ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
อิลยาส มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 20/04/2005 ตอบ: 279
|
ตอบ: Tue Aug 23, 2005 6:03 am ชื่อกระทู้: อาจาร์ยฟาริดบอกว่าคนปฎิเสธหะดีษเศาะหีหฺไม่ใช่ใช่มุลิม ? |
|
|
ผมว่าอาจาร์ยต้องอธิบาอย่างละเอียดนะครับมะงั้นพวกตักฟิรกันตายเลย..ที่จิงเรื่องนี้น่าจะไปฟังเทปของ ชัยคฺ นาศิรุดดีย อัลบานีย์นะครับ อย่างน้อยกะถือว่าในยุคนี้ การตัศหีหฺหะดีษของท่านเปนที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการสะละฟีย์ทั้งหลาย
เพราะท่านได้อธิบายอย่างชัดเจนเรื่องเงื่อนไขต่างๆ และการปฎิเสธคำพูดนบี ออกจากการปฎิเสธ หรือสงสัยในสายรายงายซึ่งตรงนี้น่าสนในนะครับ
อีกอย่างถ้าอาจาร์ยตอบลักษณะนี้อย่างไม่ชัดเจน ผมจำได้ว่า ตัวของชัยคฺเองเคยตั้งคำถามกับนักศึกษาว่า " แล้วท่านจะว่าอย่างไรกับการที่ อิหม่ามอะหฺหมัด บินหัมบัล ไม่รับหะดีษของอิหม่ามบุลคอรีย์ ในเมื่อศ่อหีหฺของอิหม่ามบุคคอรีย์เปนที่ยอมรับในแวววงวิชาการหะดีษ" จาว่ายังงัยดีครับอาจาร์ย ฝากด้วยครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Aug 23, 2005 9:55 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณอิลยาสลองอ่านฟัตวานี้ดูนะครับ
رقم الفتوى : 25570
عنوان الفتوى : إنكار السنة كفر مخرج من الملة
تاريخ الفتوى : 05 شوال 1423
السؤال
ما الفرقة الضالة التي تكتفي بالقرآن دون السنة؟
الفتوى
الحمد لله والصلاة والسلام على رسول الله وعلى آله وصحبه أما بعد:
فإن الفرقة التي لا تحتج إلا بالقرآن هي الخوارج، هذا في القديم أما في زماننا هذا فقد وجدت طائفة يطلق عليها اسم "القرآنيين" يعتقدون نفس العقيدة، ولهم تواجد ضعيف في بعض البلدان، وقد دخلت عليهم هذه العقيدة من قبل المستشرقين والمنهزمين من العقلانيين.
وإنكار السنة يعد كفراً مخرجاً من الملة لأن السنة هي المبينة للقرآن والشارحة له، بل وفيها أحكام تشريعية ليست في القرآن. ومن كان يؤمن بالقرآن فلا بد من أن يؤمن بالسنة لأن الله تعالى يقول: وَمَا آتَاكُمُ الرَّسُولُ فَخُذُوهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوا [الحشر:7].
ويقول سبحانه وتعالى: مَنْ يُطِعِ الرَّسُولَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّهَ [النساء:80].
ويقول عز وجل: وَأَنْزَلْنَا إِلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيْهِمْ وَلَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ [النحل:44].
والآيات في هذا المعنى كثيرة جداً.
والله أعلم.
المفتـــي: مركز الفتوى بإشراف د.عبدالله الفقيه
http://www.islamweb.net/ver2/Fatwa/ShowFatwa.php?lang=A&Id=25570&Option=FatwaId |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Aug 23, 2005 10:01 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ส่วนทีอิหม่ามอะหมัด ไม่ยอมรับบางหะดิษที่รายงานโดยอิหม่ามบุคคอรี อาจจะเกิดความไม่มั่นใจในความถูกต้องของหะดิษ แต่ไม่ได้หมายถึงปฏิเสธอัสสุนนะฮที่มาจากท่านนบีนะครับ
(นี่เป็นการคาดเดาของผมนะครับ) อยากให้อ.ฟาริดมาตอบบ้าง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Tue Aug 23, 2005 2:05 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คำตอบโดยอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมพูดจริงๆว่า คนที่ปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์เป็นกาเฟร หรือสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม เพราะฮะดีษศอเฮียะห์นั้นได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นตามกระบวนการวิชาฮะดีษ จนมั่นใจว่า เป็นคำพูด การกระทำ หรือการยอมรับของท่านนบีจริงๆ
การปฏิเสธคำสอนของท่านนบี ไม่แตกต่างกับการปฏิเสธตัวท่านนบี หรือตำแหน่ง(รอซูล)ของท่านนบี เพราะคำปฏิญาณตนประโยคที่สองว่า อัชฮะดุอันน่ามูฮัมมะดัรรอซูลุ้ลลอฮ์ คือการประกาศยอมรับสิ่งที่ท่านนบีนำมาสอนด้วย มิใช่รับแต่เพียงตัวท่านอย่างเดียว...
อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ ท่านเข้า ใจผิด หรือ ขาดความรอบคอบในเรื่อง ต่อไปนี้
อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ ท่านว่า การปฏิเสธคำสอนของท่านนบี ไม่แตกต่างกับการปฏิเสธตัวท่านนบี
คำกล่าวอันนี้ ถูกต้องในข้อความ, แต่ผิดพลาดในความหมาย ทั้งนี้ เพราะว่า ข่าวสารที่ท่าน ร่อซูล(ซ.ล.) รับวะฮี คืออัลกุรอาน และเป็นคำสอนโดยตรงจากปากคำของท่านร่อซูล(ซ.ล.) ที่ถูกจดบันทึก และทบ ทวนใน ขณะที่ท่านร่อซูล(ซ.ล.)ยังมีชีวิตอยู่, ดังนั้นการปฏิเสธ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ ท่านร่อซูล(ซ.ล.),สั่งสอนที่มาจากอัลกุรอาน ในขณะที่ ท่านร่อซูล(ซ.ล.) มีชีวิตอยู่ เป็นการปฏิเสธ ความศรัทธาต่อ พระเจ้า
การปฏิเสธความศรัทธาต่อพระเจ้า ถือว่าไม่ใช่มุสลิม และเมื่อ ท่านร่อซูล(ซ.ล.) เสียชีวิต ไปแล้ว สิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้คืออัลกุรอาน เท่านั้น
ฮะดีษศอเฮียะห์บุคอรี และอื่นๆ เป็นสิ่งประดิษฐ์ ที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยแอบอ้าง ชื่อของ ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ไม่ได้มาตรฐานเทียบเท่า กิตาบุลลอฮ์ (4:82) และไม่มีบัญญัติในอัลกุรอาน หรือมี คำสั่งจาก ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ให้ยอมรับหนังสือหรือคัมภีร์ ที่มาหลังจากอัลกุรอาน การยกฮะดีษศอเฮียะห์บุคอรี และอื่นๆ ขึ้นเทียบเท่าอัลกุรอาน จึงเป็นการกระทำที่เป็น ชริก อย่างไม่มีข้อสงสัย
ในกรณีที่ว่า
ในยุคของท่านนบี เมื่อมีการขัดแย้งในประเด็นปัญหาใดในด้านศาสนา บรรดาสาวกก็จะไปถามท่านนบีโดยตรง แต่ในปัจจุบัน คำว่า" ให้นำสิ่งนั้นกลับไปหารซูล" หากไม่รับรอง หะดิษเศาะเหียะ แล้วเรา นอกจากอัลกุรอ่านแล้ว เราจะ เอาอะไรมาตัดสินชี้ขาด เพื่อให้เกิดข้อยุติที่ดี
เราจะเห็นว่า ใน ปัจจุบันเราสังคมมุสลิมไทยเรามีการขัดแย้งในการปฏิบัติศาสนกิจกันมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือการหยุดการถือศีลอด และการละหมาด ในวันสำคัญทางศาสนา ที่ไม่พร้อมเพรียงกัน, การไม่มีข้อชี้ขาดว่า อิสลามห้ามการดนตรีหรือไม่อย่างไร? หะดิษเศาะเหียะ ไม่สามารถที่จะ ตัดสินชี้ขาดได้ ทั้งนี้ เพราะว่า ต้นเหตุของ ปัญหาเหล่านี้ มาจาก หะดิษเศาะเหียะ, การ ใช้ หะดิษเศาะเหียะ ตัดสิน ปัญหาทางศาสนา เปรียบเช่นเดียวกับ คนตาบอดคลำช้าง หรือ คนตาบอด จูงคนตา บอด ด้วยกัน
ดังนั้น เพื่อให้เกิดข้อยุติทางศาสนาที่ดี อัลกุรอานเท่านั้น ที่สมควรจะถูกนำมาตัดสินชี้ขาด ปัญหาต่างๆที่เกิด ในสังคมมุสลิมทั่วโลกเวลานี้ก็คือ การที่หลงผิดว่า หะดิษเศาะเหียะ เป็น วะฮี จากอัลลอฮ์ โดยไม่เข้าใจว่า อิสลามตั้งอยู่บนรากฐานแห่ง บัญญัติของพระเจ้า ไม่ใช่จาก เรื่องนิทานบอกเล่า ตากะยาย
การปฏิเสธ คำบอกเล่าของผู้อื่น ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับ ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ต่างกันกับการปฏิเสธคำสอน ของท่านร่อซูล(ซ.ล.) มันคนละเรื่องกัน เรามีสิทธิที่จะไม่เชื่อ เรื่องบอกเล่าต่างๆ ที่มีผู้มาเล่าให้เราฟัง
ตัวอย่างเช่น: ถ้ามีผู้มาเล่าให้คุณๆฟังว่า ท่านร่อซูล(ซ.ล.) กล่าวว่า เพื่อไม่ให้มีข้อติฉินนินทาแก่ภรรยา ของมุสลิม (จากชาวบ้าน)ในการที่ ที่มีเพื่อนชายมาเยี่ยมที่บ้าน มุสลิม, (บ่อยครั้ง, ควรจะให้ มุสลิม ยกเพื่อนชายผู้นั้น ให้เป็นบุตบุญธรรม ของ มุสลิม, โดยการให้เพื่อนชายผู้นั้น รับ BREASTFEEDING จากภรรยาของ มุสลิม ได้ ไม่เกิน 5 หรือ 10 ครั้ง
ถ้า เรื่องเล่านี้ อยู่ในฮะดีษศอเฮียะห์ แล้วมุสลิมเรา ควรจะเชื่อ หรือปฏิบัติตามหรือไม่? ไม่ว่าจะใช้เหตุผล หรือ อะหะดีษ ใดๆมาอธิบายก็ตาม
คำบอกเล่าเช่นนี้ เรามีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ใช่หรือไม่? ถ้าไม่เชื่อหรือไม่ปฏิบัติตามจะเป็น กาเฟร หรือไม่?
การยอมรับสิ่งที่ท่านนบีนำมาสอนนั้นคืออัลกุรอาน ไม่ใช่ยอมรับเรื่องบอกเล่าต่างๆ หรือข่าวลือต่างๆ ที่อ้างชื่อ ท่านร่อซูล(ซ.ล.) การไม่เชื่อผู้เล่าเรื่องของ ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ต่างกับการไม่เชื่อ การสอนของท่านร่อซูล(ซ.ล.)
การเดาของคุณ asan ที่ว่า
ส่วนทีอิหม่ามอะหมัด ไม่ยอมรับบางหะดิษที่รายงานโดยอิหม่ามบุคคอรี อาจจะเกิดความไม่มั่นใจในความถูกต้องของหะดิษ แต่ไม่ได้หมายถึงปฏิเสธอัสสุนนะฮที่มาจากท่านนบีนะครับ (นี่เป็นการคาดเดาของผมนะครับ) อยากให้อ.ฟาริดมาตอบบ้าง
ผมว่าการตอบปัญหาศาสนาไม่ควรจะมีการเดานะครับ ทั้งนี้ เพราะ ว่า อิหม่ามอะหฺหมัด บินหัมบัล ไม่รับหะดีษของอิหม่ามบุลคอรีย์ ไม่ได้แสดงถึง ว่า มีข้อยกเว้น สำหรับ บาง หะดิษ คุณกล่าวว่า อิหม่ามอะหมัด อาจจะเกิดความไม่มั่นใจในความถูกต้องของหะดิษ, คุณ asan เชื่อว่า หะดิษที่รายงานโดยอิหม่ามบุคคอรี นั้น มีความจริงสักกี่เปอรฺเซนต์?
การอธิบายหรือ ตอบคำถามเกี่ยวกับหลักการของอิสลาม ควรจะตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ด้วยการเดา นี่คือ ข้อเสีย ของการ สอนหลักการของอิสลาม เพราะ ผู้เรียน ไม่ได้ รับคำตอบ ที่แน่ใจว่าถูกต้องจาก ผู้รู้ทั้งหลาย
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Tue Aug 23, 2005 4:51 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ แมท พูดก็ถูก ที่ว่า ศาสนาไม่ใช่เรื่องคาดเดา เพียงแต่ ผมกล่าวถึงอิหม่ามอะหมัด เรื่องหะดิษ เพราะท่านอิหม่ามอะหมัด ไม่ได้ปฏิเสธหะดิษทั้งหมด ซึ่งต่างกับคุณ ที่ปฏิเสธหะดิษ โดยสิ้นเชิง ผมเองสงสัยอยู่ตลอด ว่า คุณละหมาดอย่างไร คูณจ่ายซะกาตอย่างไร คุณถือศีลอดอย่างไรและประกอบพิธีหัจญอย่างไร ในเมื่ออัลกุรอ่านไม่ได้บอกวิธีปฏิบัติเอาไว้ แล้วคุณก็ไม่ยอมรับหะดิษ คุณพอจะบอกผมได้ไหม ว่า มีโองการใดบอกรายละเอียดถึงวิธีปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ หากคุณไม่ตอบ ก็หมายความว่า คุณเชื่อแต่อัลกุรอ่าน แต่คุณ ไม่ละหมาด ไม่ถือศีลอด ไม่จ่ายซะกาต
ดังนั้น อย่าให้ผมมองเช่นนั้นเลย โปรดชี้แจงให้พี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่เขาทราบหน่อยได้ไหม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Wed Aug 24, 2005 3:29 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ Asan
ผมไม่คิดเลยว่า คุณ Asan จะ มีคำถามเช่นนี้ เพราะ คุณต้องเข้าใจเรื่องนี้ ดี กว่า ใครๆ ในที่นี้ การ ปฏิบัติศาสนากิจดังกล่าว ปฏิบัติต่อๆ กันมา ก่อนหน้าที่ จะมี หนังสือ ของบุคอรี, คุณเข้าใจ ถึงการปฏิบัติศาสนกิจ และ การสอน ของ ท่าน รอซูล เป็นอย่างดี ว่า ท่าน ทำ ทุกอย่าง ตามที่บัญญัติไว้ ในอัลกุรอาน ท่าน ไม่ได้ ประดิษฐ์ สิ่ง เหล่านี้ ขึ้น ท่านปฏิบัติ และปรับปรุง เข้มงวดกวดขัน ให้ มุสลิม ตื่นตัว ใน การ ทำอิบาดะห์ ต่อ พระผู้ เป็นเจ้า ท่านแสดงและสอน ให้ เห็น เป็น ตัวอย่าง บรรดา ผู้ใกล้ชิด ลูกศิษย์ ลูก หาของ ท่าน ก็ปฏิบัติตาม และสอนลูก สอน หลาน กันต่อๆ มา จน ถึงปัจจุบัน
ซึ่งการสอนการปฏิบัติ นี้ ไม่จำเป็น ต้อง อาศัย อะหะดีษ ของบุคอรี เพราะ การปฏิบัติ ศาสนกิจดังกล่าว ปฏิบัติต่อกันมาตั้ง แต่ท่านร่อซูล(ซล) ยังมีชีวิตอยู่ อะหะดีษ เพิ่ง มา ปรากฏ เป็น รูปเล่ม หลังจาก ท่านร่อซูล(ซล) สิ้นชีวิตไป กว่า 200 กว่าปี แล้ว ถ้าการปฏิบัติศาสนกิจตามที่คุณถามผม ต้องอาศัย อะหะดีษ ของบุคคอรี แล้ว ระยะ 200 กว่าปีก่อนหน้า นั้น มุสลิม ทำอิบาดะห์ ต่อ พระผู้ เป็นเจ้า กันอย่างไร?
อีมามบุคอรีและอื่นๆ ก็เปรียบเสมือน ผู้รวบรวม ตำราทำอาหาร จับเรื่องเล่าต่างๆ มาประติดประต่อกัน และ ตั้งเป็น รูปแบบ ขึ้น เช่น คนไทยเรา ปรุงแกงเผ็ด ไก่ กันมา ตั้ง แต่ สมัยขอม ตั้งแต่ยังไม่มีตำราอาหาร เป็นรูปเล่ม แต่พอ มีผุ้รวบรวม ตำรา ขึ้น แกงเผ็ด ไก่ ก็กลายไป มีรสชาด ต่างๆ กัน ทั้งนี้ เพราะ ผู้ เล่า แต่ละท่าน จำการผสมเครื่องแกง มาจากการเล่าต่อๆ กันมาซึ่งไม่ตรงกัน ผิดๆถูกๆ, นี่เป็นแค่การเปรียบเทียบ
อะหะดีษ ก็เช่นเดียว กัน จดมาจาก ความทรงจำของ ผู้ คนในแต่ละยุคละสมัย ทำให้ มีการ ค้านกันเองบ้าง, ขัดกับอัลกุรอานบ้าง, ตรงกับคำสอนของ คริสต์ เตียนบ้าง, มีประเพณีอรับติดปนมา กลายเป็นหลักศาสนาไป ฯลฯ การทำละหมาด และหลักการต่างๆ เมื่อใช้ อะหะดีษของบุคอรี เป็นแบบฉบับแล้ว เริ่มเกิด มีปํญหา มาถกเถียงกัน ในรูปแบบ จองการละหมาด, ไม่ยอมละหมาดร่วมกัน แตกความสามัคคีกัน ทั้งนี้ เพราะว่า เกิด จาก การ แปลความหมาย ของ อะหะดีษ ไปใน รูปแบบ ต่างๆ กัน
คุณ Asan ก็คงทราบดี ว่า เรื่องการแตกความสามัคคี กัน ในสังคมมุสลิมไทย เกิดจาก การสอน อะหะดีษ ที่ มีคำอธิบายไม่ตรงกัน กำกวม ขัดกัน บางท่านว่ากินดอกเบี้ยได้ บางท่านว่า กินดอกเบี้ยไม่ได้, บางท่านว่าฟังดนตรีได้ บางท่านว่าไม่ได้, บางท่านว่าถ่ายรูปได้ บางท่านว่า ถ่ายรูปไม่ได้ คุณคงได้ยิน อาจารย์ต่างๆ โจมตีกัน ในการตีความหมายศาสนา ตาม อะหะดีษ ทาง อากาศ และ ในการ ปาฐกถา ในที่ต่างๆ
การตั้งคำถามอย่างที่คุณถามผม เป็น คำถามของผู้ที่ขาดเหตุผล หรือขาด คำอธิบาย หรือ ไม่สามารถที่จะอธิบาย ได้ว่า เพราะ เหตุไร เราจึงจำเป็นจะต้อง ประดิษฐ์ หนังสือเล่มใหม่ ขึ้น มาใช้ เตียงคู่กับ อัลกุรอาน และ ใช้ ในการ อธิบาย อัลกุรอาน?
การกระทำ และมีความเชื่อที่ ว่า ถ้าไม่มี อะหะดีษ ของบุคคอรี แล้ว มุสลิมจะไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจสนอง พระประสงค์ ของพระผู้เป็นเจ้าได้ นั้น เป็นการท้าทายความสมบูรณ์ ของอัลกุรอาน ผมหวังว่าคุณ คงเข้าใจคำอธิบายของผม
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Wed Aug 24, 2005 10:43 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ Asanซ:
เนื่องจากผมรีบร้อน ในการตอบคุณ Asan จึงทำให้ผมรวบรัดไปเสียมากทีเดียว ผมกล่าวว่า แทบไม่น่าเชื่อ ที่คุณถาม คำถามเช่นนั้นกับผม, ถ้าคุณ เป็นแต่เพียง ผู้สนทนา เรื่องศาสนา อิสลาม โดยไม่มีผล ต่อ สาธารณชนมุสลิมแล้ว ผมจะไม่รบกวนเวลา ของคุณ โดยกลับ คุยต่อ, แต่เนื่องจากคุณเป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นผู้ที่มีส่วน ในการ ตอบปัญหาศาสนา ให้กับ เยาวชนมุสลิม ผมจึงมีความจำเป็น ที่จะต้องกล่าวถึงสิ่งที่ผม เห็นว่า การสอนศาสนาอิสลาม โดยอาศัย อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆ เป็นหลักในการสอนนั้นผิดหลักศรัทธาต่อ พระเจ้าองค์เดียว (เตาฮีด) ของศาสนาอิสลาม เป็นการนำสิ่งประดิษฐ์ มาเทียบเท่าอัลกุรอาน และเป็นการ ขัด ต่อ หน้าที่ของท่านร่อซูล(ซล.) ที่พยายามอย่างยิ่ง ที่จะให้มุสลิม ยึดถือสายเชือก เส้นเดียวกับ ท่าน ซึ่งเป็นแนวทางของพระเจ้าที่แท้จริง นั้นก็คือ อัลกุรอาน
ผม ถูกถามปัญหา เช่นเดียว กับที่คุณกำลัง ถาม ผมมา มาเป็นเวลานานนม ไม่ทราบว่า กี่ครั้ง ผมปล่อย ให้ยืดเยื้อมา เพื่อว่า ผมจะ ได้มีโอกาส คุยทัศนะของผม ในเรื่อง อะหะดีษของ บุคอรี ได้ ในแง่ต่างๆ เพื่อ ให้ มุสลิมเรา เข้าใจว่า การมีศรัทธา ต่อพระเจ้าองค์เดียว (เตาฮีด) ที่แท้จริงนั้น จะต้องยอมจำนนตัวเรา ทั้ง กาย ใจ สวามิภักดิ์ ต่อพระประสงค์ของ พระผู้ เป็น เจ้า องค์เดียว เท่านั้น, พระองค์ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้า ของทุกๆ ระบบจักรวาล, พระเจ้าของสากลโลก และพระเจ้าของโลกและมนุษยชาติ ทุกชาติ, ทุกๆเชื้อชาติ และทุกๆภาษา ไม่จำกัดอยู่แต่ เฉพาะ มุสลิมเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะ พระองค์ เป็นผู้ สร้าง สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
การปฏิเสธ ไม่เชื่อพระเจ้า ในการที่พระองค์ ทรงเน้น และย้ำแล้วย้ำอีก ว่า อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์ ที่บรรจุ รายละเอียด และเพรียบ พร้อมไปด้วยข้อ มูล ที่สมบูรณ์ และเป็น แหล่งวิชา แหล่งเดียว ที่ใช้เป็นแนวทาง ในการเรียน การสอน และการ ปฏิบัติศาสนกิจ ในศาสนา ของพระองค์, การปฏิบัติตาม สิ่งที่มนุษย์ ประดิษฐ์ ขึ้นมา ที่เรียกกันว่า อะหะดีษบุคอรี นั้น เป็นการสมอ้างชื่อ ท่านร่อซูล (ซล.) โดยขัดต่อคำสอนและความตั้งใจของท่านที่ สั่งสอน ให้ มุสลิมปฏิบัติตามท่านคือ ยึดถืออัลกุรอานแต่เพียงอย่างเดียว เป็น แนวทางศาสนา
จากซูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟฺ อายะที่ 109-110 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า คำพูดของพระผู้เป็นเจ้าไม่มีสิ้นสุด พระองค์ได้ประทานทุกๆถ้อยคำที่ มนุษย์ต้องการ และดังนั้นเราไม่สมควร ที่จะ หาคำพูดหรือคำกล่าวของผู้ใด แม้แต่ของ ท่านร่อซูล(ซล.) มาเพิ่มเติม หลักการของอิสลาม (บัญญัติ ในอัลกุรอาน), รวมทั้งข้อห้ามและข้ออนุมัติ ที่ไม่ได้ อยู่ในขอบเขต บัญญัติ ของ อัลกุรอาน, ดังนั้นการที่มุสลิมเอาเรื่องบอกเล่าต่างๆ จาก อะหะดีษ มาปฏิบัติ นั้น เป็นการ เพิ่มเติม อัลกุรอานจึงขัดกับ พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นการ สร้างภาคี
ท่านร่อซูล(ซล.) ถุกบัญชาให้ กล่าวไว้อย่างชัดแจ้ง ในซูเราะฮฺ ฟุศศิลัต อายะ6 โดยสั่งให้ ผู้ศรัทธาๆ แต่เพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น และอย่าสร้างภาคี, แม้แต่ตัว ท่านร่อซูล(ซล.) เอง ก็เป็น มนุษย์ ธรรมดา ให้ผู้ศรัทธายึดมั่นโดยตรง ต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น(นั้นก็คือข่าวสาร ของพระเจ้า อัลกุรอาน)
การตั้งคำถามของคุณ ASAN ต่อผมเช่นนั้น เป็นการ ท้าทาย ต่อ บัญญํติของอัลลอฮ์ ที่กล่าวถึง รายละเอียด ต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางสำหรับผู้ศรัทธาที่จะใช้ชีวิตอย่าง สมบูรณ์, ถูกต้อง ตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อจะได้พบกับพระองค์ ในปรโลก อย่างไม่มีความเศร้าเสียใจ (2:62, 5:69) ส่วนพิธีการศาสนกิจดังกล่าว เป็นหน้าที่ของ ผู้ศรัทธาจะต้อง ปฏิบัติเอง ซึ่งท่าน นบีอิบรอฮิม ได้วางรากฐานในการปฏิบัติไว้ให้ และปฏิบัติตกทอดมาชั่วลูกชั่วหลาน จนถึงปัจจุบัน
คำถามของคุณที่ว่า
ผมเองสงสัยอยู่ตลอด ว่า คุณละหมาดอย่างไร คูณจ่ายซะกาตอย่างไร คุณถือศีลอดอย่างไรและประกอบพิธีหัจญอย่างไร ในเมื่ออัลกุรอ่านไม่ได้บอกวิธีปฏิบัติเอาไว้ แล้วคุณก็ไม่ยอมรับหะดิษ คุณพอจะบอกผมได้ไหม ว่า มีโองการใดบอกรายละเอียดถึงวิธีปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ หากคุณไม่ตอบ ก็หมายความว่า คุณเชื่อแต่อัลกุรอ่าน แต่คุณ ไม่ละหมาด ไม่ถือศีลอด ไม่จ่ายซะกาต, ดังนั้น อย่าให้ผมมองเช่นนั้นเลย โปรดชี้แจงให้พี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่เขาทราบหน่อยได้ไหม?
ข้อความที่ว่า
คุณพอจะบอกผมได้ไหม ว่า มีโองการใดบอกรายละเอียดถึงวิธีปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ หากคุณไม่ตอบ ก็หมายความว่า คุณเชื่อแต่อัลกุรอ่าน
คำถามเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้คุณกับผมเรียนรู้อะไรเลย นอกจาก เป็นการชักชวนให้ยุวชนมุสลิมหันเห ออกจาก อัลกุรอาน ทำให้เห็นจริงไปกับ คำถาม, ซึ่งเป็นคำถาม ที่ไม่ตรงกับ หลักการที่แท้จริงของอิสลาม เพราะ หลักปฏิบัติ ต่างๆ ดังกล่าวนั้น เป็นการตกถ่ายทอดกันมาโดยไม่ต้องอาศัย สิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ หรือ ที่เรียกว่า อะหะดีษบุคอรี เลย
การถามเช่นนี้ เป็นการ ชักชวน ให้มุสลิม เฉออกนอกทางไป เทอดทูล สิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเคียงคู่ กับ อัลกุรอาน, คำถามนี้ ครูบาอาจารย์ ที่เชื่อมั่นในสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ นี้ สั่งสอนลูกศิษย์ กันต่อๆมา ให้ใช้ถาม ต่อผู้ที่ไม่ยอมรับ เทอดทูล Idol ชิ้นใหม่ของเขา ซึ่งมีชื่อว่า อะฮะดีษบุคอรี เป็นการสอนที่ผิด และทำลายอิสลามไปโดยไม่รู้ตัว แล้วคุณจะทิ้งอะไรไว้ให้เป็นมรดกของอิสลาม แก่ลูกหลาน
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Wed Aug 24, 2005 1:36 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ok ครับ
เมื่อย้ำมาเรื่อง Breast Feeding หนที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้
พรุ่งนี้จะตอบครับ
อินชาอัลลอฮ
แต่ยังขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ครับว่า
ผมและพี่น้องทุกคน(รึป่าวเอ่ย?) ที่นี่ อยากทราบครับว่าจะละหมาดยังไง
แบบว่า ตามๆกันมา หรือบอกต่อกันมาน่ะ? เขาเรียกว่า หะดีษ ตรงตัวเลยละ เพียงแต่อาจานเลี่ยงที่จะใช้คำนี้ตะหาก หะดีษ แบบนี้นี่แหละที่อิสลามห้ามตาม ผมว่าอาจานต้องรู้ว่า ห้าม จากอายะฮไหน คนชาหลาด อย่างอาจานแมทท์ มีหรือจะไร้ปัญญา?
แล้วในที่สุดวันนี้เราก็ได้รู้แล้วว่า อาจาน ปล่อย ให้ยืดเยื้อ ดึงเกมขนาดนี้ เพียง
.เพื่อว่า ผมจะ ได้มีโอกาส คุยทัศนะของผม ในเรื่อง อะหะดีษของ บุคอรี ได้ ในแง่ต่างๆ
จานครับ
คุยมาเป็นปีแล้ว ยังไม่เห็นเนื้อเห็นหนังเลยครับ
ได้แต่บอกว่าชัดเจน ครบถ้วน สมบูรณ์แบบ
ช่วยแสดงตัวบทหลักฐานให้เห็นเป็นรูปธรรมหน่อยสิครับ
ได้แต่ปรักปรำว่า คำถามอย่างนั้น อย่างนี้ แสดงถึงความไม่ศรัทธา ไม่รู้จริง ไม่เชื่อจริง
. ไหนล่ะครับ หลักฐานของคนศรัทธาจริง รู้แจ้งเห็นจริงที่สามารถนำมาตอบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องได้
อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์ ที่บรรจุ รายละเอียด และเพรียบ พร้อมไปด้วยข้อ มูล ที่สมบูรณ์
อาจานอ้างว่าเชื่ออย่างนั้น พวกเราก็เชื่อเช่นนั้นครับ
แต่ความเข้าใจต่อข้อความที่ว่า สมบูรณ์ นั้นเราต่างกันครับ
สิ่งที่อาจานนำเสนอมาเกือบ 2 ปี ทำให้เข้าใจว่ารวมทั้งรายละเอียดเรื่องละหมาด และอื่นๆ ดังนั้นไหนล่ะครับ อายะฮที่บอกรายละเอียดเรื่อง พิธีกรรมต่างๆ อยู่ตรงไหน ผมหาไม่เจอครับ ผมจึงบอกว่า ไม่มี ในเมื่ออาจานบอกว่า มี ระหว่างเราสองคน ต้องมีคนหนึ่งผิดครับ ตอบได้มั้ยว่า มันเป็นใคร
เจอกันพรุ่งนี้ครับ
Breast Feeding
-------------------------------------
อัลฆุเราะบาอ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Wed Aug 24, 2005 7:32 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
สำหรับเตือนใจคุณAlGhuraba
2:165]
وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبًّا لِّلّهِ وَلَوْ يَرَى الَّذِينَ ظَلَمُواْ إِذْ يَرَوْنَ الْعَذَابَ أَنَّ الْقُوَّةَ لِلّهِ جَمِيعاً وَأَنَّ اللّهَ شَدِيدُ الْعَذَابِ
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
อิลยาส มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 20/04/2005 ตอบ: 279
|
ตอบ: Wed Aug 24, 2005 10:31 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุน MAD ท่าจะคุยกันคนละเรื่อง...หะดีษนั้นจำเปนต้องเอา สายรายนั้นเปนเรื่องศาสนา ใครปฎิเสธซุนนะฮ์ หรือหะดีษเซาะหีหนั้นกาฟิรแน่นอน และบางที่อาจเข้าข่ายกุฟรฺอักบัร จัดอยู่ในประเภท กุฟร ตักซีบด้วย แต่ในบอร์ดนี้เรากะลังคุยเรื่องกฎเกณฑ์ของเรื่องนี้หะดีษศอหีหฺและการตักฟีรไปยังคนหนึ่งคนใดในเรื่องการปฎิเสธหะดีษ นั้นมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใด เพื่อป้องกันการกล่าวหากันว่าเปนกาฟิรอย่างมักง่าย..เพราะว่าคนส่วนมากไม่ถาม และศึกษาต่อ แต่ชอบลอกเลียกคำพูด และเลียบแบบ..
เพราะฉนั้นหากว่าคุน Mad ไม่เอาหะดีษอยู่แร้ว...ก้อคงไม่ต้องคุยในรายละเอียดเรื่องนี้ครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Thu Aug 25, 2005 12:39 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณพอจะบอกผมได้ไหม ว่า มีโองการใดบอกรายละเอียดถึงวิธีปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ หากคุณไม่ตอบ ก็หมายความว่า คุณเชื่อแต่อัลกุรอ่าน
คำถามเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้คุณกับผมเรียนรู้อะไรเลย นอกจาก เป็นการชักชวนให้ยุวชนมุสลิมหันเห ออกจาก อัลกุรอาน ทำให้เห็นจริงไปกับ คำถาม, ซึ่งเป็นคำถาม ที่ไม่ตรงกับ หลักการที่แท้จริงของอิสลาม เพราะ หลักปฏิบัติ ต่างๆ ดังกล่าวนั้น เป็นการตกถ่ายทอดกันมาโดยไม่ต้องอาศัย สิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ หรือ ที่เรียกว่า อะหะดีษบุคอรี เลย
................................
ตอบ
คำถามเช่นนี้ เพื่อให้พี่น้องมุสลิมหยุดหลงงมงาย ต่างหากละครับ เพราะต้องไม่ลืมว่า คำกล่าวปฏิญานประโยคที่สอง นั้น ย่อมควบคู่ไปกับ คำกล่าวปฏิญานประโยคที่ หนึ่งเสมอ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Thu Aug 25, 2005 9:17 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณพี่มาด พี่อิลยาส พี่อาสัญ พี่อัลฆุราบ้า และพี่น้องทั้งหลาย
พี่มาด มีความคิดที่จะไม่เชื่อ ใน อะ ฮาดิษ (แปลว่า ฮาดิษบทหนึ่ง) หมายความว่า อาจจะเชื่อหลายบท :P คือ อย่างนี้ครับ พี่ๆ ที่เชื่อใน อะหะดิษ ทั้งหลาย คำว่า ฮาดิษ ซอเฮี๊ยะฮ์ เนี่ย ในหลักการที่ผมเรียนมาสมัยตาดีกา อะนะครับ หมายถึง อะไรรู้ไม้ครับ มันหนักเชียวละ แต่ก็ ทำให้หัวใจอิ่มเอิบขึ้นมาในทันทีถึงแม้อยากจะร้องให้ก็ตาม ก็คือ ฮาดิษ ซอเฮี๊ยะฮ์ นั้น เมื่อมี การอ่านขึ้นมาที่ใด จงรับรู้ไว้เลยว่า เสมือนหนึ่งท่านนบี กำลังพูดใส่สองหูของเรา (น่าชื่นใจแค่ไหนครับลองคิดดู) การได้ฟังท่านร่อซูลของอัลเลาะฮ์อัซซะวะญัลกำลังพูดอยู่ข้างหูของเรา พี่ๆทั้งหลายเอ๊ย มันสุดยอดจนหาใดเปรียบเลย เคยเป็นอย่างนั้นกันไม้ครับ
ที่พี่มาด ไม่อาจทำใจยอมรับใน อะหะดิษ (พี่เค้าชอบเรียกอย่างนี้ แปลกดีแฮะ ฟังดุออกไปทางอังกิดยังไงก้ไม่รู้นะ สงสัยจบอังกิด เห็นใช้ภาษากันสุดยอดเพ เด๋วรอผมพูดภาษาจีนได้ก่อนเหอะ จะเอามาพูดให้มึนกันไปข้างอิอิ
ผมว่า คงเป้นเพราะ มีฮาดีษ ซอเฮี๊ยะฮ์บทนึง ที่บันทึกโดยท่าน อบูดาวูด ในกิตาบุ้ลญิฮาด ที่ท่านร่อซู้ล กล่าวไว้ (ในทำนองนี้นะครับ) ใครก็ตามที่อยู่ในแผ่นดิน ที่ปกครองโดยกาฟิร แล้วเขา มีความยินดี ที่จะอยู่ภายใต้การปกครองโดยไม่ใช้กฏหมายของอัลเลาะฮ์ ใช้ชีวิตมีความสุขอยู่ในสภาพนั้น แท้จริงเขาไม่ใช่พวกฉัน แม้ว่าเขาจะละหมาด ถือศีลอด ครบถ้วนก็ตาม ( โปรดตรวจสอบฮาดิษนี้อีกทีนะครับ เคยขอให้อาจารย์มุรีดตรวจสอบเป็นเดือนแล้ว ยังไม่เจอ หรือว่าไม่กล้า แปลฮาดิษนี้ก็ไม่ทราบ วั้ลลอฮุอะอ์ลัม)
นั่นหมายถึงใครก็ตามที่มีความเชื่อในฮาดิษซอเฮี๊ยะฮ์ ตอนนี้โดนฮุก่มไม่ใช่พวกนบี (แรงขนาดเป็นกาฟิรเชียว) พี่มาด จึงไม่กล้ายอมรับ อะหะดิษ กลัวโดนฮุก่มจากฮ่าดิษนี้มั้ง
ยังไงก็ฝากถึงพวกพี่อาสั่น พี่อิลยาส น้องน่าตี พี่ยู และพี่อื่นๆช่วยค้นคว้า ฮาดิษนี้ด้วยนะครับ
เพราะเวลา อ่านเจอฮาดิษนี้ทีไร ผมมีความรู้สึกสะเทือนใจทุกที เหมือนนบี กำลังชี้มาที่หน้าแล้วพูดว่าระวังนะ เจ้าจะเป็นพวกฉันหรือพวกกาฟิร อัสตัฆฟิรุ้ลลอฮ์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AbdurRahman มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005 ตอบ: 185
|
ตอบ: Fri Aug 26, 2005 10:04 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ก็ได้ครับพี่อะสันก็ได้ แหม อยากจะเรียก อาสัญนะเนี่ย คือแบบว่าเห็นทำงานเกี่ยวกับ"มรดก"นี่นา ขอบคุณครับที่ช่วยค้นฮาดิษซอเฮี๊ยะฮ์ ให้ แต่ปัญหาคือ มีฮาดิษเดียวหรือปล่าวครับ ที่เกี่ยวข้องกับการญิฮาด ในเรื่องของการอยู่ร่วม หรือภายใต้กฎเกณฑ์ สังคม ความซอเล็มต่างๆที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอทันที หน้าบ้านก็ขายหวยถูกต้องตามกฏหมาย ซ้ายมือก็บ้านมุสลิมขายบุหรี่ฮารามแต่เสียภาษีถูกต้อง เดินออกมาหน่อย คาราโอเกะ ของยีเละ เวรกำของใครเนี่ย อิอิ
หมายเหตุ พี่อะสัน ต้องระวังนะครับ อยู่ร่วมกับพวก มุชริก พี่เริ่มใช้คำพูดตามพวกมันแล้ว ผมต้องขอติงคำว่า โถ..โถ คำนี้มาจากรากศัพท์ คำเต็มว่าพุทโธ นะพี่ ไม่รู้หรือ แกล้งไม่รู้ เดี๋ยวปั้ด+ :P
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Fri Aug 26, 2005 11:38 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ AbdurRahman
ผม ขอชมเชยความรอบคอบของน้องทีเดียว พี่อ่านดูแล้วก็ แปลกใจ ว่า ทำไม อาจารย์ ASAN ใช้ คำอุทานเช่นนั้น แต่ท่านทำไปโดยไม่ตั้งใจ
ผมกำลังรอฟังคำอธิบายจากท่านอาจารย์ ฟารีด และ อาจารย์ASAN เกี่ยวกับกระทู้ ของคุณอิลยาส
ที่ว่า
"ถ้าอาจาร์ยตอบลักษณะนี้อย่างไม่ชัดเจน ผมจำได้ว่า ตัวของชัยคฺเองเคยตั้งคำถามกับนักศึกษาว่า " แล้วท่านจะว่าอย่างไรกับการที่ อิหม่ามอะหฺหมัด บินหัมบัล ไม่รับหะดีษของอิหม่ามบุลคอรีย์ ในเมื่อศ่อหีหฺของอิหม่ามบุคคอรีย์เปนที่ยอมรับในแวววงวิชาการหะดีษ"
ผมเพิ่งทราบว่า การเชื่อฟังท่านร่อซูล(ซล) นั้น มีข้อยกเว้นสำหรับแต่ละบุคคล และใครจะเลือก เชื่อ ซอเฮี๊ยะหะดิษ บทใดก็ได้ ตามใจชอบ แต่ถ้าไม่เชื่อเลย จะเป็น "กาเฟร" ฟังแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ต้องการคำอธิบายในแง่ความรู้ครับ
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|