ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 5:31 am ชื่อกระทู้: |
|
|
และบิดอะฮ์ที่ดี (หะสะนะฮ์)นี้ ต้องมีเงื่อนไขและหลักการตามที่ เราได้พิจารณาตาม บรรดาสิ่งที่รายงานมา และตามคำกล่าวของนักปราชน์แห่งโลกอิสลาม
เงื่อนไขที่ 1
บิดอะฮ์นั้น ต้องมาจากกิจการงานหนึ่ง จากบรรดากิจการต่างๆของศาสนาที่เป็นเรื่องอิบาดะฮ์ คือทำแล้ว มีการให้บุญและให้โทษ ไม่ใช่เป็นเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี หรือกิจการงานต่างๆในการดำเนินชีวิตที่ไม่เกี่ยวกับอิบาดะฮ์
หลักฐานดังกล่าวก็คือ ได้รายงานจาก ท่านหญิง อาอิชะฮ์ (ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)
من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد
หมายความว่า "ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้ กับสิ่งที่ไม่มีมาจากมัน(คือจากการงานของเรา)แล้ว สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ" (รายงานโดย บุคอรีย์ หะดิษที่ 2698 และมุสลิม หะดิษที่ 1718)
และเราก็ได้อธิบายความเข้าใจของหะดิษนี้ไปแล้ว โดยที่คำอธิบายไม่ได้รับการหักล้าง อัลหัมดุลิลาห์ และเราก็ได้เคยอธิบายไปว่า
ความเข้าใจของหะดิษนี้ก็คือ
من أحدث فى أمرتا هذا ما هو منه فهو مقبول
"ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงานของเรานี้ กับสิ่งที่มีมาจากการงานของเรา สิ่งนั้นย่อมถูกตอบรับ"
ซึ่งหลักฐานจากคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.)ที่เราจะเอานั้นคือ فى أمرنا هذا "ในการงานของเรานี้" และอีกสายรายงานหนึ่งกล่าวว่า فى ديننا "ในศาสนาของเรา" (ชัรหฺอัซซุนนะฮ์ หะดิษที่ 103 ของท่าน อัลบะฆอวีย์) ดังกล่าวนั้น หมายถึง การกระทำขึ้นมาใหม่ กับสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของศาสนา จากบรรดาขนบธรรมเนียมประเพณีทั่วไป หรือจากสิ่งที่ไม่ได้เป็นเรื่องของอิบาดะฮ์ ก็ย่อมไม่เข้าอยู่ ในคำนิยามของหลักศาสนา ที่แบ่งออกเป็น บิดอะฮ์ทางนำ และบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
ดังนั้น ผู้ที่มีสติปัญญา เขาจะไม่กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) เช่น การขี่เครื่องบิน ขี่รถยนต์ และอื่นๆจากสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ว่าเป็นบิดอะฮ์ตามคำนิยามตามหลักศาสนา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดี หรือว่า น่าเกียจก็ตาม
เราหันมามองสิ่งใกล้ตัวเรา เราจะพบว่าบรรดามุสลิมีนมากมายที่รับประทานอาหารด้วยช้อน แทนการรับประทานด้วยมือ แต่ดังกล่าว ก็ไม่ได้มีคุณลักษณะว่า จะเป็นบิดอะฮ์ที่อยู่ในทางนำ หรือ บิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ก็หาไม่ ซึ่งหากผู้ใดกล่าวว่ามันเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น เขาย่อมพูดออกมาโดยขาดความเข้าใจ
อาจมีบางคนอ้างว่า ปัจจุบันนี้ มุสลิมเราต้องรับประทานอาหารชนิดเดียวกับที่ท่านร่อซูล(ซ.ล.)เคยรับประทาน ในเวลาเดียวกันที่ท่านร่อซูล(ซ.ล.)รับประทาน พวกเขาต้องไม่ดื่มด้วยภายนะที่ทำด้วยแก้ว หรืออื่นๆ จากสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยนำมาดื่ม โดยที่ในขณะเดียวกันนั้น บรรดาอุลามาอ์ของมุสลิมีนก็ไม่มีใครกล่าวเช่นนั้นเลย วัลอิยาซุบิลลาห์
แต่ว่า สิ่งดังกล่าว จะเข้าเข้าไปอยู่ภายใต้ สิ่งที่ฮะรอม อีกด้านหนึ่งที่ไม่ใช่ด้านบิดอะฮ์ ก็คือ หากเขาได้เหนียตเลียนแบบพวกกุฟฟาร ด้วยการรับประทานให้เหมือนกับพวกเขา ดังนั้น การเลียนแบบพวกเขา ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องห้าม และไม่อนุญาติให้กระทำไม่ว่าจะเป็นกิจการใดก็ตาม ดังนั้น สิ่งที่บรรดามุสลิมีนได้รับประทานด้วยกับมันนั้น ได้ดำเนินไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี ปกติวิสัยเท่านั้นเอง ไม่ได้เจตนาเลียนแบบหรือเอาอย่างพวกเขาก็หาไม่ _________________ นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 5:34 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เงื่อนไขที่ 2
บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ต้องอยู่ภายใต้ รากฐานหนึ่ง จากบรรดารากฐานของศาสนา หรือเข้าไปอยู่ภายใต้บรรดาเจตนารมณ์หรือเป้าหมายหนึ่งของศาสนา المقاصد الشريعة หรืออยู่ภายคำสั่งหนึ่ง จากบรรดาคำสั่งใช้ต่างๆของศาสนา นี้คือเงื่อนไขหนึ่งที่นักปราชน์ทุกต้องมีความเห็นพร้อมกันว่า ต้องมีอยู่ที่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์
ตัวอย่างเช่น
การที่ท่านอุมัร(ร.ฏ.)สั่งใช้ให้ผู้คนรวมทำการละหมาดตะรอวิหฺ 20 ร่อกะอัต ในเดือนรอมะดอน ท่านอุมัรใช้ให้ทำละหมาดตะรอวิหฺในช่วงแรกของคืน แต่ท่านนบีทำในช่วงท้ายของคืน ท่านอุมัรได้สั่งให้ทำละหมาดตะริวิหฺ 20 ร่อกะอัต แต่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้ทำ ท่านนบี(ซ.ล.)เป็นผู้นำอยู่ในยุคสมัยของท่าน(ซ.ล.) และท่าน(ซ.ล.)ก็เคยนำละหมาดตะรอวิหฺแบบญะมาอะฮ์ แต่ท่านอุมัรเป็นผู้นำในสมัยของท่าน โดยที่ท่านให้ผู้อื่น(คือท่านอุบัย)มานำละหมาดติรอวิหฺแทนท่าน เป็นต้น
แต่สิ่งดังกล่าว อยู่ภายใต้พื้นฐานของหลักการทั่วไป คือ คำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า
عليكم بسنتى وسنتة الخلفاء الراشدين المهديين ، وعضوا عليها بالنواجذ
"พวกท่านจงดำรงค์อยู่ ด้วยกับซุนนะฮ์ของฉัน และแนวทางของบรรดาเคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม และพวกท่านจงกัดมันด้วยฟันกราม"
ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวอีกว่า
اقتدوا بالذين بعدى أبى بكر وعمر
"พวกท่านจงเจริญรอยตาม ด้วยกับทั้งจาก หลังจากฉัน คือ อบูบักร และอุมัร "
ดังนั้น การรวมละหมาดตะรอวิหฺ ก็คือ ซุนนะฮ์ของท่านอุมัร หนึ่งในเคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม ที่เราได้ถูกใช้ให้เจริญรอยตาม และยึดกัดมันให้แน่นด้วยฟันกราม
และการละหมาดตะรอวิหฺนั้น ก็อยู่ภายใต้การหลักการของละหมาด กิยามุลลัยล์ (ละหมาดสุนัตในยามค่ำคืน) ที่ไม่ได้ถูกำหนดจำนวนที่แน่นอน แต่ได้ถูกรายงานที่ซอฮิหฺจากท่านนบี(ซ.ล.) ด้วยกับการละหมาดด้วยจำนวนร่อกะอัตที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะเอาจำนวนใดก็ได้
ผมอยากจะยกตัวอย่างของการทำเมาลิดนบีอีกสักตัวอย่าง แต่เกรงว่า พี่น้องวะฮาบีย์ของเราจะร้อนรุ่มนั่งไม่ติด ก็เลยงดการยกตัวอย่าง แต่เราจะจัดให้ กับการนำมาสนทนาในประเด็นข้อปลีกย่อย อินชาอัลเลาะฮ์ _________________ นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 5:39 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เงื่อนไขที่ 3
บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ต้องไม่ไปขัด หรือ ค้าน กับตัวบทหนึ่ง จากบรรดาตัวบทของศาสนา และการกระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องไม่ทำให้มีการยกเลิก หรือลบล้าง ซุนนะฮ์ใด ซุนนะฮ์หนึ่งของศาสนา ซึ่งอิมาม อัลฆ่อซาลีย์ได้กล่าวบ่งถึงไว้ว่า "บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนินั้น คือสิ่งที่ไปคัดค้านกับซุนนะฮ์ที่มีอยู่เดิม หรือเกือบจะทำการเปลี่ยนซุนนะฮ์นั้น"
ตัวอย่างเช่น การซิกิร โดยการนับด้วยลูกตัสเบี๊ยะหฺ ซึ่งตามทัศนะของเรานั้น มันคือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เนื่องดังกล่าว อาธิเช่น เราได้ถูกใช้ให้การที่ ตัศเบี๊ยะหฺ หนึ่งร้อยครั้ง และทำการนับจำนวนนั้น ต้องมีสิ่งเครื่องมือนับ ที่มาช่วยกำหนดจำนวนนั้นไว้ และท่านร่อซูลก็ไม่ได้สอนเราไว้ว่า ให้เรากำหนดนับมันอย่างไร และไม่ได้กำหนดเครื่องมือในการช่วยนับ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า สิ่งใดก็ตามที่ ที่ช่วยในการนับได้ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่สุนัต เพราะหลักการ القاعدة ได้กำหนดไว้ว่า
ما لا يتم الواجب إلا به فهو واجب
"สิ่งหนึ่ง ที่วายิบจะไม่สมบูรณ์ นอกจากด้วยกับมัน ดังนั้น มันย่อมเป็นสิ่งที่วายิบด้วย"
ดังนั้น สิ่งหนึ่ง ที่ศาสนาได้ส่งเสริมจะไม่สมบูรณ์ นอกจากด้วยกับมัน ดังนั้น สิ่งดังกล่าวก็ย่อมเป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมด้วย"
ดังนั้น ผู้ใดที่ต้องการจะซิกิร ด้วยจำนวนดังกล่าว ก็สุนัตให้เขา เอาสิ่งหนึ่งมาช่วยนับการซิกิรกับจำนวนดังกล่าวที่ถูกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการนับด้วย ลูกตัสเบี๊ยะหฺ ก้อนหิน ปมของเชือก หรืออื่นๆจากสิ่งดังกล่าว
และได้มีรายงานจากท่านร่อซุลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ว่า ท่านได้ทำการตัสเบี๊ยะหฺด้วยการนับด้วยข้อของนิ้วมือ หลังละหมาด และนบีก็ส่งเสริม
และก็มีรายงานเช่นกันว่า ท่านนบี(ซ.ล.)ให้การยอมรับ การนับตัสเบี๊ยะหฺด้วยกับ เมล็ดอินทผาลัม และลูกหิน ซึ่งได้รายงานจากท่าน ซะอัด บิน อบีวักก๊อซ (รายงานโดย ท่านหากิม และท่านอัซซะฮะบีย์ก็มีความเห็นสอดคล้องการความซอฮิหฺ ดู เล่ม 1 หน้า 547- 548)
และก็มีรายงานเช่นกัน จากท่านอบี อัดดัรดาอ์ ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ท่านสะอัด บิน อบีวักก๊อซ และท่านอบี ซ่อฟียะฮ์ ได้ทำการตัสเบี๊ยะหฺ ด้วยเมล็ดอินทผาลัม และลูกหิน ซึ่งหากพี่น้องวะฮาบีย์ต้องการจะสนทนาในประเด็นนี้ ในหมวดข้อปลีกย่อยนั้น เราจะจัดให้ อินชาอัลเลาะฮ์
ดังนั้น หากเรามีเครื่องมืออื่นอีก ในการนับการซิกิร ก็ถือว่าให้กระทำได้ เนื่องจากมันไม่ได้ไป ค้านกับซุนนะฮ์ หรือไปทำลายหลักการของซุนนะฮ์ท่านนบี(ซ.ล.) _________________ นักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
www.sunnahstudent.com |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-farook มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/08/2005 ตอบ: 297 ที่อยู่: อียิปต์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 10:56 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ข้อความของ al-farook
บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่บรรดามุสลิมมีนมีความเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี คือหลักจากที่ บิดอะฮ์นี้ไม่ได้ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ และคำว่า "บรรดามุสลิมีน" นี้ หมายถึง ปวงปราชน์นักวิชาฟิกห์ ไม่ใช่มุสลิมที่เป็นคนเอาวามทั่วไปๆ ที่ไม่สามารถวินิจฉัยในเรื่องศาสนาไม่ได้ และผมหวังว่า พี่น้องวะฮาบีย์คงจะเข้าใจทัศนะของเรามากขึ้น
ได้มีสายรายงานที่หะสัน จากท่านอิบนุมัสอูด(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า
ما رأه المسلمون حسن فهو عند الله حسن
"สิ่งที่บรรดามุสลิมมีนเห็นว่ามันดีนั้น มันก็ย่อมเป็น ตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ด้วย
......................
ตอบ
อีกแล้วครับท่าน อ้างคำพูดอิบนุมัสอูด มาสนับสนุดบิดอะฮ อีกแล้วครับท่านผู้ชม...นี่คือจุดบอดอีกข้อหนึ่งของผู้ที่พิสมัยบิดอะฮ นี่คือ คำพูดของอิบนิอับบัส (ร.ฎ) ซึ่งได้มีการวิจารณ์ไว้ว่า
انماأثرموقوف على ابن مسعود فليس بحجة
ความจริง ต้นตอ(คำพูดนั้น)หยุดอยู่ที่ อิบนิมัสอูด (หมายถึงหะดิษเมากูฟ สืบไม่ถึงท่านนบี) ไม่ใช่เป็นหลักฐาน อัลอิบดาอฺ หน้า 125
หมายความว่า เอามาเป็นหลักฐานในการสนับสนุนการทำบิดอะฮไม่ได้ และคำพูดนี้ท่านอิบนุมัสอูด(ร.ฎ)ได้กล่าวถึงการชมเชยคุณคุณลักษณะความดีของเหล่าเศาะหาบะฮว่า
ان الله نظر في قلوب العباد، فوجد قلب محمد صلى الله عليه وسلم خير قلوب العباد، فاصطفاه لنفسه، وابتعثه برسالته، ثم نظر في قلوب العباد بعد قلب محمد صلى الله عليه وسلم، فوجد قلوب أصحابه خير قلوب العباد،فجعلهم وزراء نبيه،يقاتلون على دينه،فما رأه المسلمون حسنا فهو عند الله حسن، وما رأوه سيئا فهو عند الله سيء
แท้จริงอัลลอฮ ได้ทรงพิจรณา ในบรรดาหัวใจของบรรดาบ่าว แล้วทรงพบว่า หัวใจของ มุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ สัลลัม นั้นเป็นหัวใจมีความประเสริฐยิ่งในบรรดาหัวใจของบ่าวทั้งหลาย แล้วพระองทรงคัดเลือกเขา ให้แก่พระองค์เอง และทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้นำสาส์นของพระองค์ หลังจากนั้น พระองค์ทรงพิจารณาในบรรดาหัวใจของบ่าว รองจากหัวใจของมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ สัลลัม แล้วพบว่า บรรดาหัวใจของบรรดาสาวกของเขา (มุหัมหมัด) เป็นหัวใจที่ มีความประเสริฐ ยิ่งในบรรดาหัวใจของบ่าวทั้งหลาย และพระองค์ให้พวกเขาเป็น ที่ปรึกษาของนบีของพระองค์ โดย พวกเขาทำการต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนา ของพระองค์ ดังนั้น สิ่งใดที่พวกเขาเห็นว่าดี สิ่งนั้น อัลลอฮ ก็เห็นดีด้วย และสิ่งใด ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ดี ดังนั้น อัลลอฮ ก็เห็นว่าไม่ดี(เช่นกัน) -
شرح العقيدة الطحاوية(ص531)وقال الألبان حسن موقوف،أخرجه الطيالسي وأحمد وغيرهما بسند حسن،وصححه الحاكم ووافقه الذهبي.
....................................
แล้วใหนละครับ ช่องทางที่มาสนับสนุนบิดอะฮที่คนทั่วไปอุตริขึ้นมา คิดเห็นว่าดี ในฐานะที่น้อง al-farook และ น้อง al-azhary เอาวิชาภาษาอาหรับมาอวดบังอะสันอยู่บ่อยๆ บังขอ said ด้านหลักภาษาอาหรับบ้างว่า คำว่า المسلمون (อัล-มุสลิมูน) เป็น วิสามานยนาม (อิสมุนมะอฺริฟะฮ) เป็นนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง ไม่ได้หมายถึง บรรดามุสลิมทั่วไป) และ อลิฟ-ลาม ในคำว่า المسلمون เรียกว่า อลิฟลาม ลิลอะฮดิซซิกริ หมายถึง เป็นที่รู้กัน เพราะต้นเรื่อง ท่านอิบนุมัสอูด กล่าวถึง บรรดาเศาะหาบะฮ คือ บรรดาเศาะหาบะฮ ไม่ใช่ น้องอัล-ฟารุก น้องอัล-อัชอารี ไม่ใช่อาจารย์มหาลัยอัลอัซฮาร และหรือ ไม่ใช่มุสลิมโดยทั่วไป รวมถึงบังอะสันด้วย และ นี่คือ อัล-อิจญาอฺ หมายถึง อิจญมาอฺของเหล่าเศาะหาบะอฺ คือ สิ่งที่บรรดาเหล่าเศาะหาบะฮ มีมติเห็นฟ้องกัน ซึ่ง อัจญมะอฺเศาะหาบะฮ นั้น เราไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
..........................................
ถ้าใครพูดอะไร แล้วเห็นว่าดี แล้วเอามาเป็นบัญญัติศาสนา เรามีอัล-กุรอ่านและ มีท่านรซูล ไว้ทำไม หรือ ครับ พ่อนักศึกษาคนเก่ง และอีกอย่างหนึ่ง อย่าเอาความคิดหัวโบราณที่ว่า อุลามาอยุคกอ่นเท่านั้นที่เก่ง อุลามาอฺยุคหลัง ไม่เก่ง มันล้าสมัยแล้วอย่ามาอ้างเลยนะจ้ะ
........................
บังอะสัน แห่งมหาลัยชีวิต |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al_katsir มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 27/12/2005 ตอบ: 9
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 10:57 am ชื่อกระทู้: |
|
|
งี่นี่เอง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 11:19 am ชื่อกระทู้: |
|
|
น้อง al- farook ว่า
ดังนั้น ผู้ที่มีสติปัญญา เขาจะไม่กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) เช่น การขี่เครื่องบิน ขี่รถยนต์ และอื่นๆจากสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ว่าเป็นบิดอะฮ์ตามคำนิยามตามหลักศาสนา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดี หรือว่า น่าเกียจก็ตาม
.......................
ตอบ
มั่วนิ่มอีกแล้วครับท่าน นี่เรากำลังพูดเรื่อง บิดอะฮที่เกี่ยวกับ กิจการศาสนา หมายถึงเรื่อง การทำอิบาดะฮ มันไม่ใช่กิจกรรมที่เกี่ยวกับทางโลก ที่อุตริคิดขึ้นมา (บิดอะฮดุนยะวียะอ)
อันนี้ได้อธิบายไปแล้วขอย้ำอีกที
หลักการเกี่ยวกับศาสนาอิสลามในด้านทางโลก จึงมีกฎอยู่ว่า
الأصل في الأشياء الإباحة ما لم تقيد بتحريم
หลักเดิมในสิ่งต่างๆนั้น อนุญาต ตราบใดที่ไม่ ถูกจำกัดว่า ต้องห้าม
الأصل في الأشياء الإباحة الا ما نص الشرع على تحريم
หลักเดิม ในสิ่งต่างนั้น อนุญาต นอกจาก สิ่งที่มีตัวบททางศาสนบัญญัติว่า ต้องห้าม
มาดูหะดิษข้างล่างนี้
عن أنس؛ أن النبي صلى الله عليه وسلم مر بقوم يلقحون. فقال "لو لم تفعلوا لصلح" قال فخرج شيصا. فمر بهم فقال "ما لنخلكم؟ " قالوا: قلت كذا وكذا. قال "أنتم أعلم بأمر دنياكم
มีรายงานจากท่านอะนัสว่า ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เดินผ่านชนกลุ่มหนึ่ง กำลังเพาะต้นอินทผาลัม(โดยการผสมเกสร) แล้วท่านนบีกล่าวว่า ถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น ก็จะดี (แล้วพวกเขาก็ทำตามที่ท่านบีแนะนำ) แล้วต้นอินทผาลัมก็ออกมาเสีย แล้วต่อมาท่านได้เดินผ่านพวกเขาอีก แล้วกล่าวถามขึ้นว่า ต้นอินทผาลัมของพวกท่าน เป็นอย่างไรบ้าง ? พวกเขาตอบว่า ก็ท่านบอกไว้อย่างนี้ อย่างนี้นะซิ (มันจึงเสีย) ท่านนบีก็กล่าวว่า พวกท่านรู้ในกิจการทางโลกของพวกท่านดีกว่าฉัน - รายงานโดย มุสลิม บทที่ 13 บาบที่ 31
................................................
นี้แหละครับ กิจการทางโลก เราคิดค้นอะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เช่น ผมทำส่วนยางพารา ผมไม่ต้องรอดูว่า แบบอย่าง(สุนนะฮ)นบี เป็นอย่างไร ท่านไม่ทำสวนยาง แล้วผมจะเอาแบบอย่างที่ใหน แบบนี้ ไม่มีคนปัญญาอ่อนที่ใหน เขาพูดกัน เพราะนี้คือ บิดอะฮดุนยะวียะฮ(บิดอะฮทางโลก)
..........................
ช่วงนี้ อยู่ในช่วงตรวจข้องสอบเด็ก และมีภาระยุ่งเกี่ยวกับทางโรงเรียน พอช่วงปิดภาคเรียน อินชาอัลลอฮ เต็มที่เลย ครับท่าน
...........
บังอะสัน แห่งมหาลัยชีวิต |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 11:40 am ชื่อกระทู้: |
|
|
น้อง al-farook
อย่างที่ผมได้เคยเกริ่นไปแล้วว่า บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ปัจจุบันแทบไม่เกิดขึ้นมาอีกแล้ว และไม่ได้ทำกันง่ายๆ เว้นแต่เสียว่า ต้องมีบรรดากฏเกนฑ์ และเงื่อนๆไขต่างๆ อย่างรัดกุม เพื่อจะให้บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นี้ อยู่ในหลักการของศาสนา หรืออยู่ภายใต้การคุ้มครองของศาสนา การทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ไม่ใช่ทำกันด้วย ความชอบความอยาก ไม่ใช่ทำกันตามอารมณ์ เนื่องส่วนมากนั้น จะเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ที่นบี(ซ.ล.)ได้เตือนให้เราระวัง
....................................................
ตอบ
พูดแบบนี้ ก็น่ารักเพิ่มอีกเป็นกอง น้องครับ บังไม่ใส่ใจว่าที่ใหน ใครทำอย่างไร แต่ อยากพูดถึง บิดอะฮที่ทำกันในเมืองไทยส่วนใหญ่ ซึ่งน้อง และทีมงานไม่รับรู้เลย ไม่ทราบว่าอยู่เมืองไทยส่วนใหน น้องคนอยากรู้ก็ปฏิเสธไม่รู้เรื่องว่ามีจริง ทั้งที่บอกว่าอยู่ทางใต้ ทำไมไม่ถามคนทางใต้ที่เรียนที่นั้น
ตอนนี้ ค่า เผ้ากุบูร และอ่านกุรอ่านให้ผู้ตาย ต้องจ้างเป็นหมืน พอถึง เดือน หกขึ้นสิบคำ มีการทำบุญกุบูร พรอ้มกับฤดูกาลเช้งเม้งของคนจีน ค่า นิกาะห บางแห่งกำหนดไว้พันห้าร้อย ฯลฯ มันมากมาย ถ้าชาวบ้านธรรมดาทำ ก็ถือว่า เขาไม่รู้ แต่นี้พวกบิกๆทั้งน้าน
เหตุนี้ บังจึง สู้ตาย เพราะประเพณีบางอย่างเอาศาสนามาเกี่ยวข้อง โดยการสนับสนุนของผู้รู้ ใครต่อต้าน ก็ถูกประนามว่า พวกวะฮบีย์ เหมือนกับที่ น้องๆแห่งอัลอัซฮัรเรียกเราอยู่เวลานี้ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 8:35 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอะสันกล่าวว่า
นี่คือจุดบอดอีกข้อหนึ่งของผู้ที่พิสมัยบิดอะฮ คำพูดของอิบนิอับบัส (ร.ฎ) ซึ่งได้มีการวิจารณ์ไว้ว่า
انماأثرموقوف على ابن مسعود فليس بحجة
ความจริง ต้นตอ(คำพูดนั้น)หยุดอยู่ที่ อิบนิมัสอูด (หมายถึงหะดิษเมากูฟ สืบไม่ถึงท่านนบี) ไม่ใช่เป็นหลักฐาน อัลอิบดาอฺ หน้า 125
ผมขอกล่าวว่า
ไม่ได้เข้ามาหลายวัน คุณอะสันของเราก็ยังสนทนาแบบไม่ยอมเข้าใจคำกล่าวของ ผู้ร่วมสนทนาเหมือนเดิม แบบนี้มัน หัวเทียนบอด แล้วนะครับ และเขาไม่เรียกว่า ดังแต่ท่อล้อไม่หมุนหรอกครับ แต่เขาเรียกว่า ไม่ดังแต่ท่อ แต่ ล้อก็ไม่หมุน เพราะหัวเทียนบอด คั๊กๆ (อ่า...ล้อเล้นนนน)
แล้วมาอ้างคำวิจารณ์ของท่านอิบนุอับบาส แล้วท่านอิบนุอับบาสมาวิจารณ์ด้วย คำพูดตรงๆ อย่างนี้กันตอนใหน ? หรือว่าการวิจารณ์นี้ เป็นแค่คำพูดของนักวิชาการเท่านั้น?? แล้วคุณอะสันก็อ้างไปว่าเป็นคำกล่าวของท่านอิบนุอับบาส ซึ่งเหมือนประเด็นเดียวกับ การที่คุณอะสันเคยอ้างว่า มันเป็นคำพูดของ อิมามชาฟิอีย์ แต่ที่ใหนได้ มันเป็นคำพูดของ อิบนุกะษีร อัลลอฮุอักบัร..!!
แล้วคุณอะสันก็ค้านว่า มันเป็นคำกล่าวที่หยุดอยู่ที่ท่านอิบนุมัสอูด ไม่ถึงท่านนบี(ซ.ล.)... คุณอะสันครับ คุณอัล-ฟารูกนั้น เขารู้ดีกว่าคุณเสียอีก คุณอะสันไม่ลองพิจารณาคำกล่าวของ คุณอัล-ฟารูกก่อนล่ะครับ ซึ่งเขากล่าวว่า " ได้มีสายรายงานที่หะสัน จากท่านอิบนุมัสอูด(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า...." พิจารณาซิครับ คุณอะสัน คุณอัล-ฟารูกเขากล่าวว่า "รายงานจากท่านอิบนุมัสอูด ท่าน(อิบนุมัสอูด)กล่าวว่า" ไม่ใช่ "ท่านร่อซูล(ซ.ล.)กล่าวว่า" ดังนั้น คุณอัล-ฟารูก เขามีจุดหมายในการอ้างคำพูดของท่านอิบนุมัสอูด ไม่ใช่คำกล่าวของท่านร่อซูล(ซ.ล.) ฉะนั้น คุณอะสันก็อย่าไปพิจารณาคำสนทนาของคุณอัล-ฟารูก ด้วยตาใจที่บอดนะครับ เนื่องจากมันจะส่งผลออกมาอย่างนี้แหละ
และคุณอัลฟารูกก็อุตสาห์บอกว่า เป็นสายรายงานที่ หะสัน ตามที่อัลบานีย์ได้บอกไว้ เพื่อเอาใจคุณอะสัน โดยไม่บอกว่าซอฮิหฺจากท่านฮากิม ซึ่งเกรงว่า คุณอะสันจะอ้างคำของ อัลบานีย์ ไปลบล้างคำกล่าวของท่าน ฮากิม และท่านอัซซะฮะบีย์
พอประเด็นคำกล่าวของซอฮาบะฮ์ที่ไม่ถูกอารมณ์ของวะฮาบีย์ วะฮาบีย์ก็บอกมันว่า เป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นคำกล่าวของท่านร่อซูล(ซ.ล.) เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ موقوف รายงานแง่ซอฮาบะฮ์ แต่เวลาเรื่องอากิดะฮ์นั้น ท่านอบูบักรกล่าวอย่างนั้น ท่านอิบนุอับบาสกล่าวอย่างนี้ ท่านอุมัรกล่าวอย่างนั้น ท่านอิบนุมัสอูดกล่าวอย่างนี้ ทั้งที่มันมีสายรายงานที่ฏออีฟ คุณอะสันก็ยังดันทุรังเชื่อ และพยายามยกซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ผู้คิดว่า มันเป็นจริง แต่ทำไม คุณอะสันไม่บอกผู้อ่านในเรื่องอะกีดะฮ์บ้างล่ะว่า มันเป็นรายงานจากซอฮาบะฮ์ ไม่ถึงท่านร่อซูล(ซ.ล.) จึงนำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ แต่ผมว่า ไม่มีทาง เพราะมันไม่ตรงกับอารมณ์ที่จะเอา ฮ่าๆๆ
และผมก็ไม่รู้ว่าทัศนะของวะฮาบีย์ มีจุดยืนอย่างไรเกี่ยวกับคำกล่าวของสะลัฟ พอคำกล่าวของสะลัฟที่ตรงกับอารมณ์ของตนเอง แล้วโพทนากันนักหนา แต่เวลาไม่ตรงกับอารมณ์ของตน กลับปฏิเสธเลี่ยงกันหัวซุกหัวซุน ผมจึงไม่รู้จุดยืนอันแท้จริงของวะฮาบีย์ครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 8:39 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอะสันกล่าวว่า
อีกแล้วครับท่าน อ้างคำพูดอิบนุมัสอูด มาสนับสนุดบิดอะฮ อีกแล้วครับท่านผู้ชม...นี่คือจุดบอดอีกข้อหนึ่งของผู้ที่พิสมัยบิดอะฮ
เขากล่าวอีกว่า
แล้วใหนละครับ ช่องทางที่มาสนับสนุนบิดอะฮที่คนทั่วไปอุตริขึ้นมา คิดเห็นว่าดี ในฐานะที่น้อง al-farook และ น้อง al-azhary
ผมขอกล่าวว่า
เอาอีกแล้วครับ ท่านผู้อ่านที่มีเกียตริของพวกเขา คุณอะสันตอบโต้หักล้างไม่ได้ มาแบบรูปแบบเดิมเพื่อให้พ้นไปที เหมือนที่คุณอัล-ฟารูกกล่าวไว้ คุณอะสันชอบตบตาผู้อ่านว่า เราเอาคำพูดของท่านอิบนุมัสอูดมาสนับสนุน "บิดอะฮ์" คือคุณอะสัน เรียกคำว่า "บิดอะฮ์" ( بدعة )แบบ مطلق แก่เรา คือพูดแบบเฉยๆ ไม่มีอะไรต่อท้าย ซึ่งเป็นที่รู้กันของนักวิชาการนั้น หมายถึงบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง แต่หากพูดถึง บิดอะฮ์ที่ดี นักวิชาการของศาสนาอิสลาม เขาจะเรียกแบบ مقيد มีข้อแม้จำกัดถัดจากมัน เช่น "บิดอะฮ์ที่ดี" ( بدعة حسنة ) หรือ"บิดอะฮ์ที่อยู่ในทางนำ" ( بدعة هدى ) ตามที่ท่านอุมัร ท่านอิบนุอุมัร ได้เคยกล่าวเอาไว้ และตามที่สะลัฟได้กล่าวไว้ และตามอุลามาอ์แห่งโลกอิสลาม (คุณอัล-ฟารูกใช้ศัพท์นี้ดีมากครับ)ได้กล่าวไว้
แต่ที่พวกเราต่างค่อยกันไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า เรากำลังทำการสนทนา ในเรื่อง "บิดอะฮ์หะสะนะฮ์" ไม่ใช่ "บิดอะฮ์" แบบเฉยๆ ที่หมายถึงบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่มีใครกล่าวหรอกว่า "เราเอาคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด มาสนับสนุนในเรื่องบิดอะฮ์" แต่คุณอะสันกล้าพูดความจริงกับเราใหมละครับว่า "พวกเราเอาคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดมา สนับสนุนในเรื่อง บิดอะฮ์หะสะนะฮ์"
แล้วคุณอะสันก็พูดออกมาอย่างสิ้นความเข้าใจว่า "มาสนับสนุนบิดอะฮ(หะสะนะฮ์ -ผมเพิ่มคำนี้มาเพื่อไม่ให้คุณอะสันตบตาผู้อ่านครับ-)ที่คนทั่วไปอุตริขึ้นมา คิดเห็นว่าดี" มันอะไรกันครับ คุณไม่เข้าใจสิ่งที่คุณอัล-ฟารูกนำเสนอไปหรือครับ? ว่า ผู้ที่เห็นดีด้วยกับ บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องมีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นนักมุจญฺฮิด ที่เป็นนักปราชน์วิชาการฟิกห์ " [B]ไม่ใช่คนทั่วไป[/B] " และการเห็นดีนั้น ต้องผ่านด่านต่อไปนี้ก่อน คือ ไม่ต้องขัดกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ ดังนั้น การจะมีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ขึ้นมาได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องถูกกลั่นกรองและผ่านกระบวนการตามหลักการศาสนาอย่างเข้มงวดเลยทีเดียว คุณอะสันครับ เคยฟังบทกวีอาหรับ ที่เขากล่าวไว้ว่า "เท่าไหร่แล้ว ที่มีผู้ตำหนิ คำกล่าวที่ถูกต้อง ด้วยความเข้าใจที่เลว" |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 8:42 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอะสันกล่าวว่า
บังขอ said ด้านหลักภาษาอาหรับบ้างว่า คำว่า المسلمون (อัล-มุสลิมูน) เป็น วิสามานยนาม (อิสมุนมะอฺริฟะฮ) เป็นนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง ไม่ได้หมายถึง บรรดามุสลิมทั่วไป) และ อลิฟ-ลาม ในคำว่า المسلمون เรียกว่า อลิฟลาม ลิลอะฮดิซซิกริ หมายถึง เป็นที่รู้กัน เพราะต้นเรื่อง ท่านอิบนุมัสอูด กล่าวถึง บรรดาเศาะหาบะฮ คือ บรรดาเศาะหาบะฮ
และกล่าวอีกว่า
ถ้าใครพูดอะไร แล้วเห็นว่าดี แล้วเอามาเป็นบัญญัติศาสนา เรามีอัล-กุรอ่านและ มีท่านรซูล ไว้ทำไม หรือ ครับ พ่อนักศึกษาคนเก่ง
ผมขอกล่าวว่า
นั่นไงล่ะครับ คุณอะสัน คำว่ามุสลิมีนนี้ ไม่ใช่หมายถึงคนทั่วไป แต่หมายถึง ซอฮาบะฮ์ ที่เป็นนักมุจญฺฮิด ผู้ที่กลับ หรือที่อ้างอิง จากซอฮาบะฮ์ทั่วไป ที่เป็นคนเอาวาม อย่างที่ คุณอัล-ฟารูกบอกไปแล้วว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ที่เป็นนักมุจญฺฮิดนั้น มีประมาณ 130 คน แต่คุณอะสันก็พยายามแช่แข็ง (คำนี้เป็นคำศัพท์ที่ น้องอัล-อัซฮะรีย์นำมาใช้ ซึ่งตรงตัวและเข้าใจง่าย) เฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น แต่หากคุณอะสันจะชี้ให้เห็นว่ามันจำกัดแค่ตัวบุคคลเท่านั้น ก็แสดงว่า อัลกุรอานอายะฮ์ต่างๆ ที่ประทานให้กับซอฮาบะฮ์นั้น คนอื่นจากซอฮาบะฮ์ไม่ได้ครอบคลุมถึงด้วยหรือครับ เช่นอายะฮ์ต่างๆที่ชี้ถึง "ลัษณะของผู้วินิจฉัยได้" เช่น علمه الذين يستبطونه منهم สงสัยอายะฮ์นี้ จำกัดเพียงแค่ซอฮาบะฮ์ โดยไม่เกี่ยวกับผู้อื่นหลังจากซอฮาบะฮ์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เป็นเช่นนั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติวินิจฉัยได้ ก็ย่อมมีคุณลักษณะในแง่หนึ่งที่ตรงกับซอฮาบะฮ์ อายะฮ์นี้ก็ย่อมครอบคลุมถึงเขาด้วย
ดังนั้น คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนี้ หมายถึงซอฮาบะฮ์จริง แต่ซอฮาบะฮ์ที่มีคุณลักษณะที่ เป็นนักมุจญฺฮิด นักวินิจฉัยที่ทรงความรู้ ดังนั้น คุณลักษณะนี้ ย่อมมีอยู่ในบรรดา บรรดามุสลิมีนที่เป็นอุลามาอ์ฟิกห์ ที่เป็นนักมุจญฺฮิด ด้วย คุณลักษณะนี้ก็เป็นคุณลักษณะของซอฮาบะฮ์ ฉะนั้น สิ่งที่บรรดาซอฮาบะฮ์ที่เป็นนักมุจญฺฮิดเห็นว่าดี สิ่งนั้นก็ดีด้วยตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ เช่นเดียวกันคือ สิ่งที่บรรดามุสลิมีนที่เป็นนักปราชน์ฟิกห์ที่เป็นมุจญฺฮิดเห็นว่าดี สิ่งนั้นย่อมดีด้วยตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ โดยมีเงื่อนไขเพิ่มมาอีกว่า ต้องไม่ขัดกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ และนี่ก็คือความเข้าใจของอุลามอ์อุซูลผู้ทรงความรู้ด้วย อัลหัมดุลิลลาห์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
ตอบ: Sun Feb 26, 2006 8:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอะสันกล่าวว่า
และอีกอย่างหนึ่ง อย่าเอาความคิดหัวโบราณที่ว่า อุลามาอยุคกอ่นเท่านั้นที่เก่ง อุลามาอฺยุคหลัง ไม่เก่ง มันล้าสมัยแล้วอย่ามาอ้างเลยนะจ้ะ
ผมขอกล่าวว่า
คุณอะสันบอกว่า ทัศนะของอุลามาอ์ยุคก่อนนั้น คือ ความคิดหัวโบราณ ซุบหานัลลอฮ์ !!!
عليك من الله ما تستحق الى يوم القيامة يا أَسَن يا من يسبّ العلماء الربانيين وتب الى الله يا أَسن قبل أن يأتيك الموت ومت على موت قلبك وعلى إستهزاءك بالعلماء
(ผมต่อว่าเขาด้วยภาษาอาหรับครับ หากเป็นภาษาไทย คุณอะสันเดือดพล่านแน่ ) หากใครผู้ไม่รู้ความหมาย และอยากรู้ความหมายภาษาอาหรับ ก็โปรดถามมาได้เลยครับ ผมจะแปลให้
คุณอะสันกล่าวว่า
แล้วผมจะเอาแบบอย่างที่ใหน แบบนี้ ไม่มีคนปัญญาอ่อนที่ใหน เขาพูดกัน เพราะนี้คือ บิดอะฮดุนยะวียะฮ(บิดอะฮทางโลก)
ผมขอกล่าวว่า
ดูซิครับท่านผู้อ่าน คุณอะสันก็ยังดันพูดว่า มันเป็นบิดอะฮ์ดุนยาวียะฮ์(คือแบ่งบิดอะฮ์เป็นบิดอะฮ์ทางโลก) ซึ่งประเด็นนี้ เราก็วิจารณ์ กันมาหลายตลบแล้ว คุณอะสันก็ตอบโต้ หักล้าง การแบ่งบิดอะฮ์เป็นดุนยา ไม่ได้เลย แล้วดันมาพูดทัศนะทีอ่อนของตนว่า แบ่งเป็นบิดอะฮ์ดุนยา การสนทนาเรื่องบิดอะฮ์นี้ ผมคิดว่า มันใกล้จะสิ้นสุดแล้วครับ เนื่องจากมีการ วกวน วนเวียนไปใหนไม่รอดแล้ว ฮ่าๆๆ
พอดี ผมจะเข้ามาสนทนาเสริม ในช่วงที่คุณ อัล-ฟารูกของเรา ไม่มีเวลาเข้าใจ และจะเข้ามาปราบพวกตะกับบูรด้วย ด้วยหายหัวไม่มาให้เห็นหน้า แต่ดันไปโผล่ที่เวปมุรีด นั่นก็คือ นายไออาเอฟ แต่ก็ยังดี ที่วันนี้ ไม่ปราบคนที่ ลามปามอุลามาอ์ผู้ทรงธรรมรุ่นก่อน ที่คุณอะสันว่ามันเป็นความคิดหัวโบราน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Feb 27, 2006 1:01 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ข้อความของ คุณมุหัมหมัด
เอาอีกแล้วครับ ท่านผู้อ่านที่มีเกียตริของพวกเขา คุณอะสันตอบโต้หักล้างไม่ได้ มาแบบรูปแบบเดิมเพื่อให้พ้นไปที เหมือนที่คุณอัล-ฟารูกกล่าวไว้ คุณอะสันชอบตบตาผู้อ่านว่า เราเอาคำพูดของท่านอิบนุมัสอูดมาสนับสนุน "บิดอะฮ์" คือคุณอะสัน เรียกคำว่า "บิดอะฮ์" ( بدعة )แบบ مطلق แก่เรา คือพูดแบบเฉยๆ ไม่มีอะไรต่อท้าย
..........................................
ตอบ
อีกแล้วครับท่าน หาว่า เขาพูด บิดอะฮเฉยๆ แบบไม่ใส่นม..เอ้ย..ไม่ใส่หะสะนะฮ เข้าไป ก็เขาบอกแล้วไง ว่า บิดอะฮชัรอียะ หรือ บิดอะฮดีนียะฮนั้น เป็นการหลงผิด คุณมุหัมหมัดครับ ยกหะดิษที่ชัดๆมาสักบทจากท่านนบีมาสักบทที่เศาะเหียะที่ท่านนบีบอกว่า อนุญาตให้คิดบิดอะฮที่ดี ให้ชัดๆ มาเลยไม่ดีกว่าหรือ ดีกว่าเที่ยวกล่าวหา ว่าตบตาบ้างอะไรบ้าง
อิหม่ามชาฟิอี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
ليس لاحد دون رسول الله صلى الله عليه وسلم أن يقول إلا بالاستدلال،
ไม่อนุญาตแก่บุคคลใดอื่นจากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ ในการที่จะกล่าว(อ้างทัศนะ) นอกจาก ต้องอ้างหลักฐาน
และอีกถ้อยคำหนึ่งของท่าน
ولا يقول بما استحسن، فإن القول بما استحسن شيء يحدثه لا على مثال سبق". (الرسالة 504).
และ เขาจะไม่กล่าว(อ้างทัศนะ) ในสิ่งที่เห็นว่าดี นั้น คือ สิ่งที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมากอ่น
- ดู อัรริสาละฮ หน้า 504
................................................................
บอกหลักฐานมา ส่วนคำของเศาะหาบะฮ เช่นการกระทำของอุมัร หรือ เคาะลิฟะอคนอื่นๆนั้น อย่าเอาอ้างเรื่องบิดอะฮ
หะสะนะฮ เลย ชอย้ำด้วยคำพูดของอิบนิตัยมียะฮอีกครั้ง
"السنة هي ما قام الدليل الشرعي عليه بأنه طاعة لله ورسوله، سواء فعله رسول الله صلى الله عليه وسلم أو فعل على زمانه، أو لم يفعله ولم يفعل على زمانه، لعدم المقتضي حينئذ لفعله أو وجود المانع منه، فما سنّه الخلفاء الراشدون ليس بدعة شرعية ينهى عنها، وإن كان يسمى في اللغة بدعة فكونه ابتدئ
อัสสุนนะฮ คือ สิ่งที่มีหลักฐานทางศาสนบัญญัติ มายืนยัน ว่า มันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ และรซูลของพระองค์ แม้ว่าท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ปฏิบัติในสมัยของท่านหรือไม่ปฏิบัติก็ตาม เนื่องจาก ไม่มีความจำเป็นที่จะปฏิบัติในเวลานั้น หรือ มีอุปสรรคมาขัดขวาง ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ เคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ทำแบบอย่างเอาไว้ มันไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ ที่ต้องห้าม และหากปรากฏว่า มันถูกเรียกในทางด้านภาษาว่า บิดอะฮ มันก็มี(ความหมายว่า) เ ริ่มต้น มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 21 หน้า 317
.................................................
เมื่อคุณกล่าวหาว่าคนอื่น เขาตบตา บิดเบือน ก็ระบุหลักฐานมาให้ชัด ศาสตราจารย์มากมากมายก่ายกอง ก็ระดมหลักฐามมี แล้วทำไม่ต้องพูดแขวะไปแขวะมาอยู่เรื่อยเลย ผมไม่ถือสา และไม่โกรธหรอก เพราะรู้นิสัยดี แต่รำคาญ ครับ
........................
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Feb 27, 2006 1:19 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณมุหัมหมัดว่า
คุณอะสันบอกว่า ทัศนะของอุลามาอ์ยุคก่อนนั้น คือ ความคิดหัวโบราณ ซุบหานัลลอฮ์ !!
..............................................................
ตอบ
ใช้วิธีสกปรกอีกแล้ว คุณมุหัมหมัด คำพูดของผมที่กล่าวกล่าวคือ
และอีกอย่างหนึ่ง อย่าเอาความคิดหัวโบราณที่ว่า อุลามาอยุคกอ่นเท่านั้นที่เก่ง อุลามาอฺยุคหลัง ไม่เก่ง มันล้าสมัยแล้วอย่ามาอ้างเลยนะจ้ะ
................................................
อันใหนที่กล่าวหาว่า อุลามาอ ยุคก่อนหัวโบราณ อ่านให้ดี เข้าใจให้ดี ผมบอกว่า การคิดว่า อุลามาอยุคก่อนเท่านั้นที่เก่ง คุณรุ่นหลังไม่เก่ง ความคิดแบบนี้ เป็นความคิดแบบหัวโบราณ อาจารย์ใหนสอนคุณหรือครับ จึงมีนิสัย แบบนี้ ไม่ใช่อะไรหรอกผมเสียเวลา มาโต้ตอบแบบนี้ มันได้อะไรขึ้นมาชวยตอบหน่อย ทำให้คนเขาเกลียดผมใช่ไหม เปล่าเลย คุณคิดว่า พวกวะฮบีย์ที่คุณเรียกจะลดน้อยลงหรือ เปล่าเลย เพิ่มทุกวัน ไม่เชื่อ ลองกลับมาดูที่เมืองไทย ช่วงนี้มีงานการกุศลบ่อย ลองมาดูซิครับ ผมเริ่มหงุดรำคาญแล้วครับ แต่ ถ้าผมพูดแรงไปก็ไม่ดีนะ ขอฝากน้อง al-farook ก็แล้วกัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Feb 27, 2006 1:45 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เพิ่มเติม
ถ้าผมจำไม่ผิด นอ้งอัล-อัลอัชอะรีย์ ได้เคยอ้างอายะนี้ มาสนับสนุนบิดอะฮ ที่ว่า หะสะนะฮ
: (...وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ إِلاَّ ابْتِغَاء رِضْوَانِ اللَّهِ فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا فَآتَيْنَا الَّذِينَ آمَنُوا مِنْهُمْ أَجْرَهُمْ وَكَثِيرٌ مِّنْهُمْ فَاسِقُونَ (27)) الحديد .
ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ์ แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน กระนั้นก็ดี เราก็ได้ประทานรางวัลของพวกเขาแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขา แต่ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน
..................................
ทั้งที่อายะฮข้างต้น เป็นเรื่องชะรีอัตของนบีก่อนๆ ส่วนปัจจุบัน แม้ว่า ให้เราศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ แต่เราในฐานะอุมมะฮนบีมุหัมหมัด เรามีหน้าที่ปฏิบัติตามชะรีอัตของท่านเท่านั้น ดังหะดิษ
كان النبي يبعث إلى قومه خاصة، وبعثت إلى الناس عامة ) أخرجه البخاري ومسلم.
ปรากฏว่านบี(อื่นๆ)นั้น ถูกส่งมายัง กลุ่มชนของเขาโดยเฉพาะ และ ฉันถูกส่งมา ยังมนุษย์ทั้งหมด บันทึกโดย บุคอรีและมุสลิม
............................................................................................
บังอะสัน อดีตเป็นนักเรียนบ้านนอก พวกน้องๆเรียน มหาลัยระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท ดังนั้น เอาหลักฐานเด็ด หมัดเดียวจอดมาเลย อย่าเอาอารมณ์มาใส่ เวลาสนทนา ขอร้อง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|