ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
ทีมงานสื่ออนุรักษ์ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 25/02/2004 ตอบ: 47
|
ตอบ: Sat Jan 21, 2006 3:02 am ชื่อกระทู้: การแบ่งเตาฮีดเป็นบิดอะฮฺหรือ (ภาค2) |
|
|
เรียนท่านสมาชิกบอร์ดอนุรักษ์ทุกท่าน
เนื่องด้วยกระทู้ "การแบ่งเตาฮีดออกเป็น อุลูฮียะฮฺและรุบูบียะฮฺนั้นเป็นบิดอะฮฺ?" ภาคที่ 1 มีความยาวมาก ทำให้การคลิกอ่านและการโพ้สข้อความเกิดสะดุดเป็นระยะ ทีมงานฯ จึงยกยอดมาให้ท่านสนทนาต่อในภาคที่ 2 นี้
ส่วนภาคที่ 1 เราจะยังคงตรึงไว้ด้านบนเพื่อให้ท่านได้สืบข้อมูล
เชิญสนทนาต่อได้เลยครับ
ทีมงานสื่ออนุรักษ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Jan 21, 2006 8:47 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณมุหัมหมัดกล่าวว่า
เมื่อผมไปดูหนังสือ ตัฟซีร ของท่านอิบนุ อัลเญาซีย์ คำว่า" อิบนุอับบาส กล่าวว่า " คือ อัลเลาะฮฺ นั้น เป็นตัฟซีรที่มีจากต้นฉบับของอิสตันบูล ตรุกีย์ แต่ฉบับเดิมของ อัลอัซฮะรียะฮฺ นั้น กล่าวแตกต่างกัน ซึ่งท่านอิบนุอับบาสกล่าวเกี่ยวกับอายะฮฺดังกล่าวว่า " عن إبن عباس : اى قدرته وسلطانه وغرشه ومملكته " จากท่านอิบนิอับบาส ท่านกล่าวว่า (พวกเจ้าจะปลอดภัยหรือ) จากอานุภาพของพระองค์ อำนาจ อะรัช และการครอบครองของพระองค์ " ดู ซฺาดุลมาะซีร ฟี อิลมิลตัฟซีร (ตัฟซีรอิบนุเญาซีย์ ) เล่ม 8 หน้า 21 ดารฺ ฟักรฺ ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 ญะมาดุลอูลา ฮ.ศ. 1407 - ค.ศ. 1987
ตอบ
นี้คือ คำตอบแบบเก่าๆ ที่คุณมุหัมหมัดอ้าง เพื่อที่จะมาสนับแนวความคิดของตอน ในการไม่ยอมรับ การประทับของอัลลอฮ(ซ.บ) บนบัลลังค์ ตามที่ระบุไว้ในอัลกุรอ่านที่ว่า
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
[7.54] แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือ อัลลออฮผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินภายในหกวัน แล้วสถิตย์อยู่บนลังลังก์ - อัลอะหรอฟ/54
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
[20.5] ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ - ฏอฮา/5
هُوَ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ يَعْلَمُ مَا يَلِجُ فِي الْأَرْضِ وَمَا يَخْرُجُ مِنْهَا وَمَا يَنزِلُ مِنَ السَّمَاء وَمَا يَعْرُجُ فِيهَا وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنتُمْ وَاللَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ
[57.4] พระองค์คือ พระผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในระยะ 6 วัน แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่เข้าไปในแผ่นดินและสิ่งที่ออกมาจากแผ่นดิน และสิ่งที่ลงมาจากฟากฟ้าและสิ่งที่ขึ้นไปสู่ฟากฟ้า และพระองค์ทรงอยู่กับพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด และอัลลอฮ์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ - อัลหะดีด/4
..............................
จริงๆแล้วพูดกันสิบวันสิบคืน ก็ไม่จบ หากไม่กลับไปดูว่า ท่านนบีศอลฯ ได้อธิบายหรือให้ความหมายคำว่า ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ ไปเป็นอย่างอื่นหรือไม่ หรือ เคาะลิฟะอฮทั้งสี่ให้ความหมายไปเป็นอย่างอื่นหรือไม่ คำว่า استوى على หากไปดูในปทานุกรมไทย-อาหรับ ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ส.วงศเสงี่ม หน้า 218 ก็มีความหมายว่า นั่ง นั่งอย่างมั่นคง
قال الإمام أبو حنيفة: ونقر بأن الله تعالى على العرش استوى من غير أن يكون له حاجة. [شرح الوصية ص10]
อิหมามอบูหะนีฟะอกล่าวว่า เรายอมรับว่า แท้จริงอัลลอฮ(ซ.บ)สถิตอยู่บนบัลลังค์ โดยมิทรงต้องการมัน ชัรหุอัลวะศียะฮ หน้า 10
قال الإمام أحمد: نحن نؤمن بأن الله على العرش، كيف شاء، وكما شاء، بلا حد، ولا صفة يبلغها واصف أو يحده أحد؛ فصفات اللهِ منه وله، وهو كما وصف نفسه، لا تدركه الأبصار. [درء تعارض العقل والنقل لابن تيمية ج2 ص30].
อิหม่ามอะหมัดกล่าวว่า เราศรัทธาว่าแท้จริงอัลอฮนั้นอยู่บนอะรัช ตามที่พระองค์ทรงประสงค์และดังที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่มีคุณลักษณะใดที่ผู้อธิบายคุณลักษณะจะเข้าถึงมันได้ หรือ ไม่มีคนใดจะมาจำกัดมันได้ บรรดาสิฟาตของอัลลอฮนั้น มาจากพระองค์และเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ โดยทีมันเป็นดังเช่นที่พระองค์ทรงอธิบายคุณลักษณะเอาไว้แก่พระองค์เอง บรรดาสายตาไม่สามารถจะเข้าถึงมันได้ - ดู ดัรอุตะอาริฎอัลอักลิวัลนักลี ของท่านอิบนิตัยมียะอ เล่ม 2 หน้า 30
عن الشافعي أنه قال: القول في السنة التي أنا عليها، ورأيت أصحابنا عليها، أهل الحديث الذين رأيتهم، وأخذت عنهم مثل سفيان، ومالك، وغيرهما: الإقرار بشهادة أن لا إله إلا الله، وأن محمداً رسول الله، وأن اللهَ تعالى على عرشه في سمائه يقرب من خلقه كيف شاء، وأن الله تعالى ينزل إلى سماء الدنيا كيف شاء. [اجتماع الجيوش الإسلامية لابن القيم ص165، إثبات صفة العلو ص124، مجموع الفتاوى ج4 ص181-183، والعلو للذهبي ص120، ومختصره للألباني ص176].
จากอัชชาฟิอี แท้จริงท่านได้กล่าวไว้ว่า ทัศนะเกี่ยวกับอัสสุนนะอ ที่ข้าพเจ้าและบรรดาสหายของเราที่ข้าพเจ้าเห็น ยืนหยัดอยู่ คือ นักหะดิษที่ข้าพเจ้าพบเห็นพวกเขา และข้าพเจ้าได้รับเอามาจากพวกเขา เช่น สุฟยาน มาลิก และอื่นจากทั้งสองนั้น คือ การยอมรับการปฏิญานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮและมุหัมหมัดคือ ศาสนทูตของอัลลอฮ และแท้จริงอัลลอฮ(ซ.บ)อยู่บนอะรัช บนฟากฟ้าของพระองค์ ทรงใกล้ชิดมัคลูคของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และแท้จริงพระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ - ดู อิจญติมาอุลญุญสอิสลามียะอ ของท่านอิบนิกอ็ยยิม หน้า 165 สิฟะตุลอะลูวิ หน้า 124 มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 4 หน้า 181-183 อัลละลูวี ของอัซซะฮะบีย์ หน้า 120 และมุคตะศอรอัลอะลูวีย์ ของอัลบานีย์ หน้า 176
ثُمَّ اِسْتَوَى عَلَى عَرْشه , فَارْتَفَعَ عَلَيْهِ وَعَلَا .
วัน แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ แล้วทรงขึ้นบนมันและทรงอยู่บน - ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายอายะฮที่ 4 ซูเราะฮอัลหะดีด
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ ) الذي هو أرفع المخلوقات وأعظمها وأوسعها ( اسْتَوَى ) استواء يليق بجلاله ويناسب عظمته وجماله فاستوى على العرش واحتوى على الملك
พระเจ้าผู้ทรงเมตตาอยู่บนอะรัช) ผู้ทรงอยู่เหนือกว่าบรรดามัคลูค ทรงยิ่งใหญ่และทรงกว้างขวางกว่ามัน (ทรงสถิต) ทรงสถิตที่เหมาะสมกับความเกรียงไกรของพระองค์ เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่และความสง่างามของพระองคื ทรงสถิตอยู่บนอะรัชและทรงกรรมสิทธิ์ในอำนาจการปกครอง - ดูตัฟสีรอัสสะอดีย์ ยุซที่ 16 หน้า 312
( ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ ) قال الكلبي ومقاتل: استقر. وقال أبو عبيدة: صعد. وأولت المعتزلة الاستواء بالاستيلاء, وأما أهل السنة فيقولون: الاستواء على العرش صفة لله تعالى, بلا كيف, يجب على الرجل الإيمان به, ويكل العلم فيه إلى الله عز وجل. وسأل رجل مالك بن أنس عن قوله: الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى [طه-5], كيف استوى؟ فأطرق رأسه مليًّا, وعلاه < 3-236 > الرحضاء, ثم قال: الاستواء غير مجهول, والكيف غير معقول, والإيمان به واجب, والسؤال عنه بدعة, وما أظنك إلا ضالا ثم أمر به فأخرج.
แล้วทรงสถิตอยู่บนบัลลัง) อัลกะละบีย์และมะกอฏิลกล่าวว่า หมายถึง ทรงสถิตอยู่ และอบูอบีดะฮ กล่าวว่า หมายถึง ขึ้นบน และพวกมุอตะซิละอได้ตีความคำว่า อัลอิสติวาอ(สถิต) ว่าหมายถึงอำนาจการปกครอง สำหรับอะฮลุสสุนนะอแล้วพวกเขากล่าวว่า การสถิตบนอะรัช เป็นคุณลักษณะของอัลลอฮ(ซ.บ) โดยไม่สามารถจะอธิบายรูปแบบได้ว่าเป็นอย่างไร จำเป็นแก่บุคคลจะต้องศรัทธามันและมอบหมายความรู้เกี่ยวกับมันแก่อัลลออ ผู้ทรงเกรียงไกรผู้ทรงสูงส่ง และมีชายคนหนึ่งถามท่านมาลิก บุตร อะนัส เกี่ยวกับคำว่า : الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى [طه-5] ว่า การสถิต(ประทับ)นั้นเป็นอย่างไร ? แล้วท่านได้เงยศีรษะขึ้นด้วยความโกรธ แล้วกล่าวว่า การสถิต(หรือประทับ)นั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบเป็นอย่างไรนั้น ไม่สามารถล่วงรู้ได้ (คือ ปัญญาไม่สามารถเข้าถึงได้) การศรัทธาในเรื่องนั้น เป็นวาญิบ และการถามเกี่ยวกับมันนั้น เป็นบิดอะอ ข้าพเจ้าไม่สงสัยในตัวท่านเลย นอกจาก ท่านเป็นคนงมงาย หลังจากนั้นท่านอะนัสได้สั่งให้เขาออกไป
وروي عن سفيان الثوري والأوزاعي والليث بن سعد وسفيان بن عيينة وعبد الله بن المبارك وغيرهم من علماء السنة في هذه الآيات التي جاءت في الصفات المتشابهة: أمِرّوها كما جاءت بلا كيف.
และมีรายงานจากซุฟยาน อัศเศารีย์ อัลเอาซาอีย์ อัลลัยษุ ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ และอับดุลลอฮ บิน อัลมุบารอ็ก และอื่นจากพวกเขา จากอุลามาอสุนนะฮ เกี่ยวกับบรรดาโองการที่ระบุเกี่ยวกับบรรดสิฟาตอัลมุตะชาบะฮะอ พวกเขาปล่อยมันไว้ ดังที่มันปรากฏอยู่ โดยไม่อธิบายรูปแบบว่าเป็นอย่างไร
ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮอัลอะอรอฟ/54
..................................................
อยากจะบอกคุณมุหัมหมัดว่า ผมรู้ดีว่าสไตล์ของชาวบดอ. (คงไม่ว่า เพราะคุรเรืรยกพวกเราว่า พวกวะฮบีย์ แล้วกล่าวหาว่าบิดเบือนโกหก สารพัด อันนี้ผมจะไม่ตำหนิอีกแล้วเป็นไงเป็นกัน) คือ พวกคุณจะตอบว่า ของที่เรานำเสนอนั้น เฏาะอีฟ อันที่จริง ผมไม่ไส่ใจหรอกครับ ในการที่พวกคุณเอาความเห็นอุลามาอพวกคุณ มาอ้างเพื่อเปลี่ยนความหมายกุรอ่านและหะดิษ ให้เป็นไปตามความเชื่อสไตล์เดียวกับพวกมุอตะซิละอ ผมเชื่อมันในบรรดาอายะอและหะดิษ ที่ระบุเกียวกับคุณลักษณะของอัลลอฮ เช่น การสถิตหรือ ประทับอยู่บนบัลลัง ส่วนที่ผมเอาคำพูดของนักวิชาการมาประกอบ ก็เป็นเพียงน้ำชิ้มเท่านั้น และเพื่อจะบอกว่า ยังมีนักวิชาการมากมายที่เขาเชื่อเช่นเดียวกับผมเชื่อ แต่ พวกคุณประณามพวกเขาว่า พวกมุญัสสิมะอ และขอเรียนให้คุณทราบว่า การพิมพ์ข้อความในกระดานอาจจะตกล่นไปบ้าง ไม่คิดว่าพวกคุณเอาจุดนี้มาโจมตี เพิ่งจะรู้ว่า นี้คือสไตล์พวกคุณ โองการต่างๆข้างล่างนี้มันพอเพียงแล้วสำหรับผม
1 ـ إن ربكم الله الذي خلق السماوات والأرض في ستة أيام ثم استوي علي العرش يغشي الليل النهار يطلبه حثيثا والشمس والقمر والنجوم مسخرات بأمره ألا له الخلق والأمر تبارك الله رب العالمين.( الأعراف:54)
2 ـ إن ربكم الله الذي خلق السماوات والأرض في ستة أيام ثم استوي علي العرش يدبر الأمر ما من شفيع إلا من بعد إذنه ذلكم الله ربكم فاعبدوه أفلا تذكرون( يونس:3)
3 ـ وهو الذي خلق السماوات والأرض في ستة أيام وكان عرشه علي الماء ليبلوكم أيكم أحسن عملا..( هود:7)
4 ـ الذي خلق السماوات والأرض وما بينهما في ستة أيام ثم استوي علي العرش الرحمن فاسأل به خبيرا( الفرقان:59)
5 ـ الله الذي خلق السماوات والأرض وما بينهما في ستة أيام ثم استوي علي العرش ما لكم من دونه من ولي ولا شفيع أفلا تتذكرون( السجدة:4)
6 ـ قل أئنكم لتكفرون بالذي خلق الأرض في يومين وتجعلون له أندادا ذلك رب العالمين, وجعل فيها رواسي من فوقها وبارك فيها وقدر فيها أقواتها في أربعة أيام سواء للسائلين, ثم استوي إلي السماء وهي دخان فقال لها وللأرض ائتيا طوعا أو كرها قالتا أتينا طائعين, فقضاهن سبع سماوات في يومين وأوحي في كل سماء أمرها وزينا السماء الدنيا بمصابيح وحفظا ذلك تقدير العزيز العليم
(فصلت:9 ـ12)
7. هو الذي خلق السماوات والأرض في ستة أيام ثم استوي علي العرش يعلم ما يلج في الأرض وما يخرج منها وما ينزل من السماء ومايعرج فيها وهو معكم أينما كنتم والله بما تعملون بصير.( الحديد:4)
และช่วยแปลอายะฮนี้ให้ด้วย
"يدبر الأمر من السماء إلى الأرض ثم يعرج إليه في يوم كان مقداره ألف سنة مما تعدون" سورة السجدة الآية 5
.......... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 12:25 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณมุหัมหมัดกล่าวว่า
หลักฐานที่คุณอะสันนำเสนอเพื่อยืนยันว่าอัลเลาะฮฺอยู่บนฟ้านั้น แล้วอ้างว่าเป็นการยึดถือของสลัฟนั้น มีดังนี้
أمنتم من فى السموات أن يخسف بكم الأرض فإذا هى تمور
ความว่า พวกเจ้ารอดพ้น ผู้อยู่ในชั้นฟ้า ที่จะทำให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าลงไป แล้วมันก็สั่นสะเทือนอย่างนั้นหรือ ? อัลมุลกิ 16
أم أمنتم من فى السموات أن يرسل عليكم حاصبا فستعلمون كيف نذير
ความว่า หรือพวกเจ้าปลอดภัย(จาก)ผู้อยู่ในชั้นฟ้า ที่จะส่งลมหอบหินลงมาทับถมเหนือพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จะได้รู้ว่า คำเตือนของข้านั้นเป็นอย่างไร ? อัลมุลกิ 17
คำว่า فى (ฟี) ในสองอายะฮฺนี้นั้น ความหมายแท้จริงเลย แปลว่าใน (ในฟากฟ้า) ซึ่งเป็นفي الظرفيّة เราจะตีความหมาย فى ว่า บน (บนฟ้า)ไม่ได้นอกจากจะมี قرينة ข้อความแวดล้อมที่มาบ่งชี้ แต่ในสองอายะฮฺนี้ไม่มีข้อความาบ่งชี้ให้คำว่า فى มีความหมายว่า บน ซึ่งแตกต่างกับสองอายะฮฺก่อนหน้านั้น คือ
هو الذي جعل لكم الأرض ذلولا فامشوا فى مناكبها
พระองค์ทรงบันดาลแผ่นดินให้ยอมถ่อมตน ดังนั้นเจ้าจงเดินไปบนทิศต่างๆ ของมัน อัลมุลกิ 15
คำว่า فى ในอายะฮฺนี้ จะแปลว่าในจริงๆ นั้นไม่ได้ เพราะว่าแผ่นดินนั้น เราต้องเดินบนมัน จะเดินในมันไม่ได้
ตอบ
สองอายะฮนี้
أَأَمِنتُم مَّن فِي السَّمَاء أَن يَخْسِفَ بِكُمُ الأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ
[67.16] พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากผู้ทรงอยู่บนฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าแล้วขณะนั้นมันจะหวั่นไหว
أَمْ أَمِنتُم مَّن فِي السَّمَاء أَن يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِباً فَسَتَعْلَمُونَ كَيْفَ نَذِيرِ
[67.17] หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากผู้ทรงอยู่ บนฟากฟ้า จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าการตักเตือนของข้าเป็นเช่นใด
..................................
(أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ ) وهو الله
(หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากผู้ทรงอยู่ บน ฟากฟ้า) และพระองค์คือ อัลลอฮ
-- ดูตัฟสีร อัฏอ็บรีย์ เล่ม 23 หน้า 512
( أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ ) قال ابن عباس: أي: عذاب مَنْ في السماء إن عصيتموه
(หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัย(จาก)ผู้ทรงอยู่บนฟ้ากฟ้า) อิบนุอับบาสกล่าวว่า หมายถึง การลงโทษของผู้ทรงอยู่บนฟากฟ้า หากพวกเจ้าฝ่าฝืนพระองค์ - ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย เล่ม 8 หน้า 579
هل أمنتم- يا كفار "مكة"- الله الذي فوق السماء أن يخسف بكم الأرض, فإذا هي تضطرب بكم حتى تهلكوا؟ هل أمنتم الله الذي فوق السماء أن يرسل عليكم ريحا ترجمكم بالحجارة الصغيرة, فستعلمون- أيها الكافرون- كيف تحذيري لكم إذا عاينتم العذاب؟ ولا ينفعكم العلم حين ذلك. وفي الآية إثبات العلو لله تعالى, كما يليق بجلاله سبحانه.
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ โอ้บรรดากาเฟร ชาวมักกะ(จาก)อัลลอฮ ผูซึ่งอยู่บนฟากฟ้า ที่จะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้า เมื่อมันทำให้พวกเจ้าหวั่นไหว จนกระทั้งพวกเจ้าพินาศ ? พวกเจ้าจะปลอดภัยกระนั้นหรือ(จาก)อัลลอฮผู้ซึ่งอยู่บนฟากฟ้า จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดเล็กๆให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้รู้โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ว่าการตักเตือนของข้าแก่พวกเจ้าเป็นเช่นใด เมื่อพวกเจ้าเผชิญกับการลงโทษ ? ในเวลานั้นความรู้จะไม่ก่อประโยชน์แก่พวกเจ้า และในอายะฮนี้ เป็นการรับรองการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ(ซ.บ) ตามความเหมาะสมด้วยความสูงส่งของพระองค์ ผู้ทรงบริสุทธิ์
-ดูตัฟสีรอัลมุยัสสิร ยุซที่ 29 หน้า 563
..................
คุณมุหัมหมัดครับ ดูเหมือนว่า น้องอัลอัซฮารีของคุณเคยอธิบายว่า ผู้ทีอยู่บนฟ้านั้น คือมลาอิกะฮ เพื่อเบี่ยงเบนไม่ให้เข้าใจว่าอัลลอฮทรงอยู่บนฟ้าตามที่อายะฮทั้งสองข้างต้นระบุไว้ คุณทำเป็นอวดเก่ง อธิบายความหมายของคำว่า في .ในอายะฮว่า ไม่ใช่ความหมายว่า บน คุณมุหัมหมัดคนเก่งครับ คำว่าفي เป็นคำบุพบท เมื่อนำหน้าคำว่า السماء ก็แปลว่า บนฟากฟ้า ก็เหมือนคำ preposition ً in เมื่อนำหน้าคำว่า the sky เช่น in the sky ก็จะแปลว่าบนฟากฟ้า คุณคิดจะล้างโคตรพวกเราอย่างที่ตั้งใจไว้ มันไม่ง่ายหรอกครับ คุณมุหัมหมัดที่รัก
อันที่จริงผมไมอยากจะยุ่งกับพวกคุณ เพราะผมก็เป็นผู้ใหญ่ แต่พวกคุณถือว่า ตัวเองได้เรียนมหาลัยดัง แล้วมากเยาะเย้ย ถากถางตลอด ผมต้องชี้แจงจนถึงที่สุดเหมือนกัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 5:04 am ชื่อกระทู้: |
|
|
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ถึงทีมงาน เวปมาสเตอร์ ผมขอขอบคุณในความสะดวก และความใจกว้างในการให้โอกาสสนทนาเชิงวิชาการครับ
والسلام _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 5:40 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้างอิงจากบังอะสัน
คุณทำเป็นอวดเก่ง อธิบายความหมายของคำว่า في .ในอายะฮว่า ไม่ใช่ความหมายว่า บน คุณมุหัมหมัดคนเก่งครับ คำว่าفي เป็นคำบุพบท เมื่อนำหน้าคำว่า السماء ก็แปลว่า บนฟากฟ้า ก็เหมือนคำ preposition ً in เมื่อนำหน้าคำว่า the sky เช่น in the sky ก็จะแปลว่าบนฟากฟ้า
ตอบ
ผมขอตอบสนทนาแทนบังมุหัมมัดนะครับ
บังอะสันครับ สิ่งที่เรากำลังสนทนากันนั้น เราเอาภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาคำภีร์อัลกุรอานและอัลหะดิษ มาเป็นพื้นฐาน ใฉนเลยบังอะสัน ถึงเอาหลักภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ มาอธิบายภาษาอาหรับ!!! ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และการที่เราพูดว่า "บนฟากฟ้านั้น" เนื่องจากเราอยู่ภายใต้ฟากฟ้า แต่นี่อัลกุรอานได้กล่าวไว้โดยใช้คำว่า " فى " ตามหลักกะกีกัตแล้ว "แปลว่าใน"
หากเป็นความหมายอื่น เช่นแปลว่า "บน" นั้น ต้องมี قرينة ที่มาเปลื่ยนจากการแปลว่า "ใน" เป็น "บน" เหมือนคำว่า فى الأرض จะหมายถึงว่า "ในแผ่นดิน" จริงๆนั้นคงไม่ได้ เพราะมี قرينةทางด้านปัญญาเรานั้น คิดว่าคนเราจะไม่มุดดินเดิน จึงใช้ให้ความหมายว่า "บนดิน" ซึ่งเขาเรียกว่า المجاز العقلى ซึ่งเช่นเดียวกับคำว่า فى النخل "ในต้นอินทผา" ตามที่อัลกุรอานบอกไว้ว่า
وَلأُصَلِّبَنَّكُمْ فِي جُذُوعِ النَّخْلِ
"และฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ที่ต้นอินทผาลัม" (ฏอฮา 71)
แต่เราจะใช้ความหมายว่า"ในต้นอินทผาลัม"นี้ไม่ได้ เพราะมี قرينة ทางด้านปัญญาเรานั้น คิดว่า"ตรึงไว้ในต้นอินผาลัม"นั้นคงไม่ได้ ซึ่งเขาเรียกว่า المجاز العقلى
ดังนั้น บังอะสันลองมาดู เกี่ยวกับอายะฮ์อัลกุรอานที่กล่าวถึงซีฟาตของอัลเลาะฮ์(ที่บังอะสันเชื่ออย่างนั้น) บังอะสันจะแปลคำว่า "ฟี" ว่า"บน" ที่เป็น المجازหรือ? ในเมื่อ حقيقة นั้น แปลว่า "ใน" แล้วประเด็นเรื่องซีฟัตนี้ วะฮาบีย์เขาปฏิเสธเรื่อง المجاز ตามที่หนังสืออิบนุตัยมียะฮ์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "อัตตัดมุรียะฮ์" ซึ่งผมจะนำมาทำการสนทนาอ้างอิงต่อไปในโอกาสหน้า
หากแปลว่า"อัลเลาะฮ์อยู่ในฟากฟ้า" ตามหลัก حقيقة นั้น ก็แสดงว่าอัลเลาะฮ์ทรงอยู่ในมัคโลค แต่หากแปลว่า "บน" นั้น ก็เป็นมะญาซฺالمجاز ตามหลักภาอาหรับอันนี้ก็ไม่ตรงกันแนวทางของหลักการของกลุ่มวะฮาบีย์ ในเรื่องการเข้าใจซีฟัตของอัลเลาะฮ์
แต่หากเลือกแปลแบบ المجاز ก็กรุณาอย่างเลือกปฏิบัติ _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 5:59 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมอยากจะนำเสนอสนทนากับ ไออาเอฟและท่านอื่นๆ เกี่ยวกับความเป็นสะลัฟ ว่าแนวทางใดคือสะลัฟกันแน่??? ระหว่าง อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ อัลอะชาอิเราะฮ์ กับสะละฟีย์ วะฮาบีย์ ปัจจุบัน !! ซึ่งผมจะนำเสนอความหมายต้นต่อแนวทางของวะฮาบีย์ เพื่อให้ท่านผู้อ่านรู้ว่า พวกเขามีแนวคิดหรือหลักความเชื่อแบบสะลัฟหรือเปล่า? ซึ่งผมจะนำเสนอบทบาทอากิดะฮ์ของวะฮาบีย์(สะละฟีย์) ใน 5 ช่วงยุคสมัยด้วยกัน และทำการสนทนาวิจารณ์ไปด้วยครับ คุณ คนอยากรู้ และคุณชุกกรี ผมยินดีอย่างมาก ที่คุณเข้าร่วมการสนทนา ดูการสนทนาแล้ว คุณทั้งสองมีความรู้มากเลยทีเดียวครับ อัลหัมดุลิลลาห์ และ คุณ คนอยากรู้ครับ หากจะให้ผมตอบอีเมล์ ในเรื่องส่วนตัวผมนั้น กรุณา ส่งอีเมล์ของคุณมาให้ผมด้วย เพราะข้อความที่คุณส่งมานั้น ไม่มีอีเมล์ของคุณระบุมาน่ะ งั้นเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า
บทบาทอัลมุญัสมะฮ์ในช่วงยุคสมัยที่ 1
ท่านผู้อ่านครับ แท้จริงแล้ว พวกอิฆรีค กรีก และยิวที่มีอากิดะฮ์อัลมุญัสสิมะฮ์นั้น พวกเขาต่างมีส่วนร่วม ในการพรรณาและจินตนาการว่า อัลเลาะฮ์นั้นอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ จนกระทั้งพวกเขาจินตนาการเลยเถิด โดยกล่าวว่า อัลเลาะฮ์มีภรรยาและมีบุตร (ซุบหานัลเลาะฮ์) และพวกเขาก็พรรณาว่าอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์) นั้น ทรงมีการมา ไป ลง ขึ้น หัวเราะ โกรธ และพวกเขายิ่งยืนยันให้กับอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์) ว่า พระองค์ทรงมีอวัยวะต่างๆเหมือนกับมนุษย์ และพระองค์ทรงมีรูปโฉมเหมือนชายหนุ่มที่หล่อเหลา หรืออยู่ในรูปโฉมที่แก่ชรา
หากผู้ใดเคยได้เห็นบรรดารูปภาพที่แขวนหรือติดอยู่ที่ในโบสถ์ต่างๆนั้น เขาจะพบว่า ในนั้นมีรูปวาดของพระนางมัรยัม และมีนบีอีซา(อ.)อยู่ในอ้อมกอด และเบื้องบนของทั้งสองนั้น จะมีเมฆที่มีชายหนึ่งอยู่ ก็คือ พระเจ้า ที่พวกเขาอ้างมานั่นเอง ซึ่งอัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการและพรรณา
และพวกเขาก็จินตนาการอีกว่า อัลเลาะฮ์ทรงอยู่ในรูปของมะลาอิกะฮ์ที่สวมมงกฏ และนั่งประทับอยู่บนกุรซีย์(เก้าอี้ประทับ)ที่ใหญ่อหึมา! (ซุบหานั้ลเลาะฮ์) และพวกยิวได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า แท้จริงอลเลาะฮ์ทรงพักผ่อนในวันที่ 7 หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน แล้วพระองค์ก็นั่งประทับพิงอยู่บนอะรัช(บัลลังค์) และอื่นๆอีกมากมายที่พวกเขาได้จินตนาการ
แล้วพวกมุญัสสิมะฮ์ของประชาชาติอิสลามนี้ล่ะ พวกเขากล่าวเหมือนกับพวกยิวหรือไม่?
ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ได้ถ่ายทอดบรรดาอากิดะฮ์ จากคำภีร์อินญีลที่ถูกบิดเบือนไว้ใน หนังสือฟะตาวาของเขา ในเล่ม 5 หน้า 406 ว่า
وفى الإنجيل أن المسيح عليه السلام قال : لا تحلفوا بالسماء فإنها كرسى الله وقال للحواريين : إن أنتم غفرتم للناس فإن أباكم الذي فى السماء يغفر لكم كلكم ، انظروا إلى طير السماء فإنهن لا يزرعن ، ولا يحصدن ، ولا يجمعن فى الهواء ، وأبوكم الذى فى السماء هو الذى يرزقهم
ความว่า" และในคำภีร์อัลอินญีล(กล่าวว่า) แท้จริงมะซีหฺ(อีซา) อะลัยอิสลาม กล่าวว่า พวกเจ้าอย่าสาบานด้วยกับฟากฟ้า เพราะแท้จริงมันคือเก้าอี้พำนักของอัลเลาะฮ์ และอีซากล่าวแก่ อัลหาววารียีน (สาวกของเขา) ว่า แท้จริง พวกเจ้าได้อภัยแก่มวลมนุษย์ เพราะพระบิดาของพวกเจ้าที่อยู่ในฟากฟ้านั้น ได้อภัยแก่พวกเจ้าทั้งหมดแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าจงมองไปยังนกบนท้องฟ้าซิ พวกมันไม่ได้เพาะปลูก ไม่ได้เก็บเกี่ยว และเก็บรวบรวมบนอากาศ โดยที่บิดาของพวกเจ้าซึ่งอยู่ในฟากฟ้านั้น คือผู้ที่ให้ปัจจัยยังชีพกับพวกมัน"
จากจุดนี้เอง ที่เราสามารถจะรู้ว่า รากเง้าของความคิดที่ผสมประสานเข้าด้วยระหว่างแนวคิดวะฮาบีย์และพวกชาวคำภีร์ อิฆรีค และพวกกรีก และผู้อ่านก็จะทราบว่า เราเองก็ไม่ได้กล่าวโกหกใส่ใคร้กับพวกเขาเลย แต่ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็ได้มีการยืนยันไว้เอาอย่างไม่ต้องสงสัย
อุลามาอ์วะฮาบีย์ท่านหนึ่ง ที่มีนามว่า ชัยค์ หัมมูด อัตตุวัยญิรีย์ ได้แต่งหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า " عقيدة أهل الإيمان فى خلق أدم على صورة الرحمن " (หนังสือ อะกีดะฮ์ของบรรดาผู้ที่อีมาน ในการสร้างอาดำบนรูปของ(อัลเลาะฮ์)อัรเราะหฺมาน" ซึ่ง อัลตุวัยญิรีย์ และชัยค์ บินบาซฺ ก็ให้การยกชมเชยรับรอง
ชัยค์ อัตตุวัยญิรีย์ ได้กล่าวไว้ในหน้าที่ 67 ว่า
وأيضاً فهذا المعنى عند أهل الكتاب من الكنب المأثورة عن الأنبياء كالتوراة فإن فى السفر الأول منها : ( سنخلق بشراً على صورتنا يشبهها )
ความว่า" และเช่นเดียวกัน นี้คือความหมายตามทัศนะของชาวคำภีร์ ที่มาจากบรรดาหนังสือที่ถูกเล่ามาจากบรรดานบี เช่น คำภีร์เตาร๊อต แท้จริง ในบทแรก จากคำภีร์ได้กล่าวว่า "ต่อไปเรา(อัลเลาะฮ์) จะสร้างมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาบนรูปของเรา ที่คล้ายคลึกกับเรา"
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถูกถ่ายทอดมาจากบรรดาหนังสืออิบนุตัยมียะฮ์ (ดู หนังสือ ดัรอฺ อัตตะอารุฏ เล่ม 5 หน้า 83 และหนังสือ อัศศ๊อฟดียะฮ์ เล่ม 2 หน้า 336 )
ผู้โปรดพิจารณาถึง การยืนยันการมีรูปร่างแก่อัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์)ที่คัดลอกมากจากคำภีร์เตาร๊อต ซึ่งอัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า " แท้จริงบางส่วนจากพวกเขา เป็นกลุ่มชนหนึ่งที่ลิ้นตวัดของพวกเขา ใน (การอ่าน) คำภีร์ (เตารอฮ์ โดยการบิดเบือนและตัดทอนเพิ่มเติมตามความพอใจของตนเอง) เพื่อ (ทำให้) พวกเจ้า (หลงผิด) คิดว่าสิ่ง(ที่บิดเบือน) นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากคำภีร์ ทั้งๆที่สิ่งนั้นหาเป็นส่วนหนึ่งจากคำภีร์ไม่ และพวกเขากล่าวอีกว่า สิ่งนั้นมาจากอัลเลาะฮ์ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นหาได้มาจากอัลเลาะฮ์ไม่ และพวกเขากล่าวเท็จแก่อัลเลาะฮ์ทั้งๆ ที่พวกเขาก็รู้ดี " ( อาลิ อิมรอน 78 )
หากท่านผู้อ่าน ที่เป็นมุสลิมอย่างแท้จิรงและบริสุทธิ์ใจในการแสวงหาความเป็นสัจจะธรรม ได้ทำการพิเคราะห์ในตัวบทต่างๆที่เหมือนๆกันนี้ และลองพิเคราะห์ว่า เหตุใด พวกอัลมุญัสสิมะฮ์ ที่บรรดาอุลามาอ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์หมายถึง คือ กลุ่ม อัลหะนาบิละฮ์ ที่วะฮาบีย์ให้การยกย่องและเจริญรอยตามนั้น ทำไมพวกเขาต่างดิ้นรน ต่อสู้ และกล่าวหาว่าลุ่มหลง กับทุกๆคนที่ขัดแย้งกับพวกเขา ในการอธิบายอายะฮ์อัลกุรอานที่ว่า
عسى أن يبعثك ربك مقاما محمودا
"เพื่อพระผู้อภิบาลของเจ้า จะยก(เกียตริ)แก่เจ้า กับตำแหน่งกับที่ได้รับการสรรเสริญ"
ซึ่งความหมายของอายะฮ์นี้ ตามทัศนะของพวกเขา ก็คือ " แท้จริง อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) จะให้ท่านบี(ซ.ล.)นั่งข้างๆพระองค์ หรือพร้อมกับพระองค์บนบันลังค์!! (ดู หนังสือ บะดาเอี๊ยอฺ อัลฟะวาอิด ของ อิบนุ ก๊อยยิม เล่ม 4 หน้า 39 ) วะฮาบีย์บางท่านอาจจะไม่ยอมรับในหลักการนี้ แต่อุลามาอ์ที่เชื่อแบบนี้นั้น เขาถูกหุกุ่มอย่างไร? หรือหุกุ่มว่า เขาคืออุลามาอ์ที่ตามแนวทางของสะลัฟ!!
การซึมซาบของแนวคิดของพวกมุยัสสิมะฮ์ เข้ามาในประชาชาติอิสลาม
แนวคิดนี้ได้ซึมซาบเข้ามาตั้งแต่ในยุคสมัยของซอฮาบะฮ์ และช่วงยุคแรกๆของอิสลาม โดยที่พวกชาวคำภีร์นั้น ได้ทำการเข้ารับอิสลาม และส่วนหนึ่งของบรรดาซอฮาบะฮ์ก็มีความชอบและต้องการจะรู้ถึงหลักการที่มีอยู่ในพวกชาวคำภีร์ ซึ่งกรณีนี้ เป็นสิ่งที่ทราบดีจากบรรดาอุลามาอ์
1. ท่าน อัซฺซฺะฮะบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 3 หน้า 489 ว่า " แท้จริง กะอับ ได้นั่งสนทนากับบรรดาสาวกของท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งเขาได้ทำการบอกเล่า จากบรรดาตำราของบนีอิสรออีล "
2. ดร. อัลมุบาร่อกะฟูรีย์ ได้กล่าวยอมรับไว้ในบทนำ ในการตรวจทานหนังสือ อัลอัซฺมะฮ์ ของท่าน อบี อัชชัยค์ อัลอัซฟะฮานีย์ เล่ม 1 หน้า 140 ว่า " บรรดาอิสรออีลียาต(คำสอนต่างของชาวคำภีร์)ได้ซึมซาบสู่บรรดามุสลิมีน และจุดเริ่มที่มันได้เข้ามาในวิทยาการต่างๆของมุสลิมีนนั้น คือประเด็นที่ต้องหวนกลับไป(พิจารณา)ยังประวัติศาสตร์ จนถึงยุคสมัยของซอฮาบะฮ์ และดังกล่าวนั้น ก็เพราะว่า อัลกุรอานนั้น สอดคล้องกับ เตารอฮ์และอินญีล ในบางประเด็นและบางเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ถึงหาแม้นว่า ระหว่างอัลกุรอาน กับเตารอฮ์และอันญีลนั้น จะมีความแตกต่างกันอย่างมาก คืออัลกุรอานจะมีความอรรถรสที่เป็นจุดเด่นจากทั้งสอง และความมีอรรถรสนี้ทำให้อัลกุรอานคือสิ่งที่ เลอเลิศมหัศจรรย์ และการกล่าวอย่างยืดยาวและแบบรายละเอียดนั้น จะเป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในเตารอฮ์และอินญีล นอกเหนือจากนั้น ทั้งสองก็มีการถูกบิดเบือนและเปลี่ยนแปลง ตามที่อัลกุรอานได้ระบุเอาไว้ "
3. อัลบานีย์ ได้ทำการยอมรับ ตามนัยยะนี้เช่นกัน โดยที่เขาได้กล่าวในขณะที่ทำการตักรีคญฺ(ทำเสนอสายรายงาน)ของหะดิษหนึ่ง จากหนังสือ อัสสุนนะฮ์ ของ อิบนุ อะบี อาซิม หน้าที่ 249 หะดิษที่ 568 เขากล่าวว่า
( إسناده ضعيف والمتن منكر كأنه من وضع اليهود )
" สายรายงานนี้ ฏออีฟ และตัวบทก็ขัดกับหลักการ เสมือนกับว่ามันเป็นการกุแต่งขึ้นของพวกยิว"
และนี้ก็ย่อมเป็นยอมรับอย่างชัดเจนว่า แนวคิดของอิสรออีลยาตหรือยิวนั้น มีบทบาทในการกุแต่งบรรดาหะดิษขึ้นมา
4. ท่านอัฏเฏาะหะวีย์ ได้รายงานไว้ในหนังสือ ชัรหฺ มะอานีย์ อัลอาษาร เล่ม 2 หน้า 361 โดยสายรายงานที่ดี ว่า "แท้จริง ได้ถูกกล่าวแก่ท่าน อัลหะซัน อัลบะซอรีย์ว่า (เหตุใด) เป็นที่น่ารังเกียจ กับการวางขาข้างหนึ่งบนขาอีกข้างหนึ่ง?(คือแบบไขว้ห้าง) ดังนั้น ท่านอัลหะซันกล่าวว่า พวกเขาได้นำสิ่งดังกล่าวมา นอกจากเอามาจากยิว"
5. ท่านอัซฺซฺะฮะบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอุลู้ว์ หลักฐานลำดับที่ 280 รายงานจาก กะอับ อัลอะหฺบาร ว่า
عن كعب الأحبار رضي الله عنه قال: قال الله تعالى في التوراة: ((أنا الله فوق عبادي, وعرشي فوق جميع خلقي, وأنا على عرشي أدبر أمور عبادي. ولا يخفى علي شيء في السماء ولا في الأرض)) قال الذهبي رواته ثقات
รายงานจากกะอับ อัลอะหบาร (ร.ฎ)กล่าวว่า อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงตรัสในคัมภีรเตารอตว่า (แท้จริงข้าคือ อัลลอฮ อยู่เหนือบ่าวของข้า และบัลลังค์ของข้าอยู่เหนือบรรดามัคลูคของข้า และข้าอยู่บนบัลลังค์ของข้า บริหารกิจการแห่งบ่าวของข้า ไม่มีสิ่งใดในฟากฟ้าและในแผ่นดิน ซ่อนเร้นจากข้าได้ - อัซซะฮะบียกล่าวว่า รายงานเชื่อถือได้
6. ท่านอัซฺซฺะฮะบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอุลู้ว์ ลำดับที่ 281 ว่า " อบู อัชชัยค์ อัลอัศฟะฮานีย์ ได้กล่าวรายงานไว้ในหนังสือ "อัล-อัซฺมะฮ์" ว่า..
......فما من السموات سماء إلا له أطيط كأطيط الرحل فى أول ما يرتحل .....وذكر كلمة منكرة لا تسوغ لنا والإسناد نظيف وأبو صالح لينوه وما هو بمتهم بل سيء الإتقان
ความว่า" ....ดังนั้น ไม่มีจากบรรดาชั้นฟ้าใด นอกจากชั้นฟ้าหนึ่งนั้น จะมีเสียง ที่ดังเหมือนเสียงของพาหนะที่กำลังเริ่มเดินทาง........แล้วเขา(กะอับ)ก็กล่าวคำที่น่าตำหนิที่ไม่อนุญาติแก่เรา โดยที่สายรายงานนั้นสะอาด และอบูซอลิห์นั้น บรรดาอุลามาอ์หะดิษถือว่าเขาอ่อน โดยที่เขาไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าโกหก แต่เข้าไม่ค่อยมีความประณีต "
ท่านผู้อ่านครับ แล้วอะไรคือสิ่งที่ท่านอัซฺซฺะฮะบีย์ไม่ยอมนำมากล่าวในสิ่งที่ อบู อัชชัยค์ อัลอัศฟะฮานีย์ ได้รายงานเอาไว้ในหนังสือ อัลอัซฺมะฮ์ หากเรากลับไปดูหนังสือ อัลอัซฺมะฮ์ หน้า 91 หะดิษที่ 236 ก็จะมีถ้อยความที่สมบูรณ์ดังนี้
......فما من السموات سماء إلا له أطيط كأطيط الرحل فى أول ما يرتحل من ثقل الجبار فوقهن
ความว่า" ....ดังนั้น ไม่มีจากบรรดาชั้นฟ้าใด นอกจากชั้นฟ้าหนึ่งนั้น จะมีเสียง ที่ดังเหมือนเสียงของพาหนะที่กำลังเริ่มเดินทาง เนื่องจากความหนักอึ้งของอัลเลาะฮ์(นามว่าอัลญับบาร)ที่อยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้าเหล่านั้น"
โปรดพิจารณาเถิดครับท่านผู้อ่านที่เคารพ จากสายรายงานดังกล่าวนี้ ทำให้ อัลเลาะฮ์อยู่ภายใต้กฏแรงโน้มถ่วงของโลกด้วยครับ!!! ซุบหานั้ลเลาะฮ์!!
7. จากหนังสือ "อัสซุนนะฮ์" เล่ม 2 หน้า 477 ของท่าน อับดุลเลาะฮ์ บิน อะหฺมัด ซึ่งเขาได้รายงาน ไปยัง วะฮับ บิน มุนับบิฮ์ ซึ่งเขาได้กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮ์ว่า
إن السموات والبحار لفى الهيكل وإن الهيكل لفى الكرسى ، وإن قدميه عز وجل لعلى الكرسى كالنعل فى قدميه
" แท้จริง บรรดาฟากฟ้าและท้องทะเลนั้น อยู่ในโครงสร้างที่ใหญ่ และโครงสร้างที่ใหญ่นั้น อยู่ในเก้าอี้ และสองเท้าของอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์!!!) อยู่บนเก้าอี้ เหมือนกับรองเท้าที่อยู่ในเท้าสองข้างของพระองค์"
8. ท่านอัซฺซฺะฮะบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอุลู้ว์ อันดับที่ 425 จาก อับดุลเลาะฮ์ บิน สะลาม (ชาวบนีอิสรออีลที่เข้ารับอิสลาม) ว่า
إذا كان يوم القيامة جىء بنبيكم حتى يجلس بين يدى الله على كرسيه
" เมื่อถึงวันกิยามะฮ์ ท่านนบีของพวกท่านก็จะถูกเชิญมา จนกระทั้งเขาได้นั่งอยู่เบื้องหน้าอัลเลาะฮ์ที่อยู่บนเก้าอี้(บัลลังค์)ของพระองค์" ซึ่งสายรายงานนี้ เป็นคำพูดจาก อิบนิ สะลาม
9. ท่านหาฟิซฺ อิบนิ หะญัร ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อันนุกัต อะลา กิตาบ อิบนิ อัลศ่อลาหฺ เล่ม 2 หน้า 532 โดยอธิบายคำกล่าวของ หาฟิซฺ อิบนิ อัศศ่อลาห์ ที่ว่า
( إذا كان الصحابى بنظر فى الإسرائيليات فلا يعطى تقسيره حكم الرفع )
"เมื่อซอฮาบะฮ์ได้พิจารณาดูในเรื่องอิสรออีลียาต(หลักการต่างที่มาจากยิว) ดังนั้น การตัฟซีรของเขา จะไม่ถูกให้ กับหุกุ่มที่จะยกอ้างถึงท่านนบี"
ท่านหาฟิซฺอิบนุหะญัรอธิบายว่า " เช่น อับดุลเลาะฮ์ บิน อัมรฺ อิบนุ อัลอาซ เพราะว่าในสมรภูมิ อัลยัรมูกนั้น เขาได้รับบรรดาตำราต่างๆมากมายที่มาจากพวกอะฮ์ลุลกิตาบ ดังนั้น เขาก็จะบอกเล่าสิ่งต่างๆที่แปลกๆในนั้น จนกระทั้งบางส่วนจากลูกศิษย์ของเขานั้น บางครั้งพวกเขาได้กล่าวแก่เขาว่า ท่างจงบอกเล่ารายงานเรา จากท่านนบี(ซ.ล.) แต่ท่านอย่าบอกเล่ากับเราจากตำรา(ของอะฮฺลิลกิตาบ) ฉะนั้น สิ่งที่เหมือนกันนี้ จึงไม่สามารถหุกุ่มสิ่งที่เขาได้บอกเล่าจากบรรดาประการต่างๆที่เราได้กล่าวแล้ว ว่า เป็นการยกอ้างถึงท่านนบี(ซ.ล.) เนื่องจากมีน้ำหนักในการคาดการได้มากกว่า(ว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่มาจากท่านนบี(ซ.ล.) "
10. รายงานจาก อัสซาอิบ บิน ยะซีด ว่า เขาได้ยินท่านอุมัรอิบนค๊อฏฏ๊อบ กล่าวกับอบูฮุร๊อยเราะฮ์ว่า " ท่านจะละทิ้งการรายงานหะดิษจากร่อซูลุลเลาะฮ์ หรือจะให้ฉันนำท่านกลับไปอยู่ที่แผ่นดินเดาซฺ(ซึ่งเป็นที่อยู่เผ่าของท่านอบูฮุรอยเราะฮ์) " และท่านอุมัรกล่าวกับ กะอับ ว่า " ท่านจะละทิ้งการรายงานหะดิษต่างๆ หรือว่าจะให้ฉันนำท่านกลับไปอยู่ที่แผ่นดินของพวก(ที่ถูกเคยถูกสาปเป็น)ลิง(คือพวกยิว) " ( อบู ซุรอะฮ์ ได้รายงานเอาไว้ ในหนังสือ อัตตารีค ของท่าน หน้า 1475 และดู การวิจารณ์ด้านล่างของหนังสือ ซิยัร อะลามอันนุบะลาอ์ เล่ม 2 หน้า 600 - 601 ซึ่งผู้วิจารณ์คือ ท่าน อัช-ชัยค์ ชุอัยบฺ อัลอัรนะอูฏ กล่าวว่า สายรายงานนี้ ซอเฮี๊ยะหฺ)
ได้มีสายรายงานสนับสนุนสิ่งดังกล่าวจาก บุสรฺ บิน สะอีด ซึ่งเขาเป็นอุลามาอฺตาบิอีนรุ่นอวุโส และเป็นนักรายงานของ บรรดาหนังสือสุนันที่ 6 และมีหนึ่งจากสานุศิษย์ของท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ เขาได้กล่าวว่า " พวกท่านทั้งหลายจงเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์ และจงปกปักษ์รักษาหะดิษไว้ ขอสาบานว่า ฉันได้เห็นพวกเรา ได้นั่งร่วมสนทนากับท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ แล้วท่านก็บอกรายงานจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) และก็ทำการบอกเล่าจาก กะอับ หลังจากนั้นท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ก็ยืนขึ้น(แล้วออกไป) ดังนั้น ฉันก็ได้ยินส่วนหนึ่งจากบรรดาสานุศิษย์ที่อยู่พร้อมกับเรา (มีความสับสนโดย) ได้ทำให้หะดิษของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)นั้น รายงานจาก กะอับ และทำให้หะดิษของ กะอับ รายงานจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) " (ท่านมุสลิมได้รายงานดังกล่าวไว้ในหนังสือ อัต-ตัมยีซฺ ของท่าน เล่ม 1 หน้า 175 )
จากสิ่งดังกล่าว เราจึงทราบได้ว่า ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ก็เป็นผู้หนึ่งที่รายงานจาก กะอับ อัลอะหฺบาร แต่สำหรับท่าน อบูฮูรอยเราะฮ์นั้น ท่านเป็นซอฮาบะฮ์ผู้ที่ประเสริฐท่านหนึ่ง ที่มีชีวิตผ่านช่วงสมัยของคอลิฟะฮ์ทั้งสี่ ท่านจึงสามารถรายงานหะดิษได้เป็นจำนวนมาก และเหตุที่ท่านอบูหุรอยเราะฮ์เป็นผู้ที่รายงานหะดิษมากที่สุดนั้นมีสาเหตุหลายประการที่ผมไม่สามารถนำมากล่าวใน ณ ที่นี้ได้ เพราะมันจะออกนอกประเด็นไป แต่ประเด็นตรงนี้ ผมอยากจะบอกกับท่านผู้อ่านที่เป็นชีอะฮ์ อัรรอฟิเฏาะฮ์ ว่า ท่านอุมัรได้ห้ามท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ในการรายงานนั้น คือห้ามเรื่องการรายงานเกี่ยวกับอิสริอีลียาต ที่กะอับ อัลอะหฺบาร ได้เคยบอกเล่ามา ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องอิมามมะฮ์แต่อย่างใด!!! ดังนั้น บรรดาสิ่งที่รายงานแบบอิสรออีลียาตนั้น อุลามาอ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์ วัล ญะมาอะฮ์ ได้มีความตระหนัก และทำการชี้แจงให้อุมมะฮ์อิสลามได้ระวังต่อสิ่งต่างๆเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์ในหนังสือตัฟซีร หรือว่าแต่งหนังสือเกี่ยวกับอิสรออีตที่มีระบุไว้ในตัฟซีรนั้นๆ เป็นต้น แต่สายรายงานอิสรออีลียาตในปัจจุบันนี้ จะไม่หลุดออกมา นอกจากจะหลุดมาจากแนวทางของวะฮาบีย์ปัจจุบัน!! ที่ได้ทำการตีพิมพ์ตำราอากิดะฮ์ต่างๆที่อยู่ในแนวทางของพวกเขา ซึ่งเป็นตำราที่อุลามาอ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ส่วนมากไม่ให้การยอมรับ เนื่องจากเป็นแนวทางของ"พวกอัลมุญัสสิมะฮ์" ในอดีตจากกลุ่มหะนาบิละฮ์ที่อิบนุตัยมียะฮ์ได้รับมรดกสืบช่วงหลักการต่อมา _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 6:08 am ชื่อกระทู้: |
|
|
บทบาทช่วงสมัยที่ 2
บทบาทของพวกอัล-มุญัสสิมะฮ์ ซึ่งเป็นสะลัฟของกลุ่มวะฮาบีย์ปัจจุบันนี้ พวกเขาได้รับแนวคิดแบบอิสรออีลียาต ที่แพร่หลายในยุคสมัยของซอฮาบะฮ์ ริฏิยัลลอฮุอันฮุม (โดยที่ท่านอุมัร(ร.ฏ.) ก็ตระหนักถึงเรื่องนี้และทำการสั่งห้ามดังที่ผมได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงยุคสมัยของราชวงค์อะมาวีย์ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดฟิตนะฮ์ ได้มีการรายงานหะดิษในหนทางที่ผิดพลาดหรือเจตนากุตัวบทขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชีอะฮ์ที่เลยเถิด หรือกลุ่มค่อวาริจญฺ หรือบางกลุ่มของราชวงค์อะมาวีย์ที่เป็นปรปักษ์ต่ออะฮ์ลิลบัยต์ (อะลัยฮิมุสลาม) แต่ในราชวงค์ของอะมาวีย์นั้น ก็มีผู้นำที่มีคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์ให้กับอิสลาม เช่นท่าน มุอาวิยะฮ์ (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ) และท่านซัยยิดินา อุมัร บิน อับดุลอะซีซฺ คอลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรมท่านที่ 5 (เหลนของท่านซัยยิดินา อุมัร อิบนุ ค๊อฏฏอบ(ร.ฏ.) เป็นต้น
ในยุคสมัยดังกล่าวนี้ ได้มีการรายงานสิ่งที่เป็นอิสรออีลียาต แม้กระทั้งใน ซอเฮี๊ยะหฺอิมามมุสลิม (ร่อฏิยัลลอฮุฮันฮุ) (ท่านผู้อ่านโปรดอ่านสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ให้หมดและทำความเข้าใจอย่างใจเป็นธรรมนะครับ) ผมจะนำเสนอถ่ายทอดสิ่งที่ถูกรายงานแบบอิสรออีลียาต ดังนี้
1. ได้กล่าวไว้ในซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม หะดิษที่ (2789) ซึ่งเป็นหะดิษที่รายงานจากอิสรออีลียาต ได้รายงานจาก ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ (ร.ฏ.) เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้จับมือของฉัน แล้วกล่าวว่า
خلق الله ، عز وجل ، التربة يوم السبت ، وخلق فيها الجبال يوم الأحد وخلق الشجر يوم الإثنين وخلق المكروه يوم الثلاثاء وخلق النور يوم الأربعاء وبث فيها الدواب يوم الخميس وخلق أدم عليه السلام بعد العصر من يوم الجمعة فى أخر يوم . أخر الخلق . فى أخر ساعة من ساعات الجمعة فيما بين العصر إلى الليل
ความว่า" อัลเลาะฮ์ (อัซฺซะวะญัลล่า) ทรงสร้าง(แผ่น)ดิน ในวันเสาร์ และพระองค์ทรงสร้างบรรดาภูเขาในวันอาทิตย์ และทรงสร้างต้นไม้ในวันจันทร์ และทรงสร้างสิ่งที่น่ารังเกียจในวันอังคาร และทรงสร้างรัศมีในวันพุทธ และทรงปล่อยบรรดาสาราสัตว์ทั้งหลายให้กระจายในแผ่นดินวันพฤหัส และทรงสร้างนบีอาดัม อะลัยอิสลาม หลังเวลาอัสริของวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เป็นการสร้างสุดท้าย ในเวลาสุดท้ายจากช่างเวลาต่างของวันศุกร์ ที่อยู่ในช่วงระหว่างอัสริและตอนกลางคืน "
จากหะดิษนี้ เราจะพบว่า อัลเลาะฮ์ทรงสร้างมัคโลคถึง 7 วันด้วยกัน ซึ่งขัดกับอายะฮ์อัลกุรอาน ที่ว่า
هو الذى خلق السموات والأرض فى ستة أيام ثم إستوى على العرش
ความว่า"พระองค์ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดินในหกวัน หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงปกครองเหนือบัลลังก์" (อัล-หะดีด 4 ) (อะชาอิเราะฮ์สามารถให้ความหมายของอายะฮ์นี้ได้สองหนทาง คือ 1. มอบหมาย คือ "หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงอิสติวาอ์เหนือบัลลังค์" 2. ตีความ คือ "หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงปกครองเหนือบัลลังก์" ซึ่งทั้งสองหนทางนี้มีหลักฐานจากอุลามาอ์สะลัฟ แต่วะฮะบีย์ อัลมุญัสสิมะฮ์ จะแปลแบบตีความว่า "หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์" ซึ่งไม่มีหลักฐานที่ซอเฮี๊ยะหฺจากสะลัฟ)
อิมาม อัล-บุคอรีย์ และบรรดาอุลามาอฺหะดิษที่อยู่ก่อนจากอิมามอัล-บุคอรีย์และหลังจากท่านนั้น ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า หะดิษนี้ จากเป็นส่วนหนึ่งจากการรายงานต่างๆของท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ จาก กะอับ อัลอะหฺบาร ไม่ใช่รายงานจาก ท่านร่อซุลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)
ท่านอิมามอัล-บุคอรีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสื อัตตารีค อัลกะบีร (เล่ม 1 หน้า 413 - 414) ว่า " ส่วนหนึ่งจากพวกเขากล่าวว่า สายรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮ์ จาก กะอับ นั้น ซอเฮี๊ยะหฺที่สุด" โดยที่ท่านอิบนกะษีร ได้กล่าวไว้ในตัฟซีร ของเขา (ในเล่ม 1 หน้า 72) ว่า " หะดิษนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากหะดิษที่แปลกจากซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม โดยที่ ท่านอิบนุ อัลมะดินีย์ ท่านอัล-บุคอรีย์ และไม่ใช่คนเดียวจากบรรดานักหะดิษ ได้กล่าวว่าหะดิษนี้ เป็นคำพูดของ กะอับ อัลอะหฺบาร และแท้จริง อบู ฮุรอยเราะฮ์ นั้น ได้ยินหะดิษนี้ จากคำพูดของ กะอับ อัลอะหฺบารฺ จึงทำให้เกิดความคลุมเครือ กับบรรดานักรายงานบางส่วน จนทำให้คำพูดของกะอับนี้ ยกอ้างไปเป็นคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) และอิมาม อัลบัยฮะกีย์ ก็ได้ขี้แจงสิ่งดังกล่าวไว้เช่นกัน " แม้กระทั้งอิบนุตัยมียะฮ์ ก็ได้ยอมรับสิ่งดังกล่าวไว้เช่นกัน (ดู มุจญฺมั๊วะ อัลฟะตาวา เล่ม 17 หน้า 236)
เมื่อท่านผู้อ่าน ได้ทำการอ่านอย่างเข้าใจแล้ว ท่านอาจจะแปลกใจว่า ทำไมผมถึงได้นำเสนออย่างนี้ ผมได้ทำการวิจารณ์หะดิษซอเฮี๊ยะหฺมุสลิมแล้วหรือเนี่ย!! ทั้งที่บรรดาอุลามาอ์ยืนยัสว่า หะดิษที่รายงานโดยท่านอิมามมุสลิมนี้ซอเฮี๊ยะหฺทั้งหมด แล้วไอ้อัล-อัซฮะรีย์ เนี่ย มันเก่งมาจากใหน เป็นแค่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ตามที่ ไออาเอฟ เคยพรรณาผมไว้อย่างนั้น เพราะผมไปกล่าวความจริงที่แทงใจเขา แต่ผมขอชี้แจงให้ท่านผู้อ่านเข้าใจดังนี้ครับ
(1) หนังสือของอิมามมุสลิม ก็ยังเป็นหนังสืออะดิษที่ซอเฮี๊ยะหฺอยู่ยันวันกิยามัตนั่นแหละครับ เนื่องจากท่านอิมามมุสลิม ก็เป็นอุลามาอ์หะดิษ ที่ทุ่มเทความพยายามในการรายงานและขัดเกลา กลั่นกรอง สายรายงานและตัวบทให้บริสุทธิ์ แต่ไม่เคยมีอุลามาอ์ท่านใดอ้างว่า ซอเฮี๊ยะหฺ อิมามอัล-บุคอรีย์และอิมามมุสลิมนั้น มะอฺซูม ไร้ซึ่งความผิดพลาด และในกรณีของหะดิษท่านอิมามมุสลิมนี้นั้น ผมไม่ได้ทำการนำเสนอวิจารณ์ที่มาจากตัวผมเอง แต่ได้อ้างอิงถึงคำวิจารณ์ของบรรดาอุลามาอ์หะดิษ เช่น อิมาม บุคอรีย์ อิมาม อิบนุ อัลมะดีนีย์ ท่านอิบนุกะษีร ท่านอัลบัยฮะกีย์ เป็นต้น
(2) หะดิษดังกล่าวนั้น เรามีทัศนะว่ามันไม่ใช่เป็นคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) แต่มันเป็นคำพูดของกะอับ อัลอะหฺบารฺ ดังที่บรรดาอุลามาอ์หะดิษได้กล่าวไว้ ดังนั้น เราจึงคัดค้านคำพูดที่มาจาก กะอับ ไม่ใช่คัดค้านคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) ดังนั้น หะดิษ(ที่รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.)ในหนังสือซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม ก็ยังได้ชื่อว่า เป็นหนังสือซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม อัลหัมดุลิลลาห์
(3) หะดิษนี้ กล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงสร้างบรรดามัคโลค 7 วัน ทั้งที่ อัลกุรอาน กล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงสร้าง 6 วัน เมื่อหะดิษขัดกับอัลกุรอาน เราขอเลือกอัลกุรอ่านอยู่ก่อน
(4) ผมไม่อยากจะนำเสนอหยิบยกหะดิษนี้มาเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่อง อิสริอีลียาต เพราะมันจะทำให้เกิดฟิตนะฮ์ แต่พวกชีอะฮ์ อัรรอฟิเฏาะฮ์ จะเอาหะดิษนี้มาแอบอ้างว่า ชาวอะลิสซุนนะฮ์รายงานโดยเอาหลักการมาจากยิว และสิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน จนทำให้พี่น้องซุนนะฮ์ที่ไม่ค่อยมีความรู้สัก ต่างมีความไขว้เขวในแนวทางของตน เนื่องจากเขาไม่มีความรู้และไม่สามารถชี้แจงได้ ซึ่งเราก็เคยเผชิญกับพวกชีอะฮ์มาแล้ว และผลออกมาก็ขอกล่าวว่า อัลฮัมดุลิลลาห์
(5) หากผู้ใดมีความรู้ที่สามารถแนะนำผมเพิ่มเติมเกี่ยวกับหะดิษนี้ โปรดชี้นำผมด้วย และผมก็ขอให้ผู้ที่รู้และชี้นำผมที่มีความรุ้น้อยนี้ ได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) อามีนยาร๊อบ
2. สิ่งที่ถูกถ่ายทอดจาก ท่าน มุญาฮิด จากการตัฟซีร "ตำแหน่งที่ได้รับการสรรญเสริญของท่านนบี(ซ.ล.)" คือการที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้นั่งข้างอัลเลาะฮ์บนบัลลังค์ (ซุบหานัลเลาะฮ์) ซึ่งการตัฟซีรแบบนี้นั้น บรรดาอุลามาอ์ต่างก็ตระหนักดี จนกระทั้ง ท่านอัลค๊อลลาล อัลหัมบะลีย์ ได้กล่าวถ่ายทอดไว้ในหนังสือ "อัสซุนนะฮ์" ของเขาว่า ผู้ใดที่กล่าวโกหกกับการตัฟซีรนี้ (คือร่อซูลได้นั่งข้างอัลเลาะฮ์) เขาย่อมเป็น ผู้ที่หลงทาง เป็นพวกอัลญะฮฺมีย์.....
3. มีบรรดานักรายงานมากมายที่เลื่องลือในเรื่องการรายงานหะดิษที่บ่งถึงอัลเลาะฮ์ทรงมีคุณลักษณะที่เป็นรูปร่าง โดยไม่มีความตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำการรายงานไป อาธิเช่น
(1) นุอัยม์ บิน หัมมาด ( نُعَيْم بن حماد ) (เกิด ปี ฮ.ศ. 146 เสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 228)
ซึ่งท่านอัซฺซฺะฮะบีย์ ได้เคยกล่าวไว้ตอนยังหนุ่ม เกี่ยวกับ นุอัยม์ บิน หัมมาด นี้ว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งจากแหล่งความรู้ (ดู หนังสือ อัลอุลู้ว์ ตัวบทลำดับที่ 427) ทั้งที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ นุอัยม์ บิน หัมมาด นี้ ท่าน อัลหาฟิซฺ อิบนุ อะดีย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับตัวเขา ไว้ใน (หนังสือ อัลกามิล ฟี อัฏฏุอะฟาอ์ เล่ม 7 หน้า 2482) ว่า
كان يضع الحديث فى تقوية السنة وحكايات عن العلماء فى ثلب أبى حنيفة
" นุอัยม์ บิน หัมมาด นั้นได้กุหะดิษ ในการสนับสนุนเกี่ยวกับซุนนะฮ์(หมายถึงเรื่องอากิดะฮ์แบบตัจญฺซีมและตัชบีฮฺ) และกุเรื่องเล่าต่างๆในการตำหนิท่านอบูหะนีฟะฮ์(ร.ฏ.) "
ท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์ ได้กล่าวนำเสนอหะดิษ บทหนึ่งไว้ใน )หนังสือ "ซัยลุเมาฏูอาต" หน้า 5 ) ที่ว่า
إذا أراد الله أن ينزل إلى السماء الدنيا نزل عن عرشه بذاته
" เมื่ออัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ ที่จะลงไปยังฟากฟ้าชั้นดุนยา พระองค์ก็ทรงลงมาจากบัลลังก์ ด้วยซาตฺของพระองค์เอง"
อิมามสะยูฏีย์กล่าววิจารณ์ว่า
أقول : أتبعنا نعيم بن حماد من كثرة ما يأتى بهذه الطامات ، وكم ندرأ عنه وعن الطرسوسى الراوى عنه...
ً" ฉันขอกล่าวว่า(คืออิมามสะยูฏีย์) นุอัยม์ บิน หัมมาด ทำให้เราเหนื่อย (จากการต้องตรวจสอบความถูกต้องของหะดิษ) เนื่องจากความวิบัติอันมากมายที่เขาได้นำมานี้ และเท่าไหร่แล้ว ที่เราได้ปฏิเสธ(สิ่งที่มา)จากเขา และจากอัฏฏุรซูซีย์ที่เป็นผู้ที่รายงานจากเขา..."
ท่าน อัล-มิซฺซีย์ ได้กล่าววิจารณ์เกี่ยวกับ นุอัยม์ บิน หัมมาด ไว้ในหนังสือของท่าน คือ (อัตตะฮ์ซีบ อัลกะมาล เล่ม 19 หน้า 466) ว่า
أنه يضع قصص وأحاديث فى ثلب الإمام أبى حنيفة
"แท้จริง นุอัยม์ บิน หัมมาด นั้น ได้กุโกหก เกี่ยวกับเรื่องเล่าต่างๆ และคำบอกเล่าต่างๆ เกี่ยวกับการตำหนิท่านอบูหะนีฟะฮ์ (ร.ฏ.) "
และ นุอัยม์ บิน หัมมาด ท่านนี้ ก็เป็นคนหนึ่งที่ท่าน อัลบุคอรีย์ได้รายงานจากเขา แต่! อิมามบุคอรีย์จะไม่รายงานจากเขา นอกจากจะมีรายงานของคนอื่นมาสมทบด้วย
และสำนวนการรายงานของ นุอัยม์ บิน หัมมาด ที่ว่า
ينزل عن العرش بذاته
"พระองค์ก็ทรงลงมาจากบัลลังก์ ด้วยซาตฺของพระองค์เอง"
ซึ่งท่าน อัลหาฟิซฺ บิน อับดุลบัรริ ได้ปฏิเสธไว้ในหนังสือ อัตตัมฮีด ของท่าน (ในเล่ม 7 หน้า 144) ว่า
وقال نعيم : ينزل بذاته وهو على كرسيه . قال أبوعمر : هذا ليس بشيء عند أهل الفهم من أهل السنة.
" นุอัยม์(บินหัมมาด) กล่าวว่า "อัลเลาะฮ์ทรงลงมาด้วยซาตฺของพระองค์เอง โดยที่พระองอค์อยู่บนกุรซีย์นั้น อบู อุมัร (คือท่านอิบนุอับดุลบัรริ) ขอกล่าวว่า (คำพูดของนุอัยม์) นี้ ไม่มีสิ่งใด(ที่ถูกต้อง) ตามทัศนะของอุลามาอ์ที่มีความเข้าใจ จากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์"
(2) มุกอติล บิน สุไลมาน ( مقاتل بن سليمان ) (เสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 155)
เขาคือ อาจารย์ของ กลุ่ม อัลมุญัสสิมะฮ์ ที่โดงดัง และเป็นผู้หนึ่งที่รายงานเกี่ยวกับ การที่ท่านนบีได้นั่งบนอะรัชกับอัลเลาะฮ์ในวันกิยามะฮ์ ดูรายละเอียดอื่นๆของเขาได้ใน หนังสือ (สิยัร อะลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 7 หน้า 201 - 202 )
(3) วะฮับ บิน มุนับบิฮ์ ( وهب بن منبه ) (เกิด ปี ฮ.ศ. 34 เสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 114)
ในกรณีของเขานี้ เราได้นำเสนอรายงานบางส่วนของเขาไปแล้ว คือ
إن السموات والبحار لفى الهيكل وإن الهيكل لفى الكرسى ، وإن قدميه عز وجل لعلى الكرسى كالنعل فى قدميه
" แท้จริง บรรดาฟากฟ้าและท้องทะเลนั้น อยู่ในโครงสร้างที่ใหญ่ และโครงสร้างที่ใหญ่นั้น อยู่ในเก้าอี้ และสองเท้าของอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์!!!) อยู่บนเก้าอี้ เหมือนกับรองเท้าที่อยู่ในเท้าสองข้างของพระองค์" (ซุบหานัลเลาะฮ์)
ท่าน อัซฺซะฮะบีย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับตัวเขาไว้ ใน หนังสือ (ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 4 หน้า 545) ว่า
روايته للمسند قليلة وإنما غزارة علمه فى الإسرائيليات ومن صحائف أهل الكتاب
" การรายงานของเขา กับสิ่งที่พาดพิงไปยังท่านนบีนั้น น้อย และแท้จริง ความรู้ของเขาอันมากมายนั้น คืออยู่ในเรื่องของบรรดาอิสริอีลียาต และจากบรรดาคำภีร์ฉบับต่างๆของอะฮ์ลิลกิตาบ"
(4) มุหัมมัด บิน กัรรอม อัสสะญัสสะตานีย์ ( محمد بن كرام السجستانى ) (เสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 255 ที่ชาม)
ท่าน อัซฺซะฮะบีย์ ได้กล่าวไว้ใน หนังสือ อัลมีซฺาน หมวด มุหัมมัด บิน กัรรอม ว่า
" เขาคือนักทำอิบาดะฮ์ เป็นอุลามาอ์กะลาม เป็นอาจารย์ของกลุ่ม อัลกัรรอมียะฮ์ ซึ่งหะดิษของเขานั้น ต้องเป็นอันตกไป เนื่องจากความบิดอะฮ์ของเขา.... และส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดอะฮ์ของกลุ่ม อัลกัรรอมียะฮ์ คือพวกเขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์เป็นรูปร่าง โดยที่ไม่เหมือนกับบรรดารูปร่าง(ของมัคโลค) และฉันได้นำประวัติของเขามากล่าวไว้ที่หนังสือ อัตตารีคกะบีรของฉัน และให้กับเขานั้น มีผู้เจริญรอยตามและบรรดสานุศิษย์ เขาถูกขังที่นัยซาบูร เนื่องจากบิดอะฮ์ของเขา ถึง 8 ปี หลังจากนั้น เขาก็ได้ออกมา และเดินทางไปยัง บัยตุลมักดิส และเสียชีวิตที่ชาม ปีที่ 255 "
ท่านผู้อ่านครับ มุหัมมัด บิน กัรรอม นี้ถูกขังเพราะบิดอะฮ์ของเขาในเรื่องอากิดะฮ์ แล้วอิบนุตัยมียะฮ์ล่ะครับ ถูกขังเพราะอะไร? หากไม่ใช่เพราะเรื่องบิดอะฮ์ที่เขาก่อขึ้นมาอีก และอิบนุตัยมียะฮ์ก็ถูกขัง แล้วก็ถูกปลดปล่อยออกมา แต่! อิบนุตัยมียะฮ์ปฏิเสธ คือเขาเลือกที่จะถูกคุมขังต่อไป และก็ได้เสียชีวิตในที่คุมขัง แต่วะฮาบีย์บางคนกล่าวว่า อิบนุตัยมียะฮ์ถูกคุมขังจนตาย คือถูกคุมขังจนตาย ทั้งที่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอิบนุตัยมียะฮ์ได้ถูกสั่งปล่อยแล้ว แต่เขาเลือกที่จะอยู่ต่อไป แต่คำว่า"ถูกขังจนตายนี้" ทำให้วะฮาบีย์เกิดความประทับใจ และเชื่อว่า บรรดาอุลามาอ์ทั้ง 4 มัซฮับนั้นได้ทำการหุกุ่มคุมขัง จนเป็นเหตุ(นี้คือความเห็นของผมนะ) ทำให้กลุ่มวะฮาบีย์รังเกียจผู้ที่มีมัซฮับ จนบางคนกล่าวว่ามัซฮับทั้งสี่นั้น เป็นแนวทางของชัยฏอน!!สร้างความแตกแยก เหมือนกับที่อัลกุรอานและหะดิษได้กล่าวไว้ จนกระทั้งวะฮาบีย์บางคนคิดเลยเถิดไปว่า การตามอิมามมัซฮับทั้งสี่นั้น เหมือนกับการตามพวกบาตรหลวงและนักบวชของพวกยิวและนะซอรอ โดยยกอายะฮ์ที่มีความหมายตามนัยนี้มาสำทับ แต่บางคนพูดออกมาว่า มัซฮับเรื่องฟิกห์นั้นเขายอมรับกันทั้งนั้น อันนี้ก็แล้วแต่จะพูด แต่พฤติกรรมที่แสดงออกมานั้น มันส่อ ดังนั้น การที่อิบนุตัยมียะฮ์ถูกขังนั้น ก็เพราะบิดอะฮ์ของเขาที่เกี่ยวกับอากิดะฮ์ ที่เสมือนกับการถูกคุมขังของมุหัมมัด บิน อัลกัรรอม!! ซึ่งถ้าอิบนุตัยมียะฮ์ดเจ๋งเพราะถูกคุมขัง มุหัมมัด บิน กัรรอม ก็เจ๋งด้วยล่ะครับ แต่วะฮาบีย์เขาชอบเอาไปเทียบกับอิมามอะหฺมัดครับ เพราะมันจะได้ดูดี ทั้งที่มันคนละกรณีกับประเด็นของอิมามอะหฺมัด เพราะอิมามอะหฺมัดถูกลงโทษและคุมขังเพราะปฏิเสธเรื่อง อัลกุรอานนั้นเป็นมัคโลค แต่กรณีอิบนุตัยมียะฮ์นั้นไม่ใช่เลยครับ แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ท่านผู้อ่านก็โปรดติดตามใน บทบาทของพวกอัลมุญัสสิมะฮ์ในช่วงสมัยที่ 4 ของกลุ่มอัลมุยัสซิมะฮ์ครับ ซึ่งมันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นการชี้ว่าใครคือสะลัฟตัวจริง!!! _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 6:21 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถึงคุณไออาเอฟ ผมจะเริ่มทำการสนทนาและตอบในสิ่งที่คุณตั้งคำถามให้กับผม และผมก็จะตอบไปเรื่อยๆ ทีละประเด็น กรุณาโปรดอย่ารีบร้อนแบบขอคำตอบทั้งทีเดียวเลย เพราะมันมีปัญหาเรื่องเวลา แต่สิ่งที่ผมจะถามคุณนั้น คุณจะต้องตอบคำถามผมเช่นเดียวกัน
อ้างอิงจากไออาเอฟ
ดังหลักฐานที่ผมเคยยกไปแล้วว่า
ท่านอัล-วะลีด บินมุสลิมกล่าวว่า ฉันได้ถามท่านอัล-เอาซาอีย์และท่านซุฟยาน บินอุยัยนะฮฺ และท่านมาลิก บินอนัส ถึงบรรดาหะดิษที่เกี่ยวกับคุณลักษณะ และการมองเห็นดังกล่าวข้างต้นนี้ พวกเขาทั้งหมดตอบเหมือนกันว่า จงให้มันเป็นไปตามที่มีอยู่เถิด โดยมิต้องตัดทอนใดๆ"
ตอบ
ความจริงแล้ว ผมเองก็รอดูคุณไออาเอฟว่าเขาจะเอาอย่างไร ซึ่งประเด็นต่างๆที่เขาถามผมมานี้ ผมได้ตอบในการสนทนาแล้วในกระทู้นี้ แต่คุณไออาเอฟก็ไม่รู้เรื่อง มัวแต่ไปทวงคำถามสร้างภาพไปวันๆ หากคุณได้อ่านคำสนทนาของผมที่ผ่านมานั้น มันล้วนแต่มีคำตอบให้ทั้งสิ้น และผมก็บอกว่าสิ่งที่ต่างๆที่คุณอ้างมานั้น ผมก็ผ่านมาแล้ว แต่คุณกลับไปบอกว่าผมแค่พูดอวดเบ่ง ทั้งที่ผมก็ชี้แจงไปแล้วกับบังอะสัน แต่คุณทำเป็นหนวกบอดใบ้โดยไม่ใช้สติปัญญาใคร่ควรค้นหาอ่านในสิ่งที่ผมได้เคยนำเสนอไป
เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า
ก่อนอื่นผมขอวิจารณ์การแปลแบบของคุณไออาเอฟที่วะฮาบีย์ต่างให้การเชียร์และชมเชยกันสักหน่อย
คุณไออาเอฟ แปลว่า "จงให้มันเป็นไปตามที่มีอยู่เถิด"
ที่ทั้งภาษาอาหรับกล่าวว่า
أمروها كما جاءت
ซึ่งหมายความว่า"พวกท่านจงผ่านมันไป เฉกเช่นที่มันได้มี(ระบุ)มา"
แต่แปลนั้นมาว่า "จงให้มันเป็นไปตามที่มีอยู่" นั้น มีอยู่อย่าไร? อันนี้ผมไม่ทราบ หรือว่าให้มีอยู่แบบความหมายที่วะฮาบีย์เขาจะเอาอันนี้ค่อยว่ากัน แต่ถ้าแปลว่า" พวกท่านจงผ่านมันไป เฉกเช่นที่มันได้มี(ระบุ)มา" อันนี้ไม่มีปัญหา เนื่องจากเราผ่านมันไป โดยมอบหมายทั้งหมดให้กับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทั้งในแง่ความหมายและวิธีการ
คุณไอเอฟแปลอีกว่า "โดยมิต้องตัดทอนใดๆ"
อันนี้ผมไม่ทราบว่าเขาไปเอาความหมายแบบนี้มาจากใหน หรือสายรายงานใหน? บรรดาอิมาม อัลเอาซะอีย์ อิมามซุฟยาน บินอุยัยนะฮ์ และอิมามมาลิก ได้กล่าวอย่างนี้หรือเปล่า??? ทั้งที่สายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺนั้นกล่าวว่า
بلا كيفية
"โดยไม่มีวิธีการ"
แต่หากมีสายรายงานอื่นอีกก็โปรดยกมายืนยัน ไม่เช่นนั้น คุณจะถูกข้อหาโกหกบิดเบือนคำพูดของบรรดาอุลามาอ์
จากคำกล่าวของ ท่านอัล-วะลีด บิน มุสลิม นี้ ผมได้เคยนำเสนอสนทนาไปแล้ว ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้
และอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการมีของบรรดามัคโลคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคุณลักษณะใดก็ตาม อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า
ليس كمثله شيء وهو السميع البصير
ความว่า ไม่มีสิ่งใดคล้าย เสมือนกับพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยินยิ่ง และทรงเห็นยิ่ง อัชชุรอ 11
มีอุลามาอฺบางส่วนเข้าใจว่าอายะฮฺนี้ปฏิเสธเพียงแค่การเหมือน( المثيل ) เท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เป็นเช่นนั้น เพราะอักษร ك ของคำว่า كمثله นั้น เขาเรียกว่า كاف التشبيه ก๊าฟที่ให้ความหมายถึงความคล้ายคลึง ดังนั้นอายะฮฺดังกล่าวนี้ จึงปฏิเสธความหมายของการเหมือนและความคล้ายคลึงไปพร้อมๆ กัน
แต่อิบนุตัยมียะฮฺและสลัฟ(วะฮาบีย์)ปัจจุบันนั้น ได้ยืนยันการมี تشبيه คือการคล้ายคลึงระหว่างอัลเลาะฮฺและมัคโลค คือพวกเขากล่าวว่า อัลเลาะฮฺทรงนั่ง สัมผัส อยู่บนมัคโลค(อะรัช) ถึงขนาดว่าบรรดามะลาอิกะฮฺต้องหนักอึ้ง ซึ่งคำเชื่อดังกล่าวนี้ ไม่มีอุลามาอฺซะลัฟท่านใดเชื่อและกล่าวอย่างนี้ ดังนั้น ผมก็เฝ้าขอหลักฐานจากคุณอะสัน(และไออาเอฟอีกคน)เกี่ยวกับ การที่อัลเลาะฮฺนั่ง الجلوس สถิตสัมผัสหนักอึ้งอยู่บนอะรัช ว่ามีสะลัฟท่านใดที่กล่าวแบบนี้ คุณอะสันบอกว่ามีหลักฐานเพียบแต่คุณอะสันยกมากี่ทีๆ ก็ไม่ตรงประเด็นสักที
คำว่า تشبيه นั้นหมายถึง
هو إثبات المماثلة بين الله تعالى وبين شىء من خلقه بوجه من الوجوه
หมายถึง คือการยืนยันถึงการเหมือนระหว่างอัลเลาะฮฺและสิ่งหนึ่งจากบรรดามัคโลคของพระองค์ ด้วยหนทางใดหนทางหนึ่ง จากบรรดาหนทางต่างๆ
ดังนั้นคำว่า بوجه من الوجوه คือมีการเหมือนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเหมือนในลักษณะเดียวสักทีก็ตาม นั่นก็ถือว่า تشبيه แล้ว เช่นการบอกว่า อัลเลาะฮฺนั่ง الجلوس สถิตสัมผัสหนักอึ้งอยู่บนอะรัช คำกล่าวแบบนี้ถือว่าอันตรายครับ
ท่าน อิบนุ บันนา อัลบุฆดาดีย์ อัลฮัมบาลีย์ กล่าวว่า สำหรับพวก อัลมุชับบิฮะฮฺ المشبه และพวกอัลมุญัสสิมะฮฺ المجسمة นั้น คือพวกเขาได้ทำให้บรรดาซีฟัต คุณลักษณะของอัลเลาะฮฺนั้น เหมือนกับบันดาลักษณะของมัคโลค ดู หนังสือ อัลมุคตาร ฟี อุซูล อัซซุนนะฮฺ หน้า 77 ตีพิมพ์ที่ศูนย์หนังสือ อัลอุลูม วะ อัลหิกัม มะดีนะฮฺ อัลมุเนาวะเราะฮฺ
ท่านอิมาม อัล-บัยฮะกีย์ได้กล่าวรายงานไว้ในหนังสือ อุสสุนันอัลกุบรอของท่าน ว่า
أخبرنا محمد بن عبد الله الحافظ ثنا أبو بكر محمد أحمد بن بالويه ثنا محمد بن بشر بن مطرثنا الهيثم بن الخارجة ثنا الوليد بن مسلم قال : سئل الأوزاعى ومالك وسفيان الثورى والليث بن سعد عن هذه الأحاديث التى جاءت فى التشبيه فقالوا : أمروها كما جاءت بلا كيفية .
" ได้บอกเล่ากับเรา โดยมุฮัมมัด บิน อับดิลลาฮฺ อัลหาฟิซฺ ได้เล่ากับเรา โดยอบูบักร มุฮัมมัด อะหฺมัด บาลุวัยฮฺ ได้บอกเล่ากับเรา โดยมุฮัมมัด บิน บิชรฺ ได้บอกเล่ากับเรา โดยมะฏ๊อร ได้บอกเล่ากับเราโดย อัลฮัยษัม บิน อัลคอริญะฮฺ ได้บอกเล่ากับเรา โดย อัลวะลีด บิน มุสลิม เขากล่าวว่า " ท่านอัลเอาซฺะอีย์ ท่านมาลิก ท่านซุฟบาน อัษเษารีย์ และท่านเลัยษ์ บิน ซะอัด ได้ถูกถามจากบรรดาฮะดิษที่มีมาในการตัชบีฮฺ(มีการคล้ายคลึ่งระหว่างอัลเลาะฮฺและมัคโลค) ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า "พวกท่านจงผ่านมันไป เฉกเช่นที่มันได้มี(ระบุ)มา โดยไม่(รู้ว่าวิธีการ)มีอย่างไร " ดู สุนัน กุบรอ ของท่าน อัลบัยฮะกีย์ เล่ม 2 หน้า 3
แต่คำกล่าวของบรรดาอุลามาอฺสลัฟที่ซอเฮี๊ยะฮฺนี้ คุณอะสันไม่เคยให้ความสนใจมันเลยครับเท่าที่ผมสนทนามา คุณอะสันโปรดพิจารณาครับต่อไปครับ
1. คำว่า التى جاءت فى التشبيه ย่อมชี้ให้เห็นถึงความถูกต้องในสิ่งที่อุลามาอฺ อะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺจาก อัลอะชาอิเราะฮฺและอัลมะตูรีดียะฮฺได้กล่าวไว้ว่า บรรดาตัวบทที่ทำให้คิดว่ามีความคล้ายคลึง تشبيه ได้นั้นหากมันได้ถูกตีความบนความหมายแบบผิวเผิญที่เข้าไปอยู่ในสมองของเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ อุลามาอฺซะลัฟอัซซอและหฺมีจุดยืนอย่างไรหรือครับ ? ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาคำกล่าวของอุลามาอฺซะลัฟต่อไปว่า
2. คำว่า : أمروها كما جاءت ท่านจงผ่านมันไป เฉกเช่นที่มันได้มี(ระบุ)มา หมายถึง การผ่านตัวบทนั้นไป โดยไม่ต้องพิจารณาให้ลึกถึงความหมายของมัน และมอบหมายความหมายที่แท้จริงให้กับอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)แต่เพียงผู้เดียว เช่นอายะฮฺทีว่า
الرحمن على العرش إستوى
คำว่า إستوى นั้น อุลามาอฺซะลัฟอัซซอและหฺ ได้อ่านผ่านพ้นมันไป เหมือนกับที่มันได้ถูกระบุมา โดยมอบความหมายที่แท้จริงให้กับอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)เท่านั้น แต่อิบนุตัยมียะฮฺและพวกสลัฟ(วะฮาบีย์)ปัจจุบัน บอกว่า إستوى นั้น คือการนั่ง الجلوس สถิตสัมผัสหนักอึ้งอยู่บนอะรัช ซุบฮานัลเลาะฮฺ แบบนี้ไม่ใช่หนทางของซะลัฟซอและหฺ
รายงานจากหนทางของ อบูบักร อัตฏ๊อบอีย์ เขากล่าวว่า มัซฮับอะฮฺลิสซุนนะฮฺ เกี่ยวกับคำตรัสของอัลเลาะฮ(ซ.บ.) ที่ว่า الرحمن على العرش إستوىนั้นคือไม่รู้วิธีการอย่างไร ? และมีรายงานอันมากมายในเรื่องนี้ จากบรรดาอุลามาอฺสะลัฟ และก็เป็นแนวทางของอิมามชาฟิอีย์และอิมามอะหฺมัด ดู ฟัตหฺ อัลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 143 แล้วอิบนุตัยมียะฮฺและสลัฟ(วะฮาบีย์)ปัจจุบันนั้น พวกเขาตามอิมามชาฟิอีย์และอิมามอะหฺมัดหรือเปล่าครับเนี่ย?
และว่าคำว่า "จงผ่านมันไป" นั้น ( إمرارها) คือผ่านพ้นมันไป โดยไม่หยุดมาพิจารณา โดยมอบความหมายของมันให้กับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) นี้คือ การมอบหมายแบบสะลัฟที่แท้จริง และเป็นหลักการข้อแรกของอัลอะชาอิเราะฮ์
3. بلا كيفية โดยไม่รู้วิธีการว่าเป็นอย่างไร คือปฏิเสธวิธีการว่าเป็นอย่างไรกับซาตฺและซีฟัตของอัลเลาะฮฺ
ท่านอะหฺมัด บิน อับดิลและฮฺ อัลอะญะลีย์ได้กล่าวไว้ใน ตารีค ของเขาว่า บิดาของฉันเล่าวว่า ท่าน รอบิอะฮฺ(อาจารย์ของอิมามมาลิก)กล่าวว่า
سئل كيف إستوى ؟ فقال الكيف غير معقول ، وعلى الرسول البلاغ وعلينا التصديق
เขาได้ถูกถามว่าอัลเลาะฮฺทรง إستوى อย่างไร ? เขากล่าวว่า วิธีการอย่างไรนั้น ไม่สามารถคิดไปถึงได้ และบนท่านร่อซูล ต้องเผยแพร่ และจำเป็นบนเราต้องเชื่อ ดู ซิยัร อะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 6 หน้า 90
ได้ระบุไว้ในหนังสือ ฏ่อบ่าก๊อต อัลหะนาบิละฮฺ ของท่าน อบี ยะอฺลา ว่า
أن الإمام أحمد يقول : والله تعالى لم يلحقه تغير ولا تبدل ولا يلحقه الحدود قبل خلق العرش ولا بعد خلق العرش
ความว่า" แท้จริง อิมามอะหฺมัด กล่าวว่า อัลเลาะฮฺ ตะอาลา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มาเกี่ยวพันกับพระองค์ และไม่มีขอบเขตมาเกี่ยวพันกับพระองค์ ไม่ว่าก่อนสร้างอะรัชหรือหลังการสร้างอะรัชแล้ว" ฏ่อบ่าก๊อต อัลหะนาบิละฮฺ เล่ม 2 หน้า 297
ท่านอิมาม อัซซะฮะบีย์ ได้กล่าวว่า "สิ่งที่ถูกรักษาไว้ จากคำพูดของอิมามาลิก(ร.ห.) คือการรายงานของ อัล-วะลีด บิน มุสลิม แท้จริงเขาได้ถามอิมามมาลิกเกี่ยวบรรดาหะดิษซีฟาต ท่านอิมามาลิกตอบว่า "ท่านจงทำการผ่านมันไป เฉกเช่นที่มันได้มี(ระบุ)มา โดยไม่มีการอธิบาย" ดู (ซิยัส อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 8 หน้า 105)
ท่านหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟัตหุลบารีย์ ว่า " ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้กล่าวสายรายงาน ที่ซอเฮี๊ญะหฺ จากอะหฺมัด บิน อบีอัลหะวารีย์ จากท่านซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ ซึ่งท่านซุฟยานกล่าวว่า ทุกๆสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณากับพระองค์เองในอัลกุรอานนั้น การอธิบายมันคือการอ่านมันและหยุดนิ่งจากมัน" (ขอโทษที่ผมลืมเขียนอ้างอิง วันหลังจะนำมาให้ อินชาอัลเลาะฮ์)
แต่อิบนุตัยมียะฮฺและวะฮาบีย์ปัจจุบันนั้นไม่ยอมหยุดนิ่ง ไม่ยอมทำการอ่านผ่านมันไป แต่พวกเขากลับไปกระดิกปากบอกว่ากล่าวว่าอัลเลาะฮฺทรงนั่ง الجلوس สถิตสัมผัสหนักอึ้งอยู่บนอะรัช ดังนั้นผมขอถามไออาเอฟบ้างว่า
1. คุณแปลอีกว่า "โดยมิต้องตัดทอนใดๆ" ไปเอาสายรายงานที่มีความหมายจากคำพูดของบรรดาอุลามาอ์ทั้ง 3 ท่านมาจากใหน??
2. แล้วมีสะลัฟท่านใหนบ้างหรือที่บอกว่า "อัลอิสติวาอ์" ที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาไว้ให้กับพระองค์นั้น คือการนั่ง
3. แล้วคำว่า พระองค์หนักอึ้งนั้น มันเป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาเอาไว้ให้กับพระองค์เองหรือไม่? และผู้ที่กล่าวว่าพระองค์ทรงหนักอึ้งนั้น หุกุ่มว่าอย่างไร?
สามข้อนี้เป็นกับดักแมวครับ ที่จำเป็นต้องตอบโดยหลีกเลี่ยงไม่พ้น (เหมือนกับที่เขาเคยพูดกับผมเอาไว้) _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 6:30 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้างอิงจากไออาเอฟ
อิม่ามอบูหะนีฟะฮฺ กล่าวว่า
ไม่เป็นการบังควรที่บุคคลหนึ่งจะพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกี่ยวกับอาตมัน(ซาต)ของอัลลอฮฺ ทว่าเขาจงให้ลักษณะพระองค์ตามที่พระองค์ให้ลักษณะตัวของพระองค์เอง และเขาอย่าได้กล่าวสิ่งหนึ่งสิ่งใดในเรื่องนั้นด้วยความคิดเห็นของตนเอง ความจำเริญยิ่งเป็นของอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงเป็นผู้อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย (หนังสือ ชัรหุล อะกีดะดิฏ-เฏาะฮะวียะฮฺ)
และเมื่อถูกถามถึง การเสด็จลงมาของอัลลอฮฺเป็นอย่างไร? ท่านก็ตอบว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาโดยไม่มีวิธีการ (อ้างแล้วข้างต้น)
ตอบ
คำกล่าวของอิมามอบูหะนีฟะฮ์นี้ ผมหาไม่เจอว่าท่านอบูหะนีฟะฮฺได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มใหน? คุณอ้างมาแบบไม่มีการอ้างอิง ก็ต้องหน้าที่ของคุณแล้วที่ต้องหาหนังสืออ้างอิงคำพูดของอบูหะนีฟะฮ์นี้ ?? หรือว่าคุณตักลีดแบบตาบอดตามเขามาอีกที ?? อันนี้คุณต้องพิสูจตัวเอง
แต่ผมอ่านเจอคำพูดของอบูหะนีฟะฮ์ที่ว่า
ท่านอิมามอบูหะนีฟะฮฺ กล่าวว่า
ونقر بأن الله سبحانه وتعالى على العرش استوى من غير أن يكون له حاجة إليه واستقرار عليه، وهو حافظ العرش وغير العرش من غير احتياج، فلو كان محتاجا لما قدر على إيجاد العالم وتدبيره كالمخلوقين، ولو كان محتاجا إلى الجلوس والقرار فقبل خلق العرش أين كان الله، تعالى الله عن ذلك علوا كبيرا
ความว่า "เรายอมรับว่า แท้จริง อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงอยู่เหนืออะรัช โดยที่พระองค์ไม่ต้องการไปยังมัน และไม่ได้สถิตอยู่บนมัน พระองค์ทรงปกปรักรักษาอะรัชโดยที่ไม่ต้องการมัน ดังนั้น หากพระองค์มีความต้องการ แน่นอนพระองค์ก็ไม่มีความสามารถสร้างโลกและบริหารมันได้ โดยที่เหมือนกับบรรดามัคโลค และถ้าหากพระองค์ทรงต้องการไปยังการนั่งและสถิต(อยู่บนอะรัช) ดังนั้นก่อนที่พระองค์ทรงสร้างอะรัช พระองค์อยู่ใหน ? ? อัลเลาะฮฺทรงปราศจากจากสิ่งดังกล่าวอย่างยิ่งใหญ่ ดู กิตาบ วาซียะฮ์ ของอบูหะนีฟะฮ์ หน้า 2
งั้นผมถามคุณไออาเอฟ ซึ่งเป็นคำถามที่ 6 ว่า "คำกล่าวของอบูหะนีฟะฮ์ที่คุณอ้างมานั้น อยู่ในหนังสือใดของท่านอบูหะนีฟะฮ์ ?? _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 6:38 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้างอิงจากไออาเอฟ
อิม่ามนะอีม บินหัมมาด อัล-คุซาอีย์กล่าวว่า
"ผู้ใดที่ปฏิเสธสิ่งที่พระองค์ได้ให้ลักษณะต่อตัวของพระองค์เอง เขาผู้นั้นก็ตกเป็นกาฟิรฺ ส่วนสิ่งที่พระองค์หรือเราะซูลของพระองค์ได้ให้ลักษณะต่อตัวของพระองค์นั้นย่อมไม่ถือเป็นการเปรียบเหมือน"...และใครที่เชื่อตามนั้นก็คือคนที่อยู่ในแนวสลัฟ!
ถึงตรงนี้คุณอัซฮารีก็โต้แย้งว่า
อ้างอิงจากไออาเอฟ
...
ตอบ
.... คุณอัซฮารีจะโต้ผมทำนองว่า หุหุหุ มุขเก่าครับ หลักฐานพวกนี้เขารู้หมดแล้วแหละ แต่ต้องดูหลักฐานอื่นด้วย มันยังมีบทอื่นอีกที่ไม่ได้พูดอย่างนี้ ..อะไรทำนองนี้เป็นต้น
หรือคุณอัซฮารีอาจจะบอกว่าหลักฐานพวกนี้ฎออีฟเชื่อถือไม่ได้!
-------------------------
อัล-อัซฮะรีย์ ตอบว่า
คุณนั้นมั่ว ตั้งคำถามมาเอง แล้วตอบเอง แบบนี้มันมีที่ใหน? สงสัยคงอยากจะสนทนาในเรื่องนี้กับผมอย่างแรง พอผมไม่เข้า ก็ดันมาแอบอ้างกุโกหกคำพูดของคนอื่น เนี่ย ถ้าเป็นวิชาหลักพิจารณาหะดิษน่ะ ไออาเอฟ "ถูกกล่าวว่า กุโกหกคำพูดต่อผู้อื่น" เหมือนกับ นุอัยม์(ไม่ใช่นะอีม) บินหัมมาด อุลามาอ์ของไออาเอฟเขา ที่โกหกกุเท็จต่อร่อซูล และท่านอบูหะนีฟะฮ์ ฮ่าๆ
จากคำพูดของ ท่านนุอัยม์ บิน หัมมาด นั้น ทำไมไออาเอฟของเราถึง ไม่ยอมยกส่วนข้างหน้ามาให้หมด ปกปิดหมกเม็ดไว้ทำไม หรือว่าจะกระทบกระทั้งกับอะกีดะฮ์วะฮาบีย์ที่กำลังยึดกันอยู่ ฮ๋าๆ
ท่านนุอัยม์ บิน หัมมาด นั้น ฏออีฟ นำมาเป็นหลักฐานกับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ไม่ได้หรอกครับ เรามาดูสถานะภาพของเขากันครับ
นุอัยม์ บิน หัมมาด ( نُعَيْم بن حماد ) (เกิด ปี ฮ.ศ. 146 เสียชีวิต ปี ฮ.ศ. 228)
ซึ่งท่านอัซฺซฺะฮะบีย์ ได้เคยกล่าวไว้ตอนยังหนุ่ม เกี่ยวกับ นุอัยม์ บิน หัมมาด นี้ว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งจากแหล่งความรู้ (ดู หนังสือ อัลอุลู้ว์ ตัวบทลำดับที่ 427) ทั้งที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ นุอัยม์ บิน หัมมาด นี้ ท่าน อัลหาฟิซฺ อิบนุ อะดีย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับตัวเขา ไว้ใน (หนังสือ อัลกามิล ฟี อัฏฏุอะฟาอ์ เล่ม 7 หน้า 2482) ว่า
كان يضع الحديث فى تقوية السنة وحكايات عن العلماء فى ثلب أبى حنيفة
" นุอัยม์ บิน หัมมาด นั้นได้กุหะดิษ ในการสนับสนุนเกี่ยวกับซุนนะฮ์(หมายถึงเรื่องอากิดะฮ์แบบตัจญฺซีมและตัชบีฮฺ) และกุเรื่องเล่าต่างๆในการตำหนิท่านอบูหะนีฟะฮ์(ร.ฏ.) "
ท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์ ได้กล่าวนำเสนอหะดิษ บทหนึ่งไว้ใน )หนังสือ "ซัยลุเมาฏูอาต" หน้า 5 ) ที่ว่า
إذا أراد الله أن ينزل إلى السماء الدنيا نزل عن عرشه بذاته
" เมื่ออัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ ที่จะลงไปยังฟากฟ้าชั้นดุนยา พระองค์ก็ทรงลงมาจากบัลลังก์ ด้วยซาตฺของพระองค์เอง"
อิมามสะยูฏีย์กล่าววิจารณ์ว่า
أقول : أتبعنا نعيم بن حماد من كثرة ما يأتى بهذه الطامات ، وكم ندرأ عنه وعن الطرسوسى الراوى عنه...
ً" ฉันขอกล่าวว่า(คืออิมามสะยูฏีย์) นุอัยม์ บิน หัมมาด ทำให้เราเหนื่อย (จากการต้องตรวจสอบความถูกต้องของหะดิษ) เนื่องจากความวิบัติอันมากมายที่เขาได้นำมานี้ และเท่าไหร่แล้ว ที่เราได้ปฏิเสธ(สิ่งที่มา)จากเขา และจากอัฏฏุรซูซีย์ที่เป็นผู้ที่รายงานจากเขา..."
ท่าน อัล-มิซฺซีย์ ได้กล่าววิจารณ์เกี่ยวกับ นุอัยม์ บิน หัมมาด ไว้ในหนังสือของท่าน คือ (อัตตะฮ์ซีบ อัลกะมาล เล่ม 19 หน้า 466) ว่า
أنه يضع قصص وأحاديث فى ثلب الإمام أبى حنيفة
"แท้จริง นุอัยม์ บิน หัมมาด นั้น ได้กุโกหก เกี่ยวกับเรื่องเล่าต่างๆ และคำบอกเล่าต่างๆ เกี่ยวกับการตำหนิท่านอบูหะนีฟะฮ์ (ร.ฏ.) "
และ นุอัยม์ บิน หัมมาด ท่านนี้ ก็เป็นคนหนึ่งที่ท่าน อัลบุคอรีย์ได้รายงานจากเขา แต่! อิมามบุคอรีย์จะไม่รายงานจากเขา นอกจากจะมีรายงานของคนอื่นมาสมทบด้วย
และสำนวนการรายงานของ นุอัยม์ บิน หัมมาด ที่ว่า
ينزل عن العرش بذاته
"พระองค์ก็ทรงลงมาจากบัลลังก์ ด้วยซาตฺของพระองค์เอง"
ซึ่งท่าน อัลหาฟิซฺ บิน อับดุลบัรริ ได้ปฏิเสธไว้ในหนังสือ อัตตัมฮีด ของท่าน (ในเล่ม 7 หน้า 144) ว่า
وقال نعيم : ينزل بذاته وهو على كرسيه . قال أبوعمر : هذا ليس بشيء عند أهل الفهم من أهل السنة.
" นุอัยม์(บินหัมมาด) กล่าวว่า "อัลเลาะฮ์ทรงลงมาด้วยซาตฺของพระองค์เอง โดยที่พระองอค์อยู่บนกุรซีย์นั้น อบู อุมัร (คือท่านอิบนุอับดุลบัรริ) ขอกล่าวว่า (คำพูดของนุอัยม์) นี้ ไม่มีสิ่งใด(ที่ถูกต้อง) ตามทัศนะของอุลามาอ์ที่มีความเข้าใจ จากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์"
คุณไออาเอฟครับ เมื่อ ท่านนุอัยม์ บิน หัมมาด เป็นคนที่กุหะดิษนั้น คุณจะเอามาเป็นหลักฐานได้หรือ?
แต่หากเรายอมรับว่าคำกล่าวของ ท่านนุอัยม์ บิน หัมมาดนี้ ซอเฮี๊ยะห์ เราก็ขอพิจารณาตัวบทที่กล่าวไว้ ดังนี้
นุอัยม์ บิน หัมมาด กล่าวอย่างสมบูรณ์ว่า
" ผู้ใดที่ทำให้อัลเลาะฮ์เปรียบคล้ายคลึงกับมัคโลคนั้น เขาย่อมเป็นกาเฟร ผู้ใดที่ปฏิเสธสิ่งที่พระองค์ได้ให้ลักษณะต่อตัวของพระองค์เอง เขาผู้นั้นก็ตกเป็นกาฟิรฺ ส่วนสิ่งที่พระองค์หรือเราะซูลของพระองค์ได้ให้ลักษณะต่อตัวของพระองค์นั้นย่อมไม่ถือเป็นการเปรียบคล้ายคลึง"...(ดู หนังสือ อัล-อุลู้ว์ ของท่าน อัซซะฮะบีย์ ลำดับที่ 427 และหนังสือ มุคตะซ๊อร อัลอุลู้ว์ ของอัลบานีย์ หน้า 184)
วิจารณ์คำพูดของ นุอัยม์ บิน หัมมาด
ท่านนุอัยม์ กล่าวว่า "ผู้ใดที่ทำให้อัลเลาะฮ์เปรียบคล้ายคลึงกับมัคโลคนั้น เขาย่อมเป็นกาเฟร" เป็นคำพูดที่ถูกต้อง
งั้นผมถาม คุณไออาเอฟ เป็นคำถามที่ 7 ว่า "ผู้ทีกล่าวว่าอัลเลาะฮ์มีนิ้ว เพราะนิ้วเป็นส่วน(อวัยวะ)จากมือของอัลเลาะฮ์ นั้น เขาเป็นกาเฟรหรือไม่??"
นุอัยม์บินหัมมาด กล่าวว่า "ผู้ใดที่ปฏิเสธสิ่งที่พระองค์ได้ให้ลักษณะต่อตัวของพระองค์เอง เขาผู้นั้นก็ตกเป็นกาฟิรฺ" คำพูดนี้ไม่ใช่จะถูกต้องเสมอไป เพราะอัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
فاليوم ننساهم
และทรงตรัสอีกว่า
نسوا الله نسيهم
อันนี้ เราไม่ขอศรัทธาว่า คำว่าลักษณะ نسيان (ลืม) นี้ เป็นคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ เพราะอัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ว่า
وما كان ربك نسيا
ความว่า" และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น ไม่ทรงลืม"
เนื่องจากว่า ลักษณะการลืมนั้น เป็นคุณลักษณะที่บกพร่อง ไม่ใช่คุณลักษณะที่สมบูรณ์
นุอัยม์บินหัมมาด กล่าวว่า"ส่วนสิ่งที่พระองค์หรือเราะซูลของพระองค์ได้ให้ลักษณะต่อตัวของพระองค์นั้นย่อมไม่ถือเป็นการเปรียบคล้ายคลึง"
วิจารณ์
ซึ่งหากเขาหมายถึงถ้อยคำต่างๆเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ที่ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานนั้น คำพูดของเขาซอเฮี๊ยะหฺ แต่หากหมายถึงความหมายที่ว่า อัลเลาะฮ์ทรงนำท่านนบี(ซ.ล.) นั่งบนอะรัชอยู่ข้างๆพระองค์บนอะรัชในวันกิยามะฮ์ล่ะก็ แบบนี้ถือว่าโกหกใส่ท่านนบี(ซ.ล.)
มีคำถามเป็นกับดักเบื่อหนู อีกครับ คือว่า "ผู้ใดที่กล่าวว่าอัลเลาะฮ์ทรงนำท่านนบี(ซ.ล.)นั่งข้างๆบนอะรัชนั้น หุกุ่มกุฟุรหรือไม่???
ทวนคำถามเด็ด!! (ที่คุณไออาเอฟหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบไม่ได้)
1. คุณแปลอีกว่า "โดยมิต้องตัดทอนใดๆ" ไปเอาสายรายงานที่มีความหมายจากคำพูดของบรรดาอุลามาอ์ทั้ง 3 ท่านมาจากใหน??
2. แล้วมีสะลัฟท่านใหนบ้างหรือที่บอกว่า "อัลอิสติวาอ์" ที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาไว้ให้กับพระองค์นั้น คือการนั่ง
3. แล้วคำว่า พระองค์หนักอึ้งนั้น มันเป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาเอาไว้ให้กับพระองค์เองหรือไม่? และผู้ที่กล่าวว่าพระองค์ทรงหนักอึ้งนั้น หุกุ่มว่าอย่างไร?
4. งั้นผมขอถามไออาเอฟเป็นกับดักหนูข้อที่อีก คือ" คำว่า""การขึ้นอยู่นั้นมิอาจล่วงรู้ได้" นี้ เป็นคำของอิมามมาลิกหรือไม่?
5. งั้นผมถามคุณไออาเอฟ ซึ่งเป็นคำถามที่ 6 ว่า "คำกล่าวของอบูหะนีฟะฮ์ที่คุณอ้างมานั้น อยู่ในหนังสือใดของท่านอบูหะนีฟะฮ์ ??
6. งั้นผมถาม คุณไออาเอฟ เป็นคำถามที่ 7 ว่า "ผู้ทีกล่าวว่าอัลเลาะฮ์มีนิ้ว เพราะนิ้วเป็นส่วน(อวัยวะ)จากมือของอัลเลาะฮ์ นั้น เขาเป็นกาเฟรหรือไม่??"
7. มีคำถามเป็นกับดักเบื่อหนู อีกครับ คือว่า "ผู้ใดที่กล่าวว่าอัลเลาะฮ์ทรงนำท่านนบี(ซ.ล.)นั่งข้างๆบนอะรัชนั้น หุกุ่มกุฟุรหรือไม่???
คำถาม 7 ข้อนี้เป็นกับดักแมวครับ และให้เบื่อหนู ที่คุณไออาเอฟและวะฮาบีย์จำเป็นต้องตอบโดยหลีกเลี่ยงไม่พ้น (เหมือนกับที่เขาเคยพูดกับผมเอาไว้)
ส่วนประเด็นเรื่องการตะวีลนั้น คุณไออาเอฟโปรดรอผมนำเสนอในโอกาสต่อไปน่ะครับ อินชาอัลเลาะฮ์ _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 5:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คำถามของน้องอัลอัซฮารี
1. คุณแปลอีกว่า "โดยมิต้องตัดทอนใดๆ" ไปเอาสายรายงานที่มีความหมายจากคำพูดของบรรดาอุลามาอ์ทั้ง 3 ท่านมาจากใหน??
ตอบ
บังอะสันขอร่วมตอบด้วยคนนะครับ เออ...น้องอัล-อัซฮารีย รู้สึกว่าสุขุมขึ้นนะ คำว่า
أمِرّوها كما جاءت بلا كيف
ปล่อยมันให้ผ่านไป ตามที่มันปรากฏ โดยไม่ต้องอธิบายว่ารูปแบบนั้นเป็นอย่างไร
น้องอัลอัซฮารีครับ คำนี้ หมายถึง ปล่อยให้เป็นไปตามความหมายที่ปรากฏ(ในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ) โดยไม่ต้อง ไปอธิบายว่า รูปแบบหรือลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยการจำกัด เพราะพระองค์ทรงไม่สามารถที่จะนำสิ่งใดมาเปรีบเทียบได้ ไม่ได้หมายถึง ปล่อยมันไปโดยไม่ไปสนใจ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างที่น้องว่านั้นย่อมไม่ถูกต้อง นะครับน้อง
ลองมาพิจารณาคำพูดของท่านอิหม่ามอัตติรมิซิย์ ว่า
(( قد ذكر الله عز وجل في غير موضع من كتابه : اليد ، والسمع ، والبصر ، فتأولت الجهمية هذه الآيات ففسروها على غير ما فسر أهل العلم ، وقالوا : إن الله لم يخلق آدم بيده ، وقالوا : إن معنى اليد هاهنا القوة . وقال إسحاق بن إبراهيم ( وهو ابن راهويه ) - : إنما يكون التشبيه إذا قال يد كيد ، أو مثل يد ، أو سمع كسمع ، أو مثل سمع ، فإذا قال : سمع كسمع ، أو مثل سمع فهذا هو التشبيه . وأما إذا قال كما قال الله تعالى : يد وسمع وبصر ، ولا يقول كيف ، ولا يقول مثل سمع ، ولا كسمع ، هذا لا يكون تشبيهاً ، وهو كما قال الله تعالى في كتابه : { ليس كمثله شيء وهو السميع البصير }
อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเป็นเลิศยิ่ง ได้ทรงระบุคำว่า : اليد ، والسمع ، والبصر แล้วพวกอัลญะมียะฮตีความ(ตะอวีล)บรรดาอายะฮเหล่านี้ ไม่ตรงกับที่บรรดาผู้ที่มีความรู้จริง เขาอรรถาธิบายไว้ โดยพวกเขา(ฮัลญะฮมียะฮ)กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮทรงสร้างอาดัมด้วยพระหัตถของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า แท้จริงความหมายของคำว่ามือในที่นี้คือ พลัง และท่านอิสหาก บุตร อิบรอฮีม(ท่านคืออิบนุรอฮะวียะอ) กล่าวว่า ความจริงที่ว่า การเปรียบเทียบ(อัตตัชบีฮ)นั้น เมื่อเขากล่าวว่า มือนั้นดังเช่นมือ(ของเรา) หรือ มือนั้นเหมือนมือ(ของเรา) หรือการได้ยินนั้นดังเช่นการได้ยิน(ของเรา) หรือเหมือนการได้ยิน(ของเรา) ดังนั้นเมื่อเขากล่าวว่า
การได้ยินนั้นดังเช่นการได้ยิน(ของเรา) หรือเหมือนการได้ยิน(ของเรา) อย่างนี้แหละคือ การเปรียบเทียบ(อัลลอฮกับมัคลูค) และสำหรับเมือเขากล่าวเหมือนกับอัลลอฮตรัสว่า มือ การได้ยิน การเห็น โดยไม่ได้อธิบายรูปแบบว่าเป็นอย่างไร และไม่ได้กล่าวว่า เหมือนการได้ยิน และไม่ได้กล่าวว่าดังเช่นการได้ยิน อย่างนี้เขาไม่เรียกว่า การเปรียบเทียบ(ตัชบิฮ) และมันคือคำตรสของอัลลอฮในคัมภึร์ของพระองค์ที่ว่า(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ ทรงได้ยิน ทรงเห็น) - ดู อัล-ญามิอ เล่ม 3 หน้า 50
.................................
ขอแค่นี้ก่อน แล้วค่อยว่าต่อ เพราะตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลา จึงขอร้องน้องอัลอัซฮารี ได้ปล่อยออกมาที่ละนิดนะครับ เพราะบังและคนอื่นต้องทำมาหากินด้วย - ขอบคุณ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Jan 22, 2006 5:13 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แก้ไขข้อความข้างบน ที่ถูกต้องคือ
คำถามของน้องอัลอัซฮารี
1. คุณแปลอีกว่า "โดยมิต้องตัดทอนใดๆ" ไปเอาสายรายงานที่มีความหมายจากคำพูดของบรรดาอุลามาอ์ทั้ง 3 ท่านมาจากใหน??
ตอบ
บังอะสันขอร่วมตอบด้วยคนนะครับ เออ...น้องอัล-อัซฮารีย รู้สึกว่าสุขุมขึ้นนะ คำว่า
أمِرّوها كما جاءت بلا كيف
ปล่อยมันให้ผ่านไป ตามที่มันปรากฏ โดยไม่ต้องอธิบายว่ารูปแบบนั้นเป็นอย่างไร
น้องอัลอัซฮารีครับ คำนี้ หมายถึง ปล่อยให้เป็นไปตามความหมายที่ปรากฏ(ในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ) โดยไม่ต้อง ไปอธิบายว่า รูปแบบหรือลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยการจำกัด เพราะพระองค์ทรงไม่สามารถที่จะนำสิ่งใดมาเปรีบเทียบได้ ไม่ได้หมายถึง ปล่อยมันไปโดยไม่ไปสนใจ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างที่น้องว่านั้นย่อมไม่ถูกต้อง นะครับน้อง
ลองมาพิจารณาคำพูดของท่านอิหม่ามอัตติรมิซิย์ ว่า
(( قد ذكر الله عز وجل في غير موضع من كتابه : اليد ، والسمع ، والبصر ، فتأولت الجهمية هذه الآيات ففسروها على غير ما فسر أهل العلم ، وقالوا : إن الله لم يخلق آدم بيده ، وقالوا : إن معنى اليد هاهنا القوة . وقال إسحاق بن إبراهيم ( وهو ابن راهويه ) - : إنما يكون التشبيه إذا قال يد كيد ، أو مثل يد ، أو سمع كسمع ، أو مثل سمع ، فإذا قال : سمع كسمع ، أو مثل سمع فهذا هو التشبيه . وأما إذا قال كما قال الله تعالى : يد وسمع وبصر ، ولا يقول كيف ، ولا يقول مثل سمع ، ولا كسمع ، هذا لا يكون تشبيهاً ، وهو كما قال الله تعالى في كتابه : { ليس كمثله شيء وهو السميع البصير }
อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเป็นเลิศยิ่ง ได้ทรงระบุคำว่า : اليد ، والسمع ، والبصر แล้วพวกอัลญะมียะฮตีความ(ตะอวีล)บรรดาอายะฮเหล่านี้ ไม่ตรงกับที่บรรดาผู้ที่มีความรู้จริง เขาอรรถาธิบายไว้ โดยพวกเขา(บรรดาผู้ที่รู้จริง)กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮทรงสร้างอาดัมด้วยพระหัตถของพระองค์ และพวกเขา(พวกอัลญะฮมียะฮ)กล่าวว่า แท้จริงความหมายของคำว่ามือในที่นี้คือ พลัง และท่านอิสหาก บุตร อิบรอฮีม(ท่านคืออิบนุรอฮะวียะอ) กล่าวว่า ความจริงที่ว่า การเปรียบเทียบ(อัตตัชบีฮ)นั้น เมื่อเขากล่าวว่า มือนั้นดังเช่นมือ(ของเรา) หรือ มือนั้นเหมือนมือ(ของเรา) หรือการได้ยินนั้นดังเช่นการได้ยิน(ของเรา) หรือเหมือนการได้ยิน(ของเรา) ดังนั้นเมื่อเขากล่าวว่า
การได้ยินนั้นดังเช่นการได้ยิน(ของเรา) หรือเหมือนการได้ยิน(ของเรา) อย่างนี้แหละคือ การเปรียบเทียบ(อัลลอฮกับมัคลูค) และสำหรับเมือเขากล่าวเหมือนกับอัลลอฮตรัสว่า มือ การได้ยิน การเห็น โดยไม่ได้อธิบายรูปแบบว่าเป็นอย่างไร และไม่ได้กล่าวว่า เหมือนการได้ยิน และไม่ได้กล่าวว่าดังเช่นการได้ยิน อย่างนี้เขาไม่เรียกว่า การเปรียบเทียบ(ตัชบิฮ) และมันคือคำตรสของอัลลอฮในคัมภึร์ของพระองค์ที่ว่า(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ ทรงได้ยิน ทรงเห็น) - ดู อัล-ญามิอ เล่ม 3 หน้า 50
.................................
ขอแค่นี้ก่อน แล้วค่อยว่าต่อ เพราะตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลา จึงขอร้องน้องอัลอัซฮารี ได้ปล่อยออกมาที่ละนิดนะครับ เพราะบังและคนอื่นต้องทำมาหากินด้วย - ขอบคุณ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Jan 23, 2006 12:50 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
น้องอัล-อัซฮารีกล่าวว่า
บังอะสันครับ สิ่งที่เรากำลังสนทนากันนั้น เราเอาภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาคำภีร์อัลกุรอานและอัลหะดิษ มาเป็นพื้นฐาน ใฉนเลยบังอะสัน ถึงเอาหลักภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ มาอธิบายภาษาอาหรับ!!! ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และการที่เราพูดว่า "บนฟากฟ้านั้น" เนื่องจากเราอยู่ภายใต้ฟากฟ้า แต่นี่อัลกุรอานได้กล่าวไว้โดยใช้คำว่า " فى " ตามหลักกะกีกัตแล้ว "แปลว่าใน"
หากเป็นความหมายอื่น เช่นแปลว่า "บน" นั้น ต้องมี قرينة ที่มาเปลื่ยนจากการแปลว่า "ใน" เป็น "บน" เหมือนคำว่า فى الأرض จะหมายถึงว่า "ในแผ่นดิน" จริงๆนั้นคงไม่ได้ เพราะมี قرينةทางด้านปัญญาเรานั้น คิดว่าคนเราจะไม่มุดดินเดิน จึงใช้ให้ความหมายว่า "บนดิน" ซึ่งเขาเรียกว่า المجاز العقلى ซึ่งเช่นเดียวกับคำว่า فى النخل "ในต้นอินทผา" ตามที่อัลกุรอานบอกไว้ว่า
ตอบ
ก่อนอื่นขอนำคำตอบของท่านอิบนิตัยมียะฮ นักวิชาการ(อุลามาอ)ที่น้องกำลังจะกล่าวหาท่านว่าเป็นพวกมุญัสสิมะฮและทำลายความน่าเชื่อถือของท่านในขณะนี้ ท่านอิบนิตัยมียะฮ ได้อธิบายหะดิษญารียะ ซึ่งท่านนบี ศอลฯ ได้กล่าวแก่นางว่า
( أين الله؟ ) قالت: في السماء. لكن ليس معنى ذلك أن الله في جوف السماء، وأن السماوات تحصره وتحويه، فإن هذا لم يقله أحد من السلف الأمة وأئمتها؛ بل هم متفقون على أن الله فوق سماواته، على عرشه، بائن من خلقه؛ ليس في مخلوقاته شيء من ذاته، ولا في ذاته شيء من مخلوقاته
(อัลลอฮอยู่ที่ใหน?) นางตอบว่า ในฟากฟ้า (โดยท่านอธิบายว่า) แต่ไม่ได้มีความหมายแบบนั้น ว่า อัลลอฮอยู่ในโพรงของฟากฟ้า และแท้จริงบรรดาฟากฟ้านั้น ห้อมล้อมพระองค์และมันได้บรรจุพระองค์เอาไว้ ดังนั้น ไม่มีประชาชาติยุคสลัฟและบรรดาผู้นำในยุคนั้นคนใด พูดอย่างนั้น แต่ทว่า พวกเขามีมติฟ้องกันว่า อัลลอฮทรงสถิตเหนือฟากฟ้าของพระองค์ อยู่บนบัลลังค์(อะรัช) แยกออกจากมัคลูคของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจากซาตของพระองค์อยู่ในบรรดามัคลูคของพระองค์และไม่มีสิ่งใดจากบรรดามัคลูคของพระองค์ อยู่ในซาตของพระองค์ - โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือมัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 5 หน้า 251-256
..........................
ดังนั้น เรื่อง ภาษาอาหรับ คนอาหรับเขาย่อมเข้าใจนะครับ แต่ขอยืนยันว่า คำว่า في السماء สำนวนการแปลและความหมายของคำนี้คือ บนฟากฟ้าครับ
.....................................
น้องอัล-อัซฮารีโพสต์ข้อความว่า
ท่านผู้อ่านครับ แท้จริงแล้ว พวกอิฆรีค กรีก และยิวที่มีอากิดะฮ์อัลมุญัสสิมะฮ์นั้น พวกเขาต่างมีส่วนร่วม ในการพรรณาและจินตนาการว่า อัลเลาะฮ์นั้นอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ จนกระทั้งพวกเขาจินตนาการเลยเถิด โดยกล่าวว่า อัลเลาะฮ์มีภรรยาและมีบุตร (ซุบหานัลเลาะฮ์) และพวกเขาก็พรรณาว่าอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์) นั้น ทรงมีการมา ไป ลง ขึ้น หัวเราะ โกรธ และพวกเขายิ่งยืนยันให้กับอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์) ว่า พระองค์ทรงมีอวัยวะต่างๆเหมือนกับมนุษย์ และพระองค์ทรงมีรูปโฉมเหมือนชายหนุ่มที่หล่อเหลา หรืออยู่ในรูปโฉมที่แก่ชรา............................
ตอบ
และอยากจะให้น้องอัลอัซฮารี หยุดการกระทำเพื่อทำลายความเชื่อถือของอิบนิตัยมียะฮ โดยพยามให้คนเข้าใจว่า อิบนุตัยมียะฮมีความเชื่อแบบพวกยิว พวกกรีก เถอะครับ จรรยาบรรณของผู้รู้ศาสนา เขาไม่จองล้างจองพลาญคนที่มีทัศนะไม่ตรงกับตนแบบนี้หรอกน้อง จุดบกพร่องของมนุษย์ย่อมมีในชนทุกระดับ แต่การขุดขุ้ยขึ้นมาเพื่อจะดิสเครดิตนั้น อย่าเลยน้องรัก
เพราะผลเสียจะตกอยู่ที่น้องเอง และน้องไม่สามารถจะเอาชนะพวกที่น้องกล่าวหาว่า"พวกวะฮบีย์ได้หรอก" เพราะพวกเราไม่ได้สังกัดมัซฮับอิบนุตัยมียะฮ และไม่ได้หลับตาตามในทุกเรื่อง แต่เราเคารพและให้เกียรติท่านในฐานะอุลามาอแห่งโลกมุสลิม ที่เรียกร้องมาสู่แนวทางแห่งอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ หรือ แนวทางสะละฟุศศอลิหเท่านั้น |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
มุหัมมัด มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2005 ตอบ: 210
|
ตอบ: Mon Jan 23, 2006 7:51 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้างข้อความจากเวปมุรีด
No. : 7927
เรียนเวปมาสเตอร์มุรีด ดอทคอม
ผมคิดว่า คำร้องของคุณติดตามอ่าน นั้น คงไม่ทันการแล้วล่ะครับ เพราะน้องอัล-อัซฮะรีย์เขา ชอบการสนทนาในเวปมรดกฯมากกว่า เนื่องจากระบบกระดานเสวนาของเขาดี และเวปมาสเตอร์มรดกฯ ก็ให้โอกาสให้กับเราในการสนทนามานานแล้ว และนั่งก็ถือว่า เวปมาสเตอร์มรดกฯ นั้น เขาให้เกียตริและเปิดโอกาสให้แก่เรา ดังนั้น พวกเราจึงไม่เคยเอ่ยนามและกล่าววิจารณ์ถึง อาจารย์หรือผู้รู้ที่เป็นแกนนำในเวปมรดกฯ ในทางที่เสียหายเลยแม้แต่น้อย และกระผมก็อยากให้เวปมาสเตอร์มรดกฯ อดทน และใจกว้างในสิ่งที่น้องอัล-อัซฮะรีย์จะนำเสนอสนทนา"ในเชิงวิชาการ" อย่างที่พวกคุณได้ทำมาอยู่ก่อนแล้ว
ถึง ท่านฮาเก็ม ท่านชุกกรี (ที่เข้ามาอ่านในเวปนี้) ท่าน คนอยากรู้
เมื่อพวกท่านเข้าไปอ่านการสนทนาในเวปมรดก ก็สมควรที่จะทำการสนทนาออกความเห็นร่วมด้วย ก็จะเป็นการดีอย่างยิ่งครับผม เนื่องจากว่า ไอ้น้องอัล-อัซฮะรีย์ น้องชายสุดหล่อของผมนั้น ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยว่างสักเท่าไหร่ การที่เขาจะมาเฝ้าบอกว่า "ผมไม่ค่อยมีเวลานั้น" เขาเกรงว่า กลุ่มวะฮาบีย์ที่จ้องจะวิจารณ์เขานั้น จะกล่าวหาเขาว่าเลี่ยงประเด็นหรืออะไรต่างๆนาๆในทางที่เสียหาย จนทำให้เขาต้องเปอะเปื้อนโดยใช่เหตุ เมื่อเขาไม่ค่อยว่าง และน้องเขาก็มาขอร้องให้ผมเข้ามาสนทนาชี้แจงไปพลางๆ ไอ้ตัวกระผมก็ต้องเดือนร้อนอีกตามเคยล่ะครับ แต่น้องเขามีอุดมการณ์ที่จะชี้แจงความจริงที่เป็นสัจจะธรรม ไอ้กระผมก็ต้องยอมเข้ามาสนทนาชี้แจงอีกตามเคย จนกระทั้งคุณอะสันบอกว่า ผม "คือทนาย" ให้น้องเขา ฮ้าฮ้ายยย... ก็จะทำไงได้ละครับ ในเมื่อเรามาจากสำนักเดียวกัน คืออัล-อะชาอิเราะฮ์ และมัซฮับทั้ง 4 การสนทนาก็จะอยู่ในแนวทางเดียวกันแบบนี้แหละครับ มุอัสสะลาม
วันที่ส่ง: 23.1.2006 19:47:35 |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Konyakroo มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006 ตอบ: 244
|
ตอบ: Tue Jan 24, 2006 11:20 am ชื่อกระทู้: การแบ่ง |
|
|
คุณอัชอารี คุณมูฮำมัด
จริงๆแล้วผมนั่นติดตามดูการสนทนาของคุณทั้ง2อยุ่นะครับ แต่ด้วยเหตุผลที่ผมนั้นความรู้น้อยมาก
เลยไม่อยาก เข้ามาขัดจังหวะเนื้อหาที่คุณกำลังสนทนาอยุ่เพราะคิดว่าหลายๆคนต่างก็เฝ้าดูการเสวนาของคุณเช่นเดียวกัน
อ้างถึงบทความที่คุณยกมา
บทบาทอัลมุญัสมะฮ์ในช่วงยุคสมัยที่ 1
ท่านผู้อ่านครับ แท้จริงแล้ว พวกอิฆรีค กรีก และยิวที่มีอากิดะฮ์อัลมุญัสสิมะฮ์นั้น พวกเขาต่างมีส่วนร่วม ในการพรรณาและจินตนาการว่า อัลเลาะฮ์นั้นอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ จนกระทั้งพวกเขาจินตนาการเลยเถิด โดยกล่าวว่า อัลเลาะฮ์มีภรรยาและมีบุตร (ซุบหานัลเลาะฮ์) และพวกเขาก็พรรณาว่าอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์) นั้น ทรงมีการมา ไป ลง ขึ้น หัวเราะ โกรธ และพวกเขายิ่งยืนยันให้กับอัลเลาะฮ์(ซุบหานะฮ์) ว่า พระองค์ทรงมีอวัยวะต่างๆเหมือนกับมนุษย์ และพระองค์ทรงมีรูปโฉมเหมือนชายหนุ่มที่หล่อเหลา หรืออยู่ในรูปโฉมที่แก่ชรา
หากผู้ใดเคยได้เห็นบรรดารูปภาพที่แขวนหรือติดอยู่ที่ในโบสถ์ต่างๆนั้น เขาจะพบว่า ในนั้นมีรูปวาดของพระนางมัรยัม และมีนบีอีซา(อ.)อยู่ในอ้อมกอด และเบื้องบนของทั้งสองนั้น จะมีเมฆที่มีชายหนึ่งอยู่ ก็คือ พระเจ้า ที่พวกเขาอ้างมานั่นเอง ซึ่งอัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการและพรรณา
และพวกเขาก็จินตนาการอีกว่า อัลเลาะฮ์ทรงอยู่ในรูปของมะลาอิกะฮ์ที่สวมมงกฏ และนั่งประทับอยู่บนกุรซีย์(เก้าอี้ประทับ)ที่ใหญ่อหึมา! (ซุบหานั้ลเลาะฮ์) และพวกยิวได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า แท้จริงอลเลาะฮ์ทรงพักผ่อนในวันที่ 7 หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน แล้วพระองค์ก็นั่งประทับพิงอยู่บนอะรัช(บัลลังค์) และอื่นๆอีกมากมายที่พวกเขาได้จินตนาการ
แล้วพวกมุญัสสิมะฮ์ของประชาชาติอิสลามนี้ล่ะ พวกเขากล่าวเหมือนกับพวกยิวหรือไม่?
ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ได้ถ่ายทอดบรรดาอากิดะฮ์ จากคำภีร์อินญีลที่ถูกบิดเบือนไว้ใน หนังสือฟะตาวาของเขา ในเล่ม 5 หน้า 406 ว่า
وفى الإنجيل أن المسيح عليه السلام قال : لا تحلفوا بالسماء فإنها كرسى الله وقال للحواريين : إن أنتم غفرتم للناس فإن أباكم الذي فى السماء يغفر لكم كلكم ، انظروا إلى طير السماء فإنهن لا يزرعن ، ولا يحصدن ، ولا يجمعن فى الهواء ، وأبوكم الذى فى السماء هو الذى يرزقهم
ความว่า" และในคำภีร์อัลอินญีล(กล่าวว่า) แท้จริงมะซีหฺ(อีซา) อะลัยอิสลาม กล่าวว่า พวกเจ้าอย่าสาบานด้วยกับฟากฟ้า เพราะแท้จริงมันคือเก้าอี้พำนักของอัลเลาะฮ์ และอีซากล่าวแก่ อัลหาววารียีน (สาวกของเขา) ว่า แท้จริง พวกเจ้าได้อภัยแก่มวลมนุษย์ เพราะพระบิดาของพวกเจ้าที่อยู่ในฟากฟ้านั้น ได้อภัยแก่พวกเจ้าทั้งหมดแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าจงมองไปยังนกบนท้องฟ้าซิ พวกมันไม่ได้เพาะปลูก ไม่ได้เก็บเกี่ยว และเก็บรวบรวมบนอากาศ โดยที่บิดาของพวกเจ้าซึ่งอยู่ในฟากฟ้านั้น คือผู้ที่ให้ปัจจัยยังชีพกับพวกมัน"
พี้น้องทั้งหลายครับสิ่งที่คุณอัชอารี นำมา นั้น พี้น้องจงใช้สติและใคร่ครวญให้ดีนะครับ
ว่าแท้จริง พวกอะกีดะของ มุญัสสิมะฮ์ กับพวกอะกีดะ ของอิบนุมตัยมียะ แตกต่างกันหรือไม่
แต้ถ้าไม่แตกต่าง ก็ถือว่าท่านก็คือคนหนึ่งที่มีแนวความคิดเรื่องเตาฮีดเช่นเดียวกับพวกมุญัสสิมะฮ์ และถือว่าอันตรายมากครับ พี่น้องทั้งหลาย
คุณอัชอารีคุณมูฮำมัดครับ สิ่งที่คุณนำมานี้ มีประโยชน์มากเลยครับ อย่างน้อยก็สามารถทำให้พี่น้องเราบางคนได้ ตาสว่างบ้างครับ ในเรื่องเตาฮีดและการศรัทธา และสมควรที่จะเช็คตัวเองได้บ้างว่าเรานี่มี อากีดะถูกต้องแล้วหรือยัง
คุณอัชอารีและคุณมูฮำมัด ครับ
เดิมแรก ผู้คนที่อยู่ในแนวทางอีหม่ามชาฟีอี ก็มีความเข้าใจเตาฮีดนี้เฉพาะผู้ที่มีความรู้เท่านั้น แต่หลายๆคนที่ผมได้สัมผัส มักจะมีคำถามเสมอว่า ทำไมอากีดะของมัสหับวะฮาบีจึงแตกต่างกับมัสหับของ อีหม่าม ทั้ง 4 อย่างสิ้นเชิง ในเมื่อพวกเขามักอ้างว่า เขาคือต้นแบบของสลัฟ ที่บริสุทธิ์และไม่มีมลทินใดๆ(คำพูดของผู้ที่เผยแพร่)ทุกอย่างมาจากกิตาบุลลอฮ์และซุนนะนบี แต่ ทำไมเขากลับตักลีดตามอะกีดะ ของท่นอิบนุตัยมียะ ทั้งแท่ง และถ้า เป็นวิชาฟิกฮื กลับยึดทัศนะของอิหม่าม ฮัมบาลี และทำไมไม่เอาหลักเตาฮีด ฟิกฮ์ ตะเซาวุฟหรืออื่นๆของท่านอีหม่ามฮัมบาลีทั้งหมดมาใช้เลย นี่คือคำถามที่ผมได้สัมผัสมาครับ คุณอัชอารีและคุณมูอำมัด..
จิงๆแล้วผมนั้นไม่อยากพูดจาหรือเล่นสำนวนเหมือนบังฮะซันและคุณไออาเอพเลยครับคือไม่อยากที่จะสาธยายอะไรมาก เพราะจากบทความที่สนทนาของคุณทั้ง2 ตั้งแต่หน้าแรก กับคุณฮะซัน คุณไออาเอฟหรือบุคคลอื่นๆที่เป็นวะฮาบีย์ ก็พอจะสรุปได้ว่า
สิ่งที่เราพูดกันในเรื่องเตาฮีดโดยเฉพาะ อากีดะห์ของ มัสหับวะฮาบีย์นั้น รับมาจากการอีหม่าม อิบนุตัยมียะเป็นส่วนมาก ไม่ว่า การไม่ยอมตะวิ้ลความหมายอัลกรุอ่าน ในความหมายที่มีข้อความคลุมเครือ และเสี่ยงต่อความเข้าใจของคนที่เป็นมุสลิมคนอื่นๆและความรู้น้อยซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้อย่างละเอียด ***ดังนั้นมันจึงไม่ผิดอะไรเลยกับพวกเขา..ที่ไม่ยอมรับในการอยากให้ความหมายเป็นอย่างอื่น...เพราะเขาก็คือ ผู้เจริญรอยตามท่านอิบนึตัยมียะนั้นเอง ด้วยประการนี้มันจึงสอดคล้องกับสิ่งที่คุณฮัชอารี ยกบทความมาอ้างอิงให้พี่น้องที่หลงผิดได้ดูกันชัดๆ ว่า ที่แท้จริงอากิดะของท่านที่ตักลีด(ตาม)อยู่ในขณะนี้คืออะกีดะของท่านอีหม่ามอิบนุตัยมียะ(เสียชีวิตในห้องขังเมื่อ คศ1328) นั้นเอง
ซึ่งจะเห็นว่ามีความแตกต่างจากสาเหตุการเสียชีวิตของอีหม่ามทั้ง4 โดยสิ้นเชิง เพราะท่านอิบนุตัยมียะนั้น ถูกจองจำในห้องขัง โดยสาเหตุการผิดพลาดในเรื่อง เตาฮีด หรืออะกีดะ
นี่คือ ความแตกต่างที่ทุกๆท่านจะต้องกลับนำมาคิด และพิจารณา ว่า ในเมื่อผู้ที่เราตักลีดตาม มีเตาฮีดหรืออะกีดะแบบนี้แล้ว เราสมควรจะตามเขาอยู่อีกหรือ ก็ในเมื่ออะกีดะหรือหลักเตาฮีด เขาผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว และอย่างอื่นก็ถือว่าต้องผิดพลาดด้วยเช่นกัน... นี่คือหลักฐานที่ท่านยืนยันเรื่องการให้คำที่ศาลในครั้งสุดท้ายว่า ท่านนั้น
ยึดมั่น เเละเชื่อว่าพระเจ้านั้น นั่งมั่น (คือนั่งเหมือนมนุษย์)และนั่งจริงๆ อยู่บนบัลลังก์ ตรงกับที่บังฮะซันเข้าใจและยอมรับว่า อัลลอฮ์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินรวมภายใน6 วัน หลังจากนั่นพระองค์ทรงสถิตย์ หรือนั่ง
บนบังลังก์ เพื่อบริหารหรือจัดการกับกิจการต่างๆ (
นี่คือความเข้าใจของบังฮะซันและสหายที่ตักลีดและเชื่อมั่นตามท่านอีหม่ามอิบนุตัยมียะ) โดยข้อความนี้อ้างจากคุณซุกกรีถามและบังฮะซันโดยที่บังก็ยอมรับว่า ไม่แปลกอะไร**และไม่ได้ปฏิเสธิแต่อย่างใด
จะเห็นได้ว่า บรรดาสานุศิษย์ เช่นอัลบานี อิบนุกอยยิม ชาติบี ฯลฯก็ยังคงภักดี และเผยแพร่แนวทางนี้อย่างเงียบๆ หลังจากท่านอิบนุตัยมียะ เสียชีวิตแล้ว และจะสังเกตุได้ว่า ระยะเวลาเกือบ 400 ปี หลังจากนั้น จึงเริ่มมีการฟื้นฟูและเคลื่อนไหวใหม่ โดยมูฮำมัด บินอับดุลวาฮาบ(เสียชีวิตเมื่อ คศ.1787)...ตั้งแต่นั้นมา ต่อจากนั้นก็มี เซอร์ชัยยิด อะ หมัด คาน /ซัยยิด ญะมาลุดดีน อัลอัฟฆานี
ผมได้อ่านบทความที่คุณอัชอารีนำเสนอจากข้างต้นแล้ว.บวกกับอากีดะของท่านอิบนุตัยมียะ ก็ยอมรับ ว่า
มัสหับวาฮาบีย์ นั้นผิดพลาดเรื่องอะกีดะอย่างไร้แรงครับ...ไม่ว่า การให้ความหมายตรงๆโดยไม่ยอมตีความเป็นอย่างอื่นนับว่าเป็นความคิดที่สุดโต่งหรือตึงมากๆ ****ถึงแม้ว่าเขาคือผู้ยึดมัสหับวะฮาบียืทั้งหลาย จะได้คล้อยตามกับการให้ความหมายอัลกรุอาน ของอุลามะอาชาอีเราะก็ตามแต่ เขาเหล่านั้นก็ยังคงสร้างจุดยืน ไว้ในความสุดโต่ง คือ...ตามแนวของท่านอิหม่ามอิบนุตัยมียะ ที่เป็นผู้นำของเขาอยู่ดี และตลอดมา
ดังนัน สุภาษิตไทยจึงกล่าวว่า เมื่อแม่ปูเดินเช่นไร...ลูกปูก็ย่อมเดินเช่นนั้น
โอ้ อัลลอฮ์ จงเปลี่ยนแปลง พี่น้องของข้าพเจ้าอยู่ในหนทาง ที่ถูกต้องด้วยเถิด
**อิดีนัซซีรอต้อลมุสตะกีม ....(ขอพระองค์ทรงชี้นำทางที้ถูกต้องและเที่ยงตรงด้วยเถิด..
ทางไหนละ ***
**ซีรอตต้อลลารี...นาอันอัมตาอ่าลัยเฮม ..ก็คือ..ทางที่พระองค์ทรงเคยชี้นำกับรรดาชนรุ่นก่อนมาแล้ว..
**ฮัยรินมะดูบีอาลัยเฮม ไมใช่ทางของบรรดาผู้ที่ถูกโกรธกริ้ว
**วาลัดดอดลีน ...และบรรดาผู้ที่หลงผิด....
อามีน ***ขอพระองค์ตอบรับการเรียกร้องของข้าพระองค์ด้วยเถิด
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|