ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
หลวงกฤษฎาวินิจ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: Jan 10, 2004 ตอบ: 27 ที่อยู่: thailand
|
ตอบ: Thu Jan 15, 2004 7:21 am ชื่อกระทู้: เรื่องน้ำหอมกับสุภาพสตรี |
|
|
เคยรู้มาว่าสตรีมุสลิมะห์ถูกห้ามไม่ให้ใส่น้ำหอมออกนอกบ้าน
แล้วถ้าใส่อยู่แต่ในบ้านแต่เป็นบ้านที่มีคนพลุกพล้านล่ะครับ
เช่นที่บ้านเป็นร้านขายของชำ แบบนี้สุภาพสตรียังสามารถใส่น้ำหอมในบ้านได้หรือเปล่าครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
i_num2003 มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: Jan 18, 2004 ตอบ: 5
|
ตอบ: Sun Jan 18, 2004 5:25 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อัสสลามมุอลัยกุม วะเราะห์มาตุลลอฮ วะบะร่อกาตุฮ
ไม่สมควรใส่ เพราะเจตนาของการบ้านที่ไว้เป็นที่พักอาศัยได้เปลี่ยนไปเป็นร้านค้าแล้ว เสมือนที่สาธารณะขนแล้วเป็นสถานที่ฮ่ารอมในการใส่เครื่องหอมสำหรับสตรี ถือเป็นการเชิญชวนยั่วยวน เพศตรงข้าม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
อับดุลฟัตตะหฺ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 19/09/2008 ตอบ: 22
|
ตอบ: Sat Oct 04, 2008 1:49 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมไม่ใช่คนมีความรู้มากนัก แต่พยายามหาความรู้อยู่ครับ การทำให้ตัวหอมนั้นผมมองในทัศนะ นะครับ ว่าไม่ผิดครับ ถ้าเราหอมคนเดียวจริงๆ
แต่น้ำหอมนั้น บางทีถ้าเป็นหัวเชื้อนี่หยดเดียว ก็พูดได้ว่าถ้าบ้านมีสี่ชั้น เดินขึ้นบ้านไปชั้นสี่ ทิ้งไว้สักนาที คนเดินตามไปยังได้กลิ่น
แบบนี้ กรณีนี้ ไม่สมควรจะกระทำเป็นอย่างมากนะครับ เรื่องของน้ำหอมผมว่ามันก็จะไปเข้าข่ายเรื่องผมหอมอีก
ผู้หญิงบางคน เหมือนน้ำหอมเคลื่อนที่ ผมกลิ่นนึง ตัวกลิ่นนึง เรียกว่าแมลงแทบจะบินไปตอมกันเลยทีเดียว
ฉนั้นผมเสนอว่า การทำตัวหอม (จนมันส่งกลิ่นให้คนอื่นได้) นั้นไม่สมควรอย่างยิ่งยวด เว้นแต่ญาติพี่น้องหรือกับคู่ครองของเราเท่านั้น
เมื่อ สตรีปะพรมน้ำหอมแล้วเดินผ่านกลุ่มผู้ชาย ถือว่านางทำซินาแล้ว นั่นหมายถึงการทำซินาทางด้านจมูก และหลังจากที่ได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวนาง ก็จะทำซินาทางด้านสายตาต่อไป นั่นหมายถึงกลุ่มผู้ชายก็จะมองไปยังนางนั่นเอง
จากหะดิษที่ท่านร่อซูลกล่าวว่า “หญิงใดใส่เครื่องหอมแล้วเดินออกไปยังสาธารณชน หญิงนั้นทำซินา”
ตัวบทภาษาอาหรับผมไม่มีนะครับ แต่ว่า สำนวนประมาณนี้ล่ะครับ ขออัลลอฮฺทรงให้กระผมและพี่น้องทุกท่านอยู่ในหนทางที่เที่ยงตรงนะครับ อามีน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
bawon มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 17/08/2008 ตอบ: 6
|
ตอบ: Thu Oct 16, 2008 1:07 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ผู้ ญ ห้ามใส่น้ำหอม แต่ผู้ชายกลับหอมฟุ้งไป 3 บ้าน 8 บ้าน ผมว่ามันผิดธรรมชาติของ ญ และ ชาย น่ะเนี้ย เพราะผมคนนึงไม่ชอบใส่น้ำหอม ถ้าเป็นผู้ ญ ใส่ ดูจะเหมาะสมกว่า ผมไม่เถียงว่าศาสนาว่าอย่างไร แต่ผมพูดตามความรู้สึกของมนุษย์ ผู้ชาย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
muhammad1990 มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 08/03/2009 ตอบ: 11
|
ตอบ: Sun Mar 08, 2009 9:59 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
การที่ผู้หญิงใส่ไปจะเป็นการยั่วทางอารมณ์ของเพศชาย นำไปสู่ฟิตนะห์ต่างๆนานา |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
umat มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 17/12/2008 ตอบ: 77
|
ตอบ: Mon Mar 09, 2009 2:09 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
จากที่ผมอ่านหลายๆ คำตอบแล้วน่ากลัวครับ
เรื่องของศาสนาใม่ใช่เรื่องที่เราจะใช้ความรู้สึกมาตัดสินครับ
ทุกการกระทำมีตัวบทอยู่แล้ว ถ้าไม่รู้ก็ให้ศึกษา อย่าคิดขัดแข้งกับ
ศาสนาครับ มันน่ากลัวจริง ๆ ครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon Mar 09, 2009 4:11 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
السلام عليكم
คุณ bawon ครับ
ธรรมชาติของ ญ และ ชาย
มันเป็นยังงัยครับ?
อุละมาอ์ด้านการแพทย์เค้าบอกว่า....
ร่างกายของเราจะขับเหงื่อ 2 ประเภท คือ aprocrine และ eccrine ร่างกายจะขับeccrine ออกมาเป็นเหงื่อน้ำใสเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย เช่นในกรณีที่เราออกกำลังจะมีเหงื่อท่วมตัว eccrine ไม่ก่อให้เกิดกลิ่นตัว
แต่สำหรับ aprocrine แล้ว เป็นเหงื่อซึ่งร่างกายจะผลิตออกมาบริเวณ รักแร้ อวัยวะเพศ และตามบริเวณข้อพับ ตลอดจนที่เท้าและมือ ส่วนประกอบของ aprocrine จะมีไขมันและโปรตีนอยู่ด้วยทำให้มีลักษณธเป็นเหงื่อน้ำข้นซึ่งเป็นอาหารอย่างดีสำหรับแบคทีเรีย ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดกลิ่นขึ้น ในเด็กจะไม่เกิดกลิ่นตัวเนื่องจากฮอร์โมน testosterone ซึ่งมีอิทธิพลในการสร้าง aprocrine จะถูกขับจากร่างกายเมื่อคนเราอย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว คือเมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน ในช่วงเปลี่ยนจากวัยเด็กสู่หนุ่มสาว ต่อมเหงื่อน้ำข้นก็จะเริ่มทำงาน และโปรตีนกับไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบของเหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาตามรูขุมขน เมื่อเหงื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย ก็จะเกิดการเน่าเปื่อยของหนังกำพร้า และมีกลิ่นตามมา โดยเฉพาะบริเวณที่มีขนและอับชื้น และมีการปรับองค์ประกอบบางอย่างในไขมันที่ขับออกมา
บริเวณที่มักเกิดปัญหาคือ หนังศีรษะ (เส้นผม) ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังเจริญได้ดี พวกแบคทีเรียต่างๆ มักจะเกาะอยู่บนไขมันที่ผิวหนังขับหลั่งออกมา จนเกิดเป็นกลิ่นผมหรือกลิ่นขี้หัว นอกจากนี้ผมยังมีคุณสมบัติในการเก็บและกระจายกลิ่นอีกด้วย อีกที่หนึ่งคือรักแร้ กลิ่นรักแร้นี้จะมาพร้อมกับขนที่งอกออกมาเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น และกลิ่นจะแรงมากขึ้นเมื่อเป็นวัยรุ่น แม้จะทำความสะอาด้วยการอาบน้ำ ทาแป้ง หรือใช้โรลออนดับกลิ่นแล้วก็ปกปิดกลิ่นได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น กลิ่นจะยังไม่หายไปอย่างถาวร
นอกจากนี้ ในเด็กผู้หญิงกลิ่นรักแร้ก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงการมีรอบเดือนด้วย
อาหาร อาหารบางชนิดเช่นกระเทียม ตลอดจนยาบางชนิด มีผลให้เหงื่อที่ถูกขับออกมามีกลิ่น คาเฟอีนและภาวะน้ำตาลในร่างกายมีผลกับจำนวนเหงื่อที่ถูกขับออกมา
ระดับฮอร์โมน testosterone ในผู้ชายมีมากกว่าฝ่ายหญิงอย่างมาก ทำให้ aprocrine ถูกขับออกมามากกว่า ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นตัวมากกว่า นอกจากนี้การดูแลความสะอาดของร่างกายในผู้หญิงนั้นจะสะอาดกว่าผู้ชาย ทำให้ปัญหาเรื่องกลิ่นตัวในฝ่ายหญิงจะมีน้อยกว่า ด้วยสรีระที่แข็งแรงกว่า ทำให้ลักษณะงานของผู้ชาย จะเสียเหงื่อมาก กว่างานของผู้หญิง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือผู้ชายจะนิยมออกกำลังมากกว่าผู้หญิง ทำให้มีเหงื่อออกมากกว่า ในวัยกลางคน ร่างกายของเราจะขับสารที่เรียกว่า noneal ออกมาทำให้ คนในวัยนี้ มีกลิ่นตัว เพิ่มขึ้นทั้งชายและหญิง
===================
นี่อุละมาอ์เค้าว่านะครับ ผมไม่ได้ว่าเอง ซึ่งสรุปก็คือ ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะมีเหงื่อที่จะก่อกลิ่นมากกว่าผู้หญิง เพราะฉะนั้นก็จะมีกลิ่นตัวมากกว่าหรือแรงกว่าผู้หญิง...และนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทั้งสองเพศที่อัลลอฮฺทรงสร้างมา
จากข้อมูลข้างต้น จุดที่ก่อกลิ่นอยู่ตรงไหน...ที่ศีรษะ รักแร้ และอวัยวะเพศ ครับ
ในขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม บอกว่าให้ขลิบหนวด ไว้เครา ถอนขนรักแร้ โกนขนในที่ลับ ซึ่งตามปกติการ modify อวัยวะในร่างกายให้เปลี่ยนไปจากที่อัลลอฮฺสร้างมาโดยไม่มีเหตุจำเป็น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนการสร้างของอัลลอฮฺ เป็นอะมัล ผลงานของชัยฏอน แต่มีอยู่ 4-5 อย่างที่นบีบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับธรรมชาติ (นบีใช้คำว่าฟิตเราะฮฺ) ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย และกลับเป็นสิ่งดีด้วยซ้ำ ในสิ่งเหล่านั้นท่านกล่าวถึงการถอนขนรักแร้กับโกนขนในที่ลับรวมอยู่ด้วย แล้วจากที่ท่านนบีสั่งไว้มันก็ส่งผลให้ช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ให้น้อยบรรเทาลงได้ในบรรดามุสลิมทั้งหลายที่ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม... นี่คืออีกหนึ่งความมหัศจรรย์ในสิ่งที่ท่านนบีนำมาประกาศแก่มนุษยชาติโดยไม่มีวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องอ้างอิงด้วยเลย เพราะสมัยนั้นเรายังไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ ยังไม่รู้กลไกการทำงานของต่อมเหงื่อในร่างกายของเราเอง ยังไม่รู้ส่วนประกอบของเหงื่อที่หลั่งออกมาจากส่วนต่างๆของร่างกายว่าแตกต่างกันอย่างไร และยังไม่รู้จักแบคทีเรีย แต่ท่านนบีนำข้อปฏิบัตินี้มาสอนจากวะหฺยูที่ท่านได้รับมาจากอัลลอฮฺนั่นเอง
รักแร้และอวัยวะเพศเป็นมุมอับ แบคทีเรียจึงละเลงกันได้อย่างสนุกสนาน... แล้วท่านนบีก็สอนให้เรา ถอนและโกนมันซะ
และคงเป็นเพราะศีรษะไม่อับและสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่าหรือว่ามันก่อกลิ่นที่รุนแรงน้อยกว่ากันมากกระมัง...วัลลอฮุอะอฺลัม... ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม จึงไม่ได้บอกให้โกนหัว แต่ก็มีข้อกำหนดให้ทำความสะอาดและดูแลเป็นพิเศษในวาระต่างๆ
ทีนี้ก็มาถึงความแตกต่างระหว่างผู้ชาย-ผู้หญิง...
อุละมาอ์ข้างต้นนั้นเค้าบอกว่า ผู้ชายกลิ่นตัวแรงกว่าผู้หญิงเพราะมีฮอร์โมนที่กระตุ้นเหงื่อน้ำข้นมากกว่า อีกทั้งโดย activity ของผู้ชาย ก็ต้องมีการออกไปผาดโผนในยุทธจักรนอกบ้านมากกว่าผู้หญิง ก็ต้องยิ่งมีกลิ่นตัวมากขึ้นเป็นธรรมดา
และนี่แหละคือธรรมชาติแห่งสรีระที่อัลลอฮฺทรงสร้างไว้
เช่นนี้แล้วจะผิดตรงไหนเล่า ที่ท่านนบีจะสอนให้ผู้ชายใช้เครื่องหอมเมื่อเข้าสังคม อย่างน้อย ระหว่างกลิ่นตัวมนุษย์กับกลิ่นชะมดเชียง อย่างหลังนี่มันก็ช่วยให้สังคมสงบขึ้นและทำให้คนอื่นมีสมาธิในการอิบาดะฮฺดีขึ้นนะ
ส่วนในกรณีที่ให้ผู้หญิงงดเว้นการใช้เครื่องหอมเมื่อเข้าสังคมนั้น แม้ว่าผู้หญิงก็มีกลิ่นเหมือนกัน แต่นั่นยังเป็นผลกระทบน้อยกว่าเหตุผลด้าน ธรรมชาติแห่งอารมณ์...มิใช่หรือ !
สิ่งที่ชอบ กับ สิ่งที่ใช่ ... บางเรื่องก็ต้องแยกแยะให้ดีนะครับ
AlGhuraba |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|