled.

Khadija was wealthy and accomplished--but also twice widowed and 40 years old--when she married the future Prophet of Islam, 15 years her junior. She had immediately recognized his trustworthiness and high moral standards and had taken it upon herself to propose to him. He readily accepted.


The marriage of Khadija and Muhammad is a model for all Muslims. It was one of extraordinary love, commitment and mutual respect. It is arguably one of the greatest love stories of all times and a prelude to Islam’s humanistic beginnings.


Muhammad’s first encounter with God's revelation had been terrifying for him. He came home shaking with terror at the magnitude of what he had experienced. He beseeched Khadija, “Cover me, cover me!” And she shielded him immediately in her lap, listened to his account and assured him of his prophethood. She recounted to him the excellence of his character as reason that God could not have turned against him.


Muhammad once said of Khadija, “She believed in me when all others disbelieved; she held me truthful when others called me a liar; she sheltered me when others abandoned me; she comforted me when others shunned me; and Allah granted me children by her while depriving me of children by other women.”


Khadija bore the Prophet six children. She was also the first Mother of the Believers, a designation given to all the wives of the Prophet in the Qur’an. Her marriage to Muhammad was monogamous and so she alone was privileged with the title until the end of her life. She never once let the believers down. When the growing community of new Muslims were ridiculed, tortured, disenfranchised, deprived of their pay and ostracized from their families, Khadija used her resources to make sure they were clothed, fed and sheltered.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sat Jun 10, 2006 1:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

أعوذبالله من الشيطان الرجيم
بسم الله الرحمن الرحيم
عَسَى رَبُّكُمْ أَن يَرْحَمَكُمْ وَإِنْ عُدتُّمْ عُدْنَا وَجَعَلْنَا جَهَنَّمَ لِلْكَافِرِينَ حَصِيرًا

หวังว่าพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับมา(ก่อกวน)อีก เราก็โต้กลับ และเราได้ให้ญะฮันนัมเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธ
(17:8)

ไม่ได้เข้ามาที่นี่ตั้งน๊าน...นาน เพราะเห็นว่าสงบเงียบเรียบร้อย คุยกันแต่เรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่องเท่าไหร่ แม้จะถกกันไป เถียงกันมาด้วยอะไรที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ถึงกับทำลายอิสลาม เป็นเพียงความเข้าใจไม่ตรงกันที่ยังอยู่ในกรอบ
จนเมื่อวานมีเวลาว่างก็เลยลองเข้ามาไล่เรียงดูกระทู้ต่างๆไปเรื่อยๆ...โอ๊ะ.โอ๋... กลับมาอีกแล้วหรือนี่ และยังคงเส้นคงวายึดมั่นในแนวทางหลอกล่อบิดเบือนเหมือนเดิม... ก็เลยต้องกลับเข้ามาทักทายกันสักเล็กน้อย ตามประสาคนเคยเห็นตีนงู!

หวัดดีคับ...จาน แมทท์
ยกเรื่องท่านหญิงเคาะดีญะฮฺมาอ้างเรื่องสิทธิสตรีก็ดีเหมือนกันครับ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมาค้านกันซะทุกเรื่องใช่มั้ยครับ เพราะผมก็เห็นด้วยที่ว่าท่านเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงถึงการดำเนินธุรกิจการงานสำหรับผู้หญิง ตลอดจนสิทธิในการครอบครองทรัพย์สมบัติ แต่เมื่อเอาท่านมาอ้างก็ควรจะประพฤติตัวปฏิบัติตามแนวทางที่ "ถูกต้อง" นั้นด้วย ไม่ใช้อ้างเพียงเพราะคิดว่า "เข้าทาง" ก็เลยป่าวร้องไปโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺเป็นสตรีนักการค้า มีเงิน ก็เลยมีเกียรติมีหน้ามีตาในสังคม ซึ่งโดยส่วนตัวท่านก็เป็นกุลสตรีผู้มีจรรยามารยาทอันงดงาม มีน้ำใจไมตรีเป็นที่ยอมรับในสังคมอรับยุค ญาฮิลียะฮฺ แม้ว่าขณะนั้นจะไม่มีบทบัญญัติในเรื่องการประพฤติปฏิบัติ เรื่องจรรยามารยาทสตรี หรือการครองตนในเหย้าเรือน แสดงว่านั่นเป็นอุปนิสัยเป็นบุคคลิกส่วนตัวของท่านอยู่แล้ว เพราะท่านนบีแต่งงานกับนางตั้งแต่อายุ 25 ตอนนั้นยังไม่มีวะฮี ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี ครองชีวิตอยู่ด้วยกันอีก 15 ปีจนท่านนบีอายุ 40 จึงจะมีวะฮีมาแต่งตั้งท่านเป็นนบี แต่ก็พอจะยอมรับได้ละครับว่าความประพฤติ การปฏิบัติตัวของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ เป็นแบบอย่างอันดีของศรีภรรยาที่มุสลิมะฮฺพึงศึกษาและปฏิบัติตาม เพราะด้วยความคิด การกระทำและนิสัยส่วนตัวของท่านนบีก่อนรับการแต่งตั้งเป็นนบีนั้น ท่านก็ครองตนอยู่ในแนวทางหะนีฟตามแบบอย่างท่านนบีอิบรอฮีมมาโดยตลอดไม่ด่างพร้อย ดังนั้นชีวิตคู่ของท่านทั้งสองจึงถือว่าเป็นต้นแบบแก่ประชาชาติของท่านนบีมุฮัมมัดได้เป็นอย่างดี
ทีนี้ก็มาดูสิครับว่าท่านหญิงเคาะดีญะฮฺดำเนินธุรกิจการค้าอย่างไร ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏว่าท่านออกมาลุยงานเองเลย ด้วยเหตุที่ท่านมีทุนมีรอน อาจจะเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูล หรือสมบัติที่สามีเก่าของท่านดำเนินกิจการทิ้งไว้ให้ก็ตาม ท่านหญิงใช้วิธีว่าจ้างผู้ชายมาดำเนินการ โดยการสืบหาบุคคลที่มีประวัติดี ฝีมือเฉียบ มาช่วยจัดการควบคุมการค้า การนำคาราวานไปค้าต่างแดน ถ้าเลือกได้คนดีการค้าก็ได้ผลกำไรงาม ถ้าใครฝีมือด้อยผลกำไรไม่เข้าเป้าก็เปลี่ยนตัว หาใหม่ว่าจ้างคนที่ดีกว่ามาแทน โดยจะมีคนสนิทที่เป็นที่ไว้ใจได้ชื่อ มัยสะเราะฮฺ คอยประกบไปด้วย พูดง่ายๆก็เปรียบเสมือนท่านเป็นเถ้าแก่เนี๊ยะเจ้าของบริษัท ซึ่งไม่ต้องลงมาลุยงานเองแต่ว่าจ้างเซียนการค้ามาเป็นผู้จัดการดูแลกิจการแทน จนกระทั่งมาได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงความซื่อสัตย์ เฉลียวฉลาด การมีอะมานะฮฺ ความโอบอ้อมอารี มีมารยาทอันดีงามของมุฮัมมัด ท่านจึงให้มัยสะเราะฮฺมาติดต่อขอให้ช่วยนำกองคาราวานของนางไปทำการค้าที่ชาม แล้วเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปอย่างที่เรารู้กัน
ดังนั้นจะเห็นว่าบทบาทการค้าของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺเป็นวิธีการที่เหมาะอย่างยิ่งที่สตรีมุสลิมะฮฺจะนำมาเป็นแบบอย่าง คือไม่ใช่ผู้หญิงออกมาลุยงานเอง แต่มีเอเย่นต์ที่น่าเชื่อถือไว้ใจได้มาดำเนินการแทนแล้วก็จัดสรรผลกำไรเป็นค่าตอบแทนตามความเหมาะสมกันไป ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในบ้านนางก็สามารถดูแลได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง สังคมก็ไม่เกิดฟิตนะฮฺ เมื่อแต่งงานกันแล้วท่านนบีก็ประกอบอาชีพการงานไปตามควรแก่ฐานะของท่าน การจับจ่ายใช้สอยแก่ครอบครัวท่านนบีเป็นผู้กำหนด ซึ่งท่านหญิงเคาะดีญะฮฺก็ยินยอม นางไม่เคยอ้างตัวที่จะเป็นช้างเท้าหน้าด้วยฐานะที่เหนือกว่าของนาง แต่ท่านทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเข้าใจและเอื้ออาทรต่อกัน

บทบาทที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้หญิงคือ ระมัดระวังคำพูดคำจา การใช้น้ำเสียง หลีกเลี่ยงการออกไปอวดตัวต่อสาธารณโดยไม่จำเป็นที่อัลลอฮฺสั่งว่า ... وَقَرْنَ فِي بُيُوتِكُنَّ ....และจงอยู่ในเหย้าเรือนของพวกเธอ ( 24:33 ) ไม่ได้หมายความว่าออกไปไหนไม่ได้เลย แต่พึงรำลึกไว้เสมอว่า บ้านคือที่ที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิง ขนาดสถานที่ที่เราคิดว่าประเสริฐเช่นมัสญิด ก็ยังเป็นรอง เพราะ...
قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَا تَمْنَعُوا نِسَاءَكُمُ الْمَسَاجِدَ وَبُيُوتُهُنَّ خَيْرٌ لَهُنَّ ( أبوداود : الصلاة )
ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "พวกท่านจงอย่าห้ามบรรดาผู้หญิงของพวกท่านมิให้ไปมัสญิด แม้ว่าห้องหับ(บัยต์)ของนางนั้นมันดีกว่าสำหรับนางก็ตาม"
(อบูดาวูด รายงานโดยอิบนิอุมัร)
แสดงว่าอิสลามให้อิสระครับที่ใครจะเลือกเอาแค่ "ดี" หรือ "ดีกว่า" หรือแม้แต่จะเลือกเอา "เลว" หรือ "เลวสุดๆ" ไปเลยก็ตามสะดวก แต่อย่าลืมว่าใครเลือกสิ่งไหนในวันนี้ เขาต้องรับผิดชอบตัวเองในวันกิยามะฮฺนะ

ดูเหมือนคุณแมทท์พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ผู้หญิงกลายเป็นผู้ชาย ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ชายทำอะไรต้องบังคับให้ผู้หญิงทำอย่างนั้นด้วย...มันฝืนธรรมชาติ ขัดบัญญัติของอัลลอฮฺครับ...ในเมื่ออัลลอฮฺทรงประกาศชัดๆอยู่แล้วว่าผู้หญิงผู้ชายนั้นมีสิทธิและหน้าที่ต่างกัน ไม่เช่นนั้นจะทรงบัญญัติไว้หรือว่า..

يُوصِيكُمُ اللّهُ فِي أَوْلاَدِكُمْ لِلذَّكَرِ مِثْلُ حَظِّ الأُنثَيَيْنِ
ในเรื่องมรดก...อัลลอฮฺได้ทรงสั่งพวกเจ้าไว้ในลูกๆของพวกเจ้าว่า สำหรับเพศชายนั้นจะได้รับ(มรดก)ส่วนได้ของเพศหญิงสองคน ( 4:11 )
فَإِن لَّمْ يَكُونَا رَجُلَيْنِ فَرَجُلٌ وَامْرَأَتَانِ مِمَّن تَرْضَوْنَ مِنَ الشُّهَدَاء
ในเรื่องการเป็นพยาน ต้องเป็นผู้ชายสองคน ... แต่ถ้ามิปรากฏว่าพยานทั้งสองนั้นเป็นชายก็ให้มีผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงสองคนจากผู้ที่พวกเจ้าพึงใจในหมู่พยานทั้งหลาย ... ( 2:282 )
เพราะฉะนั้นก็ยอมรับเถิดครับว่า ผู้ชายกับผู้หญิงนั้นมีบทบาทหน้าที่ต่างกัน อย่าไปตะแบงให้มันเหมือนเลยครับ!
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
OtakuSan
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2006
ตอบ: 13


ตอบตอบ: Sat Jun 10, 2006 3:17 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ผมขอแนะนำให้อ่านบทความเรื่อง "การทำงานนอกบ้านของสตรีมุสลิมะฮฺ" http://www.iqraonline.org/thai/index.php?option=com_content&task=view&id=68&Itemid=1
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sun Jun 11, 2006 5:30 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณลุงคนหนึ่งท่านมีลูกหลานหลายคน จะไปไหนมาไหนทีต้องใช้รถหลายคันท่านรู้สึกไม่ค่อยอบอุ่นเลยเพราะต่างคนต่างไปนั่งกันอยู่คนละคัน ได้คุยแต่คนที่นั่งไปคันเดียวกัน ท่านก็เกรงว่าลูกหลานจะหาว่าท่านรักคนโน้นมากกว่าคนนี้ ท่านเลยสั่งให้ซื้อรถบัสสักคันไว้ไปไหนๆพร้อมกันในคันเดียว แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีที่เก็บเพราะรถบัสคันนั้นมันเข้าซอยบ้านท่านไม่ได้ปากทางมันแคบ แต่ถ้าเป็นตุ๊กๆละก้อ เข้าออกสบาย.... แปลกมั้ย มันก็ได้ชื่อว่า"รถ"เหมือนกัน แต่ทำไมพอจะเข้าซอย คันหนึ่งทำได้ อีกคันทำไม่ได้???

เจ้าตุ๊กๆนี่ก็อย่าได้กระหยิ่มใจว่าเข้าออกซอยบ้านคุณลุงได้ เพราะพอเลี้ยวออกปากซอยไปไม่ไกลต้องรอติดไฟแดงอยู่ใต้สะพานลอยข้ามแยก ทำไมรึ? ก็เพราะป้ายจราจรเขาห้ามตุ๊กๆขึ้นสะพานลอยด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ แต่สำหรับเจ้ารถบัสไปได้ฉิว ปลิวข้ามสะพานไปได้เลยไม่ต้องรอไฟแดง .... งี้ก็ไม่เท่าเทียมกันสิ มันเป็น"รถ"เหมือนกันนะ

เข้าไปในครัวบ้านคุณลุง คุณป้าภรรยาท่านเป็นคนทันสมัยครับ ภาชนะเครื่องครัวท่านใช้แต่ของดีๆมียี่ห้อ ท่านมีหม้อแก้วทนไฟ Pyrex (อย่าลืมให้ค่าสปอนเซอร์ด้วยนะ) ใช้ต้ม ผัด แกง ทอด ได้สารพัด ปรุงเสร็จก็ตั้งโต๊ะเสริฟโขว์แขกได้เลยไม่อายใคร กับข้าวเหลือก็เก็บใส่ตู้เย็น พรุ่งนี้หิวเอาออกมาเข้าไมโครเวฟอุ่นกินได้ทันที แต่ใจจริงคุณลุงท่านชอบหม้ออลูมิเนียมตราจระเข้ใบเก่าที่ใช้มาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้ขายที่ สมัยยังจนอยู่ริมคลองแสนแสบ เพราะจากบัดนั้นจนบัดนี้ 50-60 ปี มันก็ยังซื่อสัตย์อยู่เคียงคู่ครัวท่านมาตลอด แม้ก้นจะดำไปหน่อย รอบตัวจะบุบไปมั่ง ฝาก็เหยินแทบไม่เป็นรูป แต่มัน "ทนมือ-ทนตีน" ครับ จะกลิ้ง หก ตก หล่น โดนกระแทกยังไงก็ยังใช้หุงข้าวต้มแกงให้ได้อิ่มมาจนแก่ปูนนี้ หรือแม้ว่ามันจะเข้าไมโครเวฟไม่ได้ก็ตาม เพราะท่านไม่ชอบหม้อแก้ว ขี้เกียจพะเน้าพะนอต้องคอยระวัง ตกนิดกระแทกหน่อยก็ "เพล้ง" แล้ว! ไม่คิดแปลกใจบ้างหรือ "Pyrex" ก็หม้อ "จระเข้" ก็หม้อ แต่ทำไม "สิทธิ" มันไม่เท่าเทียมกัน ???

"โต๊ะเหลี่ยม" ไม่ใช่คุณยายแก่ๆที่ชื่อ มาเรียม แต่เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งรูปทรงสี่เหลี่ยม เอาไว้ใช้วางตั้งสิ่งของ แจกัน โคมไฟ หรือทำเป็นโต๊ะทำงาน โต๊ะอาหาร ฯลฯ ดังนั้น "โต๊ะกลม" ก็ต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์ประเภทเดียวกันที่มีรูปทรงเป็นวงกลม ใช้งานได้เหมือนกัน แต่บางทีความเหมาะสมในการใช้งานมันก็ต่างกัน โต๊ะเหลี่ยม วิ่งไปได้ทั่วห้อง กลางห้องก็ได้ เข้ามุมก็ได้ ข้างฝาก็ไม่น่าเกลียด แต่โต๊ะกลมนี่สิค่อนข้างมีปัญหา จะเข้ามุมหรือไปคุมเชิงข้างฝา ดูมันประดักประเดิด เปิ่นๆชอบกล จึงมักจะเห็นเขาเอามาวางตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องทั้งนั้น .... เฮ้อ แม้แต่"โต๊ะ" สิทธิก็ยังไม่เท่าเทียมกันเล้ย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Tue Jun 13, 2006 9:20 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


สวัดดีครับคุณAlGhuraba ดีใจจริงๆที่ได้เห็นคุณกลับเข้ามาอีก ทั้งนี้ เพราะว่า คิดถึง จริงๆ เห็นหายหน้าหายตาไปนาน สงสัยว่าจะไปนอนกลางดิน กิน กลางเหลา ยุ่งเกี่ยวกับการ งานเช่นเคย

เรื่อง ประวัติศาสตร์ และ คำพังเพย ต้องยกให้เลยละ....ผมว่าคุณเหมาะสมที่จะอธิบายหลักอากีดะห์ของอิสลาม ให้บรรดาเด็กๆได้ทราบ ว่าทำไมเราจึงไม่สมควรที่จะทำงานเมาลิดินนะบี ผมอยากจะฟังทัศนะคุณบ้าง ผมว่าอาจารย์อาสันท่านเหนื่อยแล้ว แตท่านมีความอดทนสูง ผมจะเข้ามาสนทนา เรื่องรถตุ๊กๆ และ โต๊ะ สี่เหลี่ยม กับคุณ(ท่านโต๊ะครูAlGhuraba)

ผมว่าผู้หญิงไม่สมควรจะแข็งกระด้างอย่างเพศชาย แต่ควรจะมิสิทธิเท่าเทียมในทางสติปัญญาและการตัดสินใจของตนเอง ในแง่ต่างๆของฃีวิตและทางภาระกิจที่เกี่ยวกับชีวิตของตนเองและครอบครัว เรื่องมรดกและการเป็นพยาน จากอายะต่างๆในอัลกุรอานนั้น เราจะต้อง เข้าใจว่า อายะนั้นๆ ลงมาในยุคสมัยใดและจะประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมได้อย่างไร ในสมัยนี้ ทั้งนี้อัลกุรอานสอนให้เราใช้สติปัญญาไตร่ตรอง ภายในขอบเขตและแนวทางของพระองค์, ตัวอย่างเช่น อนุญาต ให้มี ภรรยาได้ 1-2-3-4 คนได้ แต่ไม่ใช่ว่า ในสมัยนี้ เราสามารถที่จะเลี้ยงดูได้ ก็มีให้ครบสี่คนเลย เช่นนั้น เช่นเดียวกับ ท่านผู้ใหญ่บางท่านที่ไม่ใช่มุสลิม การมีภรรยา ส1-4คน วัตถุประสงค์ในอัลกุรอานไม่ใช่ในเรื่อง เพื่อสนอง หรือ ป้องกันความมักมากในกามรมณ์ ของ เพศชาย คุณเห็นด้วยไหม?

ด้วยความนับถือ

wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Sat Jun 17, 2006 6:25 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อนุญาต ให้มี ภรรยาได้ 1-2-3-4 คนได้ แต่ไม่ใช่ว่า ในสมัยนี้ เราสามารถที่จะเลี้ยงดูได้ ก็มีให้ครบสี่คนเลย

_______________________________________________________________________

เป็นทางเลือกครับคุณแมทท์ เพราะพระองค์ให้มี สอง สาม สี่ หรือหากว่า กลัวจะไม่มีความยุติธรรม ก็ให้มีหนึ่ง

ถ้าหากใครมีความสามารถ ก็มีได้ครับ คุณแมทท์ และจะให้ได้ผลบุญ ต้องไปร่วมงานนิกะห์เขาด้วยครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> เกี่ยวกับมุสลิมะห์ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3  ถัดไป
หน้า 2 จากทั้งหมด 3

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.11 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ