ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
st096 มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 08/04/2005 ตอบ: 19
|
ตอบ: Fri Dec 09, 2005 9:34 am ชื่อกระทู้: เปิดตำราทำความเข้าใจวิถีมุสลิม |
|
|
ไปเจอมา .... เอามาฝาก .... เห็นว่ามีประโยชน์
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9480000168907
ธนก บังผล
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
บ่อยครั้งที่คนไทยไม่ละเอียดอ่อนต่อวิถีของชาวมุสลิมตามหลักศาสนาอิส ลาม ทำให้ปฏิบัติต่อพี่น้องมุสลิมอย่างผิดๆ และไม่ว่าความผิดนั้นจะเกิดมาจากความไม่ได้ตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ต าม แต่ผลกระทบที่ตามมา ยิ่งทำให้ทัศนคติของคนไทยส่วนใหญ่ที่มีต่อพี่น้องมุสลิมเป็นไปในแง่ลบมากยิ่ งขึ้น
ด ังนั้น เราจึงต้องหันมาทำความเข้าใจกับวิถีปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามให้มากขึ้น โดยเฉพาะในห้วงนี้ ที่มีสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อลดปมของความไม่เข้าใจ และร่วมกันสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น
หากพลิกไปดูงานวิจัยของ ผศ.ปิยะ กิจถาวร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลร่วมกับบัณฑิตอาสาสมัครของ มอ. และหน่วยงานประสานการวิจัยเพื่อท้องถิ่นภาคใต้ โดยความร่วมมือกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ช่วงเดือน ก.พ.ถึง เม.ย.2548 เพื่อศึกษาวิถีและอัตลักษณ์ของชาวมุสลิม จากการสังเกตและสัมภาษณ์ชาวบ้านมุสลิม 7 ชุมชนนั้น
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเบื้องต้นที่คนไทยทั้งประเทศควรรู้เกี่ยวกับชาวไ ทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่ามกลางสถานการณ์รุนแรงในปัจจุบัน
ประการแรก ต้องเข้าใจก่อนว่า คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการความสงบสุขเฉกเช่นเดียวกับคนทั้งโลก สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าออกไปไหนในเวลาค่ำคืน รู้สึกหวาดผวาตามข่าวที่ถูกนำเสนอทางโทรทัศน์ และสาเหตุที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไปทำงานในประเทศมาเลเซียเพิ่มมากขึ้น ก็เพราะปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
แ ม้จะรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน กลัวคนภายนอกหมู่บ้าน แต่ถ้าเป็นคนในหมู่บ้านด้วยกันแล้วจะไม่รู้สึกกลัวเพราะรู้จักกันหมด และที่น่าสนใจคือบางหมู่บ้านที่มีประชากรไทยพุทธอาศัยอยู่น้อย จะได้รับความเชื่อถือจากพี่น้องมุสลิมให้เป็นผู้ใหญ่บ้านและดูแลลูกบ้านทั้ง หมด
ประการที่ 2 ความไม่รู้เรื่อง “ปอเนาะ” จนมีการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นแหล่งซ่องสุมผู้ก่อการร้ายและอาวุธสงครามนานาชนิ ดนั้น แท้จริงแล้ว “ปอเนาะ” นอกจากจะเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ของชาวมุสลิม ยังเป็นสถานที่พักพิงหรือที่อยู่อาศัยของใครก็ได้ ซึ่งที่ดินที่สร้างปอเนาะนั้นจะเป็นที่ดินของโต๊ะครูที่สามารถอยู่อาศัยโดยไ ม่ต้องเสียค่าเช่าใดๆ ทั้งสิ้น จะมีก็แต่เพียงค่าไฟฟ้าที่ใช้ไปในแต่ละเดือนเท่านั้น
ปอเนาะจะก่อตั้งขึ้นได้ ต้องมาจากการรวบรวมทุนหรืองบประมาณจากแหล่งต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะได้มาจากเจ้าของปอเนาะเอง และบางส่วนก็ได้รับบริจาคจากชาวบ้านหรือผู้มีจิตศรัทธาที่ให้การสนับสนุนเพื ่อจัดตั้งปอเนาะ และมีบางปอเนาะที่ชาวบ้านต่างบริจาคที่ดินของตนเองคนละนิดละหน่อย เพื่อสร้างปอเนาะเป็นสาธารณะประโยชน์
ประการที่ 3 การศึกษามีความสำคัญมากสำหรับชาวมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาขั้นพื้นฐาน เด็กเล็กต้องเข้าเรียนตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนาชั้นต้น) เพื่อให้สามารถทำละหมาดได้ , อ่านคัมภีร์อัลกุรอานได้ อีกทั้งยังต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อปฏิบัติตามวิถีอิสลามในแต่ละวันได้อย่างถู กต้อง
คนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่นั้น สามารถเข้าเรียนในปอเนาะได้ เพราะปอเนาะเป็นการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งที่ไม่มีการแบ่งเป็นชั้นๆ กล่าวคือเรียนกันไปเรื่อยๆ จนจบหนังสือทีละเล่ม โดยวิชาที่เรียนนั้น อาทิ วิชาที่ว่าด้วยการคำนวณการโคจรของระบบสุริยจักรวาล เพื่อปฏิบัติศาสนกิจได้ตรงเวลา , กฎหมายว่าด้วยครอบครัวและมรดก , โองการ 6,666 โองการของพระเจ้า , วัจนะของท่านศาสดา
น อกจากนั้นยังมีการศึกษาประวัติศาสตร์อิสลาม , สังคม , เศรษฐกิจ , การเมืองการปกครอง , ครอบครัว , การทำมาหากิน , หลักวิชาทางการแพทย์ , การสมรส และการหย่าร้าง เป็นต้น โดยผู้สอนไม่สามารถคิดค่าเล่าเรียนกับผู้ที่มาเรียนได้แม้แต่บาทเดียว
สำหรับแง่คิดในการไม่เก็บค่าเล่าเรียนนั้น มาจากความเชื่อที่ว่า หากเด็กที่เกิดมาไม่ได้รับการสอนในสิ่งเหล่านี้ จะถือว่าเป็นบาปของคนในชุมชน รวมทั้งโต๊ะครู
อย่างไรก็ดี ก็มีข้อสงสัยว่า หากเป็นเช่นนั้นแล้ว รายได้ของโต๊ะครูที่สอนหนังสือเด็กๆ มาจากที่ไหน คำตอบก็คือมาจาก “ซากาต” (ทานบังคับ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหลักปฏิบัติของศาสนาที่กำหนดไว้ ส่วนมากจะเป็นข้าวเปลือก หรือถ้าเป็นผู้มีรายได้มั่นคงก็จะต้องเสียร้อยละ 2.5 จากรายได้ทั้งหมด
ประการที่ 4 ทำไมมุสลิมจึงไม่กินเนื้อหมูและไม่กินอาหารที่ไม่ได้มาจากร้านมุสลิม? เรื่องนี้เป็นบทบัญญัติต้องห้ามของศาสนา ซึ่งมีอยู่ในอัลกุรอาน การที่มุสลิมไม่กินอาหารที่ไม่ใช่ร้านของมุสลิม เพราะอาหารของมุสลิมจะต้องเป็นอาหารฮาลาล และจะต้องมีการเอ่ยนามอัลลอฮ์ทุกครั้งก่อนทำอาหาร เช่น การเชือดสัตว์ต่างๆ โดยสัตว์ทุกชนิดต้องเชือดตามหลักศาสนาและวิธีที่กำหนดไว้ ยกเว้นปลากับตั๊กแตน
ส ำหรับอาหารฮาลาล ก็คืออาหารที่สะอาด พร้อมทั้งมีการกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ก่อน หากเป็นอาหารสากลที่นิยมรับประทานกันทั่วๆ ไป ทั้งวัตถุดิบ ภาชนะ ขั้นตอน กระบวนการผลิต จะต้องได้รับการอนุมัติแล้ว รวมทั้งการล้างก็ต้องเป็นไปตามหลักศาสนา
ส่วนสาเหตุที่มุสลิมไม่กินอาหารกลางซึ่งทางโรงแรมจัดไว้ให้เวลามีการ ประชุมสัมมนา ทั้งๆ ที่ไม่มีเนื้อหมูนั้น ก็เป็นเพราะอาหารที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ เป็นอาหารที่ทำโดยรวม ไม่มีกรรมวิธีแบ่งแยกว่านี่คืออาหารมุสลิม การละเว้นไม่กินจึงเป็นการดีที่สุด อีกทั้งร้านที่ไม่ใช่ร้านอาหารมุสลิมนั้น มีขั้นตอน กระบวนการในการปรุง การเลือกสรรวัตถุดิบ ตลอดจนการล้างภาชนะไม่เป็นไปตามหลักศาสนา บางโรงแรมไม่แยกครัว กับภาชนะ ทำให้ลำบากใจ
อย่างไรก็ดี แม้มุสลิมจะมีความละเอียดในเรื่องการกิน แต่หากจำเป็นจริงๆ หรืออยู่ในยามคับขัน ในสถานการณ์ที่ลำบาก หากไม่กินอาจถึงเสียชีวิตได้ มุสลิมผู้นั้นก็สามารถกินอาหารจากร้านที่ไม่ใช่สำหรับชาวมุสลิมได้เช่นกัน
ประการที่ 5 ทำไมชายมุสลิมต้องไว้หนวดเครา ใส่หมวก โพกหัว ใส่โสร่ง ในขณะที่ผู้หญิงต้องคลุมศีรษะหรือปิดหน้า?
ทั้งนี้ การไว้หนวดเคราถือเป็นอัตลักษณ์ของศาสดา (ซุนนะห์) ไม่ได้บังคับ แต่หากไว้ก็จะได้บุญ ส่วนการใส่ผ้าโสร่งไปงานบุญ งานศพ เป็นการให้เกียรติ เคารพเจ้าของงาน และยังถูกกาลเทศะอีกด้วย
สำหรับผู้หญิง การคลุมศีรษะเป็นข้อบังคับว่าต้องทำ จะละเว้นไม่ได้ (วาญิบ) เพราะเป็นบทบัญญัติที่มาจากอัลลอฮ์ การปิดหน้าก็เพื่อปกปิดร่างกายที่อาจจะนำไปสู่ความยั่วยวนกิเลส ซึ่งจะก่อให้เกิดอาชญากรรมต่างๆ ตามมา พร้อมลดอารมณ์ของเพศตรงข้าม
มุสลิมบางกลุ่มอาจตีความจากอัลกุรอานว่า การปิดนั้นหมายถึงปิดทั้งใบหน้าให้เหลือแต่ตา ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นกลุ่มที่เคร่งศาสนา ไม่ใช่หัวรุนแรงแต่อย่างใด
ประการที่ 6 ภาษาอาหรับมีความสำคัญอย่างไรต่อมุสลิม? ภาษาอาหรับเป็นภาษาที่มาจากอัลกุรอาน เพราะอัลลอฮ์ประทานอัลกุรอานเป็นภาษาอาหรับโดยผ่าน “นบีมูฮำมัด” เป็นภาษาที่ถือว่าเป็นภาษาที่ใช้พูดในโลกหน้า (เมื่อชาวมุสลิมตายในโลกนี้แล้วมีความเชื่อกันว่าจะกลับไปสู่ความเมตตาของพร ะเจ้าที่โลกหน้า) และเป็นภาษาของชาวสวรรค์ด้วย
ป ระการที่ 7 ทำไมมุสลิมจึงกลัวและรังเกียจสุนัข? สำหรับชาวมุสลิมแล้ว สุนัขเป็นสิ่งสกปรก (นะยิส) เมื่อถูกหรือสัมผัสส่วนใดของร่างกาย ต้องทำความสะอาดทันทีตามหลักวิธี
ประการที่ 8 เหตุใดมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงนิยมไปประกอบอาชีพและศึกษาต่อในประเทศมาเลเซีย? คำตอบก็คือ เพราะรายได้ดี มีงานทำหลากหลาย ทั้งด้านการเกษตร ประมง ตัดเย็บเสื้อผ้า และร้านอาหาร อีกทั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บางพื้นที่ไม่มีงานให้ทำ จึงจำเป็นต้องออกไปหางานยังประเทศเพื่อนบ้าน
ประการที่ 9 มุสลิมสามารถร่วมกิจกรรมทางสังคมและศาสนากับศาสนิกอื่นได้หรือไม่? กิจกรรมที่ร่วมสร้างสรรค์ในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสังคม เช่น พัฒนาโรงเรียน สะพาน รักษาความสงบ ป้องกันโจรผู้ร้าย สามารถทำได้ แต่ห้ามทำกิจกรรมทางศาสนาที่กระทบกับศาสนกิจของอิสลาม
นอกจากนี้ ในการเชิญสตรีชาวมุสลิม (มุสลิมะห์) เข้าร่วมประชุมหรือสัมมนา ควรระบุในหนังสือเชิญว่าสามารถนำผู้ติดตามมาได้ และทางผู้จัดจะรับผิดชอบดูแลเหมือนผู้เข้าร่วมประชุมคนหนึ่ง เหตุที่ต้องแจ้งในหนังสือเชิญว่าสามารถนำผู้ติดตามมาได้ เพื่อที่สตรีมุสลิมจะได้สบายใจ และเข้าร่วมประชุมด้วยความเต็มใจ เพราะตามหลักศาสนาอิสลาม ถ้าสตรีมุสลิมจะออกจากบ้านไปประชุม ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน และต้องมีผู้ปกครองไปด้วย
นอกจากนั้น ทางโรงแรมควรจัดเตรียมสถานที่สำหรับละหมาดไว้ให้พร้อม และทุกกิจกรรมที่จัดขึ้น จะต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับการละหมาด หรือกำหนดเวลาไม่ให้ซ้ำซ้อนกับช่วงเวลาที่ต้องละหมาด เพื่อแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการของอิสลาม
ท ั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวและเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ของวิถีมุสลิม แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญทางจิตใจอย่างใหญ่หลวง การให้เกียรติและเข้าใจในวิถีปฏิบัติของคนต่างศาสนา ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญต่อการก้าวสู่สังคมสันติสุข
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Fri Dec 09, 2005 7:20 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ติดใจตรงข้อ5ครับ
ประการที่ 5 ทำไมชายมุสลิมต้องไว้หนวดเครา ใส่หมวก โพกหัว ใส่โสร่ง ในขณะที่ผู้หญิงต้องคลุมศีรษะหรือปิดหน้า?
ทั้งนี้ การไว้หนวดเคราถือเป็นอัตลักษณ์ของศาสดา (ซุนนะห์) ไม่ได้บังคับ แต่หากไว้ก็จะได้บุญ ส่วนการใส่ผ้าโสร่งไปงานบุญ งานศพ เป็นการให้เกียรติ เคารพเจ้าของงาน และยังถูกกาลเทศะอีกด้วย
เนี่ยเพราะสอนกันมาไม่ชัดเจนเลยกลายเป็นว่าไว้หนวดเคราไม่ได้บังคับ ทั้งๆที่นบี กล่าวไว้ชัดเจนว่า * จงทำให้แตกต่างจากพวกบูชาเจว็ด จงไว้เคราและตัดหนวดให้สั้น*
แมวที่ไหนที่แปลคำว่า*จง*หมายถึงไม่ได้บังคับ สงสัยแมวตราเกษตร เหอๆๆ
เรื่องคลุมศีรษะหรือปิดหน้านั้น เป็นเรื่องของบุคคลที่จะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ถ้ามันจะหาแค่สิ่งดีทั้งๆที่มีสิ่งที่ดีที่สุดให้เลือกทำ ก็ถือเป็นความซอเล็มของนางเอง เพราะถ้าใช้สติปัญญาคิดถึงความเมตตาที่พระองค์ทรงส่งมาให้กับมวลมนุษย์แล้ว จะรู้ได้ทันทีว่า พระองค์ทรงส่งอิสลามมาเพื่อให้มนุย์ทุกๆคนนั้นเป็นคนที่ดีที่สุด (ไม่ใช่รอให้อิสลามตายแล้วมาอนุรักษ์มรดกอิสลามนะ อันนี้ก็ไม่ใคร่จะถูกต้องนัก นะครับท่าน)
ใครเอ่ยจะทนความเห็นผมไม่ได้ ต่อว่ามาซะดีๆ แง่มๆๆๆ (แบบว่าเข้าใจครับ เพราะว่าที่พ่อตาแม่ยายก็ทนผมกันไม่ได้ซักคน เวลาผมขอลูกสาวไปแต่งรวมทีเดียว4คน อิอิ)
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ฮารูนอับดุลเลาะห์ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 13/12/2005 ตอบ: 1
|
ตอบ: Tue Dec 13, 2005 7:33 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ปากเก่งจริงนะ สมองแค่เนี้ย !!! |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Tue Dec 20, 2005 9:00 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
Alhamdulillah Ala kullihal
ว่าผมแค่นี้แล้วผมจะรู้สึกไม้น้า *-*
สำนวนต่อว่าอย่างกะสาวๆ(แก่ๆ)เลย
มีอะไรต่อว่าก็คุยมาครับ อย่ามาครั้งเดียวแล้วหายไปอย่างนี้
หรือว่าเป็นรตอ.ปลอมตัวมา อัลเลาะฮ์รู้น้า เดี๋ยวจะหาว่าม่ายบอก |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|