ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 2:35 am ชื่อกระทู้: |
|
|
No. : 7170
ข้อความ: อ้างอิงจากคุณ IRF
-โง่เขลาต่ออัซซุนนะฮฺ(ที่แท้จริง)
ตอบ
ผมว่าวะฮาบีย์นี่แหละครับ ที่โง่เขลาต่อซุนนะฮฺ หากเราถามวะฮาบีย์ว่า อะไรอยู่บนอะรัช ? วะฮาบีย์ตอบว่า อัลเลาะฮฺ แล้วก็ตอบว่า หนังสือบันทึก ต่างหากที่อยู่บนอะรัช เพราะมีหะดิษที่ซอเฮี๊ยะหฺกล่าวว่า หนังสือบันทึกถูกวางบนอะรัช แต่วะฮาบีย์ก็ทำเป็นโง่ไม่รู้เรื่องซุนนะฮฺอย่างแท้จริง แล้วไปกล่าวหาคนอื่นว่าเอาปัญญาอยู่เหนือหลักฐาน ทั้งที่หลักฐานนั้นต่างก็มาสนับสนุนในการใช้สติปัญญา
อ้างอิงจากคุณ IRF
ชอบใส่ไคล้และกล่าวหาชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ ด้วยชื่อต่างๆที่เสียหาย
ตอบ
ฮ่าๆ ขี้ตาตัวเองมักจะมองไม่เห็น ทั้งทีวะฮาบีย์นั้น ชอบกล่าวหากผู้อื่นว่า ว่าเป็นพวก อะฮฺลิลบิดอะฮฺบ้าง พวกกุบูรีย์บ้าง ทั้งที่อัลอะชาอิเราะฮฺนั้น ได้รับฉายาอะฮฺลิสซุนนะฮิวัลญะมาอะฮฺมาก่อน วะฮาบีย์เสียอีก แต่วะฮาบีย์กลับมากล่าวว่า อะฮฺลิสซุนนะฮฺคือพวกเขา ส่วนคนอื่นคือ อะฮฺลุลบิดอะฮฺ แบบนี้เขาไม่เรียกว่า ขี้ตู่ดอกหรือครับคุณ ไออาเอฟ
ผู้ส่ง: al-azhary : IP : 196.205.129.129
วันที่ส่ง: 10.12.2005 2:08:26 _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 2:36 am ชื่อกระทู้: |
|
|
No. : 7171
ข้อความ: อ้างอิงจากคุณ IRF
-เกลียดชังและต่อต้านบรรดานักวิชาการหะดีษ(มุหัดดิษีน)
ตอบ
ฮ่าๆ ตรงนี้ คุณไออาเอฟ ยกตัวเองไม่ได้ เพราะว่าวะฮาบีย์ต่างหากที่เกลียดชังไม่ให้เกียตรินักหะดิษ อิมามอัลหะฟิซ อันนะวาวีย์ ท่านอัลหาฟิซ อิบนุหะญัร ท่านอัลบัยฮะกีย์ ท่านอิบนุหิบบาน และท่านอื่นๆ ต่างเป็นพวกที่มีอากิดะฮฺบิดอะฮฺ ตามทัศนะของวะฮาบีย์ จนกระทั้ง ชัยคฺอุษัยมีน บอกว่า ท่านอันนะวาวีย์และท่านอิบนุหะญัรนั้น มีอากิดะฮฺไม่ถูกต้อง (ไม่กล้าบอกว่ามีอากิดะฮฺบิดอะฮฺ )
ผู้ส่ง: al-azhary : IP : 196.205.129.129
วันที่ส่ง: 10.12.2005 2:09:02 _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 2:37 am ชื่อกระทู้: |
|
|
No. : 7172
ข้อความ: อ้างอิงจากคุณ IRF
-ตั้งตัวเป็นศัตรูและไม่ให้ความสำคัญต่อบรรดานักรายงานหะดีษ
ตอบ
วะฮาบีย์ต่างหากที่ตั้งตัวเป็นศัตรูและไม่ให้ความสำคัญต่อบรรดานักรายงานหะดิษ พอหะดิษซอเฮี๊ญะหฺที่ไม่ตรงอารมณ์ตัวเอง ก็หุกุ่มเป็นฏออีฟ พอหะดิษเมาฏั๊วะ แต่ยันไปบอกว่าซอเฮี๊ยะหฺ เพราะถูกตามอารมณ์ ดูตัวอย่างได้ในหนังสือ ของอิบนุก๊อยยิม (อิจญฺมาอฺ อัลยูญูช อัลอิสลามียะฮฺ) อย่างเช่นอัลบานีย์ ทำวิจารณ์อย่างไร้มารยาท กับ ท่านอิบนุหะญัร ท่านอัซซฺะฮะบีย์ ท่านอิมามอัสสายูฏีย์ เป็นต้น (อันนี้ถ้าต้องการหลักฐาน คุณไออาเอฟโปรดบอกนะ ผมจะนำเสนอมาให้)
ผู้ส่ง: al-azhary : IP : 196.205.129.129
วันที่ส่ง: 10.12.2005 2:10:00 _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 2:38 am ชื่อกระทู้: |
|
|
[ size=18]No. : 7173
ข้อความ: อ้างอิงจากคุณ IRF
-ตั้งตัวเป็นศัตรูและไม่ให้ความสำคัญต่อบรรดานักรายงานหะดีษ
ตอบ
วะฮาบีย์ต่างหากที่ตั้งตัวเป็นศัตรูและไม่ให้ความสำคัญต่อบรรดานักรายงานหะดิษ พอหะดิษซอเฮี๊ญะหฺที่ไม่ตรงอารมณ์ตัวเอง ก็หุกุ่มเป็นฏออีฟ พอหะดิษเมาฏั๊วะ แต่ยันไปบอกว่าซอเฮี๊ยะหฺ เพราะถูกตามอารมณ์ ดูตัวอย่างได้ในหนังสือ ของอิบนุก๊อยยิม (อิจญฺมาอฺ อัลยูญูช อัลอิสลามียะฮฺ) อย่างเช่นอัลบานีย์ ทำวิจารณ์อย่างไร้มารยาท กับ ท่านอิบนุหะญัร ท่านอัซซฺะฮะบีย์ ท่านอิมามอัสสายูฏีย์ เป็นต้น (อันนี้ถ้าต้องการหลักฐาน คุณไออาเอฟโปรดบอกนะ ผมจะนำเสนอมาให้)
ผู้ส่ง: al-azhary : IP : 196.205.129.129
วันที่ส่ง: 10.12.2005 2:10:05 [/size] _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 2:39 am ชื่อกระทู้: |
|
|
No. : 7174
ข้อความ: อ้างอิงจากคุณ IRF
-ชอบประจบสอพลอและเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจหรือผู้ปกครอง
ตอบ
อันนี้ชัดเจนครับ อุลามาอฺวะฮาบีย์สาอุดี้นั้น ประจบสอพอราชวงศ์กษัตริย์สาอุดี้ แต่กระทั้งผู้ปกครองซาอุ ต้องเอาสุรานารีย์ ไปปรนเปรอทหารของอเมริกา พวกอุลามาอฺวะฮาบีย์ก็ยังเฉยเมยทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะว่าประจบสอพอหรือเปล่า ฮ่าๆ
อ้างอิงจากคุณ IRF
ในตามความหมายของนบี
"...ทุกๆสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา)ถือเป็นบิดอะฮฺ ทุกๆบิดอะฮฺถือว่าหลงผิด และทุกๆความผิดอยู่ในนรก"
รายงานจากอะอิชะฮฺ "ทุกสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในเรื่องการงาน(อิบาดะฮฺ)ของเรา อัลลอฮฺไม่รับ"
"สิ่งที่ดีที่สุดคือแบบของมุฮัมมัด สิ่งเลวที่สุดคือสิ่งที่อุตริขึ้นใหม่ในศาสนา และทุกๆบิดอะฮฺถือว่าหลงผิด"
นั่นคือตามความหมายของนบี ส่วนมนุษย์ยุคหลังหน้าไหนจะแบ่งบิดอะฮฺเป็นกี่ประเภทนั่นคือความคิดมนุษย์
และไปขัดกับความหมายของนบีครับ
ใครก็ตามที่ทำบิดอะฮฺหรือปรองดองกับผู้ที่ทำบิดอะฮฺ คำสาปแช่งจากอัลลอฮฺ, บรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ และมนุษชาติทั้งปวง จะตกอยู่ที่เขา บันทึกโดยบุคอรีย์
ท่านอิบนุ อับบาส กล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเกลียดชังที่สุดคือบิดอะฮฺ
ท่านอิบนุ อุมัรฺ กล่าวว่า ทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด ถึงแม้ว่าผู้คนจะเห็นว่ามันดีงามก็ตาม
ท่านอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัลได้กล่าวว่า คนบาป(ฟาสิก)ที่สุดในหมู่ชาวสุนนะฮฺ ยังประเสริฐกว่าคนที่เคร่งครัดที่สุดในหมู่ชาวบิดอะฮฺ
ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอูด(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)กล่าวว่า จงตามและจงอย่าทำบิดอะฮฺ, สำหรับพวกท่านนั้นได้รับในสิ่งที่เพียงพอแล้ว และทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด
ลองอ่านและไคร่ครวญหลายๆรอบครับ อย่าอ่านผ่านๆ
และอย่าใช้อารมณ์และนัฟซูมาทำให้หัวใจรู้สึกค้านกับคำพูดของท่านนบี ซอฮาบะฮฺ และสลัฟ
แล้วจะเข้าใจอย่างซาบซึ้งครับ
นั่นคือตามความหมายของนบี ส่วนมนุษย์ยุคหลังหน้าไหนจะแบ่งบิดอะฮฺเป็นกี่ประเภทนั่นคือความคิดมนุษย์
และไปขัดกับความหมายของนบีครับ
ตอบ
ฮ่า ๆ ก็อิบนุตัยมียะฮฺไงล่ะครับ ที่แบ่งบิดอะฮฺออกเป็น มัซมูมะฮฺ และ หะสะนะฮฺ ซึ่งหลักฐานยืนยันมีแน่นอน แต่เรื่องบิดอะฮฺนี้ไว้คุยกันทางการดีกว่า หลักฐานที่คุณยกมานั้น เราทราบดี และเสียดายที่เอาบางส่วน และทิ้งบางส่วน
ผู้ส่ง: al-azhary : IP : 82.201.232.202
วันที่ส่ง: 10.12.2005 2:10:44 _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 2:54 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถึงคุณ IRFครับ
คุณชอบกล่าวหาอะฮฺลิสซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺว่า เอาหลักการกรีกใส่หัวมุสลิม ใช้หลักตรรกวิทยา ผมก็ขอให้คุณไปอ่าน มัจญฺมั๊วะฟัตวา ของอิบนุตัยมียะฮฺน่ะ ในบทที่ว่าด้วยเรื่อง الرد على المناطقة แล้วคุณก็เตรียมตัวมาคุยกับผม หลังปีใหม่ ซึ่งในนั้น อิบนุตัยมียะฮฺ พลาดไปรับแนวคิดปรัชญากรีก อริสโตเติ้ล มาเต็ม ๆ และอีกหลายประเด็น และในนั้น อิบนุตัยมียะฮฺใช้หลักตรรก หักล้างแนวทางคิดอื่นๆด้วย ประเด็นรายละเอียดนั้น เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ดังนั้นเรื่องปรัชญากรีกนั้น คุณกล่าวหาอัลอะชาอิเราะฮฺ แต่ผมไม่กล่าวหาอิบนุตัยมียะฮฺว่ารักหลักการปรัชญากรีกมาโดยปราศจากหลักฐานหรอก แต่ช่วงนี้คุณไปศึกษามาก่อน แล้วหลังปีใหม่เรามาชี้แจงความจริงกัน เพื่อคุณจะต้องตาสว่างและไม่เที่ยวกล่าวหาคนอื่น ซึ่งเป็นคุณลักษณะของพวกบิดอะฮฺและพวกตามอารมณ์
และหากคุณเข้ามาสนทนาในกระทู้ที่ผมตั้งมาแล้ว ก็โปรดสนทนาในเชิงวิชาการและมีหนังสืออ้างอิงด้วยก็จะเป็นการดีนะครับ ผมขอร้อง เพราะดูการสนทนาของคุณในเวปมะรีด นั้น มันเถื่อนชอบกล ดังนั้นคุณก็ลอง ดูตัวอย่างการสนทนาของคุณอะสันก็ได้ ซึ่งส่วนมากเขาก็มีอ้างอิง แม้จะมีเหตุผลในการสนทาไม่อยู่ในเชิงวิชการไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ก็ถือว่าอยู่ในเชิงวิชาการ
แต่สิ่งที่คุณนำเสนอมานั้น ผมคิดว่า คุณจะแน้นในเรื่องของ สะละฟีย์ แต่ผมก็แปลกใจเหมือนกันกว่า อิมามหะซัน อันบันนา ท่านชัยคฺ ดอ๊กเตอร์ ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ นั้น มีพฤติกรรมในการเรียกร้องสะละฟีย์เหมือนกับวะฮาบีย์ปัจจุบันเขาทำกันหรือเปล่า เช่นไปหุกุ่มคนอื่น? ซึ่งประเด็นนี้นั้นผมจะวิจารณ์ให้ละเอียด หลังปีใหม่ และผมก็จะนำเสนอประวัติของสะละฟีย์ ในเชิงวิชาการ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มานำเสนอใน ณ ที่นี้ ครับ อินชาอัลเลาะฮฺ ซึ่งผู้อ่านจะได้ความรู้มากขึ้น แต่คุณอย่าเข้าระบายอารมณ์แบบไร้หลักฐานและหนังสืออ้างอิงนะครับ เพราะมันจะทำให้บรรยากาศในเชิงวิชาการเสียไป หากคุณสนทนาแบบในเวป มุรีด นั้น ผมขอเถอะนะครับ อย่าสนทนาอย่างนั้น แต่ผมขอให้สนทนาในเชิงวิชการและมีการอ้างอิง หวังว่าคุณตกลงนะครับ
หลังปีใหม่เจอกันครับ อินชาอัลเลาะฮฺ
والسلام
الأزهرى الشافعى _________________ นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 12:53 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
[B]น้อง al-azhary กล่าวว่า
ท่านผู้อ่านลองมาลุ้นกันนะครับว่า บังอะสันจะพูดได้ใหม ? หรือจะเลี่ยงไปประเด็นอื่น หากพูดออกมาได้ เราก็ขอกล่าวว่าอัลหัมดุลิลลาห์ แต่ถ้าบังอะสันไม่ยอมรับและไม่ยอมพูด ก็เพราะเหตุผลต่อไปนี้
1- บังอะสันตะอัสศุฟ ยึดติดแนวทางของตัวเองฝ่ายเดียว
2- กลัวเสียฟอร์ม เพราะบังอะสันไปยอมรับทัศนะอีกฝ่ายหนึ่งที่มีน้ำหนัก แต่ไปค้านกับทัศนะของวะฮาบีย์ที่บังอะสันอยู่
3- บังอะสันตักลีด โดยไม่ยอมรับฟังใครทั้งนั้น ที่ไม่ใช่แนวทางของตน
ผมจะมาฟังคำตอบจากบังอะสันผู้ใฝ่หาสัจจะธรรม และมีลักษณะที่ผ่อนปรนต่อบรรดามุสลิมด้วยกันครับ และอีกประมาณ สองสัปดาห์ หรือต้นมกราปีหน้า ผมจะเข้ามานะครับ เนื่องจากต้องเรียนและใกล้สอบนะครับ มีอะไรก็สนทนามาได้เรื่อยๆครับ
.
ตอบ
แฮะ แฮะ แฮะ.. ดูเหมือนว่า น้องบ่าวเรา จะเชื่อมั่นในหมัดเด็ดของตัวเอง เสียจริง แต่นั้นแหละพอคนอื่นเย็บไปบ้าง รู้สึกว่า ลมออกหูเลย ทำท่าเครื่องร้อน อารมณ์บ่จอย ออกมา น้องบ่าวเอ๋ย
ในเมื่อการเน้นอ่านกุนูตเป็นประจำ ในละหมาดศุบฮิ เป็นบิดอะฮ ก็ อ่านบ้างเว้นบ้างซิครับ หรือกลัวชาวบ้านจะว่า พวกคณะใหม่ ก็ไม่ใช่วาญิบมิใช่เหรือ คนที่เขาว่าบิดอะฮเขาก็อ้างอิงจากหะดิษเศาะเหียะ นะครับ ใจเย็นๆนะน้องขอยกตัวอย่างสัก 1 ตัวอย่าง เป็นคำฟัตวาของ คณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยวิชาการและการตอบปัญหา ของ ประเทศซาอุดี้ย (พูดถึงนักวิชาการซะอุดี้ น้องบ่าวเราลมออกหูทุกทีเลย อะไรก่อไม่รู้...) ดูนะจ้ะ
الحمد لله
القنوت في تعريف الفقهاء هو : " اسم للدعاء في الصلاة في محل مخصوص من القيام " .
وهو مشروع في صلاة الوتر بعد الركوع على الصحيح من قولي العلماء .
ومشروع إذا نزلت بالمسلمين نازلة فيدعو بعد الرفع من الركوع في آخر ركعة من كل فريضة من الصلوات الخمس ، حتى يكشف الله النازلة ، ويرفعها عن المسلمين. انظر كتاب تصحيح الدعاء للشيخ بكر أبو زيد ص 460
وأما القنوت في صلاة الصبح دائماً في جميع الأحوال فإنه " لم يصح عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه خص الصبح بالقنوت، ولا أنه داوم عليه في صلاة الصبح، وإنما الذي ثبت عنه صلى الله عليه وسلم أنه قنت في النوازل بما يناسبها، فقنت في صلاة الصبح وغيرها من الصلوات يدعو على رعل وذكوان وعُصَيَّة لقتلهم القراء الذين أرسلهم النبي صلى الله عليه وسلم إليهم ليعلموهم دينهم، وثبت في صلاة الصبح وغيرها يدعو للمستضعفين من المؤمنين أن ينجيهم الله من عدوهم، ولم يداوم على ذلك، وسار على ذلك الخلفاء الراشدون من بعده، فخير ( للإمام ) أن يقتصر على القنوت في النوازل اقتداءً برسول الله صلى الله عليه وسلم فيما ثبت عن أبي مالك الأشجعي قال : قلت لأبي : يا أبت قد صليت خلف رسول الله صلى الله عليه وسلم وخلف أبي بكر وعمر وعثمان وعلي رضي الله عنهم أفكانوا يقنتون في الفجر ؟ فقال : (أي بنيّ مُحدَث) رواه الخمسة إلا أبا داود ( وصححه الألباني في الإرواء 435) ، وإن خير الهدي هدي محمد صلى الله عليه وسلم .
وبالله التوفيق وصلى الله على نبينا محمد وآله وصحبه وسلم .
اللجنة الدائمة للبحوث العلمية والإفتاء (7/47) .
ความว่า
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ
คำว่ากุนูต ตามนิยามของนักติศาสตร์อิสลาม(ฟุกอฮาอฺ) คือ เป็นชื่อของดุอาในละหมาด ในที่ที่เฉพาะ ในขณะที่อยู่ในท่ายืน
มันถูกบัญญัติให้ทำในละหมาดวิตร หลังจากรุกัวะ ตามรายงานที่เศาะเฮียะ จากทัศนะของบรรดานักวิชาการ และ มีบัญญัติให้ทำในเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายประสบกับมวลมุสลิม โดยขอดุอา หลังจากขึ้นจากการรัวะกัวะ ในเรากะอัตสุดท้ายของทุกละหมาดฟัรดูห้าเวลา จนกว่าอัลลอฮ
(ซ.บ)จะ ขจัดเหตุการณ์ร้ายนั้น และ จนกว่ามันได้ถูกยกออกไปจากมวลมุสลิม โปรดดู หนังสือ انظر كتاب تصحيح الدعاء للشيخ بكر أبو زيد หน้า 460
สำหรับการอ่านกุนูตเป็นประจำทุกเวลาในละหมาดศุบฮิ นั้น ไม่มีรายงานที่เศาะเฮียะ ว่าท่านนบี ศอลฯ ได้อ่านกุนูตเฉพาะละหมาดศุบฮิ และไม่ได้อ่านเป็นประจำในละหมาดศุบฮิ แต่ทว่าความจริง ได้ปรากฏรายงานที่แน่นอน จากท่านนบี ศอลฯ ว่า ท่านอ่านกุนูต ในกรณีประสบกับเหตุการณ์ร้าย ตามความเหมาะสม(กับสถานการณ์นั้น) แล้วท่านได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิและละหมาดอื่น จากบรรดาละหมาดห้าเวลา ขอดุอาสาปแช่ง เผ่าเรียะลิน เผ่าซักวานและเผ่าอุศ็อยบะฮ เพราะพวกเขาได้สังหารบรรดานักอ่านอัลกุรอ่าน ที่ท่านเราะซูลุลลอฮ ศอลฯ ส่งไปสอนศาสนาให้แก่พวกเขา และปรากฏว่าท่านได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ และอื่นจากนั้น เพื่อขอดุอาให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ออ่นแอ ให้อัลลอฮบันดาลพวกเขาให้ปลอดภัยจากศัตรู และไม่ได้อ่านเป็นประจำ บรรดาเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน หลังจากท่าน ก็ดำเนินตามนั้น ดังนั้นจึงเป็นทางเลือก(แก่อิหม่าม) ให้จำกัดการอ่านกุนูต ในกรณีประสบกับเหตุการณ์ร้ายเท่านั้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ ในรายงานที่ปรากฏจาก อบีมาลิก อัลอัชญะอีย์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่บิดาของข้าพเจ้าว่า โอ้บิดาของข้าพเจ้า ท่านได้เคยละหมาดตามหลังท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ ตามหลัง อบูบักร อุมัร อุษมาน และ อาลี (ร.ด) พวกเขาอ่านกุนูต ในละหมาดฟัจญริ(ศุบฮิ)ไหมครับ ? แล้วเขา(บิดาของเขา)กล่าวว่า(โอ้ลูกเอ๋ย มันเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่(บิดอะฮ)) รายงานโดยนักรายงานหะดิษห้าท่าน นอกจากอบีดาวูด (อัลบานีย์ระบุว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะ ในหนังสือ อัลอิรวาอฺ หน้า 435 )
และทางนำที่ดีเลิศ คือ ทางนำมุหัมหมัด ศอลฯ
وبالله التوفيق وصلى الله على نبينا محمد وآله وصحبه وسلم .
اللجنة الدائمة للبحوث العلمية والإفتاء (7/47)
................................................
น้อง al-azhary ขอให้ตั้งใจเรียนหน่อยนะครับ อย่าคิดถึงบังอะสันให้มากนัก ทำใจให้สบาย บังอะสันก็มีหลักฐานมาเรื่อยๆ แต่อาศัยนักวิชาการที่มีความรู้ คือ ไม่อยากตั้งตนเป็นผู้พิพากษาเสียเอง แล้วไปกล่าวหาว่า อุลามาอฺ ที่ตรงกันข้ามโกหก หมกเหม็ด วัยรุ่นเลือดร้อน บังอะสันไม่ถือสา เข้าห้องสมุดเฝื่องบ้างนะค้ราบ ดูแลสุขภาพด้วย อินชาอัลลอฮพบกัน แต่ขอให้อารมณ์เย็นหน่อย คนแก่ไม่อยากทะเลาะกับเด็กจ้า..
والسلام
บังอะสัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Sat Dec 10, 2005 5:22 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ที่ไม่อยากทะเลาะกับเด็กเพราะแค่ทะเลาะกะเซาญะฮ์ก็เครียดอยู่แล้วใช่ม้าบัง อิอิ บิ้ลเฮาวิ้ล บิ้ลดุอาอ์
ผมก็เรียนให้ทราบแล้วว่า ไม่ด้ทำให้ท้องอิ่ม ม่ายรู้จะสู้กันไปถึงไหน เอ้าไอ้ที่อยากสู้ก็สู้ไป ไอ้ที่อยากหาเมียก็หาไป เอิ๊กซ์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Dec 11, 2005 12:02 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสสลามุอะลัยกุ้มน้องอับดุรเราะหมาน
ตอนนี้ได้ ม. สะระ เอียหรือยัง อากาศเริ่มหนาวแล้วนะคับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Mon Dec 12, 2005 6:22 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คือโดยรวมๆคุณ al-azhary นี่เป็นเจ้าหนักสำนวน คือช่างสรรค์หาคำพูดโน้มน้าวใจ คือเป็นนักเรียงความที่ดีครับ แต่ด้านสัจธรรม หลักการและเหตุผลนั้นยังผิดพลาดมากมาย (อาจเป็นความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ) หากพิจารณาเนื้อหาแล้วยังมีจุดบกพร่องที่เป็นการฆ่าตัวเองอยู่หลายจุด จากตั้งแต่เริ่มต้นกระทู้ก็มีการเกริ่นซะก่อน โดยกล่าวถึงซอฮาบะฮฺ ตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีนได้อย่างถูกต้อง พอต่อมาก็พูดถึงสลัฟ และมีการพูดว่า
"การตั้งมัซฮับสะละฟียะฮฺซึ่งเป็นชื่อมัซฮับที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้เป็นบิดอะฮฺในศาสนาอิสลาม โดยที่อุลามาอฺสะละฟุสซอลิหฺ และเคาะลัฟของประชาชาตินี้ไม่เคยรู้จักมันมาก่อน ทั้งที่อุลามาสะลัฟ(ร.ฏ.)เหล่านั้น ไม่เคยเอาคำว่า "สะลัฟ"นี้ มาตั้งเป็นมัซฮับสะละฟีย์"
สิ่งแรกคือคุณ al-azhary ซึ่งไม่ใช่อุละมาอฺได้ทำการฟัตวาออกมาแล้วว่า การตั้งมัซหับสละฟียะฮฺเป็นบิดอะฮฺ?! ต่อมาก็ได้เล่นสำหนักสำนวนว่าอุละมาอฺสลัฟและคอลัฟไม่ได้ไม่เคยรู้จักชื่อสละฟียะฮฺมาก่อน จริงๆแล้วข้อนี้ต้องทราบกันก่อนว่ากลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูศาสนา ต้องการลบทิ้งสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺในหมู่มุสลิม เขาก็มีการเคลื่อนไหวฟื้นฟูหลักการศาสนาของยุคสลัฟ เขาจึงเป็นผู้ที่ตามสลัฟที่เรียกว่าสละฟียะฮฺ เป็นความหมายในเชิงภาษาซึ่งหมายถึงกลุ่มที่ตามสลัฟ ไม่ได้หมายความว่าเขาก่อตั้งแนวทางขึ้นมาใหม่ เขาไม่เคยนำความว่า"มัซหับ"มาเรียกตนเอง และไม่คิดว่าแนวทางของกลุ่มตนแตกต่างจากอะหฺลุสสุนนะฮฺในกลุ่มที่ตามมัซหับต่างๆ หากต่างกันเพียงเรื่องคิลาฟียะฮฺเท่านั้น และกลุ่มมัซหับนี่เองที่เป็นผู้นำคำว่าว่า "มัซหับ" ไปเรียกกับกลุ่มสละฟีย์
คุณ al-azhary กล่าวว่า
"สะละฟียะฮฺปัจจุบันพยายามเรียกร้องให้เราให้ยึดความเข้าใจจากสะลัฟ แต่ในทางตรงกันข้าม เราจะเห็นว่าพวกเขาต่างหลีกเลี่ยง ความเข้าใจของบรรดาอิมามทั้งสี่ หรือมัซฮับทั้ง 4 "
กลุ่มสละฟียะฮฺไม่เคยหลีกเลี่ยงความเข้าใจของอิมามทั้ง 4 จนกระทั่งนักวิชาการในยุคปัจจุบัน คนที่บอกว่าสละฟียะฮฺเป็นคนละแนวทางกับอิมามทั้ง 4 คือคนที่ไม่เข้าใจ หรือไม่รู้จักกับแนวทางของอิมามทั้ง 4 อย่างแท้จริง เพียงแต่ไปมองที่ประเด็นปลีกย่อย
คุณ al-azhary พูดต่อว่า
"พวกเขาพยายามบอกว่าไม่ให้เราตักลีดตามอิมามชาฟิอีย์ อิมามมาลิก อิมามอบูหะนีฟะฮฺ อิมามอะหฺมัด (ร่อฏิยัลเลาะฮฺฮุอันฮุม) ทั้งที่พวกเขาคืออุลามาอฺสะละฟุสซอลิหฺ !!"
คุณคงไม่เข้าใจคำว่า ตาม กับคำว่า ตักลีด การตามมัซหับหรือตามอุละมาอฺใดๆก็แล้วแต่มันต่างกันตรงที่ตามคือตามอย่างวิเคราะห์ ส่วนตักลีดคือตามแบบมอบหมายความถูกต้องให้ผู้นำ แต่ในความเป็นจริงไม่มีอุละมาอฺสลัฟสักคนเดียวที่เป็นศิษย์ของมัซหับที่จะตักลีดมัซหับ และไม่มีอุละมาอฺอะหฺลุสสุนนะฮฺสักคนเดียวที่ตักลีดมัซหับหนึ่งมัซหับใด อิมามนะวาวีย์ตามมัซหับชาฟิอีย์แต่ไม่ได้ตักลีด อิมามกุรฺตูบีย์ตามมัซหับมาลิกีแต่ไม่ได้ตักลีด อิมามอิบนุ กะษีรฺตามมัซหับฮัมบาลีย์แต่ไม่ได้ตักลีด และเช่นเดียวกันมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบตามมัซหับฮัมบาลีย์ แต่ไม่ได้ตักลีด พวกเขาเหล่านี้เขาไม่ได้เชื่อว่าเจ้าของมัซหับคือผู้ที่จะถูกมอบหมายความไว้วางใจความน่าเชื่อถือ แต่เขาอาศัยการอิจติฮาดของอุละมาอฺเหล่านั้นในสิ่งที่เขาไม่กล้าอิจติฮาด ส่วนตัวบทหลักฐานไหนที่ชัดเจนอยู่แล้วเขาก็ปฏิบัติตามตัวบทนั้นทันที โดยไม่ต้องพึ่งเจ้าของมัซหับ
คุณ al-azhary ได้พูดขัดแย้งกับสิ่งที่ตนยึดถือซะเองว่า
"ไม่มีหลักฐานใดจากอัลกรุอานและซุนนะฮฺ ที่ชี้ให้เห็นว่า ไม่จำต้องใช้สติปัญญาของเราที่อัลเลาะฮฺทรงประทานให้ ในการเข้าใจอัลกุรอานและซุนนะฮฺ"
พยายามจะตีกลุ่มสละฟีย์ (แต่จริงๆแล้วก็อะหฺลุสสุนนะฮฺตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน) ว่าไม่ยอมวินิจฉัยตีความตัวบทให้มันกว้างๆ สักแต่ว่าตามตัวบทแบบตรงๆทื่อๆ แต่ในความเป็นจริงๆแล้วกลุ่มสุนนะฮฺ(ยุคต้น)หรือสละฟียะฮฺ(คือกลุ่มสุนนะฮฺยุคหลัง)ก็ใช้สติปัญญาในการทำความเข้าใจเหตุผล และจุดมุ่งหมายของคำสั่งใช้คำสั่งห้าม ไม่เช่นนั้นคงไม่มีฟัตวาออกมาว่า หวยหะรอม เพราะไม่มีกุรอานและหะดีษระบุไว้ว่าหวยหะรอม ดังนั้นการตักลีดซะมากกว่าที่เป็นการปิดกั้นสติปัญญาที่อัลลอฮฺมอบให้ (นอกจากกรณีคนอะวามหรือสุดความสามารถจริงๆก็อนุญาตให้ตักลีดได้)
คุณ al-azhary บอกว่า
"โดยบอกว่า อัลเลาะฮฺ มีอวัยวะ มีมือ มีตา มีเท้า มีหน้าแข้ง มีสีข้าง ที่มีความเข้าใจตามที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่มีไม่เหมือนกับเรา !!?? แล้วพวกเขาก็บอกว่า นี้คือ แนวทางของสะลัฟ !!??"
สิ่งแรกคือคุณไม่รู้หลักอะกีดะฮฺสลัฟ เอาล่ะไม่ว่ากัน แต่สิ่งสำคัญคือคุณไม่เข้าใจในสิ่งที่สละฟีย์เข้าใจ ซึ่งดังกล่าวที่คุณพูดมานั้นไม่ใช่ความเข้าใจของสละฟียะฮฺ และไม่ใช่ความเข้าใจของสลัฟ จากที่ได้พบการอธิบายของกลุ่มอัชชารีย์ทุกๆคนล้วนแล้วเข้าใจผิดในอะกีดะฮฺของสละฟียะฮฺ คือได้แต่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองว่าพวกสละฟีย์พวกวะฮฺฮาบีย์มันเชื่อว่าอัลลอฮฺมีมือ มีเท้า มีใบหน้า และอยู่บนอรัช แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสละฟียะฮฺจึงเข้าใจแบบนี้ โดยกลุ่มอัชชารีย์จะเข้าใจว่าไปเองว่าสาว่าเขาจะคิดว่าอัลลอฮฺเป็นเสมือนมัคลูก มีมือ มีหน้า แต่ไม่เหมือนกับใบหน้ามนุษย์ ถ้าเข้าใจแค่นี้น่ะไม่ใช่ครับ เราน่ะเข้าใจความคิดท่าน แต่ท่านไม่เข้าใจความคิดเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยอมรับว่านักวิชาการสุนนะฮฺปัจจุบันได้อธิบายศิฟัตของอัลลอฮฺแตกต่างไปจากยุคสลัฟ อันเนื่องจากนักวิชาการบางคนเองก็หลักอะกีดะฮฺไม่ดี ก็เรียนมาแบบนกแก้วนกขุนทองเช่นกันว่า อัลลอฮฺมีหน้า มีมือ แต่ไม่เหมือนกับเรา ถ้าเข้าใจแบบนี้น่ะอัชชารีย์เขาถูกต้องกว่าครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วหลักอะกีดะฮฺสลัฟนั้นถือว่าศิฟัตที่ระบุไว้ในอัลกุรอานนั้นอยู่เหนือสติปัญญามนุษย์ที่จะทำความเข้าใจหรือจะนำมาอธิบายโดยการเปรียบเทียบในรูปแบบใดๆทั้งสิ้น หรือที่เรียกว่า อจินไตย คือพ้นขีดความสามารถของสมองมนุษย์ที่จะทำความเข้าใจ หมายถึงถ้าใครบอกว่าเข้าใจนั่นคือเรื่องเท็จ ดังนั้นมนุษย์เราจึงคิดอยู่ในกรอบเพียบงแค่ว่า หากอัลลอฮฺมีหน้า มีมือ มีขา และต้องประทับที่หนึ่งที่ใดแล้วก็แสดงว่าอัลลอฮฺต้องถูกสร้างหรือเป็นมัคลูก!? นี่คือระดับปัญญาของมนุษย์เราคิดได้แค่นี้ แต่ ณ อัลลอฮฺแล้ว ศิฟัตของพระองค์ถือเป็นอจินไตย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Mon Dec 12, 2005 6:23 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อย่างหนึ่งนะครับด้วยความเป็นคนเขียนเก่ง จึงทำให้คุณ al-azhary ใช้คำพูดดูเหมือนจะเป็นคนใจเย็นและมีเหตุผล แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยครับ คุณ al-azhary มีการมองคนอื่นที่มีความคิดไม่ตรงกับตนในแง่ร้ายตลอด เช่นหาว่าคนอื่นไร้เหตุผล (ก็คือตนเองน่ะมีเหตุผล ส่วนคนที่เห็นไม่ตรงกับตนก็คือไร้เหตุผลโดยปริยาย) หาว่าตนอื่นตะอัศศุบ หาว่าคนอื่นยึดติดและรับไม่ได้กับความจริง (คือมั่นใจเต็มที่ว่าตนเองถูก ทั้งๆที่ความรู้ก็จะถือว่ายังไม่ได้อยู่ในระดับเริ่มต้นของอัลอิสลามเลย) ดังนั้นอย่าเข้าใจว่าผมดูถูกหรือพูดจาหาเรื่องแต่อย่างใด แต่ผมขอเตือนว่าให้ลดทิฐิลดความมั่นใจตนเองลงหน่อย เพราะอาจเป็นเหตุให้อัลลอฮฺไม่เมตตาและปิดกั้นปัญญาความรู้และความเข้าใจก็เป็นได้ครับ หรือที่ทางคนพุทธเขาเรียกว่ามีคนทิฐิ คนมีอคติจะไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่คนอื่นอธิบาย คือจะเข้าใจแต่ในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ
เท่านี้ก่อนครับ เดี๋ยวขอไปธุระแดนไกลก่อนแล้วจะกลับมาตอบใหม่อีกสักอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวค่อยเข้าเนื้อหาคราวหน้าครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Mon Dec 12, 2005 6:50 am ชื่อกระทู้: |
|
|
บังนพ(พร) ขวัญใจผมมาเองเลยนะเนี่ย ชอบท่านตั้งแต่ตอนตอบคอลัมน์หมอนพพรแล้ว( :P ) ดูถ้างานนี้ไม่จบด้วยเลือดก็น้ำตาซะแล้วยังไงๆๆก็ ยั้งดาบไว้ไมตรีบ้างนะบังนะ พี่ๆน้องกันทั้งนั้นฝ่ายไหนที่ไม่ยอมเปิดใจอ่านๆไปคนอ่านก็จะรับทราบไปเองครับ เพราะเวลากลับไปอ่านอีกกี่เที่ยวกี่เที่ยว ตรงที่ผิดมันก็ยังต้องผิดอยู่อย่างนั้น ตรงที่ถูกอ่านกี่ทีก็ต้องถูกอยู่วันยังค่ำ ที่แน่ๆหลักศรัทธาของพวกเรา ไม่ใช่แค่ วันยังค่ำซะด้วยสิ วันยังอาคิเราะฮ์เลยนะครับ
ติดตามพี่ๆมาตลอดครับ ไม่เชียร์ข้างไหนทั้งนั้น เพราะผมไม่ใช่กองเชียร์ ผมเป็นกองหน้าล่าฝัน( ) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Dec 12, 2005 8:29 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ nop ช่วยเสริมอีกแรง อัลหั้มดุลิ้ลละฮ หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจยิ่งขึ้น
ขออัลลอฮ ตอบแทนคุณ nop ครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Mon Dec 12, 2005 12:14 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสสะลามุอะลัยกุ้ม ท่านผู้อ่าน มาอ่านต่อนะครับ
1 - اختلف الفقهاء في قنوت الفجر على ثلاثة مذاهب:
فذهب الحنفية والحنبلية إلى أنه غير مشروع إلا في أوقات النوازل، مستدلين بما ورد عن النبي صلى الله تعالى عليه وسلم أنهقنت في صلاة الفجر شهرا يدعو في قنوته على أحياء من أحياء العرب ثم تركه)متفق عليه.
وذهب المالكية إلى أن القنوت في الفجر مستحب .
وذهب الشافعية إلى أن القنوت في الفجر سنة
واستدل المالكية والشافعية على قوليهما بما روي عن أنس عن النبي صلى الله تعالى عليه وسلم: ( أنه مازال يقنت في الفجر حتى فارق الدنيا)أخرجه أحمد والبيهقي، وضعفه ابن التركماني...
http://www.islamic-fatwa.net/viewtopic.php?TopicID=881
บรรดานักวิชาการฟิกฮ(ฟุเกาะฮาอฺ) มีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่อง การอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ ถึงสามทัศนะด้วยกันคือ
1. นักวิชาการมัวฮับหะนะฟี และ หัมบะลี ให้ทัศนะว่า ไม่มีบัญญัติให้อ่าน นอกจาก ในเวลาที่ประสบกับเหตุการณ์ร้ายเท่านั้น โดยอ้างหลักฐานสิ่งที่รายงานจากท่านนบี ศอลฯ ว่า(ท่านได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ หนึ่งเดือน ขอดุอาในกุนูตของท่าน เพื่อสาปแช่งแก่ชนกลุ่มหนึ่ง จากกลุ่มชนชาวอาหรับ ต่อมาท่านได้ละทิ้ง มัน) มุตตะฟักอะลัยฮิ
2. นักวิชาการมัซฮับมาลิกกีย์ มีทัศนะว่า การอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ ชอบให้กระทำ(มุสตะหับบะฮ)
3. นักวิชาการมัซฮับชาฟิอีย์ มีทัศนะว่า การอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ เป็นสุนัต
โดยที่นักวิชาการมัซฮับมาลิกี และมัซฮับชาฟิอี ได้อ้างหลักฐานสนับสนุนคำพูดของพวกเขาทั้งสองกลุ่ม ด้วยหะดิษรายงานจากอะนัส จากท่านนบี ศอลฯ ว่า(แท้จริงท่านนบี ศอลฯได้อ่านกุนูตในละหมาดฟัจญริ(ศุบฮิ) จนกระทั่งได้จากโลกนี้ไป) รายงานโดยอะหมัด และอัลบัยฮะกี และอิบนุตัรกะมานีย กล่าวว่าเป็นหะดิษเฏาะอีฟ (หลักฐานอ่อน)
............................
พิจารณากันเองนะครับ แต่..แปลกที่ว่าทำไมนักวิชาการมัซฮับหัมบาลี ไม่เอาหะดิษนี้เป็นหลักฐาน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
al-azhary มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005 ตอบ: 573 ที่อยู่: อียิปต์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|