ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
yah_ya มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 22/12/2004 ตอบ: 12
|
ตอบ: Wed May 04, 2005 10:24 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิครับ..คุณ AlGhuraba
ผมคนนึงล่ะ..ที่ติดตามอ่านกระทู้นี้อยู่...
จากการตอบกระทู้ของคุณเท่าที่ผมติดตาม...
ผมได้รับความรู้ดีๆหลายอย่าง...
อยากให้คุณ AlGhuraba ช่วยนำเสนอต่อเลยนะครับ..
_________________ islam is my life.. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Fri May 13, 2005 6:58 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
วะอะลัยกุมุสสะลาม
คุณ natee : ขอบคุณครับ สำหรับความชื่นชม...แต่คงจะดีกว่านั้นถ้าจะมีคำแนะนำ หรือความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่นำเสนอ ทั้งในแง่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ผมคิดว่า สมาชิกทุกท่านหลังจากอ่านข้อเขียนใดๆก็ตาม ย่อมจะต้องมีการประเมินความคิดเห็นให้แก่ตัวเองว่า ข้อเขียนนั้นๆมีความเป็นจริง น่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถืออย่างไร หรืออาจจะมีทั้งสองอย่างคละปะปนอยู่ด้วยกัน การสะท้อนความรู้สึกนั้นออกมาเล่าสู่กันฟังจะช่วยให้เราสามารถหล่อหลอมแนวคิดหลากหลายให้เป็นไปในทางเดียวกันได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ จะมีใครที่รู้ทุกเรื่องอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปเสียทั้งหมด
ท่านเคาะฎิรเคยบอกกับนบีมูซาว่า
يا موسى إني على علم من علم الله علمنيه لا تعلمه أنت وأنت على علم من علم الله علمكه الله لا أعلمه
มูซาเอ๋ย...ฉันมีความรู้บางอย่างที่อัลลอฮฺทรงสอนฉัน แต่ท่านไม่รู้ และท่านก็มีความรู้บางอย่างที่อัลลอฮฺทรงสอนท่าน แต่ฉันไม่รู้ (บุคอรี)
ในทำนองเดียวกัน สิ่งที่ผมนำมาอาจเป็นอะไรที่พี่น้องบางท่านไม่รู้ แต่ก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างจากท่านอื่นๆที่ผมไม่รู้ และน่าจะเสริมหรือค้านกันได้ในประเด็นต่างๆที่กล่าวมา ซึ่งนั่นจะช่วยให้พวกเราทั้งหมดได้ปรับพื้นความรู้ความเข้าใจให้ดีขึ้น และถูกต้องขึ้น
ผมถือว่า การนิ่งเงียบงันอยู่กับความรู้ที่อัลลอฮฺทรงประทานให้ นั่นเท่ากับกำลังทำตัวเป็นหนึ่งในสัญญาณกิยามะฮฺ เพราะสักวันหนึ่งความรู้นั้นก็จะสูญสลายตายไปพร้อมกับตัวเรา แต่ในมุมกลับ คนโง่ที่ขยัน ขยันนำสิ่งผิดๆจากทรรศนะความคิดเห็นที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺออกไปโฆษณาป่าวประกาศให้ผู้คนหลงเชื่อตามไปด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งในสัญญาณกิยามะฮฺเช่นกัน
ผมไม่อยากเป็นสัญญาณข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนั่น จึงวิงวอนผ่านมายังผู้รู้ทุกท่านว่า โปรดชี้แนะแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาดบกพร่อง และยืนยันรับรองส่วนที่ถูกต้องในข้อเขียนของผมด้วย
ขอยอมรับอย่างเปิดอกว่า ขณะที่เขียนต้นฉบับเหล่านี้ เขียนไป ก็เกร็งไปตลอดเวลา เกรงว่าจะนำเสนอในสิ่งที่ผิด เกรงว่าจะมีส่วนใดบ้างหรือไม่ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปในระหว่างการค้นคว้าหาคำตอบ ครั้นจะเฉยนิ่งอยู่ ก็ทนดูฟาสิกฺมากล่าวบิดเบือนศาสนาของอัลลอฮฺ ทนดูการใส่ร้าย จาบจ้วงล่วงเกินท่านนบีและบรรดาเศาะหาบะฮฺต่อไปไม่ได้ จึงจำเป็นต้องก้าวออกมาคะคานเอาไว้ เท่าที่สติปัญญา ความรู้ความเข้าใจจะอำนวย
ถามว่าผมเป็น ผู้รู้สอนศาสนาหรือเปล่า? ก็คงจะตอบได้ว่า ไม่ใช่ รู้...ก็เพียงเท่าที่รู้ ไม่ถึงขนาดที่จะเป็นครูใครได้ หรือถ้าเป็นจะเป็นครู ก็คงไม่ใช่ครูที่ดีนัก... เนิ่นนานไป อาจเป็นครูที่นักเรียนตีจากก็ได้....เชื่อหรือไม่ ???
สำหรับ Breast Feeding คงต้องรออีกนานพอสมควรนะครับ เพราะมันถูกจัดไว้ในลำดับท้ายๆโน่น ผมไม่อยากข้ามขั้นตอนโดยไม่จำเป็น ถ้าสนใจก็ขอให้อดทนติดตามต่อไปเรื่อยละกัน...อินชาอัลลอฮฺ...คงถึงฝั่งเข้าสักวัน!
คุณ yah_ya : ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ...
ในหนทางอันยาวไกลและเวิ้งว้าง บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทดท้อและผิดหวังเมื่อพบว่ากำลังเดินอยู่เพียงลำพังบนทางเปลี่ยว...แต่ก็ยังไม่ถึงกับถอดใจหรอกครับ
เพื่อนที่รักที่สุดคนหนึ่งเคยกล่าวว่า ยิ้มไว้...แล้วโลกนี้จะสดใสขึ้น
ขอบคุณครับที่มาเป็นเพื่อนร่วมทาง !
-----------------------------
บรรทัดนี้ขอบันทึกไว้เป็นสถิติว่า
อาจานแมทท์...เจ้าของกระทู้...เข้ามาสนทนาครั้งล่าสุด เมื่อ พ. มีค. 30, 2005 9:39 am
และยังมีประเด็นค้างคาอยู่คือ
- หลักฐานเกี่ยวกับจำนวนเวลาละหมาด 5 เวลา
- แรกเริ่มของบัญญัติละหมาด คือในสมัยนบีอิบรอฮีม หรือมีมาก่อนจากนั่น
บัดนี้ 13 พ.ค. 48 เวลาผ่านมาแล้วกว่า 1 เดือน กลับมา...ทั่นคงมีคำตอบมาให้หายข้องใจนะครับ ก่อนที่จะก้าวล่วงไปถึงการเริ่มต้นละหมาด
อินชาอัลลอฮฺ พรุ่งนี้ ผมจะเริ่ม Episode-IV ใครจำได้มั่งว่าเรื่องอะไร ??? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sat May 14, 2005 11:27 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
-------------------------------
MATTISM CONSPIRACY
Episode-4/1 การเล้าโลมภรรยาขณะมีประจำเดือน
(ฅุณแมทท์ใช้คำว่า ปลุกปล้ำ .... คิดได้งัยเนี่ย ) 16309
--------------------------------
ในการศึกษาขบวนการ ของ อะหะดีษ นั้น ไม่ใช่แต่เชื่อ คำบอกเล่า เท่านั้น, แต่เราจะต้อง ใช้ เหตุผล ว่า สิ่ง ที่ เขียน บัน ทึก อยู่ ใน การ รวบ รวม นั้น, เมื่อ พิจารณา เปรียบเทียบ กับบุคลิก ลักษณะ, ความเป็น นักรบ, ผู้ปกครอง, แม่ทัพ, นักปกครอง และ คุณ สมบัติ ประจำตัว ของบุคคล ผู้ ซึ่ง ถูกพระองอัลลอฮ์ ทรง แต่งตั้ง ให้ เป็น ศาสนฑูต ของ พระองค์ นั้น สอดคล้อง กัน หรือ ไม่, พระองค์ อัลลออ์ ทรง บัญญัติ ไว้ ว่า พระองค์ ทรง ส่ง ท่าน รอซูล มา เพื่อ ความ เมตตา กรุณา ต่อ มวล มนุษย์ ชาติ ดังนั้น เรื่อง ราว อะไร ก็ ตาม ที่เป็น เรี่อง บอกเล่า จาก กลุ่ม บุคคล และ ผู้ อื่น ต่อๆ กันมา ที่ขัด กับ คุณลักษณะ ของ ท่าน รอซูล แล้ว เรา จะ ต้อง ใช้ เหตุผล ว่า เรื่อง เล่านั้น จะเป็น ไป ได้ หรือ ไม่ ตัวอย่างเช่น ถ้า มีซอเฮี๊ยะ ฮะดิษ บรรยายว่า เมื่อใดก็ตาม ที่ท่าน รอซูล ต้องการจะกอดเล้าโลม ภรรยาท่าน ขณะมี ประจำเดือน ท่านจะบอกให้ นาง เอา ผ้า พันรอบเอวนาง แล้ว ท่าน ก็กอดรัด ปลุกปล้ำ, และผู้เล่า กล่าวว่า, ท่านควบคุม อารมณ์ ใคร่ ของท่าน ได้ ดีมาก, เรา ลอง มาคิด ดู ว่า เรื่อง นี้ เชื่อ ได้ หรือ ไม่? 1. ท่านรอซูล มีศรัทธา มั่น ต่อพระองค์ อัลลออ์, ถ้า พระองค์ อัลลอฮ์ สั่ง ห้าม สามี เข้า ใกล้ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน ท่าน รอซูล จะไม่ ทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน 2. คุณลักษณะของท่านรอรูลเป็น หลักประกัน ว่า ท่าน จะควบคุมอารมณ์ ท่าน โดยที่ ไม่ เข้า ใกล้ หรือ ปลุกปล้ำ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน เพียง สอง ข้อ นี้ เรา ก็ ต้อง Reject หรือ ไม่ ยอมรับ เรื่อง บอก เล่า เรื่อง นี้ เมื่อ เป็น เช่นนี้ คำว่า ซอเฮี๊ยะ ฮะดีษ จึงไม่ มีความหมาย อะไร เพราะ ว่า โดย เหตุ ผล จากความ ยึดมั่น ต่อ อัลลอฮ์ และ อัลกุรอาน ของ ท่าน รอซูล ก็ เพียง พอ แล้ว ว่า ซอเฮี๊ยะ ฮะดีษ บทนี้ ไม่มีความจริง ตาม ที่ คุณ นพ กล่าวว่า: ในหะดีษมันเป็นประเพณีไม่ใช่บัญญัติศาสนาอิสลาม... ต้องแยกนะระหว่างศาสนากับประเพณี... ที่นบีพูด นบีกระทำมันคือประเพณียุคนั้นนะ... การเชื่อนบีราวกับว่ากุรอานเดินได้เป็นชีริกนะ (Matt : Fri Feb 25, 2005 11:00 pm)
--------------------------------
รู้สึกว่าคิดอะไรออกมาแต่ละอย่างไม่ค่อยพ้นเรื่องพรรค์นี้เลยนะเนี่ย
เหมือนเดิมนะครับ ผมขอเริ่มจากต้องตระเวนหาหะดีษที่จานแมทท์เอามาอ้างให้ได้ก่อน จะได้เคาะห์ถูกว่ามันยังไงกัน (แหม...แต่ดูทั่นแปลดิ .... แสลงความรู้สึกจัง..."ปลุกปล้ำ" เฮ้อ!)
302 حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ بْنُ خَلِيلٍ قَالَ أَخْبَرَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ قَالَ أَخْبَرَنَا أَبُو إِسْحَاقَ هُوَ الشَّيْبَانِيُّ عَنْ عَبْدِالرَّحْمَنِ بْنِ الْأَسْوَدِ عَنْ أَبِيهِ عَنْ عَائِشَةَ قَالَتْ كَانَتْ إِحْدَانَا إِذَا كَانَتْ حَائِضًا فَأَرَادَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ يُبَاشِرَهَا أَمَرَهَا أَنْ تَتَّزِرَ فِي فَوْرِ حَيْضَتِهَا ثُمَّ يُبَاشِرُهَا قَالَتْ وَأَيُّكُمْ يَمْلِكُ إِرْبَهُ كَمَا كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَمْلِكُ إِرْبَهُ تَابَعَهُ خَالِدٌ وَجَرِيرٌ عَنِ الشَّيْبَانِيِّ (البخاري : الحيض)
ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวว่า คนใดคนหนึ่งในพวกเรา(บรรดาภรรยาของท่านนบี)เมื่อมีรอบเดือน แล้วท่านรอซูล ต้องการจะเคล้าคลอนาง ท่านจะบอกให้นางนุ่งผ้าปิดส่วนที่มีรอบเดือนของนาง แล้วท่านจึงจะเคล้าคลอนาง ท่านหญิงอาอิชะฮฺบอกว่า คนใดในพวกท่านบ้างเล่าที่จะควบคุมอารมณ์ความต้องการได้เหมือนที่ท่านนบีควบคุมอารมณ์ความต้องการของท่าน (บุคอรี : อัลหัยฎ์)
303 حَدَّثَنَا أَبُو النُّعْمَانِ قَالَ حَدَّثَنَا عَبْدُالْوَاحِدِ قَالَ حَدَّثَنَا الشَّيْبَانِيُّ قَالَ حَدَّثَنَا عَبْدُاللهِ بْنُ شَدَّادٍ قَالَ سَمِعْتُ مَيْمُونَةَ تَقُولُ كَانَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا أَرَادَ أَنْ يُبَاشِرَ امْرَأَةً مِنْ نِسَائِهِ أَمَرَهَا فَاتَّزَرَتْ وَهِيَ حَائِضٌ وَرَوَاهُ سُفْيَانُ عَنِ الشَّيْبَانِيِّ (البخاري : الحيض )
ท่านหญิงมัยมูนะฮฺกล่าวว่า ท่านรอซูลนั้น เมื่อท่านต้องการจะเคล้าคลอนางใดจากบรรดาภรรยาของท่าน ท่านจะสั่งให้นางนุ่งผ้า(ท่อนล่าง)ขณะที่นางมีรอบเดือน (บุคอรี : อัลหัยฎ์)
2031 حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ يُوسُفَ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنْ مَنْصُورٍ عَنْ إِبْرَاهِيمَ عَنِ الْأَسْوَدِ عَنْ عَائِشَةَ رَضِي الله عَنْهَا قَالَتْ كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُبَاشِرُنِي وَأَنَا حَائِضٌ وَكَانَ يُخْرِجُ رَأْسَهُ مِنَ الْمَسْجِدِ وَهُوَ مُعْتَكِفٌ فَأَغْسِلُهُ وَأَنَا حَائِضٌ (الاعتكاف)
ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวว่า ท่านนบี เคยเคล้าคลอฉันขณะที่ฉันมีรอบเดือน และท่านก็เคยยื่นศีรษะออกมาจากมัสญิดขณะที่ท่านเอียะอฺติกาฟอยู่เพื่อให้ฉันสระผมให้โดยที่ฉันมีรอบเดือนอยู่ (บุคอรี : อัลเอียะอฺติกาฟ)
233 حَدَّثَنَا يَزِيدُ بْنُ خَالِدِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَوْهَبٍ الرَّمْلِيُّ حَدَّثَنَا اللَّيْثُ بْنُ سَعْدٍ عَنِ ابْنِ شِهَابٍ عَنْ حَبِيبٍ مَوْلَى عُرْوَةَ عَنْ نُدْبَةَ مَوْلَاةِ مَيْمُونَةَ عَنْ مَيْمُونَةَ أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يُبَاشِرُ الْمَرْأَةَ مِنْ نِسَائِهِ وَهِيَ حَائِضٌ إِذَا كَانَ عَلَيْهَا إِزَارٌ إِلَى أَنْصَافِ الْفَخِذَيْنِ أَوِ الرُّكْبَتَيْنِ تَحْتَجِزُ بِهِ (أبوداود : الطهارة)
ท่านหญิงมัยมูนะฮฺกล่าวว่า ท่านรอซูล เคยเคล้าคลอนางหนึ่งจากบรรดาภรรยาของท่านขณะที่นางมีรอบเดือน โดยนางสวมผ้านุ่งปิดไว้ถึงครึ่งต้นขา (หรือหัวเข่า ในบางรายงาน) กระชับไว้เป็นพิเศษ (อบูดาวูด : อัฏเฏาะฮาเราะฮฺ)
1927 حَدَّثَنَا سُلَيْمَانُ بْنُ حَرْبٍ قَالَ عَنْ شُعْبَةَ عَنِ الْحَكَمِ عَنْ إِبْرَاهِيمَ عَنِ الْأَسْوَدِ عَنْ عَائِشَةَ رَضِي الله عَنْهَا قَالَتْ كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُقَبِّلُ وَيُبَاشِرُ وَهُوَ صَائِمٌ وَكَانَ أَمْلَكَكُمْ لِإِرْبِهِ وَقَالَ قَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ ( مَآرِبُ ) حَاجَةٌ قَالَ طَاوُسٌ ( غَيْرِ أُولِي الْإِرْبَةِ ) الْأَحْمَقُ لَا حَاجَةَ لَهُ فِي النِّسَاءِ (البخاري : الصوم)
ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวว่า ท่านนบีเคยจูบและเคล้าคลอ(ภรรยา)ขณะที่ท่านถือศีลอด และท่านเป็นผู้ที่ควบคุมอารมณ์ความต้องการได้ดีเยี่ยมในหมู่พวกท่าน (บุคอรี : อัศเศาม์)
1857 و حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى حَدَّثَنَا أَبُو عَاصِمٍ قَالَ سَمِعْتُ ابْنَ عَوْنٍ عَنْ إِبْرَاهِيمَ عَنِ الْأَسْوَدِ قَالَ انْطَلَقْتُ أَنَا وَمَسْرُوقٌ إِلَى عَائِشَةَ رَضِي الله عَنْهَا فَقُلْنَا لَهَا أَكَانَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُبَاشِرُ وَهُوَ صَائِمٌ قَالَتْ نَعَمْ وَلَكِنَّهُ كَانَ أَمْلَكَكُمْ لِإِرْبِهِ أَوْ مِنْ أَمْلَكِكُمْ لِإِرْبِهِ شَكَّ أَبُو عَاصِمٍ و حَدَّثَنِيهِ يَعْقُوبُ الدَّوْرَقِيُّ حَدَّثَنَا إِسْمَعِيلُ عَنِ ابْنِ عَوْنٍ عَنْ إِبْرَاهِيمَ عَنِ الْأَسْوَدِ وَمَسْرُوقٍ أَنَّهُمَا دَخَلَا عَلَى أُمِّ الْمُؤْمِنِينَ لِيَسْأَلَانِهَا فَذَكَرَ نَحْوَهُ (مسلم : الصيام)
อัลอัสวัด กับมัสรูกไปถามท่านหญิงอฺาอิชะฮฺว่า "ท่านรอซูล เคยเคล้าคลอ(ภรรยา)ขณะที่ถือศีลอดอยู่หรือไม่?" นางตอบว่า "เคย แต่ว่าท่านเป็นผู้ที่ควบคุมอารมณ์ความต้องการของท่านได้ดียิ่งทีเดียวในพวกท่าน(หรือเป็นผู้หนึ่งที่ควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่งในพวกท่าน)" (มุสลิม : อัศศิยาม)
ที่ จานแมทท์ ทั่นอ้างมาเป็นเรื่องการปลุกปล้ำ( ว้า.... อ่านเมื่อไหร่ก็แสลงใจทุกที ) ภรรยาตอนมีรอบเดือน แต่ที่ผมไปค้นมาให้นี่มีหลายรายงานรวมๆกัน ซึ่งครอบคลุมไปถึงขณะที่กำลังถือศีลอดด้วย ก่อนอื่นคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ที่จานทั่นใส่ฟืนให้มันดูตื่นเต้นระทึกใจจนกลายเป็นการปลุกปล้ำน่ะ แท้ที่จริงแล้วภาษาอรับเขาใช้คำว่า "ยุบาชิร - يُبَاشِرُ" ก็คือเรื่องที่สามี-ภรรยาแสดงความรักต่อกันทางสัมผัส จะอะไร ยังไง แค่ไหน มันก็เรื่องของสามีภรรยานั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่ถึงขั้นร่วมเพศ ผมอ่านแล้วก็แปลกใจจริงๆ จานแมทท์ทั่นพูดเองแท้ๆว่า "เราจะต้อง ใช้ เหตุผล ว่า สิ่ง ที่ เขียน บัน ทึก อยู่ ใน การ รวบ รวม นั้น, เมื่อ พิจารณา เปรียบเทียบ กับบุคลิก ลักษณะ, ความเป็น นักรบ, ผู้ปกครอง, แม่ทัพ, นักปกครอง และ คุณ สมบัติ ประจำตัว ของบุคคล ผู้ ซึ่ง ถูกพระองอัลลอฮ์ ทรง แต่งตั้ง ให้ เป็น ศาสนฑูต ของ พระองค์ นั้น สอดคล้อง กัน หรือ ไม่" แต่ก็ดูเหมือน จานแมทท์จะพยายามอย่างสุดตัวที่จะทำให้รายงานเหล่านี้ "ขัดหูขัดตา" มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คำคำหนึ่งในภาษาอรับอาจจะมีคำแปลได้เป็นสิบเป็นร้อยในภาษาอื่น รวมทั้งในภาษาไทย ซึ่งการหยิบเอาความหมายใดความหมายหนึ่งขึ้นมาใช้ มันมีผลกระทบอย่างมากต่อความรู้สึกของผู้อ่าน เช่นคำว่า "ปลุกปล้ำ" ที่ทั่นจานพยายามยัดเยียดพฤติกรรมนี้ให้แก่ท่านนบี .... นะอูซุบิลลาฮฺ
จำได้มั้ยครับที่ผมเคยนำหะดีษที่ท่านนบีสอนถึงจรรยามารยาทระหว่างสามีภรรยาว่าจะต้องมีความสุภาพ งดงาม และนุ่มนวลละมุนละไมเพียงใด ซึ่งตัวท่านนบีเองเป็นแม่แบบที่ดีที่สุดแห่งจรรยามารยาทข้อนี้ หรืออาจเป็นเพราะจานแมทท์ทั่นไม่เคยใช้ ทั่นจึงนึกได้แต่คำว่า ปลุกปล้ำ ตามที่ทั่นถนัด แต่จะอย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายขั้นสุดยอดของทั่นก็คือ discredit ท่านนบีให้เสียหายมากที่สุดเท่านั้น
//////////////////////////
พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกันใหม่ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sun May 15, 2005 10:21 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
-------------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY Episode-4/2
--------------------------------------------------------------
ในการทำความเข้าใจหะดีษเหล่านี้ ขอให้เรามาอ่านอายะฮฺหนึ่งจากอัลกุรอานกันก่อนครับ อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ
โดยแน่นอนยิ่งในรอซูลของอัลลอฮฺนั้นมีแบบอย่างอันดีงามสำหรับพวกท่าน (33:21)
ด้วยความพยายามที่จะมุ่งหาแบบอย่างอันงดงามนั่นแหละ อัลอัสวัด กับมัสรูกฺถึงไปขอความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ มิใช่ด้วยเจตนาจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของท่านนบี และที่นางตอบอย่างตรงไปตรงมาก็มิใช่การเอาเรื่องลับเฉพาะระหว่างสามีภรรยามาเปิดเผยต่อสาธารณชน แต่สิ่งเหล่านั้นคือแบบอย่างแนวทางแก่ปวงผู้ศรัทธา เป็นขอบเขต เป็นขีดคั่นระหว่างหะลาลกับหะรอม เป็นความเมตตาที่อัลลอฮฺทรงเอื้ออำนวยแก่ปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์และพระองค์ก็ได้ทรงประสิทธิ์ประสาทอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการในเรื่องต่างๆมาให้แก่มนุษย์ด้วย พร้อมกับทรงกำหนดขอบเขตแห่งความพอเหมาะพอควรมาให้ด้วย ซึ่งแน่นอนที่สุด พระองค์ทรงตระหนักดีว่าบ่าวของพระองค์ที่เรียกว่า "มนุษย์" นี้ มีความสามารถแค่ไหนเพียงใดในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการนั้นๆ ความรู้สึกเหล่านี้ของมนุษย์ต่างกันอย่างลิบลับกับมลาอิกะฮฺ
قُل لَّوْ كَانَ فِي الأَرْضِ مَلآئِكَةٌ يَمْشُونَ مُطْمَئِنِّينَ لَنَزَّلْنَا عَلَيْهِم مِّنَ السَّمَاء مَلَكًا رَّسُولاً
จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)มาตรว่าในแผ่นดินนี้มีมลาอิกะฮฺสัญจรอยู่อย่างสงบ(ใช้ชีวิตอยู่อย่างคนทั่วไป)แล้วไซร้ แน่นอนเราก็จะส่งมะลักหนึ่งจากฟากฟ้ามาเป็นรอซูลให้แก่พวกเขา (17:95)
มนุษย์ ไม่เหมือนมลาอิกะฮฺ เพราะมนุษย์มีอารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ มีทั้งชนิดที่เลยเถิดและหย่อนยาน ดังนั้นรอซูลที่จะเป็นมาบอก มาสอน มาชี้แจง มาเป็นตัวอย่างและต้นแบบแห่งความพอเหมาะพอดีสำหรับมนุษย์ก็คือ มนุษย์ธรรมดาด้วยกันนั่นเอง ความพอเหมาะพอดีดังกล่าวนั้นมิใช่ว่าใครจะนึกจะคิด จะวางกำหนดกฎเกณฑ์เอาเองตามอำเภอใจว่า ฉันว่าอย่างนั้นดี ฉันว่าอย่างนี้เลยเถิด เพราะฉันคิดเองเป็น หามิได้! แต่....
ดี... คือดีตามที่อัลลอฮฺทรงกำหนด
ชั่ว...คือชั่วตามที่อัลลอฮฺทรงกำหนด
ความพอเหมาะพอดี.... คือตามที่ท่านนบีมาปฏิบัติให้ดูเป็นแบบอย่าง
แน่นอน อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
وَيَسْأَلُونَكَ عَنِ الْمَحِيضِ قُلْ هُوَ أَذًى فَاعْتَزِلُواْ النِّسَاء فِي الْمَحِيضِ
وَلاَ تَقْرَبُوهُنَّ حَتَّىَ يَطْهُرْنَ فَإِذَا تَطَهَّرْنَ فَأْتُوهُنَّ مِنْ حَيْثُ أَمَرَكُمُ اللهُ {222}
และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับประจำเดือน จงกล่าวเถิด มันเป็นสิ่งให้โทษ ดังนั้นพวกท่านจงอยู่ห่างจากหญิงขณะมีประจำเดือน และจงอย่าเพิ่งเข้าใกล้นางจนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนางได้ชำระร่างกายจนสะอาด(หลังจากหมดประจำเดือน)แล้ว ก็จงมาหานางตามที่อัลลอฮฺทรงใช้พวกท่าน (2:222)
สิ่งที่จานแมทท์ต้องการคือ .... ถ้า พระองค์ อัลลอฮ์ สั่ง ห้าม สามี เข้า ใกล้ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน ท่าน รอซูล จะไม่ ทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน (Matt : Fri Feb 25, 2005 11:00 pm)
ถ้าจะว่ากันตามตัวอักษรละก้อ... ต้องยอมจานแกละครับ เพราะกุรอานบอกว่า فَاعْتَزِلُواْ النِّسَاء ให้ผู้หญิงแยกไปอยู่ต่างหากลำพังเลย นอกจากนี้ยัง وَلاَ تَقْرَبُوهُنَّ ห้ามสามีเข้าใกล้ด้วยซ้ำ แต่ถามว่าที่จริงแล้วอิสลามสอนเช่นนั้นหรือ? จะให้ทำกันขนาดนั้นได้ลงคอเชียวหรือ ราวกับว่าในช่วงนั้นผู้หญิงกลายเป็นสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจจนต้องเอาไปเก็บไว้ในเขตกักกันก็ไม่ปาน ?!?!?
/////////////////////////// |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon May 16, 2005 10:21 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
-----------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY Episode-4/3
----------------------------------------------------
ทราบหรือไม่ว่า พฤติกรรมเช่นว่านั้นนั่นคือการเรียกร้องให้ถอยหลังกลับไปสู่ญาฮิลียะฮฺ เพราะในยุคก่อนท่านนบีมุฮัมมัด พวกยิวถึงกับไม่ยอมกินร่วมกัน ไม่อยู่ร่วมชายคาบ้านเดียวกับหญิงที่มีรอบเดือนเลยทีเดียว
455 و حَدَّثَنِي زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ حَدَّثَنَا ثَابِتٌ عَنْ أَنَسٍ أَنَّ الْيَهُودَ كَانُوا إِذَا حَاضَتِ الْمَرْأَةُ فِيهِمْ لَمْ يُؤَاكِلُوهَا وَلَمْ يُجَامِعُوهُنَّ فِي الْبُيُوتِ فَسَأَلَ أَصْحَابُ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَنْزَلَ اللهُ تَعَالَى ( وَيَسْأَلُونَكَ عَنِ الْمَحِيضِ قُلْ هُوَ أَذًى فَاعْتَزِلُوا النِّسَاءَ فِي الْمَحِيضِ ) إِلَى آخِرِ الْآيَةِ فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ اصْنَعُوا كُلَّ شَيْءٍ إِلَّا النِّكَاحَ فَبَلَغَ ذَلِكَ الْيَهُودَ فَقَالُوا مَا يُرِيدُ هَذَا الرَّجُلُ أَنْ يَدَعَ مِنْ أَمْرِنَا شَيْئًا إِلَّا خَالَفَنَا فِيهِ فَجَاءَ أُسَيْدُ بْنُ حُضَيْرٍ وَعَبَّادُ بْنُ بِشْرٍ فَقَالَا يَا رَسُولَ اللهِ إِنَّ الْيَهُودَ تَقُولُ كَذَا وَكَذَا فَلَا نُجَامِعُهُنَّ فَتَغَيَّرَ وَجْهُ رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حَتَّى ظَنَنَّا أَنْ قَدْ وَجَدَ عَلَيْهِمَا فَخَرَجَا فَاسْتَقْبَلَهُمَا هَدِيَّةٌ مِنْ لَبَنٍ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَرْسَلَ فِي آثَارِهِمَا فَسَقَاهُمَا فَعَرَفَا أَنْ لَمْ يَجِدْ عَلَيْهِمَا (مسلم : الحيض)
อะนัสเล่าว่า พวกยิวนั้น เวลาผู้หญิงของพวกเขามีรอบเดือน พวกเขาจะไม่ยอมกินร่วมกับนาง ไม่อยู่ร่วมบ้านเดียวกับนาง บรรดาเศาะหาบะฮฺได้ถามท่านนบีถึงเรื่องนี้ อัลลอฮฺจึงทรงประทานอายะฮฺลงมาว่า "และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับประจำเดือน จงกล่าวเถิด มันเป็นสิ่งให้โทษ ดังนั้นพวกท่านจงอยู่ห่างจากหญิงขณะมีประจำเดือน.... " (จนจบอายะฮฺ) ท่านรอซูล อธิบายว่า "พวกท่านจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้น นิกาห์" พอคำสอนของท่านนบีนี้รู้ไปถึงพวกยิว พวกมันก็กล่าวว่า "ที่นายคนนี้ไม่เอาอย่างพวกเรานั้นไม่ใช่อะไรอื่นเลย นอกจากเขาต้องการที่จะทำให้มันขัดแย้งกับพวกเราชัดๆ"
อุสัยด์ บินหุฎ็อยร์ กับอับบาด บินบิชร์ ก็มาหาท่านนบีเพื่อถามว่า "ท่านรอซูลครับ พวกยิวมันว่าอย่างนี้ๆแล้ว เพราะฉะนั้น เราน่าจะไม่อยู่ร่วมกับผู้หญิง(ในช่วงมีรอบเดือน อย่างพวกเขา)ด้วยนะครับ?" ทำให้ท่านรอซูลมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีจนทั้งสองคนนั่นคิดว่าท่านคงเคืองเขาทั้งสองเสียแล้ว พวกเขาจึงจากออกไป ก็บังเอิญไปรับนมซึ่งเป็นของกำนัลที่มีคนฝากมาให้ท่านนบี ท่านได้ให้ตามตัวทั้งสองคนนั้นกลับมาอีก และให้พวกเขาดื่มนมนั้นด้วย นั่นแหละเขาจึงรู้ว่าท่านไม่ได้เคือง (มุสลิม : อัลหัยฎ์)
ในหะดีษนี้ ท่านนบีบอกว่าในช่วงภรรยามีรอบเดือนนั้นจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้น "นิกาห์" .... อ้าว...ก็จะมาเป็นสามีภรรยากันได้มันก็ต้องนิกาห์กันมาก่อนแล้วนี่ ทำไมตรงนี้มาบอกว่าห้ามนิกาห์อีก ??? ....ครับ นิกาห์ ตัวนี้ไม่ได้แปลว่าพิธีแต่งงานแล้วละครับ แต่แปลว่า ญิมาอฺ การร่วมเพศ
เห็นมั้ยครับ พวกยิวต่างหากที่สอนว่าให้แยกผู้หญิงไว้ต่างหากอย่าเข้าใกล้ขณะนางมีรอบเดือน แต่นี่ จานแมทท์กำลังจะแปลอายะฮฺเอาใจพวกยิวหรืออย่างไร จึงโมเมสรุปด้วนๆเอาเองว่า ถ้านบีศรัทธาต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริงแล้วจะต้องทำแบบพวกยิวด้วย
"ท่านรอซูล มีศรัทธา มั่น ต่อพระองค์ อัลลออ์, ถ้า พระองค์ อัลลอฮ์ สั่ง ห้าม สามี เข้า ใกล้ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน ท่าน รอซูล จะไม่ ทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน" (Matt : Fri Feb 25, 2005 11:00 pm)
แต่ที่จริงแล้ว มันตรงกันข้าม ความที่ว่า "จงอยู่ห่างจากหญิงขณะมีประจำเดือน" และ "จงอย่าเพิ่งเข้าใกล้นาง" นั้น มิใช่เพราะว่านางมีมลทินจนต้องแยกอยู่ต่างหาก แต่นั่นหมายถึง อย่าทำการร่วมเพศกันเท่านั้น ในหะดีษที่อ้างข้างต้นก็บอกว่า ท่านนบีให้ภรรยาช่วยทำโน่นทำนี่ให้ขณะที่นางมีรอบเดือน จนบางครั้งภรรยาท่านก็แปลกใจว่าจะทำได้หรือเพราะธรรมเนียมปฏิบัติในสมัยนั้นมักจะทำตามคติของยิวที่ถือว่าผู้หญิงขณะมีรอบเดือนนั้นมีมลทินและน่ารังเกียจ แต่ท่านนบีได้ลบล้างความเชื่อความเข้าใจผิดๆเช่นนั้นโดยสิ้นเชิง ในบางหะดีษท่านนบีตอบว่า "ก็เลือดประจำเดือนไม่ได้อยู่ที่มือเธอนี่" เพราะฉะนั้นการที่ภรรยาจะทำอะไรให้สามีจึงไม่ถือเป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด และในทำนองเดียวกัน การที่สามีจะหาความสุขกับภรรยาก็ย่อมไม่เสียหายด้วยตราบเท่าที่มันไม่ไปยุ่งเกี่ยว "ตรงนั้น" นั่นคือเหตุผลที่ในหะดีษบอกว่าท่านนบีให้ภรรยาสวมผ้าปิดส่วนล่างไว้ อิซาร ก็คือ ผ้านุ่ง ผ้าถุง หรืออะไรก็ตามที่ใช้นุ่งปิดท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมา ดังนั้นนัยยะของหะดีษคือ ต้องการบ่งบอกให้รู้ว่า "ตรงนั้น" น่ะ ให้ปิดเป็นพิเศษ ให้กระชับ ให้รัดกุม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ อาจจะเพื่อกันเปื้อน กันเลอะ กันซึม หรือ กันลืม-กันเผลอ ก็ตาม ให้ระวังส่วนนั้นเป็นพิเศษ
114 حَدَّثَنِي يَحْيَى عَنْ مَالِك عَنْ زَيْدِ بْنِ أَسْلَمَ أَنَّ رَجُلًا سَأَلَ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ مَا يَحِلُّ لِي مِنِ امْرَأَتِي وَهِيَ حَائِضٌ فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِتَشُدَّ عَلَيْهَا إِزَارَهَا ثُمَّ شَأْنَكَ بِأَعْلَاهَا (مالك : الطهارة)
ซัยด์ บินอัสลัม เล่าว่า ชายคนหนึ่งมาถามท่านรอซูล ว่า "ฉันทำอะไรได้บ้างกับภรรยาของฉันขณะที่นางมีรอบเดือน" ท่านรอซูล ตอบว่า "ท่านจงกระชับผ้านุ่งของนางให้รัดกุม แล้วจากนั้นก็เป็นเรื่องของท่านกับส่วนบนของนาง" (มาลิก : อัฎเฎาะฮาเราะฮฺ)
115 و حَدَّثَنِي عَنْ مَالِك عَنْ رَبِيعَةَ بْنِ أَبِي عَبْدِ الرَّحْمَنِ أَنَّ عَائِشَةَ زَوْجَ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَتْ مُضْطَجِعَةً مَعَ رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي ثَوْبٍ وَاحِدٍ وَأَنَّهَا قَدْ وَثَبَتْ وَثْبَةً شَدِيدَةً فَقَالَ لَهَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَا لَكِ لَعَلَّكِ نَفِسْتِ يَعْنِي الْحَيْضَةَ فَقَالَتْ نَعَمْ قَالَ شُدِّي عَلَى نَفْسِكِ إِزَارَكِ ثُمَّ عُودِي إِلَى مَضْجَعِكِ (مالك : الطهارة)
ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านหญิงอาอิชะฮฺนอนอยู่กับท่านรอซูลในผ้าห่มผืนเดียวกัน นางก็ผลุนผลันกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว ท่านรอซูล ถามว่า "เกิดอะไรขึ้น เธอมีเลือด(หมายถึงมีรอบเดือน)หรือ?" นางตอบว่า "ใช่ค่ะ" ท่านกล่าวว่า "กระชับผ้านุ่งของเธอให้ดี แล้วก็กลับมานอนที่เถอะ" (มาลิก : อัฎเฎาะฮาเราะฮฺ)
ตรงนี้กรุณาอย่าไปคิดอะไรลึกล้ำนักว่า ตอนนี้ปิด แล้วตอนไหนเปิด อะไร อย่างไร ฯลฯ นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องสืบสาว อย่าไปละลาบละล้วงขนาดนั้น จรรยาอีกประการหนึ่งที่ท่านนบีสอนไว้ก็คือ....
1911 حَدَّثَنَا إِسْحَقُ بْنُ وَهْبٍ الْوَاسِطِيُّ حَدَّثَنَا الْوَلِيدُ بْنُ الْقَاسِمِ الْهَمْدَانِيُّ حَدَّثَنَا الْأَحْوَصُ بْنُ حَكِيمٍ عَنْ أَبِيهِ وَرَاشِدُ ابْنُ سَعْدٍ وَعَبْدُ الْأَعْلَى بْنُ عَدِيٍّ عَنْ عُتْبَةَ بْنِ عَبْدٍ السُّلَمِيِّ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا أَتَى أَحَدُكُمْ أَهْلَهُ فَلْيَسْتَتِرْ وَلَا يَتَجَرَّدْ تَجَرُّدَ الْعَيْرَيْنِ (ابن ماجه : النكاح)
อุตบะฮฺ บินอับดิสสุละมี เล่าว่า ท่านรอซูล สอนว่า "เมื่อคนใดในพวกท่านเข้าหาภรรยาของเขาก็จงคลุมกายไว้ด้วย อย่าได้ล่อนจ้อนเหมือนลาที่เปลือยเปล่า" (อิบนิมาญะฮฺ : อันนิกาห์)
////////////////////////// |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Tue May 17, 2005 9:41 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
-------------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-4/4
-------------------------------------------------------------
ดังนั้นจากเหตุผลในการ reject หะดีษข้อแรกของจากแมทท์....
1. ท่านรอซูล มีศรัทธา มั่น ต่อพระองค์ อัลลออ์, ถ้า พระองค์ อัลลอฮ์ สั่ง ห้าม สามี เข้า ใกล้ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน ท่าน รอซูล จะไม่ ทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน (Matt : Fri Feb 25, 2005 11:00 pm)
จึงได้คำตอบว่า อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามหวงบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ในอันที่จะหาความสุขกับภรรยาแม้ขณะที่นางมีรอบเดือน เพียงแต่ว่าในระยะนั้นมันต้องมีขอบเขตว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ขอบเขตที่ว่านี้ก็คือตามที่ท่านนบีได้ปฏิบัติต่อภรรยาของท่าน ทั้งนี้เพื่อเป็นการผ่อนคลายให้แก่สามีได้ในระดับหนึ่ง จานแมทท์ทั่นก็บอกเองอยู่โต้งๆว่า.... พระองค์ อัลลออ์ ทรง บัญญัติ ไว้ ว่า พระองค์ ทรง ส่ง ท่าน รอซูล มา เพื่อ ความ เมตตา กรุณา ต่อ มวล มนุษย์ ชาติ (Matt : Fri Feb 25, 2005 11:00 pm)
ทำไมจึงมาโฆษณาชวนเชื่อให้ปฏิเสธพระเมตตานั้นเสียเล่า?
และถ้ามองจากมุมของฝ่ายภรรยา การที่สามีมาคลอเคลียพะเน้าพะนอเช่นนั้นจะยิ่งเป็นการกระชับสัมพันธ์ระหว่างชีวิตคู่ด้วยซ้ำ เพราะนางจะได้ไม่เกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกทอดทิ้งหรือไร้ค่าเข้ามาถมทับความรู้สึกหงุดหงิดที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากภาวะการมีรอบเดือนตามธรรมชาติของผู้หญิง
2. คุณลักษณะของท่านรอรูลเป็น หลักประกัน ว่า ท่าน จะควบคุมอารมณ์ ท่าน โดยที่ ไม่ เข้า ใกล้ หรือ ปลุกปล้ำ ภรรยา ขณะ มีประจำเดือน (Matt : Fri Feb 25, 2005 11:00 pm)
คำตอบก็คือ ท่านนบีเป็นมนุษย์สามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงคัดเลือกให้มาทำหน้าที่บอก สอน ชี้แจง และปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างแก่มนุษย์ด้วยกันในขอบเขตและวิสัยที่มนุษย์จะกระทำได้ ซึ่งสิ่งที่ท่านนบีกระทำนั่นคือข้อยืนยันว่านี่เป็นคำสอนที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ มิใช่เป็นเพียงทฤษฎีเพ้อฝันที่เป็นไปไม่ได้เช่นคำสอนในแนวนักพรตนักบวชต่างๆที่จะต้องปิดกั้นความรู้สึก อารมณ์ และความต้องการในด้านนี้โดยสิ้นเชิงด้วยการไม่ข้องแวะใดๆเลยกับสตรีเพศ
อัลลอฮุอักบัร.... นี่คือพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่จานแมทท์ปฏิเสธ
///////////////////// END OF EPISODE-IV //////////////////////// |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Wed May 18, 2005 12:27 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ติดตามอ่านคำ อธิบาย คำตอบ ของผูรู้ ท่านนี้ มา เป็นเวลา พอสมควร แล้ว แต่ คิดว่า จะปล่อย ให้ ท่านผู้นี้ ชักจูง มุสลิมให้หลง ทาง ไปจาก ทาง ของ อัลลอฮ์ ลึกไปกว่านี้ ไม่ได้ แล้ว จึง อยากจะ เตือนสติ บางท่าน ที่ นั่ง อามีน กัน โดยไม่ ลืม หู ลืม ตา ว่า ตาม ที่ คุณ อัลฆุเราะบาอ์ ชัก แม่ น้ำ ทั้ง 5 มาเล่า ให้ ฟังนั้น แม้ แต่ ตัว คุณ อัลฆุเราะบาอ์ ท่าน ก็ไม่แน่ใจ ว่า ที่ท่านอธิบายมานั้น ถูกต้อง หรือไม่? เพราะ ท่าน คอย ถามอยู่ เรื่อย ๆ เช่น
.
ขอยอมรับอย่างเปิดอกว่า ขณะที่เขียนต้นฉบับเหล่านี้ เขียนไป ก็เกร็งไปตลอดเวลา เกรง ว่าจะนำเสนอในสิ่งที่ผิด เกรงว่าจะมีส่วนใดบ้างหรือไม่ที่เข้าใจคลาด เคลื่อนไปใน ระหว่าง การค้นคว้าหาคำตอบ ครั้นจะเฉยนิ่งอยู่ ก็ทนดูฟาสิกฺมากล่าวบิดเบือนศาสนาของอัลลอฮฺ ทนดูการใส่ร้าย จาบจ้วงล่วงเกินท่านนบีและบรรดาเศาะหาบะฮฺต่อไปไม่ได้ จึงจำเป็น ต้อง ก้าวออกมาคะคานเอาไว้ เท่าที่สติปัญญา ความรู้ความเข้าใจจะอำนวย
ผมอยากจะตอบให้คุณ อัลฆุเราะบาอ์ เข้าใจไดทันที ว่า, ฟาสิกฺ ที่กล่าวบิดเบือน ศาสนา ของอัลลอฮฺ และทำการใส่ร้าย จาบจ้วงล่วงเกินท่านนบี นั้น ก็คือ บุคอรีและ มุสลิม และ อื่นๆ ที่ เขียน เรื่องราว ที่บัดสี เกี่ยว กับ ทางเพศ โดย อ้าง ว่า เคย ได้ ยิน ท่าน รอซูล กล่าวไว้ และปฏิบัติ ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน รวมทั้งตัว คุณ อัลฆุเราะบาอ์ และ ผู้รู้ ที่เชื่อ เรื่อง เหลว ไหล เช่นนี้ ด้วย และอีกประการหนึ่ง บรรดาเศาะหาบะฮฺ ไม่ใช่แต่ว่า จะดีไปทั้ง หมด เพราะ เหตุที่ มุสลิม เกรงใจ และ เกรง กลัว มนุษย์ มากกว่า อัลลออ์ จึงไม่มีใคร กล้า ตำหนิ ผู้ที่นำเรื่อง เหลว ไหล เหล่า นี้ มาปะปนในหลักการของอิสลาม จนทำให้ มุสลิมตกต่ำอยู่ในทุกวันนี้
คุณลองอ่านข้อเขียน ของ คุณดูซิ อ่านทบทวนดู หลายๆ เที่ยว ทุกอย่าง แสดงออก ถึง ความรู้สึก ทางเพศ ของคุณ อัลฆุเราะบาอ์, ในการ เล้าโลม เพศ ตรง ข้าม, ผมไม่ทราบว่า คุณ มีภรรยา หรือยัง ถ้าคุณมีภรรยา แล้ว คุณ จะต้อง เข้าใจดี ว่า สตรี เวลามีประจำเดือน นั้น บางครั้ง ก็เจ็บปวด ไม่มีอารมณ์ และความรู้สึก ต้อง การ การ เล้าโลม, นอกจากในบางกรณี ที่มี ความแปรผัน ทาง โฮโมน กลับมีความต้อง การทางเพศ และแสดงออก มา ในอารมณ์ หงุดหงิด ผมอยากแนะนำ ให้ คุณ ศึกษา หาความรู้ ใน เรื่อง อารมณ์ หญิง ใน ขณะมี ประจำเดือน จาก วารสาร OBGYN ผมแนะนำให้ไปศึกษานะครับ อย่าไปดูแต่ ภาพ อย่างเดียว เห็นคุณว่า เขียนไป ก็เกร็งไปตลอดเวลา
โปรดอ่าน อายะนี้ให้เข้าใจ (2:222)
وَيَسْأَلُونَكَ عَنِ الْمَحِيضِ قُلْ هُوَ أَذًى فَاعْتَزِلُواْ النِّسَاء فِي الْمَحِيضِ وَلاَ تَقْرَبُوهُنَّ حَتَّىَ يَطْهُرْنَ فَإِذَا تَطَهَّرْنَ فَأْتُوهُنَّ مِنْ حَيْثُ أَمَرَكُمُ اللّهُ إِنَّ اللّهَ يُحِبُّ التَّوَّابِينَ وَيُحِبُّ الْمُتَطَهِّرِينَ
ตัวอย่างคำอธิบายของคุณ อัลฆุเราะบาอ์
จึงได้คำตอบว่า อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามหวงบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ในอันที่จะหาความสุข กับภรรยาแม้ขณะที่นางมีรอบเดือน เพียงแต่ว่าในระยะนั้นมันต้องมีขอบเขตว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ขอบเขตที่ว่านี้ก็คือตามที่ท่านนบีได้ปฏิบัติต่อภรรยาของท่าน ทั้งนี้เพื่อเป็น การผ่อนคลายให้แก่สามีได้ในระดับหนึ่ง
ในขณะที่ผมพยายามป้องกันเกียรติคุณ ของ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด คุณ อัลฆุเราะบาอ์ พยายาม ที่จะป้องกัน เกียรติคุณของ บุคอรี ผมไม่ทราบ ว่า คุณ อัลฆุเราะบาอ์ จะ นับถือศาสนาอิสลาม ที่มีท่านมูฮัมมัด ผู้ซึ่งเป็น รอซุลุลลอฮ์ หรือ จะ นับถือ ตัวบุคคล เช่นบุคอรี ผู้ซึ่ง ทำลายบุคลิกภาพ ของ ท่านรอซุล โดยไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้
ถ้าคุณ อัลฆุเราะบาอ์ ไม่เข้าใจภาษาไทยของผม ผมหวังว่า คุณ คงจะเข้าใจ ข้อความข้างล่างนี้ เพราะ ได้ความกระชับกว่า ที่ จะอธิบายออกมาเป็นไทย
The divine laws had been given to mankind through the Holy Prophet whose life is a perfect model for the followers of the religion of Allah. In Sahih Bukhari, under the chapter of menstruation, a false, baseless and disgraceful report has been narrated to malign him, which, in fact, is a deliberate character assassination. Such kind of reporting makes clear that the followers of these schools of thought have failed to understand the true status of the Holy Prophet.
แน่นอนทีเดียวผู้ที่ รู้จัก คุณลักษณะของท่านรอซูลจะไม่เชื่อ เรื่อง เหลวไหล เช่นนี้
คุณ อัลฆุเราะบาอ์ พยายามอย่างยี่ง ที่จะให้พี่น้องมุสลิม เห็น และ เข้า ใจผิด ว่า ผมสร้างหรือ นำลัทธิใหม่ มาปะปนกับ ศาสนาอิสลาม ความจริงแล้ว ครูสอนศาสนา ส่วนใหญ่ รวมทั้ง อัลฆุเราะบาอ์ ได้ กำลัง ยึด กลุ่มลัทธิของบุคอรี,มุสลิม และพรรค พวก เป็นหลัก
ก่อนที่ท่านนบีมูฮัมมัด จะสิ้นชีวิต ศาสนาอิสลามได้สมบูรณ์ แล้ว เพราะอัลกุรอานถูก ประทาน มา ครบครัน และมีท่านนบีมูฮัมมัดเป็นผู้เผยแพร่ และสั่งสอน ท่านได้สั่งไว้ ว่า มุสลิม จงใช้ อัลกุรอาน ไว้ให้เป็นหลักปฏิบัติ (6:114) ในสมัยนั้น มี อัลกุรอาน เพียงเล่มเดียว
หลังจากท่านตายไปแล้ว นาน กว่า 200 ปี บุคอรี และอื่นๆ ได้ รวบรวม และสร้างหนังสือ ขึ้นมาอีก เล่มหนึ่ง ซึ่งเป็น เรื่องเล่าต่อๆ กันมา เกี่ยวกับ การกล่าวหรือการปฏิบัติ ของท่าน นบีมู ฮัม มัด ซึ่งทำให้มุสลิมส่วนใหญ่ หันไปยึดถือ เป็นหลักปฏิบัติศาสนกิจ จนในปัจจุบัน ในการอธิบาย หลัก การทางศาสนา อิสลาม จากอัลกุรอาน กลับ อ้างเรื่องเล่า ของ บุคอรี เป็นหลักฐาน ถึงแม้ว่า เรื่อง เล่า จะขัดกับ บัญญัติ นอัลกุรอาน ก็พยายาม อธิบาย ดำน้ำ แก้แทน บุคอรีไป โดยขาดความ ละอายใจ
โดยที่ บรรดา เขาเหล่านี้ ไปรำ่เรียน และเสียเวลาชีวิตไปในการศึกษา สิ่ง ที่คิดว่า เป็น หลักการ ของ อิสลาม ที่ แท้ จริง แต่ หารู้ไม่ว่า เขาศึกษา สิ่ง เหล่านั้น จน เชื่อและศรัทธา และเกิด อิซบาต (إثـبَاتٌ) ต่อ เรื่อง เล่า และ เรื่อง เหลวไหล ที่ปะบน อยู่ ในหลัก การ ของ อิสลาม โดยไม่พิจารณา หาเหตุผล ในทางตรงกันข้าม กลับพยายามที่ จะ นำความ รู้ เหล่านั้น มาอธิบาย บัญญัติ ในอัลกุรอาน โดยทำให้เห็น สอดคล้อง ไปกับ ความเชื่อ ของตัวเอง เปรียบ ได้ ก็ เสมือนกับ คุณ อัลฆุเราะบาอ์ เอาสติปัญญา ของ นายศรีธนนชัย มาอธิบาย ทฤษฏี นิวเคลียฟิสิกส์ อธิบาย เท่าใดก็ กลาย เป็น เรื่อง ตลก ทั้งนี้ เพราะว่า เรื่อง นายศรีธนนชัย นั้นเป็นเรื่องเล่า เป็นนิทาน ที่แสดง ความ ฉลาด แบบกะล่อน เล่นลิ้น ของ ตัวเอกในเรื่อง
ลัทธิของบุคอรีนี้ เริ่มต้นด้วยการ เก็บ รวบรวม เรื่องเล่าต่างๆ จากบุคคลต่างๆ ที่ อ้างว่า เคยได้ยิน หรือ เคย เห็น ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด กล่าวหรือ ปฏิบัติ อย่างไร ในชีวิตของท่าน ใน ระ หว่าง ที่ท่านประกาศศาสนาอิสลาม, เรื่องเล่า เหล่านั้น ส่วนใหญ่ ขัดกันเอง และ ขัด กับ บัญญัติ ในอัลกุรอาน ด้วยเหตุนี้ ท่านอีมาม มาลิก จึงกล่าวว่า สิ่งใดที่ อยู่ใน เรื่องเล่า ของ บุคอรี ถ้าขัดกับ บัญญัติ ในอัลกุรอาน แล้ว ให้ โยนที้งไป
แต่แทนที่ จะโยนสิ่ง เหลวไหล เหล่านั้น ทิ้งไป เขากลับเอามา อธิบายความหมายใน อัลกุรอาน อย่างที่ คุณอัลฆุเราะบาอ์ นำ เอา เรื่องเล่า ที่เหลว ใหล ที่ว่า ท่านศาสน ทูต มูฮัมมัด ทำการโลมเล้าภรรยา ในขณะมี ประจำ เดือน โดย มีคำสั่งให้ภรรยา ท่านปกปิด เอา เราะ ส่วนล่าง ให้กระชับเสียก่อน โดยไม่คำนึงถึง ว่า ในอายะ 2:222 คำว่า ห้าม เข้าใกล้ นั้น หมายถึง การ เล้าโลม,เล่นปลุกปล้ำ กอดรัด ซึ่งอาจจะ เป็นทางนำไปสู่ การ ร่วมเพศได้ ทั้งนี้ เพราะว่า สตรี บางท่าน ในขณะมีประจำเดือน อาจจะมี ความต้องการ ทางเพศสูง ดังนั้นการที่ บุคอรี นำเรื่อง บอกเล่า เช่นนี้ มาอ้างว่า ท่านศาสนทูตปฏิบัติ จึงเป็นการลบหลู่ท่าน รอซุลมูฮัมมัด โดยแสดงให้ เห็น ว่า การฝ่าฝืน บัญญัติ 2:222 นั้น ทำได้ เพราะท่านรอซุล เคยทำมา
การอธิบายให้เห็นสิ่งผิดเป็นถูก อาจ จะ เป็น สัญญาณกิยามะฮฺ อย่างหนึ่งก็ได้ เพราะ ได้ เกิด มี คนโง่ที่ขยัน ขยันนำ สิ่ง ผิดๆ จากทรรศนะความคิดเห็นที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐาน ของกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺออกมาอธิบายให้ ผู้คนหลง เชื่อ ตามไปด้วย ก็เป็นอีกหนึ่ง ในสัญญาณกิยามะฮฺเช่นกัน การคันคว้า ของคุณอัลฆุเราะบาอ์ เป็นความ ขยัน ดังกล่าว แล้ว ทั้งนี้เพราะว่า เรื่องเล่าของ บุคอรีและอื่นๆ นี้ ไม่ได้อยู่บนพื้น ฐาน ของกิตาบุลลอฮฺ และสุนนะฮฺ ที่แท้จริง ของท่าน นบีมูฮัมหมัด เพราะ ไม่ใช่ วะฮีย์ ไม่ว่า จะยกบทใดมา อ้างอิง ย่อมไม่มีน้ำหนัก เพราะ เรื่องบอกเล่า ก็ยังคง เป็นเรื่อง บอกเล่า ใช้ เป็น หลักฐาน ยืนยัน อะไรไม่ได้เลย
ผมขอขยายความ ตรงนี้สักหน่อย สุนนะฮฺ ของท่านรอซูล ที่แท้จริง คือการปฏิบัติ ตาม อัลกุรอาน เท่านั้น ถ้าสิ่งใดที่ขัดกับอัลกุรอาน ไม่ใช่ สุนนะฮฺ ของท่านรอซูล ที่แท้จริง ถือว่าเป็นการต่อเติม ดังเช่น คำอธิบายที่ว่า
เพราะอิสลามเป็นศาสนาของอัลลอฮ์ โดยไม่มีผู้ใดมีส่วนร่วมใน การตราบัญญัติ ร่วมกับพระองค์, พระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรง กล่าวว่า
أَمْ لَهُمْ شُرَكَؤا شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِيْنِ مَالَمْ يَأذَن بِهِ اللهُ
หรือว่าพวกเขามีหุ้นส่วนที่ได้บัญญัติแก่พวกเขาในเรื่องศาสนา ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ มิได้ทรงอนุมัติเช่นนั้น ซูเราะห์อัชชูรอ อายะห์ที่ 21
อีกทั้งท่านนบีมูฮัมหมัดที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงตั้งให้เป็นศาสนทูตนั้น ก็มีหน้าที่ในการนำ บัญชา ของ พระองค์มาประกาศให้มวลมนุษย์ได้รับทราบ ท่านมิได้คิดค้นวางข้อบัญญัติ ของศาสนาด้วยสติ ปัญญา ของท่านเอง และท่านก็มิได้ประกาศสิ่งอื่นใด เลยนอกจาก บัญชา ของอัลลอฮ์เท่านั้น (ฟารีด เฟ็นดี้)
อัลกุรอานเท่านั้น คือ บัญชา ของอัลลอฮฺ
แมทท์
ปล. ผมจะตอบคำถามของ คุณ Nop และ คุณ Asan อย่างแน่นอน เพราะมีคำตอบอยู่แล้ว ผมอยากให้ข้อคิด สำหรับคุณทั้งสอง ว่า
ถ้าคุณ ศรัทธาต่อ อัลลอฮ์ และ รัก ท่านรอซุลมูฮัมมัด และ รอซูลท่านอื่นๆแล้ว ทำไมคุณ จึงไปเชื่อ และศรัทธา ต่อ เรื่อง บอกเล่า ของ บุคอรี แทนที่จะ เชื่อฟังท่านรอซุล และ อัลลอฮฺ โดย ไม่สร้างภาคืให้กับ พระองคฺ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Wed May 18, 2005 12:30 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมฝาก ซอเฮี๊ยะหะดีษ มาให้คุณทั้งหลายพิจารณา โดยเฉพาะ คุณๆมุสลิมะ และ หัวหน้าครอบครัวทุกๆท่าน ว่า หะดีษเหล่านี้ มีความจริงแค่ไหน?
Book 008, Number 3414:
'A'isha (Allah be pleased with her), Suwaid and Zubair reported Allah's Apostle (may peace be upon him) as saying: One suckling or two do not make (marriage) unlawful.
Book 008, Number 3420:
Umm Fadl (Allah be pleased with her) reported that a person asked Allah's Apostle (may peace be upon him): Does one suckling make (the marriage) unlawful? He said: No.
Book 008, Number 3421: ช่วยกรุณาหาหลักฐานในอัลกุรอานให้เห็นด้วย
'A'isha (Allah be pleased with, her) reported that it had been revealed in the Holy Qur'an that ten clear sucklings make the marriage unlawful, then it was abrogated (and substituted) by five sucklings and Allah's Apostle (may peace be upon him) died and it was before that time (found) in the Holy Qur'an (and recited by the Muslims).
Book 008, Number 3422:
'Amra reported that she beard 'A'isha (Allah he pleased with her) discussing fosterage which (makes marriage) unlawful; and she ('A'isha) said: There was revealed in the Holy Qur'an ten clear sucklings, and then five clear (sucklings).
Book 008, Number 3424:
' A'isha (Allah be pleased with her) reported that Sahla bint Suhail came to Allah's Apostle (may peace be eupon him) and said: Messengerof Allah, I see on the face of Abu Hudhaifa (signs of disgust) on entering of Salim (who is an ally) into (our house), whereupon Allah's Apostle (may peace be upon him) said: Suckle him. She said: How can I suckle him as he is a grown-up man? Allah's Messenger (may peace be upon him) smiled and said: I already know that he is a young man 'Amr has made this addition in his narration that he participated in the Battle of Badr and in the narration of Ibn 'Umar (the words are): Allah's Messenger (may peace be upon him) laughed.
Book 008, Number 3425:
'A'isha (Allah be pleased with her) reported that Salim, the freed slave of Abu Hadhaifa, lived with him and his family in their house. She (i. e. the daughter of Suhail came to Allah's Apostle (may peace be upon him) and said: Salim has attained (purbety) as men attain, and he understands what they understand, and he enters our house freely, I, however, perceive that something (rankles) in the heart of Abu Hudhaifa, whereupon Allah's Apostle (may peace be upon him) said to her: Suckle him and you would become unlawful for him, and (the rankling) which Abu Hudhaifa feels in his heart will disappear. She returned and said: So I suckled him, and what (was there) in the heart of Abu Hudhaifa disappeared.
Book 008, Number 3427:
Umm Salama said to 'A'isha (Allah be pleased with her): A young boy who is at the threshold of puberty comes to you. I, however, do not like that he should come to me, whereupon 'A'isha (Allah be pleased with her) said: Don't you see in Allah's Messenger (may peace be upon him) a model for you? She also said: The wife of Abu Hudhaifa said: Messenger of Allah, Salim comes to me and now he is a (grown-up) person, and there is something that (rankles) in the mind of Abu Hudhaifa about him, whereupon Allah's Messenger (may peace be upon him) said: Suckle him (so that he may become your foster-child), and thus he may be able to come to you (freely).
Book 008, Number 3426:
Ibn Abu Mulaika reported that al-Qasim b. Muhammad b. Abu Bakr had narrated to him that 'A'isha (Allah be pleased with her) reported that Sahla bint Suhail b. 'Amr came to Allah's Apostle (may peace be upon him) and said: Messenger of Allah, Salim (the freed slave of Abu Hudhaifa) is living with us in our house, and he has attained (puberty) as men attain it and has acquired knowledge (of the sex problems) as men acquire, whereupon he said: Suckle him so that he may become unlawful (in regard to marriage) for you He (Ibn Abu Mulaika) said: I refrained from (narrating this hadith) for a year or so on account of fear. I then met al-Qasim and said to him: You narrated to me a hadith which I did not narrate (to anyone) afterwards. He said: What is that? I informed him, whereupon he said: Narrate it on my authority that 'A'isha (Allah be pleased with her) had narrated that to me.
________________________________________
Book 008, Number 3427:
Umm Salama said to 'A'isha (Allah be pleased with her): A young boy who is at the threshold of puberty comes to you. I, however, do not like that he should come to me, whereupon 'A'isha (Allah be pleased with her) said: Don't you see in Allah's Messenger (may peace be upon him) a model for you? She also said: The wife of Abu Hudhaifa said: Messenger of Allah, Salim comes to me and now he is a (grown-up) person, and there is something that (rankles) in the mind of Abu Hudhaifa about him, whereupon Allah's Messenger (may peace be upon him) said: Suckle him (so that he may become your foster-child), and thus he may be able to come to you (freely).
________________________________________
Book 008, Number 3428:
Zainab daughter of Abu Salama reported: I heard Umm Salama, the wife of Allah's Apostle (may peace be upon himy, saying to 'A'isha: By Allah, I do not like to be seen by a young boy who has passed the period of fosterage, whereupon she ('A'isha) said: Why is it so? Sahla daughter of Suhail came to Allah's Messenger (may peace be upon him) and said: Allah's Messenger, I swear by Allah that I see in the face of Abu Hudhaifa (the signs of disgust) on account of entering of Salim (in the house), whereupon Allah's Messenger (may peace be upon him) said: Suckle him. She (Sahla bint Suhail) said: He has a heard. But he (again) said: Suckle him, and it would remove what is there (expression of disgust) on the face of Abu Hudhaifa. She said: (I did that) and, by Allah, I did not see (any sign of disgust) on the face of Abu Hadhaifa.
________________________________________
Book 008, Number 3429:
Umm Salama, the wife of Allah's Apostle (may peace be upon him), used to say that all wives of Allah's Apostle (may peace be upon him) disclaimed the idea that one with this type of fosterage (having been suckled after the proper period) should come to them. and said to 'A'isha: By Allah, we do not find this but a sort of concession given by Allah's Messenger (may peace be upon him) only for Salim, and no one was ging to be allowed to enter (our houses) with this type of fosterage and we do not subscribe to this view.
________________________________________
Book 008, Number 3430:
'A'isha (Allah be pleased with her) reported: Allah's Messenger (may peace be upon him) visited me when a man was sitting near me, and he seemed to disapprove of that. And I saw signs of anger on his face and I said: Messenger of Allah, he is my brother by forsterage, whereupon he said: Consider who your brothers are because of fosterage since fosterage is through hunger (i. e. in infancy). |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
yoohoo มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004 ตอบ: 65
|
ตอบ: Wed May 18, 2005 8:29 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ครับ อาจานแมด .. คุณก็ไม่ต้องไปซีรีเฮิสกับสิ่งที่คุณบอกว่ามันเป็นเรื่องเล่า เรื่องนิทาน อะไรกันมากมายถึงขนาดนั้น ไหนๆ ก็ไม่เชื่ออยู่แล้วมิใช่หรอ ก็ยังตะบี้ตะบันขุดคุ้ยค้นหาอยู่นั่นแหละ ส่วนที่ผู้คนเขาต้องการให้ค้นหาและก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งซะด้วยกลับทำเมินเฉย ก็จะเรื่องอะไรซะอีกเล่า ก็เรื่องการปฏิบัติละหมาดนั่นไง จะกียามะห์อยู่รอมร่อแล้ว ยังเอาหลักฐานการปฏิบัติละหมาดไม่ได้ซักกะที อ้างคำสอนในอัล-กุรอานก็มีมาให้เห็นตั้งแต่ 1,400 กว่าปีมาแล้ว ไฉนป่านนี้แล้วยังไม่มีผู้ใดค้นพบเจอเลย แม้แต่คุณอาจานแมดเองก็ยังหาไม่ได้ หรือจะให้ทุกคนต่างนึกต่างทำต่างกำหนดวิธีปฏิบัติกันขึ้นเองแล้วแต่ใจปรารถนากระนั้นหรือ ??? เห็นพูดนักพูดหนาว่าต้องใช้กุรอานอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่กุรอานเล่มก็ไม่ได้ใหญ่โตซักเท่าไหร่ แต่ทำไมค้นหาออกมาไม่ได้ซักที ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ผ่าน เรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องเฉไฉไปไหนกันหรอก ขอหยุดอยู่ตรงนี้นั่นแหละ และขอย้ำอีกทีว่า ถ้าอาจานแมดไม่สามารถนำมาเสนอได้ ก็ให้ถือเสียว่าตนเองนั้นเป็นพวกหลอกลวงตะลบตะแลง เป็นศัตรูตัวฉกาจของศาสนาอิสลามเลยดีมั้ยครับ
และแล้วก็หายไปไร้ร่องรอยอีกตามเคย
ยู้ฮู |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Wed May 18, 2005 11:14 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณยู้ฮู
เรื่องการละหมาดเป็น สิ่งสำคัญ เป็นเรื่อง ที่ มีอยู่ ในอัลกุรอานอย่างแท้จริง แต่อยู่ ในรูป สอดแทรก มาใน อายะต่างๆ การกำหนด เวลาละหมาด ท่าทาง ในการละหมาด นั้น มีตกผ่านมาถึงคนรุ่นหลัง ต่อๆ กันมา ซึ่งผมได้ กล่าวมาแล้ว หลาย ครั้ง แล้ว แต่ถ้าคุณจะ ให้ ผมยก อายะที่ บรรยาย วิธีการละหมาด ไว้เสร็จสรรพ นั้น มันไม่มี รูปแบบตามสารบรรณ ว่า การละหมาด 5 เวลา, คุณ จะขุดค้น เท่า ใดก็ คง ไม่ พบ รูปแบบ นั้น แม้แต่ว่า ใน อะหะดิษ ที่บุคอรีเขียนขี้น มา จาก การบอกเล่า ก็ ไม่มี การบรรยาย วิธีการละหมาด ไว้เสร็จสรรพ มันไม่มี รูปแบบที่ มีในสารบรรณ ว่า การละหมาด 5 เวลา เช่นกัน
บรรดา ผู้ที่ตามลัทธิบุคอรี ยังละหมาด ไม่ เหมือนกัน เลย แล้วคุณจะเอาอะไรมา ท้า ทาย ความสมบูรณฺ์ ของ อัลกุรอาน
ในอะฮะดีษ . มีแต่ เขียนว่า
.เขา เล่าว่า , เขา เห็น ว่า เขา บอกว่ า ทั้งนั้น ท่าน รอซุล ไม่ เคย สอนวิธีละหมาด ในที่สาธารณะ มี แต่ ออก คำสั่ง ให้ ทุก คน ทำละหมาด โดย เคร่ง ครัด นี่ ก็ แสดง ให้ เห็น ว่า ถ้าการ ละหมาด และ วิธี การละหมาด ไม่มีมาก่อน ท่าน รอซุล แล้ว ท่าน จะ บัง คับ และ กวด ขัน ให้ ทำละหมาด กัน ได้ อย่าง ไร? เพราะ ตัวท่าน เอง ก็ ทำละหมาด ต าม วิธีการ ที่มี มาก่อน ท่าน เรื่อง นี้ ต้องใช้ สติปัญญาคิด ครับ ไม่ไช่ว่า จะ มา ใช้ วาจา เล่นลิ้น แบบ นิทาน เรื่อง ศรีธนนชัย
ผู้ที่นิยมลัทธิ บุคอรี ชอบตั้ง ปัญหา ท้า ทาย ความสมบูรณ์ ของอัลกุรอาน ด้วย คำถามเช่นนี้ เสมอ, คำถามที่ ว่า ถ้าไม่มี อะหะดิษ บุคอรี แล้ว จะละหมาดได้ อย่างไร? เป็นคำถาม ที่ ท้าทาย อานุภาพ ของ พระองค์อัลลอฮ์ การถามเช่นนี้ แสดง ว่า คุณ ไม่ มีศรัทธา ใน อัลลอฮฺ อย่าง แท้จริง, ทำไมคุณและผู้ที่ศรัทธาต่อบุคอรี ไม่ตั้งคำ ถาม ต่อไปว่า . ในระหว่าง 200 กว่าปี ก่อนหน้าที่จะมีอะหะดิษของบุคอรี และอื่นๆ นั้น เขาละหมาดกันอย่างไร? คุึณลองคิดดูให้ดีซิครับ
ตามที่คุณกล่าวว่า,
คุณก็ไม่ต้องไปซีรีเฮิสกับสิ่งที่คุณบอกว่ามันเป็นเรื่องเล่า เรื่องนิทาน อะไรกันมากมายถึงขนาดนั้น ไหนๆ ก็ไม่เชื่ออยู่แล้วมิใช่หรอ ก็ยังตะบี้ตะบันขุดคุ้ยค้นหาอยู่นั่นแหละ ส่วนที่ผู้คนเขาต้องการ ให้ค้นหา และก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งซะด้วยกลับทำเมินเฉย ก็จะเรื่องอะไรซะอีกเล่า ก็เรื่อง การปฏิบัติละหมาดนั่นไง
การที่ผมยกอะหะดีษของบุคอรีต่างๆมาให้คุณอ่านนั้น ก็เพื่อให้คุณใช้ สติปัญญา คิดว่า คุณ ควรจะ ยึดมั่นในอัลกุรอานให้มากขึ้น หรือ จะยังคงแบ่งปันศรัทธา ให้ต่อ สิ่ง เหลวไหล เหล่านัน? (ซิริก)
คุณต้องเลือกและตัดสินใจเองว่า คุณ จะ อยู่ในทาง ของ อัลลอฮ์ และ รอซุลของพระองคฺ์ (รวมทั้งท่านศาสนทูตทุกๆท่าน) หรือ ว่า คุณ จะ มีศรัทธา ต่อ วิถีทางของ อีมาม บุคอรี
ถ้าคุณเลื่อกทางของ อัลลอฮ์ และท่าน รอซุล มูฮัมมัด คุณก็ใช้ อัลกุรออาน แต่เพียงเล่มเดียว เป็น แนว ทาง ใน ชีวิต ของคุณ ตามที่ ท่าน รอซูลมูฮัมมัด มีคำสั่ง และสั่งสอน เราไว้ ซึ่งเป็น ซุนนะ และ หะดีษของ ท่าน ที่แท้จริง และคุณ ก็จะเป็น มุสลิมที่ดี
ผมให้คำเตือนคุณ ในฐานะเป็น พี่น้องมุสลิมด้วยกัน ทำไมคุณจึงว่า ผม เป็นศัตรู ตัวฉกาจ ของศาสนาอิสลาม เล่า? ในเมื่อ คำเตื่อน เช่น นี้ คุณ ไม่เคย ได้ รับมาเลย ใน ชีวิต ของ คุณ แต่ที่แท้จริงแล้ว ผมเตือนคุณ เพื่อ ไม่ให้คุณหลงออกนอกทาง ของ กิตาบุลลอฮ์ ซึ่งคุณควรจะขอบคุณผมมากกว่า เพราะผมกล้า ที่จะพูดความจริง ซึ่ง แม้ แต่ อาจารย์ ของ คุณเอง ก็ ไม่ กล้า พูด หรือ สอน คุณ เพราะ เขา เหล่า นั้น เกรง กลัว มนุษย์ มากกว่า อัลลอฮ์ จำคำผมแล้วไปใช้ สติปัญญา คิดดู
เมื่อ 60 ปี ก่อนนั้น มีท่านผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง ต่อต้านเรื่องการ ทำ และ ฉลอง วันเกิด ท่าน นบีมูฮัมมัด ท่านถูกด่า เหมือน อย่างที่ พวกคุณ ด่าผมอย่างนี้ แหละ แต่ หลังจาก มุสลิมไทย ได้ศีกษามากขึ้น ก็ เลิกทำการฉลอง ไปเมื่อไม่นานนี้ เสียดายที่ ท่าน ผู้ นั้น ไม่ ได้ อยู่ เห็น ว่าสิ่งที่ท่าน คัดค้าน นั้น ถูกต้อง ความ เห็น ของคนส่วนใหญ่ อาจจะ ไม่ถูกต้อง เสมอไป ผมหวังว่า คุณ คง เข้า ใจ ว่า การ มีศรัทธา ในอิสลาม นั้น ต้อง ศรัทธา ด้ว ความ เข้า ใจ ไม่ ใช่ หลง งมงาย อยู่ กับ สิ่ง เหลวไหล ที่ไม่ได้ เป็นหลักของ อิสลาม ที่ แท้จริง
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Thu May 19, 2005 1:52 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณแมทท์ ไม่เห็นตอบ คำถามเหล่านี้เลยครับ
ถ้าไม่ตอบนี่ตาม Logic ถือว่าเหตุผลคุณตกไปนะครับ
ไม่ว่าจะยกมากี่หลักฐาน แต่ถ้าอธิบายอายะฮฺเหล่านี้ไม่ได้ ถือว่าโมฆะนะครับ
(3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา "
ช่วยอธิบายตามหลักการไหนก็ได้ครับ เอาแบบLogic ก็ได้
ว่าทำไมอัลลอฮฺถึงสั่งให้เชื่อฟังอัลลอฮฺ(บุคคลที่1) แล้วก็รอซูล(บุคคลที่2)
(4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ "
ช่วยอธิบายความหมายให้หน่อยสิครับ
ผมรออยู่นะครับ
ย้ำอีกครับว่า ถ้าอธิบายไม่ได้
ที่คุณยกอันอื่นมาทั้งหมดถือว่าโมฆะนะครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Fri May 20, 2005 8:36 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
คุณ NOP
ผมตกลงตาม ข้อเสนอของ คุณ และถ้า คำตอบของ ผม ประกอบด้วย เหตุผล ผมเข้าใจว่า คุณ คงเห็นด้วยกับ ผมใช่ไหม?
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon May 23, 2005 10:04 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เย่
ดีใจจัง อาจานแมทท์มาแล้ว
มาทีก็ น็อตหลุด ร่วงกราวเลยนะครับ .... แหะ แหะ
ก็ตลกดีเนอะ ใครเป็นคนยกประเด็นขึ้นมาก็ไม่รู้ พอเค้าชี้แจงให้เข้ากลับมาหาว่า เป็นอย่างนั้น คิดอย่างนี้ไปซะนี่ ก็เอาเถอะ...ไม่เป็นไร ทักทายกันแค่นี้ คงพอนะ ต่อไปนี้ก็ เฉ่งกันต่อ... อิ อิ .... เฉ่งกันแบบ วิชาการน่า...ไม่ต้องสะดุ้ง
การที่จะกล่าวว่าเรื่องใดบัดสีหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาเนื้อหาและความเป็นมาให้ดี เพราะไม่ใช่เรื่องที่มาจะพูดกันพล่อยๆได้ ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยา เป็นเรื่องบัดสี แน่นอน มนุษย์ทั้งโลกย่อมแปดเปื้อนกับเรื่องบัดสีนั้นด้วยกันทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่ง เสมือนเป็นการจาบจ้วงต่ออัลลอฮว่าทรงให้มนุษย์สืบทอดเผ่าพันธุ์เพื่อดำรงอยู่บนโลกด้วยความบัดสี เพราะไม่มีมนุษย์คนใดถือกำเนิดได้โดยไม่ผ่านขั้นตอนบัดสี(ตามที่อาจานกล่าวร้าย)ของบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า
ยกเว้น 3 ท่าน
.
ในการเขียนคำชี้แจงต่อแผนการทำลายล้างอิสลามในภาคต่างๆที่ผ่านมา และที่จะตามมาอีกหลายภาคนั้น ผมไม่ได้เขียนเพื่อตอบหรือชี้แจงอะไรอาจานแมทท์เพราะทราบดีว่าทั่นหัวชนฝาเสียแล้ว อีกทั้งไม่มีเป้าหมายที่จะต่อคำต่อความให้ยืดยาวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปอย่างละเอียดจนหมดแล้ว ดังนั้นในส่วนที่อาจานกล่าวร้ายต่อผมนั้น เห็นว่าไม่มีสิ่งใดควรใส่ใจ เพราะผมทราบดีมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบกลับมาแนวนี้ เข้าใจดีครับต่อพฤติกรรมตอบโต้ในสภาพจนตรอกเช่นนี้ ผมจึงจะปล่อยให้เรื่องไร้สาระนั้นผ่านไป แต่ก็จำเป็นต้องขอเก็บความบางอย่างมาชี้แจงหรือซักถามในเชิงวิชาการต่อเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นระหว่างเรา(หมายถึงพี่น้องผู้ยืนยันชะฮาดะฮสองประโยค)
( 1 ) อาจาน กล่าวว่า
. สตรี เวลามีประจำเดือน นั้น บางครั้ง ก็เจ็บปวด ไม่มีอารมณ์ และความรู้สึก ต้อง การ การ เล้าโลม, นอกจากในบางกรณี ที่มี ความแปรผัน ทาง โฮโมน กลับมีความต้อง การทางเพศ และแสดงออก มา ในอารมณ์ หงุดหงิด
แล้วก็กล่าวว่า
. สตรี บางท่าน ในขณะมีประจำเดือน อาจจะมี ความต้องการ ทางเพศสูง
ผมก็ทราบมาเช่นนั้นเหมือนกัน ข้อความในท่อนแรกบอกว่า บางครั้ง และท่อนหลังก็ย้ำอีกว่า บางท่าน นั่นคือไม่ใช่ทุกคนเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ทุกครั้งที่ไม่สะดวก ช่วงที่สะดวก อารมณ์ดีพอที่จะหยอกเย้ากับสามีก็มี เพียงแต่จะมากน้อยต่างกันสำหรับแต่ละคน และแต่ละโอกาสหรือแต่ละรอบของการมีประจำเดือนเท่านั้น ดังนั้นการที่สามี-ภรรยา จะมีความสัมพันธ์กันอย่างไรในช่วงนั้น ต่างคนต่างก็ต้องรู้ ทิศทางลม ของกันและกัน ในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย มิใช่หักหาญเอาแต่ใจ หรือเฉยเมยต่อกัน และในขณะเดียวกันก็ต้อง เตือนสติและยับยั้งซึ่งกันและกันมิให้เกินเลยขอบเขตที่อัลลอฮทรงอนุมัติ นี่คือแนวปฏิบัติของคู่ผัวตัวเมียที่ยึดมั่นในคุณธรรมครับ มิใช่เอาอารมณ์ตัวเองเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินตีความบัญญัติศาสนา เช่นรู้ว่าตัวเองคงยับยั้งชั่งใจไม่อยู่แน่ๆถ้าหยอกเย้ากับภรรยา ไม่ว่าจะเป็นในช่วงไหนก็ตาม เลยตีความห้ามเหมาลำเลยว่า ช่วงนั้น แตะต้องไม่ได้เลย ใครๆก็อย่าแตกแถวล้ำหน้าฉันเป็นอันขาด ... เช่นนี้ไม่ถูกต้องครับ
( 2 ) อาจานกล่าวว่า บุคอรี ผู้ซึ่ง ทำลายบุคลิกภาพ ของ ท่านรอซุล โดยไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้
แล้วก็กล่าวว่า ในอายะ 2:222 คำว่า ห้าม เข้าใกล้ นั้น หมายถึง การ เล้าโลม,เล่นปลุกปล้ำ กอดรัด ซึ่งอาจจะ เป็นทางนำไปสู่ การ ร่วมเพศได้
หลักฐานน่ะ มีครับ แต่ยังไม่ถึง คิว ผมเก็บไว้เฉลยใน Episode-II เรื่อง หะดีษไม่ใช่วะฮีย์ ซึ่ง plot ไว้ให้เป็นภาคจบของมหากาพย์ชุดนี้ ต้องวกไปวกมาให้สับสนเล่นหน่อย เด๋วจะน้อยหน้า Star War
ฮ่ะ ฮ่า
ไปกล่าวหาว่าคนอื่นไม่มีหลักฐาน แล้วที่อธิบายอายะฮมาอย่างนี้ มีหลักฐานตรงไหนครับ จึงเข้าใจไปได้เช่นนั้น
การเอาความรู้สึกนึกคิดของบุคคลมาอ้าง มาอธิบายนัยยะของอัลกุรอานเช่นนี้ จะทำให้เกิดรูปแบบการปฏิบัติหลากหลาย เนื่องจาก สปริง ของแต่ละคนมันแข็งมันอ่อนไม่เหมือนกัน บางคนสปริงแข็งหน่อยก็ตีความซะตึงเปรี๊ยะ บางคนสปริงอ่อนหน่อย ก็อะลุ้มอะหล่วยจนเกินเหตุ แต่อัลลอฮทรงให้สปริงมาตรฐานมาใช้เป็นตัวเปรียบเทียบแล้ว นั่นคือ ท่านนบี ถ้ามีปัญหาใด ให้กลับไปยังอัลลอฮ และรอซูลของพระองค์ เราจึงต้องดูว่า เรื่องนี้ท่านนบีวางบันทัดฐาน กำหนดขอบเขตไว้แค่ไหนอย่างไร ไม่ใช่ทำเป็นเคร่ง ฟันธงเอาเองว่าอายะฮนั้นหมายถึงห้ามเล้าโลม
ถ้าเป็นเรื่องซินา ก็ว่าไปอย่าง
ห้ามเข้าใกล้
. คือ ตั้ง clearance ไว้เยอะๆเลย อยู่ให้ห่างที่สุด ไกลที่สุด แม้แต่จะชำเลืองดูก็ถือว่าไม่ควรกระทำด้วยซ้ำ (..อ๊ะ-อ๊ะ-อ๊ะ....เดี๋ยวจะตีความเลยเถิดไปอีก ต้องดักคอไว้ก่อนว่า
หมายถึง ดูหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาตนนะครับ ไม่ใช่แอบดูคนทำซินากัน)
แต่จะเอามาตรการนั้นมาใช้กับความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยา มันคนละเรื่องกันเลยครับ ซินา น่ะมันหะรอม แต่ นิกาห์ นี่มัน หะลาล ครับ อย่าเอามาปนกัน clearance ของการห้ามเข้าใกล้ในเรื่องนี้ มันจึงเหลือไว้แคบนิดเดียวเท่านั้น มันบีบแคบเข้ามาจนถึงเนื้อถึงตัวได้ และนั่นคือ พระกรุณาของอัลลอฮที่ทรงประทานแก่ปวงบ่าวของพระองค์
แม้ว่าพวกกาฟิรมันจะไม่ชอบก็ช่างมัน!
เราสามารถเทียบกับเรื่องการทำความสะอาดก่อนละหมาดก็ได้ครับ อัลกุรอานใช้คำว่า لَامَسْتُمُ النِّسَاءَ (4:43; 5:6) การสัมผัสผู้หญิงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องตะยัมมุมแทนการอาบน้ำ หรือทำน้ำละหมาดใหม่ รวมอยู่กับเหตุอื่นๆ เช่น เจ็บป่วย เดินทาง และไปทำธุระที่ห้องน้ำ(ธุระอะไรแล้วแต่จะคิดเอาเอง)
- ในภาวะปกติ เช่น เจ็บป่วย เดินทาง ไปห้องน้ำ เหล่านี้ตะยัมมุมนั้นแทนน้ำละหมาด
- ในกรณีพิเศษ คือมีญะนาบะฮฺ ตะยัมมุม จะแทนการอาบน้ำ(อัลฆุสล์)
- สตรีมีรอบเดือน หรือนิฟาสหลังคลอดไม่ได้กล่าวรวมไว้ตรงนี้ด้วย เพราะ ไม่ต้องละหมาด
เหล่านี้คือสิ่งที่มีแจกแจงรายละเอียดไว้ในหะดีษมากมาย
จะเห็นว่าในอายะฮฺนี้กล่าวว่า สัมผัสผู้หญิง ในความหมายว่า ร่วมเพศ คือ เลยจากสัมผัสธรรมดาเข้าไปอีกระดับหนึ่ง เพราะนั่นใช้กับ ภรรยา ที่เป็นที่อนุมัติ (หะลาล) ซึ่งสามารถนำไปเทียบกับคำสั่ง อย่าเข้าใกล้ ในอายะฮฺ สตรีมีรอบเดือนได้ว่า มิใช่ไม่เข้าใกล้ แต่ขยับเข้าไปได้อีกระดับหนึ่งโดยให้มี clearance อยู่ที่การสัมผัส หยอกเย้า เล้าโลม เท่านั้น ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินไปกว่านั้น
หรือแม้กระทั่งการหย่าก่อนที่จะ أَنْ تَمَسُّوهُنَّ ..แตะต้องสัมผัสนาง .... ในอายะฮฺ (2:237) ต้องทำอย่างไรบ้างกับมะหัร หรือนางจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในเรื่องอิดดะฮฺในอายะฮฺ 33:49 การแตะต้องสัมผัสตรงนี้ก็หมายถึงการร่วมเพศเช่นกัน ซึ่งก็หาได้ในสุนนะฮฺที่ท่านนบีให้บรรดาเศาะหาบะฮฺทำอย่างไรกันบ้าง ดังนั้นรวมความแล้ว คำสั่งให้ออกห่างจากภรรยา หรือไม่ให้สัมผัสนางขณะมีรอบเดือนจึงมีความหมายเพียง ห้ามการร่วมเพศ เท่านั้น
จึงเป็นคำถามกลับไปว่า การสัมผัสผู้หญิง ในอายะฮฺเหล่านี้จะอ้างอิงตรงไหนในอัลกุรอานว่า หมายถึง การร่วมเพศ หรือเป็นเพียง สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวธรรมดา และ ตะยัมมุมนั้นจะแทนข้อปฏิบัติใดระหว่าง การทำน้ำละหมาดในภาวะปกติ กับการอาบน้ำญะนาบะฮฺ หมายความว่าจะแยกแยะตรงไหนว่า เดินทางและสามารถหาน้ำได้ ก่อนละหมาดต้อง อาบน้ำหรือเพียงแค่ทำน้ำละหมาด ไปห้องน้ำมา ต้องอาบน้ำหรือทำน้ำละหมาด สำหรับญุนุบนั้นชัดเจนอยู่แล้วในอายะฮฺว่า ต้องอาบน้ำ ..... แน่นอน... เราต้องการหลักฐานอ้างอิงจากอัลกุรอาน มิใช่ หลักฐานที่กลั่นจากกระบวนการของขี้เลื่อย
แต่นั่นก็ไม่ใช่คำถามรีบด่วนอะไรนักหนา จะอีกนานเท่าใดก็ได้...จากนี้จนสิ้นใจ ก็ยังไม่มีใครว่าอะไร... เพราะไม่ถือว่าเป็นความจำเป็นในชีวิตประจำวันเท่าใดนัก นานๆทีจึงจะมีเหตุให้ต้องใช้สักครั้งหนึ่ง หรือบางคนอาจไม่ต้องใช้ หรือไม่เคยได้ใช้เลยด้วยซ้ำ แต่ที่ต้องรีบด่วน กลับถูกแช่เย็น บ่ายเบี่ยง เลี่ยงหลบเป็นพัลวัน ดำผุดดำว่ายอยู่ในกลีบเมฆเป็นแรมปี ก็คือ การละหมาด 5 เวลา !
( 3 ) Breast Feeding กับเรื่องราวของสาลิมจะมีคำชี้แจงอยู่ใน Episode-VIII ครับ กรุณาอดใจรอ เพราะยังมีอีกหลายภาคที่ต้องชำแหละ อาจจะต้องอีกสักเดือนหรือ 2 เดือนนะ อินชาอัลลอฮ ก็บอกแล้วว่า มหากาพย์ แต่ละภาคมันเลยต้อง ย้าวววว...ยาว แค่ ฉี่ลงรู ใน Episode-V ภาคหน้านี่ก็ ไม่รู้กี่ตอนแล้ว จะให้ไล่เรียงลำดับให้ดูอีกทีดีมั้ย ว่ามีเรื่องใดกันบ้างที่ผม รับปากไว้....(และจะไม่ผิดคำพูดแน่นอน...ถ้าไม่ถึงอะญัลไปซะก่อน)
Episode-I ลูกตาเหล่กับแหล่งเพาะพันธุ์ (การใช้หะดีษอรรถาธิบายอัลกุรอาน)
Episode-II อะฮะดิษของบุคอรีย์ ไม่ใช่ วะฮีย์
Episode-III การ จัดเพศหญิงว่า เป็น ต้นเหตุ แห่งความชั่วช้าทั้งหลาย
Episode-IV การเล้าโลมภรรยาขณะมีประจำเดือน (ฅุณแมทท์ใช้คำว่า ปลุกปล้ำ .... แหม คิดได้งัยเนี่ย )
Episode-V การถ่ายปัสสาวะ
Episode-VI เสรีภาพ สำหรับ ผู้ที่ จะเข้ารับอิสลาม
Episode-VII "และเขา(มุฮัมมัด) ไม่ได้พูดมาจากอารมณ์แต่เป็นวะฮีย์
Episode-VIII Breast Feeding ....
ซึ่งเราเพิ่งผ่านมาได้แค่ 3 ภาคเท่านั้น ข้าม ภาค 2 ไปก่อนเพราะจะเก็บไว้เป็นตอนจบ เมื่อไหร่ อาจานแมทท์ ชิ่งไปเกิน 5 วัน ผมถึงจะเอามาลงต่อ เวปจะได้ไม่เหงา...ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ เนอะ
( 4 ) อาจานแมทท์บอกว่า ถ้าคุณจะ ให้ ผมยก อายะที่ บรรยาย วิธีการละหมาด ไว้เสร็จสรรพ นั้น มันไม่มี รูปแบบตามสารบรรณ ว่า การละหมาด 5 เวลา, คุณ จะขุดค้น เท่า ใดก็ คง ไม่ พบ รูปแบบ นั้น
เราก็ทราบครับ ว่า ไม่มีบทบัญญัติไหน เรื่องใดในอัลกุรอาน กล่าวไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ หรือจัดเรียงสารบัญไว้ให้
ประการหนึ่ง...ก็เพราะไม่มีนี่สิ จึงได้....เรียน...ขอความกรุณา ...ได้โปรด ...วิงวอน ... ขอร้อง....ไหว้วาน....บอก... หลอก...ตะคอก .... ขู่....เขี่ยวเข็น ...ฯลฯ ไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วที่จะเกลี้ยกล่อมให้อาจานแมทท์ คายดอกพิกล...เอ๊ย... ดอกพิกุล...ออกมาซะที ว่าที่อัลลอฮฺให้ละหมาดตามนบีอิบรอฮีมน่ะ ต้องทำงัยมั่ง เพราะพวกเราก็เกิดไม่ทันนบีอิบรอฮีมกันสักคน และพวกเราตั้งเป็นพันๆล้านคนทั่วโลก ช่วยกันสำรวจทั่วกุรอานตั้งแต่ปกหน้ายันปกหลัง ก็ยังไม่มีใครพบรายละเอียดของวิธีละหมาดในนั้นเลย มีแต่ทั่นอาจานคนเดียว(กับหัวโจกอีกกระจุกหนึ่ง) เท่านั้นที่รู้ว่า เนื้อหาเหล่านั้นมีสอดแทรกอยู่หน้าไหน มุมใดของอัลกุรอาน แต่ก็ยัง อม.... อยู่จนบัดนี้ไม่ยอมปริปาก
กรุณาเลิกเสียทีเถิดครับ ที่จะกล่าวสบประมาทคนโน้นคนนี้ว่า ชอบตั้ง ปัญหา ท้า ทาย ความสมบูรณ์ ของอัลกุรอาน
หรืออ้างว่า การถามเช่นนี้ แสดง ว่า คุณ ไม่ มีศรัทธา ใน อัลลอฮฺ อย่าง แท้จริง .... ฯลฯ
ใครจะละหมาดอย่างไร เหมือนหรือไม่เหมือนกันอย่างไร ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการรู้
แต่เราเพียรถามแล้วถามอีกว่า คนที่(อ้างว่า) มีศรัทธาในอัลลอฮฺอย่างแท้จริง
คนที่(อ้างว่า)ไม่ได้ ท้าทายความสมบูรณ์ของอัลกุรอาน ...ไม่เคย ท้าทายอานุภาพของพระองค์อัลลอฮ์
และรู้ว่า นบีอิบรอฮีมละหมาดอย่างไร
....อย่างอาจานแมทท์ คนเนี๊ยะ! ทั่นละหมาดอย่างไร ด้วยหลักฐานใดกัน ???
ยังไม่ต้องลงในรายละเอียดวันนี้พรุ่งนี้หรอกครับ เอาแค่ว่า ที่มาของ ห้า เวลาน่ะ มายังไงก่อน อย่างที่ผมค้นไว้ให้ได้ถึง 12 เวลา วันละโหลน่ะ ถูกผิดอย่างไร โปรดชี้แนะด้วย (ถ้าจำไม่ได้กรุณาย้อนกลับไปดูหน้า 15 ครับ AlGhuraba : Fri Apr 08, 2005 1:12 am เสียดายที่เวปนี้ไม่ได้ stamp หมายเลขลำดับการ post ข้อความไว้ด้วย จะได้หาได้ง่ายๆหน่อย แต่คงไม่เกินความสามารถหรอกนะ)
อย่าลืมว่า ตอนนี้เรายังไม่รู้เลยนะครับว่าต้องละหมาดกันวันละกี่เวลา ดังนั้นไม่ใช่อยู่ๆก็มั่วนิ่มตั้งตัวเลข ห้า ขึ้นมาลอยๆ แล้วค้นในกุรอานให้ได้ครบห้า เป็นอันจบ...ไม่ใช่ครับ ต้องสรุปให้ได้ก่อนว่า อัลลอฮฺสั่งให้เราละหมาด 5 เวลา หรือกี่เวลาแน่ ??? ซึ่งจะมาจากที่อื่นไม่ได้เด็ดขาด ต้องจากมาจากอัลกุรอานแน่ๆ เพราะแหล่งอื่น เชื่อถือไม่ได้ (ตามสมมุติฐานของลัทธิ Mattism)
อีกประการหนึ่ง อาจานบอกว่า การกำหนด เวลาละหมาด ท่าทาง ในการละหมาด นั้น มีตกผ่านมาถึงคนรุ่นหลัง ต่อๆ กันมา ซึ่งผมได้ กล่าวมาแล้ว หลาย ครั้ง แล้ว
ครับก็เห็นพูดอย่างนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้วจริงดั่งว่า แต่ก็ไม่เคยเห็นครั้งไหนมีเนื้อหาอันใดให้เข้าใจ หรือมองเห็นเป็นรูปธรรมเลยว่า ตกผ่านกันมาอย่างไรโดยไม่ผ่านกระบวนการ บอกเล่า หรือ คนนั้นเห็น-คนนี้เห็น เด็กโง่อย่างผมจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องละหมาดอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าพ่อไม่บอก ถ้าปู่ไม่ทำให้ดู ถ้าครูไม่สอน ถ้าเพื่อนๆไม่ทำ
แต่ทั้งๆที่พ่อก็บอก ปู่ก็ทำให้ดู ครูก็สอน เพื่อนๆก็ทำกันทั้งบาง ผมก็ยังเชื่อพวกเขาไม่ได้หรอก เพราะอายะฮฺ 45:6 ที่อาจานใช้เป็นไม้ตาย ค้ำอยู่เช่นนั้น
( 5 ) อาจานบอกว่า คุณต้องเลือกและตัดสินใจเองว่า คุณ จะ อยู่ในทาง ของ อัลลอฮ์ และ รอซุลของพระองคฺ์ (รวมทั้งท่านศาสนทูตทุกๆท่าน) หรือ ว่า คุณ จะ มีศรัทธา ต่อ วิถีทางของ อีมาม บุคอรี
แน่นอนครับ .... เราเลือก อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ เราไม่แบ่งแยกระหว่างคำสั่งของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ไม่แบ่งสถานภาพของท่านรอซูลไม่ว่ายามหลับหรือตื่น ไม่ว่ายามยืนหรือนอน ไม่ว่าในเคหะสถานหรือในมัสญิด ในเมืองหรือกลางสมรภูมิ เราถือว่าทุกลมหายใจของท่าน ท่านคือ มุฮัมมัด รอซูลลุลลอฮฺ สามัญชนคนหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ บอก สอน ชี้แจง และกระทำตัวเป็นแบบอย่างแก่มนุษย์ด้วยกันตามที่อัลลอฮฺทรงมีวะฮีย์มา เพื่อเป็น ความเมตตาแก่มนุษยชาติทั้งมวล
อิมามบุคอรี ในสายตาเรา ก็เป็นเพียง สามัญชนคนเดินดินกินข้าวแกง...หรือว่ากินโรตีแกงแพะก็ไม่รู้นะ...เหมือนกับเราๆท่านๆนี่แหละ ท่านผ่านช่วงชีวิตในดุนยามาก่อนเราด้วยความอุตสาหะ วิริยะ และด้วยพลังศรัทธาอันแรงกล้าที่จะผดุงอัลอิสลามอันบริสุทธิ์ไว้อย่างสุดกำลังความสามารถ ซึ่งผลงานอันยิ่งใหญ่ที่ท่านได้ทุ่มเทรังสรรค์ไว้ นับเป็นคุณานุประโยชน์แก่มนุษยชาติอย่างเอกอุ ยากที่จะหาผลงานของผู้ใดเทียมเท่านับตั้งแต่ยุคสมัยของท่านจวบจนกิยามะฮฺ
ก่อนจบ ขออนุญาตอ้างของเก่ามาให้พิจารณากันอีกสักรอบ...เผื่อจะพอสะกิดใจทั่นได้มั่ง...ดีมั้ยครับ
========================
วันก่อน ผมเกริ่นไปหน่อยเดียวว่า ลุงแมทท์รู้ว่าคำตอบมันอยู่ตรงไหนแต่ไม่ยอมบอกพวกเราซะที ... ไม่กลัวอัลลอฮฺประณามสาปแช่งเอาหรือไร ฐานเก็บงำความรู้ที่อัลลอฮฺทรงแจกแจงแยกแยะเรื่องนี้มาอย่างละเอียดในอัลกุรอานไว้คนเดียว ไม่บอกใคร เพราะ "มุสลิมทั้งโลก" เค้าหากันยังไงเป็นสิบศตวรรษ ก็ยังหาไม่เจอ ?!?!?
ยิ่งนานวันเข้า มันก็จะยิ่งเกิดความสับสน และเคลือบแคลงนะขอรับ
รู้ - ไม่รู้ - รู้ - ไม่รู้ - รู้ - ไม่รู้ - รู้ - ไม่รู้ - รู้ - ไม่รู้ - รู้ - ไม่รู้ ..... จนดอกทานตะวันโกร๋นไปเจ็ด-แปดดอก
จริง - หรือโกหก - หรือจริง - หรือโกหก - หรือจริง - หรือโกหก - หรือจริง - หรือโกหก .... จนดอกบานชื่นต้องเปลี่ยนเป็นดอกไม้ไร้กลีบไปอีก สิบกว่าดอก ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าจะสรุปให้ลุงแมทท์เป็นคนประเภทไหนดี
เพราะมันมีมุมมองอยู่ 2 แง่ครับ คือ ไม่..."ชัวร์" ก็ "มั่วนิ่ม" แหง๋แก๋ !
ตอนที่นบีมูซาไปบอกฟิรเอาน์ว่า ท่านเป็นรอซูลที่อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งมาพร้อมด้วยหลักฐาน... จริงๆนะ ไม่ได้โม้ แต่ฟิรเอาน์มันไม่เชื่อครับ ก็เลยท้าว่า...
قَالَ إِن كُنتَ جِئْتَ بِآيَةٍ فَأْتِ بِهَا إِن كُنتَ مِنَ الصَّادِقِينَ
ถ้าเจ้ามีหลักฐานอะไรก็จงนำมาเถิด ถ้าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง (7:106)
อีกอายะฮฺหนึ่งก็คล้ายๆกันครับ ฟิรเอาน์มันบอกว่า
قَالَ فَأْتِ بِهِ إِن كُنتَ مِنَ الصَّادِقِينَ
ก็จงนำมันมาซิ ถ้าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง (26:31)
แล้วงัยครับ? .... นบีมูซามีจริงๆครับ หลักฐานอันยิ่งใหญ่ที่มาจากอัลลอฮฺ "ไม้เท้ากลายเป็นงู" เล่นเอาฟิรเอาน์กับสมุน บื้อ..ไปเลย .... คนจริงต้องอย่างนบีมูซานี่ครับ บอกว่า "มี" คือ มี บอกว่า "จริง" คือ จริง ไม่โม้ ไม่ลวง ไม่หลอกให้เฝ้ารอแล้วรอเล่า
แล้วอีกมุมหนึ่งเป็นอย่างไรครับ?
เป็นที่รู้กันละครับว่าพวกมุชริกยุคญาฮิลียะฮฺเนี่ยมันชอบกุเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้อบัญญัติ ว่าอันนั้นทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ อาจจะด้วยผลประโยชน์อะไรบางอย่าง หรือเพราะเป็น "ความเชื่อ" แบบงมงายที่พวกนั้นมันถนัด เช่นกำหนดเอาเองว่าสัตว์ตัวผู้บางชนิดเป็นที่อนุมัติให้บริโภคแต่ตัวเมียของมันเป็นที่ต้องห้าม หรือตัวเมียเป็นที่อนุมัติแต่ห้ามกินตัวผู้ หรือกินแม่ได้แต่ห้ามกินลูกในท้อง ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่อะไรหรอก "มั่ว" เอาเองแบบใช้ความคิดเห็นมาเป็นบัญญัติศาสนา ประเภทอย่างนี้ละครับ อัลลอฮฺให้ท่านนบีประกาศเลยว่า....
نَبِّؤُونِي بِعِلْمٍ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ
จงบอกฉันด้วยความรู้อะไรสักอย่างซิ ถ้าพวกท่านสัจจริง (ว่าสิ่งที่อ้างมาน่ะมีหลักฐาน) (6:143)
เปล่าเลยครับ .... เฉย....เงียบ...อึ้ง .... บื้อ....ไปเหมือนกัน ที่สุดก็หลบหายเข้ากลีบเมฆไป เพราะหาหลักฐานอะไรมายืนยันไม่ได้ ก็จะหาที่ไหนได้ล่ะในเมื่อมันไม่มี! มนุษย์ชนิดอย่างนี้ อัลลอฮฺทรงตราหน้าว่า
فَمَنْ أَظْلَمُ مِمَّنِ افْتَرَى عَلَى اللّهِ كَذِبًا لِيُضِلَّ النَّاسَ بِغَيْرِ عِلْمٍ إِنَّ اللّهَ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ
ใครเล่าจะซอเล็มยิ่งไปกว่าคนที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺเพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิดโดยไม่มีความรู้ แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงนำทางหมู่ชนที่ซอเล็ม (6:144)
ลุงแมทท์... คงเข้าใจนะครับว่าพวกเรากระอักกระอ่วนใจแค่ไหนว่าจะประเมินลุงฯในสภาพไหนดี ในเมื่อมันมีสองมุมมองเป็นตัวอย่างอยู่ในกุรอาน แล้วลุงแมทท์มาทำเฉยเสียอย่างนี้
มุมหนึ่งคือ ผู้สัจจริง - ตัวจริงเสียงจริง อย่างนบีมูซา เมื่อถูกท้าทาย ท่านก็นำเสนอหลักฐานของท่านจนพวกนั้นหงายเก๋ง
อีกมุมหนึ่ง คือ พวกที่"อ้างว่า"สัจจริงเหมือนกัน แต่มันตอแหลครับ มันกุเรื่องเท็จ มันนึก มันคิด มันเพ้อฝันไปตามอารมณ์ เมื่อถูกท้าให้ยืนยันหลักฐาน ก็หายหัว!
โปรดเข้าใจนะครับ ว่าไม่ใช่เรื่องที่ผมปั้นขึ้นมาเอง(อย่างใครบางคน) แต่นี่คือ คำท้าทายจากอัลลอฮฺที่มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน .... ก็ไม่ทราบละครับว่าเป็นฉบับเดียวกับที่บ้านลุงฯหรือเปล่า งั้นก็เอาอย่างงี้ละกัน
فَأْتُوا بِكِتَابِكُمْ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ
ดังนั้น พวกเจ้าจงนำคัมภีร์ของพวกเจ้ามาแสดงซิ หากพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริง (37:157)=======================
กลับไปดูได้ครับในหน้า 10 กระทู้นี้นี่เองแหละ
บาย...ปู้น...ปู้น |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Thu May 26, 2005 1:11 am ชื่อกระทู้: |
|
|
นึกอยู่ตั้งหลายวัน ว่าลืมกล่าวถึงเรื่องไหนไป
วันนี้มาอ่านทวนดูอีกที เออ...เจอแล้ว เรื่องแปลกแต่จริง .... Belie it or not !
.โดย แมทท์ ร่อแร่
ท่านอีมาม มาลิก จึงกล่าวว่า สิ่งใดที่ อยู่ใน เรื่องเล่า ของ บุคอรี ถ้าขัดกับ บัญญัติ ในอัลกุรอาน แล้ว ให้ โยนที้งไป (Matt : Wed May 18, 2005 12:27 pm )
แปลกดีเนอะ ที่อิมามมาลิกท่านมองเห็นอนาคตได้ขนาดที่ว่า จะมีเด็กรุ่นหลานรุ่นเหลนที่ชื่อ บุคอรี มาสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ในศตวรรษหน้าต่อจากท่าน ท่านจึงวิจารณ์ไว้ล่วงหน้าได้ตรงใจอาจานแมทท์
ก็จะไม่แปลกยังไง อิมามมาลิก เกิดปี ฮ.ศ.93
อิมามบุคอรีเกิดปี ฮ.ศ. 194 .... ห่างกันตั้งร้อยปี หนึ่งศตวรรษพอดี ????
ผมว่าคงไม่ใช่อิมามมาลิกหรอกที่พูดอย่างนั้น .... ดูท่าจะเป็นอิมามแมทท์ ซะละมากกว่า อิ อิ
อย่างไรก็ตาม ก็เคยผ่านๆตามาบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนมากบรรดานักวิชาการเค้าจะไม่วิจารณ์ข้าม shot กัน ส่วนมากแล้ว ด้วยความถ่อมตน เค้ามักจะวิจารณ์งานของตัวเองแล้วบอกว่า ถ้าพบว่าตรงไหนในผลงานของเขาที่ขัดกับกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺแล้ว ให้ทิ้งทรรศนะของเขาซะ เป็นอย่างนี้เกือบทุกท่าน ถ้าจะวิจารณ์งานคนอื่น เค้าก็จะบอกไปเลยว่า ตรงนั้น ตรงนี้ ถูก หรือ ไม่ถูกอย่างไร ด้วยหลักฐานใด และที่ถูกควรเป็นอย่างไร อะไรทำนองนี้
เค้าไม่มีหรอกที่จะบอกว่า คนนั้นไม่ศรัทธาจริง คนนี้ไม่อีมาน คนโน้นเข้าใจผิด หรือคนไหนท้าทายความสมบูรณ์ของกุรอาน แต่ก็ไม่ยอมนำหลักฐานสิ่งที่ถูกมาเผยซะที ... เฮ้อ...เซ็งจังอ่ะ
สัปดาห์นึงแล้วนะเนี่ย ..... คงต้องเริ่มชำแหละ Episode-V ซะทีดีมั้ง...ดีกว่าอยู่...ป่าว ป่าว |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Thu May 26, 2005 9:10 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เรียนคุณAlGhuraba
เรื่องผิดพลาด ขอ้นี้ ผมทราบแล้วตั้งแต่วันแรกที่ผม Post ว่าจะเข้ามาแก้ ไข แต่ลืมไป พอมาเปิด เจอเข้า ผมเลยต้อง ขออภัยด้วย เพราะความจริง แล้ว ผม ตั้งใจจะเขียน ว่า
ท่านอีมาม มาลิก จึงกล่าวว่า สิ่งใดที่ เป็นเรื่องเล่าที่ขัดกับอัลกุรอานแล้ว ให้โยนที้งไป...
ผมหมายถึงจะยกตัวอย่างเช่น เรื่องเล่าของบุคอรี ความพลาดพลั้งเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา สำหรับนักวิชาการแล้ว เขาไม่เอามาเยาะเย้ยกันหรอกครับ แต่ถ้าทำให้คุณสบายใจได้ ก็เป็น กุศลอย่างหนีืง
สำหรับเรื่อง การอธิบาย อายะ 2:222 นั้น ทุกๆท่านสมาชิกและผู้ที่มีการศึกษาคงเข้าใจดีหรอกครับ ว่า การโลมเล้าของ คู่ผัวตัว เมีย นั้น ต้องมีแน่ๆ ไม่ว่า ในฮะดีษนั้น จะจริง เท็จ เช่นไร นั้น คงไม่มีผู้ใดยืนยันได้ แต่ ที่ผมท้วง ติง นั้น ผมท้วงติงถึงมารยาทและจรรยาธรรม ของผู้นำเรื่อง ของท่านรอซุล มาเล่า ซึ่งไม่ใช่แต่ผมเท่านั้น ที่ เห็นว่า เป็นการทำลาย เกียรติคุณ ของท่านรอซุล นักวิชาการอีกหลายท่าน ก็เห็นเช่นเดียว กันกับผม
แต่ผมคิดว่าคุณคงไม่เข้าใจเรื่องมรรยาทกับจรรยาธรรม หรอก เพราะ จะเห็นได้ จาก ข้อเขียนของ คุณ เมื่อเวลาผมเขียน อยู่ในพันทิบ ผมไม่เห็นคุณ แสดงมรรยาทอย่างในเวบนี้ เลย ทั้งนี้ก็เพราะ คุณทราบดี ว่า ผม กำลังพายเรื่อ ทวน น้ำ ไม่ว่า คุณจะแสดงมรรยาทอย่างไร คุณก็ได้ รับคำสรรเสริญ เสมอ เพราะ คุณ ตึตรา ผมว่า เป็นผู้ ทำลายศาสนาอิสลาม ทั้งนี้เพราะ ผมไม่ เชื่อถือ หนังสือเล่มที่สอง ที่คุณใช้เป็นหลักปฏิบัติศาสนกิจ ผม เชื่อมั่นใน "อัลกุรอาน" เท่านั้น
ถ้าคุณจะท้าทายให้ ผมนำ คัมภีร์ที่ผม ใช้ มาแสดงให้เห็น ผมก็มีแต่ "อัลกุรอาน" เท่านั้น, แต่ผมเชื่อว่า คุณ คงมี หนังสืออีกเป็น ร้อยๆเล่ม ที่คุณ ใช้เป็นหลักปฏิบัติศาสนกิจ "อิสลาม" หนังสือ ที่คุณใช้ เพื่อ อธิบายอัลกุรอาน นั้น เป็น หนังสือ ที่บรรจุ เรื่องราว ที่ คุณจะหาอะไรในนั้น ก็เจอ ทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่า อัลลอฮ์ จะยอมรับ หนังสือของคุณ หรือไม่? คุณลองไปคิดดู
ผมอยากให้คุณเอาคัมภีร์ มี่คุณใช้อยู่ และมีคำอธิบายการละหมาด 5 เวลา มาแสดง ให้ผมเห็นซิว่า "คัมภีร์" ของคุณนั้น มีความสมบูรณื กว่า คัมภีรน์ ของผม คือ "อัลกุรอาน" อย่างไร ในเรืื่อง การละมาด 5 เวลา ยังมีคัมภีร์ เล่มอื่น อีกหรือ ที่ มีความละเอียด ในบัญญัติต่างๆ และ สมบูรณื ด้วย หลักการ ของ อิสลาม มากกว่า "อัลกุรอาน" คุณลองไปคิดดูซิครับ
เรื่องการอธิบายอะฮะดีษของคุณนั้น ผมว่า อาจารย์ คุณเอง ก็คงนั่ง หัวเราะไปกับคุณด้วย
แมทท์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|
|
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้ คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
Powered by phpBB
ฉ 2001, 2002 phpBB Group
|