ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Jan 26, 2006 9:57 am ชื่อกระทู้: การแบ่ง |
|
|
คุณอาดีงกล่าวว่า
คุณมูฮัมหมัด คุณอัล-อัซฮารี คุณซุกรี คุณคนอยากรู้ และ......
ตามอ่านมานานแล้วได้ทราบตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณคือ
อะกีดะฮ์ พวกคุณยึดแนวอาชาอิเราะฮ์
ตะเซาวุฟ พวกคุณยึดแนวมาตุรีดียะฮ์
เฉพาะฟิกฮ์ พวกคุณยึดแนวซาฟีอี
อันที่จริงพวกคุณก็คือลูกผสม หรือพวกค๊อกเทล นั่นแหละ แต่ว่าผสมกันแล้วยังไม่ได้ตั้งชื่อเฉพาะเลยด้วยซ้ำไป ไหนลองบอกหน่อยซิว่า ชื่อจัดตั้งลูกผสม 3 แนวทางที่พวกคุณยึดอยู่นี้จะเรียกว่า มัซฮับอะไรดี
หรือครับลูกผสม เลยหรือครับ อันนี้ผมว่าพวกคุณเล่นนตั้งกันเองนะครับ อิอิอิ..
ผมเคยแนะนำคุณหลายครั้งแล้วนะว่า ให้คุณนั้นกลับไปอ่านและทบทวน อากัดะของท่านอีหม่ามชาฟีอี ที่คุณอัชอารี นำมาเสนอนะครับ...ในกระทู้เรื่องมัสหับสาลาฟียะฯก็มีนะครับ แล้วคุณจะได้ตาสว่างบ้าง
คุณอาดีลว่า
คุณซุกกรีพูดว่า บังหะสันครับ บังนั้นอัธยาศัยดีมากครับ แต่เสียดายมีตะอัชซุบแรงเกินไป เลยไม่ได้ อากีดะที่ดีๆ และถูกต้องกลับไปหาอัลลอฮ์(ซบ)....เลิกฐิตินะครับ และพยามเปิดใจให้กว้างและค้นคว้าตำราของมัสหับทั้ง 4 อย่างละเอียดซิครับ แล้วบังจะพบคุณความดีพร้อมทั้งคำตอบที่ถูกต้องอยู่ในนั้นครับ ที่คนอยากรู้กล่าวเสมอว่า เมื่อเริ่มแรกของอากีดะหรือเอียะติกอดผิดแล้ว อะไรๆที่ตามมาทีหลังก็ผิดพลาดหมดครับ...
หรือคุณอ่าดีลว่าไม่จริง ที่ว่า เรื่องอากีดะนี้สำคัญกว่าเรื่องใดๆตอบหน่อยเดะ
ต้องบอกว่า "เสียดายที่อิม่ามซาฟีอีไม่ได้อากีดะที่ดีๆและถูกต้องกลับไปหาอัลลอฮ์" เพราะอิมามซาฟีอี ไม่เชื่อในอะกีดะอาซาอิเราะฮ์เหมือนพวกคุณ เนื่องด้วยพวกคุณตามอิมามซาฟีอีเฉพาะในเรื่องฟิกฮ์เท่านั้น
และสิ่งที่พวกคุณทำอยู่ก็คือ พยายามดีสเครดิตอุลาอ์อวุโสท่านอื่นๆ เพื่อเสนออะกีดะฮ์แนวอะชาอิเราะฮ์ ที่พวกคุณเชื่อว่าถูกต้อง แต่พวกคุณก็ลืมไปว่า คุณกำลังดูแคลนอิมามซาฟีอีด้วย หรือพวกคุณว่าอิมามซาฟีมีอากีดะฮ์อะซาอิเราะฮ์เหมือนกัน ชี้แจงหน่อย
3 ทางจะตั้งชื่อเฉพาะว่า มัซฮับ อะไรดี และอย่าลืมตอบด้วยว่า อิมามซาฟีอีมีอะกีดะฮ์อย่างไง
ตอบ คุณอาดีล คุณเลิกฐิจิตัวเองด้วยครับ คุณอัชอารีนำเสนออากีดะ ของท่านอีหมามชาฟอี อย่างชัดเจนแล้ว คับ กลับไปอ่านดูก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่นะท่าน
-------------------------------------------------------------------------------- |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Thu Jan 26, 2006 10:20 am ชื่อกระทู้: การแบ่ง |
|
|
บังฮะซัน
ผมละปวดเศียรเวียนเกล้ากับคำพูดของบังและสหายมากเดลยครับ
บังชอบอ้างว่า บังนั้นอย่ในหลักการกีตาบุลลอฮ์และซุนนะนบีที่ถูกต้อง ฝ่ายเดียวเท่านั้น
บังและสหายจึงอ้างอิง ว่าหลักฐานของบังนั้นถูกต้องสุดยอด แต่ผมว่าบังและสหายนั้นตรงกันข้ามนะครับ
บังนั้นมีแต่ความสุดโต่ง และแข็งกระด้าง ทั้งที่รู้ว่าข้างหน้านั้นมีต้นไม้ขวางอยู่แต่ด้วยความทิฐิ
ตามผู้นำคืออิบุตัยมียะเลยไม่ยอมตีความหรือให้ความหมายที่ทำให้มันเกิอดความชัดเจนกับผู้ที่เขามีความรู้น้อยบ้าง โดยคิดว่า เมื่อท่านอิบนุตัยมียะมีแบบอย่างอย่างไร เราก็ต้องตักลีดตามอย่างนั้นเสมอไป
ในแนวทางอีหม่ามชาฟีอี นั้นบางครั้ง บรรดาผู้เจริญรอยตามเช่น อีหม่มาฆอซาลีย์ ยังมีความเห็นแตกต่างกับท่านอิห่ามชาฟีอีเลยครับ เขาไม่ได้อะอัชซุบเช่นบัง
ผมก็ถามกลับบังว่า ทุกวันนี้ อีหม่าม ฮะนาฟี อีหม่ามมาลีกีฮีหม่ามชาฟีอี ฮีหมาม ฮัมบาลี และตำรับตำราต่างๆไม่ได้ดึงมาจากอัลกรุอ่านและซุนนะนบีหรอกหรือครับ
ส่วนบังและสหายจะตั้งชื่ออะไร ลูกผสสม คอกเท็จหรือ สมเสร็จ หรือผสมไม่เสร็จ ก็แล้วแต่เรื่อง
ของบังและสหาย ไอ้นี้ ผมทำใจครับเพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในวงล้อมของใคร
แต่ถึงยังไง อากีดะของอิบนุตัยมียะที่คุณตามนั้น ผิดพลาดมากเลยครับ บังฮะสัน
จึงไม่ผิดที่คุณอัชอารี ว่า สาลฟียะแท้จริงคือมัสหับของ มุฮำมัดอิบนุ อับดุลวะฮาบ นั้นเอง
มันเลยแตกต่างกับคนสลัฟในยุคอดีตโดยสิ้นเชิง ครับพี่น้องทั้งหลาย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
adeel มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 172
|
ตอบ: Thu Jan 26, 2006 12:47 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
Konyakroo (คนอยากรู้) ไม่ได้ตอบอะไรที่เป็นสาระเลย ไม่มีแก่นสารอะไรเลย น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง เขียนมาทำไม เปลืองเนื้อที่ป่าวๆ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Jan 26, 2006 2:34 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ข้อความของคุณ Konyakroo
Thu Jan 26, 2006 1:20 pm
บังนั้นมีแต่ความสุดโต่ง และแข็งกระด้าง ทั้งที่รู้ว่าข้างหน้านั้นมีต้นไม้ขวางอยู่แต่ด้วยความทิฐิ
ตามผู้นำคืออิบุตัยมียะเลยไม่ยอมตีความหรือให้ความหมายที่ทำให้มันเกิอดความชัดเจนกับผู้ที่เขามีความรู้น้อยบ้าง โดยคิดว่า เมื่อท่านอิบนุตัยมียะมีแบบอย่างอย่างไร เราก็ต้องตักลีดตามอย่างนั้นเสมอไป
..............................
ตอบ
ฮิ ฮิ น้องบ่าวเราตอบ แบบ innocent จริงๆ น้องครับ... คนในสมัยของท่านนบี ศอลฯ ที่มีความรู้น้อยก็มีนะครับ เพราะในสังคมยุคนั้น คนประเภทอุมมียูน มีมาก แล้วทำไมท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ ซึ่งมีหน้าที่ อรรถาธิบายอัลกุรอ่านโดยตำแหน่ง โดยตรง ดังที่อัลลอฮ(ซ.บ)ตรัสว่า
وَأَنزَلْنَا إِلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيْهِمْ وَلَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ
และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง (ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขาและเพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง
.....................
แล้วน้อง คนอยากรู้ลองไปทบทวนคุณลักษณะ(สิฟาต)ของบรรดารซูล ที่เคยเรียนในโรงเรียนตาดิกาดู ว่ามีกี่ประการและอะไรบ้าง
ดังนั้น โองการที่ว่า الرحمن على العرش استوى หากกลัวว่า คนจะเข้าใจผิดว่า อัลลอฮประทับหรือ สถิต เหมือนมัคลูค ทำไมท่านนบี ศอลฯ จึง ไม่ตีความให้พวกเหล่ามุสลิมความรู้น้อยในยุคนั้นว่า นี่ไม่ได้เป็นความหมายจริงนะครับ ความหมายที่แท้จริงคือ ทรงมีอำนาจการปกครอง .............แล้วใหนล่ะครับ การตีความ(التأويل )ของท่านนบี ศอลฯ พวกคุณยังไร้อย่างอายโดย กล่าวอ้างว่า อิหม่ามทั้งสี่มีอะกีดะฮ แบบมัซฮับอัชอะรียะฮ บังอยากจะให้น้องลองเอาคำพูดของท่านอิหม่ามชาฟิอี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)มาซิว่า อิหมามชาฟิอีตีความคำว่า
الرحمن على العرش استوى ว่า อำนาจการปกครอง เพื่อให้เข้ากับปัญญาตามพวกมุตะกัลป์ลิมูนหรือเปล่า แต่..ที่ผ่านมาพวกคุณตอบแบบ double standard หรือ สองมาตรฐาน แบบคนไม่มีจุดยืน คือ บอกว่า ต้องตีความ ป้องกันการเข้าใจผิด อีกมาตรฐานหนึ่ง บอกว่า ปล่อยมันไปอย่าไปแปลมัน
มาชาอัลลอฮ น้องบ่าวที่รัก อาบังเศร้าใจจริง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Fri Jan 27, 2006 9:53 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอาดีลกล่าวว่า
Konyakroo (คนอยากรู้) ไม่ได้ตอบอะไรที่เป็นสาระเลย ไม่มีแก่นสารอะไรเลย น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง เขียนมาทำไม เปลืองเนื้อที่ป่าวๆ
ตอบ คุณอาดีล..ครับกรุณาอย่าเอาการ..มีทัศนคติ.ในด้านลบ ที่คุณฝังใจมาตัดสินความรู้ในการที่คุณใฝ่หาความจริงซิครับ ผมบอกแล้วไงว่า..ให้คุณกลับไปอ่าน กระทู้ มัสหับสาลาฟียะฯ ที่คุณอัชอารีนักศึกษาจากไคโร นำเสนอไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว และคุณจะได้คำตอบว่าท่านอีหม่าม ทั้ง4 คืออีหม่าม ฮะนาฟี อีหม่ามชาฟีอี อีหม่าม มาลีก อีหม่าม ฮัมบาลีย์มีอากีดะแบบไหน เหมือนหรือแตกต่างอย่างไรอากีดะของอีหม่ามอิบนุตัยมียะที่คุณตักลีดตาม....ไปเบิ่งตาสักทีเถอะครับแล้วค่อยกลับมาโวยวายหรือวิจารณ์ เพราะสิ่งที่นักศึกษานำเสนอมานั้น มีประโยชน์และน้ำหนักมากกว่า คนอื่นๆที่ไม่ได้ศึกษานะครับ ..จริงๆแล้วผมก็แนะนำคุณหลายครั้งแล้วด้วย แต่คุณมันไม่ยอมเปิดใจรับข้อมูลข่าวสารของทัษศนะอื่นบ้างเอาแต่โวยวาย แล้วคุณจะไม่ได้ที่ชื่อว่าเป็นคนประเภท*** ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด....***ได้อย่างไรละครับ**ฮาๆๆ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Fri Jan 27, 2006 10:49 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมคิดว่าคุณ คนอยากรู้ไม่ได้อ่านอะไรที่เราเขียนไปหรอกครับ เพราะเห็นๆ อยู่ว่าเขาก๊อปเอาคำเสวนาของเราไป และเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังเสวนากันอยู่เลย จะมาเสวนาเชิงวิชาการทั้งทีก็ควรที่จะไปศึกษาหน่อยนะครับ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ความรู้ตามร้านขายน้ำชามาระบายนะครับ
เสียเวลาคนอื่นเค้า
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Fri Jan 27, 2006 11:14 am ชื่อกระทู้: |
|
|
บังฮะซันรูปหล่อครับ และอารมณ์ดีครับ
ด้วยความนับถือนะครับ ผมอ้างถึงคำพูด ที่คุณฟาอิสกล่าวอ้างและเข้าใจว่า ***เรื่องความแตกแยกในศาสนา จริงๆแล้วมันก็มีมานานตั้งแต่ในสมัยของซอฮาบัต สาเหตุก็คือจากผู้ที่เบียงเบน [/U]** ข้อความนี้ผมว่าไมเหมาะสมที่จะใช้กับบรรดาผู้ที่ได้ชื่อว่าซอฮาบะของท่านนบี เพราะอาจจะทำให้ผู้อ่านบ้างท่านที่มีความรู้น้อยหรือผู้ที่มีอคติกับบรรดาซอฮาบะของท่านนบี เข้าใจผิดได้ว่า
***สาเหตุของเรื่องความแตกแยกในศาสนา จริงๆแล้วมันก็มีมานานตั้งแต่ในสมัยของซอฮาบัต สาเหตุก็คือจาก[U]ผู้ที่เบียงเบน [/Uมาจากบรรดาซอฮาบะ ของท่านนบีนั้นเอง ..ผมว่าบังฮะซันและสหายต้องกลับไปอ่านนิยามหรือความหมายคำว่า ซอฮาบะใหม่อีกครั้งนะคับข้อร้องนะ
ไม่เช่นนั้นผมถือว่าพวกคุณ ร่วมกันดูถูก ซฮฮาบะของอัลลฮฮ์(ซบ)ที่มอบให้ท่านนบี และยืนเคียงข้างกับท่านนบี ตลอดมา
ทางออกที่ดีผมขอร้องให้คุณถอนคำพูดที่กล่าวหา ว่าซอฮาบะ หรือบางคนในบรรดาซอฮาบะ ที่เป็นทำให้ศาสนาของอัลลออ์แตกแยกและเบี่ยงเบน
บังฮะซัน
ข้อความของคุณ Konyakroo
Thu Jan 26, 2006 1:20 pm
บังนั้นมีแต่ความสุดโต่ง และแข็งกระด้าง ทั้งที่รู้ว่าข้างหน้านั้นมีต้นไม้ขวางอยู่แต่บังก็ไม่พิจราณาด้วยความทิฐิ และยึดตามผู้นำคืออิบุตัยมียะเลยไม่ยอมตีความหรือให้ความหมายที่ทำให้มันเกิดความชัดเจนกับผู้ที่เขามีความรู้น้อยบ้าง โดยคิดว่า เมื่อท่านอิบนุตัยมียะมีแบบอย่างอย่างไร
เราก็ต้องตักลีดตามอย่างนั้นเสมอไป
..............................
ตอบ
ฮิ ฮิ น้องบ่าวเราตอบ แบบ innocent จริงๆ น้องครับ... คนในสมัยของท่านนบี ศอลฯ ที่มีความรู้น้อยก็มีนะครับ เพราะในสังคมยุคนั้น คนประเภทอุมมียูน มีมาก แล้วทำไมท่านนบีมุหัมหมัด ศอลฯ ซึ่งมีหน้าที่ อรรถาธิบายอัลกุรอ่านโดยตำแหน่ง โดยตรง ดังที่อัลลอฮ(ซ.บ)ตรัสว่า
وَأَنزَلْنَا إِلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيْهِمْ وَلَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ
และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง (ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขาและเพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง
บังฮะซันคนประเภทอุมมียูน มีมาก แต่คนประเภทนี้ ก็ไม่ได้ถูกเรียกว่า [U]ซอฮาบะนี่ครับบัง
แต่สาเหตุของการเบี่ยงเบนคุณฟาอิสกลาว่า มาจาก ซอฮาบะ ตรงนี้ที่ผมถือวาสไม่สมควรพูดแบบนี้ต่อหน้าสาธารณชน นะครับ
.....................
บังยกอายะนี้มาว่า
ดังนั้น โองการที่ว่า الرحمن على العرش استوى หากกลัวว่า คนจะเข้าใจผิดว่า อัลลอฮประทับหรือ สถิต เหมือนมัคลูค ทำไมท่านนบี ศอลฯ จึง ไม่ตีความให้พวกเหล่ามุสลิมความรู้น้อยในยุคนั้นว่า นี่ไม่ได้เป็นความหมายจริงนะครับ ความหมายที่แท้จริงคือ ทรงมีอำนาจการปกครอง .............
คุณบังฮะซัน ที่เคารพครับ
จุจุบังฯ..เอาละนะเราย้อนกลับไปสมัยท่านนบี กันนะ และเรามาใช้สติปัญญาคิดไปพร้อมกันโดยตัดทัศนะคติที่ไม่ดีออกไป.. ผมกับบังก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการร์เสียด้วยซิเอาเป็นว่าเราก็ได้รับการชบอกล่าวมาทั้งคู่นะค์คืองี้นะบัง.สมัยท่านนบี เผยแพร่ศาสนานั้น ตอนนั้นบังก็ยอมรับไม่ใช่หรือว่า มีทั้งคนคัดค้านและไม่เห็นด้วย..แต่ตอนนั้นศาสนาที่ท่านนบีเผยแพร่นั้นมีแต่ชนญาฮาลียะเป็นส่วนมาก ท่านนบีใช้เวลา 22ปีกับเดือน หรือประมาณ 23ปี และตอนตั้น ศาสนา อิสลามก็ยังไม่สมบูรณ์ทีไม่ใช่หรือครับ...
หลังจากการจากไปของท่านนบี อิสลามก็ยังสมบูรณ์อยู่นะครับโดยเฉพาะเรื่องเตาฮีดยังคงหนักแน่น จนมาถึงตาบีอี ตาบีอิตาบีอีน
และมายุคของอุลามะอันเรืองปราชย์ หรืออีหม่ามทั้ง 4 อากีดะหรือการยึดมั่น ต่อเอกภาพของอัลลออ์(ซบ)ยังคงเหมือนเดิมแต่อดีต
แต่ประมาณ เกือบ1000ปี ให้หลัง ก็ได้มี คนกล้าคนหนึ่ง ที่มีนามว่า ท่านอิบนุตัยมียะ นี้แหละ
ที่กล้าฟัตวาและกล้าตัดสินลักษณะความเป็นอยู่ของอัลลออ์ว่าพระองค์นั้น ต้องมีบัลลังก์ประทับหรือต้องสถิตย์บนนั้น ตลอด และนั่งไขว้เท้าลงมา และมีการเดินขึ้นหรือลงพร้อมมี 5 นิ้วและชี้ได้ ...ลาเฮาลาฯ และยังตัดสินฮูกมและ ปัญหาต่างๆด้วยตัวเอง แม้กระทั่ง การคิดริเริ่มอกีดะของตนเอง ที่ผิดจากสลัฟยุคก่อนที่เขาไม่มี...
ข้อคิดคนสมัยท่านนบี หลังจากอิสลามสทมบุรณ์แล้ว อิสลามมีแต่ความสะอาดไม่มีสิ่งแวดล้อมที่คอยให้เกิดความคิดแตกแยกเรื่องเตาฮีด เพราะคนสมัยนั้นได้อิสลาม มาแบบบริสุทธิ์และมีท่านนบี อยู่ด้วย แม้ว่ายุคหลังก็ยังคงมีซอฮาบะ และอุลามะที่ประเสริฐดีกว่ายุคหลังมากๆ
มาดูเมืองไทยเรานะบัง เราอยู่ในเมืองไทย มีคนนับถือศาสนาหลากหลาย มีคนนับถืออิสลามประมาณ10% ใน10%นั้น มีผู้ที่ได้เครื่องหมายว่านับถือ ศาสนาอิสลามประมาณ 5% แต่คนที่ได้ชื่อว่า คนมุอมีนละมีสักกี% และผู้ที่เป็นมุสลิมจริงๆละมีเหลือสักเท่าไรและผู้ที่มีความรู้ศาสนาจริงประมาณสักเท่าไร และผู้ที่ร้ปานกลางละเท่าไร และผู้ที่ใช้ชื่อว่านับถืออิสลามนี้แหละมีกี% และคนต่างศาสนิกล่ะกี% คำถามข้างบนนี้ ของผมนี้อยากจะให้บังได้ชุกคิบ้างว่า
เป็นการสมควรหรือไม่กับระดับความเข้าใจและผู้คนที่หลากหลายแบบเมืองไทยนั้นเราจะเอา ความสุดโต่ง และข้อความตรงๆโดยไม่ตะวิ้ลหรือผินคำเพื่อให้มันสมบูรณ์ในการให้ความหมายในเรื่องการยึดเชื่อมั่นในการป็นอยู่ต่อพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก ให้คนที่ไม่มีความรู้หรือคนต่างศานิกที่ไม่เข้าใจในคุณลักษณะของอัลลอฮ์(ซบ)เลย เพื่อที่เขาจะได้ยอมรับในความสามารถและอำนาจปรีชาญาณของพระองค์..ว่าแท้จริงพระองค์นั้น..(ลัยซ่าก้ามิสลีฮี ซัยอุน)อัลลออ์นั้นไม่เหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใด..ทีมาของอัลมูคอลาฟาตูฮุลิ้ลฮาวาดิส
ดังนั้นคนปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะเมืองที่มีแต่การบูชาเจว็ด มาตลอดสมควรหรือไม่ ในการให้ความหมายที่ไม่เขาเข้าใจว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นก็คล้ายๆของเขา บังก็รู้ไม่ใช้หรือว่าทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะการให้ความหมายที่ตรงๆและตึงๆนี่แหละคือต้นเหตุให้คนต่างศาสนิกเขียนบทความและหนังสือบ้าง และโจมตีเรามาตลอด ไม่ว่าการเข้าใจนั้นได้ศึกษามาจากสื่อใดๆหรือการนำเสนอบางอย่างมันส่อเจตนาให้เขาเข้าใจคุณลักษณะของอัลลออ์(ซบ)แบบผิดๆ...และนี่คือความฉลาดของอุลามะอาชาอิเราะที่อัลลออ์ประทานให้ ท่านอบูอาซันอัลอัชรีย์ ที่เคยผิดพลาดเรื่องอากีดะแบบมัวะตะซีละมาก่อน
บังครับพอจะเข้าใจหรือยังครับว่า และมองถึงข้อดี ของการให้ความหมายตรงที่ว่า หลังจากนั้นพระองค์ทรงนั่งทรงประทับทรงสถิตย์ บนอารัชบนบังลังก์แบบมนุษย์นะ เลิกสุดโต่งเสียที่เถอะบัง
เพือศาสนาของบังและผมจะได้ดูเด่นมากยิ่งขึ้น
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Fri Jan 27, 2006 11:23 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณฟาอิส ครับ
แล้วคุณละครับให้อะไรผมบ้างไหมละคุณก็ดีแต่ตามหลังบังฮะซันอยู่ตลอด
เรื่องการหักล้างคำพูดที่ทำให้เข้าใจผิดิ มันถือเว่าจำเป็นครับ เพราะเราคุยอยู่หน้าสาธรณะชนนะครับ
สิ่งใดที่คุณเข้าใจผิดในทัศนะที่ผมตาม จำเป็อย่างยิงยวดที่ผมต้องชี้แจงให้คนอื่นๆได้เคีลยร์ครับ
หวังว่า คงไม่รบกวนนะครับ
แต่ถ้าคุณเลิกใส้ร้ายหรือว่าผู้ที่อยู่ต่างทัศนะคุณว่า ไร้สาระ และเสียเวลา คุณๆก็เลิกพฤติกรรม
ที่ไม่ดีเสียซิครับ ผมก็ได้จะเลิกเข้าคุยมาชี้แจง ตามล้าตามเช็ดคุณอยู่ด้วย โอเคนะ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Fri Jan 27, 2006 11:33 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ KONYAKRUUUU ครับ ผมขอถามคุณว่า กลุ่ม คอวาริจ เกิดขึ้นในสมัยใหนครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
fais มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2005 ตอบ: 84
|
ตอบ: Fri Jan 27, 2006 12:02 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณKONYAROถามมาว่า
ตอบขอให้คุณช่วยยกตัวอย่างหรือนำเสนอ การดาวะห์ของมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ด้วยครับ จะขอบคุณ
แล้วยังเชื่อคนที่กล่าวหาท่าน. คำว่า วาฮาบี คำนี้มาจาก ยาฮูดี ซึ่งเป็นศัพท์ทางการเมืองเพื่อที่จะให้สังคมมุสลิมแตกแยกและละทิ้งซุนนะห์ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่พวกเขาและคุณก็เอามากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการสนทนา เราเข้ามาสนทนากันในนี้เพื่อที่จะแสวงหาทางนำทางที่จะนำเราไปวันอาคีเราะห์ที่ปลอดภัยไม่ใช่เพื่อเอาชนะหรือความสะใจกันนะครับ
....................................
ขออนุญาติทุกๆคนเพื่อที่จะนำเสนอซ้ำอีกครั้งนะครับ
เอาเป็นว่าพอสังเคปก็แล้วกันเพือคุณจะได้เข้าใจ ขบวนการ วาฮาบี ได้ดีขึ้น
กลุ่มแรกที่แตกออกจากแนวทางอิสลามดั้งเดิมคือ เคาะวาริจย์ และชีอะห์ ฮิจเราะศักราชที่ 37
ในช่วงศตวรรษที่สองแห่ง ฮ.ศ .มีกลุ่มที่แตกออกจากพวก เคาะวาริจย์สายอาบาดียะห์ได้กำเนิดขึ้น ในแถบอัฟรีกาเหนือ ภายใต้การนำของ อับดุลวาฮาบ อิบนุอับดุลเราะห์มาน อิบนุรุสตุม เรียกว่าอาณาจักร รุสตุม เสียชีวิต ฮ.ศ 190 บรรดาผู้รู้สาย สุนนีย์มีวินิฉัยว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มนอกรีต และนี้คือวาฮาบีตัวจริง ส่วนการกล่าวหา ว่า มูหัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบนั้นว่าเป็นวาฮาบี นอกรีตนั้นมักจะกล่าวจากหนังสือของ อัลมิอยา อัลมะอริบ ฟี ฟะตาวี อะลีอัลมัฆริบ ที่กล่าวถึ่ง วาฮาบีอิบนุรุสตุม มูหัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ปี ฮ.ศ.1115-1206 เกิดที่เมือง อัล-อูยัยนะห์ ไกล้รียาด ตั่งแต่เยาว์วัย มูหัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ ท่านสามารถท่องจำอัลกุรอ่านได้ทั้งหมดตั้งแต่อายุยังไม่ถึ่ง 10 ขวบ ท่านได้เรียนกับบิดาของท่านโดยได้ศึกษาหนังสืออิสลามต่างๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย และได้ไปศึกษาต่อที่ มาดีนะห์ เมื่ออายุได้ 20 ปี ได้เป็นศิษย์ของ มุหัมมัด หะยาต อัสสินดีย์( นักปราชญ์ด้าน ฮะดิษ)
เอาละผมจะไม่เล่าถึ่งเรื่องของการเผยแพร่ของท่านเกี่ยวกับการการฟื้นฟูอิสลาม ,ความช่วยเหลือของ
มูหมัด อิบนุ สุอูด จนได้เป็นต้นตระกูลของราชวงค์ สาอุดี
พวกที่กล่าวหา มูหัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ ว่าเป็น วาฮาบี(ในทางที่ไม่ดี)นั้น จะมีอยู่ 2 พวก
1.พวกซูฟี,พวกมูตากัลลีมีน พวกที่เขารพสุสานและสถูปศักดิ์สิทธ์ ฯลฯ พวกที่ได้รับผลประโยชน์จากการมอมเมาผู้คน ด้วยพิธีกรรมทางไสย์ศาตร์ และชีอะะห์บางพวก เพราะท่านมูหัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ เรีอกร้องให้พวกเขา
ละทิ้งพฤติกรรมเหล่านี้ อีกทั้งยังได้ทำลายสถานที่เขารพบูชาของพวกเหล่านี้
2.บรรดาคู่ปรับทางการเมืองของราชวงค์ สาอุดี ซึ่งมีพวกเตริก อียิปต์ รวมถึ่งประเทศนักล่าอาณานิคมของยุโรปตะวันตก ซึ่งอาศัย วาฮาบีเพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างพวกอาหรับด้วยกัน "แยกแล้วปกครอง" วาฮาบีจึงเป็นศัพย์ทางการเมือง ไม่เป็นการอยุติธรรม ที่จะอ้างว่า มูหัมมัด อิบนุ อับดุล วาฮาบ โดยไม่ได้ศึกษาแนวคำสอนของท่าน
สาระที่เด่นชัดในเนื้อหาของการเผ่ยแพร่ของท่านคือ
เน้นการเรียกร้องสู่เตาฮีด,ต่อต้านการอธิบายทางศาสนาด้วยเหตุผลทางตรรกวิทยา,เรียกร้องให้ยึดอัลกุรอ่านและซุนนะห์เป็นหลัก ยึดการอธิบายอัลกุรอานและฮะดิษตามวิธีการชาวสะลัฟศอลิห์เป็นหลัก,แนวนิติศาตร์ตามมัซฮับฮัมบาลี ต่อต้านและปฎิเสธอุตริกรรมและความเชื่องมงายและเรียกร้องให้มุสลิมคืนสู่ความเข้าใจดั้งเดิมตามแบบบรรพชนมุสลิมรุ่นแรก
โปรดอ่าน ผลการศึกษาของนักวิชาการ ใน ญะซีเราะฮ อัลอารับ ฟี อัล-กอรนิ อัลอัชรีน. ไคโร.1987(หน้า 322-323)
อะษัรอัล ดะวะห์อัลวาฮาบี ฟี อัล-อิศละห อัล-ดีนี วา อัล-อิมรอนี ฟี ญะซีเราะ อัล-อารับ(ความเห็นนักวิชาการ มว.อัล อัซฮัร)
อะฎอ(หน้า 129-132 เป็นความเห็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของ อียิปต์)
ฎอฮา อัล-มุเดาว์วัร ไดระบุในหนังสือ "อัล-ดิยานาต วะ อัล-ฮฎอเราะฮ" ถึ่งจุดยืนของ บรรดา อูลามะห์ของ มว.อัล-อัซฮัร
ในปี ค.ศ.1815 ว่าพวกเขาไม่พบเจอความแปลกแยกด้านหลักการศาสนาของวะฮาบีเป็นอย่างใด ถ้าหากว่าแนวทาง
ของวาฮาบีย์เป็นอย่างที่เราได้ยินและอ่านมา ดังนั้นพวกเราทุกคนก็เป็นพวก วาฮาบีเช่นเดียวกัน. แค่นี้คงพอมังครับ
ส่วนในประเทศไทยเริ่มเปิดตัวใน ศตวรรษที่ 20 โดยผ่านนัเผยแพร่ชาวอินโดนีเซีย ที่ กทมฯลฯ
และแพร่สูเมืองปัตตานี ในกลาง ศตวรรษ ที่ 20 โดยผ่านหนังสือ อากีดะห์สาย สะลัฟเล่มแรกมีชือว่า ปรีสัย
ของเชคอับดุลกอเดร์ เป็นผู้อวุโสสอนในมัสยิด หะรอม ต่อมา ปี ค.ศ.1970 หนังสือกีตาบ อัต-เตาฮีด โดยมูหัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ
ได้ถูกตีพิมพ์ โดยโต๊ะครูผู้ก่อตั้งปอเนาะพอมิง และถูนำมาสอนในวิชาเตาฮีด ในระดับซานาวี และต่อมาได้
ถูกถอดคำแปลเป็นภาษามลายู เช่นใช้ชื่อว่า อัล-อูศูล อัล-ษะลาษะฮ วะ อะดิลละตุฮาและหนังสือ กัฟฟู-อัช-ชุบูฮาต เป็นตั้น
ทั้งหมดที่ได้เล่ามานี้มีหลักฐานด้วยครับ ถ้าอยากรู้มากว่านี้ในเมืองไทยมีหนังสือเกี่ยวกับขบวนการนี้อย่างละเอียด
ชื่อว่า "ขบวนการ วะฮาบีย์ นิยามและความหมาย"ของสำนักพิมพ์ อิสลามิค อะเคเดมี ครับ
ขอตอบแค่นี้ก่อนนะครับ
ผมคิดว่าคุณKONYAKRO จะขยายความรู้เพิ่มเติมเองได้นะครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri Jan 27, 2006 5:02 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้องบ่าว konyakroo กล่าวว่า
บังฮะซันคนประเภทอุมมียูน มีมาก แต่คนประเภทนี้ ก็ไม่ได้ถูกเรียกว่า [U]ซอฮาบะนี่ครับบัง
....................................
ตอบ
ฮิ ฮิ มีให้เฮ เรื่อยเลยน้องบ่าวเรา น้องบ่าวเอ๋ย.. การเผยแผ่สมัยนั้น ไม่เฉพาะกับคนมุสลิมเท่านนั้น นะครับ และอีกอย่าง
บรรดาเศาะหาบะฮ ทั้งหมด ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาอ่านออก เขียนได้ทุกคน แม้แต่ท่านนบี ศอลฯเองก็อ่านหนังสือไม่ออกและเขียน ไม่เป็น แต่ความรู้ของท่านได้มาจากวะหยูของอัลลอฮ นี่ถามจริงๆเถอะ น้องบ่าวสุดหล๋อ(ลากดิน) เข้าใจความหมายคำว่า เศาะหาบะฮ หรือเปล่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บังอะสันจะบอกให้คือ อิหม่ามนะวาวีย์ ได้ให้คำนิยามไว้ว่า
: (فأمّا الصحابي فكل مسلم رأى رسول الله (صلى الله عليه وآله) ولو للحظة، هذا هو الصحيح في حدّه، وهو مذهب ابن حنبل وأبي عبد الله البخاري في صحيحه والمحدّثين كافة
สำหรับคำว่า เศาะหาบีย์นั้นคือ มุสลิมทุกคนที่ได้พบเห็นท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ แม้เพียงขยิบตาครั้งเดียวก็ตาม นี้คือ ที่ถูกต้องในคำจำกัดความของมัน และมันเป็นทัศนะของ อิบนุหัมบัล และอบูอับดุลลอฮ อัล-บุคอรี ในเศาะเหียะของท่าน ตลอดจนบรรดานักหะดิษทั้งหมด - ดู
- صحيح مسلم، بشرح النووي: ج 1 ص 35
อัลฮาฟิซ อบูซะรออะฮ อัร-รอซีย กล่าวว่า
: (توفي النبي (صلى الله عليه وآله) ومن رآه وسمع منه زيادة على مئة ألف إنسان من رجل وامرأة وهذا لا تحديد فيه...).
ท่านนบี ศอลฯ ได้สิ้นชีวิต โดยที่มีผู้เห็นและได้ยินจากท่าน มีจำนวนเพิ่มขึ้น ถึง หนึ่งแสนคน จากผู้ชายและผู้หญิง และ ในที่นี้ ยังไม่การจำกัดจำนวนที่แน่นอนตายตัว ในนั้น
وقال: (قبض رسول الله (صلى الله عليه وآله) عن مئة ألف وأربعة عشر ألفاً من الصحابة ممن روى وسمع منه)
และท่านได้กล่าวอีกว่า ท่านรซูลุลลอฮ(ศอลฯ)ได้ถึงแก่ชิวิต โดยทิ้ง(บรรดาเศาะหาบะฮไว้ถึง) หนึ่งแสนคน โดยที่ หนึ่งหมื่นสี่พันคน เป็นเศาะหาบะฮที่ได้รายงานและได้ยิน(หะดิษ)จากท่าน - โปรดดู
تدريب الراوي: السيوطي: ج 2 ص 220 و 221
น้องคนอยากรู้ครับ อายะฮที่ กล่าวว่า الرحمن علي العرش استوى นั้นต่อให้พูดกันจนตาย ก็ไม่จบ เพราะน้องและสหาย ละทิ้งกติกาที่อัลลอฮ(ซ.บ)สอนไว้คือ
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً
[4.59] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และร่อซู้ล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง
ยังมีอายะหลายอายะฮและหะดิษหลายบท ที่มีลักษณะแบบนี้ ยังไม่ได้พูดกันเลย เมื่อคุณไม่เอาตามกติกา มันก็เหมือนพายเรือในอ่าง มันวนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ ครับ ยิ่งน้อง konyakroo คุณมุหัมหมัด และคุณชุกรี ออกมาตอบก็อ้างแต่น้องอัล-อัชฮารีย์ ผมว่า พวกคุณไม่ได้ตามมัซฮับอัชอะรีย์ของจริงหรอก แต่..ตามมัซฮับอัลอัชอารีจูเนี่ย แห่งอัล-อัซฮัร มากกว่า ซึ่งตอนนี้กำลังเตรียมหมัดเด็ด ไว้นอ็คบังอะสันอยู่ คิดดูแล้วก็น่าชมเชยนะที่ขยัน อ่านและศึกษาค้นคว้า ส่วนคุณมุหัมหมัด คุณ konyakroo และ คุณชุกรี ก็ได้หายใจด้วยจมูกของน้องอัลอัซฮารี ไปวันๆ เท่านั้น
..
คุณ konyakroo กล่าวอ้างว่า
แต่ประมาณ เกือบ1000ปี ให้หลัง ก็ได้มี คนกล้าคนหนึ่ง ที่มีนามว่า ท่านอิบนุตัยมียะ นี้แหละ
ที่กล้าฟัตวาและกล้าตัดสินลักษณะความเป็นอยู่ของอัลลออ์ว่าพระองค์นั้น ต้องมีบัลลังก์ประทับหรือต้องสถิตย์บนนั้น ตลอด และนั่งไขว้เท้าลงมา และมีการเดินขึ้นหรือลงพร้อมมี 5 นิ้วและชี้ได้ ...ลาเฮาลาฯ และยังตัดสินฮูกมและ ปัญหาต่างๆด้วยตัวเอง แม้กระทั่ง การคิดริเริ่มอกีดะของตนเอง ที่ผิดจากสลัฟยุคก่อนที่เขาไม่มี...
...................................
ฮิ ฮิ น่าสงสารอีกแล้วน้องบ่าวเรา น้องรู้ไหม หากไม่มีคนกล้า แบบ อิบนุตัยมียะฮ ปานนี้ พวกที่มีอุดมการณ์เดียว กับ น้อง konyakroo ทำศาสนาและคำสอนอันบริสุทธิ์ ให้กลายเป็นลอดช่องสิงค์โปร์รวมมิตร หมดแล้วละครับ เพราะเอาความเห็น เอาเช็คนั้น เช็คนี้ มาหักล้างอัลกุรอ่านและอัสสุนนะตลอด แถม บิดอะฮ ก็เป็นของดีอีก ฮิ ฮิ นี่แหละหนา ที่เรียกว่า มัซฮับตัวสมเสร็จ ส่วนที่น้องว่า อิบนิตัยมียะฮกล้าฟัตวาและกล้าตัดสินลักษณะความเป็นอยู่ของอัลลออ์ว่าพระองค์นั้น ต้องมีบัลลังก์ประทับหรือต้องสถิตย์บนนั้น ตลอด และนั่งไขว้เท้าลงมา คุณให้ร้ายอิบนิตัยมียะฮ หรือเปล่า ใหนลอง เอาข้อความในหนังสืออิบนิตัยมียะฮของแท้ ที่เป็นภาษาอาหรับมานำเสนอหน่อย ว่าตรงกับทุกถ้อยคำที่คุณกล่าวหรือเปล่า
...............................................
อบูหะซัน อัล-อัชอะรี ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านในบั้นปลายชีวิต ชื่อ อัล-อิบานะฮ อะลาอุศูลิดดิยานะ บทที่ 5 ว่าด้วย
ذكر الاستواء على العرش ว่า
إن قال قائل: ما تقولون في الاستواء؟
قيل له: نقول ؛ إن الله عز وجل يستوي على عرشه استواء يليق به من غير طول استقرار، كما قال {الرحمن على العرش استوى}
ถ้ามีผู้กล่าวว่า พวกท่านจะกล่าวว่าอย่างไร ในคำว่า อัลอิสติวาอฺ ? ก็ให้กล่าวแก่เขาว่า เรากล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง ทรงอยู่บนอะรัชของพระองค์ อันเป็นการประทับ ที่เหมาะสมกับพระองค์ โดยไม่ได้สถิตอยู่เป็นเวลายาวนาน ดังที่พระองค์ตรัสว่า พระผู้ทรงเมตตาทรงสถิตอยู่บนบัลลังค์
.........................................
ซึ่งท่านอบูหะซันก็ยอมรับในเรื่องของ การอิสติวาอ ตามความหมายที่ปรากฏ โดยไม่ได้ตีความให้ความหมายเป็นอย่างอื่น
.......................................................
ส่วนที่น้องบอกว่า บังอะสันสุดโต่งนั้น
........................
บังขอตอบว่า
สุดโต่งในการตามสุนนะฮ ดีกว่า สุดโต่งในการคลั่งไคล้บิดอะฮครับ
...................................................................................................
ในท้ายนี้ ใคร่ขอให้น้องบ่าวสุดที่รัก konyakroo กลับไปนอนเการังไข่ แล้วคิดๆๆๆๆ ก่อนจะสายเกินไปนะคร้าบ เมื่อคิดได้แล้ว ก็มารายงานให้บังอะสันทราบ อย่าเที่ยวมาบ่นเรื่อยเปื่อยแบบไร้สาระเลย เดียวตีก้นหรอก แฮะๆๆ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Jan 28, 2006 6:23 am ชื่อกระทู้: |
|
|
وقال ضمرة بن ربيعة عن صدقة سمعت سليمان التيمي يقول لو سئلت أين الله لقلت في السماء فإن قال فأين كان عرشه قبل السماء لقلت على الماء فإن قال فأين كان عرشه قبل الماء لقلت لا أعلم قال أبو عبد الله وذلك لقوله تعالى { ولا يحيطون بشيء من علمه إلا بما شاء } يعني إلا بما بين
และเฏาะมิเราะฮ บุตร เราะบีอะฮ จากเศาะดะเกาะฮ ว่า ข้าพเจ้าได้ยิน สุลัยมาน อัตตัยมี กล่าวว่า "หากมีคนถามท่านว่า "อัลลอฮอยู่ใหน ? แน่นอนข้าพเจ้าตอบว่า อยู่ใน(บน)ฟากฟ้า แล้วถ้าเขาถามว่า อะรัชของพระองค์อยู่ใหน ก่อนที่มีฟากฟ้า แน่นอนข้าพเจ้าตอบว่า "อยู่บนน้ำ แล้วถ้าหากว่าเขากล่าวว่า แล้วอะรัชอยู่ใหน ก่อนมีน้ำ แน่นอนข้าพเจ้าตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่รู้ อบูอับดุลลอฮ(อัลบุคอรี)กล่าวว่า และดังกล่าวนั้นแหละ พระองค์ตรัสว่า
และพวกเขาจะไม่ล้อมสิ่งใด(*6*) จากความรู้ของพระองค์ไว้ได้ นอกจากสิ่งที่พระองค์ประสงค์เท่านั้น(*7*) หมายถึง ด้วยสิ่งที่ทรงอธิบายเท่านั้น - คอ็ลกุ อัฟอาลิลอิบาด: خلق أفعال العباد ของอิหม่ามบุคอรี ***
....................................................
(7) จะรู้ได้เฉพาะสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะให้รู้เท่านั้น
(8) หมายถึงว่าอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในทุกหนทุกแห่งทั้งในฟากฟ้าและพิภพ เพราะเมื่อเก้าอี้ของพระองค์กว้างใหญ่ทั่วชั้นฟ้าและแผ่นดินแล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้นในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะเป็นที่ใดก็ตาม ก็ย่อมอยู่ในความรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น
........................................
***
اسم المؤلف : محمد بن إبراهيم بن إسماعيل
الكنية : أبو عبدالله
اللقب والنسب : البخاري الجعفي
ت. الميلاد : 194 ت. الوفاة : 256
معلومات عن النشرة التي تم العزو إليها :
دار النشر : دار المعارف السعودية
مراجعة : د. عبدالرحمن عميرة
بلد النشر : الرياض
س.النشر : 1978م-1398هـ
عدد الأجزاء : 1
..............................................
ที่ยกมาให้ดูข้างต้น เพื่อให้รู้ว่า ให้เรารู้และกล่าวตามที่อัลลอฮทรงบอกไว้และท่านนบี ศอลฯ ได้บอกไว้เท่านั้น อย่า ล้ำหน้าอัลลอฮ และศาสนทูตของพรองค์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Jan 28, 2006 6:26 am ชื่อกระทู้: |
|
|
แก้ไข
..................................
(7) จะรู้ได้เฉพาะสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะให้รู้เท่านั้น
(8) หมายถึงว่าอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในทุกหนทุกแห่งทั้งในฟากฟ้าและพิภพ เพราะเมื่อเก้าอี้ของพระองค์กว้างใหญ่ทั่วชั้นฟ้าและแผ่นดินแล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้นในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะเป็นที่ใดก็ตาม ก็ย่อมอยู่ในความรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Jan 28, 2006 6:29 am ชื่อกระทู้: |
|
|
แก้ไข
8 .หมายถึงว่าอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในทุกหนทุกแห่งทั้งในฟากฟ้าและพิภพ เพราะเมื่อเก้าอี้ของพระองค์กว้างใหญ่ทั่วชั้นฟ้าและแผ่นดินแล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้นในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะเป็นที่ใดก็ตาม ก็ย่อมอยู่ในความรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น
....................................
คำว่า มาได้ยังไงหว่า |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sat Jan 28, 2006 7:01 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้างอิงจากไออาเอฟ
เมื่อมีคนมาถามอิม่ามมาลิกถึงเรื่องการขึ้นสถิตย์บนบัลลังก์ของอัลลอฮฺว่าขึ้นอย่างไร
อิม่ามมาลิกตอบว่า การขึ้นอยู่นั้นมิอาจล่วงรู้ได้ และวิธีการ(ของการขึ้นอยู่นั้น)ก็มิอาจจินตนาการได้ ขณะที่การอีหม่านต่อมันนั้นเป็นสิ่งวาญิบ ส่วนการถามไถ่ถึงมันนั้นเป็นบิดอะฮฺ และฉันไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสิ่งอื่นใดเลยนอกจากเป็นผู้หลงผิดไปแล้ว
ตอบ
ก่อนอื่น ผมต้องเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า คำกล่าวของอิมามมาลิกนี้ คำที่วะฮาบีย์(โดยเฉพาะบังอะสัน)ชอบนำมาใช้อ้าง แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ระบุอย่างซอเฮีญะหฺเอาไว้จากอิมามมาลิก คือคำกล่าวสำนวนที่ว่า
سئل رجل الأمام مالك قال ياإمام تقول الأيه : الرحمن على العرش أستوى
كيف أستوى ، فرد عليه الإمام مالك قائلا : الأستواء معلوم والكيف مجهول والسؤال عنه بدعه
มีชายคนหนึ่ง ถามอิม่ามมาลิกว่า "โอ้ท่านผู้นำ ท่านกล่าวถึงโองการที่ว่า(ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์) คำว่า" อัลอิสติวาอ์" นั้นเป็นอย่างไร ? ท่านอิหม่ามมาลิกกล่าวตอบว่า " อัลอิสติวาอ์ นั้น เป็นสิ่งที่รู้กัน และรูปแบบนั้น ไม่ทราบ และการถามเกี่ยวกับมันนั้น เป็นบิดอะฮ์"
ดังนั้น คำๆนี้ไม่ได้รับการยืนยันความถูกต้องจากอิมามมาลิก(ร.ฏ.) ท่านผู้อ่านโปรดตระหนักด้วยครับ
เรากลับมาพิจารณาในสิ่งที่ไออาเอฟอ้างอิงมา เขานำเสนอว่า
อิม่ามมาลิกตอบว่า การขึ้นอยู่นั้นมิอาจล่วงรู้ได้ และวิธีการ(ของการขึ้นอยู่นั้น)ก็มิอาจจินตนาการได้ ขณะที่การอีหม่านต่อมันนั้นเป็นสิ่งวาญิบ ส่วนการถามไถ่ถึงมันนั้นเป็นบิดอะฮฺ และฉันไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสิ่งอื่นใดเลยนอกจากเป็นผู้หลงผิดไปแล้ว"
คำกล่าวของอิมามมาลิกตามสำนวนนี้นั้น ซอเฮียะหฺ จากท่านอิมาม มาลิก (ร.ฏ) ครับ โดยท่านอิมาม อัล-บัยฮะกีย์ ได้กล่าวรายงานไว้ ใน หนังสือ อัล-อัสมาอ์ วะ อัศศิฟาต หน้า 379 ท่านอัซซะฮะบีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอุลูว์ จากคำกล่าวของอิมามมาลิก ลำดับที่ 342 อัลบานีย์ได้กล่าวไว้ใน มุคตะซ๊อร อัลอุลู้ว์ หน้า 141 ผมจะยกสำนวนที่อยู่ในหนังสือ ของท่านอัล-บัยฮะกีย์ เพราะมันตรงกับสิ่งที่ ไออาเอฟนำเสนอมา
ท่านอิมาม มาลิกกล่าวว่า
الاستواء غير مجهول ، والكيف غير معقول ، والإيمان به واجب ، والسوأل عنه بدعة ، وما أراك إلا مبتدعا
" อัลอิตวาอ์ นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่รู้ และวิธีการนั้น ไม่ถูกคิดขึ้นมาได้ และการอีมานต่อมันนั้นเป็นสิ่งที่วายิบ ส่วนการถามถึงมันันั้นเป็นบิดอะฮ์ และฉันไม่เห็นว่าเจ้าแต่อย่างใดเลย นอกจากเป็นผู้ที่หลงทาง"
แต่ไออาเอฟเขาแปลว่าคำว่า " الاستواء غير مجهول" ว่า " การขึ้นอยู่นั้นมิอาจล่วงรู้ได้" วะฮาบีย์แปลมาได้อย่างไง? ไม่ทราบว่าเคยเรียนภาษาอาหรับมาหรือเปล่า? เที่ยวบิดเบือนโดยแปลทำเป็นหนังสือ ให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อ่าน แบบนี้ไม่ทำให้คนอื่นหลงทางกันหมดหรือย่างไรครับ ซึ่งถ้าหากแปลว่าจากคำอิมามมาลิกที่ว่า"การขึ้นอยู่นั้นมิอาจล่วงรู้ได้" นั้น ภาษาอาหรับเขาจะอ่านว่า " الاستواء غيرمعلوم " แล้วคำอิมามมาลิกแบบนี้มันเคยมีซะที่ใหนล่ะครับ
งั้นผมขอถามไออาเอฟเป็นกับดักหนูข้อที่อีก คือ" คำว่า""การขึ้นอยู่นั้นมิอาจล่วงรู้ได้" นี้ เป็นคำของอิมามมาลิกหรือไม่? หากไม่ตอบ คุณไออาเอฟก็จะถูกข้อหาบิดเบือนโกหกคำพูดใส่อิมามมาลิกเป็นกระทงต่อไป และคำว่า "การขึ้นอยู่" นั้น หากจะแปลคำพูดของอิมามมาลิกล่ะก็ ให้ใช้คำว่า"อิสติวาอ์" ทับศัพท์เลย เพราะอิมามมาลิกบอกว่า "อิสติวาอ์" ตามที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และตามที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงพรรณาคุณลักษณะกับพระองค์เอง
ท่านผู้อ่านครับ เรามาฟังคำอธิบายคำกล่าวของอิมามมาลิกกันสักนิด อิมามมาลิกกล่าวว่า
الاستواء غير مجهول
"อัลอิตวาอ์ นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่รู้"
คือ "อัลอิสติวาอ์นั้น เป็นสิ่งที่ทราบดีว่ามันได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และเราก็เชื่อว่ามันได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานอย่างนั้นตามที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงพรรณาเอาไว้กับพระองค์เอง" แต่วะฮาบีย์บอกว่าเป็นที่ทราบดีในเชิงภาษา"คือการนั่งสถิต" ทั้งที่คำว่าอัลอิสติวาอ์ในเชิงภาษานั้น มีความหมายเป็นสิบความหมาย ตามที่ท่านอัลกุรตุบีย์ ได้กล่าวอธิบายไว้ในเชิงภาษา แล้วอัลกุรอานอายะฮ์ใด หรือหะดิษที่ซอเฮี๊ยะห์ใดหรือ ที่มาบอกและมาจำกัดว่า อัลอิสติวาอ์ คือการนั่ง!! แบบที่วะฮาบีย์จะเอา แต่วะฮาบีย์จะแอบอ้างว่าอิมามอัล-กุรตุบีย์ บอกว่าเป็นที่ทราบดีกันไปเชิงภาษา แต่ก็ไม่ตรงกับที่วะฮาบีย์ต้องการตามเจตนารมณ์ของท่านอัล-กุรตุบีย์ในเชิงภาษา
والكيف غير معقول
"และวิธีการนั้น ไม่สามารถคิด(จินตนาการ)ได้"
หมายความว่า วิธีการของ อัลอิสติวาอ์ นั้น ไม่สามารถจิตนาการได้ว่าเป็นอย่างไร? และไม่สามารถจิตนาการไปว่า คืออัลเลาะฮ์นั่งอยู่บนอะรัช ใดยสัมผัสหนักอึ้งอยู่บนอะรัช ตามเจตนารมณ์ที่อิมามมาลิกต้องการ
งั้นผมมีคำถามดักหนู คือ ผู้ที่เชื่อและกล่าวว่า อัลเลาะฮ์นั่งสัมผัสหนักอึ้งอยู่บนอะรัชนั้น หุกุ่มว่าอย่างไร?
ดังนั้น เรื่องซิฟาตของอัลเลาะฮ์ที่มีความหมายคลุมเครือ ( المشتبهات)ตามความเข้าใจของมนุษย์นั้น อิมามมาลิก ได้ปฏิเสธและคัดค้านในการนำมาพูดกล่าว
ท่านอัซซะฮะบีย์ได้กล่าวไว้ใน ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ ว่า" อิบนุ อัลกอซิม กล่าวว่า ฉันได้ถามอิมามมาลิก ถึงผู้ที่ได้รายงานหะดิษ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า
إن الله خلق أدم على صورته
และหะดิษที่ว่า
إن الله يكشف عن ساقه
และหะดิษ
وأنه يدخل يده فى جهنم حتى يخرج من أراد
ดังนั้น อิมามมาลิกให้การปฏิเสธดังกล่าวอย่างมากและห้ามให้คนหนึ่งคนทำการเล่ารายงานหะดิษเหล่านั้น จึงกล่าวแก่อิมามมาลิกว่า "ส่วนหนึ่งจากผู้มีความรู้นั้นได้ทำการพูดรายงานมัน" อิมามมาลิกกล่าวว่า "แล้วเขาผู้นั้นเป็นใคร?" จึงได้รับคำตอบว่า "เขาคือ อิบนุ อิจญฺลาน (กล่าว)จาก อบี อัซฺซินาด" อิมามมาลิกกล่าวว่า "อิบนุอิจญฺลานนั้นไม่รู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ และเขาไม่ใช่เป็นคนที่มีความรู้" แล้วอิมามมาลิกก็กล่าวถึง อบี อัซซินาดว่า "เขาก็ยังคงเป็นผู้รับใช้(พวกบนีอุมัยยะฮ์และตามพวกเขา) จนกระทั้งตาย" (ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าในสมัยของราชวงค์บนีอุมัยยะฮ์นั้น ได้เป็นที่แพร่หลายของกลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์) (ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 8 หน้า 103
หากวะฮาบีย์เอาคำพูดของอิมามมาลิกมาสนองอะกิดะฮ์ตนเอง โดยที่อิมามมาลิกไม่มีเจตนารมณ์อย่างที่วะฮาบีย์จะเอา อย่างนี้ไม่ถือเป็นการอธรรมต่ออิมามมาลิกหรือครับ? _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|