ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Fri Mar 24, 2006 11:49 am ชื่อกระทู้: เป็นบัญญัติของพระเจ้าหรือ สิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น? |
|
|
ในขณะนี้ ข่าวที่ทำความเสียหายให้กับศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก คือ กรณีที่ ศาลอาฟกานิสตาน (โดยการใช้กฏหมาย ที่อ้างว่า เป็น กฎหมาย อิสลาม) ตัดสินประหาร ชายอาฟกานิสตาน ซึ่ง เปลี่ยน ศาสนาไปนับถือ ศาสนาคริสตร์ เป็นเวลานาน แล้ว ถึง 16 ปี โดย บัง คับให้ ชายผู้นั้น กลับมานับถืออิสลาม ถ้าไม่เปลี่ยนใจ จะถูก ประ หาร ชีวิต, ผมว่าไม่มีหลักฐานในอัลกุรอาน ในการบังคับ ให้ผู้คน นับถือ ศาสนา อิสลาม หรือ วาง โทษประหารชีวิต ผู้ที่เปลี่ยนศาสนา จาก อิสลาม ไปนับถือศาสนาอื่น การร่าง และตั้งกฏหมายนี้ขึ้นมา ซึ่งขัดกับ อัลกุรอาน ย่อมจะทำให้ เกิดความเสียหาย ต่อศาสนาอิสลาม ได้
เพราะเหตุใดกฎหมายที่เรียกว่า กฎหมาย อิสลาม จึง บัญญัติ โทษประหาร ต่อมุสลิมที่ เปลี่ยน ศาสนาไป นับถือศาสนาอื่น ในเมื่อ อัลกุรอาน ไม่ได้ บัญญัติ ไว้เช่นนั้น ? อยากให้ท่านผู้รู้กรุณา อธิบายให้กระจ่างชัด ในเรื่องนี้ ว่า กฏหมายนี้อยู่ในหลักการของ อิสลาม จริงหรือ?
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Fri Mar 24, 2006 3:12 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณแมท ครับ
ข้อความคุณมัน ทำให้ผมสับสนครับ
อยากถามว่า เดิมชายผู้นั้นนับถือศาสนาอะไรครับ
แต่ถ้าเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาอื่นแล้วเขาโดนประหาร และคุณว่าสมควร
หรือไม่ละครับ... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Mar 24, 2006 4:33 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
:o
คุณmatt กล่าวว่า
เพราะเหตุใดกฎหมายที่เรียกว่า กฎหมาย อิสลาม จึง บัญญัติ โทษประหาร ต่อมุสลิมที่ เปลี่ยน ศาสนาไป นับถือศาสนาอื่น ในเมื่อ อัลกุรอาน ไม่ได้ บัญญัติ ไว้เช่นนั้น ? อยากให้ท่านผู้รู้กรุณา อธิบายให้กระจ่างชัด ในเรื่องนี้ ว่า กฏหมายนี้อยู่ในหลักการของ อิสลาม จริงหรือ?
...........
ตอบ
ขอเรียน คุณ แมทว่า ศาสนาอิสลาม ไม่มีบทบัญญัติ บังคับผู้ใดให้มาจำใจนับถือศานาอิสลาม
ดังที่อัลลอฮตรัสว่า
لاَ إِكْرَاهَ فِي الدِّينِ قَد تَّبَيَّنَ الرُّشْدمِنَ الْغَيِّ فَمَنْ يَكْفُرْ بِالطَّاغُوتِ وَيُؤْمِن بِاللّهِ فَقَدِ اسْتَمْسَكَ بِالْعُرْوَةِ الْوُثْقَىَ لاَ انفِصَامَ لَهَا وَاللّهُ سَمِيعٌ عَلِيمٌ
[2.256] ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา สิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจำแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้น ผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูต และศรัทธาในอัลลอฮ์ เขาก็ได้รับการสนับสนุนอันมั่นคงไม่มีวันขาด และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ - อัลบะเกาะเราะฮ/256
เพราะมุสลิมนั้น คือ ผู้ยอมสวามิภักคิ์ หรือ ยอมจำนนต่ออัลลอฮ ทั้งใจและกาย ดังที่อัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
وَقَالُواْ لَن يَدْخُلَ الْجَنَّةَ إِلاَّ مَن كَانَ هُوداً أَوْ نَصَارَى تِلْكَ أَمَانِيُّهُمْ قُلْ هَاتُواْ بُرْهَانَكُمْ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ
[2.111] พวกเขากล่าวว่า ไม่มีใครที่จะได้เข้าสวรรค์ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นยิวหรือคริสเตียน นี่คือความหวังอันเลื่อนลอยของพวกเขา จงกล่าวกับพวกเขาเถิดว่า จงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
بَلَى مَنْ أَسْلَمَ وَجْهَهُ لِلّهِ وَهُوَ مُحْسِنٌ فَلَهُ أَجْرُهُ عِندَ رَبِّهِ وَلاَ خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلاَ هُمْ يَحْزَنُونَ
[2.112] ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ใครก็ตามที่ยอมมอบตนต่ออัลลอฮ์ และเป็นผู้กระทำการดี เขาก็จะได้รับการตอบแทนจากพระผู้อภิบาลของเขา และจะไม่มีความกลัว และความระทมสำหรับพวกเขา
และอัลลอฮได้กล่าวถึงลักษณะผู้ศรัทธาที่แท้จริงว่า
إِنَّمَا الْمُؤْمِنُونَ الَّذِينَ آمَنُوا بِاللَّهِ وَرَسُولِهِ ثُمَّ لَمْ يَرْتَابُوا وَجَاهَدُوا بِأَمْوَالِهِمْ وَأَنفُسِهِمْ فِي سَبِيلِ اللَّهِ أُوْلَئِكَ هُمُ الصَّادِقُونَ
[49.15] แท้จริงศรัทธาชนที่แท้จริงนั้น คือ บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ แล้วพวกเขาไม่สงสัยเคลือบแคลงใจ แต่พวกเขาได้เสียสละต่อสู้ดิ้นรนด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา และชีวิตของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮ์ ชนเหล่านั้นแหละคือบรรดาผู้สัตย์จริง
...........
เมื่ออิสลามไม่บังคับ ดังนั้น หากไม่มีความจริงใจ ก็อย่าเข้ามา เพราะอิสลามไม่ต้องการคนที่ไม่จริงใจ เพราะคนที่ไม่จริงใจนั้น หากเข้ามาในอิสลาม ก็มีแต่จะนำความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์และสังคมมุสลิม ดังนั้น เมื่อตัดสินใจเข้ามา แล้วโลเล ไร้จุดยืน แล้วละทิ้งอิสลาม ก็เท่ากับเขาทรยศหักหลังต่ออัลลอฮและมุสลิม เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ
مَن كَفَرَ بِاللّهِ مِن بَعْدِ إيمَانِهِ إِلاَّ مَنْ أُكْرِهَ وَقَلْبُهُ مُطْمَئِنٌّ بِالإِيمَانِ وَلَـكِن مَّن شَرَحَ بِالْكُفْرِ صَدْراً فَعَلَيْهِمْ غَضَبٌ مِّنَ اللّهِ وَلَهُمْ عَذَابٌ عَظِيمٌ
[16.106] ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว (เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธาแต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์
...............
เพราะฉะนั้น โทษของเขาหากไม่สำนึกผิด คือ การประหารชีวิต ดังที่ท่านนบี ศอลฯกล่าวว่า
(من بدل دينه فاقتلوه) حديث صحيح رواه البخاري
ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาของเขา ดังนั้น พวกท่านจงประหารเขาเสีย - หะดิษเศาะเฮียะ รายงานโดย อัลบุคอรี
...........
วัสสลาม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Fri Mar 24, 2006 9:17 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อาจารอะสันและ คุณ Konyakroo
ขอเล่าเรื่องราวให้ คุณ Konyakroo ทราบก่อน อย่างรวบรัดนะครับ คือว่า นายคนนี้ แกเป็นมุสลิมมาก่อน โดยกำเนิด แล้วเมื่อ 16 ปีก่อน เปลี่ยน ความศรัทธาไปเป็น คริสเตียน เมื่อเร็วๆนี้ ครอบครัวของเขา ไปแจ้งความ ถูกจับส่งสาร ในอาฟกานิสตาน ซึ่งใช้ กฏหมายอิสลาม อัยการนำฟ้องขอให้ศาลประหารชีวิต แต่ถูกประท้วงโดยชาวโลกตะวันตก (อย่าเพิ่งนำการเมืองมาปนนะครับ), ถ้า กฎหมายบัญญํติ นี้ถูกต้อง ตาม หะดีษ ข้างล่างนี้ ทั้งๆที่ ไม่ มีรากฐานมาจาก บัญญํติในอัลกุรอานแล้ว และทั้ง หะดิษ ก็ไม่มีคำอธิบาย ใดๆทั้งสิ้น ขบวนการในการพิจารณาและตัดสินควรจะปฏิบัติอย่างไร มันจะไม่ทำเกินบัญญํติของ อัลลอฮ์ ไปหรือครับ?
จาก หะดิษ ข้างล่างนี้
(من بدل دينه فاقتلوه) حديث صحيح رواه البخاري
ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาของเขา ดังนั้น พวกท่านจงประหารเขาเสีย - หะดิษเศาะเฮียะ รายงานโดย อัลบุคอรี
ในกรณีที่มีการกล่าวถึง การเปลี่ยนความศรัทธา จากอิสลาม ไปนับถือศาสนาอื่น ในอัลกุรอาน ไม่ปรากฏว่า อัลกุรอาน บัญญัติ โทษ ประหาร ในโลกปัจจุบัน ไว้ แม้แต่ในที่ใด ถ้ามุสลิมที่ สนับสนุน กำหนด โทษประหาร ในการเปลี่ยนศาสนา โดยอาศัยพื้นฐาน มาจาก หะดีษ บทนี้แล้ว จะเป็น พื้นฐานที่อ่อนมาก ทั้งนี้ เพราะว่า หะดีษ ฉบับนี้ เท่าที่ทราบ ถึงแม้จะเป็น หะดิษเศาะเฮียะ รายงานโดย อัลบุคอรี ก็จริง แต่เป็น หะดีษที่ มีสายรายงานเพียงสายเดียว (ช่วยกรุณาค้นเพิ่มเติมให้ผมด้วย) ซึ่งไม่ได้ เป็นไปตามกฎของ การ จัดขั้น หะดีษ และหะดีษ เช่นนี้มีอยู่ เป็นจำนวนมาก จาก หะดิษเศาะเฮียะ รายงานโดย อัลบุคอรี, ซึ่งควรจะเป็น หะดีษฎออีฟ เสียมาก กว่า ไม่มีการยืนยันโดยผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนที่สอง (พยานปากสองในการยืนยันความแท้จริง)
หะดีษนี้กว้างมากถ้าหมายรวมถึง การลงโทษ คริสเตียน และ ยิว ที่มายอมรับอิสลาม แล้วย่อมไม่ใช่ความตั้งใจของท่านรอซูล แต่ถ้าจะหมายถึง ผู้ที่เปลียนศรัทธา ไปเป็นคริสเตียนหรือยิว ในยามสงครมและ เอาความลับของกองทัพ ไปบอกอีกฝ่ายหนึ่ง, เป็นผู้ ทรยศต่อ ชาติ และกล่าวประณามอิสลาม นั้น ผมอาจจะเห็นด้วย
ในความคิดของผมถ้าเราใช้ หลัก ของกฏ หมาย อิสลามอีกเช่นกัน หะดีษ บทนี้ ไม่มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะนำมา กำหนด โทษประหารได้ , โดยเหตุนี้ จึงนำมาถึงอีกคำถาม หนึ่งคือ กฏหมายอิสลามมีการกำหนดโทษใดโทษหนึ่งอย่าง แน่นอน แก่ผู้ เปลี่ยน จากอิสลามไป นับถือศาสนาอื่นหรือไม่?
จากคำถามของคุณ Konyakroo ที่ถามผมว่า แต่ถ้าเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาอื่นแล้วเขาโดนประหาร และคุณว่าสมควร หรือไม่ละครับ..?
ผมขอตอบว่า ไม่สมควรครับ ทั้งนี้ เพราะศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่ ให้เสรีภาพ ต่อผู้ศรัทธา อย่างกว้างขวาง อิสลามหมายถึงการ ยอมตนสวามิภักดิ์ ยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ การที่ไม่เดินตามแนวทางที่พระเจ้าวางไว้ ถือว่า เป็นผู้ดื้อดึง หรือ ผู้ที่ไม่ศรัทธา ซึ่งเป็นเรื่องระหว่าง บุคคลผู้นั้น และพระองค์อัลลอฮ์ ในวันตัดสิน เขาผู้นั้นจะเสียใจในการกระทำของเขา
ใน ทรรศน ะ ของผม มนุษย์ไม่มีส่วนในการตัดสิน ความผิด ในความศรัทธาของผู้ใด
เมื่อใด ก็ตาม ที่ผู้นำอิสลาม วางโทษประหารสำหรับผู้เปลี่ยน ศรัทธา แล้ว เขาจะทำ ให้ ศาสนาของพระเจ้าเล็กลง, จะลดเกียรติศาสนา ที่ยิ่งใหญ่ลงมาเป็น ลัทธิผูกขาด ลัทธิที่เมื่อผู้ที่เข้า มาเลื่อม ใสแล้ว จะถูกล้างสมอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะหาความศรัทธา ที่แท้จริง ในหัวใจของมุสลิมไม่ได้ ทั้งนี้เพราะ ว่า การปฏิบัติศาสน กิจ เกิดจาก ความหวาดกลัว หาใช่เกิดจากความศรัทธา ต่อพระเจ้าอย่า ง แท้จริงไม่.
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Mar 24, 2006 11:59 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
من بدل دينه فاقتلوه) حديث صحيح رواه البخاري
ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาของเขา ดังนั้น พวกท่านจงประหารเขาเสีย - หะดิษเศาะเฮียะ รายงานโดย อัลบุคอรี
ในกรณีที่มีการกล่าวถึง การเปลี่ยนความศรัทธา จากอิสลาม ไปนับถือศาสนาอื่น ในอัลกุรอาน ไม่ปรากฏว่า อัลกุรอาน บัญญัติ โทษ ประหาร ในโลกปัจจุบัน ไว้ แม้แต่ในที่ใด ถ้ามุสลิมที่ สนับสนุน กำหนด โทษประหาร ในการเปลี่ยนศาสนา โดยอาศัยพื้นฐาน มาจาก หะดีษ บทนี้แล้ว จะเป็น พื้นฐานที่อ่อนมาก ทั้งนี้ เพราะว่า หะดีษ ฉบับนี้ เท่าที่ทราบ ถึงแม้จะเป็น หะดิษเศาะเฮียะ รายงานโดย อัลบุคอรี ก็จริง แต่เป็น หะดีษที่ มีสายรายงานเพียงสายเดียว (ช่วยกรุณาค้นเพิ่มเติมให้ผมด้วย)
matt ตอบ: Sat Mar 25, 2006 12:17 am
ตอบ
เพิ่มเติม
ท่านนบี ศอลฯกล่าวว่า
" لا يحل دم امرئ مسلم يشهد أن لا إله إلا الله وأني رسول الله إلا بإحدى ثلاث : النفس بالنفس ، والثيب الزاني ، والتارك لدينه المفارق للجماعة " رواه البخاري 6878 ومسلم 1676
เลือดคนมุสลิม ที่กล่าวปฏิญานว่า"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และแท้จริง ข้าพเจ้า คือ ศาสนทูตของอัลลอฮ นั้นไม่อนุญาตให้ทำการละเมิด เว้นแต่ประการหนึ่งประการใดจากสามประการคือ ชีวิตแลกด้วยชีวิต ผู้ทีที่เป็นหม้ายละเมิดประเวณี และผู้ที่ละทิ้งศาสนาของเขา ที่แยกตนจากสังคมมุสลิม - รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม
เล่าจากอิกเราะมะฮว่า
أن عليا رضي الله عنه حرق قوما فبلغ بن عباس فقال: "لو كنت أنا لم أحرقهم لأن النبي صلى الله عليه وسلم قال: (لا تعذبوا بعذاب الله) ولقتلتهم كما قال النبي صلى الله عليه وسلم (من بدل دينه فاقتلوه) [صحيح البخاري رقم(2854 (3/1098
แท้จริงท่านอาลี(ร.ฎ)ได้เผาชนกลุ่มหนึ่ง (ที่ทิ้งศาสนาอิสลาม) ข่าวการกระทำนั้นได้ล่วงรู้ไปถึงท่านอิบนิอับบาส ท่านจึงกล่าวว่า"ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่เผาพวกเขา เพราะว่า แท้จริงท่านบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า"(พวกท่านอย่าลงโทษ ด้วยการลงโทษของอัลลอฮ ) และฉันจะประหารชีวิตพวกเขา ดังที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า"ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาของเขา พวกท่านจงประหารเขาเสีย" - เศาะเฮียะอัลบุคอรี
มีรายงานจากท่านญาบิรว่า
أن امرأة يقال لها أم مروان ارتدت عن الإسلام، فأمر النبي صلى الله عليه وسلم أن يعرض عليها الإسلام فإن رجعت وإلا قتلت.
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า อุมมุมัรวาน นางได้กลับออกจากศาสนาอิสลาม แล้วท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บัญชาให้เสนออัลอิสลามให้แก่นาง หากนางกลับตัว และถ้าไม่อย่างนั้น ก็ประหารนางเสีย
- [سنن الدارقطني (3/118) وسنن البيهقي الكبرى (8/203
قال ابن قدامة رحمه الله: "وقال النبي صلى الله عليه وسلم من بدل دينه فاقتلوه، وأجمع أهل العلم على وجوب قتل المرتد، وروي ذلك عن أبي بكر وعمر وعثمان وعلي ومعاذ وأبي موسى وابن عباس وخالد وغيرهم، ولم ينكر ذلك فكان إجماعا" [المغني (9/16)]
อิบนุกุดามะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า"(ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาของเขา พวกท่านจงประหารเขาเสีย) และนักวิชาการต่างก็เห็นฟ้องกันว่า จำเป็นต้องประหารผู้ที่เป็นมุรตัด และดังกล่าวนั้น ได้รายงานจาก อบูบักร อุมัร อุษมาน อะลี มุอาซ อบูมูซา อิบนุอับบาส คอลิดและคนอื่นจากพวกเขา และเรื่องดังกล่าวไม่ได้รับการคัดค้านแต่อย่างใด ดังนั้น ก็เป็นมติ(อิจญมาอ" อัลมุฆนีย์ เล่ม 9 หน้า 16 |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Sat Mar 25, 2006 1:59 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถ้าเราพิจารณา ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ137 พระองค์อัลลอฮฺทรงบัญญัติว่า
แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วปฏิเสธศรัทธาแล้วศรัทธา, แล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วเพิ่ม การ ปฏิเสธศรัทธายิ่งขั้นนั้น ใช่ว่าอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาก็หาไม่ และใช่ว่า พระองค์ จะทรงแนะนำทางใดให้แก่พวกเขาก็หาไม่
และใน ซูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟฺ อายะ 29
29. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้น ผู้ใด ประสงค์ ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ(*1*)แท้จริง เราได้เตรียมไฟนรก ไว้สำ หรับพวกอธรรมซึ่งกำแพงของมันล้อมรอบพวกเขา และถ้าพวกเขา ร้องขอความ ช่วยเหลือ ก็จะถูกช่วยเหลือด้วยน้ำเสมือนน้ำทองแดงเดือดลวกใบหน้า มันเป็นน้ำดื่มที่ ชั่วช้าและ เป็น ที่ พำนักที่เลวร้าย
และในที่สุด ใน ซูเราะฮฺ อัลฆอซิยะฮฺ อายะ 21-22
21. ดังนั้นจงตักเตือนเถิด เพราะแท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น
22. เจ้ามิใช่ผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา
เราจะเห็นว่า จาก ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ137 ข้างบนนี้ ชี้ให้เห็นว่า ได้มีการ การเปลี่ยน ความศรัทธา หลายครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า, ถ้าในสมัยที่ท่านรอซูล ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าคำสั่ง ให้ ประหารชีวิต ในการเปลี่ยนแปลงในครั้งแรกแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้ง ที่ 2-3 ก็ ไม่อาจ จะเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ โทษประหารชีวิต ในการเปลี่ยนศรัทธา จึงไม่สอดคล้อง กับ บัญญัติ ในอัลกุรอาน
ซูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟฺ อายะ 29 และในที่สุด ใน ซูเราะฮฺ อัลฆอซิยะฮฺ อายะ 21-22 บอกให้ เราทราบว่า การเปลี่ยนศรัทธานั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นความผิดอย่างร้ายแรง ก็ตาม บุคคล ผู้นั้น จะถูกลงโทษ โดยพระองค์อัลลอฮฺ เท่านั้น ในวันปรโลก, พระองค์อัลลอฮฺ ทรงบัญญัติให้ ท่านรอซูล ทำหน้าที่ตักเตือน เท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่า ท่านรอซูลไม่อาจจะกำหนดบทลงโทษ ได้ เพราะว่า ท่านรอซูลไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งเช่นนั้น (เรื่องของความศรัทธา)
และใน ส่วน ตัว ของผมเข้าใจว่า ท่านรอซูลจะไม่ออกคำ สั่งเช่นนั้น ที่ขัดกับ พระประสงค์ ของ พระองค์ อัลลอฮฺ และท่าน รอซูลเอง ก็ เป็นผู้ที่ พระองค์อัลลอฮฺ ทรงส่งมาเพื่อ เมตตา กรุณาต่อมวลมนุษย์ และเรื่อง การ เปลี่ยนศรัทธานั้น เป็นหน้าที่ ของมุสลิม จะต้อง ช่วย กันหา เหตุผลว่า เพราะเหตุ ใด เขาจึงเปลี่ยน แล้ว ให้กำลังใจ ให้เขาหันกลับ มาในหน ทางที่ถูกต้อง
เนื่องจากหะดีษที่เป็นพื้นฐานของโทษประหารในเรื่องนี้ เป็นหะดีษที่ มีผู้บอกเล่า เพียงคน เดียว ไม่มีพยานยืนยัน ซึ่งไม่ถูกกฎ ในการเป็น เศาะเฮียะหะดีษ(ตามหลัก วิชาการจัด ขั้น หะดีษ) จึงไม่น่าจะสามารถนำมาลบล้าง บัญญัติในอัลกุรอานได้ อาจารย์ อะสัน คิดว่าอย่างไร?
ซูเราะฮฺ อัลฆอซิยะฮฺ อายะ 21-22
21. ดังนั้นจงตักเตือนเถิด เพราะแท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น
22.เจ้ามิใช่ผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา
แมทท์
ปล. อาจารย์ ลองคันดูข่าวนี้ซิครับ ว่า จริง เท็จ อย่างไร ในขณะนี้ รัฐบาล อาฟกานิสตาน กำลังหาวิธีหลีกเลี่ยงบทลงโทษอันนี้ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Mar 30, 2006 10:17 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณแมท์
-------------------อยากถามว่าคุณแมทเป็น ข้อๆ ครับ----------------------------------------
1ระหว่างอัลกรุอ่านกับอัลฮาดีสคุณให้ความสำคัญอันไหนมากกว่ากันครับ
2.คุณให้ความสำคัญกับฮาดีสของท่านนบีมากแค่ไหนครับ
3.การสนทนาเชิงศาสนาไม่ว่าเรื่องใดๆระหว่างบังฮะซันและพวกกับนักศึกษาจากไคโร
ที่ส่วนมากแล้วทางบังฮะซันและพวกจะชอบยกอัลฮาดีสต่างๆของท่านนบีมาอ้างหรือกล่าวเสียดสี และฮุกมว่าคณะของนักศึกษาจากไคโรเป็นผู้ทำบิดอะและต้องลงนรกนั้น คุณแมทคิดอย่างไรกับกรณีฮาดีสที่ยกมานี้ครับ.
4.ถ้าไม่มีหลักฐานจากอัลกรุอานในข้อห้ามข้อใช้ซึ่งเกียวข้องกับบทบัญญัติศาสนาคุณจะทำอย่างไรครับ
5.และถ้าไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีสในข้อห้ามข้อใช้ซึ่งเกียวข้องกับบทบัญญัติศาสนาคุณจะทำอย่างไรครับ
6.คุณคือพวกที่อยู่ในแวทางยับบารียะฮ์ที่ยึดเอาคัมภีร์อัลกรุอานอย่างเดียวในการดำเนินชีวิตในระบอบอัลอิสลามใช่ไหมครับ
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Mar 30, 2006 10:26 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
فإن كل محدثة بدعة ، وكل بدعة ضلالة ) أخرجه أحمد 4/126 ، والترمذي برقم 2676
แท้จริง ทุกสิ่งที่ถูกอุตริขึ้นใหม่นั้น เป็นบิดอะฮและทุกบิดอะฮเป็นการหลงผิด -
..............
ข้างบนเป็นคำพูดของท่านนบี ไม่ใช่คำพูดของบังอะสันครับ
#8207;(من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد)[رواه البخاري
ผู้ใดอุตริสิ่งใหม่ในกิจการ(ศาสนา)ของเรานี้ สิ่งซึ่งไม่มีมาจากมัน ดังนั้นมันถูกปฏิเสธ
...........
ข้างบนเป็นคำพูดของท่านนบี ไม่ใช่คำพูดของบังอะสัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Thu Mar 30, 2006 11:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ท่านรสูล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ยังห้ามไม่ให้เราไปเป็นมิตร, สนับสนุนหรือคุยกับคนที่ทำบิดอะฮฺ ดังที่หะดีษกล่าวว่า ใครก็ตามที่ทำบิดอะฮฺหรือปรองดองกับผู้ที่ทำบิดอะฮฺ คำสาปแช่งจากอัลลอฮฺ, บรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ และมนุษชาติทั้งปวง จะตกอยู่ที่เขา บันทึกโดยบุคอรีย์(12/41)และมุสลิม(9/140)
ท่านอิบนุ อับบาส(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.68)กล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเกลียดชังที่สุดคือบิดอะฮฺ บันทึกโดย อัล-บัยหะกีย์ ใน อัส-สุนัน อัล-กุบรอ (4/316)
ท่านอิบนุ อุมัรฺ(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.84)กล่าวว่า ทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด ถึงแม้ว่าผู้คนจะเห็นว่ามันดีงามก็ตาม บันทึกโดย อบูชามะฮฺ (ลับดับที่ 39)
ท่านอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัลได้กล่าวว่า คนบาป(ฟาสิก)ที่สุดในหมู่ชาวสุนนะฮฺ ยังประเสริฐกว่าคนที่เคร่งครัดที่สุดในหมู่ชาวบิดอะฮฺ
ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอูด(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)กล่าวว่า จงตามและจงอย่าทำบิดอะฮฺ, สำหรับพวกท่านนั้นได้รับในสิ่งที่เพียงพอแล้ว และทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด บันทึกโดยอบูคัยษะมะฮฺ ใน กิตาบุล-อิลมฺ (ลำดับที่ 540) และเชคอัลบานีย์กล่าวว่าเศาะฮิ้หฺ
ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)ได้กล่าวอีกว่า เมื่อใดบิดอะฮฺถูกสร้างขึ้น เมื่อนั้นสุนนะฮฺก็ตาย และจะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งบิดอะฮฺดำรงอยู่และสุนนะฮฺได้ตายจากไป
ท่านอัล-อิรฺบาด อิบนุ ซารียะฮฺ(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)รายงานว่าท่านรสูลกล่าวว่า ...ฉันได้ทิ้งคำชี้นำที่ชัดเจนแก่พวกท่านแล้ว กลางคืนของมันนั้นเหมือนกลางวัน จะไม่มีใครหันเหไปจากมันนอกจากว่าเขานั้นได้ทำลายมัน บันทึกโดยอะหฺมัด, อิบนุ มาญะฮฺ (ลำดับที่ 43) และอัล-หากิม และเชคอัลบานีย์ว่าเศาะฮิ้หฺ ในอัศ-เศาะฮิหะฮฺ (ลำดับที่ 937)
อัล-มัรฺวาซีย์ได้รายงานใน อัส-สุนนะฮฺ (ลำดับที่ 95) ว่าท่านอุมัรฺ อิบนุ อับดุลอะซีซกล่าวว่า ไม่มีข้ออ้างสำหรับคนหนึ่งคนใดว่าเขาหลงทาง หลังจากที่สุนนะฮฺได้มายังพวกเขาแล้ว ซึ่งเขาเห็นว่ามันคือทางนำ
ท่านหะสัน อิบนุ อัฏฏิยะฮฺ ตาบิอีนท่านหนึ่งกล่าวว่า เมื่อใดที่ผู้คนยอมรับบิดอะฮฺ อัลลอฮฺก็จะนำสุนนะฮฺออกจากพวกเขา และจะไม่คืนกลับให้จนกระทั่งวันกิยามะฮฺ
ท่านอัล-บารฺบาฮารีย์ อุละมาอฺยุคเก่าท่านหนึ่งในกลุ่มของอิมามอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัลกล่าวว่า จงระวังบิดอะฮฺ เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺมันเริ่มจากสิ่งเล็กๆซึ่งดูคล้ายคลึงกับของจริง ซึ่งผู้คนก็โง่เขลาไปเจริญรอยตามมัน จนกระทั่งมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นแล้วผู้คนก็ตกหลุมพราง ซึ่งมันได้พาพวกเขาออกจากอิสลาม
เชค อัล-บารฺบาฮารีย์(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.329)ครั้งหนึ่งได้กล่าวว่า ขออัลลอฮฺทรงเมตตาพวกท่าน พวกท่านจงรู้ไว้ว่าศาสนานี้มาจากอัลลอฮฺผู้ทรงจำเริญผู้ทรงสูงส่ง มันไม่ใช่สิ่งที่มาจากปัญญาและความเห็นของมนุษย์ ความรู้ของมันมาจากอัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติอะไรตามพื้นฐานความต้องการของท่าน และอย่าหันเหออกไปจากศาสนาและทิ้งอิสลาม ไม่มีข้ออ้างสำหรับพวกท่านนับตั้งแต่รสูลุลลอฮฺได้อธิบายสุนนะฮฺแก่ประชาชาติของท่าน และได้ให้ความกระจ่างชัดแล้วแก่บรรดาเศาะหาบะฮฺ พวกเขาคือญะมาอะฮฺ และพวกเขาคือกลุ่มใหญ่ที่เป็นเนื้อแท้ และเนื้อแท้นั้นคือสัจธรรม รวมทั้งผู้ที่เจริญรอยตาม
และเรื่อง(บิดอะฮฺ)นี้ยังได้ถูกชี้แจงไว้โดยอิมามมาลิก(รอฮิมาฮุลลอฮฺ) ในรายงานคำพูดของเขาซึ่งยอดเยี่ยมสมควรที่จะใส่กรอบทองไว้ ซึ่งเขากล่าวว่า ใครก็ตามที่นำบิดอะฮฺเข้ามาสู่อิสลาม โดยที่เขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี นั่นหมายความว่าเขาได้กล่าวหาว่าท่านมุฮัมมัดได้ทรยศต่อ(หน้าที่)การนำสาสน์ของท่าน โปรดอ่านพระดำรัสของอัลลอฮฺผู้ทรงอำนาจผู้ทรงยิ่งใหญ่: วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ความครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า [สูเราะฮฺ อัล-มาอดะฮฺ 3] ดังนั้นอะไรก็ตามที่ไม่ใช่(ส่วนหนึ่งของ)ศาสนาในวันนั้น มันก็ไม่ใช่(ส่วนหนึ่งของ)ศาสนาในวันนี้ และจะไม่มีสิ่งใดถูกแก้ไขในยุคหลังของประชาชาตินี้ นอกจากว่าสิ่งนั้นจะถูกแก้ไขไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Mar 31, 2006 12:31 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอย้ำข้อความของน้องฟาอิส
[B]และเรื่อง(บิดอะฮฺ)นี้ยังได้ถูกชี้แจงไว้โดยอิมามมาลิก(รอฮิมาฮุลลอฮฺ) ในรายงานคำพูดของเขาซึ่งยอดเยี่ยมสมควรที่จะใส่กรอบทองไว้ ซึ่งเขากล่าวว่า ใครก็ตามที่นำบิดอะฮฺเข้ามาสู่อิสลาม โดยที่เขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี นั่นหมายความว่าเขาได้กล่าวหาว่าท่านมุฮัมมัดได้ทรยศต่อ(หน้าที่)การนำสาสน์ของท่าน โปรดอ่านพระดำรัสของอัลลอฮฺผู้ทรงอำนาจผู้ทรงยิ่งใหญ่: วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ความครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า [สูเราะฮฺ อัล-มาอดะฮฺ 3] ดังนั้นอะไรก็ตามที่ไม่ใช่(ส่วนหนึ่งของ)ศาสนาในวันนั้น มันก็ไม่ใช่(ส่วนหนึ่งของ)ศาสนาในวันนี้ และจะไม่มีสิ่งใดถูกแก้ไขในยุคหลังของประชาชาตินี้ นอกจากว่าสิ่งนั้นจะถูกแก้ไขไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว
fais ตอบ: Fri Mar 31, 2006 2:45 am [/B]
............ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Fri Mar 31, 2006 3:34 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ Konyakroo:
ผมอยู่ในระหว่างการเดินทางมา กทม เพิ่งเห็น คำถามของคุณ จึงขอตอบตามนี้ ...
1. ระหว่างอัลกรุอ่านกับอัลฮาดีสคุณให้ความสำคัญอันไหนมากกว่ากันครับ?
1 "อัลกุรอาน" เป็น ฮาดีษ ที่แท้จริง ของท่านรอซูล ของท่านรอซุลพียง สิ่งเดียว ทั้งนี้ เพราะว่า "อัลกุรอาน" เป็นสิ่งเดียวที่ ถูกเปล่ง ออกจาก ปากของท่าน รอซูลโดยตรง ไม่ใช่เริ่อง บอกเล่า จาก ปาก ต่อปาก และเป็นสิ่งเดียว ที่ท่านรอซูล กล่าวว่า "เมื่อฉันตายไปฉัน ได้ทิ้งไว้ให้ท่าน เพียงสิ่งเดียว คือ "อัลกุรอาน" จงยึดมั่นในอัลกุรอานเท่านั้น"
(ในเรื่อง นี้ มุสลิมนิกายซุนนีย์ กล่าวว่า "ฉันทิ้งไว้ให้พวกท่านสองสิ่ง คือ อัลกุรอานและซุนนะห์ของฉัน, มุสลิมชีอะต์ ก็อ้างว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า " ฉันทิ้งไว้ให้แก่ท่าน อัลกุรอาน และ วงศาคนาญาติของฉัน)
อัลกุรอานบัญญัติให้เรารัก และ เชื่อ ฟัง ท่านรอซูล แต่ไม่ได้บัญญัติบังคับ ให้ มุสลิม รักและเชื่อฟัง ท่านอีมามบุคอรี, มุสลิมและอื่นๆ, ไม่มีบทหรือบัญญัติ ใดในอัลกุรอาน บัญญัติว่า "ถ้าเราไม่เชื่อฟัง "อีหมามบุคอรี" แล้ว จะเป็น "กาเฟร"
2.คุณให้ความสำคัญกับฮาดีสของท่านนบีมากแค่ไหนครับ?
อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า จงรักเชื่อฟังท่านรอซูล แล้วเราจะอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ตาม แนวทาง ของ อิสลาม อันนี้เป็น คำสั่งของ อัลลอฮ์ และจงยึดปฏิบัติ ตามที่รอซูล ปฏิบัติ
ดังนั้น มุสลิมจึง มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องยึดอัลกุรอานเป็นหลักปฏิบัติ เช่นเดียวกับท่านรอซูล ท่านรอซูลไม่เคยปฏิบัติสิ่งใดที่ ไม่เกี่ยวกับ หลักการของอิสลาม, เลยเถิดไปจาก ข้อบัญญัติในอัล กุรอาน หรือ สร้างบัญญัติใหม่ๆ ขึ้นมา ท่านรอซุลไม่เคย ยึดหรือปฏิบัติตาม เรื่องบอกเล่าใดๆทั้งสิ้น ถ้าซุนนะห์ ของท่านรอซูล คือ การปฏิบัติตามอัลกุรอาน เพียงอย่างเดียวแล้ว ดังนั้นสิ่งที่มุสลิมควรเชื่อฟัง ท่านรอซูล ก็คือ "ยึดอัลกุรอาน" เพียงอย่างเดียว
การเชื่อและปฏิบัติตาม เรื่องเล่าของอีมามบุคอรี ไม่ใช่การเชื่อฟังท่านรอซูล เพียงแต่ เป็นการเชื่อเรื่องเกี่ยวกับท่านรอซูล เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ท่านรอซูลไม่เคยปฏิบัติมาเลยก็ได้ ผมไม่ให้ความสำคัญในเรื่องเล่าของบุครี เลย, ถ้าเป็นสิ่งเหลือเชื่อและขัดกับ ลักษณะที่แท้จริง ของมนุษย์ชาติ หรือศิลธรรม และลักษณะของท่านรอซูล
คุณ Konyakroo ละ คุณ จะเชื่อ อัลกุรอาน และ ท่านรอซูล หรือ จะเชื่อ " เรื่องเล่าต่างๆ จาก การรวบรวม ของ อีมามบุคอรีและอื่นๆ" สำหรับผมๆจะเชื่อ อัลกุรอาน และ ท่านรอซูล เท่านั้น
3.การสนทนาเชิงศาสนาไม่ว่าเรื่องใดๆระหว่างบังฮะซันและพวกกับนักศึกษาจากไคโร
ที่ส่วนมากแล้วทางบังฮะซันและพวกจะชอบยกอัลฮาดีสต่างๆของท่านนบีมาอ้างหรือกล่าวเสียดสี และฮุกมว่าคณะของนักศึกษาจากไคโรเป็นผู้ทำบิดอะและต้องลงนรกนั้น คุณแมทคิดอย่างไรกับกรณีฮาดีสที่ยกมานี้ครับ?
ผมคิดว่าเป็นการเสียเวลา ที่เป็นประโยชน์ ไปอย่างมากทีเดียว เพราะการสนทนาเช่นนี้ เป็นการ สนทนาแบบว่า "ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่มาก่อนไก่?"
การสนทนา โดยการยก References มาจากผู้ที่โต้เถียงกันมาก่อน ในสมัย ที่ท่านรอซูลเสียชีวิตไปใหม่ๆ โดยที่ References เหล่านั้น ไม่มีพื้นฐาน จากความแท้จริง เป็น ข้ออ้างอิงจาก แนวความคิดของ ท่านผู้รู้ต่างๆ ในสมัยนั้น ซึ่งอาจจะเป็นจริงก็ได้หรือไม่เป็นความจริงก็ได้ ซึ่งต่างจาก Scientific Theory ซึ่งมีรากฐานอยู่บน สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ (ต่างจากการศรัทธาในพระเจ้า)
การโต้แย้งในแนวความคิดที่แตกต่างกัน ย่อมหาข้อสรุปไม่ได้ และโดยเฉพาะ คู่สนทนา ทั้งสองฝ่าย ต่าง ก็ยกอัลฮาดีสต่างๆของท่านอีมามบุคอรีและท่านอื่นๆซึ่งเป็นเรื่องเล่าว่ามีผู้เคยเห็นท่านนบีกล่าวหรือปฏิบัติ อย่าง นั้นอย่างนี้ ยึ่ง เป็น การยก Referencesมาจาก จากการเดาทั้งสิ้น,
การยกReferences ต่างๆ เหล่านั้นไม่เคยได้รับการรับรอง จากพระองอัลลอฮ์ แม้แต่บทเดียว หรือ อีกนัยยะหนึ่ง ตามหลักการของอิสลามแล้ว หนังสือการรวบรวม เรื่อง เล่า ของบุคอรี ไม่แตกต่างไปจาก การรวบรวม นิยาย "ชาดก" ของพุทธศาสนาและ หนังสือ "ตาลมูด" ของศาสนายิว เลย ทั้งนี้ เพราะในเรื่องเล่าต่างๆนั้น มี การสร้างปาฤหารให้กับทานนบี นอกเหนือไปจาก การเป็นมนุษย์ ธรรมดา ที่ถูกบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน
การที่นำความคิดจองปราชญ์ ต่างๆมาอ้างอิง ก็ไม่เข้าเหตุผล ทั้งนั้ เพราะแนวความคิดเหล่านั้น ไม่สามารถจะตีความหมาย ที่ถูกต้องได้ ทั้งนี้ แนวความคิดเหล่านั้น อาจจะ ใช้ได้ ในสมัยนั้น แต่ไม่สามารถจะทำให้คนสมัยนี้ เข้าใจได้ และผู้ที่ ยกมา ก็ใช้เหตุผล ที่เรียนรู้มา ในเฉพาะในวงแคบ ที่ไม่อาจ ประยุกต์ได้ ในปัจจุบัน
6.คุณคือพวกที่อยู่ในแวทางยับบารียะฮ์ที่ยึดเอาคัมภีร์อัลกรุอานอย่างเดียวในการดำเนินชีวิตในระบอบอัลอิสลามใช่ไหมครับ?
ด้วยความนับถือในความจริงใจจากคำถามของคุณทั้ง 6 ข้อ รวมทั้งข้อนี้ด้วยนั้น ผมขอตอบว่า
"ผมคือบุคคลผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นผู้ที่มีความศรัทธา ต่อพระเจ้าแต่พระองค์เดียว(อัลลอฮ์) เชื่อในความแท้จริงของความเป็นรอซูลของท่านนบีมูฮัมมัด เชื่อใน "อัลกุรอานว่าป็นวะอีย์จากอัลลอฮฺ"
ผมยอมสวามิภักดิ์และยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ (มุสลิม) ซึ่งความมีศรัทธาเช่นนี้ เมื่อตายไปแล้วผมจะไม่มีความเสียใจ
ในความศรัทธาของผม, ผมไม่เชื่อ ว่า คุณและใครๆ ที่อ้างตัวว่าเป็น มุสลิม สามารถจะตัดสินผู้ใดให้ขาดจากความเป็นมุสลิมของผมหรือผู้ใดได้ นอกจากผู้ที่ นับถืออิสลาม อย่าง เพียงแค่ลัทธิป่าเถื่อนเล็กๆ ลัทธิ หนึ่งเท่านั้น โดยที่ขาดความเข้าใจว่า "อิสลามคือศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลก เกินกว่าที่ จะยอมให้มนุษย์ มาตัดสินความศรัทธา ของกันและกันในโลกนี้
ผมไม่เชื่อในการสังกัด ลัทธิและนิกายใดๆทั้งสิ้น เพราะขัดพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮฺ ผิดหลัก การของศาสนาอิสลาม เมื่อใดก็ตามที่คุณ เรียกตัวเอง ว่า เป็น มุสลิม ในสังกัด นิกายหรือมัซฮับใดๆก็ตาม คุณปฏิบัติแตกต่างไปจากหลักการ ของอิสลาม และ แนวทางของท่าน นบี
การแบ่งนิกาย แตกแยกตามแนวความคิดของอีมามต่างๆ ทำให้มุสลิมแตกความสามัคคีอย่างที่เห็น อยู่ตามเวบต่างๆ บนอินเตอรเนท และในสังคมไทยมุสลิมในปัจจุบันนี้ ศาสนาอิสลามไม่จำกัดเฉพาะอยู่ใน อรับ หรือ ชาติใดๆทั้งสิ้น ศาสนาอิสลามเป็น สมบัติของมนุษย์ชาติที่พระเจ้าประทานมา สำหรับ มนุษย์ทุกๆท่าน, มนุษย์ทุกๆท่าน มีศิทธิที่ จะศรัทธาหรือไม่ศรัทธาก็ได้ ไม่มีการบังคับ
คำว่า "มุรตัด" มีความหมายสองอย่าง คือ
1. การขาดศรัทธาในอิสลามตามธรรมชาติ(มุรตัดฟิตริ) คือเกิดมาในครอบครัว มุสลิม แล้วเปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาอื่น การกระทำเช่นนี้ เรียกว่า การทรยศต่อพระองค์อัลลอฮ์ ดังนั้น การลงโทษจึงอยู่ในอำนาจของ พระองค์ อัลลออฺ ในปรโลกเท่านั้น ไม่มีการลงโทษในโลกมนุษย์ หรือ การประหารชีวิต กล่าวไว้ในอัลกุรอานเลย และไม่ใช่ธุระของผู้ใดที่จะไปลง โทษเขา นอกจากการตักเตือนและช่วยให้เขากลับใจเท่านั้น
2. การขาดความศรัทธาในศาสนาอิสลาม ที่ทำให้เกิด ผลร้าย ต่อสังคม (มุรตัดมิลลิ) ได้แก่ผู้ที่มาจากศาสนาอื่นมาแกล้งยอมรับอิสลาม แล้วก็ไม่ศรัทธา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง เพื่อ ผลประโยชน์ ทางการเมือง เป็น การทรยศ การสอดแนม ให้ข้าศึกของ ชุมนุมชนมุสลิม, เพื่อการทำลายล้าง มุสลิม การกระทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นการทรยศต่อ ชุมมุมชน และประเทศชาติ บุคคลประเภทนี้ กฏหมายบ้านเมือง ทุกๆ แห่งจะวางโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต การประหารชีวิตในกรณีนี้ ไม่ใช่เพราะการเปลี่ยนศรัทธาจากอิสลามไปมีศรัทธา ต่อศาสนาอื่น, แต่ เนื่องจาก เหตุที่เป็นผู้ทรยศ ต่อชุมนุมชน และ ประเทศชาติ ของ ประชาชาติ ที่เป็นมุสลิม
จากเหตุผลดังกล่าวผมจึงไม่เห็นด้วยกับ การ "ตัดสินประหารชีวิต" มุสลิมที่เปลี่ยนศรัทธาในอิสลามไปนับถือศาสนาอื่นๆ โดยที่เขาไม่ได้ทำอันตราย หรือ ทำความเสื่อมเสีย ให้กับศาสนาอิสลาม แต่เป็นหน้าที่ของมุสลิมที่ดีและสังคมมุสลิม ที่จะต้อง ดำเนิน การสอนศาสนาอิสลาม ตามหลักการ ของอิสลาม ที่แท้จริง และตามวิถีทาง ของท่านรอซูล ไม่ไช่การสอนตามหลักการ ที่ อิมามบุคคอรีและท่านผู้รู้ ที่เอาความคิดของ ตนเองสอดแทรก เข้าไป ในหลักการของ ศาสนาอิสลามที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จนทำให้ศาสนาของ พระองค์ ยากต่อการปฏิบัติ และทำให้ผู้ศึกษาเกิดความสับสน และเบื่อหน่าย ในที่สุด ก็ไม่เข้าใจหลักการที่แท้จริง และหมดศรัทธาในอิสลามไปในที่สุด
ดังนั้นการตกมุรตัดฟิตริ ของมุสลิม จึงเป็นความรับผิดชอบของสังคมมุสลิม โดยเฉพาะ อาจารย์ ผู้สอนศาสนา ทุกๆท่าน และท่านผู้รู้ต่างๆ ที่ไม่สามารถจะสอนและปรับสภาพของสังคม มุสลิม ให้ เป็นที่พากพูมใจของ มุสลิมในสังคมได้, เนื่องจากการสอนโดยไม่อาศัยเหตุผล และ ไม่ ปรับการสอน ให้ทันต่อ การวิวัฒนาการของโลกได้
การสอนให้มุสลิมเดินสวนทาง กับสังคม เป็นการสอนที่ผิด ควรจะสอนให้มุสลิม สามารถที่นำสังคม ให้ก้าวไปข้างหน้า โดยการตัด การสอนที่เหลวไหล ซึ่งส่วนมากเป็นประเพณีของอรับ สมัย ก่อน เข้ารับอิสลาม, ควรสอนให้มุสลิมเป็นผู้นำในโลกดุนยา และเป็น ผู้ที่พระเจ้าพระองค์ อัลลออ์โปรดปราน ในปรโลก
แมทท์
4.ถ้าไม่มีหลักฐานจากอัลกรุอานในข้อห้ามข้อใช้ซึ่งเกียวข้องกับบทบัญญัติศาสนาคุณจะทำอย่างไรครับ?
อัลกุรอานคือบัญญัติและหลักศาสนาที่สูงสุด ดังนั้น .ถ้าหากว่า ไม่มีหลักฐานจากอัลกรุอานในข้อห้ามข้อใช้ซึ่งเกียวข้องกับบทบัญญัติศาสนาอิสลามแล้ว เราก็ไม่ควรสร้าง ข้อห้าม ข้อปฏิบัติ ขึ้นมาใหม่ เพราะจะเป็น การเข้าข่าย การสร้าง "ภาคี" นั้นก็คือการสร้างคัมภีร์ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ควบคู่ไปกับอัลกุรอาน
5.และถ้าไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีสในข้อห้ามข้อใช้ซึ่งเกียวข้องกับบทบัญญัติศาสนาคุณจะทำอย่างไรครับ?
ผมก็จะไม่เดือดร้อนอะไร ทั้งนี้ เพราะการสร้าง "ข้อห้ามข้อใช้" ขึ้นมาใหม่โดยที่ ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอาน มาใช้เป็นหลักการปฏิบัติ สอดแทรกไป ในหลักการของอิสลาม ถือว่า เป็น "ชิริก"
เช่น การ สร้างอณุเสาวรีย์ ของ นบี และอีมามต่างๆ การพูดหรือ ให้สลามหลุมฝังศพ ไม่ว่าคุณจะหันหน้าไปในทิศทางใดๆ ก็ตาม, การแตกแยกออกเป็นนิกายต่างๆ การ Idolize ท่านรอซูล |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
yoohoo มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004 ตอบ: 65
|
ตอบ: Fri Mar 31, 2006 4:11 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ตอบได้ดีจริงน๊อ คุณMatt แต่ก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย แล้วอย่าลืมไปใช้สิทธิและหน้าที่ของตนในการไปลงคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. 49 นี้นะครับ
สู้ ๆ ทุกคนต้องสู้ ในหนทางแห่งพระเจ้า |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Mar 31, 2006 9:58 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ matt กล่าวว่า
ตามหลักการของอิสลามแล้ว หนังสือการรวบรวม เรื่อง เล่า ของบุคอรี ไม่แตกต่างไปจาก การรวบรวม นิยาย "ชาดก" ของพุทธศาสนาและ หนังสือ "ตาลมูด" ของศาสนายิว เลย ทั้งนี้ เพราะในเรื่องเล่าต่างๆนั้น มี การสร้างปาฤหารให้กับทานนบี นอกเหนือไปจาก การเป็นมนุษย์ ธรรมดา ที่ถูกบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน
.
ตอบ
ผมอยากจะให้คุณแมทมาพิจารณาอายะฮข้างล่างนี้
وَأَنزَلْنَا إِلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيْهِمْ وَلَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ
และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง (ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขา อัลนะหลุ/44
..................................
ในฐานะที่ท่านนบีมุหัมหมัด ได้รับโองการจากอัลลอฮ และท่านมีหน้าที่ชี้แจงหรืออธิบาย(บะยาน) โองการของพระองค์ อันหมายถึงอัลกุรอ่าน ผมยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าเราคิดว่า อัลหะดิษหรือ อัสสุนนะฮ เป็นนิยาย เป็นชาดก หรือ เป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์โดย อิหม่ามบุคอรี และนักหะดิษอื่นๆ อยากจะทราบว่า ส่วนที่ท่านนบีอธิบายโองการของอัลลอฮ ที่เราสามารถมองเห็นรูปธรรม ที่ทำให้อุมมะฮของท่านเข้าใจจุดมุ่งหมายและเป็นแนวปฏิบัติ นั้น เราเอามาจากใหน กล่าวคือ ถ้อยคำและแบบอย่างในการปฏิบัติ ของท่านนบี ที่อธิบายอัลกุรอ่าน เราจะทราบได้อย่างไร
وَإِذَا ضَرَبْتُمْ فِي الأَرْضِ فَلَيْسَ عَلَيْكُمْ جُنَاحٌ أَن تَقْصُرُواْ مِنَ الصَّلاَةِ إِنْ خِفْتُمْ أَن يَفْتِنَكُمُ الَّذِينَ كَفَرُواْ إِنَّ الْكَافِرِينَ كَانُواْ لَكُمْ عَدُوّاً مُّبِيناً
[4.101] และเมื่อพวกเจ้าเดินทางไปในผืนแผ่นดินก็ไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะย่อการละหมาด หากพวกเจ้ากลัวว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะข่มเหงรังแกพวกเจ้า แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น เป็นศัตรูอันชัดเจนแก่พวกเจ้า - อันนิสาอ/101
.....................
ผมอยากให้คุณแมทลองอธิบายได้ไหมครับ ว่า การย่อละหมาดนั้น มีอายะฮใดอีกที่มาอธิบายวิธีการละหมาดย่อ หากรายงานเกียวกับอัสสุนนะฮนั้น เป็นสิ่งที่เปรียบเสมือนชาดก ที่เอามาเป็นแนวทางไม่ได้ ด้วยความเคารพครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|