ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Wed May 10, 2006 11:52 am ชื่อกระทู้: มั่นใจหรือว่าการศรัทธาของคุณถูกต้อง |
|
|
พี่น้องทุกท่าน
---สิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นความรู้ที่บรรดาอุลามะในหลักวิชาตะเซาวุฟในแนวทางของอี
หม่ามชาฟีอี(รฮ)ที่ได้ตักเตือนและสั่งสอนผู้ที่ตักลีดหรืออยู่ในแนวทางดังกล่าว โดยไม่มีเจตนาจะไปเสียดสีความเชื่อของทัศนะใดทั้งสิ้น เพียงเพื่อให้พี่น้องที่ได้ชื่อเป็นมุสลิม ได้ตรวจสอบหลักอากีดะในเรื่องการยึดมั่นของตัวเอง ว่าถูกต้องตรงกับคำสอนของบรรดาอุลามะเหล่านั้นหรือไม่ และไม่ได้บังคับให้พี่น้องต่างทัศนะต้องเชื่อหรือกระทำตามใดๆทั้งสิ้น
หวังว่า การนำเสนอครั้งนี้ คงจะไม่ถูกกีดกันจากผู้ดูแลเว็บ ด้วยวิธีการต่างๆเหมือนที่ผ่านมา
และขออัลลออ์(ซบ) ตอบแทนความดีให้กับท่านด้วย..
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Wed May 10, 2006 1:15 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้อง konyakroo
ขอร้องเถอะ ไม่มีใครแกล้ง หรือ หาเรื่องลบสิ่งที่มีประโยชน์ แก่ผู้อ่านหรอก บังขอยืนยัน
แต่ขอร้องเถอะ เรื่องการให้ร้ายอุลามาอ การกล่าวเสียดสีผู้อื่น หรือ การพูดกระทบกระทั่งผู้อื่น
ขอให้เรานำหลักวิชาการที่มีหลักฐานอ้างอิง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จะไม่มีใครแตะต้องหรือลบสิ่งที่น้องนำเสนอหรอก และอยากจะบอกว่า บังก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง อาจจะทนไม่ได้หากมันสาหัสเกินไป และอยากจะแนะนำว่า ควรจะเป็นตัวของตัวเองให้มากกว่านี้ ถ้าเราจะเป็น"คนอยากรู้" ตามนามที่น้องตั้งให้กับตัวเอง
...........
วัสสลาม
บังอะสัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dabdulla มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005 ตอบ: 437
|
ตอบ: Mon May 15, 2006 9:15 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสลามุอลัยกุมครับ อาจารย์อะสัน
ขออัลลอฮ(ซบ) ทรงประทานความดีให้แก่อาจารย์ และก็อยู่คู่กับเวปไซต์นี้ต่อไปนะครับ
ช่วงนี้ไม่ค่อยจะมีเวลาเท่าไหร่ ได้เข้ามาก็อาทิตย์ละครั้ง
ขออัลลอฮ (ซบ) ทรงประทาน ริซกี และให้อาจารย์มี ร่างกายแข็งแรงนะครับ
จาก ผม บ่าวผู้อ่อนแอ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon May 15, 2006 11:56 am ชื่อกระทู้: |
|
|
วะอะลัยกุมุสสลามวะเราะหมะตุ้ลลอฮิวะบะเราะกาตุฮ
ญะซากั้ลลอฮุคัยร้อน ครับ ที่ คุณ dabdulla ขอดุอาให้ และขอให้อัลลอฮโปรดให้ดุอาดังกล่าวจงประสบแด่คุณและครอบครัวเช่นกัน ตอนนี้เป็นช่วงเปิดภาคเรียน ผมไม่ค่อยมีเวลามากนัก แต่ อินชาอัลลอฮ จะพยายามเข้ามาสนทนากับพี่น้องทุกท่านครับ
..........
บังอะสัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Mon May 15, 2006 4:03 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บังฮะซัน
บังพูดว่า
น้อง konyakroo
ขอร้องเถอะ ไม่มีใครแกล้ง หรือ หาเรื่องลบสิ่งที่มีประโยชน์ แก่ผู้อ่านหรอก บังขอยืนยัน
แต่ขอร้องเถอะ เรื่องการให้ร้ายอุลามาอ การกล่าวเสียดสีผู้อื่น หรือ การพูดกระทบกระทั่งผู้อื่น
ขอให้เรานำหลักวิชาการที่มีหลักฐานอ้างอิง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จะไม่มีใครแตะต้องหรือลบสิ่งที่น้องนำเสนอหรอก และอยากจะบอกว่า บังก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง อาจจะทนไม่ได้หากมันสาหัสเกินไป และอยากจะแนะนำว่า ควรจะเป็นตัวของตัวเองให้มากกว่านี้ ถ้าเราจะเป็น"คนอยากรู้" ตามนามที่น้องตั้งให้กับตัวเอง
...........
วัสสลาม
ตอบ..บังอะสันครับ ผมอึดอัดไม่น้อยเกี่ยวกับการคำพูดของบังที่บังกีดกันผมทุกวิถีทางทุกกระทู้ที่มีบทความ ผม อยากจะคุยบังฮะซันเป็นการ2 ต่อ2อย่างเปิดเผยผ่านเว็บที่บังดูแล แบบลูกผู้ชาย จะได้ไหม โดยให้พี่น้องทั้งหลายเป็นผู้ตัดสินกันเอง ดีไหมครับ...
เกี่ยวกับเรื่อง การนำบทความของผมที่เกี่ยวกับการศรัทธาแบบต่างๆที่บรรดาอุลามะด้านวิชาตะเซาวุฟในแนวทาสงของอีหม่ามชาฟีอี(รฮ) มาเผยแพร่ในสื่อตรงนี้ โดยให้พี่น้องได้มีความรู้และได้ตัดสินกันเองว่าสิ่งที่ผมนำมานี้ประโยชน์หรือไม่ และที่บังถือว่าเป็นบิดอะในแนวทางของบัง
และอีกอย่าง บังอย่าได้ตบตาผู้อ่านเลยครับว่า ผมนั้นใส่ร้ายบรรดาอุลามะในแนวทางของบัง
ทางที่ดีบังน่าจะศึกษาเสียก่อน ว่ามีคำใดบ้างที่ผมเสียดสีจาบจ้วงอุลามะที่บังอ้างถึงนั้น และถ้ามีสิ่งที่บังกล่าวถึง นั้นยินดีให้บังลบออกด้ทุกเวลา
ผมขอร้องบังบ้างว่าอย่าได้กีดกันสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องมุสลิมผู้อื่นเลยครับ กรุณาเถอะครับ กรุณาเปิดโอกาสให้พี่น้องของเราบางคนที่ยังไม่มีมลทินแปดเปื้อน เรื่องการยึดมั่นในหลักอูซุล
ให้เขาได้รู้ด้วยตัวเองและเป็นทางเลือกเองสำหรับเขา เพราะสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ศาสนาอิสลามต้องต่ำต้อยหรือหมดคุณค่าเลย และผมไม่เข้าใจในคำพูดของบังที่ว่า บังจะทนไม่ได้ อะไรหรือครับที่ต้องเป็นแบบนั้น ทำให้บังบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ในการนำเสนอแต่ละบทความของผม บังครับ บังเป็นคนมีความรู้เป็นของตัวเอง แล้วบังต้องเจ็บแค้นอะไรในคำพูดของผมละครับ
---และสิ่งที่ผมนำเสนอนี้แหละเป็นจุดยืนของผมที่เป็นตัวเองมาตลอด ไม่มีใครมาลากจูงผมเลย
และไม่เกี่ยวกับใครยุยงทั้งสิ้น แต่ทำไมบังต้องมีอาการเกือบทุกครั้งที่ผมเข้าร่วมด้วย
ช่วยตอบด้วย แม้ว่าจะถูกลบอีกครั้ง ขอร้อง กรุณาอ้างอิงที่ผมนำเสนอด้วยเพื่อความยุติธรรม
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon May 15, 2006 9:46 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
วะอะลัยกุมุสสลามฯ น้องบ่าวคนอยากรู้
บังก็ให้โอกาสน้องนำเสนอตลอด แต่น้องเข้ามาก็ไม่นำเสนอสักที บังบอกแล้วไง ว่าสิ่งใดมีหลักฐาน เราก็ยินดี สิ่งใดไม่มีหลักฐาน เราก็ วิจารณ์บ้างหวังว่าคงไม่ว่ากัน แต่..ขอร้องเถอะ คำว่า "พวกนั้น พวกนี้ พวกวะฮบีย์ น้อยๆหน่อยก็จะดี ขอย้ำว่า หากเป็นเรื่อง ศาสนา ที่มีหลักฐานที่มาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ บังอะสัน ไม่บังอาจไปลบหรอก เพราะ เท่ากับว่า ต่อต้านอัลลอฮและรซูล ดังนั้น เชิญครับ น้องบ่าว konyakroo
...........
บังอะสัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu May 18, 2006 12:40 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บังฮะซัน(รูปหล่อ)
บังก็ให้โอกาสน้องนำเสนอตลอด แต่น้องเข้ามาก็ไม่นำเสนอสักที บังบอกแล้วไง ว่าสิ่งใดมีหลักฐาน เราก็ยินดี สิ่งใดไม่มีหลักฐาน เราก็ วิจารณ์บ้างหวังว่าคงไม่ว่ากัน แต่..ขอร้องเถอะ คำว่า "พวกนั้น พวกนี้ พวกวะฮบีย์ น้อยๆหน่อยก็จะดี ขอย้ำว่า หากเป็นเรื่อง ศาสนา ที่มีหลักฐานที่มาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ บังอะสัน ไม่บังอาจไปลบหรอก เพราะ เท่ากับว่า ต่อต้านอัลลอฮและรซูล ดังนั้น เชิญครับ น้องบ่าว konyakรู้
ขอบคุณล่วงหน้า
ที่บังมองผมในแง่ดีบ้างในความเป็นมนุษย์และก็เป็นทาสของอัลลออ์เหมือนกัน
ผมกำลังเรียบเยงคำแปลอยู่ครับ สีชักพักจะเข้าแน่ครับขอให้อดใจรอครับ อย่าเพิ่งลบหรือปิดกระทู้เสียก่อนนะ
ดีเมาะกาเซะบาย๊อๆๆ อาแบ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Mon May 22, 2006 11:22 am ชื่อกระทู้: |
|
|
พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย
พึงระวังไว้เถิดว่า เรานั้นต้องกลับคือสู่พระองค์อัลลออ์อย่างแน่นอน ทุกๆคน
ดังที่มีคำดำรัสจากพระองค์ที่ว่า
"ทุกๆชีวิตจะต้องได้ลิ้มรสแห่งความตาย"
และต้องรำลึกเสมอว่า ทุกวันนี้แม้เราพยายามจะหลีกหนีความตายด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่เราก็ไม่สามารถหลบหนีสิ่งนี้ได้ ขณะเดียวกันก็จงนึกเสมอว่า ทุกสิ่งมทุกอย่างไม่ว่าการเป็นการตายนั้นมาจากการกระทำจากอัลลออ์ทั้งนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับเราๆท่านคือ การที่เราคิดไปว่า
การกระทำทุกอย่างในโลกดุนยานี้ มันมาจากธรรมชาติไร้ผู้ควบคุมหรือคิดว่ามันมาจากความสามารถที่เกิดขึ้นจากตัวเอง หรือคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า การกระทำนั้นมาจากคนนั้นคนนี้ หรือมาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง หรือเพราะคนั้นหรือสิ่งนั้นแหละทมี่ทำให้เราให้ท่านต้องเป็นเช่นนี้
ไม่ว่าการที่ญาติพี่น้องของตนเอง เสียชีวิตโดย สาเหตุใดก็ตาม เช่นเกิดอุบติเหตุ ทางถนนกับญาติของเราซึ่งเดิเท้าอยู่ดีๆแต่ รถบรรทุกเสียหลักพลิกควำมาชนกับญาติของเราเสียชีวิต ซึ่งทำให้โกรธเคืองกับนายขับรถคนนั้นถึงขนาดลงไม้ลงมือ หรืออาฆาตมาตรร้ายกันตลอดชีวิต ทั้งที่ต่างคนก็ระวัง เต็มที่แล้ว แต่ดก็เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนี้จนได้ ซึ่งถ้ามองและตัดสินภายนอกด้วยสายตามุษย์เองแล้วก็จะต้องมีคนผิดและคนถูกแน่นอนในการใช้ยานพาหนะบนถนนซึ่งก็ต้องว่าไปตามกฏหมาย แต่ในทางศาสนาอิสลามนั้น การเกิดและการตายนั้น เป็นกฏธรรมดาของโลก เท่านั้น แต่ถ้าคนที่มีความเข้าใจต่อกุดดอรัตหรือพระประสงค์ของอัลลออ์แล้ว
ก็ต้องกลับมายังคำดำรัสของพระองค์ในอัลกรอานว่า ทุกๆชีวิตนั้น จะต้องพบกับความตาย แต่ต่างสาเหตุกัน ซึ่งนี้ความสัจจะ ที่หลีกหนีไม่ได้ เพราะ เมื่อเรามาจาก พระผู้สร้างหรือให้ชีวิตเรา คืออัลลออ์ เป็นผู้ให้สิ่งนั้นมา ซึ่งไม่ได้เป็นของเรามาก่อนเลย ดังนั้นการทวงคืนชีวิตนั้น มันเป็นสิทธของพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แม้ว่าเราจะเรียกร้องหรือ ขอขยายเวลาก็ตาม เพราะทั้งนี้นั้นขึ้นอยู่กับความเมตตาของพระองค์เพียงผู้เดียวว่าจะทรงยินยอมในสิ่งที่เราขอหรือไม่ และเมื่อพระองค์ไม่ริฎอให้กับเรา มันก็เป็นอำนาจเด็ดขาดของพระองค์ทั้งสิ้น
ดังนั้นการที่เราเข้าใจว่า ดังตัวอย่างที่ยกไปว่า การที่ญาติตัวเองเสียชีวิตนั้นก็เพราะสาเหตุนั้นๆคือ รถบรรทุกมาชนเขา จึงทำให้เขาตาย หรือคิดไปว่า ถ้าเขาไม่ไปเดินบนถนนเขาก็คงไม่ตาย
คำพูดเหล่านี้ เป็นสิ่งไม่ถูกต้องในผู้ที่ได้ชื่อว่ามีการยึดมั่นในเอกภาพของอัลลออ์ในด้านเอียะติ
กอด จนกลายเป็นญิฮาบหรือสิ่งที่มาปิดกั้น กับตัวเขาเอง ที่มิให้เข้าถึงผู้ที่กระทำที่แท้จริง
ดังคำพูดของอุลามะด้านท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกสร้างขึ้น เปรียบเหมือนญิฮาบ หรือสิ่งปิดกั้นที่มิให้เรามองทะลุถึงของจริงไปได้ เพราะมันเสมือนเวลาเราพายเรือในคลอง ที่เราใช้สัญจรไปมา
มีเงาต้นไม้ที่บังทอดขวางอยู่ในลำคลอง ทำให้เราคิดไปว่า มีต้นไม้มาขวางเราจริง จึงทำให้เราต้องพิจราณาและเพ่งมองอย่างจดจ่อว่า มันเป็นต้นไม้จริงหรือเป็นเงาต้นไม้กันแน่
ดังนั้นสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นเงานั้นแหละคือฮิยาบทีมาปิดกั้นเรา และถ้าเราติดอยู่แค่เงา เราก็ไม่สามารถนำเรือผ่านเงานั้นไปได้ เพราะเข้าใจว่า เงานั่นคือต้นไม้จริงๆที่ขวางเราอยู่
เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ไปไม่ถึงสิ่งที่แท้จริงเสียที เพราะติดอยู่ดับสิ่งที่ถูกสร้าง
เลยลืมคิดไปว่า ไม่ว่าเงาที่ทอดมาขวางที่ลำคลองจากต้นไม้นั้น มาก็จากอำนาจของพระองค์ทั้งนั้น
ดังคำที่ว่า ก้ล กุลลม มิน อิน ดิ้นลอฮ์ ...จงกล่าวเถิดมูฮำมัด ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มาจากอัลลออ์ทั้งสิ้น
ดังนั้นอายะนี้อาจจะมีบางคนเข้าใจว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็สามารถกระทำได้ทั้งดีและชั่วนะซิ
การเข้าใจอย่างนั้น ถือว่าผิดพลาดมา ที่ถือว่า เมื่อการกระทำทุกอย่างมาจากพระองค์แล้ว เราก็โยนว่า การที่เราทำชั่วตามอารมณ์นั้นก็ล้วนมาจากพระองค์เป็นผู้กำหนดมาแล้วเช่นกัน
นี่คือความเข้าใจในหลัการศรัทธาที่มีความไม่ถูกต้อง
ฉนั้นนักวิชาการจึงได้แบ่งการศรัทธาออกเป็น4ลักษณะด้วยกัน
1. การศรัทธาแบบ ยับบารียะ
2.การศรัทธาแบบมัวะตะซีละ
3.การศรัทธาแบบอะลลิสซุนนะวัญญะมาอะ
4.การศรัทธาแบบอะลิ้ลกะซัฟ
ยังมีต่อ... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dabdulla มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005 ตอบ: 437
|
ตอบ: Mon May 22, 2006 1:31 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
จาก ซูเราะห์ อัลบากอเราะห์ อายะห์ ที่ 102
และ (แทนที่จะปฏิบัติตามกุรอาน) พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติตาม (วิทยากล) ที่พวกมารร้ายได้อ้างอย่างผิดๆ ว่ามันมาจาก (ความยิ่งใหญ่แห่ง) อาณาจักรสุลัยมาน ทั้งที่ความจริงแล้วสุลัยมานมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธ แต่พวกมารร้ายที่พร่ำสอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างหากที่ปฏิเสธ พวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกส่งมายังฮารูต และ มารูต มลาอิกะห์สองคนที่บาบิล
เมื่อใดก็ตามที่มลาอิกะห์ทั้งสองได้สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด เขาทั้งสองจะเตือนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจนว่า เราเป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น พวกท่านจงอย่าปฏิเสธ แต่ถึงแม้จะเตือนแล้วคนเหล่านั้นก็ได้เรียนจากมลาอิกะห์ทั้งสอง ซึ่งวิชาที่เป็นสาเหตุให้เกิด การแตกแยกระหว่างสามีและคูครองของเขา ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยใช้ไสยศาสตร์ได้หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮ แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่พวกเขาแล้ไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขายิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้ใดที่ซื้อวิชานี้จะไม่มีส่วนใดในปรโลกสำหรับเขาเลย ช่างชั่วช้าเสียนี่กระไรสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาเพื่อมัน ถ้าหากว่าพวกเข้ารู้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมขอเป็นพรีวิว ประกอบฉากแล้วกันนะครับ คุณคนอยากรู้ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Tue May 23, 2006 9:03 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ ไม้ประดับ
ยินดีครับแม้เป็ฯแค่พรีวิว
จาก ซูเราะห์ อัลบากอเราะห์ อายะห์ ที่ 102
และ (แทนที่จะปฏิบัติตามกุรอาน) พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติตาม (วิทยากล) ที่พวกมารร้ายได้อ้างอย่างผิดๆ ว่ามันมาจาก (ความยิ่งใหญ่แห่ง) อาณาจักรสุลัยมาน ทั้งที่ความจริงแล้วสุลัยมานมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธ แต่พวกมารร้ายที่พร่ำสอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างหากที่ปฏิเสธ พวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกส่งมายังฮารูต และ มารูต มลาอิกะห์สองคนที่บาบิล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อใดก็ตามที่มลาอิกะห์ทั้งสองได้สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด เขาทั้งสองจะเตือนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจนว่า เราเป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น พวกท่านจงอย่าปฏิเสธ แต่ถึงแม้จะเตือนแล้วคนเหล่านั้นก็ได้เรียนจากมลาอิกะห์ทั้งสอง ซึ่งวิชาที่เป็นสาเหตุให้เกิด การแตกแยกระหว่างสามีและคูครองของเขา ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยใช้ไสยศาสตร์ได้หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮ แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่พวกเขาแล้ไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขายิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้ใดที่ซื้อวิชานี้จะไม่มีส่วนใดในปรโลกสำหรับเขาเลย ช่างชั่วช้าเสียนี่กระไรสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาเพื่อมัน ถ้าหากว่าพวกเข้ารู้
- --ขอเสริมนิด ... ดีมากครับ คุณดับ โองการอัลลออ์ทรงตักเตือนเราไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพวกไสยศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งมารร้ายชอบหลอกผู้คน และกลัวว่าเราจะห่างเหินต่อเอกภาพของอัลลออ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Tue May 23, 2006 11:08 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ฉนั้นนักวิชาการจึงได้แบ่งการศรัทธาออกเป็น4 ลักษณะด้วยกัน
1. การศรัทธาแบบ ยับบารียะ
2. การศรัทธาแบบมัวะตะซีละ
3. การศรัทธาแบบอะลลิสซุนนะวัญญะมาอะ
4. การศรัทธาแบบอะลิ้ลกะซัฟ
แนวทางทั้ง4 นั้นล้วนเป็นแนวทางการศรัทธาทั้งสิ้น และแต่ละเเนวทางนั้นมีการศรัทธาที่แตกต่างกันออกไป และในคำว่า การศรัทธานั้นก็มีหลายชื่อเรียก แล้วแต่ใฝนแต่ละที่แต่ละกลุ่มจะมีความถนัดหรือเรียกกันในชือใด
เช่นถ้าภาษาไทยเราก็เรียกว่า การศรัทธา อาหรับก็เรียกว่า อูซุลุดดีน หรือทันสมัยสักนิดก็จะเรียกว่า อะกีดะ ก็แล้วแต่ความถนัดกันไป
ความจริงแนวทางหรือมัสหับนั้นอยู่ในหมู่ของหมวดวิชา ฟิกฮ์ ซึ่งก็สามารถแบ่งออกเป็น4 แนวทางหรือ4 มัสหับ คือ
1.มัสหับฮานะฟี
2.มัสหับมาลีกี
3.มัสหับชาฟีอี
4.มัสหับฮัมบาลี
ทั้ง 4 มัสหับนี้ ล้วนก็มาจากทัศนะหรือความแตกต่างด้านวิชาฟิกฮ์ทั้งสิ้น
และสาเหตุที่ มองว่าทำให้เกิดความแตกต่างในการปฏิบัติหรือรูปแบบอ้ามัลอิบาดัตที่ไม่เหมือนกันนั้น ก็ล้วนมาจากการค้นคว้าของบรรดาผู้รู้หรืออีหม่ามทั้งหลายในด้านวิชาฟิกฮ์นั้นเอง
และเป็นที่รู้กันว่า ปัจจุบันนี้คนส่วนมากมักมุ่งเน้นหรือเจาะจงเรียนกันเฉพาะ วิชาฟิกฮ์ กันมาก เช่น อจ.คนนั้นจบด้านชารีอัตจากต่างประเทศ อจ.ท่านนี้จบปริญาตรีหรือ ดร.สาขาชารีอัตหรือกฏหมายอิสลามจากประเทศนั้น อย่างมากมาย ซึ่งที่กล่าวมานี้ก็คือวิชาฟิกฮ่นั่นเอง
ทั้งที่ความจริงแล้ว อันดับหนึ่งในความเป็นมุสลิมนั้นสิ่งที่ต้องเรียนรู้อย่างแรกคือ วิชาที่ว่าด้วยการศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า เพราะการศรัทธานั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในการที่เราเข้าหาหรือทำอีบาดัตต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของเรา แน่นอนเหลือเกินว่า บุคคลใดที่นมัสการแล้วไม่ได้มีการศรัทธาที่ถูกต้องก่อนแล้ว เขาย่อมไร้ผลแน่นอนในการกระทำนั้นๆ
สาเหตุเพราะว่า เรื่องการศรัทธานั้นเป็นวิชาหลักที่สูงส่งกว่าทุกวิชา จาก3 วิชาที่เป็นพื้นฐานของอัลอิสลาม
พี่น้องครับ จงรู้เถิดว่า ถ้าการศรัทธาของเราบกพร่อง หรือผิดพลาด อิบาดัต ที่เราทำอยู่ในหมวดหมู่ของวิชาฟิกฮ์ นั้นแหละจะเสียหาย ที่เสียหายก็เพราะหลักการศรัทธาของเรานั้นไม่ถูกต้อง
ก็ในเมื่อสิ่งที่เรายึดมั่นเพื่อ การเข้าหาหรือถวาย อ้ามัลอิบาดัตในรูปของการงานทุกอย่างยังไม่ถูกต้อง แล้ว ผลบุญในอิบาดัตนั้นก็จะต้องถูกบั่นทอนหรือลดลง หรืออาจจะถูกปฏิเสธการรับอ้ามัลนั้นก็ได้ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า การกระทำนั้นเกิดการสูญเปล่า และจะมีใครบ้างที่ต้องการเช่นนี้
ที่น่าแปลก วิชาที่ทำให้เราได้รับผลบุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย หมายถึงวิชา ด้านการศรัทธา(อูซูล)
กลับไม่มีใครอยากจะไปทำการค้นคว้าหรือเรียนและให้ความสนใจเท่าทีควร กลับไปสนใจหรือค้นคว้าและชอบเรียนวิชาที่รองลงมา(วิชาฟิกฮ์) เป็นส่วนมาก
---เลยเป็นสาเหตุทำให้คนมุสลิมบางส่วนที่อยู่ในต่างทัศนะในประเทศไทยเอง ไม่รู้เลยว่า
หลักการศรัทธาในวิชาอูซุลลุดดีนนั้น เขาก็มีอยู่4แนวทางเช่นกัน และส่วนมากไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า 4 แนวทางหรืออ4 มัสหับ ที่แพร่หลายอยู่นั้น เขาก็ใช้วิชาฟิกฮ์หรือกฏหมายอิสลาม ด้วยเช่นกัน
แต่ที่นี้จะขอพูดเกี่ยวกับ 4 แนวทางที่อยู่ในหลักการศรัทธาเท่านั้น พูดสั้นๆก็คือ ฝ่ายฟิกฮ์เป็นวิชาภายนอกใช้เป็นหลักปฏิบัติ ส่วนการยึดมั่นเป็นฝ่านอะกีดะหรือการศรัทธา
หรืออาจจะพูดได้อีกแบบหนึ่งคือ
---วิชาฟิกฮ์ก็คือวิชาที่ว่าด้วยการตัดสินการกระทำเพียงภายนอก
---ส่วนวิชาด้านการศรัทธาหรืออการยึดมั่นเป็นการตัดสินการกระทำที่อยู่ภายใน
ในส่วนเรื่องการยึดมั่นที่แตกต่างกันออกไปนั้น คือการยึดมั่นที่มีความเข้าใขของแต่ละกลุ่มแต่ละแนวทางที่ไม่เหมือนกัน
1.แนวทางการศรัทธาแบบยับบารียะ เป็นแนวทางการศรัทธาที่มองว่า ทุกๆการกระทำทั้งหมดไม่ว่าจากสิ่งไหนนั้น ล้วนมาจากการกระทำจากอัลลออ์องค์เดียว ทั้งนั้น เขาไม่มีสทธิ์ที่จะกระทำได้ เว้นแต่อัลลออ์เป็นผู้ใคร่ให้เขากระทำ และจะมีการยึดมั่นเฉพาะในคำกล่าว ที่มาจากอัลกรุอ่านอย่างเดียวโดยไม่ มีการเชื่อหรือการยอมรับแบบฉบับหรือการกระทำของท่านนบี ที่ถูกถ่ายทอดมาเป็นอัลฮาดีส ซึ่งเขามองว่าไม่มีอะไรที่เป็นความจริงและเชื่อถือได้นอกอัลกรุอ่านเท่านั้น.
ส่วนอัลฮาดีสนั้นเป็นเพียงการบอกกล่าวและเรื่องเล่าเท่านั้น
ฉนั้น จะเห็นว่า การยึดมั่นของคนกลุ่มนี้ได้ยึดเอาเฉพาะคำดำรัสจากอัลกรุอ่านมาเป็นเกณท์ในการดำเนินชีวิตทุกอย่างของการศรัทธา
ดังที่เขามีความเชื่อจากคำที่ว่า "ลาเฮาลา วาลากู ตะอิ้ลล่า บิ้ลลา"
ดังนั้น ไม่ว่าการนิ่งหรือการเคลื่อนไหวของเขานั้น มันล้วนมาจากอัลลออ์ทั้งสิ้น เขาไม่มีสิทธิ์เคลื่อนไหวเองได้ทั้งการยึดมั่น และการแสดงออกใดของเขาไม่ว่าทางกายและจิตใจ และถือว่านั้นคือ งานของอัลลออ์(วบ)ทั้งหมด โดยไม่ต้องแยกแยะอะไร การกระทำต่างๆของเขา ไม่ว่าทั้งดีและชั่ว หรือใครจะกระทำอะไรก็ตามต่อหน้าเขาดีหรือชั่วก็ตาม เขาถือว่าเขาไม่มีสิทธิไปใช้หรือห้ามการกระทำนั้น เพราะเขายึดมั่นว่า อัลลออ์เป็นผู้ให้เขากระทำ หรือให้กำลังเขามากระทำสิ่งนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้หรือห้ามในการกระทำต่อสิ่งนั้นๆ เพราะเขาถือว่า ถ้าอัลลอฮ์นั้นปราถนาให้กระทำสิ่งนั้นแม้ว่าจะดีและชั่ว และเขาเองนั้นก็กระทำเองขึ้นมาไม่ได้ ถ้าอัลลออ์ไม่ยินยอมเขา หรือฝากกำลังให้กับเขา สรุปง่ายๆว่า เมื่ออัลลออ์ให้กำลังหรือความสามารถกับเขาแล้ว เขาจะกระทำในสิ่งที่ดีและชั่วนั้นถือว่า ได้ทั้งสิ้น เพราะ เขาถือว่าอัลลออ์นั้นบังคับการกระทำของเขา
ดังนั้นแนวทางนี้ จึง ทำอะไรต่อมิอะไรตามอารมณ์ที่ปรารถนา คือทำตามใจตัวเอง แล้วโยนไปหาอัลลออ์ แต่ในด้านของหลักชารีอัตที่เป็นคำตักเตือนหรือแบบอย่างนั้น คนกลุ่มนี้ จะไม่สนใจใยดีถึงมัน เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่อัลกรุอ่านได้บอกกล่าวเท่านั้น โดยที่เขาถือว่า การมีฮะกีกัตฝ่ายเพียงเดียวก็พอแล้ว หรือมองอีกอย่างว่า ฮะกีกัตนั้นมาจากอัลลออ์แต่ผู้เดียว ชารีอัตของท่านนบีไม่เกี่ยวข้องใดๆ ชนกลุ่มนี้เลยปล่อบตัวตามสบาย นึกจะทำดีก็ได้ นึกจะทำชั่วก็ได้ จะเข้าบาร์กินเบียร์ ก็ได้ เพราะเขาถือว่า ทุกอย่างในโลกนี้อัลลอฮ์สร้างมาทั้งนั้น และมันก็เป็นการใคร่ที่อัลลออ์ให้เขากระทำ
ดังนั้นอุลามะด้านการยึดมั่นจึงฮูกมคนกลุ่มนี้ว่า
----------------------------------กาเฟรซีนดีก-----------------
การเฟรซีนดีก หมายความว่า เขานั้นเป็นการเฟรตามสายของมนุษย์ที่มองการตัดสินด้านภายนอก เช่นการกินเหล้า เข้าบาร์ ท่าพนัน ฯลฯ
ขณะเดียวกันเป็นมุสลิมฝ่ายอัลลออ์ หมายความว่า คนกลุ่มนี้ยึดแต่หลักฮากีกีตซึ่งเป็นของอัลลออ์
แต่ละทิ้งชารีอัตหรือคำสอนหรือแบบอย่างของท่านนบี
หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ ทำเบากับคำสอนคำตักเตือนของท่านบีที่อยู่ในหลักชารีอัต แบบไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ถูกนำมาถ่ายทอด แต่เขากลับให้ความสำคัญเพียงแต่การยึดมั่นกับอัลลออ์เท่านั้น ซึ่งคล้ายกับว่า จะปฏิเสธหลักชารีอัต(ฟิกฮ)ที่มาจากการถ่ยทอดจากท่านนบี แต่ไม่ถึงว่า ปฏิเสธทั้งหมดหรือไม่ยอมรับ
เพราะเขาก็มี2 กาลีมะเช่นกัน แต่กาลีมะหลังนั้น เขาเพียงนำมาเพื่อใช้ปฏิญาณเข้ารับอิสลามเท่านั้น แต่ละเลยแบบอย่างต่างๆที่ท่านรอซุลสั่งใช้หรือห้ามเรา ซึ่งถ้าเขาปฏิเสธการเป็นนบีและรอซุลแล้ว เขาก็คือกาเฟรอย่างแน่นอน และไม่เซาะในการเข้าเป็นอิสลามด้วย
และที่เรียกว่า การเฟรซีนดีกนั้น ก็เพราะว่า ชนกลุ่มนี้มิได้ละทิ้งการปฏิบัติอ้ามัลอิบาดัตเสียเลย
เพียงแต่การกระทำของเขา ทำตามอารมณ์ชอบเท่านั้น นึกอยากทำอะไรก็ทำ นึกอยากทิ้งก็ทิ้ง และอลามะในด้านการศรัทธาฮูกมเขาเช่นนี้นั้นก็เพราะว่า เขาไม่ให้เกียตริในหลักชารีอัตต่อท่านนบี(ซล)เลย เห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญและเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่จะยึดเอาการบันทึกจากมนุษย์ยุคหลังมา แล้วเรียกเป็นฮาดีส ซึ่งเขาถือว่า การบันทึกถึงการกระทำต่างๆเหล่านั้นเป็นเรื่องใหม่ที่มนุษย์คิดกันมาเองและเชื่อถือไม่ได้ และเขาถือท่านบีเป็นแค่บุคคลธรรมาดาเท่านั้น จะเชื่อฟังในสิ่งที่เป็นคำสอนจากท่านนบีนั้นเป็นเรื่องผิดพลาด เพราะแค่อัลกรุอ่านอย่างเดียวเท่านั้นก็เกินพอแล้วและเป็นคำดำรัสที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ที่ต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟัง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu May 25, 2006 12:07 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
สรุปว่า การศรัทธาในแนวทางของยับบารียะนั้น
เขาจะยึดมั่นในหลักฮะกีกัตฝ่ายอัลลออ์อย่างจริงจังโดยยึดถือสิ่งที่บอกกล่าวมาจากอัลกรุอานเป็นสำคัญ แต่จะเฉยเมินในคำสอนของท่านบีหรือละเลยในหลักของชารีอัต..
2.การศรัทธาในแนวทางของมัวตะซีละ(..ก่อนอื่น ต้องขอบอกก่อนว่าแนวทางที่2 ที่ผมนำเสนอนี้ผมไม่มีเจตนาไปกระทบกระทั่งกับการกระทำของพี่น้องต่างทัศนะไหนทั้งสิ้น ดังนั้นขอให้พี่น้องพิจราณาและตัดสินเอาเอง และผมจะถ่ายทอดในสิ่งที่ถูกแปลมาเท่านั้น..)
การศรัทธาในแนวทางมัวตะซีละนั้น แตกต่างจากการศรัทธาแบบยับบารียะอย่างสิ้นเชิง
พวกเขามองว่า การกระทำต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นบนโลกนี้นั้น เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากน้ำมื่อมนุษย์ทั้งสิ้น จริงอยู่ว่า อัลลออฮ์เป็นผู้สร้างมนุษย์และมัคโล๊กต่างๆมา แต่หลังจากนั้นมนุษย์เป็นผู้กระทำทั้งสิ้น มิได้เกี่ยวพันไปถึงอัลลออ์เลย มนุษย์เป็นของใหม่ที่ถูกสร้าง และเมื่อสร้างเป็นรูปร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยให้กำลังและความสามารถต่างๆ ดังนั้น การกระทำต่างๆนั้นก็มาจากมนุษย์เท่านั้น อัลลอฮ์มิได้มีส่วนในการกระทำด้วย
ดังนั้น ความสามารถต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับมนุษย์เอง โดยที่เขามีความเชื่อว่า งานทุกอย่างจะสำเร็จลงได้ นั้นก็เพราะ มนุษย์เท่านั้นเป็นผู้กระทำ มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถด้วยกับตัวมนุษย์เอง และอัลลออฮ์ไม่เกี่ยวด้วยความสำเร็จใดกับงานนั้นๆ ไม่ว่างานด้านดีหรือด้านชั่ว เกิดมาจากมนุษย์เป็นผู้กระทำทั้งนั้น
เช่น เช่อว่า ถ้าใคร อยากรวยก็ต้องขยันทำมาหากิน (จึงจะรวยได้) ถ้าเรามนุษย์อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากอิ่มก็ต้องกิน ซึ่งในทั้งสองเหตุผลนั้นจะมีการผูกมัดกันตลอดจนแยกไม่ออก
โดยเอาความขยันเท่านั้นไปผูกมัดกับความรวย โดยลืมคิดไปว่าบางคนขยันแทบตายแต่ก้ไม่รวยซะที เอาการรู้ไปผูกมัดกับการเรียน เอาการกินไปผูกมัดกับอิ่ม เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นต้องมีเหตุและผล จึงต้องเอาทั้งสองมาผูกมัดกันหมด ผูกมัดและเชื่อไปถึงว่า เมื่อฉันทำอิบาดัตแล้ว อัลลออ์จะต้องตอบแทนฉันด้วยสวรรค์เท่านั้น ...นะอูซุบิลลา..
การศรัทธาของชนกลุ่มนี้มีความเชื่ออย่างสูงในหลักคำสอนของท่านนบีโดยเฉพาะอัลฮาดีส
หรือสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาจากท่านนบี ฉนั้นสิ่งใดที่ท่านบีไม่กระทำหรือไม่มีในหลักฐานที่เขาค้นคว้ามา สิ่งนั้นเขาถือว่า ห้ามกระทำ และถือว่าเป็นบิดอะ การศรัทธาดังกล่าวจะมุ่งหลักฐานจากอัลฮาดีสหรือการกระทำจากท่านบี มาเป็นข้ออ้างตลอด ทั้งนี้เพราะเขาเน้นหรือเอาการยึดมั่นในหลักชารีอัตของท่านบีเป็นหลัก และเอาฮะกีกัตของอัลลออ์เป็นรอง ซึ่งตรงข้ามกับการศรัทธาของยับบารียะที่เอาหลักฮะกีกัตเป็นหลักแต่เอาชารีอัตเป็นรอง..
อีกอย่างหนึ่งว่าแนวทางนี้มความเชื่อว่า เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถือว่าทุกอย่างเป็นสิ่งตายตัว จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกบันทึกตายตัวในกระดาน เลาฮิลมะฟูด มนุษย์แต่ละคนได้ถูกบันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเรื่องบุญวาสนา ริสกีต่างๆ การเกิด การตาย เมื่อพระองค์ทรงบันทึกแล้ว พระองค์จะไม่เปลียนแปลใดๆ คือเปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นเอง
ยังมีต่อ.. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Fri May 26, 2006 6:15 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ในกระทู้"การทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.)" นั้น บังอะสันถือโอกาสโพศในสิ่งที่ตนต้องการ โดยทำการบล๊อก กีด กัน ไม่ให้ ผมและอัลอัซฮะรีย์ เข้ามาสนทนาเมื่อคืนนี้ และเมื่อบังอะสันโพศต์สิ่งที่ตนจะเอา แล้วก็ถือโอกาสปิดกระทู้โดยไม่เอาให้พวกเราชี้แจงข้อเท็จจริง แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะครับ
และหากว่าบังอะสันไม่ปิดกระทู้ ผมจะยกประเด็นต่อไปนี้มาวิจารณ์ คือ
อ้างจากบังอะสัน
قال الحافظ السخاوي في فتاويه :"عمل المولد الشريف لم ينقل عن أحد من السلف الصالح في القرون الثلاثة الفاضلة وإنما حدث بعد".أهـ
อัลฮาฟีซ อัสสะคอวีย์ กล่าวไว้ในฟะตาวาของท่านว่า การกระทำเมาลิดนบีผู้ทรงเกียรติ นั้น ไม่มีการรายงานมาจาก คนหนึ่งคนใดจากชาวสะลัฟผู้ทรงคุณธรรม ในศตวรรษที่สามที่ประเสริฐ และความจริง มันถูกประดิษฐขึ้นใหม่ หลังจากนั้น -
سبل الهدى والرشاد للصالحي (1/439) ط. وزارة الأوقاف المصرية .
-------------
วิจารณ์
คำกล่าวของ ท่านอัศศะคอวีย์นี้ บังอะสันยกมาไม่หมดนะครับ คือยกมาแบบท่อนๆเพื่ออำพรางนะครับ(แต่ผมไม่อยากจะอธิบายเพราะบังอะสันถือโอกาศปิดกระทู้โดยไม่ให้พวกเราวิจารณ์แก้ต่าง
อ้างจากบังอะสัน
ท่านนบี ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
لاتطروني كما أطرت النصارى ابن مريم إنما أنا عبد فقولوا عبد الله ورسوله
พวกท่านอย่ายกย่องสรรเสริญฉัน ดังเช่น พวกคริสเตียน ยกย่องสรรเสริญ (อีซา)บุตรของมัรยัม ความจริงฉันคือ บ่าว(ของอัลลอฮ)คนหนึ่ง ดังนั้น พวกท่านจงกล่าวว่า (ฉันคือ)บ่าวของอัลลอฮ และรซูลของพระองค์ บันทึกโดยอัลบุคอรี หะดิษหมายเลข 3189 และ อะหมัด หะดิษหมายเลข 149
..........................
الإطراء معناه الغلو في المدح
คำว่า อิฏรออฺ ความหมายของมันคือ การยกย่องสรรเสริญจนเกินความพอดี
---------------
วิจารณ์
ประเด็นนี้บังอะสันอย่าเอา การสรรญของท่านนบีมุหัมมัดของบรรดามุสลิมีน ไปเทียบกับคริสต์ที่เอานบีอีซาเทียบเทียมและเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้า ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย บังอะสันเข้าใจคำว่า كما "เหมือนกับสิ่งที่นาซอรอได้ยกย่องสรรญเสริญ" ใหมครับ ? และเราก็บอกบังอะสันไปแล้วว่า "ยกยอสรรญเสริญท่านนบีตามสิทธิ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้รับ" ไม่ใช่สรรญเสริญกันเหมือนคริสต์ที่เลยเถิดจนเทียมพระเจ้าหรือเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้า (ประเด็นนี้ผมขออธิบายแบบสรุป ประผมโพสต์โดยที่ไม่ได้อยู่ในกระทู้ของมัน)
อ้างจากบังอะสัน
Konyakroo อ้างอายะฮอัลกุรอ่าน ต่อไปนี้ เพื่อสนับสนุนการจัดเมาลิด
وَاتَّخِذُوا مِنْ مَقامِ إِبْراهِيمَ مُصَلَّىً}
และพวกท่านทั้งหลายจงเอาบางส่วนของที่ยืน(มะกอมนบี)อิบรอฮีม เป็นสถานที่ละหมาดเถิด อัลบะกาเราะฮฺ 125
.....................
ตอบ
นี้คือ การเอาอัลกุรอ่านไปตามอารมณ์ตัวเอง อยากจะถามว่า อายะฮนี้ เมื่อได้รับมาแล้ว ท่านนบีมุหัมหมัด จัดงานเมาลิดนบีอิบรอฮีม หรือเปล่า...มาชาอัลลอฮ ไปกันใหญ่แล้ว กู่ไม่กลับแล้วหรือ น้องบ่าวเอาอัลกุรอ่านมาอ้างเพื่อส่งเสริมการทำบิดอะฮ
---------------
วิจารณ์
อายะฮ์ไม่ได้ชี้สนับสนุนการทำเมาลิดโดยครง แต่มันชี้ถึง การรำลึกถึงท่านนบีอิบรอฮีม(อะลัยฮิสลาม) เช่นเดียวกับการทำเมาลิดเพื่อรำลึกถึงท่านนบีมุหัมมัด(ซ.ล.) (ขออธิบายแค่สรุปน่ะครับ เพราะมันไม่ได้อยู่ในกระทู้ของเมาลิดรำลึกถึงนบี
บังอะสันเข้ามาโพสต์ตามที่ตนต้องการ แล้วปิดกระทู้ เพราะไม่ให้ผมแก้ต่าง แบบนี้มันยุติธรรมแล้วหรือ??? _________________ นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri May 26, 2006 9:19 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
وعليكم السلام ورحمة الله
ขอบอกน้อง al-farook ว่า บังอะสันรอหลักฐานจากน้องมาตลอด ไม่ใช่ข้ออ้าง และไม่ใช่การส่งนายมุหัมหมัด เข้ามาด่า เพราะพวกคุณเองเป็นฝ่ายตั้งกระทู้ แต่ลิ่วล้อเข้ามาโพสต์ซ้ำไปมา แถมโจมตีตลอด โดยไม่ได้นำหลักฐานมาแก้ต่างแต่ประการใด หมายถึง หลักฐานการทำเมาลิด ไม่ใช่หลักฐาน การถือศีลอด ต่อไปหากตั้งกระทู้อีก ก็ควร เสวนากันด้วยหลักฐาน และไม่พกอคติและความเคียดแค้นเข้ามาด้วย เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์มันเสีย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Sun May 28, 2006 12:00 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้องอัลฟารุค..(บังขอแสดงความเสียใจด้วยในการกระทำขแองบังหะสัน)
บังหะสันกล่าวปิดท้ายก่อนปิดกระทู้เมาลิดว่า
---------------------------ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน ---------------------------------
ตามที่นักศึกษาไคโรได้ตั้งกระทู้ขึ้นมา จุดประสงค์ ก็เพื่อนำเสนอหลักฐาน การจัดเฉลิมฉลองวันเมาลิดของท่านนบี ซึ่งเราก็เปิดโอกาสให้พี่น้องเรานำเสนอหลักฐานได้อย่างเต็มที่ แต่มาช่วงหลัง ก็เริ่มมีการเสียดสีกันไปมา ด่ากันไปมา โดยไม่ได้นำหลักฐานทางวิชาการมานำเสนอแต่อย่างใด มีการโพสต์ซ้ำซากไปมา โดยไม่เกิดประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านแต่ประการใดไม่ และในขณะนี้ หลักฐานทางวิชาการที่แต่ละฝ่ายนำเสนอมานั้น มันเพียงพอแล้วที่ท่านผู้อ่านผู้แสวงหาสัจธรรมทุกท่าน นำมาพิจารณา ว่า ควรจะยืนอยู่บนจุดใด ดังนั้น กระผมใคร่ขออนุญาตปิดกระทู้นี้ไว้เพียงแค่นี้ และท่านผู้อ่านสามารถอ่านสาระในกระทู้นี้ได้ โดยที่กระผมไม่ได้แก้ไข หรือตัดตอนแต่อย่างได
วิจารณ์
ขอโทษนะครับ ผมขอตำหนิบังสักนิดกระทู้เมาลิด บังหะสัน ปิดกระทู้เร็วเกินไปนะครับ บังก็รู้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า น้องนักศึกษาเขากำลังสอบอยู่ น่าจะเปิดไปพลางๆก่อน
อีกอย่างผมไม่เห็น มีอะไรที่ด่าหรือจาบจ้วงอุลามะหรือบรรพบุรุษผู้ใด เพราะบังเคยบอกห้ามกล่าวหรือด่าอุลามะท่านใดไม่ใช่หรือ และคำพูดของผมและน้องมูฮำมัดบังลองตรวจสอบใหม่ซิ
ครับว่า มีตรงไหนบ้างที่ด่าว่า บังหรือใช้คำไม่สุภาพที่บังเคยห้ามเอาไว้
ผมขอตำหนิบังว่า ทำไมถูกในการวางตัว ที่ใช้อำนาจที่อ.ฟาริดมอบให้ มาทำการลบหรือบล็อกไอพี ของน้องนักศึกษาจากไคโรที่มีทัศนะต่างจากบังออกแม้ กระทั้งของผมเองบังก็ทำ
จริงๆแล้ว การสนทนาเชิงวิชาการนั้น ไม่เป็นแค่การนำหลักฐานและความรู้มาบอกกล่าวให้รับฟัง ไม่ใช่เพื่อชัยชนะ โปรดจำเถิดว่าอัลลออ์ทรงมองดูการกระทำของเราตลอดเวลา และรู้หมดทั้งภายในจิตใจ
ดังนั้น การที่บังปิดกระทู้ เมาลิดโดยไม่ได้ทำผิดข้อใดในการสนทนาผมถือว่าบังขาดความชอบทำในการได้รับอามานะจากอ.ฟาริด ....
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราผู้อยู่ในแนวทาง อีหม่ามชาฟีอี(รฮ)ไม่เคยโจมตีการกระทำใดของผ฿ที่อยู่ในแนวทางการตักลีดตามของท่าน มุฮำมัดบินอับดุลวะฮาบก่อนเลย
ซึ่งเป็นที่รู้ว่า แนวทางของเราต่างหากที่กลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีและดูถูกที่ไม่เป็นธรรม
มาตลอด และการที่กระผมและน้องนักศึกษาเข้ามาในเว็บมรดกฯหรือเว็บมุรีดนั้น ก็เพราะมันเกิดจากการกระทำที่มักง่ายในคำพูดที่ชอบฮูกมการกระทำในแนวทางของเราก่อน
โดยใช้สื่อต่างๆที่เขามีความสามารถจะสร้างมันได้ เผื่อเผยแพร่หรือประจานแนวทางของ
อีหม่ามทั้งใน4 ที่มีมัสหับ
แต่ด้วยประเทศไทยเรานั้นทั้งอดีตและและปัจจุบันพี่น้องส่วนมากยังมั่นอยู่ในการให้ความรู้ของอุลามะในทัศนะของท่านอีหม่าม ชาฟีอี(รฮ)เป็นส่วนมากประมาณ 90เปอรเซ็นต์
ซึ่งเป็นทัศนะหนึ่งที่บรรดาผู้รู้ยอมรับกันทั่วโลก
ดังนั้นเป้าหมายของแนวทางใหม่หรือวะฮาบีย์นั้นจึงมุ่งที่จะหักล้างหรือโจมตีแนวทางนี้โดยเฉพาะ การปฏิบัติอ้ามั้ลอีบาดะต่อองค์อัลลออ์ ซึ่งได้ถูกแนะนำและได้ให้ความรู้ความเข้าใจจากทัศนะของอีหม่าม ชาฟีอี มาตลอด แต่มาตอนหลังทัศนะใหม่กลับมองว่าการกระทำต่างที่ผ่านมานั้น ผิดพลาด บ้าง เป็นบิดอะบ้างเป็นโมฆะ เป็นชิริกบ้างฯลฯซึ่งคำเย้ยหยันหรือประนามเหล่านี้มีตลอดมา
ดังนั้น การตอบโต้การชี้แจง ของผู้ที่อยู่ในแนวทางของท่านอีหม่ามชาฟีอี จึงมีความชอบธรรมและสามารถกระทำได้ โดยผ่านมายังสือ่ที่กล่าวอ้าง
แต่พี่น้องกลับ การปิดกั้นข่าวสารในด้านบริโภคของท่านผู้อ่านที่มอยากรับรุ้มันทั้งสองด้าน กลับถูกหมกเหม็ด อย่างไม่เป็นธรรม ด้วยการใช้อำนาจที่ซอลิม ของฝ่ายต่างทัศนะกับเรา และคอยกีดกันขัดขวาง ความจริงอยู่ตลอดเวลา...อย่างที่กระผมและน้องนักศึกษาผูอยู่ในแนวทาง
อีหม่ามชาฟีอี(รฮ) ประท้วงอยู่เป็นเนืองๆถึงการกะทำที่ ไม่เป็นธรรมและไม่โปร่งใสในการเสนอความจริงที่เปิดเผยให้พี่น้องได้รับรู้ ในสิ่งที่เราถูกกล่าวหามาตลอด..
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|