ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
“มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 19, 20, 21, 22, 23  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sun Aug 21, 2005 10:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


คุณ อัล-อัซฮะรีย์


ตามที่คุณ อัล-อัซฮะรีย์กล่าวว่า เท่าที่คุณศึกษาลัทธิพวก ที่นิยมอัลกุรอาน โดยปฏิเสธซุนนะฮฺนั้นบางคนยอมรับใน เรื่อง سنة عملية (คือซุนนะฮฺในเชิงของการกระทำไม่ใช่คำพูด)เช่นการวิธีการทำฮัจญฺ การทำละหมาด5 เวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทำต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน


ความจริงคุณควรจะเขียนว่า “พวก ที่ยึดถืออัลกุรอาน แต่เพียงอย่างเดียว โดยปฏิเสธ อะหะดีษ ของบุคอรีและอื่นๆ” จึงจะตรงกับความคิดของผมมากกว่า


มันเป็นหน้าที่โดยตรงของมุสลิมทุกๆท่านรวมทั้งตัวคุณด้วยที่จะต้อง "นิยมอัลกุรอาน"


ผมว่า คุณ อัล-อัซฮะรีย์ คงเข้าใจ อะไรผิดไปสักอย่างแล้ว, ทั้งนี้เพราะว่า ผู้ที่ ยึดถือ อัลกุรอาน โดยปฏิเสธซุนนะฮฺ, ตามที่คุณกล่าวถึงนั้น คือ ท่านร่อซูล (ศล) ทั้งนี้ เพราะว่า ท่านร่อซูล (ศล) ยึดถือ อัลกุรอานแต่เพียงอย่างเดียว และท่านไม่ได้ยึด ถือ หรือปฏิบัติตามเรื่องบอกเล่า ของ ใคร นอกจาก คำสั่งของพระองค์ ผู้เป็นเจ้า เพียงองค์เดียว เท่านั้น


ขบวนการและการปฏิบัติของ ท่านร่อซูล (ศล) ที่ยอมนอบน้อมและ ยอมจำนน ตามพระประสงค์ ของพระองค์ ผู้เป็นเจ้า นั้น เราเรียก ว่า “อิสลาม” ซึ่งตามหลักสากลเรียก ว่า “ศาสนา” ไม่ใช่ “ลัทธิ” และผู้ที่นับถือเช่นเดียวกับท่านร่อซูล (ศล) ถูกเรียกว่า “มุสลิม” เราไม่สามารถหาหลักฐานใดๆ ที่แสดงให้ เห็นว่า ท่านร่อซูล (ศล) ยึดถือสิ่งอื่น นอกเหนือจาก อัลกุรอาน


การแบ่งแยก ศาสนาออกเป็นนิกาย หรือ ลัทธิ ต่างๆ ตามคำสอน ของผู้นำ ไม่ว่า จะเป็น ท่านอีมาม ต่างๆ หรือ อาจารย์ ทางศาสนา ทั้งหลาย หรือนักการเมือง ท่านต่างๆ ในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม นั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการ ของอิสลาม เช่น “ลัทธินิกายซุนนีย์” และ “ลัทธินิกายชีอะต์” ฯลฯ เป็นต้น เพราะ ลัทธิ หรือ นิกายทั้ง สอง ที่ แยกออกจาก ศาสนา อิสลามนี้ นอกจากจะ ยึดอัลกุรอานแล้ว เขายังยึดสิ่งอื่น นอกเหนือไปจาก “กิตาบุลลอฮ์” เป็นหลักปฏิบัติอีกด้วย และยกสิ่ง นั้นขึ้นเทียบเท่า “อัลกุรอาน” ซึ่งตามหลักการของอิสลามตามที่ ท่านร่อซูล (ศล) สอนแล้ว เป็นการ ถือพระเจ้า สององค์ คือยึดถือทั้ง “อัลกุรอาน” และ “คัมภีร์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น”


เนื่องจากว่า เราเคยชิน กับ คำว่า “อะหะดีษ” ซึ่ง หมายรวม ถึง เรื่องบอกเล่า ที่เชื่อกันว่า เป็นคำกล่าว หรือ การปฏิบัติ ของ ท่านร่อซูล (ศล) ในขณะที่ท่านร่อซูล (ศล) ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อราวๆประมาณ 1415 ปีมาแล้ว, เรื่อง เล่า เหล่านี้ ได้ถูก รวบรวม และ จัดเป็นรูปเล่มโดย อีมามบุคอรี แม้แต่ตัวท่านอีมามบุคอรีท่านก็ยังไม่แน่ใจว่า เรื่อง เหล่านั้น จะมีความจริง หรือไม่ ท่านไม่ได้มีเจตนาจะ ให้ มุสลิมใช้เรื่องเล่าเหล่านั้นมา เป็น หนังสือ ควบคู่ไปกับอัลกุรอาน และให้มุสลิมยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ ในศาสนาอิสลาม


ความหลงผิด ของมุสลิมส่วนใหญ่ที่ เข้า ใจว่า “อะหะดีษ” ของ บุคอรี นั้น เป็นเรื่องจริง โดยไม่มีข้อสงสัย และพากันนำมาเทิดทูล เทียบเท่า อัลกุรอาน และ ยังใช้เรื่องเล่า เหล่านั้น มา ตีความในอัลกุรอาน, การเชื่อเช่นนี้ เป็นการเชื่อเช่นเดียว กันกับผู้ ที่ นับถือศาสนา ยิว เชื่อใน “ตาลมูด” และ ผู้ที่นับถือพุทธศาสนา เชื่อ ใน “นิทานชาดก”


ถามท่านแมทว่า ท่านยอมรับซุนนะฮฺในเชิงปฏิบัติหรือไม่ ?


แน่นอนทีเดียว “ท่านแมทท์” ยอมรับซุนนะฮฺของท่านร่อซูล (ศล) ในเชิงปฏิบัติ ที่อยู่ในขอบเขต ของอัลกุรอาน และซุนนะฮ์ ข้อแรกที่ผู้ที่ ได้ชื่อว่า “มุสลิม” จะต้องกระทำตามคือ การ ยึด อัลกุรอาน แต่เพียงอย่างเดียว ในการเรียนการสอน และการปฏิบัติศาสนกิจ และจะไม่ยึดถือสิ่งใดเทียบเท่าพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น, ตามที่ผม ได้เขียนมามากแล้วว่า การทำละหมาด, การ ถือศีลอด, การ จ่าย ซะกาต, และการทำฮัจจฺ นั้น เป็นซุนนะฮ์ ที่แท้จริง ที่ตกถ่ายทอดกันมา โดยประชากร มุสลิม เป็นจำนวนมาก จนมาถึงในครอบครัว มุสลิม จาก ท่านร่อซูล (ศล) โดยไม่ต้อง อาศัยคำบอก เล่าของผู้ใด ทำกันจนเป็นนิสัย และมุสลิมรุ่นหลังๆ ก็เรียนแบบกันมา โดย ไม่ต้อง อาศัย สิ่งอื่นใดนอกเหนือ ไปจาก อัลกุรอาน เท่านั้น


ท่านร่อซูล (ศล)ได้สิ้นชีวิตไปนานแล้ว, ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ นั้น เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ในกรณี ที่มุสลิม มี ปัญหา หรือ ข้อพิพาท ในระหว่าง มุสลิมด้วยกัน อัลกุรอาน บัญญัติ ให้ มุสลิม ผู้ที่มีปัญหา เหล่านั้น ไปปรึกษาท่านร่อซูล (ศล) เพื่อให้ท่าน ไกล่เกลี่ย และเป็นผู้ตัดสิน และ อัลกุรอานบัญญัติ ให้มุสลิมทุกๆคน เชื่อฟังคำตัดสิน ของ ท่านร่อซูล (ศล) อย่าง ไม่มีข้อสงสัย และถ้าหากว่า มุสลิม ผู้นั้น ไม่เชื่อ ฟังท่านร่อซูล (ศล) แสดงว่า ยังไม่มีศรัทธาต่อ พระเจ้า อย่าง จริงใจ



ในเมื่อ ท่านร่อซูล (ศล) สิ้นชีวิตไปแล้ว เราจะปรึกษาท่านได้อย่างไร ดังนั้น เหลืออยู่สิ่งเดียวที่มุสลิมทุกๆคน รู้แน่ว่าท่านร่อซูล (ศล) เคยปฏิบัติตาม นั้นก็คือ “อัลกุรอาน” และเป็นคำสั่งของ ท่านร่อซูล (ศล) ด้วยว่า มุสลิมทุกๆคนจะต้อง ยึด อัลกุรอาน เท่านั้น เป็น หลักการสำหรับ อิสลาม


ตามที่คุณ เตือนว่า เรื่องอายะฮฺที่ 14 ของซูเราะฮฺอัรเราะหฺมาน และอัลเลาะฮฺทรงสร้างท่านนบีอาดัมในรูปของเขา ทำไมถึงไม่เคลียร์ให้กระจ่างครับ ?


“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ผม ถามทุกท่านที่เป็น นักเรียนเก่า อรับ และผู้รู้ที่สามารถที่จะชี้แจงให้ผมได้ และผมก็กำลังรอฟัง คำตอบ อยู่”



และคำถามของผมอีกข้อหนึ่งที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ก็คือ ถ้าผู้ที่ไม่เชื่อ “ซอเฮี๊ยะหะดีษ” จะตกเป็นกาเฟร แล้ว จะต่างจากผู้ที่อ้างว่า เชื่อ “ซอเฮี๊ยะหะดีษ” แต่ไม่ปฏิบัติตามหรือไม่? ตัวอย่างเช่น


ซอเฮี๊ยะหะดีษ หมวด 7 เล่มที่ 72, เลขที่ 779
บรรยายโดย อบู ฮุรอยเราะ..


“ ฉันได้ยินท่านรอซูลกล่าวว่า, “ มีการปฏิบัติอยู่ ห้าประการที่เป็น คุณลักษณะของ ความศรัทธา: การตัดหนังหุ้ม ปลายอวัยวะสืบพันธ์ชาย, การโกนขนบริเวณ อวัยวะสืบพันธ์(ทั้งหญิงและชาย), การตัดหนวดให้สั้น, การตัดเล็บ และการโกนขนรักแร้.”


คำถาม


“มุสลิมชาย ถ้าไม่ ตัดหนังหุ้ม ปลายอวัยวะสืบพันธ์ ก็จะรับว่าเป็นมุสลิมไม่ได้ ซึ่งเป็นประเพณี ซึ่ง มุสลิม ทำกันตลอดมา” และชายมุสลิมทุกๆคนจะต้องทำ” ถ้าไม่ทำจะต้อง ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นมุสลิม” (จะเป็นกาเฟร)


“การโกนขนบริเวณ อวัยวะสืบพันธ์(ทั้งหญิงและชาย) มีมุสลิมไทย(ชายหญิง) สักกี่เปอร์เซนต์ ที่ทำครบตาม หะดีษบทนี้ และถ้าไม่ทำ จะยังคงความเป็นมุสลิมหรือ ถูกยอมรับว่าเป็นมุสลิม และจะตกเป็น กาเฟร หรือไม่?”


ซุนนะห์ ทั้งสอง ในห้าประการนี้ อยู่ในซอเฮี๊ยะหะดีษ เดียวกัน และเป็นเรื่องง่ายๆ ที่มุสลิมทุกๆท่านจะต้องทำได้ เพราะว่า การ ที่มุสลิมชาย ตัดหนังหุ้ม ปลายอวัยวะสืบพันธ์ นั้น มัน เจ็บและยาก กว่าการการโกนขนบริเวณ อวัยวะสืบพันธ์ อีก, ทำไมเราจึงทำเพียงสิ่งหรือสองสิ่ง ตามซุนนะห์ แต่ไม่ทำทั้งหมด หรือว่า เราสามารถซ่อนเร้น การกระทำหรือไม่กระทำได้ ตามใจชอบของเรา?

ผมอยากขอความกรุณาให้ ท่านอาจารย์ ฟะรีด เพนดี้ และ อาจารย์ มุรีด ทิมะเสน ช่วยตอบคำถามของผมข้อนี้ด้วย


การที่กล่าวว่า เชื่อ แต่ไม่ทำตาม ก็ ไม่ต่างไปจากการไม่เชื่อ, ถ้าเราวางกฎ เอาเอง ว่า ถ้าผู้ใด ไม่เชื่อ “ซอเฮี๊ยะหะดีษ” แล้ว จะตกจากการเป็นมุสลิม จะเป็นกาเฟรทันที นั้น, การกล่าวเช่นนั้น เป็นการกล่าว ที่ขัดกับหลักการของอิสลาม เพราะ พระเจ้าไม่ได้ มีบัญญัติ ไว้ในอัลกุรอาน ว่า จะต้องเชื่อ “เรื่องบอกเล่าเหล่านั้น”


พระองค์ทรงมีคำสั่งให้มุสลิมทุกๆคน เชื่อฟังท่านร่อซูล (ศล) เท่านั้น การเชื่อฟังท่านร่อซูล (ศล) ต่างจากการเชื่อฟัง ผู้เล่าเกี่ยวกับ ท่านร่อซูล (ศล) (ขอให้คุณๆ คิดดูดีๆ) เพราะ การเชื่อฟัง ผู้เล่าเรื่อง เกี่ยวกับ ท่านร่อซูล (ศล) อาจจะคลาดเคลื่อน จาก ความเป็น จริงได้, แต่ในทางตรงกันข้าม การซื้อ หรือ นำเอาเรื่อง เหลวไหล มาปฏิบัติปะปนกับหลักการศาสนา นอกจาก จะ เสียเวลาแล้ว จะทำให้เสียอีมานอีกด้วย และข้อห้ามนี้ มีอยู่ในอัลกุรอาน


การเป็นคนโง่และขยันศึกษาหาควาจริงวันหนึ่งจะประสพผลและพบความจริงได้ แต่ คนโง่ที่ ไม่พยายามค้นคว้าและศึกษาเพิ่มเติม, ใครเล่าหรือ กล่าวเช่นใดก็ทำตาม โดยไม่ใช้สติปัญญา ค้นหา ความจริง จากความรู้ ที่ ท่านร่อซูล (ศล) รับมาพร้อมกับข่าวสาร ของพระเจ้า "อัลกุรอาน" เขาเหล่านั้น ก็จะยังคง หลงทาง ยิ่งเรียนก็ยิ่ง ถอยหลังเข้าคลอง, เล่น หรือ ฟังดนตรีไม่ได้, เล่นกีฬาไม่ได้, ดูภาพยนตร์ หรือ ถ่ายรูปไม่ได้ ฯลฯ (แต่เล่นอินเทอเนทได้, ดูทีวีได้ เล่นรูปการ์ตูน ต่างๆ บนอินเทอเนทได้ ฯลฯ) ส่วนใหญ่ของมุสลิมนั้น ปฏิบัติตนแบบ มุนาฟิกีน ต่อต้านความเจริญ ก้าวหน้า แต่ในขณะเดียวกัน ก็ ใช้ผลประโยชน์ จาก ความเจริญก้าวหน้า


มุสลิมเราที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ เคร่งครัด ต่อ หลักศรัทธา ปากไว ชอบด่าว่า ผู้ ที่มี ความคิดไม่ตรง กับเขา หรือผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ว่า เป็น กาเฟร อยู่เสมอๆ โดยใช้คำว่า "ไอ้พวกกาเฟร" ซึ่งที่ถูกต้องและเป็นคำสุภาพควรจะ ใช้คำภาษาไทย ว่า "ผู้ ไม่ศรัทธา หรือ ขาดความเข้าใจ ความศรัทธาต่อ พระผู้เป็นเจ้า" ในขณะที่ด่าประนามเขา ก็นำวิทยาการและ ผลผลิตของเขามาใช้ ทั้งนี้เพราะ ว่า มุสลิมส่วนใหญ่ยังหลงวนเวียน อยู่ ในวัฒนธรรมอรับเมื่อ 1415 ปีมาแล้ว โดยไม่ใช้อัลกุรอานเป็นหลักการดำเนินชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว อัลกุรอานสอนให้มุสลิมฉลาด แต่ บุคอรีสอนให้มุสลิมถอยหลังเข้าคลอง


ในขณะที่ "กาเฟร" เขา สร้างอินเทอเนท ให้เป็นประโยชน์ แก่ชาวโลก ทุกๆเชื้อชาติศาสนา รวมทั้งทุกๆท่านในเวบนี้, "มุสลิมไทยเราเพิ่งเริ่มสอนวิธีการทำความสะอาด รูทวาร โดยที่ไม่สามารถที่จะ ตัดสินใจได้ว่า "จะใช้กระดาษ, ก้อนหิน หรือ สิ่งใดชำระล้าง ถึงจะ ถูกฮุก่ม"


คุณๆเห็นไหมว่า ทำไมผมจึง เป็นห่วงในเรื่องนี้ มุสลิมเราควรจะ เจริญรุ่งเรืองกว่านี้ ถ้า เรา ถือปฏิบัติ ตาม ซุนนะห์ ของ ท่านร่อซูล (ศล) อย่างแท้จริง คือยึดถืออัลกุรอาน เท่านั้น ที่เป็นพื้นฐาน ชอง คำสอนของ ท่านร่อซูล (ศล) อย่างแท้จริง, หลังจากที่ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว มุสลิมจึงจะเจริญ เหมือนกับในสมัยของท่านร่อซูล (ศล)เมื่อตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่,

อะไรเล่าที่เราจะทิ้งไว้ให้เป็นมรดกของมุสลิมรุ่นหลังๆ?


อัลกุรอานไม่ใช่เป็นมรดกแต่เป็น หลักการแนวทางของพระเจ้า ที่มุสลิมทุกๆท่านจะต้อง ใช้เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อบรรลุถึง ชีวิตที่สมบูรณ์, ไปชั่วลูกชั่วหลาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตในปรโลก

เป็นที่น่าแปลก คำถามที่ผมถามและขอคำอธิบาย ผมไม่เคยได้รับคำตอบ ในแง่ความรู้เลย(นอก จาก คำตอบ อย่าง หยาบคาย ในบางครั้ง), ถ้า คุณๆในที่นี้ ไม่นับว่าผมเป็นมุสลิม ทั้งนี้ เนื่องจาก ผมไม่เชื่อ เรื่องบอกเล่า ของ “อีมามบุคอรี” ก็ควรจะมีคำอธิบาย หรือตอบคำถามของผมบ้าง อย่าง มุสลิมที่มีความรู้ ในศาสนาตาม ที่คุณศรัทธาอยู่ เพื่อว่า อาจจะมีประโยชน์ ให้ผมเข้าใจได้ บ้างว่า ทำไมมุสลิมจึง เข้าใจ หลักการศาสนาอย่างที่เรา เห็นอยู่ในทุกๆวันนี้


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AbdurRahman
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005
ตอบ: 185


ตอบตอบ: Sun Aug 21, 2005 11:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
พี่แมทท์ครับ อ่านบทความพี่คร่าวๆเริ่มรู้สึกว่าพี่พูดมามีเหตุผล เพราะมีหลายฮาดิษ ที่นบีชี้ขาดไว้ชัดเจน เช่น ในซอเฮี๊ยะฮ์ บุคคอรี ท่านนบี Solallah สั่งว่า จงทำให้แตกต่างจากมุชริก จงไว้เคราและตัดหนวดให้สั้น
ซึ่งหมายความว่านบีสั่งให้ไว้เคราและตัดหนวดให้สั้นเพราะฉะนั้น ถ้าไม่ไว้เครา ก็จะกลายเป็นเป็นพวกทำชิรก์
ซึ่งผมเห็นกับตาว่า คนที่รับสมอ้างว่าเป็นจุฬา หรือ คนที่แปลกุรอ่าน หลายๆคน เข้าข่ายเป็นผู้ทำชิริก ก็ไม่เห็นมีใครว่าเค้าซักคำ ว่าพวกเค้าเป็นพวกมุชริกีน แถมยังมีการขอดุอาอ์ให้กาฟิร (ชื่อแม้วนะครับ) ให้แม้วยกมือขอดุอาอ์ตาม ไม่รู้แม้วมันขออะไร ขอจากใคร ขอทำไม(ฟะ)
ขอเสร็จก็ไปไหว้รูปปั้นขอต่อ เฮ้อ แม้วนะแม้ว ทำไปได้

อิอิ มีไรก็แนะนำบ้างนะคร้าบพี่ เดี๋ยววันไหนแต่งเมียจะเชิญมากินบุญ หุหุ (หลบระเบิดเอาเองนะคร้าบ :P :P :P )
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Thu Aug 25, 2005 10:07 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมหายไปหลายเพลา....
เพราะเห็นว่าอาจานแมทท์กลับเข้ามาทำหน้าที่ของท่านในฐานะ องค์ปาฐก ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน เห็นแกเกริ่นเข้าท่าว่าจะเริ่มเปิดบรรยายวิธีละหมาดเป็นเรื่องเป็นราวซะที ผมซึ่งเป็นแค่ตัวสำรองอันดับบ๊วยๆจึงต้องรีบวางไมค์ ย้ายก้นลงไปนั่งข้างเวที พัก Mattism Conspiracy Episode-VII ไว้ชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้ทั่นอาจานขึ้นเวทีบรรยายต่อ ขอไม่อยู่ขัดหูขัดตาทั่น

ก็ไม่รู้งัยสิ .... แพลมมานิดเดียว...หายจ้อยไปอีกแล้ว
ปรากฏว่าทั่นไปโผล่ที่ ทางสายกลางในศาสนาอิสลามคืออะไร ? ว่า

Matt : Thu Jun 30, 2005 11:57 am
ความจริงผมว่าจะรอตอบคุณ AlGhurabaจนกว่าคุณจะอธิบาย เรื่อง อะหะดีษ ในห้องนั้น จนจบ เสียก่อน ตามอ่านอยู่ทุกวัน ได้ ความรู้ ดี เหมือน กับอยู่ ในสมัยท่านรอซูล เลยทีเดียว ไว้คุณเล่าจบ ทุกเรื่องก่อน แล้ว ผมจะเข้า ไป คุยต่อ

ผมเองก็ยังรีๆรอๆ อยู่นะครับว่าอาจานจะกลับมาบรรยายต่อหรืออย่างไรรึป่าว
จนป่านนี้แล้ว แกเที่ยวไปป้วนเปี้ยนที่อื่น นอกเรื่องนอกราวตามสไตล์
เอาเป็นว่า ผมจะขอถือข้อความนั้นของอาจานเป็นคำมั่นสัญญา(อีกสักที..เหอะ)
ถ้าคำว่า “อธิบาย เรื่อง อะหะดีษ ในห้องนั้น” หมายถึง Mattism Conspiracy 8 ภาคที่ผมไล่เรียงมาเรื่อยๆระหว่างกระดานยังว่าง ไร้ผู้คนนี้ละก็ ผมก็จะรับคำและรีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
หวังว่าอาจานแมทท์ จะรักษาคำพูด... “ว่าจะรอตอบคุณ AlGhurabaจนกว่าคุณจะอธิบาย เรื่อง อะหะดีษ ในห้องนั้น จนจบ เสียก่อน”
ซึ่งที่จานบอกว่า จะรอตอบผมน่ะ...เข้าใจว่าน่าจะหมายถึงคำชี้แจงเรื่องการละหมาดตามอัลกุรอาน นะครับ อย่างน้อยก็ควรจะเริ่มให้ได้ว่า

1 การละหมาดเริ่มมาแต่สมัยใดกันแน่
2 ทราบได้อย่างไรว่าอัลลอฮฺสั่งให้เราละหมาดวันละกี่เวลา


แล้วหลังจากนั้นเราจะได้ค่อยๆคุยกันในรายละเอียดของการละหมาดต่อๆไป
การที่จะตอบว่า “ทำตามๆกันมา” ... ควรละอายใจบ้างเถิดครับ เพราะนั่นคือการถ่มน้ำลายรดฟ้า! เนื่องจากตามทฤษฎี mattism แค่พ่อบอกต่อกะลูกว่าให้ละหมาดอย่างนี้..อย่างนี้ ก็เป็นการเชื่อฟังสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺและรอซูลแล้ว..มิใช่หรือ
ดังนั้นผมจะถือว่านี่เป็น “สัญญาสุภาพบุรุษ” ระหว่างเรานะครับ.... ซึ่งผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าในลัทธิของอาจานนั่น เขามีคำสอนเรื่องอะมานะฮฺไว้บ้างหรือป่าว
แต่สำหรับในอิสลาม...ท่านนบีสอนว่า “เครื่องหมายมุนาฟิก 3 ประการ คือ
- เมื่อมันพูด...มันโกหก ตอแหล
- เมื่อมันให้สัญญา... มันก็หักหลังเขา
- เมื่อมันได้รับความไว้วางใจ(อะมานะฮฺ)... มันก็ทรยศ
”
เป็นหะดีษเศาะเฮียะห์ รายงานโดยอิมามบุคอรี...ครับทั่น

ดังนั้นจากนี้อีกไม่นานเกิน 2 สัปดาห์คงได้รู้กันครับว่า.... “สุภาพบุรุษ” หรือ “มุนาฟิกฺ”
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Thu Aug 25, 2005 1:31 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ก่อนจะพักไว้คราวก่อน.....
Episode-VII ยังคั่งค้างอยู่อีกนิดนึง ดังนั้นก่อนที่จะข้ามไปถึง Episode-VIII ผมขออนุญาต ทวนกลับไปในประเด็น “นบีไม่ได้พูดตามอารมณ์” อีกสักนิดนะครับ ให้จบเป็นเรื่องๆไป เผื่อ “ทั่น” จะได้เข้าใจชัดขึ้นอีกว่า “และเขา(มุฮัมมัด) ไม่ได้พูดมาจากอารมณ์แต่เป็นวะฮีย์ ”


-----------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : EPISODE 7/6
-----------------------------------------------------------


เป็นที่เห็น อย่างชัดแจ้งว่า ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ที่ท่าน รอ ซูล กล่าว หรือ กระทำ ไม่ ใช่ ข่าวสาร.. ที่พระองค์ อัลลอฮ์.. ต้องการ จะให้ท่านรอซูลนำมาประกาศ ให้ แก่ ปวง ชน (บัญญัติ ใน อัลกุรอาน)(Matt: Sun Feb 27, 2005 11:14 pm)

ก็ถูกครับ .... ไม่ใช่ทุกอย่างทุกเรื่องที่ให้ทำตาม ... แต่มุสลิมทั้งโลกเค้าแยกแยะได้ครับ แม้ว่าพวกฟาสิกฺจะมองไม่ออกก็ช่างมัน
นบีขี่อูฐ ขี่ลา ... เราขี่บี-เอ็มvery goodเอ็กซ์) หรือ เมอร์ซิเดซ ก็ไม่เป็นไร(ถ้ามีปัญญาหามาขี่) แต่เราก็ไม่ลืมที่กล่าวว่า

สุบหานัลละซี สัคเคาะเราะละนา ฮาซา .....

นบีเปิบอาหารด้วยมือ ..... เราใช้ช้อนสังกะสี มุสลิมในอังกฤษใช้ช้อนส้อมสเตนเลส พี่น้องของเราอีก 80-90 ล้านคนแถวยุนนาน ซิงเกียง ใช้ตะเกียบ ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็ไม่ลืมที่จะกล่าว บิสมิลลาฮฺ ขณะเปิบคำแรกด้วยมือขวา

ในชีวิตประจำวันมีทั้งส่วนที่เป็นเรื่องทางโลกที่มักเรียกกันว่า มุอฺามะลาต การงานต่างๆเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในดุนยา จะวางแผนธุรกิจอย่างไร โปรโมตสินค้าแบบไหน เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างไร บำบัดรักษาโรคด้วยวิธีไหน ปลูกบ้านทรงอะไร ขับขี่ยวดยานชิดซ้ายหรือชิดขวา ฯลฯ เหล่านี้ก็ว่ากันตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่แล้วแต่จะมาตกลงวางแบบแผนกัน แต่ในนั้นมันก็มีส่วนที่เป็นอิบาดะฮฺ คือการปฏิบัติตามกำหนดกฏเกณฑ์ที่อัลลอฮฺและรอซูลวางไว้สอดแทรกอยู่ด้วยว่า แผนธุรกิจต้องไม่ทุจริต ไม่กักตุน ไม่โก่งราคา ตัดราคา ค้าขายสินค้าที่หะลาล เพาะปลูกได้ผลมาแล้วต้องเจียดส่วนหนึ่งเป็นซะกาตเท่านั้นเท่านี้ บำบัดโรคด้วยความอารีมีเมตตา มีจรรยาบรรณ และไม่กระทำสิ่งที่เป็นการเปลี่ยนการสร้างของอัลลอฮฺ จะปลูกเรือนสร้างเหย้าก็อย่าให้ก่อความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้าน อยู่อเมริกาขับชิดขวาก็ไม่เลี้ยวซ้ายเข้าผับเข้าบาร์ มาเมืองไทยขับชิดซ้ายก็ไม่ได้เถลไถลเข้าม่านรูด ฯลฯ ทุกวงจรล้วนมีสุนนะฮฺหรือรูปแบบการดำเนินชีวิตที่อัลลอฮฺให้ อุสวะฮฺหะสะนะฮฺ มาแล้ว ดังนั้นจงดู concept จากต้นแบบนั้นเป็นตัวอย่าง แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับวีถีแห่งปัจจุบันสมัย....เทอญ !

น่าจะสรุปได้ลงตัวแล้วนะครับ ว่า สิ่งที่นบีบอก สอนชี้แจง เรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เรื่องที่เป็นบัญชาจากอัลลอฮฺ ข้อห้าม ข้อใช้ต่างๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกบันทึกหรือไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในอัลกุรอานก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามบัญชาหรือเป็นวะฮีจากอัลลอฮฺทั้งสิ้น

และถ้ายังคิดว่า “วะฮี” คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอานเท่านั้น ขอให้กลับไปทบทวนความหมายของวะฮีใน episode 7/3 ข้างต้นโน่นอีกที อ่านแล้ว อ่านอีก ก็ได้ครับ ไม่ว่ากัน เพราะถ้า concept เรื่องวะฮีนี้บิดเบี้ยวไปซะแล้ว อย่างอื่นก็...เละไม่เป็นท่า แล้วละครับ

วะฮีจากอัลลอฮฺ ไม่ได้มีเฉพาะกับคนที่เป็นนบีเท่านั้นด้วย .... คนอื่นที่ไม่ได้เป็นนบีก็เคยได้รับวะฮี สรรพสิ่งในฟากฟ้า อัลลอฮฺทรงมีวะฮีแก่มัน แม้แต่เดรัจฉาน พระองค์ยังทรงวะฮีให้

นอกจากนี้ทราบหรือไม่ว่ายังมี “วะฮี” ในลักษณะอื่นอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยว่า หนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับวะฮีประเภทนั้น คือ อาจานแมทท์ นี่เอง.... ซึ่งขอทิ้งประเด็นนี้ไว้เป็น quiz ให้คิดกันเล่นๆก่อนปิดฉาก Episode-VII ครับผม

\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\ - END OF EPISODE VII - \\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Thu Aug 25, 2005 3:13 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

---------------------------------
MATTISM CONSPIRACY
Episode VIII : การให้นมบุตรบุญธรรม
---------------------------------


มาจะกล่าวบทไป...
ตั้งแต่เดือนมีนา ก่อนหน้านี้
คุณจานแมทท์ แสนกล คนหัวดี
ไม่รู้สิไปขุดคุ้ยยังไงมา......????

Book 008, Number 3424: ' A'isha (Allah be pleased with her) reported that Sahla bint Suhail came to Allah's Apostle (may peace be eupon him) and said: Messengerof Allah, I see on the face of Abu Hudhaifa (signs of disgust) on entering of Salim (who is an ally) into (our house), whereupon Allah's Apostle (may peace be upon him) said: Suckle him. She said: How can I suckle him as he is a grown-up man? Allah's Messenger (may peace be upon him) smiled and said: I already know that he is a young man 'Amr has made this addition in his narration that he participated in the Battle of Badr and in the narration of Ibn 'Umar (the words are): Allah's Messenger (may peace be upon him) laughed

Book 008, Number 3425: 'A'isha (Allah be pleased with her) reported that Salim, the freed slave of Abu Hadhaifa, lived with him and his family in their house. She (i. e. the daughter of Suhail came to Allah's Apostle (may peace be upon him) and said: Salim has attained (purbety) as men attain, and he understands what they understand, and he enters our house freely, I, however, perceive that something (rankles) in the heart of Abu Hudhaifa, whereupon Allah's Apostle (may peace be upon him) said to her: Suckle him and you would become unlawful for him, and (the rankling) which Abu Hudhaifa feels in his heart will disappear. She returned and said: So I suckled him, and what (was there) in the heart of Abu Hudhaifa disappeared.

Book 008, Number 3427: Umm Salama said to 'A'isha (Allah be pleased with her): A young boy who is at the threshold of puberty comes to you. I, however, do not like that he should come to me, whereupon 'A'isha (Allah be pleased with her) said: Don't you see in Allah's Messenger (may peace be upon him) a model for you? She also said: The wife of Abu Hudhaifa said: Messenger of Allah, Salim comes to me and now he is a (grown-up) person, and there is something that (rankles) in the mind of Abu Hudhaifa about him, whereupon Allah's Messenger (may peace be upon him) said: Suckle him (so that he may become your foster-child), and thus he may be able to come to you (freely).
(matt : Tue Mar 01, 2005 12:09 am)


แล้วก็ไปแปลสรุปตีไข่ใส่พริกป่นเอาตามใจชอบว่า...

ซอเฮี๊ยะ มุสลิม เล่มที่ 008 , เลขที่ 3427 ที่ เล่าว่า ถ้า มีเด็กหนุ่ม มา เยี่ยม ครอบครัว อะบูฮูดัยฟะ เพื่อ ที่จะ ให้ ถูก ต้อง ตาม หลักไม่ดูเป็นที่ครหา ว่ามามีชู้กับภรรยา, ท่าน รอซูล แนะนะ ให้ ภรรยาของ อะบูฮูดัยฟะ เอา ฺ Breast ของนาง ให้ชาย หนุ่มผู้ นั้น ดูด (Breast Feeding) เพื่อ ที่ ชายหนุ่มนั้น จะได้ กลาย เป็ น บุตร บุญธรรม ของ นาง ซึ่งทำให้ ชายหนุ่ม ผู้ นั้น สามารถ ที่ จะ มาเยี่ยม นาง ได้ อย่าง ถูก ประเพณี ,

และใน ซอเฮี๊ยะ มุสลิม เล่มที่ 008 , เลขที่ 3421 กล่าวว่าการ Breast Feeding นี้ ถ้า ดูดถึง 10 ครั้ง จะ ทำให้ เสีย การ สมรส ดังนั้น จึง มีคำสั่ง จาก ท่าน รอซูล ให้ ดูด ได้ ไม่ เกิน 5 ครั้ง,

คุณคงนึกภาพได้ ว่า ถ้า มุสลิมผู้ที่เชื่อ ใน “ซอเฮี๊ยะฮะ ดีษ บท นี้” กลับเข้า บ้าน และเห็น ภรรยากำลัง Breast Feeding เด็กหนุ่มแปลกหน้า อยู่ใน บ้าน เขาจะเชื่อ คำอธิบาย ของ ภรรยา ของ เขาหรือ ไม่ ว่า เธอ กำลัง ป้อนนมให้กับบุตรบุญธรรมคนใหม่?” คุณ addullslam คิดหรือ ว่า ซุนนะห์ ข้อนี้ จะ มี ผู้ ปฏิบัติ ตาม, ที่ยอม ให้ ภรรยา ของ ตนเอง เอานมให้ ชาย หนุ่ม แปลกหน้าดูด เพื่อ เปลียน สภาพ จาก คน แปลก หน้า มา เป็น บุตรบุตรบุญธรรม อะฮะดีษ เช่นนี้ แหละครับ ที่ ทำลาย อิสลาม ผมไม่ทราบว่าจะเป็น ซอเฮี๊ยะ ฮะดีษ ได้อย่าง ไร ในเมื่อ ผู้ บรรยาย อ้างว่า เป็น บัญญัติ อยู่ ในอัลกุรอาน แต่ความจริง แล้ว ไม่ มี อยู่ ใน อัลกุรอาน ซึ่ง ทั้ง อีมามมุสลิม และ บุคอฮ์รีย์ ควรจะรู้ดี และ ไม่ควรจะ จดบันทึก ไว้ และ เรึยกว่า “ซอเฮี๊ยะฮะดีษ” ผมอยากให้ ผู้ เชี่ยว ชาญ ฮะดีษ ช่วย อธิบาย ให้ ฟังด้วย ว่า “ฮะดีษเหล่านี้ เป็น ซอเฮี๊ยะฮะดีษได้อย่างไร?”

(matt : Tue Mar 01, 2005 12:10 pm)

============================

อัลฆุเราะบาอ์...หน้าแห้ง
ไม่รู้จะแจ้ง แยงคำตอบ วิธีไหน
คงจะขอทะยอย ค่อยคลำไป
จะตอบให้เป็นฉากๆละกันนะ....ขอรับ...อิ อิ...เอิ๊ก


"ถ้า มุสลิมผู้ที่เชื่อ ใน “ซอเฮี๊ยะฮะ ดีษ บท นี้” กลับเข้า บ้าน และเห็น ภรรยากำลัง Breast Feeding เด็กหนุ่มแปลกหน้า อยู่ใน บ้าน เขาจะเชื่อ คำอธิบาย ของ ภรรยา ของ เขาหรือ ไม่ ว่า เธอ กำลัง ป้อนนมให้กับบุตรบุญธรรมคนใหม่?” "

คงไม่เชื่อครับ... ซ้ำยังจะเอาไม้ตะพดแพ่นกะบาลทั้งไอ้หนุ่มนั่นและภรรเมียตัวดีด้วย!

"คิดหรือ ว่า ซุนนะห์ ข้อนี้ จะ มี ผู้ ปฏิบัติ ตาม, ที่ยอม ให้ ภรรยา ของ ตนเอง เอานมให้ ชาย หนุ่ม แปลกหน้าดูด เพื่อ เปลียน สภาพ จาก คน แปลก หน้า มา เป็น บุตรบุตรบุญธรรม"

คิดครับ .... คิดว่าไม่มีใครทำแบบนั้น..."ให้ภรรยาของตนเองเอา “นม” ให้ ชายหนุ่มแปลกหน้า ดูด" !...ถ้าคุณจานแมทท์หมายถึงนมที่เป็นเต้าติดตัวน่ะนะ

"อะฮะดีษ เช่นนี้ แหละครับ ที่ ทำลาย อิสลาม"

ไม่ใช่ครับ....แต่เป็นความสมบูรณ์ในอิสลาม

"ผมไม่ทราบว่าจะเป็น ซอเฮี๊ยะ ฮะดีษ ได้อย่าง ไร ในเมื่อ ผู้ บรรยาย อ้างว่า เป็น บัญญัติ อยู่ ในอัลกุรอาน แต่ความจริง แล้ว ไม่ มี อยู่ ใน อัลกุรอาน ซึ่ง ทั้ง อีมามมุสลิม และ บุคอฮ์รีย์ ควรจะรู้ดี"

ข้อนี้ตอบง่ายที่สุดเลยครับ...คุณไม่ทราบ เพราะคุณ ignorant in science of hadith ... ชัดมั้ยครับ!
ส่วนที่บอกว่า "ผู้ บรรยาย อ้างว่า เป็น บัญญัติ อยู่ ในอัลกุรอาน แต่ความจริง แล้ว ไม่ มี อยู่ ใน อัลกุรอาน" คงหมายถึงอันนี้ ...

Muslim : Book 8, Number 3421:
'A'isha (Allah be pleased with, her) reported that it had been revealed in the Holy Qur'an that ten clear sucklings make the marriage unlawful, then it was abrogated (and substituted) by five sucklings and Allah's Apostle (may peace be upon him) died and it was before that time (found) in the Holy Qur'an (and recited by the Muslims)
.

นั่นสิเนอะ...อยู่ตรงไหนในอัลกุรอาน?
งั้น...ที่จานแมทท์ทั่นบอกว่า "ผู้ บรรยาย อ้างว่า เป็น บัญญัติ อยู่ ในอัลกุรอาน แต่ความจริง แล้ว ไม่ มี อยู่ ใน อัลกุรอาน" ก็ดูเหมือนจะถูก...แต่ผิดครับ!

เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาดูตัวบทหะดีษกัน นะ .... รอหน่อย

//////////////////- To be continued -//////////////////
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Fri Aug 26, 2005 3:28 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

---------------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode 8/2
---------------------------------------------------------------


หะดีษว่าด้วยการให้นม 5 ครั้ง 10 ครั้ง ในอัลกุรอาน มีว่า ...


2634 حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى قَالَ قَرَأْتُ عَلَى مَالِكٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ أَبِي بَكْرٍ عَنْ عَمْرَةَ عَنْ عَائِشَةَ أَنَّهَا قَالَتْ كَانَ فِيمَا أُنْزِلَ مِنَ الْقُرْآنِ عَشْرُ رَضَعَاتٍ مَعْلُومَاتٍ يُحَرِّمْنَ ثُمَّ نُسِخْنَ بِخَمْسٍ مَعْلُومَاتٍ فَتُوُفِّيَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُنَّ فِيمَا يُقْرَأُ مِنَ الْقُرْآنِ .... مسلم : الرضاع - بَاب 6 التَّحْرِيمِ بِخَمْسِ رَضَعَاتٍ


ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺกล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่เคยถูกประทานลงมาในอัลกุรอานคือ การให้นมอย่างที่รู้กัน สิบครั้ง จะทำให้เกิดสถานภาพการเป็นที่ต้องห้าม(ในการสมรส) แล้วต่อมา(การให้นมสิบครั้งนั้น)ก็ถูกยกเลิก ด้วย(การให้นม)ห้าครั้ง จนท่านรอซูลเสียชีวิต ซึ่ง(ห้าครั้งนั้น)ก็เคยมีอ่านกันอยู่ในอัลกุรอาน
(บันทึกโดย มุสลิม : อัรเราะฎออฺ)

คงต้องแถมอีกหะดีษหนึ่งเพื่อความชัดเจน ...

2635 حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مَسْلَمَةَ الْقَعْنَبِيُّ حَدَّثَنَا سُلَيْمَانُ بْنُ بِلَالٍ عَنْ يَحْيَى وَهُوَ ابْنُ سَعِيدٍ عَنْ عَمْرَةَ أَنَّهَا سَمِعَتْ عَائِشَةَ تَقُولُ وَهِيَ تَذْكُرُ الَّذِي يُحَرِّمُ مِنَ الرَّضَاعَةِ قَالَتْ عَمْرَةُ فَقَالَتْ عَائِشَةُ نَزَلَ فِي الْقُرْآنِ عَشْرُ رَضَعَاتٍ مَعْلُومَاتٍ ثُمَّ نَزَلَ أَيْضًا خَمْسٌ مَعْلُومَاتٌ و حَدَّثَنَاه مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَهَّابِ قَالَ سَمِعْتُ يَحْيَى بْنَ سَعِيدٍ قَالَ أَخْبَرَتْنِي عَمْرَةُ أَنَّهَا سَمِعَتْ عَائِشَةَ تَقُولُ بِمِثْلِهِ ..... مسلم : الرضاع - بَاب 6 التَّحْرِيمِ بِخَمْسِ رَضَعَاتٍ

ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺพูดเกี่ยวกับสภาพต้องห้ามอันเนื่องจากการให้นมว่า มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอานเรื่อง การให้นมสิบครั้งตามที่รู้กัน แล้วก็มีประทานลงมาอีกเป็นห้าครั้งตามที่รู้กัน
(บันทึกโดย มุสลิม : อัรเราะฎออฺ)

"ตามที่รู้กัน - معلومات" หมายถึง เป็นทีรู้กันว่านั่นคือการให้นม ดื่มนม คือน้ำนมเข้าปาก ลงท้อง และกินด้วยความหิวจนอิ่ม หรืออย่างน้อยก็พอประทังหิวได้มื้อๆนึง

แต่เราจะไปหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอหรอกครับ ว่ากุรอานกล่าวรายละเอียด 5 ครั้ง 10 ครั้ง ที่ว่านี้ไว้ตรงไหน แล้วทำไมท่านหญิงอฺาอิชะฮฺกล่าวเช่นนั้น???

บทบัญญัติเรื่อง เราะฎออฺะฮฺ การให้นมบุตร นี้ประทานลงมาในช่วงไหนอย่างไร ผมยังไม่มีข้อมูล แต่ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺซึ่งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับท่านนบีมาโดยตลอด ท่านย่อมรู้รายละเอียดดีกว่าเราว่าอายะฮฺไหนประทานมาอย่างไร และ "หายไป" อย่างไร .... เริ่มงงแล้วใช่มั้ยครับ?

ตลอดช่วงการประทานอัลกุรอานมันมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า นาสิค-มันสูค .... หลายท่านคงรู้จักดี บางช่วงด้วยภาวะความจำเป็นบางอย่าง อัลลอฮฺทรงประทานบัญญัติมาเป็นอายะฮฺกุรอานเพื่อเปิดทางตันตรงนั้นเสมือนเป็นเพียงบทเฉพาะกาล แล้วเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง อายะฮฺนั้นก็ถูกยกเลิกไป อาจจะด้วยการประทานอายะฮฺอื่นมาลบล้าง หรืออาจจะถอดถอนออกจากการบันทึกไปเลยก็ได้ การลบล้างอายะฮฺกุรอานนี้ นักวิชาการเขาสรุปไว้เป็น 3 ลักษณะ คือ

1 ยกเลิกทั้งข้อบัญญัติ(หุกม์) และการอ่าน(ติลาวะฮฺ) คือจะไม่มีอายะฮฺนั้นบันทึกไว้ในอัลกุรอานอีก เช่น การให้นม 10 ครั้ง
2 ยกเลิกการอ่าน แต่ไม่ได้ยกเลิกข้อบัญญัติ คือลบการบันทึกออกไปไม่มีข้อความนั้นๆให้อ่านอีก แต่ข้อบัญญัติยังมีผลบังคับใช้อยู่ เช่น กรณีให้นม 5 ครั้ง หรือการลงโทษด้วยวิธี อัรร็อจม์-การขว้างด้วยหินจนตายสำหรับคนทำซินาที่แต่งงานแล้ว
3 ยกเลิกข้อบัญญัติ แต่ยังคงการอ่านไว้เหมือนเดิม คือ ยังมีข้อความบันทึกไว้ให้อ่านอยู่ แต่ข้อบัญญัติหรือหุกุมในเรื่องนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วยอายะฮฺอื่น ซึ่งส่วนมากของ นาสิค-มันสูค จะเป็นในลักษณะนี้ แต่จะเป็นอายะฮฺไหนอย่างไรบ้าง เอาไว้ให้คณาจารย์ นักวิชาการสายตรงท่านแถลงดีกว่านะครับ..ข้าผู้น้อยมิบังอาจ (บอกตรงๆว่า ไม่รู้รายละเอียดครับ)

การบันทึกอัลกุรอานนั้น เราทราบกันดีว่า เมื่อท่านนบีได้รับวะฮีย์อัลกุรอานมา บรรดาเศาะหาบะฮฺก็จะช่วยกันบันทึกไว้ ท่องจำ และเก็บรักษาไว้ นั่นคือบันทึกตามที่ท่านนบีสั่งให้บันทึก ในทำนองเดียวกัน การยกเลิกอายะฮฺใด ก็ท่านนบีอีกนั่นแหละสั่งให้ลบ สั่งให้เปลี่ยนหุกุม ... ท่านทำเองตามอำเภอใจหรือ? ... กลับไปดู Episode-7 ครับ ... وَمَا يَنطِقُ عَنِ الْهَوَى เขาไม่ได้พูดเองตามอารมณ์ ..... แน่นอน นั่นก็คือสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสั่งให้ลบ สั่งให้เปลี่ยน ท่านนบีไม่มีวันทำอะไรล้ำหน้าอัลลอฮฺเป็นอันขาด ... หรือว่าอฺะกีดะฮฺคุณไม่ใช่อย่างนี้ ??? เรื่องเหล่านี้อิมามมุสลิม อิมามบุคอรีย์ท่านรู้ดีครับ ท่านจึงได้บันทึกไว้ในเศาะเฮียะห์ของท่าน จะมีก็แต่ ignorant บางคนเท่านั้นที่หลับหูหลับตาไปวิพากษ์วิจารณ์ท่านโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

คุณ'จาน แมทท์จะหยิบยกเอา นาสิค-มันสูค มาเบี่ยงประเด็นใหม่ตามสไตล์ไถลลื่นของทั่นก็ตามสะดวกนะครับ.... แต่บอกก่อนว่า ผมไม่ตอบ เพราะ ผมไม่รู้ลึกนักในเรื่องนี้ และกรุณาอย่าให้มันมุขแป้กอย่างในกรณี "ไม่รู้ว่าเป็นหะดีษเศาะเฮียะห์ได้อย่างไร" เลยนะครับ ขอร้อง ... อายเด็กๆมันมั่ง!

//////////////////- To be continued -//////////////////
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sat Aug 27, 2005 4:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

---------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode 8/3
---------------------------------------------


กลับไปที่เรื่องในครอบครัวท่านอบูหุซัยฟะฮฺกับ breast feeding ดีกว่านะครับ

หลายท่านคงช็อค ถ้าทราบว่าเรื่องนี้มีปรากฏในหะดีษเศาะเฮียะห์จริง พออ่านคำแปลของจานแมทท์ทั่นแล้วก็คงจะอึ้งเหมือนผมในตอนแรก แต่ขอให้ค่อยๆอ่าน ค่อยๆคิด และทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ด้วยหัวใจอิคลาศ .... ย้ำนะครับ..... การศึกษาอิสลามต้องศึกษาด้วยใจบริสุทธิ์และให้เกียรติต่อรายงานนั้นๆด้วย ต้องใจอิคลาศ ไม่ใช่ด้วยจิตวิปริต

2636 حَدَّثَنَا عَمْرٌو النَّاقِدُ وَابْنُ أَبِي عُمَرَ قَالَا حَدَّثَنَا سُفْيَانُ بْنُ عُيَيْنَةَ عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ الْقَاسِمِ عَنْ أَبِيهِ عَنْ عَائِشَةَ قَالَتْ جَاءَتْ سَهْلَةُ بِنْتُ سُهَيْلٍ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَتْ يَا رَسُولَ اللهِ إِنِّي أَرَى فِي وَجْهِ أَبِي حُذَيْفَةَ مِنْ دُخُولِ سَالِمٍ وَهُوَ حَلِيفُهُ فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَرْضِعِيهِ قَالَتْ وَكَيْفَ أُرْضِعُهُ وَهُوَ رَجُلٌ كَبِيرٌ فَتَبَسَّمَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَقَالَ قَدْ عَلِمْتُ أَنَّهُ رَجُلٌ كَبِيرٌ زَادَ عَمْرٌو فِي حَدِيثِهِ وَكَانَ قَدْ شَهِدَ بَدْرًا وَفِي رِوَايَةِ ابْنِ أَبِي عُمَرَ فَضَحِكَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ .............. مسلم : الرضاع - بَاب 7 رِضَاعَةِ الْكَبِير

ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺเล่าว่า นางสะฮฺละฮฺ บินต์ สุฮัยล์ มาหาท่านนบี และบอกว่า "ท่านรอซูลคะ ฉันเห็นความไม่สบายใจบางอย่างบนสีหน้าของอบูหุซัยฟะฮฺ(สามีของนาง) จากการที่สาลิมเข้าๆ-ออกๆ(บ้านของเรา) ซึ่งเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน" ท่านนบีจึงบอกว่า "เธอจงให้นมเขาสิ" นางกล่าวว่า "ฉันจะให้นมเขาได้อย่างไรกัน เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะคะ" ท่านรอซูลก็ยิ้มและกล่าวว่า "ฉันก็รู้ว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว"
อัมร์(ผู้รายงานคนหนึ่งในริวายะฮฺนี้) กล่าวเสริมว่า เขา(สาลิม)เคยเข้าร่วมในสงครามบัดร์ด้วย
ส่วนในริวายะฮฺของ อิบนิ อบีอุมัร(ผู้รายงานอีกคนหนึ่ง) บอกว่า ท่านรอซูลหัวเราะเลย
(รายงานโดย มุสลิม : อัรเราะฏออฺ)

2637 و حَدَّثَنَا إِسْحَقُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ الْحَنْظَلِيُّ وَمُحَمَّدُ بْنُ أَبِي عُمَرَ جَمِيعًا عَنِ الثَّقَفِيِّ قَالَ ابْنُ أَبِي عُمَرَ حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَهَّابِ الثَّقَفِيُّ عَنْ أَيُّوبَ عَنِ ابْنِ أَبِي مُلَيْكَةَ عَنِ الْقَاسِمِ عَنْ عَائِشَةَ أَنَّ سَالِمًا مَوْلَى أَبِي حُذَيْفَةَ كَانَ مَعَ أَبِي حُذَيْفَةَ وَأَهْلِهِ فِي بَيْتِهِمْ فَأَتَتْ تَعْنِي ابْنَةَ سُهَيْلٍ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَتْ إِنَّ سَالِمًا قَدْ بَلَغَ مَا يَبْلُغُ الرِّجَالُ وَعَقَلَ مَا عَقَلُوا وَإِنَّهُ يَدْخُلُ عَلَيْنَا وَإِنِّي أَظُنُّ أَنَّ فِي نَفْسِ أَبِي حُذَيْفَةَ مِنْ ذَلِكَ شَيْئًا فَقَالَ لَهَا النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَرْضِعِيهِ تَحْرُمِي عَلَيْهِ وَيَذْهَبِ الَّذِي فِي نَفْسِ أَبِي حُذَيْفَةَ فَرَجَعَتْ فَقَالَتْ إِنِّي قَدْ أَرْضَعْتُهُ فَذَهَبَ الَّذِي فِي نَفْسِ أَبِي حُذَيْفَة ........ مسلم : الرضاع - بَاب 7 رِضَاعَةِ الْكَبِير

ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺเล่าว่า สาลิม-เด็กรับใช้ของอบูหุซัยฟะฮฺ-เคยอยู่กับอบูหุซัยฟะฮฺและครอบครัวของเขาในบ้านเดียวกัน (วันหนึ่ง)บุตรสาวของสุฮัยล์(หมายถึงนางสะฮฺละฮฺ ภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺ) มาหาท่านนบี และบอกว่า "ตอนนี้สาลิมบรรลุวัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความคิดเหมือนอย่างที่ผู้ใหญ่คิด เขาเข้ามาในบ้านเรา ซึ่งฉันคิดว่าในใจอบูหุซัยฟะฮฺคงมีอะไรไม่สบายใจบางอย่างในเรื่องนี้" ท่านนบีจึงบอกแก่นางว่า "เธอจงให้นมเขาสิ เธอจะได้มีฐานะเป็นที่ต้องห้าม(การแต่งงาน)สำหรับเขา แล้วความไม่สบายใจของอบูหุซัยฟะฮฺจะได้หมดไป" (หลังจากนั้นไม่ทราบว่านานเท่าใด) นางกลับมาหาท่านนบีแล้วบอกว่า "ฉันให้นมเขาแล้วค่ะ และความไม่สบายใจของอบูหุซัยฟะฮฺก็หมดไปจริงๆ"
(รายงานโดย มุสลิม : อัรเราะฏออฺ)

2639 و حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ حُمَيْدِ بْنِ نَافِعٍ عَنْ زَيْنَبَ بِنْتِ أُمِّ سَلَمَةَ قَالَتْ قَالَتْ أُمُّ سَلَمَةَ لِعَائِشَةَ إِنَّهُ يَدْخُلُ عَلَيْكِ الْغُلَامُ الْأَيْفَعُ الَّذِي مَا أُحِبُّ أَنْ يَدْخُلَ عَلَيَّ قَالَ فَقَالَتْ عَائِشَةُ أَمَا لَكِ فِي رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أُسْوَةٌ قَالَتْ إِنَّ امْرَأَةَ أَبِي حُذَيْفَةَ قَالَتْ يَا رَسُولَ اللّهِ إِنَّ سَالِمًا يَدْخُلُ عَلَيَّ وَهُوَ رَجُلٌ وَفِي نَفْسِ أَبِي حُذَيْفَةَ مِنْهُ شَيْءٌ فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَرْضِعِيهِ حَتَّى يَدْخُلَ عَلَيْك ....... مسلم : الرضاع - بَاب 7 رِضَاعَةِ الْكَبِير

ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺกล่าวแก่ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺว่า "มีเด็กหนุ่มมาเยี่ยมเธอ ซึ่งฉันไม่ชอบจะให้มาหาฉัน"
ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺบอกว่า "เธอไม่เห็นตัวอย่างจากท่านรอซูลหรือ...ภรรยาของอบูหุซัยฟะฮฺมาถามว่า 'ท่านรอซูลคะ สาลิมเข้ามาหาฉัน ซึ่งเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว และอบูหุซัยฟะฮฺคงมีความไม่สบายใจในเรื่องนี้เช่นกัน' ท่านรอซูลจึงบอกว่า 'เธอจงให้นมเขาสิ เขาจะได้เข้ามาหาเธอได้' "
(รายงานโดย มุสลิม : อัรเราะฏออฺ)

ตัวแสดงหลักๆในเรื่องนี้มีอยู่ 3 คนคือ
- อบูหุซัยฟะฮฺ บินอุตบะฮฺ
- นางสะฮฺล์ บินต์ สุฮัยล์ ภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺ
- และสาลิม ซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง


ดังนั้นควรมาทำความรู้จักกับพระเอกท่านนี้สักหน่อยดีมั้ย .... แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก... ต้องติดตามตอนต่อไปครับ

//////////////////- To be continued -//////////////////
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sat Aug 27, 2005 11:21 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

------------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode 8/4
------------------------------------------------------------


สาลิม คนนี้เดิมเขาเป็นทาสอยู่ พอเข้ารับอิสลามอบูหุซัยฟะฮฺ ซึ่งเป็นคนมีหน้ามีตาเป็นที่นับถือคนหนึ่งในหมู่ชาวกุร็อยช์ก็รับสาลิมเป็นบุตรบุญธรรมแบบชนิดที่เป็นพ่อเป็นลูกกันเลยทีเดียว แบบเดียวกับที่ซัยด์เป็นบุตรบุญธรรมของท่านนบี จนใครๆเรียกซัยด์ ว่า ซัยด์ บินมุฮัมมัด ทั้งสาลิมและอบูหุซัยฟะฮฺนี้ต่างก็เข้ารับอิสลามในช่วงแรกๆที่ท่านนบีเริ่มภารกิจของท่านในมักกะฮฺ ต่อมาเมื่อมีการประกาศยกเลิกการเป็นบุตรบุญธรรม ให้ขานนามบุคคลด้วยชื่อตามสายตระกูลจริงของเขา การเรียกขานตามชื่อพ่อบุญธรรมเลยต้องเปลี่ยนใหม่ ซัยด์จึงถูกเรียกตามสังกัดจริงว่า ซัยด์ บิน หาริษะฮฺ แต่สาลิมล่ะ.... พ่อเป็นใครก็ยังไม่รู้เลย...ใครๆเลยเรียกเขาว่า สาลิม เมาลา อบูหุซัยฟะฮฺ คำว่า"เมาลา"ในที่นี้แปลว่า ผู้ที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง (The protected one)

وَمَا جَعَلَ أَدْعِيَاءكُمْ أَبْنَاءكُمْ ذَلِكُمْ قَوْلُكُم بِأَفْوَاهِكُمْ وَاللهُ يَقُولُ الْحَقَّ وَهُوَ يَهْدِي السَّبِيلَ
ادْعُوهُمْ لِآبَائِهِمْ هُوَ أَقْسَطُ عِندَ اللهِ فَإِن لَّمْ تَعْلَمُوا آبَاءهُمْ فَإِخْوَانُكُمْ فِي الدِّينِ وَمَوَالِيكُمْ

และพระองค์มิได้ทรงทำให้การเรียก(ลูกบุญธรรม) ของพวกเจ้าว่าเป็นลูก (ที่แท้จริง) ของพวกเจ้า นั่นคือการกล่าวของพวกเจ้าด้วยปากของพวกเจ้า และอัลลอฮฺนั้นตรัสสัจจะ และพระองค์ทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง
จงเรียกเขาเหล่านั้นตาม (ชื่อ) พ่อของพวกเขา มันเป็นการเที่ยงธรรมกว่า ณ ที่อัลลอฮฺหากพวกเจ้าไม่รู้จักพ่อ (จริง ๆ ) ของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาก็คือพี่น้องร่วมในศาสนาของพวกเจ้าและผู้ใกล้ชิดของพวกเจ้า
(33:4-5)

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สาลิมเป็นเด็กในความอุปถัมภ์ของอบูหุซัยฟะฮฺ ในหะดีษหนึ่งข้างต้นบอกว่าเป็น "หะลีฟ - حليف " กัน คล้ายๆกับเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันอะไรทำนองนั้น มีความใกล้ชิด สนิทแนบแน่นกันด้วยสายใยแห่งอัลอิสลาม

จากความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ จะเห็นว่า สาลิมกับครอบครัวอบูหุซัยฟะฮฺนี่ มีความใกล้ชิด รักใคร่ "ปึ้ก" กันขนาดไหน ไม่ได้เป็น"หนุ่มแปลกหน้า"ที่ไหนเลย ในรายงานข้างต้นบอกว่า อบูหุซัยฟะฮฺมีความไม่สบายใจบางอย่างเมื่อสาลิมโตเป็นหนุ่ม คิดว่าความไม่สบายใจนั้นมันเรื่องใดกัน???

ถ้าคิดว่า "หีง" ละก้อ ผมว่า น่าจะเอาหัวโขกกะลาสักสี่ส้า ห้าโป้ก นะ
อย่าลืมว่า การศึกษาหะดีษ ต้องศึกษาด้วยหัวใจบริสุทธิ์และให้เกียรติในคุณธรรมของบรรดาเศาะหาบะฮฺอย่างมาก เมื่อไหร่ที่มีคำสั่งใช้ คำสั่งห้ามใดมาจากท่านรอซูล บรรดาเศาะหาบะฮฺจะพยายามอย่างที่สุดที่จะปฏิบัติตามคำสั่งใช้นั้นให้ได้ ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือออกห่างตามคำสั่งห้ามนั้นให้ไกลที่สุดเช่นกัน จะทำอย่างไรดี ... เคยรักเหมือนลูกขนาดรับเป็นบุตรบุญธรรม แล้วด้วยคำสั่งจากอัลลอฮฺ ทำให้ทั้งสองเป็นพี่น้องกันในอิสลาม พอตอนนี้โตแล้ว ระหว่างพวกเขาจึงมีขอบเขตระหว่างชายหญิงที่บรรลุนิติภาวะอีก!

ความไม่สบายใจคือตรงนี้ต่างหาก เกรงจะเป็นความผิดในการหย่อนยานหรือผ่อนปรนเรื่อง ขอบเขตของสมาชิกหญิงในครอบครัวที่อัลลอฮฺสั่งให้เคร่งครัด เพราะสาลิมเข้าออกในบ้านนี้มาแต่เล็กแต่น้อยเสมือนเป็นสมาชิกโดยสายเลือดกันมาก็ไม่ปาน ตรงนี้เราจะได้ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ บทบัญญัติเรื่องหิญาบกับขอบเขตความสัมพันธ์ชาย-หญิงนี้ลงมาในช่วงของ มะดะนียะฮฺ คือ หลังการฮิจญเราะฮฺ นั่นหมายความว่า สาลิมน่าจะอยู่กับครอบครัวนี้มาไม่ต่ำกว่า 7-8 ปี ด้วยความรู้สึกที่มีต่อกันดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต.... วัลลอฮุอะอฺลัม

เขารักกันขนาดไหน...ลองตามดูกันต่อไป
หลังจากท่านนบีวะฟาต อบูบักรได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เคาะลีฟะฮฺ หลายๆหัวเมืองแข็งข้อ กระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมขึ้นต่อรัฐบาลกลางมะดีนะฮฺ หนึ่งในนั้นคือมุสัยละมะฮฺ ถึงขนาดตั้งตัวเป็นนบี อบูบักร์ต้องส่งกองกำลังไปปราบ ทั้งอบูหุซัยฟะฮฺและสาลิมต่างก็เข้าร่วมในสมรภูมิยะมามะฮฺครั้งนั้นด้วย และทั้งคู่สาบานที่จะชะฮีดเคียงคู่กัน

การรบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งคู่ยังรบต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไม่ย่อท้อ ธงรบเป็นทั้งขวัญและกำลังใจสำหรับกองทัพ ตราบใดที่ธงรบยังคงโบกไสว แสดงว่าตราบนั้นพลรบมุสลิมยังคงเป็นปึกแผ่นและยืนหยัดต่อสู้อยู่อย่างแข็งขัน ซัยด์ อิบนิอัลค็อฏฏอบ ผู้ถือธงรบฝ่ายมุสลิมเกิดเพลี่ยงพล้ำ สาลิมจึงปรี่เข้าไปชูธงแทนพร้อมกับต่อสู้ไปด้วย .... มือขวาที่ชูธงถูกฟัน เขาย้ายมันไปถือไว้ในมือซ้าย

وَكَأَيِّن مِّن نَّبِيٍّ قَاتَلَ مَعَهُ رِبِّيُّونَ كَثِيرٌ فَمَا وَهَنُواْ لِمَا أَصَابَهُمْ فِي سَبِيلِ اللهِ وَمَا ضَعُفُواْ وَمَا اسْتَكَانُواْ وَاللهُ يُحِبُّ الصَّابِرِينَ

และนบีกี่มากน้อยแล้ว ที่กลุ่มชนอันมากมายได้ต่อสู้ร่วมกับเขา แล้วพวกเขาหาได้ท้อแท้ไม่ต่อสิ่งที่ได้ประสบแก่พวกเขาในทางของอัลลอฮ์ และพวกเขาหาได้อ่อนกำลังลง และหาได้สยบไม่ และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้ที่อดทนทั้งหลาย
(3:146)

นั่นคืออายะฮฺที่เขาประกาศก้องขณะชูธงโบกไสวเพื่อปลุกใจให้พลรบมุสลิมฮึกเหิม พลันกองทัพมุนาฟิกฺก็กรูกันเข้ามากระหน่ำร่างของสาลิมจนเขาล้มลงในที่สุด

การรบสิ้นสุดลงด้วยความตายของมุสัยละมะฮฺ อัลกัซซาบ และฝ่ายมุสลิมเองต้องเสียหายไม่ใช่น้อย ขณะที่ทหารมุสลิมที่เหลือตระเวนสำรวจหาร่างบรรดาชะฮีดนั้น เขาไปพบสาลิมในสภาพที่กำลังจะสิ้นลม เลือดอาบร่าง คำถามที่ออกจากปากเขาในเวลานั้นคือ ...
"อบูหุซัยฟะฮฺอยู่ไหน?"
"เขาเป็นชะฮีดไปแล้ว"
"พวกท่านจงนำฉันไปไว้ข้างๆเขาเถิด" ... สาลิมขอร้อง
"เขาอยู่ใกล้ๆท่านนี่แหละ เขาเป็นชะฮีดอยู่ตรงนี้เอง"
สาลิมยิ้มอย่างเป็นสุข แล้วเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลย!

พี่น้องครับ.... สองคนนี้เข้ารับอิสลามด้วยกัน
เขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดชีวิต
แล้วในวาระสุดท้าย เขาทั้งสองก็ชะฮีดอยู่เคียงคู่กัน ณ สมรภูมิยะมามะฮฺแห่งนั้น

ท่านอุมัรเคยกล่าวถึงสาลิมว่า "ถ้าหากว่าสาลิมยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะให้เขาสืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺต่อจากฉัน"

ท่านนบีเคยกล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงเรียนอัลกุรอานจากสี่คนนี้ : อับดุลลอฮฺ อิบนิมัสอูด, สาลิม เมาลา-อบีหุซัยฟะฮฺ, อุบัยย์ บินกะอฺบ์ และมุอฺาซ บินญะบัล"

และสาลิม พระเอกของเราคนนี้แหละที่เป็นผู้นำมุฮาญิรีนกลุ่มหนึ่ง ฮิจญเราะฮฺจากมักกะฮฺสู่มะดีนะฮฺ และเป็นอิมามนำละหมาดที่มัสญิดกุบาที่ท่านนบีสร้างด้วยมือของท่านเอง

เพียงเท่านี้ก็คงจะพอมองเห็นว่า ทำไมท่านนบีจึงยิ้ม(บางรายงานบอกว่า หัวเราะ ด้วยซ้ำ)เมื่อ ภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺบอกว่า "เขาเป็นหนุ่มแล้ว...(จะให้ให้นมอย่างไร?)" ..... ก็ในเมื่ออยู่ด้วยกันมาจนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันอย่างนั้นแล้ว ไม่ใช่หรือ

//////////////////- To be continued -//////////////////
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sun Aug 28, 2005 4:58 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode 8/5
------------------------------------------------


ด้วยความไม่สบายใจของอบูหุซัยฟะฮฺนี่แหละ ที่ท่านนบีอนุญาตให้ใช้วีธีการให้นมเพื่อปรับเปลี่ยนสถานภาพระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้... ทำให้ สะฮฺละฮฺ ภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺ อยู่ในฐานะเป็นแม่นมของสาลิม เป็นมะหฺร็อมซึ่งกันและกัน เป็นการ "ผ่าทางตัน"ในภาวะเช่นนั้น ซึ่งหลังจากนั้นในรายงานบอกว่า "แล้วความสบายใจของอบูหุซัยฟะฮฺก็หายไปจริงๆ"

ถามว่า ที่ท่านนบีแนะนำอย่างนั้น ท่านกระทำไปโดยพละการกระนั้นหรือ?
แน่นอนครับ เป็นคำถามที่คิดว่าผมไม่จำเป็นต้องตอบซ้ำอีก เพราะคำตอบมีอยู่แล้วใน episode-7 เช่นกัน

ตามปกติ การให้นมที่จะทำให้เกิดภาวะความเป็นแม่นมและเป็นมะหฺร็อมแก่กันนั้น ก็คือการให้นมแก่เด็กเล็กๆที่ยังอยู่ในวัยทารก นักวิชาการมีทรรศนะหลากหลายในเรื่องนี้ว่าจะต้องอายุเท่าใดจึงจะใช้ได้ อาจจะ 2 ขวบ 3 ขวบ หรืออย่างไรก็ว่ากันไป ต้องให้เด็กดื่มนมกี่ครั้ง ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แล้วแต่ตัวบทหลักฐานจะหยิบยกขึ้นมาอ้างมาอิงกัน แต่โดยสรุปที่ตรงกันก็คือ..."ทารก"

แต่ในกรณีสาลิมนี้ ในรายงานบอกว่า "โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว" ... "รู้อะไรๆอย่างที่ผู้ใหญ่รู้" .... "คิดอะไรๆอย่างที่ผู้ใหญ่คิด" ... จนกระทั่งว่า ...บางรายงานบอกว่า ذولحية มีหนวดมีเคราแล้วด้วยซ้ำ ท่านนบีก็ยังให้ภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺให้นมแก่สาลิม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ไว้ให้แน่นแฟ้นเหมือนเดิม ตามที่อัลลอฮฺทรงมีบัญชามา จะด้วยเหตุผลใดนั้นในรายงานไม่ได้ระบุ หรือให้รายละเอียดไว้ และผมก็ยังไม่พบตำราเล่มใดที่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ แต่จากการสืบประวัติความสัมพันธ์ของบุคคลตามที่ปรากฏข้างต้น จะเห็นว่า ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์และแนบแน่นของบุคคลเหล่านี้เป็นที่รู้กันดีในสังคมมุสลิมขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนบี การช่วยให้บุคคลทั้งสาม(รวมทั้งคนอื่นในครอบครัวอบูหุซัยฟะฮฺ)สามารถอยู่ร่วมกันฉันญาติสนิทโดยสายเลือดได้เป็นปกติเหมือนเดิมจะมีผลต่อความแข็งแกร่งของอิสลามในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการสถาปนารัฐอิสลามท่ามกลางกระแสการต่อต้านของญาฮิลียะฮฺเช่นนั้น อย่างไรหรือไม่...วัลลอฮุวะเราะสูลุฮู อะอฺลัม....อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ย่อมรู้ดียิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อนั่นคือสิ่งที่ท่านนบีตัดสินแล้วย่อมไม่มีผู้ศรัทธาคนใดคัดค้านหรือตั้งข้อสงสัยไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น

وَمَا كَانَ لِمُؤْمِنٍ وَلَا مُؤْمِنَةٍ إِذَا قَضَى اللهُ وَرَسُولُهُ أَمْرًا أَن يَكُونَ لَهُمُ الْخِيَرَةُ مِنْ أَمْرِهِمْ
وَمَن يَعْصِ اللهَ وَرَسُولَهُ فَقَدْ ضَلَّ ضَلَالًا مُّبِينًا

ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง
(33:36)

แน่นอน...การกำหนดของท่านรอซูลนั้นมิใช่อื่นใด มันคือบัญชาที่มีจากอัลลอฮฺยังผู้ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่ เพื่อแจ้งแก่ปวงชน..บ่าวที่ศรัทธา เชื่อมั่นและยอมพลีกายและใจเพื่อเทิดดำรัสนั้นนั่นเอง

และแน่นอน แม้จะสนิทสนมกันมาขนาดไหนก็ตาม โตป่านนั้นแล้วจะมาให้นมกันก็ย่อมต้องเขินเป็นธรรมดา แม่ลูกกันแท้ๆยังต้องเขินเลย..จริงมั้ย ยิ่งมาอ่านที่อาจานแมทท์ทั่นบรรยายไว้ ยิ่งตะลึง ....

"ท่าน รอซูล แนะนะ ให้ ภรรยาของ อะบูฮูดัยฟะ เอา ฺ Breast ของนาง ให้ชาย หนุ่มผู้ นั้น ดูด (Breast Feeding) "

ในหะดีษนั่น...นบีบอกชัดเจนขนาดนั้นเชียวเหรอ??? .... เอา breast ให้ดูด
จะน่าเกลียดมั้ย ถ้าผมจะบอกว่า ทุกวันนี้ผมก็ยัง "ดูดนม" อยู่เลย ....ฮา!
แต่ที่จานแมทท์ทั่นบรรยายว่า สาลิม "ดูดนม" ด้วยนี่มันค่อนข้างจะแปลกๆอยู่น้า เพราะสมัยนั้นน่าจะยังไม่มีหลอดใช้ ?!?!?

ตามทันมั้ยครับ? ..... คือในหะดีษ นบีบอกภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺว่า "เธอจงให้นมเขาสิ - أرضعيه " ก็ต้องมาทำความเข้าใจตรงนี้กันก่อน รากศัพท์คำนี้คือ
رضع - เราะฎิอฺะ แปลว่า ดูดนม
พอมาเป็นอาการนาม رضاع (เราะฎออฺ) หรือ رضاعة (เราะฎออฺะฮฺ) แปลว่า การให้นม จะด้วยวิธีไหนก็ได้ที่จะให้น้ำนมเข้าปากแล้วลงไป"อิ่มอุ่น"ในท้องเด็ก
ระหว่างที่ค้นเรื่องนี้อยู่ผมก็ไปเจอคำนึงใน dic ว่า رضاعة เขียนเหมือนกันแต่อ่านว่า ร็อฎฎออฺะฮฺ แปลว่า ขวดนม nursing bottle ครับ ...
ทีนี้พอจะจับเค้าอะไรได้มั่งมั้ยครับ?

เราไม่รู้หรอกว่านางสะฮฺละฮฺให้นมสาลิมด้วยวิธีไหน แต่จานแมทท์ทั่นบรรยายเป็นตุเป็นตะราวกับได้รับวะฮีย์มาเองว่า "ท่าน รอซูลแนะนะให้ภรรยาของอะบูฮูดัยฟะ เอา ฺ Breast ของนาง ให้ชาย หนุ่มผู้ นั้น ดูด" แปลให้ชัดๆไปเลยสิครับว่า เอาเต้าให้ดูด ทั้งๆที่ในหะดีษบอกเพียงว่า "เธอจงให้นมเขาสิ - أرضعيه "

แต่ดูนะครับ ด้วยความเคารพและให้เกียรติแก่บรรดาเศาะหาบะฮฺ ในชะเราะห์มุสลิม ของอิมามนะวะวี ท่านอ้างคำของอัลกอฎีมาอธิบายความตรงนี้ว่า "เป็นไปได้ว่านางรีดนมของนาง (หรือจะแปลว่า คั้นน้ำนมดี???) แล้วนำมาให้เขาดื่มโดยไม่มีการมาแตะต้องหรือสัมผัสทรวงอกทั้งสองของนางให้เกิดความคิดอกุศลกับทั้งสองคนแต่อย่างใด"

และนี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีสุดสำหรับการให้นมครั้งนั้น!
ผมถึงบอกว่า อย่างผมเนี่ย...ดูดได้...นม ยูเอชที ที่ซื้อมาจากร้านเซเว่นฯปากซอยมันมีหลอดแปะติดมาข้างกล่องทุกกล่อง แต่สมัยโน้นยังไม่รู้จักหลอดกาแฟแน่ๆ เพราะฉะนั้นน่าจะใช้คำให้ถูกว่า "ดื่ม" ครับ

ประเด็นต่อไปที่จะต้องกล่าวถึงคือ คำสั่งนี้มีผลอย่างไรในทางปฏิบัติต่อสังคมมุสลิม?
..... ก็ยังไม่ใช่งวดนี้อีกเหมือนเดิมครับ....

//////////////////- To be continued -//////////////////
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sun Aug 28, 2005 10:31 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

-------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode 8/6
-------------------------------------------------------


ดูเหมือนว่า ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺจะเทใจให้กับรายงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และก็มีอุละมาอ์บางท่านเช่น ดาวูด ที่มีทรรศนะว่าการให้นมแก่เด็กหนุ่มที่โตแล้วเช่นนี้มีผลให้เกิดสภาพต้องห้ามในการแต่งงานเช่นเดียวกับการให้นมทารก แต่ญุมฮูรตั้งแต่ยุคเศาะหาบะฮฺมาจนถึงปัจจุบันต่างขีดเส้นไว้แค่ทารกเท่านั้น ถ้าโตแล้วใช้ไม่ได้ แม้ว่าเส้นที่ขีดไว้จะแตกต่างกันบ้างก็ตาม เช่น ทารกต้องมีอายุไม่เกิน 2 ปีบ้าง 2 ปีครึ่ง หรือ 3 ปีบ้าง ซึ่งผมจะไม่ลงลึกในรายละเอียดเรื่องนั้น

ที่อุละมาอ์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่ามีผลบังคับใช้เฉพาะกับเด็กเล็กเท่านั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นการขัดหรือปฏิเสธหะดีษ ไม่ยอมรับคำสั่งของท่านนบี หะดีษก็ยังคงเป็นหะดีษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายงานนี้เป็นหะดีษเศาะเฮียะห์ ยังไงก็ยังต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน ใช้อ้างอิง และศึกษาเรียนรู้

สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้จากรายงานเรื่องนี้ก็คือ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ท่านนบีบอกแก่นางสะฮฺละฮฺ ภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺถึงอะไรบางอย่างที่ควรทำในครอบครัวของนางเพื่อผนึกความสัมพันธ์ระหว่างอบูหุซัยฟะฮฺและสาลิมให้แข็งแกร่ง ความสัมพันธ์ที่ยากจะพบได้ในครอบครัวอื่น และเมื่อนางได้ปฏิบัติตามที่ท่านนบีบอก ปัญหาที่เกรงว่าจะเกิดขึ้นก็หมดไป และสังคมมุสลิมก็ยอมรับ จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ....แต่.... ไม่ได้ถือว่านั่นคือหุกุมที่จะบังคับใช้ในกรณีทั่วๆไป แม้ว่าท่านหญิงอฺาอิชะฮฺจะเห็นว่าใช้ได้ก็ตาม ทั้งนี้เพราะบรรดานักวิชาการต่างประเมินว่าเหตุการณ์นั้นเป็นบทเฉพาะกาลที่ท่านนบีอนุมัติแก่สาลิมและครอบครัวอบูหุซัยฟะฮฺเท่านั้น จากรายงานของท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺว่า..

2641 حَدَّثَنِي عَبْدُ الْمَلِكِ بْنُ شُعَيْبِ بْنِ اللَّيْثِ حَدَّثَنِي أَبِي عَنْ جَدِّي حَدَّثَنِي عُقَيْلُ بْنُ خَالِدٍ عَنِ ابْنِ شِهَابٍ أَنَّهُ قَالَ أَخْبَرَنِي أَبُو عُبَيْدَةَ بْنُ عَبْدِ اللهِ بْنِ زَمْعَةَ أَنَّ أُمَّهُ زَيْنَبَ بِنْتَ أَبِي سَلَمَةَ أَخْبَرَتْهُ أَنَّ أُمَّهَا أُمَّ سَلَمَةَ زَوْجَ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَتْ تَقُولُ أَبَى سَائِرُ أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ يُدْخِلْنَ عَلَيْهِنَّ أَحَدًا بِتِلْكَ الرَّضَاعَةِ وَقُلْنَ لِعَائِشَةَ وَاللهِ مَا نَرَى هَذَا إِلَّا رُخْصَةً أَرْخَصَهَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِسَالِمٍ خَاصَّةً فَمَا هُوَ بِدَاخِلٍ عَلَيْنَا أَحَدٌ بِهَذِهِ الرَّضَاعَةِ وَلَا رَائِينَا ..... مسلم : الرضاع - بَاب 7 رِضَاعَةِ الْكَبِير

ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ ภรรยาท่านนบีเคยกล่าวว่า ภรรยาคนอื่นๆของท่านนบี ไม่ยอมให้ใครที่มีความสัมพันธ์ด้วยการให้นมในลักษณะนี้เข้ามาหา นางได้กล่าวแก่อฺาอิชะฮฺว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เรามิได้มีความเห็นในเรื่องนี้เป็นอย่างอื่น นอกจากนั่นเป็นกรณีพิเศษที่ท่านรอซูลยกเว้นให้สำหรับสาลิมโดยเฉพาะเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์ด้วยการให้นมแบบนี้ก็ไม่สามารถจะเข้าพบเรา(ตามลำพัง)ได้ และเราไม่เห็นด้วยกับทรรศนะนี้"
(รายงานโดย มุสลิม : อัรเราะฏออฺ)

นั่นคือเหตุผลว่า เมื่ออาจานแมทท์ตั้งปุจฉาว่า
"คิดหรือ ว่า ซุนนะห์ ข้อนี้ จะ มี ผู้ ปฏิบัติ ตาม, ที่ยอม ให้ ภรรยา ของ ตนเอง เอานมให้ ชาย หนุ่ม แปลกหน้าดูด เพื่อ เปลียน สภาพ จาก คน แปลก หน้า มา เป็น บุตรบุตรบุญธรรม"

ผมจึงวิสัชนาว่า .... คิดว่าไม่มี! เพราะนี่ไม่ใช่สุนนะฮฺที่ให้ใช้กับบุคคลทั่วไป แต่เป็นบทเฉพาะกาลสำหรับสาลิมคนเดียวเท่านั้น ซึ่งอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ทรงทราบดีถึงหิกมะฮฺในเรื่องนี้ ไม่แปลกหรอกครับถ้าเราจะไม่รู้ หรือนึกเหตุผลอะไรไม่ออก เพราะเราไม่ได้รับวะฮีย์เอง!

นบีมูซายังเป็น งง เมื่อท่านเคาะฎิรฆ่าเด็กผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุใดให้สมควรฆ่าเลยในสายตาที่มองเห็นกันอยู่ เคาะฎิรบอกว่าอย่างไร?....

وَأَمَّا الْغُلَامُ فَكَانَ أَبَوَاهُ مُؤْمِنَيْنِ فَخَشِينَا أَن يُرْهِقَهُمَا طُغْيَانًا وَكُفْرًا
فَأَرَدْنَا أَن يُبْدِلَهُمَا رَبُّهُمَا خَيْرًا مِّنْهُ زَكَاةً وَأَقْرَبَ رُحْمًا

และเรื่องของเด็กนั้นก็คือ พ่อแม่ของเขาเป็นผู้ศรัทธา เรากลัวว่าเขาจะเคี่ยวเข็ญให้ทั้งสองตกอยู่ในการละเมิดและปฏิเสธศรัทธา
ดังนั้นเราปรารถนาว่า พระผู้เป็นเจ้าของทั้งสองจะทรงเปลี่ยนลูกที่ดีกว่าให้แก่ทั้งสอง มีความบริสุทธิ์กว่าและใกล้ชิดต่อความเมตตา(แก่ทั้งสอง)มากกว่า
(18:80-81)

เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นเลยว่าเด็กจะทำอะไรบ้างในอนาคต และพ่อแม่เขาจะเป็นอย่างไร แต่เคาะฎิรจัดการซะก่อนแล้วทั้งๆที่เด็กคนนั้นยังไร้เดียงสาอยู่แท้ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดความรู้สึกของท่านนบีมูซาอย่างมาก เพราะอะไรครับ? .... เพราะเรื่องนี้นบีมูซาไม่ได้รับวะฮีย์ว่าเรื่องเป็นอย่างไร หรือจะเกิดอะไรขึ้น แต่อัลลอฮฺทรงมีวะฮีย์แก่ท่านเคาะฎิรให้รู้ความเป็นมาเป็นไป และสิ่งที่จะต้องกระทำในเวลานั้น...เพื่อ....เป็นบทเรียนแก่ผู้ที่ใช้สติปัญญาครับ

เรื่องราวของเคาะฎิรกับนบีมูซาในการฆ่าเด็กไร้เดียงสาเช่นนี้ เราไม่ถือเป็นหุกุม หรือหลักปฏิบัติให้ใช้กับคนทั่วไปที่เพียงแค่ “คิดว่า” ใครจะทำอะไรผิดบัญญัติ ก็ให้จัดการเฉ่งได้เลย.... ฉันใด
กรณีขอสาลิมก็คือ เหตุผลเฉพาะที่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์เท่านั้นที่รู้ดียิ่ง และไม่ใช่ข้อปฏิบัติให้เรานำไปใช้ทั่วไป...ฉันนั้น

ไม่ทราบว่า ใครพอจะนึกออกบ้างหรือไม่ว่ามีหุกุมหรือบัญญัติข้อใดบ้างที่นบีให้ใช้กับบางคนและยกเว้นกับบางคน ???
เท่าที่นึกออกตอนนี้ก็คือ ...... เอาไว้ ตอนต่อไปละกัน...อินชาอัลลอฮฺ

//////////////////- To be continued -//////////////////
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 10:37 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ AlGhuraba

เนื้อเรื่องที่สำคัญของกระทู้นี้ ไม่ได้อยู่ที่การ เขียน ในเชิงประชดประชัน หรือ ดูถูกในความคิดเห็นของผม โดย คุณAlGhuraba, ซึ่งผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ, แต่เนื้อเรื่องอยู่ที่การใช้ หลักวิชา มาอธิบาย ให้ผู้อ่าน ได้เข้าใจ ความหมายที่แท้จริง ของการจดบันทึก อะหะดีษ ซอเฮี๊ยะ ที่เกี่ยวกับ การ Breastfeeding แก่ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว เพื่อยกฐานะขึ้นเป็นบุตรบุญธรรม, จากคำบอกเล่า ที่อ้างว่า เป็นการกล่าวและการอนุมัติของท่าน รอซูล(ซล.)

การที่ผมใช้ทับศัพท์ ภาษาอังกฤษ ว่า “Breastfeeding” ซึ่งมีความหมายเป็นภาษาไทย ว่า การให้ทารกดื่มน้ำนมจากทรวงอกของ มารดา ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ผมไม่ต้องการให้ การเขียนเรื่องนี้ มองไปในทาง เขียนเพื่อ การบันเทิง หรือ เรื่องตลก


การที่ผมนำอะหะดีษที่เกี่ยวกับ Breastfeeding แก่ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว มายกตัวอย่างในที่นี้ ก็ เพราะ ต้องการอธิบายให้เยาวชนทราบว่า อะหะดีษในเรื่องนี้ อาจจะไม่มีความจริงอยู่เลย เพราะ ท่าน รอซูล(ซล.) ย่อมจะไม่สอนหรือสนับสนุน การปฏิบัติที่เหลวไหล และออกนอกทางของอิสลามเช่นนี้


อะหะดีษที่อยู่ในระดับซอเฮี๊ยะ เช่นอะหะดีษ เหล่านี้ ทำลายเกียรติคุณของ ท่าน รอซูล(ซล.) และ ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺและทำลายศีลธรรมของอิสลาม เป็นการเขียน รายงานที่ผิดพลาด เสีย มากกว่า ที่จะอ้างว่าท่านรอซูล สอนเช่นนั้น


การอธิบายอะหะดีษ ที่เกี่ยวกับ Breastfeeding กับชายหนุ่มนี้ ผมจะอธิบายอย่างสั้นๆ เพียง สองประการเท่านั้น


1. ท่านรอซูล(ซล.) ไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงหรือ ตัดต่อ บัญญํติในอัลกุรอาน การอธิบายของคุณขาดเหตุผล ผมอยากขอ ความกรุณาจากอาจารย์ ฟารีด เพนดี้ และ อาจารย์ มุรีด ทิมะเสน ช่วยกรุณาอธิบายให้ คุณ AlGhuraba เข้าใจในเรื่องนี้ด้วย


2. ก่อนอื่นเราควรวินิฉัย ศัพท์ ที่ใช้ในการ จดบันทึก อะหะดีษเหล่านั้น ว่า มีความหมายว่าอย่างไร?


ทรวงอกหญิง = الصّدر

การเลี้ยงลูกโดยให้ดูดนมแม่ = الرّضاعة الطّبيعيّة

رَضَعَاتٍ = ให้ดูดนมจากอกแม่

رضع – เราะฎิอฺะ เป็นคำกริยาแปลว่า แปลว่า “ดูดนม”

พอมาเป็นอาการนาม رضاع (เราะฎออฺ) หรือ رضاعة (เราะฎออฺะฮฺ) แปลว่า การให้ดูดนม

رضاعة การให้ดูดนมจากอก

คำว่า رضاعة เขียนเหมือนกันแต่อ่านว่า ร็อฎฎออฺะฮฺ แปลว่า ขวดนม nursing bottle
ในสมัยนั้นยังไม่มีขวดนมอย่างสมัยนี้สำหรับทารก, เขาใช้ภาชนะโลหะ ถ้าจะมี คำแปลว่าที่มีความหมายว่า “ขวดนม” คงเพิ่งกำหนดขึ้นในใหม่ในสมัยนี้


ผู้ที่รายงาน หะดีษนี้ ใช้ศัพท์ที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ เลย นอกจาก มีความหมายถึง Breastfeeding เขารายงานว่า “นบีบอกภรรยาหุซัยฟะฮฺว่า เธอจงให้ เขาดูดนมจากอก สิ” – ( رضاعة การให้ดูดนมจากอก)


สุภาพสตรีไม่ว่าในสมัยใด จะไม่มีการสร้างน้ำนมในทรวงอก จนกว่า จะถึงระยะการตั้งครรภ์ และจะมีน้ำนมที่สามารถจะบีบออกมาได้ หลังจากการคลอดทารกแล้ว ภรรยาของอบูหุซัยฟะฮฺ ไม่ได้ถูกกล่าวว่า เธอกำลังมีลูกอ่อน ในขณะที่ท่านรอซูล(ซล.) กล่าวกับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่มีน้ำนมที่จะรีดใส่ขวด ไว้ให้ผู้ใด ดื่มกินได้



ดังนั้นการที่จะตีความหมายว่าท่านรอซูล(ซล.) สั่งให้ภรรยาหุซัยฟะฮฺ รีดนมนางใส่ขวด แล้วให้ชายหนุ่มนั้นดื่ม จึงไม่อาจเป็นไปได้ เป็นความบกพร่อง ของผู้รายงาน ที่อ้างว่าท่านรอซูล(ซล.) กล่าวเช่นในหะดีษเหล่านั้น



เราได้คุยเรื่องอะหะดีษมานานพอสมควรแล้ว และผมก็ได้มีโอกาส แสดงความคิดเห็น ในแง่ต่างๆ มา,มากพอสม ควร ผมจะหยุดการสนทนาแล้ว, เนื่องจาก ไม่มีเวลาพอ และ ต้องการจะพักผ่อน ขอพระเจ้าได้ทรงคุ้มครอง คุณและครอบ ครัว และขอขอบคุณ ในความรู้ที่ได้ให้ต่อผม.......


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 5:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การอธิบายอะหะดีษ ที่เกี่ยวกับ Breastfeeding กับชายหนุ่มนี้ ผมจะอธิบายอย่างสั้นๆ เพียง สองประการเท่านั้น


1. ท่านรอซูล(ซล.) ไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงหรือ ตัดต่อ บัญญํติในอัลกุรอาน การอธิบายของคุณขาดเหตุผล ผมอยากขอ ความกรุณาจากอาจารย์ ฟารีด เพนดี้ และ อาจารย์ มุรีด ทิมะเสน ช่วยกรุณาอธิบายให้ คุณ AlGhuraba เข้าใจในเรื่องนี้ด้วย


2. ก่อนอื่นเราควรวินิฉัย ศัพท์ ที่ใช้ในการ จดบันทึก อะหะดีษเหล่านั้น ว่า มีความหมายว่าอย่างไร?


----------------------

ข้อ 1 ถูกต้องนะครับ... นบีไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนอย่างไร ทั้งในและนอกอัลกุรอาน "โดยพละการ" นอกจากว่า นั่นคือคำสั่งจากพระองค์ที่จะทรงให้ตัดตรงไหน เปลี่ยนตรงไหน อย่างไร เมื่อใด และสิ่งที่ท่านนบีสั่ง คือวะฮีที่มาจากอัลลอฮฺ...กรุณาย้อนกลับไปอ่าน episode VII อีกทีนะครับ แล้วช่วยยืนยันอีกทีว่า วะฮี มีอยู่แค่ข้อความในอัลกุรอานเท่านั้นหรือ?

ข้อ 2 ถ้าจะเล่นแจงศัพท์กันแล้ว คงต้องให้อาจารย์มาแจงให้ฟัง ผมทราบเพียงคร่าวๆ ศัพท์ภาษาอรับ จากรากศัพท์หนึ่งมันพลิกผันไปได้ 70 ตลบ กลายเป็นอย่างอื่นซึ่งบางทีอาจเป็นคนละเนื้อกันเลยกับรากศัพท์เดิม เพียงแต่มีนัยยะบางอย่างเกี่ยวพันกันอยู่

เช่น ศ็อลเศาะละ แปลว่า เสียงกังวาน
พอมาเป็น ศ็อลศอล กลายเป็นดินไปซะแล้ว โดยมันเกี่ยวกันด้วย "เสียง" ครับ
แยกออกมายังไง คงต้องไปไล่จับ หมู หมา กา ไก่ ช้าง ม้า วัว ควาย ที่มันเบียดตัวอยู่ในศัพท์ภาษาปะกิต 3-4 คำที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างในกระทู้โน้น(ทู้ไหนก็จำไม่ได้แล้วละ)ให้ได้ซะก่อน

ในทำนองเดียวกัน رضع – เราะฎิอฺะ กับ رضاعة เราะฎออะฮฺ มันเกี่ยวกันด้วย "น้ำนม" ครับ ไม่ใช่เกี่ยวกันด้วย ลักษณะท่าทาง เราะฎออฺะฮฺ ทำยังไงก็ได้ให้น้ำนมลงไปอิ่มอุ่นอยู่ในท้องให้ได้ เท่านั้นเอง สมัยนั้นจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรใช้อย่างในสมัยนี้ มันก็คงไม่ถึงกับต่างกันลิบลับนักกับสมัยของอิมามนะวะวี ที่ท่านอธิบายว่า "รีดนม" มาให้ดื่มหรอกครับ ถ้ายุคนั้นรู้จักการรีดนม ยุคโน้นก็คงทำเป็นเหมือนกัน

และที่ว่า ผู้หญิงจะมีน้ำนมก็ต่อเมื่อคลอดบุตรนั้น ผมทราบครับ อาจเป็นเพราะอาจาน ลุกลี้ลุกลนไปหน่อยจึงอ่านข้อความในหะดีษไม่ละเอียด ดูใหม่อีกทีนะครับ

ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺเล่าว่า สาลิม-เด็กรับใช้ของอบูหุซัยฟะฮฺ-เคยอยู่กับอบูหุซัยฟะฮฺและครอบครัวของเขาในบ้านเดียวกัน (วันหนึ่ง)บุตรสาวของสุฮัยล์(หมายถึงนางสะฮฺละฮฺ ภรรยาอบูหุซัยฟะฮฺ) มาหาท่านนบี และบอกว่า "ตอนนี้สาลิมบรรลุวัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความคิดเหมือนอย่างที่ผู้ใหญ่คิด เขาเข้ามาในบ้านเรา ซึ่งฉันคิดว่าในใจอบูหุซัยฟะฮฺคงมีอะไรไม่สบายใจบางอย่างในเรื่องนี้" ท่านนบีจึงบอกแก่นางว่า "เธอจงให้นมเขาสิ เธอจะได้มีฐานะเป็นที่ต้องห้าม(การแต่งงาน)สำหรับเขา แล้วความไม่สบายใจของอบูหุซัยฟะฮฺจะได้หมดไป" (หลังจากนั้นไม่ทราบว่านานเท่าใด) นางกลับมาหาท่านนบีแล้วบอกว่า "ฉันให้นมเขาแล้วค่ะ และความไม่สบายใจของอบูหุซัยฟะฮฺก็หมดไปจริงๆ" (รายงานโดย มุสลิม : อัรเราะฏออฺ)

ต้องขออธิบายลักษณะการรายงานหะดีษอีกนิดหน่อยครับ บางเหตุการณ์ ห่างกันเป็นเดือน เป็นปี แต่เขาเล่ามารวมไว้ด้วยกันโดยไม่ได้แบ่งช่วงจังหวะเวลาให้เห็นชัดเจนเลย หรือไม่ได้เล่าเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเบาะแสให้คลำทาง ทำเอา คนที่ไม่รู้ประสีประสาบางคนจับแพะชนแกะผิดๆถูกๆเอาได้ เช่นกรณีนี้งัยครับ

จากวันที่นบีบอก กับวันที่นางกลับมาใหม่นั้น.... ห่างกันกี่เดือน ...ไม่ทราบครับ เพราะไม่มีรายละเอียด ซึ่งช่วงนั้นแน่นอน นางต้องมีลูกอ่อนแหง๋ๆ ไม่งั้นจะเอานมที่ไหนมาคั้นให้สาลิม นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องราวที่เราต้องคลำเอาเองจากรายงานต่างๆ อย่าลืมคำว่า "ให้เกียรติ" สิครับ จ้องแต่จะจับผิดนบีอย่างงี้ ไม่ดีเลย โตแล้วนะ...จะบอกให้!...ท่านสุภาพบุรุษแมทท์ (จะได้ใช้คำนี้อีกนานเท่าไหร่เนี่ย?)

หาคำตอบไม่ได้ จะรีบหลบซะแล้วเหรอครับ?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 11:35 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กลับมาเข้าเรื่องนี้กันต่อครับ
เมื่อวาน ตั้งคำถามไว้ว่า มีหุกุมหรือบัญญัติข้อใดบ้างที่นบีให้ใช้กับบางคนและยกเว้นกับบางคน
ผมพอจะนึกออกอยู่ 2-3 เรื่อง เช่น....
--------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode 8/7
--------------------------------------------------

เรื่องครอบครัวนบีกับของเศาะดะเกฺาะฮฺ


คือครอบครัวลูกหลานนบีก็เป็นมุสลิมเหมือนมุสลิมคนอื่นๆ ทำดีอะไรก็ได้บุญเหมือนที่คนอื่นทำ ทำผิดอะไรก็โดนลงโทษสถานเดียวกัน และท่านนบีก็เคยประกาศต่อพี่น้องลูกหลาน ญาติใกล้ชิดของท่านเองว่า "ฉันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรท่าน จาก(การลงโทษของ)อัลลอฮฺได้เลย" โดยทั่วๆไปใครก็รับเศาะดะเกฺาะฮฺได้ แต่นบีห้ามครอบครัวของท่านบริโภคสิ่งของที่เป็นเศาะดะเกฺาะฮฺ

البخاري : الزكاة - بَاب 57 أَخْذِ صَدَقَةِ التَّمْرِ عِنْدَ صِرَامِ النَّخْلِ وَهَلْ يُتْرَكُ الصَّبِيُّ فَيَمَسُّ تَمْرَ الصَّدَقَةِ
1485 حَدَّثَنَا عُمَرُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ الْحَسَنِ الْأَسَدِيُّ حَدَّثَنَا أَبِي حَدَّثَنَا إِبْرَاهِيمُ بْنُ طَهْمَانَ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ زِيَادٍ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِي الله عَنْه قَالَ كَانَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُؤْتَى بِالتَّمْرِ عِنْدَ صِرَامِ النَّخْلِ فَيَجِيءُ هَذَا بِتَمْرِهِ وَهَذَا مِنْ تَمْرِهِ حَتَّى يَصِيرَ عِنْدَهُ كَوْمًا مِنْ تَمْرٍ فَجَعَلَ الْحَسَنُ وَالْحُسَيْنُ رَضِي الله عَنْهمَا يَلْعَبَانِ بِذَلِكَ التَّمْرِ فَأَخَذَ أَحَدُهُمَا تَمْرَةً فَجَعَلَهَا فِي فِيهِ فَنَظَرَ إِلَيْهِ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَخْرَجَهَا مِنْ فِيهِ فَقَالَ أَمَا عَلِمْتَ أَنَّ آلَ مُحَمَّدٍ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَا يَأْكُلُونَ الصَّدَقَةَ

อบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่า มักจะมีคนนำอินทผลัมมาให้ท่านนบีเสมอเมื่อมีการเก็บอินทผลัม คนนั้นก็เอาอินทผลัมมาให้ คนนี้ก็เอามาให้ จนกระทั่งรวมกันเป็นกองพะเนินต่อหน้าท่าน หะสันและหุสัยน์มาเล่นอยู่กับกองอินทผลัมเหล่านั้น แล้วคนหนึ่งก็หยิบผลอินทผลัมใส่ปาก ท่านนบีเห็นดังนั้นจึงมาล้วงมันออกจากปากเขาและกล่าวว่า "หนูไม่รู้หรือลูก...ว่าลูกหลานมุฮัมมัดไม่กินของเศาะดะเกฺาะฮฺ"
(รายงานโดย บุคอรี)

//////////////////- To be continued -//////////////////
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Tue Aug 30, 2005 10:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ AlGhuraba:


ว่าจะออกไปแล้ว แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องชี้แจง ต่อคุณ AlGhuraba:


"ตาบอดคลำช้าง"


นี่คือคำอธิบายของ “เรื่อง การรายงานหะดีษ” ของคุณ AlGhuraba:


“ต้องขออธิบายลักษณะการรายงานหะดีษอีกนิดหน่อยครับ บางเหตุการณ์ ห่างกันเป็นเดือน เป็นปี แต่เขาเล่ามารวมไว้ด้วยกันโดยไม่ได้แบ่งช่วงจังหวะเวลาให้เห็นชัดเจนเลย หรือไม่ได้เล่าเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเบาะแสให้คลำทาง ทำเอา คนที่ไม่รู้ประสีประสาบางคนจับแพะชนแกะผิดๆถูกๆเอาได้ เช่นกรณีนี้งัยครับ”


วิเคราะห์คำอธิบายของคุณ AlGhurabaข้างบนนี้


1. บางเหตุการณ์ ห่างกันเป็นเดือน เป็นปี แต่เขาเล่ามารวมไว้ด้วยกันโดยไม่ได้แบ่งช่วงจังหวะเวลาให้เห็นชัดเจนเลย

ข้อสังเกต: ไม่มีจุดยืนเป็นการกล่าวลอยๆ


2. ไม่ได้เล่าเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเบาะแสให้คลำทาง

ข้อสังเกต: ให้เดาเอากันเอง ขาด หลักฐานอ้างอิง


3. ทำเอา คนที่ไม่รู้ประสีประสาบางคนจับแพะชนแกะผิดๆถูกๆเอาได้ เช่นกรณีนี้

ข้อสังเกต: หมายถึง การคลำทางหาคำตอบ ของ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์


4. จากวันที่นบีบอก กับวันที่นางกลับมาใหม่นั้น.... ห่างกันกี่เดือน ... “ไม่ทราบครับ”

ข้อสังเกต: ไม่อาจจะเดาได้ว่า เวลา ห่างกันหรือไม่? และถ้าห่างกัน จะเป็น วัน หรือ เดือน หรือ ปี ฯลฯ ไม่มีทาง ทราบได้



5. ไม่มีรายละเอียด ซึ่งช่วงนั้นแน่นอน (นางต้องมีลูกอ่อนแหง๋ๆ)

ข้อสังเกต: ต้องใช้การเดา



ข้อสรุปคำอธิบายของคุณ AlGhuraba:


“เพราะ ไม่งั้นจะเอานมที่ไหนมาคั้นให้สาลิม? นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องราวที่เราต้องคลำเอาเอง”


ข้อสังเกตที่ผู้อ่านจะต้องคิด:


การให้ผู้ศึกษาคลำหา เรื่องราวจากรายงานต่างๆ เอาเอง, เราจะคลำเอาเอง ได้อย่างไร? และจะเอารายงานอะไร? ที่ไหนมา? ในเมื่อ คำอธิบายในข้อ 2 แจ้งแก่เราว่า ไม่มีการ “เล่าเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเบาะแสให้คลำทาง”


การอธิบายเช่นนี้อย่างยืดยาว เปรียบเสมือน เรื่องราวในนิการพยายามป้องกันเกียรติของ ท่านรอซูล(ซล.) จากการรายงาน “อะหะดีษที่ไม่ถูกต้อง และไม่ ตรงกับ คุณลักษณะ ของ ท่านรอซูล(ซล.) นั้น , เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่ยอมรับว่า ท่านรอซูล(ซล.) เป็นศาสดาที่แท้จริง ของเขา จะต้องกระทำทาน เรื่อง “คนตาบอดคลำช้าง” การสนทนา ในเรื่อง “อะหะดีษในระหว่างนักการอะหะดีษ ด้วยกัน” ก็เปรียบเสมือน นิทานเรื่อง “ คนหูหนวก กับคนตาบอด คุยกัน ขณะดู และฟังการจุดผลุ, คนหูหนวกมองเห็นผลุก็พูดว่า “มันโด่งแต่ไม่มีเสียงดัง”, ฝ่ายคนตาบอด ก็กล่าว แย้งว่า, “ มัน(ผลุ) ดังแต่ไม่โด่ง” การคุยกันจะไม่มีข้อยุติ ทั้งนี้เพราะว่า บทต่างๆในอะฮะดีษนั้น มีทั้งเรื่องที่สนับสนุนกันเอง และขัดกันเอง


คำพูดของคุณ AlGhuraba:


อย่าลืมคำว่า "ให้เกียรติ" สิครับ จ้องแต่จะจับผิดนบีอย่างงี้ ไม่ดีเลย โตแล้วนะ...จะบอกให้!...ท่านสุภาพบุรุษแมทท์ (จะได้ใช้คำนี้อีกนานเท่าไหร่เนี่ย?)

การที่ผมอธิบายว่าอะหะดีษ ทำลายเกียรติของท่านรอซูล(ซล.) อย่างไร นั้น ไม่ได้เรียกว่าเป็นการจับผิด “ท่านรอซูล(ซล.)” อย่างที่คุณพยายาม ที่จะ ยัดเยียดให้ผู้อ่าน เข้าใจผมผิด, การกระทำ เช่นคุณนั้น เป็นการกระทำ ที่ รอซูล(ซล.) ไม่รับรอง


, ท่านอีมามบุคอรีและท่านอีมามต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ได้กระทำมากันทั้งนั้น โดย พยายามที่จะ ขจัด เรื่องบอกเล่าที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ที่ เกี่ยวกับท่านรอซูล(ซล.) ทิ้งเสียเป็นจำนวนมาก, มาในปัจจุบัน ถ้ามุสลิมผู้ใด ได้พบเห็น ฮะดีษบทใด ที่ กระทำให้ เสียหาย ท่านรอซูล(ซล.) และ ศาสนาอิสลามแล้ว ควรจะ ขจัด เรื่องบอกเล่า เหล่านั้นเสีย เปรียบเสมือนการขจัด ปลาเน่า ที่อยู่รวมกับปลาดี


คุณ AlGhuraba ควรจะไปอ่าน และ เรียนรู้ มรรยาทในการ สนทนาเรื่องศาสนา จาก คุณ AbdurRahman และ อาจารย์ ASAN (Sat Aug 27, 2005 9:57 pm) ดูซิครับ เพื่อคุณจะได้ถูกเรียกว่า “ท่านสุภาพบุรุษ” กับเขาบ้าง ทั้งสองท่านนี้ ถึงแม้ ว่า จะมีความคิดเห็น ในเรื่อง หะดีษไม่ตรงกับผมเลย แต่ เขาได้รับความนับถือจากผม รวมทั้ง คำอธิบายและการสนทนา ของ ท่านทั้งสอง นั้น มีส่วนที่จะทำให้ ผมเกิด ประทับใจ และเกิด“Second thought” เกี่ยวกับ เรื่อง “อะหะดีษ” ได้


สำหรับคุณ AlGhuraba นั้น เรื่องความรู้ในเรื่อง “อะหะดีษ และประวัติศาสตร์อิสลาม” นั้น ผมไม่มีข้อสงสัย ในความรู้ของคุณเลย เพราะ ผมเคยเห็นมาก่อนในทำนองเดียวกันนี้ การมีศรัทธาต่อ อิสลาม ความรู้ในเรื่องศาสนาอย่างเดียวไม่ เพียงพอ แต่ว่าการมีมรรยาท และความจริงใจในการอธิบายเรื่องราวของศาสนา เป็นเรื่องสำคัญ, ความจริงใจในการเผยแพร่ สนทนา หมายถึง การอธิบาย เพื่อให้เข้าใจอย่างง่ายๆ แต่ไม่ได้เป็นการแสดงอวดความรู้ ของเรา


การเป็นคนมีมรรยาทหรือการเป็น “ท่านสุภาพบุรุษ” ไม่มีระยะเวลา หรอกครับ แม้แต่เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีเพื่อนฝูง หรือ ผู้ใกล้ชิดกับเรา ยังจำได้ และ ผมคิดว่า ยังคงไม่สายไปสำหรับ คุณ AlGhuraba ที่จะเริ่มต้นการเป็น “ท่านสุภาพบุรุษ”เสียแต่เดี๋ยวนี้


โชคดีนะครับ


wassalam

แมทท์

http://thaimuslimusa.com/webboard/default.asp
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Tue Aug 30, 2005 10:42 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


คุณ AlGhuraba:


ว่าจะออกไปแล้ว แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องชี้แจง ต่อคุณ AlGhuraba:


ตาบอดคลำช้าง:


นี่คือคำอธิบายของ “เรื่อง การรายงานหะดีษ” ของ คุณ AlGhuraba:


“ต้องขออธิบายลักษณะการรายงานหะดีษอีกนิดหน่อยครับ บางเหตุการณ์ ห่างกันเป็นเดือน เป็นปี แต่เขาเล่ามารวมไว้ด้วยกันโดยไม่ได้แบ่งช่วงจังหวะเวลาให้เห็นชัดเจนเลย หรือไม่ได้เล่าเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเบาะแสให้คลำทาง ทำเอา คนที่ไม่รู้ประสีประสาบางคนจับแพะชนแกะผิดๆถูกๆเอาได้ เช่นกรณีนี้งัยครับ”

วิเคราะห์คำอธิบายของคุณ AlGhurabaข้างบนนี้

1. บางเหตุการณ์ ห่างกันเป็นเดือน เป็นปี แต่เขาเล่ามารวมไว้ด้วยกันโดยไม่ได้แบ่งช่วงจังหวะเวลาให้เห็นชัดเจนเลย

ข้อสังเกต: ไม่มีจุดยืนเป็นการกล่าวลอยๆ

2. ไม่ได้เล่าเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเบาะแสให้คลำทาง

ข้อสังเกต: ให้เดาเอากันเอง ขาด หลักฐานอ้างอิง

3. ทำเอา คนที่ไม่รู้ประสีประสาบางคนจับแพะชนแกะผิดๆถูกๆเอาได้ เช่นกรณีนี้

ข้อสังเกต: หมายถึง การคลำทางหาคำตอบ ของ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์

4. จากวันที่นบีบอก กับวันที่นางกลับมาใหม่นั้น.... ห่างกันกี่เดือน ... “ไม่ทราบครับ”

ข้อสังเกต: ไม่อาจจะเดาได้ว่า เวลา ห่างกันหรือไม่? และถ้าห่างกัน จะเป็น วัน หรือ เดือน หรือ ปี ฯลฯ ไม่มีทาง
ทราบได้

5. ไม่มีรายละเอียด ซึ่งช่วงนั้นแน่นอน (นางต้องมีลูกอ่อนแหง๋ๆ)

ข้อสังเกต: ต้องใช้การเดา



ข้อสรุปคำอธิบายของคุณ AlGhuraba:

“เพราะ ไม่งั้นจะเอานมที่ไหนมาคั้นให้สาลิม? นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องราวที่เราต้องคลำเอาเอง”

ข้อสังเกตที่ผู้อ่านจะต้องคิด:

การให้ผู้ศึกษาคลำหา เรื่องราวจากรายงานต่างๆ เอาเอง, เราจะคลำเอาเอง ได้อย่างไร? และจะเอารายงานอะไร? ที่ไหนมา? ในเมื่อ คำอธิบายในข้อ 2 แจ้งแก่เราว่า ไม่มีการ “เล่าเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเบาะแสให้คลำทาง”

การอธิบายเช่นนี้อย่างยืดยาว เปรียบเสมือน เรื่องราวในนิทาน เรื่อง “คนตาบอดคลำช้าง” การสนทนา ในเรื่อง “อะหะดีษในระหว่างนักการอะหะดีษ ด้วยกัน” ก็เปรียบเสมือน นิทานเรื่อง “ คนหูหนวก กับคนตาบอด คุยกัน ขณะดู และฟังการจุดผลุ, คนหูหนวกมองเห็นผลุก็พูดว่า “มันโด่งแต่ไม่มีเสียงดัง”, ฝ่ายคนตาบอด ก็กล่าว แย้งว่า, “ มัน(ผลุ) ดังแต่ไม่โด่ง” การคุยกันจะไม่มีข้อยุติ ทั้งนี้เพราะว่า บทต่างๆในอะฮะดีษนั้น มีทั้งเรื่องที่สนับสนุนกันเอง และขัดกันเอง

คำพูดของคุณ AlGhuraba:

อย่าลืมคำว่า "ให้เกียรติ" สิครับ จ้องแต่จะจับผิดนบีอย่างงี้ ไม่ดีเลย โตแล้วนะ...จะบอกให้!...ท่านสุภาพบุรุษแมทท์ (จะได้ใช้คำนี้อีกนานเท่าไหร่เนี่ย?)

การพยายามป้องกันเกียรติของ ท่านรอซูล(ซล.) จากการรายงาน “อะหะดีษที่ไม่ถูกต้อง และไม่ ตรงกับ คุณลักษณะ ของ ท่านรอซูล(ซล.) นั้น , เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่ยอมรับว่า ท่านรอซูล(ซล.) เป็นศาสดาที่แท้จริง ของเขา จะต้องกระทำ, ท่านอีมามบุคอรีและท่านอีมามต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ได้กระทำมากันทั้งนั้น โดย พยายามที่จะ ขจัด เรื่องบอกเล่าที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ที่ เกี่ยวกับท่านรอซูล(ซล.) ทิ้งเสียเป็นจำนวนมาก, มาในปัจจุบัน ถ้ามุสลิมผู้ใด ได้พบเห็น ฮะดีษบทใด ที่ กระทำให้ เสียหาย ท่านรอซูล(ซล.) และ ศาสนาอิสลามแล้ว ควรจะ ขจัด เรื่องบอกเล่า เหล่านั้นเสีย เปรียบเสมือนการขจัด ปลาเน่า ที่อยู่รวมกับปลาดี


การที่ผมอธิบายว่าอะหะดีษ ทำลายเกียรติของท่านรอซูล(ซล.) อย่างไร นั้น ไม่ได้เป็นการจับผิด “ท่านรอซูล(ซล.)” อย่างที่คุณพยายาม ที่จะ ยัดเยียดให้ผู้อ่าน เข้าใจผมผิด, การกระทำ เช่นคุณนั้น เป็นการกระทำ ที่ รอซูล(ซล.) ไม่รับรอง


คุณ AlGhuraba ควรจะไปอ่าน และ เรียนรู้ มรรยาทในการ สนทนาเรื่องศาสนา จาก คุณ AbdurRahman และ อาจารย์ ASAN (Sat Aug 27, 2005 9:57 pm) ดูซิครับ เพื่อคุณจะได้ถูกเรียกว่า “ท่านสุภาพบุรุษ” กับเขาบ้าง ทั้งสองท่านนี้ ถึงแม้ ว่า จะมีความคิดเห็น ในเรื่อง หะดีษไม่ตรงกับผมเลย แต่ เขาได้รับความนับถือจากผม รวมทั้ง คำอธิบายและการสนทนา ของ ท่านทั้งสอง นั้น มีส่วนที่จะทำให้ ผมเกิด ประทับใจ และเกิด“Second thought” เกี่ยวกับ เรื่อง “อะหะดีษ” ได้


สำหรับคุณ AlGhuraba นั้น เรื่องความรู้ในเรื่อง “อะหะดีษ และประวัติศาสตร์อิสลาม” นั้น ผมไม่มีข้อสงสัย ในความรู้ของคุณเลย เพราะ ผมเคยเห็นมาก่อนในทำนองเดียวกันนี้ การมีศรัทธาต่อ อิสลาม ความรู้ในเรื่องศาสนาอย่างเดียวไม่ เพียงพอ แต่ว่าการมีมรรยาท และความจริงใจในการอธิบายเรื่องราวของศาสนา เป็นเรื่องสำคัญ, ความจริงใจในการเผยแพร่ สนทนา หมายถึง การอธิบาย เพื่อให้เข้าใจอย่างง่ายๆ แต่ไม่ได้เป็นการแสดงอวดความรู้ ของเรา


การเป็นคนมีมรรยาทหรือการเป็น “ท่านสุภาพบุรุษ” ไม่มีระยะเวลา หรอกครับ แม้แต่เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีเพื่อนฝูง หรือ ผู้ใกล้ชิดกับเรา ยังจำได้ และ ผมคิดว่า ยังคงไม่สายไปสำหรับ คุณ AlGhuraba ที่จะเริ่มต้นการเป็น “ท่านสุภาพบุรุษ”เสียแต่เดี๋ยวนี้


โชคดีนะครับ

wassalam

แมทท์

http://thaimuslimusa.com/webboard/default.asp
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 19, 20, 21, 22, 23  ถัดไป
หน้า 20 จากทั้งหมด 23

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.30 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ