ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
adeel มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 172
|
ตอบ: Thu Apr 27, 2006 1:18 am ชื่อกระทู้: |
|
|
al-farook พูดว่า
บังอะสันเคยขอดุอาตัษบีต (ดุอาขอเพื่อให้มัยยิดได้ตอบคำถามของมะลาอิกะฮ์อย่างมั่นคง) บังอะสันครับ การตอบและพูดสองเกาะลิเมาะฮ์ของมัยยิดนั้น อีหม่านของเขาไม่ใช่หรือที่ทำให้ตอบ อัลเลาะฮ์ไม่ใช่หรือที่ทำให้ตอบด้วยอิหม่านของเขา บังอะสันไปขอให้กับมัยยิดทำไม และมันได้ประโยชน์อะไร???
อ่านเจอคำพูดนี้ถึงกับผงะ อะไรหนอปิดใจ al-farook ให้มืดบอด ต้องการเอาชนะยังงั้นรึ ถามไปได้ว่า บังอะสันไปขอให้กับมัยยิดทำไม และมันได้ประโยชน์อะไร???
อยากตอบแทนบังอะสันว่า ที่ขอเพราะนะบีใช้ ประโยชน์ที่ได้แน่ๆ คือการตออัตต่อนะบี
ปรากฏว่า นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อ เสร็จสิ้นจากการฝังมัยยิต ท่านได้ยืน ณ ที่หลุมศพ แล้วกล่าว(กับบรรดาสาวกว่า) พวกท่านทั้งหลายจงขออภัยโทษแก่พี่น้องของพวกท่าน และจงขอให้เขามีความหนักแน่นมั่นคง แท้จริงขณะนี้ เขากำลังถูกสอบสวนอยู่ รายงานโดยอบูดาวูด
เดี๋ยว al-farook ก็เข้ามาปฏิเสธเสียงแข็งว่า ผมไม่ปฏิเสธฮาดีสนะบี และก็เลี่ยงบาลีไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ลิ่วล้อจะเข้ามาด่าเป็นฟืนเป็นไฟเพื่อกลบเกลื่อน คอยดูซิ.....ฮ่าๆๆ ของมันแน่อยู่แล้ว
สอบเสร็จแล้วก็อย่าลืมเข้ามาชี้แจงด้วยว่า เหตุใดจึงปฏิเสธการขอดุอาตัสบีตให้กับมัยยัต
ส่วนทนายชื่อ คนอยากรู้ นั้นคำแก้ต่างฟังไม่ขึ้น ที่โพสต์มาจึงเป็นแค่เข้ามากลบเกลื่อนเท่านั้นเอง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Apr 27, 2006 8:16 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อยากรู้ความจริง ทิ้งความคลุมเครือ
บอกหมดไม่เหลือ มีมากแค่ไหน
ฮาดีสนบี มีไว้อย่างไร
จะนำมาให้ ได้เป็นตัวอย่าง
แบบอย่างนบี ที่ท่านกระทำ
เราจะนำมัน ด้วยตัวหลักฐาน
ที่เป็นแบบอย่าง มาให้เห็นกัน
เพื่อเป็นหลักฐาน ไปสู่ประเด็น
ถึงแม้นลำบาก ก็จะนำมา
เพื่อให้รู้ว่า เราไม่พูดเล่น
พร้อมด้วยหลักฐาน เพื่อชี้ให้เห็น
แม้จะยากเข็ญ ก็จะนำมา
ในเว็บของเรา ไม่ชอบโกหก
ไม่เล่นสกปรก ไม่ชอบตบตา
ไม่มีหมกเม็ด มดเท็จ มุสา
เราหวังนำพา เข้าหาความจริง
เราไม่ปิดบัง เหมือนดังบางเว็บ
ที่แอบชอบเก็บ ความจริงทิ้งไว้
เราพูดความจริง ในสิ่งไม่ตาย
เพียงขอท่านได้ รับรู้ความจริง
สลัฟตัวจริงต้องติดตามเว็บของเราครับ
----------------------------------------http ://www .sunnahstudent.com-------------------------------------------- |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Apr 27, 2006 8:53 am ชื่อกระทู้: |
|
|
konyakroo ครับ บทกลอนคุณ เขาเรียกว่าสัมผัสอะไรคร้าบ ฮิฮิ ดูเข้าซิท่านผู้อ่าน
แบบอย่างนบี ที่ท่านกระทำ
เราจะนำมัน ด้วยตัวหลักฐาน
ที่เป็นแบบอย่าง มาให้เห็นกัน
เพื่อเป็นหลักฐาน ไปสู่ประเด็น
................
ข้างบนเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองจ้ะ konyakroo สัมผัสกันอย่างไรหว่า....ฮะฮา |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Apr 27, 2006 9:18 am ชื่อกระทู้: |
|
|
[B]ใครจะทำ เว็บไซด์แข่ง ก็ทำไป
แต่อย่าใส บิดอะฮ เข้าไปสม
เพราะบิดอะฮ เฎาะลาละฮ พาให้จม
ไม่นิยม เพราะมันหลง ตรงไม่มี
ท่านศาสดา ท่านสอน ไว้ก่อนแล้ว
ว่านอกแถว คือ บิดอะฮ พาให้หลง
ใครไปเชื่อ ไครไปตาม นามนี้คง
ทำให้หลง ลงนรก หมกไหม้เอ๋ย[/B] |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Apr 27, 2006 5:19 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บังฮะซัน
ครับจะฮูกมว่าผมทำบิดอะอีกละซิ ที่ในบทมีทั้งร้อยแก้วร้อยจอก ฮิๆๆๆ
ผมว่าบังอย่าสนในใจนักครับเรื่อง แบบนี้
แบบอย่างนบี ที่ท่านกระทำ เราจะนำมัน ด้วยตัวหลักฐาน
ที่เป็นแบบอย่าง มาให้เห็นกัน เพื่อเป็นหลักฐาน ไปสู่ประเด็น
ตอบ------------กระทำ สัมผัสกับ นำมัน
และ หลักฐาน สัมผัสกับ ให้เห็นกัน
และ ให้เห็นกัน สัมผัสกับ หลักฐาน
ที่แน่สัมผัสทุกตัวแถมเชือดนิ่มด้วยคำคมครับ
บิดอะลุ่มหลงเราคงไม่ทำ เพราะว่าผู้นำเราไม่ได้ใช้
บิดอะที่ดีก็มีมากมาย ที่ท่านทำไว้ให้เป็นตัวอย่าง
ซออาบะว่ามีบิดอะหาสานะ วะฮาบีย์ว่ามีบิดอะฎอลาละ
ท่านเชื่อซอฮาบะ หรือจะเชื่อวะฮาบีย์
จงคิดใคร่ครวญกันให้ดีดี จะตามวะฮาบีย์หรือซอฮาบะ
ช่างน่าสงสารลูกหลาน อับดุวะฮาบ
ชอบทำแต่บาป ไม่เคยเว้นวัน
นำชื่อท่านนบี เพื่อจะแอบอ้าง
ตัวเองหลงทาง อ้างชื่อผู้นำ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Apr 27, 2006 7:54 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เมื่อมัยยิต ตายลง คงได้เห็น
มีคนเป็น ส่วนหนึ่ง น่าสงสัย
เที่ยวด้อมๆ มองมอง ข้างบันใด
ว่ามีใคร เดินมา ข้าจะคุย
ว่ามีไหม นูหรี หรือกินบุญ
เพื่อเป็นทุน อุทิศให้ ได้อาศัย
บุญนี้แหละ ถึงผู้ตาย ได้ไวไว
ทำให้ใคร ข้าหนุน ได้บุญชัวส
อนิจจา นี้หรือครับ สลัฟแท้
โกหกแน่ เพราะไม่ตรง สลัฟสอน
ไม่มีใคร เคยทำ แต่เก่าก่อน
สะลัฟสอน ว่านิยาหะฮ บิดอะฮเอ๋ย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
adeel มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 172
|
ตอบ: Thu Apr 27, 2006 11:43 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
รวมทั้งการขอดุอาอ์ว่าอุทิศ
เป็นเรื่องฮิตทำกันมาหลายสมัย
ซุนนะฮ์แท้ซุนนะฮ์เทียมนั่นอย่างไร
อุทิศบุญให้คนตายของใครกัน
อย่าลืมเข้ามาชี้แจง ว่าทำไมถึงปฏิเสธการขอดุอาอ์ตัสบีตให้กับมัยยิตด้วย ฮ่าๆๆๆ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Apr 28, 2006 12:18 am ชื่อกระทู้: |
|
|
قال الحافظ ابن رجب في "فضل علم السلف" (ص31): "... فأما ما اتفق السلف على تركه؛ فلا يجوز العمل به؛ لأنهم ما تركوه إلا على علم أنه لا يعمل به".
อัล-หาฟิซ อิบนุเราะญับ ได้กล่าวเอาไว้ ในหนังสือ "ฟัฎลุอิลมิสสลัฟ" หน้า 31 ว่า "สำหรับสิ่งที่ชาวสลัฟ เห็นชอบว่าให้ทิ้งมัน ดังนั้น ไม่อนุญาตให้นำมันมาปฏิบัติ เพราะว่าพวกเขา(สะลัฟ)จะไม่ทิ้งมัน นอกจาก เขารู้ว่าเขา(ท่านนบี)ไม่ได้ปฏิบัติมัน
..................
เพราะฉนั้นสิ่งที่ท่านนบี ศอลฯไม่ทำ ก็แสดงว่า ห้ามทำ
เช็คอัชชันกิฏีย์ กล่าวว่า
فتمام اتباع السنة يكون بترك ما وَرَدَ تركه، وفعل ما وَرَدَ فعله،
การตามสุนนะฮที่ครบถ้วนนั้น จะเป็นไปโดยการทิ้งในสิ่งที่ปรากฏรายงานว่าเขา(นบี)ได้ทิ่งมัน
และ ปฏิบัติ ในสิ่งที่มีรายงานว่าเขา(นบี)ได้ปฏิบัติมัน - ดู في "أضواء البيان" (6/317-320
................
ดังนั้น จะมาอ้างไม่ได้ว่า สิ่งใดที่นบีไม่ทำ ก็ไม่ได้หมายความว่าห้าม อย่างนี้ เขาเรียกว่า ไม่เข้าใจสุนนะฮ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Fri Apr 28, 2006 7:05 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้างจากคุณอะดีล
al-farook พูดว่า
บังอะสันเคยขอดุอาตัษบีต (ดุอาขอเพื่อให้มัยยิดได้ตอบคำถามของมะลาอิกะฮ์อย่างมั่นคง) บังอะสันครับ การตอบและพูดสองเกาะลิเมาะฮ์ของมัยยิดนั้น อีหม่านของเขาไม่ใช่หรือที่ทำให้ตอบ อัลเลาะฮ์ไม่ใช่หรือที่ทำให้ตอบด้วยอิหม่านของเขา บังอะสันไปขอให้กับมัยยิดทำไม และมันได้ประโยชน์อะไร???
อ่านเจอคำพูดนี้ถึงกับผงะ อะไรหนอปิดใจ al-farook ให้มืดบอด ต้องการเอาชนะยังงั้นรึ ถามไปได้ว่า บังอะสันไปขอให้กับมัยยิดทำไม และมันได้ประโยชน์อะไร???
อยากตอบแทนบังอะสันว่า ที่ขอเพราะนะบีใช้ ประโยชน์ที่ได้แน่ๆ คือการตออัตต่อนะบี
วิจารณ์
คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับคุณอะดีล สิ่งที่ผมได้พูดไปนั้น ผมได้พูดกับบังอะสันเท่านั้น ไม่ใช่คุณ และบังอะสันก็เข้าใจคำพูดของผมดีกว่าคุณ บังอะสันจะไม่ถามคำๆนี้ หรือแปลกใจเหมือนกับที่คุณแปลกใจผิดอยู่ตอนนี้
ดุอาอ์ตัษบีตนั้น พวกเราทำกันอยู่แล้ว และมีหะดิษซอฮิห์มายืนยันด้วย และเราก็มีทัศนะอนุญาติให้ทำการอ่านตัลกีนด้วยเช่นกัน
ดุอาอ์ตัษบีตนั้นก็คือ ดุอาอ์ที่ขอให้มัยยิดมีคำพูดที่หนักแน่นมั่นคงกับการตอบคำถามของบรรดามะลาอิกะฮ์ แต่บังอะสันไปค้านผมเรื่องการอ่านตัลกีนที่เวปมิฟตาห์ไคโร ว่า อ่านตัลกีนทำไม ในเมื่ออัลเลาะฮ์เท่านั้นที่จะให้อีหม่านของตอบคำถาม ผมก็อธิบายไปว่า เพื่อการตักเตือนให้รำลึกเท่านั้น พอบังอะสันมายกเรื่องการอ่านตัษบีตมา (ทั้งที่ผมยอมรับและกระทำดุอาอ์ตัษบีตอยู่แล้ว) ผมก็อยากถามบังอะสันไปบ้างว่า ขอดุอาอ์ตัษบีต(ให้มัยยิดมีคำกล่าวที่มั่นคงในการตอบกับมะลาอิกะฮ์)ทำไม?ในเมื่อบังอะสันเคยบอกกับผมว่า อิม่านเท่านั้นที่ตอบ ดังนั้นคำถามของผมนี้ ยังมีผลในมุมกลับที่ว่า หากบังอะสันตอบว่า เพราะมีหลักฐานมาระบุและเป็นการขอดุอาอ์ให้แก่มัยยิด ผมก็ตอบได้เช่นกันว่า การอ่านตัลกีนนั้น ก็มีหลักฐานมาระบุตามแนวทางของผมและเพื่อตักเตือนให้ระลึกแก่มัยยิดด้วยเช่นกัน ดังนั้นการดุอาอ์ตัษบีตและตัลกีนก็ย่อมมีผลประโยชน์กับมัยยิด ฉะนั้นคำถามที่ผมกล่าวขึ้นมานั้นจึงเข้าใจกันระหว่างผมกับบังอะสันเท่านั้น คุณอะดีลก็โปรดเข้าใจด้วยครับ ผมรู้หลักฐานตัลกีน แต่ไม่รู้หลักฐานตัษบีต มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
ถึงบังอะสัน
บังอะสันครับ การที่ท่านนบีไม่ได้ทำนั้น ไม่ใช่ชี้ถึงหะรอมเสมอไป และการที่ท่านนบีไม่ได้ทำนั้น ย่อมชี้ให้เห็นว่าอนุญาติให้ทิ้งการกระทำนั้นได้ การกระทำสิ่งที่ท่านนบีไม่ได้กระทำนั้น ต้องกลับไปหาหลักการของศาสนาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ บรรดาซอฮาบะฮ์ก็เคยกระทำในสิ่งที่ท่านนบีไม่ได้กระทำ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหะรอมเสมอไป แต่เราต้องเอาไปวางบนมาตรฐานของหลักการของศาสนาเป็นสำคัญ ชาริอะฮ์อิสลามนั้นย่อมไม่เป็นศรัตรูกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลังจากยุคสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้นหากมันอยู่บนหลักการและอยู่ในกรอบของหลักชาริอะฮ์อิสลาม ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยค้านกับหลักชะริอะฮ์นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่นอนครับ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เราสมควรไปทบทวนการสนทนาเรื่องบิดอะฮ์ เนื่องจากจะทำอะไรขึ้นมานั้นต้องมีเงื่อนไขรัดกุม และต้องผ่านด่านหลายด่านด้วยกัน ซึ่งมันรอดยากนะครับ _________________ นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Apr 28, 2006 9:37 am ชื่อกระทู้: |
|
|
น้อง al-farook กล่าวว่า
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้นหากมันอยู่บนหลักการและอยู่ในกรอบของหลักชาริอะฮ์อิสลาม ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยค้านกับหลักชะริอะฮ์นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่นอนครับ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เราสมควรไปทบทวนการสนทนาเรื่องบิดอะฮ์ เนื่องจากจะทำอะไรขึ้นมานั้นต้องมีเงื่อนไขรัดกุม และต้องผ่านด่านหลายด่านด้วยกัน ซึ่งมันรอดยากนะครับ
..........
ตอบ
น้องบ่าวครับ ไปผ่านด่านให้เจ็บตัวทำไม่ละครับ จำกัดอยู่แค่สิ่งที่เป็นแบบอย่าง(อัสสุนนะฮ)ของท่านนบี และอัสสุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ที่ปรากฏ มันก็เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าสวรรค์แล้วมิใช่หรือ
.........
ปล. ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้ เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบจะดีกว่า บังไม่อยากรบกวนเรื่องสอบ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Tue May 02, 2006 12:07 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เอะ เห็นรูโหว่ของบังฮะซันอีกแย้ว
ตอบ
น้องบ่าวครับ ไปผ่านด่านให้เจ็บตัวทำไม่ละครับ จำกัดอยู่แค่สิ่งที่เป็นแบบอย่าง(อัสสุนนะฮ)ของท่านนบี และอัสสุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ที่ปรากฏ มันก็เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าสวรรค์แล้วมิใช่หรือ
อ้าวเป็นงั้นไป แล้วบรรดาวฮาบะที่นีบรับรอง6ใน10คนละครับ จะว่ายังไง แบบอย่างของท่านเหล่านั้นเรากระทำตามไม่ได้เลยหรือครับ อย่างนี้มันขัดแย้งกับคำพูดท่านนบีหรือปล่าว ที่กล่าวรับรองซอฮาบะ10 ท่านจะได้เข้าสวรรค์ แต่บังฮะซันจำกัดและบอกว่า แบบอย่างจากคุลีฟะอัรรอซีดีนเท่านั้นที่จะเป็นทางนำไปสู่สวรรค์ และซออาบะท่านอื่นอีกหลายท่านบังฮะซันเอาท่านเหล่านั้นไปแช่แข็งไว้ที่ไหนอีกละท่านผู้รู้มาก เช่นท่านบิหลั่น ท่านมุอาวียะ ท่านอิบนุมัสอูด ท่านอบูรอยเราะ ท่านอิบนุ อับบาส ท่าน อิบนุ อุมัร (รด) และลูกๆหลานๆรวมทั้งภรรยาของท่านและซอฮาบะอีกมากมายนั้น เราไม่สามารถที่จะกระทำตามเขาผู้นั้นได้เลยหรือครับ
บังจึงจำกัดเพียงซอฮาบะทั้ง4ที่เป็นทั้งผู้นำและเป็นผู้มีความรู้ มาเป็นเกณท์ในการเข้าสวรรค์โดยละที้งความรู้ความเข้าใจหรือแบบอย่างที่ดีงามของซอฮาบะที่เจริญรอยตามท่านนบี กระนั้นหรือ
ด้วยการห้ามพวกเราไม่ให้ตามแบบอย่างที่ท่านเหล่านั้นซึ่งก็ดำเนินตามท่านนบีเช่นกันและบางท่านก็ถูกรับรองว่าจะได้เข้าสวรรค์ด้วย
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Tue May 02, 2006 2:15 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
------------ข้อคิดกับความเข้าใจของ พี่น้อง มัสหับวะฮาบีย์หรือการศรัทธาแบบมัวตะซีละ------------
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกับพี่น้องทั้งหลายว่า บทความที่ผมนำมาลงนี้ไม่ได้เจาะจงว่ากล่าวใครทั้งสิ้น แต่เพียงหยิบยก สิ่งที่เป็นสาระประดญชน์ให้กับพี่น้องได้คิดและทบทวนพร้อมเช็คตรวจดูเองว่า ตนนั้นอยู่ในทัศนะที่อุลามะหรือผู้รู้กล่าวไว้หรือไม่
บรรดาอุลามะในแนวทางของอีหม่ามชาฟีอี ด้านตะเซาวุไดทำการแบ่งแยกการศรัทธาออกเป็น 4 ประเภท
1.การศรัทธาแบบแนวทาง ม๊วะตาะซีละ
2.การศรัทธาแบบแนวทาง ยับบารียะ
3.การศรัทธาแบบแนวทาง อะลิสซุนนะวัญยะมะอะ
4.การศรัทธาแบบแนวทาง อะลิ้ลกะซัฟ
การศรัทธาหรืออูซูลทั้ง4แนวทางนี้ล้วนมีข้อแตกต่ากันในความเข้าใจ ซึ่งการศรัทธาที่แตกต่างกันนั้นอุลามะส่วนมากถือไม่ได้ทำให้ผู้นั้นสิ้นสภาพจากการนับถือศาสนาอิสลาม เพียงแต่ทำให้เกิดการผิดพลาดในเรื่องอะกีดะที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น
และคำว่าแนวทางหรือมัสหับนั้นก็หมายถึงทางของการนำไปสู่การศรัทธานั้นเอง.ซึ่งเน้นไปในเรื่องวิชาฟิกฮ์ทั้งสิ้น และเป็นที่รู้ว่ามัสหับนั้นเกิดมาตั้งแต่ในอดีตกาลในช่วงศตวรรษที่3 ของคนยุคสลัฟ ซึ่งมีหลายมัสหับ แต่มัสหับหรือแนวทางที่อุลามะหรือนักวิชาการมุสลิมทั่วโลกยอมรับมีเพียง4 มัสหับหรือ4แนวทางเท่าน้นคือ
1.มัสหับของอีหม่ามฮะนาฟี 2.มัสหับของอีหม่ามมาลีกี 3.มัสหับของอีหม่ามชาฟีอี 4.มัสหับของอีหม่ามฮัมบาลี
ดังนั้นอุลามะคนยุคก่อนจึงตระหนักว่า การศรั?ษคือหัวใจของผู้นับถือศาสนาอิสลาม เพราะถ้าการศรัทธาผิด อิบาดัตที่กระทำนั้นย่อมบกพร่องไปด้วย ซึ่งอิบาดัตนั้นก็ถูกนำมาจากวิชาฟิกฮ์ที่ท่านอีหม่ามทั้ง4 เป็นผู้ค้นคว้ามา และอาม้าลอิบาดัตที่มาจากวิชาฟิกฮ์เสียหายหรือบกพร่องนั้นมันมีผลมาจากการศรัทธาที่ไม่ไม่ถูกต้อง สมมุติว่าเมื่อเราทำการละหมาดเพื่ออัลลออ์เวลาใดก็แล้วแต่ แต่ในใจกลับคิดไปว่าอัลลอแอนั้นคงมีลักษณะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เหล่านี้ ถือว่ามีผลมาจากการศรัทธาที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะไม่รู้จักต่อคุณลักษณะของพระองค์แต่กลับถวายละหมาดให้กับพระองค์โดยที่ตัวเองก็ไม่เคยใส่ใจในสิ่งนั้น
แต่ที่มุสลิมทุกคนน่าขบคิดกลับไม่มีใคอยากจะคิด คือ วิชาที่ทำให้เราได้รับผลบุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย(วิชาอูวูลลุดดีน)กลับถูกละเลยไม่เคยสนใจ แต่ตรงกันข้าม กลับไปสนใจวิชาที่รองลงมา(วิชาฟิกฮ์) เลยทำให้มุสลิมส่วนมากไม่รู้ว่า แมท้จริงการศรัทธานั้นมีอยู่ 4แนวทางเช่นกันและการศรัทธาของแนวทางนั้นก็เข้าไปอยู่ในวิชาฟิกฮ์เช่นเดียวกันหรือพูดตามบรรด่าผู้รู้คนก่อนนั้นเขามักกล่าวว่า วิชาฟิกฮ์นั้นคือวิชาที่ใช้ปฏิบัติด้านภายนอก ส่วนวิชาอุ้ลนั้นเป็นการปฏิบัติในเรื่องการยึดมั่นที่อยู่ภายใน
การศรัทธาตามแนวทางมัวะตาซีละคือ การศรัทธาว่าการกระทำต่างๆที่มันเกิดขึ้นบนโลกนี้เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้น อัลลออ์เป็นผู้สร้างมนุษย์มาก็จริง แต่หลังจากนั้นมนุษย์เป็นผู้กระทำทั้งสิ้น มิได้เกี่ยวพันไปถึงอัลลออ์เลย มนุษย์เป็นของใหม่ที่ถูกสร้าง เมื่ออัลลอฮ์ได้ทรงสร้างมนุษย์แล้ว อัลลออ์ก็ได้วางกำลังความสามารถมาให้มนุษย์เสร็จเรียบร้อย
ดังนั้น ความสามารถต่างๆจึงขึ้นอยู่กับตัวมนุษย์เอง งานทุกอย่างจะสำเร็จลงได้ก็เพราะมนุษย์เป็นผู้กระทำ มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถด้วยกับตัวมนุษย์เอง อัลลออ์ไม่เกี่ยวข้องด้วยกับงานนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่ว เขามองว่าเกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำขึ้นมาทั้งสิ้น
เช่นดังที่เขาเข้าใจว่า ถ้าอยากรวยก็ต้องขยันทำมาหากินเท่านั้น (โดยเขาลืมคิดไปว่าแม้จะขยันแล้วแต่ก็ยังยากจนก็มีมากมาย เมื่ออัลลออฮ์ไม่พึงประสงค์จะให้)
หรือถ้าเราอยากรู้ก็ต้องเรียน ถ้าอยากให้อิ่มก็ต้องกิน ซึ่งเหตุผลทั้งสองอย่างที่กล่าวมานั้นจะต้องผูกมัดด้วยกันตลอด โดยเอาการทำมาหากินไปผูกมัดอย฿กับความรวย เอาการเรียนผูกมัดอยู่กับความรู้ เอาการกินผูกมัดอยู่กับการอิ่ม เมื่อทุกเหตุผลสองอย่างนี้มาผูกมัดกันหมด ก็แสดงว่า อัลลออฮ์ไม่ได้มีความสามารถใดกับผลนั้นเลย เช่นเมื่อเรียนก็ต้องรู้ โดยไม่ได้คิดไปว่า ผู้ทที่ทำให้เรารู้หรือจดจำได้นั้นมันคืออัลลออ์(ซบ)นั้นเองไม่ใช่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดการรู้หรือการจดจำสิ่งนั้นได้ขึ้นมาด้วยตัวเอง
และบางครั้งยังผูกมัดการทำอิบาดัตของตัวเองว่า เมื่อฉันกระทำอิบาดัตแล้ว อัลลออ์จะต้องตอบ
แทนฉันด้วยสวรรค์ สิ่งเหล่านี้อุลามะเขาเรียกว่า ฮูกมอาดีย์หรือฮูกมอาดัด ที่จะต้องขึ้นอยู่กับเหตุและผล
การศรัทธาของชนกลุ่มนี้เข้าใจกันว่าเมื่อพระองค์เป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถือาตายตัวแล้ว และอัลลออ์ จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก เพราะเขาถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้ถูกบันทึกไว้แล้ว ที่เลาฮิลมะฟูด
และมนุษย์แต่ละคนได้ถูกบันทึกไว้หมดเช่นกันว่า คนนั้นไดเข้าสวรรค์คนนั้นจะอยู่ในนรก
(โดยเขาไม่ได้คิดว่า แม้กระทั้งคนที่เป็นกาเฟรมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อัลลออยังทรงเปลี่ยนแปลงให้เขาเข้ารับนับถืออัลอิสลามได้ วึ่งถ้าเรามองตามฮูกมอาดัตแล้วเขาต้องตกนรกแน่นอน แต่เขาลืมคิดไปว่านรกสวรรค์นั้นเป็นสิทธิของอัลลออ์เพียงผู้เดียว)
ดังนั้นไม่ว่าเรื่อง บุญวาสนาหรือริสกีของแต่ละคน หรือระยะเวลาการตายนั้น ถูกกำหนดไว้ด้วยเช่นกันบนกระดานบันทึก และพระองค์จะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงใดๆ คือเปลฃี่ยนไม่ได้นั้นเอง
คือ ซึ่งเขาเข้าใจว่าอัลลออ์นั้นทรงถือสัญญาหรือคำพูดเหนือกว่าพระองค์หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งพระองค์นั้นอยู่ภายใต้สัญญาของพระองค์...
ลักษณะการศรัทธาแบบนนี้ มันขัดกับการแนวทางของ กล่มอะลิสซุนนะวัญญะมาอะในมัสหับทั้ง4อย่างสิ้นเชิง
เพราะแนวทางของอะลิสซุนนะนั้น เขาถือว่า แม้พระองค์บันทึก กำหนดแล้วก็จริงแต่มิได้ผูกมัดแบบตายตัว หรือจะต้องเป็นไปตามข้อบันทึกเสมอไป เพราะพระองค์นั้นไม่มีซึ่งการผูกมสัดใด ด้วยกุดดรัตของพระองค์ ซึ่งในอะยะกรุอ่านนก็บอกไว้ ว่า ***จงขอต่อเราซิ เราจะรับการของของเจ้า*/***หรือจากอายะที่ว่า เจ้าจงประกาศเถิดมูฮำมัด ฉันไม่มีอำนาจให้โทษและคุณแก่ตัวฉันเอง นอกจากเป็นไปตามที่อัลลออ์ทรงพระประสงค์เท่านั้น และ แต่ละประชาชาตย่อมมีอยุขัย (ที่กำหนดไว้)เมื่อายุขัยของพวกเขาได้มา พวกเขาก็ไม่(สามารถ)ล้าช้าสักยามเดียวก็ตาม พวกเขาไม่(สามารถ) ขอให้ล่วงหน้า (ก่อนกำหนดได้สักยามเดียวก็ตาม)
จากอายะกรุอ่านนั้นหมายถึงเมื่อชีวิตถูกชักขึ้นถึงฮัรกุมแล้ว หรือถึงลูกกระเดืดอกแล้ว พระองค์ก็จะปิดประตูรับการขอ ก็หมายถึงว่า จะขอไม่ได้แล้ว แต่ถ้าตราบใดที่ยังมีชีวิตยังไม่งจุดนั้น มนุษย์ก็ยังมีขอได้ แต่อัลลออ์จะให้ตามที่ขอหรือไม่นั้นก็แล้วแต่พระสงค์ของพระองค์
จะเห็นว่าแนวทางมัวะตะซีละกับแนวทางอะลิสซุนนะนั้นจะขัดกันตลอดเรื่องความเข้าใจ ฝ่ายมัวตะซิละบอกว่า เมื่อพระองค์สัญยาแล้วพระองค์จะไม่ผิดสัญยา ฝ่ายอะลิสซุนนะก็โต้ว่า การที่พระองค์เป็นถึงพระเจ้าแล้ว พระองค์ต้องมาอยู่ภายใต้กฏของสัญญากระนั้นหรือ ก็แสดงว่าสัญญานั้นต้องใหญ่กว่าพระองค์นะซิ
หลัการของคนสองกลุ่มนั้นจึงมีความแตกต่งต่างกันตลอดอย่างเห็นได้ชัดแทบทุกเรื่องไม่ว่า
ด้านเอียะติกอด ด้านฟิกฮ์ ด้านตะเซาวุฟ แต่ประเด็นที่ร้ายที่สุดคือ การที่ฝ่ายมัวะตะซีละแบ่งกำลังคงวามสามารถออกเป็นสองตจากอัลลออ์โดยสิ้นเชิง เขาเข้าใจว่า มนุษย์นั้นมีคว่มสามารถ
ด้วยตัวเอง เท่ากับเป็นการแบ่งกำลังความสามารถของอัลลออ์ออกเป็นสอง เพราะกำลังความสามารถหนึ่งอยู่ที่อัลลออ์และอีกกำลังความสามารถอยู่ที่ตัวมุษย์เอง เมื่ออัลลออ์มีสองกำลัง้ อย่างนี้ เราจะเรียกว่าเตาฮีดได้อย่างไร และจะพระองค์จะเป็นเอกภาพได้อย่างไ ในเมื่อกำลังส่วนหนึ่งของพระองค์ได้ถูกแบ่งไว้อยู่ที่มนุษย์ และเมื่อทุกอย่างมีสองตรงนั้น แสดงว่า กำลังทีทมนุษย์นั้นไร้การควบคุมจากพระองค์กระนั้นหรือ แล้วมันจะขัดกับอายะกรุอ่านหรือไหมที่พระองค์ตรัสว่า มนุษย์คิดหรือว่า ข้าสร้างเจ้ามาอย่างไร้สาระ กระนั้นหรือ ลาเฮาล่า วะลากูตะอิ้ลลา....
ถ้าเป็นอย่างฝ่ายมัวะตะซีละเข้าใจแล้ว แสดงว่านั้นคือคือการมีภาคี กำลังเกิดขึ้นในเรืองความเชื่อในด้านเอกภาพของพระองค์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้ากำลังความสามาถอยู่ทีมนุษย์จริง บทขอพรต่างๆก็ไร้ความหมาย เพราะความสารถนั้น มาอยู่ที่มนุย์เสียแล้ว แล้วจะไปขอความช่วยเหือจากพระองค์อีกทำไม
----------------ฉันไดที่ มัวะตะซีละก็จะไม่เชื่อถึงการอุทิศผลบุญถึงไปยังผู้ตายฉันนั้น-----------------------
เรื่องการทำอีซีรกุโบร์จึงเป็นปัญหาที่ฝ่ายมัวะตาซีละที่เป็นไม่บื่อไม่เมากับฝ่ายอะลิซุนนะมาช้านาน โดยที่พวกเขาบ้าก็กล่าวว่า ผู้กระทำเช่นนี้คือ ผู้ที่หากินกับซากศพ บ้าง หากินบนกุโบร์หรือมัยัตที่ตายไปแล้วบ้าง บ้างก็ว่า พิธิกรรมนี้เหมือนกับพุทธและพรามห์ และมีบทสวดคล้ายกัน คำเสียดสีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ฝ่ายอะลิศซุนนะมาตลอด
ซึ่งมัวตะซีละนั้นจะยึดถือหลักชารีอัตหรือฮูกมของวิชาฟิกฮ์มาเป็นอ้างอิงในการกล่าวร้ายหรือฮูกม กลุ่มที่อย่ตรงข้าม และเมื่อไม่มีคำสั่งใช้ในอัลกรุอ่านหรืออัลฮาดีที่เขายึด นั้นเขาถือว่านั้นคือ การทำบิดอะ
ในความเป็นจริง การกระทำความดีแบบครอบคลุมหรือแบบกว้างนั้นไม่ได้ถูกห้ามแต่อย่างใดจากศาสนา และไม่ถูกจำกัดด้วยรูปแบบเลย แต่มัวะตะซีละนั้น พยายามใส่ร้ายว่าการกระทำนั้นไม่หลักฐานที่ชี้ชัดว่าให้กระทำ
ถ้าเราจะพูดว่า จริงๆแล้วเนื่อหาการทำอีซีรกุโบร์นั้นมันขัดกับข้อห้ามหรือไม่ถ้าหากว่ามันเกิดจากการมีเจตนาว่า เขาหรือบรรดาญาติพี่น้องของมัยัตจะทำความดีที่ศาสนาให้การสนับสนุนนั้นมันถูกห้ามหรือไม่ เพราะในเนื่หา คือ การอ่ากรุอ่าน ซุเราะอัลฟาติฮะ ซูเราะยาซิน ซูเราะอัลอิคลาสฯลฯมีการกล่าวตะลีล ตัสเบียะ ซฮลาวาตนบี และขอดุอาให้พี่น้องมาร่วมพิธีและผ้ที่ตายไปแล้วซึ่ง ซอฮาบะอย่างคุบัย บุตรอับดลเราะมาน กล่าวว่า ซูเราะที่ยิ่งใหญ่คือ ซุเราะอัลฟาตีฮะฯลฯ...จะเห็นว่าซุเราะนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะการละหมาดเท่านั้น แต่มันสามารถนำไปใช้ได้เสมอในการทำความดี
และจากเมียะกอล บุตร ยะซัร กล่าวว่า ท่านบี กล่าวว่า พวกท่านจงอายาซีนให้แก่ผู้ตายของพวกท่านเถิด.. สิ่งที่นำมานี้ ย่อมได้ถูกกระทำมาก่อน และย่อมีเหตุผลของการกระทำ
ดังนั้นมันจึงไม่ผิดอะไรที่มัวตะซีละจะไม่มีการสนใจกับฮูกมหรือหลักฮะกีกัตที่เป็นเรื่องภายในจิตใจ และเป็นของแท้ ผู้ใดจะอีหม่านหรือมีการศรัทธาถูกผิดนั้นยอมขึ้นอยู่กับการการศรัทธาภายในเป็นหลัก
ยังมีต่อ
---มนุษย์นั้นจะเป็นผู้ตัดสินแต่ภายนอก เห็นแต่อัลลออ์จะเป็นผู้ตัดสินภายใน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue May 02, 2006 3:09 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บิดอะฮเต็มจอเลย คักๆๆๆๆ... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Tue May 02, 2006 3:59 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
กรุณายกหลักฐานด้วยครับ อยาพูดลอยๆไร้เหตุผลและจิตสำเหนียกว่า
ข้อความดังกล่าวที่พูดถึงการศรัทธาแบบมัวะตะซีละ นี้เป็นบิดอะ ตามฮูกมของงวะฮาบีย์ครับ
แล้วที่สร้างฮูกมขึ้นมา เองละ เป็น บาปไหม ล้ำหน้า อัลลออ์และรอซุ้ลหรือเปล่าละครับท่าน ท่านผู้รู้มั๊ก...
วาเอ๋ยวะฮาบีย์ ถึงยามนี้
น่าสงสาร เป็นหนักหนา
ขาดที่พึง ทางจิตวิทยา
ไร้จรรยา กริยาที่ดีงาม
มารยาทที่ประเสริฐ เตลิดหนี
มารยาทที่ไม่ดี เข้ามาหา
จึงทำการฮูกม ว่าบิดอะ
ไร้หลักฐาและที่มา น่าเศร้าใจ
ด้วยความคิด ที่ในจิตมีมุสา
ชอบกล่าวหา ให้ร้ายเป็นนิสัย
สร้างฮูกมขึ้นมาเอง ตามจิตใจ
ด้วยมารร้ายไชตอน คอยแนะนำ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Tue May 02, 2006 4:22 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ส่วนมาก อะห์ลิลกาลาม จะหาช่องโหวของกฎหมายเพื่อที่จะสนับสนุนการกระทำของตนเอง โดยจะไม่สนใจเลยว่าพิษภัยอะไรจะเกิดขึ้นภายหลังต่อ อุมมะห์ และยังคิดว่าผู้ที่ได้เขียนกฎหมายนั้นยังไม่รอบคอบพอ ตัวเองเจ๋งกว่า และชอบประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอให้เข้ากับสถานการของตัวเองที่อยากได้ คนอยากรู้ครับ ถ้าคุณใช้เวลาไปคิดประดิษฐ์เรื่องเทคโนโลยี จะดีกว่านะครับ ศาสนาอิสลามนั้นไม่ต้องการคนที่มาประดิษฐเพิ่มหรอก เพราะเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ที่สุดรอบคอบที่สุดและที่สำคัญยิ่ง เป็นศาสนาที่ องค์อัลเลาะห์ยอมรับเท่านั้น โดยไม่ต้องมาคิดประดิษฐ์เพิ่ม เพราะการประดิษฐ์ของคุณนั้นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ศาสนาที่คุณนับถืออยู่ จะไม่ถูกยอมรับโดยพระองค์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|