ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Fri Apr 08, 2005 4:44 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ต้องขออภัย ผมอ่านพลาดไปเอง ที่ไม่พบตอนที่บอกว่า เรื่อง ละหมาดนั้น เป้นเรื่อง ที่ ทุกๆท่านในที่นี้ ทราบว่า ปฏิบัติสืบต่อ จาก ท่าน นบีอิบรอฮิม มาก่อน ที่จะถึง ท่าน รอซูล (matt : พ. มีค. 30, 2005 9:31 am)
การทำละหมาดนั้น มี มาตั้งแต่สมัยท่าน นะบีอิบรอฮิม แล้ว และปฏิบัติ สืบ เนี่อง กันต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน และมีอยู่ในอัลกุรอาน (Matt : พ. มีค. 30, 2005 9:39 am)
ในเมื่อจานปรักปรำว่าทุกคนที่นี้เขายอมรับตามคำอ้างโคมลอยของจานเช่นนั้น แสดงว่าประเด็นนี้ยังไม่ผ่านครับ
ถ้างั้น จานต้องชี้แจงแล้วละครับว่าที่อัลกุรอานเท้าความมายืดยาว ตั้งแต่นบีอิบรอฮีม ลงมานบีมูซา ย้อนขึ้นไปนบีอิสมาอีล จากนั้นก็ตลบกลับขึ้นไปนบีอิดรีส มานบีนูห์ แล้วก็ไปถึงนบีอาดัมในที่สุด โดยสรุปว่า พวกชั่วๆรุ่นหลังจากบรรดานบีแต่ละท่านเหล่านั้นมันทิ้งละหมาดกันเอง แสดงว่า การละหมาดมีมาตั้งแต่นบีอาดัมตามที่ผมอ้างไว้ในหน้า 21 ด้วยอายะฮฺอัลกุรอานซูเราะฮฺ มัรยัม 19:41-59 น่ะ จานจะเถียงอัลลอฮฺว่างัยมิทราบ
ที่ผมชี้แจงไปนั้น เพื่อชี้ให้เห็นว่า การอิบาดะฮฺในรูปแบบของละหมาดนั้นมีมาตั้งแต่สมัยนบีอาดัม มิใช่ให้เอาคำชี้แจงของผมไปบิดเบือนให้ชะฮาดะฮฺคำปฏิญาณในอิสลาม ด้วนตามคำสอนในลัทธิ Mattism ของจานว่ามีเพียง ปฏิญาณว่าอัลลอฮฺเจ้า เท่านั้น
.... หรือจะหลอกล่อให้ผมเป๋ออกนอกประเด็น ???
ยังหรอกครับ ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ขอรับไว้ใน list รอแถลง...อินชาอัลลอฮฺ
ยังไงๆ ผมก็ยังขอยืนกรานในมติครับ...... ละหมาดตามอัลกุรอาน ทำยังไง
ตอนนี้แค่เริ่มต้นว่า ละหมาดมีมาแต่สมัยใด? ก็ยังไม่ผ่านเลยนะครับ
ตามต่อมาติดๆด้วย 5 เวลา มาจากไหน? ก็กำลังระอุ
จับสักข้อ แล้วชี้แจงให้ชัดหมดข้อสงสัยก่อนนะครับ ค่อยขยับบทต่อไป .... อย่าแกล้งทำเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องนะครับ...จานแมทท์! ผมซาบซึ้งดีว่า จานน่ะ....ฉลาดแค่ไหน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
mahdisaudi มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 03/06/2004 ตอบ: 381
|
ตอบ: Thu Apr 14, 2005 4:23 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
สูเราะฮฺ อัลอินสาน 76/3
แท้จริงเราได้ชี้แนะแนวทางให้แก่เขาแล้ว บางที่เขากตัญญูขอบคุณ บางทีเขาปฏิเสธเนรคุณ _________________ อัลฟะละกี
เรื่องดาราศาตร์ก็มีกล่าวในอัลกุรอาน
&ใช้ดาราศาสตร์เพื่อช่วยให้ง่ายสดวกในการดูเดือน
มิใช่เพื่อมาทดแทนการดูเดือน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Thu Apr 14, 2005 6:07 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
สลาม ... พี่น้องผู้ยืนยันการศรัทธาด้วย 2 ชะฮาดะฮฺทุกท่าน
เห็นเงียบๆ เหงาๆกันมานานพอสมควร เข้าใจว่า จานแมทท์ ทั่นคงกำลังสาละวนกับการหาคำตอบ และบทเรียนวิธีละหมาดมาให้พวกเราอยู่ ดังนั้นระหว่างที่ทั่นกำลังบรรจงปั้นน้ำอยู่นี่ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปเฉยๆ ผมคิดว่าควรจะทะยอยชี้แจงประเด็นไม่เป็นเรื่อง แต่เสี่ยงต่อการเสียอฺะกีดะฮฺไปพลางๆก่อน
คำกล่าวหาข้อต่อไปที่สัญญาไว้ว่าจะชี้แจงแก่พี่น้องผู้ศรัทธา...มิใช่ตอบคุณจานแมทท์นะ...คือข้อ 2 อะฮะดิษของบุคอรีย์ ไม่ใช่ วะฮีย์ .... แต่พิจารณาแล้วผมต้องขออนุญาตยกไปเก็บไว้สรุปเป็นอันดับสุดท้ายเลย เพราะจุดใหญ่ใจความที่ทำให้คุณแมทท์ปฏิเสธพระบัญชาของอัลลอฮฺจากคำสอนของท่านนบีก็คือเรื่องนี้ ตอนนี้เราก็คงต้องขี่ม้ารอบเมือง เก็บตกเรื่องปลีกย่อยประเด็นอื่นๆกันไปพลางนะครับ ดังนั้นตรงนี้จึงขอข้ามไปเป็นข้อ 3 ก่อนครับ
-------------------------------
อัลฆุเราะบาอ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Thu Apr 14, 2005 6:27 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
-------------------------------
MATTISM CONSPIRACY
Episode-3 การจัดเพศหญิงว่าเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วช้าทั้งหลาย
-------------------------------
การจัดเพศหญิงว่า เป็น ต้นเหตุแห่งความชั่วช้าทั้งหลาย และจัดไว้ ในเรื่องอบายมุขประเพศหนึ่ง ตัวอย่าง ฮะดิษ ซอเอี๊ยะบุคอฮ์รีย์ 8/4-102 และ ฮันบฺล 4/86 บรรยายว่า ถ้าลิง, สุนัขดำ หรือ ผู้หญิง เดินผ่าน ผู้ซึ่งกำลังละหมาดอยู่ การละหมาดของ เขาผู้นั้น จะไม่บรรลุผล(คือใช้ไม่ได้) ฮะดิษ ซอเฮี๊ยะ บุคอฮ์รีย์ 76/53 บรรยายว่า วิญญานชั่วช้าสถิตย์อยู่ใน ผู้หญิง , ม้า และ บ้าน (ทรัพย์สิน) จากอะฮะดีษทั้งสอง บทนี้ สะท้อนถึงความลำเอียงดูหมิ่น ผู้หญิง เพศมารดา ว่า มีฐานะความสำคัญ เท่ากับ ลิง, สุนัขดำ ม้า และ บ้าน, เป็น อะฮะดีษที่ปลอมแปลง หาหลักฐานความเป็นจริง สนับสนุน ไม่ได้, (matt : Thu Feb 24, 2005 10:09 pm)
---------------------------------------
จากข้อกล่าวหาข้างบน เรามาดูตัวบทหะดีษ "ของจริง" กันก่อนนะครับ
ขอแกะไปทีละเรื่องทีละหะดีษ เริ่มจากหะดีษแรกที่อ้างมา ถ้าหากว่าเป็น "สุนัขดำ" ก็ต้องเป็นรายงานนี้ครับ ไม่ใช่บุคอรีแต่เป็นบันทึกของอิมามมุสลิม เพราะเท่าที่ค้นได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ของอิมามบุคอรีไม่มี สุนัขดำ ครับ มีแต่ที่เศาะเฮียะห์มุสลิมบันทึกไว้ว่า ...
حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ حَدَّثَنَا إِسْمَعِيلُ ابْنُ عُلَيَّةَ قَالَ ح و حَدَّثَنِي زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ حَدَّثَنَا إِسْمَعِيلُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ عَنْ يُونُسَ عَنْ حُمَيْدِ بْنِ هِلَالٍ عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ الصَّامِتِ عَنْ أَبِي ذَرٍّ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا قَامَ أَحَدُكُمْ يُصَلِّي فَإِنَّهُ يَسْتُرُهُ إِذَا كَانَ بَيْنَ يَدَيْهِ مِثْلُ آخِرَةِ الرَّحْلِ فَإِذَا لَمْ يَكُنْ بَيْنَ يَدَيْهِ مِثْلُ آخِرَةِ الرَّحْلِ فَإِنَّهُ يَقْطَعُ صَلَاتَهُ الْحِمَارُ وَالْمَرْأَةُ وَالْكَلْبُ الْأَسْوَدُ قُلْتُ يَا أَبَا ذَرٍّ مَا بَالُ الْكَلْبِ الْأَسْوَدِ مِنَ الْكَلْبِ الْأَحْمَرِ مِنَ الْكَلْبِ الْأَصْفَرِ قَالَ يَا ابْنَ أَخِي سَأَلْتُ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَمَا سَأَلْتَنِي فَقَالَ الْكَلْبُ الْأَسْوَدُ شَيْطَانٌ (مسلم : الصلا(ة
อับดุลลอฮฺ บินศอมิต รายงานจากอบูซัรร์เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "เมื่อคนใดคนหนึ่งในพวกท่านยืนขึ้นละหมาดถือว่าเขาได้ตั้งสิ่งปิดกั้นแล้วถ้าเบื้องหน้าเขามีสิ่งของอย่างไม้ยันหลังอานสัตว์พาหนะ(กั้นอยู่) แต่ถ้าเบื้องหน้าเขาไม่มีอะไรอย่างไม้ยันหลังอานสัตว์พาหนะแล้ว ลา และผู้หญิง และสุนัขดำจะตัดการละหมาดของเขา" ฉัน เข้าใจว่าเป็น อับดุลลอฮฺ บินศอมิต - ผู้ถ่ายทอดรายงานจากอบูซัรร์-) ถามว่า "ท่านอบูซัรร์ ครับ สุนัขดำมันต่างอะไรจากสุนัขแดงหรือสุนัขสีเหลืองล่ะครับ" เขาตอบว่า "หลานชายเอ๋ย ฉันก็เคยถามท่านรอซูล อย่างที่เจ้าถามฉันเหมือนกัน ซึ่งท่านตอบว่า 'สุนัขดำนั้นมันคือชัยฏอน' " (มุสลิม กิตาบุศเศาะลาฮฺ)
และอีกรายงานหนึ่งบอกว่า
حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ خَلَّادٍ الْبَاهِلِيُّ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ حَدَّثَنَا قَتَادَةُ حَدَّثَنَا جَابِرُ بْنُ زَيْدٍ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ يَقْطَعُ الصَّلَاةَ الْكَلْبُ الْأَسْوَدُ وَالْمَرْأَةُ الْحَائِضُ (ابن ماجه : إقامة الصلاة والسنة
อิบนิอับบาสรายงานว่า ท่านนบี กล่าวว่า "สุนัขดำและผู้หญิงมีรอบเดือนจะตัดการละหมาด" (อิบนิมาญะฮฺ : อิกฺอมะติศเศาะลาฮฺ)
แต่ถ้าเป็นสุนัขไม่มีรูปพรรณก็มีในรายงานของอบูฮุร็อยเราะฮฺว่าหยั่งงี้ครับ
و حَدَّثَنَا إِسْحَقُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ أَخْبَرَنَا الْمَخْزُومِيُّ حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَاحِدِ وَهُوَ ابْنُ زِيَادٍ حَدَّثَنَا عُبَيْدُ اللَّهِ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ ابْنِ الْأَصَمِّ حَدَّثَنَا يَزِيدُ بْنُ الْأَصَمِّ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقْطَعُ الصَّلَاةَ الْمَرْأَةُ وَالْحِمَارُ وَالْكَلْبُ وَيَقِي ذَلِكَ مِثْلُ مُؤْخِرَةِ الرَّحْلِ (مسلم : الصلاة
อบูฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "ผู้หญิง ลา และสุนัข จะตัดการละหมาด ซึ่งไม้ยันหลังอานสัตว์พาหนะจะป้องกันมันได้"
แต่ในรายงานทั้งหมดที่ค้นได้ ไม่ปรากฏว่ามี "ลิง" เลยครับ และก็ไม่พบว่ามีตำราเล่มไหน(จากที่ค้นดูแค่ 3-4 เล่ม)กล่าวถึงลิง มีแต่ "ลา" เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะความรีบรนเกินไปที่จะจับผิดนบี คุณแมทท์ถึงได้มองผิด-มองถูก เห็นลาเป็นลิงไป ...ก็ไม่ว่ากันครับ ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็นธรรมดาของปุถุชน ใครๆก็ย่อมผิดกันได้ ถือว่าเป็นความผิดโดยบริสุทธิ์ใจ(เหมือนที่ทั่นนายกฯ เคยสร้างวีรกรรมไว้เป๊ะเลย) และลากะลิงมันก็หน้าตาคล้ายๆกันซะด้วย ต่างกันแค่ตัว d กับ m เท่านั้น (donkey vs monkey) ลุกลี้ลึกลนไปหน่อยก็เลยพลาดไป หรือไม่ก็เป็นเพราะ "ต้นฉบับภาษาปะกิต" ที่ทั่นจานแมทท์ไปลอกมาเขาเขียนผิด ตัว d กลายเป็นตัว m ไปซะก็เลยเก็บลิงมาผิดตัวเช่นนั้นโดยไม่รู้ว่าที่จริงภาษาอรับเขาใช้คำว่าอะไรกัน
ถึงแม้จะเป็นหะดีษเศาะเฮียะห์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อ่านหะดีษเดียวแล้วก็จับจุดตรงนี้ละ ลากไปทั่วฟันธงฉับๆๆ ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สรุปเอาเองตามใจชอบว่าผู้หญิงเป็นส่วนหนึ่งจากอบายมุข ...ป่าวคับ... มันต้องสาวลงไปให้ลึกกว่านั้น ไม่ควรที่จะรีบด่วนแสดงความตื้นเขินทางปัญญาออกมาเช่นนั้น
เรามาว่ากันด้วยเนื้อหาจากตัวบทนี้ก่อน... เริ่มจาก 3 สิ่งที่ระบุไว้ตรงนี้ คือ ลา, ผู้หญิง และสุนัข(ดำ) ที่จะตัดการละหมาด
ในกรณีของ"ลา" มีรายงานอย่างนี้ครับ....
حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ قَزَعَةَ حَدَّثَنَا مَالِكٌ عَنِ ابْنِ شِهَابٍ وَقَالَ اللَّيْثُ حَدَّثَنِي يُونُسُ عَنِ ابْنِ شِهَابٍ حَدَّثَنِي عُبَيْدُاللهِ ابْنُ عَبْدِاللهِ أَنَّ عَبْدَاللهِ بْنَ عَبَّاسٍ رَضِي الله عَنْهمَا أَخْبَرَهُ أَنَّهُ أَقْبَلَ يَسِيرُ عَلَى حِمَارٍ وَرَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَائِمٌ بِمِنًى فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ يُصَلِّي بِالنَّاسِ فَسَارَ الْحِمَارُ بَيْنَ يَدَيْ بَعْضِ الصَّفِّ ثُمَّ نَزَلَ عَنْهُ فَصَفَّ مَعَ النَّاسِ (البخاري : المغازي)
อับดุลลอฮฺ อิบนิอับบาส เล่าว่า.... เขาขี่ลามาขณะที่ท่านรอซูลกำลังยืนนำละหมาดประชาชนอยู่ที่มินาในพิธีหัจญ์อำลา(หัจญะตุลวะดาอฺ) ลามันเดินไประหว่างแถวละหมาด แล้วเขาก็ลงจากมัน ไปเข้าแถวร่วมกับคนอื่นๆ (บุคอรี : อัลมะฆอซี)
อีกสำนวนหนึ่งของอิมามอัตติรมิซี บอกว่า..
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ الْمَلِكِ بْنِ أَبِي الشَّوَارِبِ حَدَّثَنَا يَزِيدُ بْنُ زُرَيْعٍ حَدَّثَنَا مَعْمَرٌ عَنِ الزُّهْرِيِّ عَنْ عُبَيْدِ اللهِ بْنِ عَبْدِ اللهِ بْنِ عُتْبَةَ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ قَالَ كُنْتُ رَدِيفَ الْفَضْلِ عَلَى أَتَانٍ فَجِئْنَا وَالنَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي بِأَصْحَابِهِ بِمِنًى قَالَ فَنَزَلْنَا عَنْهَا فَوَصَلْنَا الصَّفَّ فَمَرَّتْ بَيْنَ أَيْدِيهِمْ فَلَمْ تَقْطَعْ صَلَاتَهُمْ قَالَ أَبو عِيسَى وَفِي الْبَاب عَنْ عَائِشَةَ وَالْفَضْلِ بْنِ عَبَّاسٍ وَابْنِ عُمَرَ قَالَ أَبو عِيسَى وَحَدِيثُ ابْنِ عَبَّاسٍ حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ وَالْعَمَلُ عَلَيْهِ عِنْدَ أَكْثَرِ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنْ أَصْحَابِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَمَنْ بَعْدَهُمْ مِنَ التَّابِعِينَ قَالُوا لَا يَقْطَعُ الصَّلَاةَ شَيْءٌ وَبِهِ يَقُولُ سُفْيَانُ الثَّوْرِيُّ وَالشَّافِعِيُّ (الترمذي : الصلاة- باب 140 مَا جَاءَ لَا يَقْطَعُ الصَّلَاةَ شَيْءٌ )
อิบนิอับบาส เล่าว่า..ฉันนั่งอยู่ข้างหลังท่านอัลฟัฎล์บนลา(ตัวเมีย)ตัวเดียวกัน เรามาถึงตอนที่ท่านนบีกำลังละหมาดอยู่กับเศาะหาบะฮฺที่มินา เราลงจากลาและร่วมละหมาดในแถวด้วย (ส่วนเจ้าลา)มันก็เดินผ่านหน้าพวกเขาไป ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ละหมาดของพวกเขาเสีย (ติรมิซี อัศเศาะลาฮฺ - หะดีษหะสัน เศาะเฮียะห์)
แปลว่า ลา ผ่านคนละหมาดได้ไม่เป็นไร เพราะในรายงานอื่นบอกว่าไม่มีใครห้ามอะไร และท่านนบีก็ไม่ได้สั่งให้เศาะหาบะฮฺละหมาดใหม่
ในกรณี ผู้หญิง ก็มีรายงานว่าหยั่งงี้ครับ....
حَدَّثَنَا الْحَسَنُ بْنُ الصَّبَّاحِ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ سَابِقٍ حَدَّثَنَا مَالِكُ بْنُ مِغْوَلٍ قَالَ سَمِعْتُ عَوْنَ بْنَ أَبِي جُحَيْفَةَ ذَكَرَ عَنْ أَبِيهِ قَالَ دُفِعْتُ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ بِالْأَبْطَحِ فِي قُبَّةٍ كَانَ بِالْهَاجِرَةِ خَرَجَ بِلَالٌ فَنَادَى بِالصَّلَاةِ ثُمَّ دَخَلَ فَأَخْرَجَ فَضْلَ وَضُوءِ رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَوَقَعَ النَّاسُ عَلَيْهِ يَأْخُذُونَ مِنْهُ ثُمَّ دَخَلَ فَأَخْرَجَ الْعَنَزَةَ وَخَرَجَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَأَنِّي أَنْظُرُ إِلَى وَبِيصِ سَاقَيْهِ فَرَكَزَ الْعَنَزَةَ ثُمَّ صَلَّى الظُّهْرَ رَكْعَتَيْنِ وَالْعَصْرَ رَكْعَتَيْنِ يَمُرُّ بَيْنَ يَدَيْهِ الْحِمَارُ وَالْمَرْأَةُ (البخاري : المناقب)
อบูญุหัยฟะฮฺเล่าว่า ฉันถูกใช้ให้ไปหาท่านนบี ขณะที่ท่านอยู่ที่อับเฏาะห์(กำลังพักผ่อน)อยู่ในกระโจม บิลาลได้ออกมา(อะซาน)ประกาศเรียกไปละหมาดแล้วก็เข้า(กระโจม)ไป แล้วเขาก็นำส่วนที่เหลือจากการทำน้ำละหมาดของท่านรอซูลออกมา ผู้คนก็มาแบ่งเอาน้ำนั้นไป บิลาลเข้าไป(ในกระโจม)แล้วก็นำหอกสั้นออกมา ท่านรอซูลได้ออกมาโดยที่ฉันเห็นความขาวของหน้าแข้งทั้งสองของท่าน (บิลาล)เอาหอกปักลงกับพื้น แล้วท่านรอซูลก็(นำ)ละหมาดซุฮฺร์ 2 ร็อกอฺะฮฺ กับอัศร์ 2 ร็อกอฺะฮฺ (ระหว่างนั้นก็มี)ลากับผู้หญิงเดินไปมาเบื้องหน้าท่าน (บุคอรี : อัลมะนากิบ)
حَدَّثَنَا عَبْدُاللَّهِ بْنُ يُوسُفَ قَالَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ أَبِي النَّضْرِ مَوْلَى عُمَرَ بْنِ عُبَيْدِاللهِ عَنْ أَبِي سَلَمَةَ بْنِ عَبْدِالرَّحْمَنِ عَنْ عَائِشَةَ زَوْجِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهَا قَالَتْ كُنْتُ أَنَامُ بَيْنَ يَدَيْ رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَرِجْلَايَ فِي قِبْلَتِهِ فَإِذَا سَجَدَ غَمَزَنِي فَقَبَضْتُ رِجْلَيَّ فَإِذَا قَامَ بَسَطْتُهُمَا قَالَتْ وَالْبُيُوتُ يَوْمَئِذٍ لَيْسَ فِيهَا مَصَابِيحُ (البخاري : الصلاة )
ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺ ภรรยาท่านนบี เล่าว่า "ฉันนอนอยู่เบื้องหน้าท่านรอซูล โดยเท้าทั้งสองของฉันอยู่ทางกิบละฮฺของท่าน พอท่านสุญูดท่านก็ปัดฉัน ฉันก็หดเท้าเข้ามา พอท่านยืนขึ้นฉันก็ยืดมันออกทั้งสองข้าง" นางบอกอีกว่า "บ้านเรือนสมัยนั้นไม่มีตะเกียงหรอก" (บุคอรี : อัศเศาะลาฮฺ)
ก็แปลว่า ไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับ ผู้หญิง แม้จะขณะมีรอบเดือน เช่นกรณีของท่านหญิงมัยมูนะฮฺ
حَدَّثَنَا أَبُو النُّعْمَانِ قَالَ حَدَّثَنَا عَبْدُالْوَاحِدِ بْنُ زِيَادٍ قَالَ حَدَّثَنَا الشَّيْبَانِيُّ سُلَيْمَانُ حَدَّثَنَا عَبْدُاللهِ بْنُ شَدَّادٍ قَالَ سَمِعْتُ مَيْمُونَةَ تَقُولُ كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي وَأَنَا إِلَى جَنْبِهِ نَائِمَةٌ فَإِذَا سَجَدَ أَصَابَنِي ثَوْبُهُ وَأَنَا حَائِضٌ وَزَادَ مُسَدَّدٌ عَنْ خَالِدٍ قَالَ حَدَّثَنَا سُلَيْمَانُ الشَّيْبَانِيُّ وَأَنَا حَائِضٌ (البخاري : الصلاة)
ท่านหญิงมัยมูนะฮฺกล่าวว่า "ท่านนบี กำลังละหมาดอยู่ขณะที่ฉันนอนอยู่ข้างๆท่าน เวลาท่านสุญูดผ้าของท่านก็มาถูกตัวฉัน โดยที่ตอนนั้นฉันมีรอบเดือน" (บุคอรี : อัศเศาะลาฮฺ)
ส่วนกรณี สุนัข ก็มีรายงานอีกบทหนึ่งของอบูญุหัยฟะฮฺในเหตุการณ์เดียวกันกับเรื่องข้างบนในบันทึกของอิมามมุสลิมบอกว่า ...
فَصَلَّى الظُّهْرَ رَكْعَتَيْنِ يَمُرُّ بَيْنَ يَدَيْهِ الْحِمَارُ وَالْكَلْبُ لَا يُمْنَعُ ثُمَّ صَلَّى الْعَصْرَ رَكْعَتَيْنِ ثُمَّ لَمْ يَزَلْ يُصَلِّي رَكْعَتَيْنِ حَتَّى رَجَعَ إِلَى الْمَدِينَةِ (مسلم : الصلاة )
... ท่านนบีละหมาดซุฮร์ 2 ร็อกอฺะฮฺ เบื้องหน้าท่านก็มีลา มีสุนัข ผ่านไปมาโดยไม่มีใครห้าม แล้วท่านก็ละหมาดอัศร์อีก 2 ร็อกอฺะฮฺ ท่านยังคงละหมาด 2 ร็อกอฺะฮฺเช่นนั้นไปจนกระทั่งกลับมะดีนะฮฺ (มุสลิม : อัศเศาะลาฮฺ)
งั้น .... สุนัข ก็ผ่านได้เหมือนกันสิ
จะสรุปอย่างนั้นก็ยังไม่ถูกเสียทีเดียว ไว้พรุ่งนี้เรามาเอาทุกหะดีษข้างบนนี้มายำรวมกันแล้วพิจารณาใหม่อีกรอบนะครับ .... อินชาอัลลอฮฺ
/////////////////////////////////// |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Fri Apr 15, 2005 11:50 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
--------------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-3/2
--------------------------------------------------------------
สังเกตจากหะดีษแรกของอบูซัรร์ที่ ท่านรอซูล กล่าวว่า "เมื่อคนใดคนหนึ่งในพวกท่านยืนขึ้นละหมาดถือว่าเขาได้ตั้งสิ่งปิดกั้นแล้วถ้าเบื้องหน้าเขามีสิ่งของอย่างไม้ยันหลังอานสัตว์พาหนะ(กั้นอยู่)" นี่คือประเด็นหลัก เรื่อง "สุตเราะฮฺ" หรือสิ่งกีดกั้นป้องกันใครเดินผ่านหน้าคนละหมาด อะไรก็ได้ เอามาขวางไว้ ใครที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจะได้อ้อมไปทางอื่น ไม่เดินผ่านทางนี้ และเรายังพบคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกดังนี้ ....
حَدَّثَنَا بَكْرُ بْنُ خَلَفٍ أَبُو بِشْرٍ حَدَّثَنَا حُمَيْدُ بْنُ الْأَسْوَدِ حَدَّثَنَا إِسْمَعِيلُ بْنُ أُمَيَّةَ ح و حَدَّثَنَا عَمَّارُ بْنُ خَالِدٍ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ بْنُ عُيَيْنَةَ عَنْ إِسْمَعِيلَ بْنِ أُمَيَّةَ عَنْ أَبِي عَمْرِو بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَمْرِو بْنِ حُرَيْثٍ عَنْ جَدِّهِ حُرَيْثِ بْنِ سُلَيْمٍ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ إِذَا صَلَّى أَحَدُكُمْ فَلْيَجْعَلْ تِلْقَاءَ وَجْهِهِ شَيْئًا فَإِنْ لَمْ يَجِدْ فَلْيَنْصِبْ عَصًا فَإِنْ لَمْ يَجِدْ فَلْيَخُطَّ خَطًّا ثُمَّ لَا يَضُرُّهُ مَا مَرَّ بَيْنَ يَدَيْهِ (ابن ماجه : إقامة الصلاة والسنة)
อบูฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ท่านนบี สอนว่า "เมื่อคนใดคนหนึ่งในพวกท่านละหมาด ก็จงหาสิ่งของวางไว้ข้างหน้า ถ้าหาไม่ได้ก็จงเอาไม้เท้าปักไว้ ถ้าหาไม่ได้จริงๆก็จงขีดเส้นบอกเขตไว้ แล้วอะไรที่มาผ่านหน้าเขาก็จะได้ไม่ก่อโทษอันใดแก่เขา" (อิบนิมาญะฮฺ : อิกฺอมะติศเศาะลาฮฺ)
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الصَّبَّاحِ بْنِ سُفْيَانَ أَخْبَرَنَا سُفْيَانُ ح و حَدَّثَنَا عُثْمَانُ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ وَحَامِدُ بْنُ يَحْيَى وَابْنُ السَّرْحِ قَالُوا حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنْ صَفْوَانَ بْنِ سُلَيْمٍ عَنْ نَافِعِ بْنِ جُبَيْرٍ عَنْ سَهْلِ بْنِ أَبِي حَثْمَةَ يَبْلُغُ بِهِ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ إِذَا صَلَّى أَحَدُكُمْ إِلَى سُتْرَةٍ فَلْيَدْنُ مِنْهَا لَا يَقْطَعِ الشَّيْطَانُ عَلَيْهِ صَلَاتَهُ
.. أبوداود : الصلاة
สะฮฺล์ บินอะบีหัษมะฮฺ รายงานว่า ท่านนบี กล่าวว่า "เมื่อคนใดคนหนึ่งในพวกท่านละหมาดโดยมีสุตเราะฮฺกั้น เขาจงอยู่ใกล้ๆมัน(ในระยะที่พอเหมาะ) ชัยฏอนจะได้ไม่มาตัดการละหมาดของเขา" (อบูดาวูด : อัศเศาะลาฮฺ; นะสาอี : กิบละฮฺ)
แปลว่าถ้ากั้นสุตเราะฮฺแล้วอะไรที่มาผ่านนอกเขตสุตเราะฮฺก็ไม่มีผลอะไรกับการละหมาด ซึ่งจะพบว่าบางทีท่านนบีก็ใช้อูฐทั้งตัวเป็นสุตเราะฮฺบ้าง ใช้อานบ้าง ไม้ยันหลังอานบ้าง หอก ไม้เท้า หรือไม่ก็กำแพง เป็นเครื่องหมายบอกเขตการละหมาดของท่านเพื่อไม่ให้ใครผ่านตัดหน้า แต่ถ้าขนาดกั้นไว้แล้วเห็นๆ ใครยังจะมาผ่านอีก นบีบอกนั่นแหละชัยฏอน
... قَالَ أَبُو سَعِيدٍ الْخُدْرِيَّ) سَمِعْتُ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ إِذَا صَلَّى أَحَدُكُمْ إِلَى شَيْءٍ يَسْتُرُهُ مِنَ النَّاسِ فَأَرَادَ أَحَدٌ أَنْ يَجْتَازَ بَيْنَ يَدَيْهِ فَلْيَدْفَعْهُ فَإِنْ أَبَى فَلْيُقَاتِلْهُ فَإِنَّمَا هُوَ شَيْطَانٌ (البخاري : الصلاة)
อบูสะอีด อัลคุดรีเล่าว่า ฉันได้ยินท่านนบีกล่าวว่า "เมื่อคนใดคนหนึ่งในพวกท่านละหมาดโดยมีสุตเราะฮฺกั้นขวางจากผู้คน แล้วยังจะมีใครต้องการจะผ่านเบื้องหน้าเขาอีกก็จงผลักยั้งผู้นั้นไว้ ถ้ามันยังฝืนอีกก็จงสู้กับมัน เพราะแท้จริง นั่นแหละคือชัยฏอน" (บุคอรี : อัศเศาะลาฮฺ)
حَدَّثَنَا أَبُو مَعْمَرٍ حَدَّثَنَا عَبْدُالْوَارِثِ حَدَّثَنَا يُونُسُ عَنْ حُمَيْدِ بْنِ هِلَالٍ عَنْ أَبِي صَالِحٍ عَنْ أَبِي سَعِيدٍ قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا مَرَّ بَيْنَ يَدَيْ أَحَدِكُمْ شَيْءٌ وَهُوَ يُصَلِّي فَلْيَمْنَعْهُ فَإِنْ أَبَى فَلْيَمْنَعْهُ فَإِنْ أَبَى فَليُقَاتِلْهُ فَإِنَّمَا هُوَ شَيْطَانٌ (البخاري : بدءالخلق)
อบูสะอีด อัลคุดรีเล่าว่า ท่านนบีกล่าวว่า "ถ้ามีสิ่งใดมาผ่านหน้าคนใดคนหนึ่งในพวกท่านขณะที่เขากำลังละหมาดอยู่ เขาจงห้ามมัน ถ้ามันยังฝืนอีกก็จงห้ามมัน(หนักหน่วงขึ้น) ถ้ามันยังฝืนอยู่อีกก็จงสู้มัน เพราะแท้จริงนั่นแหละคือชัยฏอน" (บุคอรี : บะดะอิลค็อลกฺ)
حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى قَالَ قَرَأْتُ عَلَى مَالِكٍ عَنْ زَيْدِ بْنِ أَسْلَمَ عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ أَبِي سَعِيدٍ عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ إِذَا كَانَ أَحَدُكُمْ يُصَلِّي فَلَا يَدَعْ أَحَدًا يَمُرُّ بَيْنَ يَدَيْهِ وَلْيَدْرَأْهُ مَا اسْتَطَاعَ فَإِنْ أَبَى فَلْيُقَاتِلْهُ فَإِنَّمَا هُوَ شَيْطَانٌ (مسلم : الصلاة)
อบูสะอีด อัลคุดรีเล่าว่า ท่านนบีกล่าวว่า "เมื่อคนใดคนหนึ่งในพวกท่านกำลังละหมาดอยู่ จงอย่ายอมให้ใครมาผ่านหน้า จงต่อต้านมันให้เต็มที่สุดความสามารถ ถ้ามันยังฝืนอยู่อีกก็จงสู้มัน เพราะแท้จริงนั่นแหละคือชัยฏอน" (มุสลิม : อัศเศาะลาฮฺ)
สำหรับ 2-3 หะดีษนี้ที่ผมแปลไว้ว่า จงสู้กับมัน บางทีอาจจะไปเจอบางที่เขาแปลว่า จงฆ่ามัน กันเลยทีเดียว ซึ่งค่อนข้างจะดุเดือดไปสักหน่อย แต่ความหมายก็คงเหมือนกันละครับ คือ พยายามต้านทานอย่างเต็มที่ไม่ให้มาเดินผ่านตรงที่กำลังละหมาดอยู่นี่ ไม่ได้หมายความว่าให้ฆ่าแกงกันจริงๆ
แล้วชัยฏอนมันมีหน้าที่อะไรครับ? อาชีพหลักของมันก็คือ หันเหบ่าวผู้ภักดีออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
حَدَّثَنَا مَحْمُودٌ حَدَّثَنَا شَبَابَةُ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ زِيَادٍ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِي الله عَنْه عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ صَلَّى صَلَاةً فَقَالَ إِنَّ الشَّيْطَانَ عَرَضَ لِي فَشَدَّ عَلَيَّ يَقْطَعُ الصَّلَاةَ عَلَيَّ فَأَمْكَنَنِي اللهُ مِنْهُ (البخاري : بدء الخلق)
อบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่า ครั้งหนึ่งท่านนบีละหมาด แล้วท่านบอกว่า "ชัยฏอนได้มาปรากฏต่อฉัน มันได้พยายามอย่างยิ่งที่จะตัด(หันเหสมาธิออกจาก)การละหมาดของฉัน แต่อัลลอฮฺทรงให้ฉันสามารถเอาชนะมันได้" (บุคอรี : บะดะอัลค็อลก์ )
ด้วยเหตุนี้แหละครับ ใครที่มารบกวนการละหมาดทั้งๆที่เขาป้องกันไว้แล้วจึงไม่ต่างอะไรจากชัยฏอนไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นหน้าที่ของคนที่กำลังละหมาดจะต้องกันไว้อย่างสุดความสามารถ และก็เป็นหน้าที่ของคนที่ไม่ได้ละหมาดเช่นกันที่จะต้องระมัดระวังไม่ไปตัดหน้าคนละหมาด
حَدَّثَنَا عَبْدُاللهِ بْنُ يُوسُفَ قَالَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ أَبِي النَّضْرِ مَوْلَى عُمَرَ بْنِ عُبَيْدِاللهِ عَنْ بُسْرِ بْنِ سَعِيدٍ أَنَّ زَيْدَ بْنَ خَالِدٍ أَرْسَلَهُ إِلَى أَبِي جُهَيْمٍ يَسْأَلُهُ مَاذَا سَمِعَ مِنْ رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي الْمَارِّ بَيْنَ يَدَيِ الْمُصَلِّي فَقَالَ أَبُو جُهَيْمٍ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَوْ يَعْلَمُ الْمَارُّ بَيْنَ يَدَيِ الْمُصَلِّي مَاذَا عَلَيْهِ لَكَانَ أَنْ يَقِفَ أَرْبَعِينَ خَيْرًا لَهُ مِنْ أَنْ يَمُرَّ بَيْنَ يَدَيْهِ قَالَ أَبُو النَّضْرِ لَا أَدْرِي أَقَالَ أَرْبَعِينَ يَوْمًا أَوْ شَهْرًا أَوْ سَنَةً (البخاري : الصلاة)
อบูญุฮัยม์ เล่าว่า ท่านรอซูล สอนว่า "ถ้าคนที่เดินผ่านหน้าคนละหมาดรู้ว่าเขาจะต้องได้รับโทษอย่างไรบ้างละก็ การที่เขาจะหยุดรอนานถึงสี่สิบนั้นยังดีกว่าที่จะเดินผ่านหน้าเขา" อบูนัฎร์(ผู้รายงานคนหนึ่งในสายรายงานนี้)กล่าวว่า "ฉันไม่รู้ว่า ท่านกล่าวว่าสี่สิบวัน หรือว่าเดือน หรือว่าปีกันแน่" (บุคอรี : อัศเศาะลาฮฺ)
จะ 40 อะไรก็ช่างเถอะครับ คนละหมาดอย่างมากไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว ไม่ถึง 40 นาทีด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นสำนวนนี้ถ้าจะแปลให้หวานๆซื้งๆก็คงจะต้องบอกว่า ...."นานแค่ไหนก็จะรอ".... ใช่มั้ยครับ
กลับมาตรงคำที่บอกว่า "ตัดการละหมาด" ที่คุณแมทท์แปลไว้ว่า "การละหมาดของ เขาผู้นั้น จะไม่บรรลุผล(คือใช้ไม่ได้)" ในสำนวนหะดีษใช้คำว่า "ยักฺเฏาะอุ-يقطع " ผมแปลไว้ตรงตัวว่า ตัด เรื่องนี้ก็มีทัศนะเป็นสองอย่าง คือส่วนหนึ่งว่าทำให้การละหมาดเสีย แต่ก็ยังไม่พบรายงานใดกล่าวถึงการเสียละหมาดด้วยเหตุนี้จนถึงกับต้องกลับมาละหมาดใหม่ (ใครทราบช่วยบอกด้วยครับ ผมอาจจะหลงหูหลงตาไป) กับอีกส่วนหนึ่งบอกว่า ทำให้การละหมาดบกพร่อง เนื่องจากจิตใจวอกแวก หรือทำให้เสียสมาธิในการละหมาด(คุชัวะอฺ) คือถ้าไม่มีสุตเราะฮฺ สายตามันอาจจะออกไปเดินเล่นไกลไปหน่อย มุมมองมันก็จะกว้างแล้วพอมีใครหรืออะไรผ่านมาในระยะสายตาก็อาจจะหันเหความสนใจออกไปได้นาน ก็จะทำให้ใจเป๋ แต่ถ้ามีสุตเราะฮฺในระยะใกล้ๆ มุมมองของคนที่ละหมาดนั้นก็จะแคบลง ถึงจะมีอะไรผ่านเข้ามาในระยะสุตเราะฮฺ มันก็ผ่านเข้ามาในช่วงสั้นๆและรวดเร็ว ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อจิตใจเท่าใดนัก หรือถ้าเห็นแล้วกั้นทันก็ให้ทำ
ถามว่า... ใจเป๋มั้ย?...แน่นอน เป๋แหง๋ๆ แต่นั่นกลับเป็นอีกบทหนึ่งของการสอนมารยาทแก่"ชัยฏอน"ตัวนั้น....วัลลอฮุอะอฺลัม
อย่างไรก็ตามในเมื่อนบีบอกว่า ผ่านในกรณีมีสุตเราะฮฺ ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีสุตเราะฮฺ มันจะตัดการละหมาด มันจะทำให้บกพร่อง เราก็รับทราบเช่นนั้นก็แล้วกัน บางอย่างบางเรื่องถึงเราจะวิเคราะห์วิจัยขนาดไหน เราก็อาจจะเข้าไม่ถึงหิกมะฮฺที่แฝงอยู่ในคำสั่งนั้นก็ได้ หน้าที่ของเราก็คือ "ครับ...ใช่" เท่านั้นเอง
น่าจะสรุปเรื่องสุตเราะฮฺเสียตรงนี้เลยดีกว่า
1 ละหมาดในที่โล่งให้หาของมากั้นเป็นสุตเราะฮฺ กันไม่ให้อะไรเดินผ่าน
2 ถ้าไม่มีสุตเราะฮฺกั้น อะไรมาเดินผ่านมันจะตัดการละหมาด (จะตีความว่า เสีย หรือ บกพร่อง ก็แล้วแต่ทัศนะ)
3 ถ้ามีสุตเราะฮฺกั้นแล้ว ถึงจะมีอะไรผ่านก็ไม่เป็นไร....(แต่รู้ไว้ด้วยว่านั่นคือ ชัยฏอน...ตัวป่วน)
4 ผู้ละหมาดพึงปกป้องอาณาเขตการละหมาดของตนอย่างเต็มที่
แต่ที่หลอกให้อ่านมาตั้งยืดยาวนี่ก็ยังไม่เข้าเป้า จานแมทท์ หรอก...ผมทราบ
จุดที่คุณแมทท์โจมตีคือ การที่เอาผู้หญิงไปผูกรวมไว้ในหะดีษเดียวกับลากะสุนัข(ดำ) นัยว่าเป็นการ... "ลำเอียงดูหมิ่น ผู้หญิง เพศมารดา" (matt : Thu Feb 24, 2005 10:09 pm)
นั่นสิ .... จะแก้ข้อกล่าวหายังไง ต้องติดตามตอนต่อไปพรุ่งนี้ครับ...อินชาอัลลอฮฺ
//////////////////////////////// |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sat Apr 16, 2005 3:09 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
คุณ matt คงจงพิจารณาโองการต่อไปนี้
1.من يطع الرسول فقدأطاع الله ومن تولي فماأرسلناك عليهم حفيظا
ความว่า" ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอน เขาก็เชื่อฟังอัลลอฮแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็มิได้ส่งเจ้าไปในฐานะควบคุมพวกเขา- อันนิสาอ/80
2.وأقيمواالصلاة وءاتواالزكاة وأطيعواالرسول لعلكم ترحمون
ความว่า" พวกเจ้าจงดำรงการละหมาดและจงบริจาคซะกาตและจงเชื่อฟังรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา- อันนูร/56
สองโองการข้างต้น ถ้าใจคุณไม่มืดบอด คุณก็จะเห็นว่า อัลลอฮทรงบัญชา ให้มุสลิม เชื่อฟังรอซูล การเชื่อฟังรอซูล ก็เหมือนเชื่อฟังอัลลอฮ เพราะรอซูล คือ ผู้ที่อธิบายคำภีร์ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮ แล้วสอนให้มนุษย์ปฏิบัติ
คุณไปเรียนมาจากใหนครับ ก็คงจะพอๆกับ ดร หญิงชาวอเมริกัน นำนมาซวันศุกร์ นั้นแหละ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sat Apr 16, 2005 11:21 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
----------------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-3/3
-----------------------------------------------------------
เพื่อนซี้ของผมเคยบอกว่า "ตัวอักษรมันไม่มีอารมณ์" หมายความว่า ข้อความบางอย่างที่ผู้พูดพูดด้วยอารมณ์หนึ่ง แต่พอบันทึกความเป็นตัวอักษรแล้ว อารมณ์นั้นอาจจะหายไป หรือเหมือนกลายเป็นอารมณ์อื่นไป บางทีพูดด้วยความกราดเกรี้ยวแต่พอแปลงเป็นอักษร อ่านแล้วขำก็มี หรือผู้พูด พูดในเชิงหยอกเย้า แต่พอเขียนเป็นตัวหนังสือกลายเป็นซีเรียสไปเลยก็ได้ เช่นเดียวกับคำพูดของท่านหญิงอฺาอิชะฮฺในกรณีนี้
حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ بْنُ خَلِيلٍ حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ عَنِ الْأَعْمَشِ عَنْ مُسْلِمٍ يَعْنِي ابْنَ صُبَيْحٍ عَنْ مَسْرُوقٍ عَنْ عَائِشَةَ أَنَّهُ ذُكِرَ عِنْدَهَا مَا يَقْطَعُ الصَّلَاةَ فَقَالُوا يَقْطَعُهَا الْكَلْبُ وَالْحِمَارُ وَالْمَرْأَةُ قَالَتْ لَقَدْ جَعَلْتُمُونَا كِلَابًا لَقَدْ رَأَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي وَإِنِّي لَبَيْنَهُ وَبَيْنَ الْقِبْلَةِ وَأَنَا مُضْطَجِعَةٌ عَلَى السَّرِيرِ فَتَكُونُ لِيَ الْحَاجَةُ فَأَكْرَهُ أَنْ أَسْتَقْبِلَهُ فَأَنْسَلُّ انْسِلَالًا (البخاري : الصلاة)
มัสรูก รายงานจากท่านหญิงอฺาอิชะฮฺว่า มีการพูดกันต่อหน้านางถึงสิ่งที่ตัดการละหมาด พวกเขากล่าวว่า "สุนัข ลาและผู้หญิง ตัดการละหมาด" นางกล่าวว่า "แน่นอน พวกท่านทำให้เราเป็นสุนัข( جَعَلْتُمُونَا كِلَابًا ) แน่นอนฉันได้เห็นท่านนบีละหมาดโดยฉันนอนอยู่บนที่นอนระหว่างท่านกับกิบละฮฺ....." (บุคอรี : อัศเศาะลาฮฺ)
حَدَّثَنَا عُمَرُ بْنُ حَفْصِ بْنِ غِيَاثٍ قَالَ حَدَّثَنَا أَبِي قَالَ حَدَّثَنَا الْأَعْمَشُ قَالَ حَدَّثَنَا إِبْرَاهِيمُ عَنِ الْأَسْوَدِ عَنْ عَائِشَةَ ح قَالَ الْأَعْمَشُ وَحَدَّثَنِي مُسْلِمٌ عَنْ مَسْرُوقٍ عَنْ عَائِشَةَ ذُكِرَ عِنْدَهَا مَا يَقْطَعُ الصَّلَاةَ الْكَلْبُ وَالْحِمَارُ وَالْمَرْأَةُ فَقَالَتْ شَبَّهْتُمُونَا بِالْحُمُرِ وَالْكِلَابِ وَاللهِ لَقَدْ رَأَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي وَإِنِّي عَلَى السَّرِيرِ بَيْنَهُ وَبَيْنَ الْقِبْلَةِ مُضْطَجِعَةً فَتَبْدُو لِيَ الْحَاجَةُ فَأَكْرَهُ أَنْ أَجْلِسَ فَأُوذِيَ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَنْسَلُّ مِنْ عِنْدِ رِجْلَيْهِ (البخاري : الصلاة)
و حَدَّثَنِي عَمْرُو بْنُ عَلِيٍّ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ أَبِي بَكْرِ بْنِ حَفْصٍ عَنْ عُرْوَةَ بْنِ الزُّبَيْرِ قَالَ قَالَتْ عَائِشَةُ مَا يَقْطَعُ الصَّلَاةَ قَالَ فَقُلْنَا الْمَرْأَةُ وَالْحِمَارُ فَقَالَتْ إِنَّ الْمَرْأَةَ لَدَابَّةُ سَوْءٍ لَقَدْ رَأَيْتُنِي بَيْنَ يَدَيْ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مُعْتَرِضَةً كَاعْتِرَاضِ الْجَنَازَةِ وَهُوَ يُصَلِّي (مسلم : الصلاة)
อีกสองหะดีษนี้ก็เรื่องเดียวกัน...ขอไม่แปลละนะครับ... จับเฉพาะ key words ที่ต่างออกไปก็พอ ท่านหญิงอาอิชะฮฺใช้คำพูดว่า "พวกท่านทำให้เรา(ผู้หญิง)เหมือนกับลาและสุนัข( شَبَّهْتُمُونَا بِالْحُمُرِ وَالْكِلَابِ )" และ "แท้จริงผู้หญิงก็เป็นสัตว์ชั้นต่ำ( إِنَّ الْمَرْأَةَ لَدَابَّةُ سَوْءٍ )" นี่ผมพยายามแปลตามตัวอักษรโดยยังไม่ได้ใส่อารมณ์หรือ feeling ในคำพูดนะครับ
แน่นอน เราไม่ได้นั่งคุยอยู่กับท่านหญิงอฺาอิชะฮฺ เพียงการถ่ายทอดคำพูดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ต่อๆมาจนกลายเป็นตัวอักษรมาให้เราได้อ่านกันวันนี้ feeling ในคำพูดตรงนั้นมันหายไปหมดแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่อาจรู้ได้ว่า ในบรรยากาศนั้นท่านหญิงอฺาอิชะฮฺมีความรู้สึกอย่างไร หรือพูดออกมาเช่นนั้นด้วยอารมณ์ไหน...
"นี่พวกท่านเปรียบเรากับสัตว์เชียวหรือ" ..... ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"พวกท่านเอาเราไปเปรียบกับสัตว์เลยนะ" .... ค้อนนิดๆในเชิงต่อว่า
"โห...เอาไปเทียบกับสัตว์เลยเหรอ" .... ขำหน่อยๆ
จะใช้สำนวนใด อารมณ์ไหนมาแปลรายงานเหล่านี้ดีครับ? เพราะแต่ละสำนวน แต่ละอารมณ์มันสื่อความหมายที่ต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง มันอาจจะแปลว่าโกรธก็ได้ หรือไม่โกรธก็ได้ หรือเข้าใจในความไม่ประสาของผู้พูด หรืออย่างไรก็ได้ แต่ท่านหญิงฯเองอาจจะเข้าใจความหมายของการกล่าวถึงสิ่งที่ตัดการละหมาดที่ว่านั้นอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้หมายถึง "ผู้หญิง"ในความหมายทั่วๆไป ท่านจึงแก้ต่างให้ผู้หญิงทั้งหมดด้วยการอ้างถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างท่านหญิงกับท่านนบี เพื่อบ่งบอกว่า "ผู้หญิง" ไม่ตัดการละหมาดหรอก
และอีกประการหนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่ากันต่อๆมา โดยมิได้สื่ออารมณ์หรือความรู้สึกของท่านนบีมาด้วยว่า ที่ท่านกล่าวถึง 3 สิ่งนั้นเพื่อระบุเจาะจงถึง 3 สิ่งนั้นโดยเฉพาะหรือเป็นการกล่าวลอยๆถึงวัตถุสิ่งของทั่วๆไป คือผมกำลังจะบอกว่า ผมมองประเด็นนี้เป็นสองมุม คือ
1 ท่านนบีเจาะจงถึง 3 สิ่งที่ตัดการละหมาด ซึ่งในตำรับตำราส่วนใหญ่จะมองในแง่มุมนี้ แล้วเขาก็อ้างตัวบทหลักฐานอื่นมาลบล้างไปทีละเปลาะๆ ดังที่ได้กล่าวมายืดยาวข้างต้น (เพราะฉะนั้นที่ให้อ่านมาตั้งเยอะนั่นก็ไม่น่าจะเสียหลาย...เนอะ!)
2 อันนี้ต้องขอเรียนตามตรงว่าเป็นความคิดส่วนตัวของผมเอง เพราะยังไม่พบตำราใดกล่าวถึงแง่มุมนี้ .... ถ้าย้อนกลับไปอ่านหะดีษทั้งหมดที่ยกมาอ้างในหัวข้อนี้จะพบว่า
- ท่านนบีกล่าวถึงการละหมาด ให้หาของมากั้นเป็นสุตเราะฮฺ
- มีรายงานกล่าวถึง ผู้หญิง ลา สุนัข ผ่านไปมานอกเขตสุตเราะฮฺ ซึ่งบางรายงานระบุว่าเจาะจงลงไปอีกว่าเป็นผู้หญิงมีรอบเดือน และสุนัขดำ
- ห้ามใครมาผ่านในเขตสุตเราะฮฺ ใครผ่านเข้ามาในเขตสุตเราะฮฺ ถือว่าเป็นชัยฏอน
- บางรายงานยังบอกอีกว่านอกจาก 3 สิ่งดังกล่าวนั้นแล้ว ยังมีอย่างอื่นที่ตัดการละหมาดด้วย เช่น หมู ยะฮูดี มะญูซี และกาฟิร
จะเห็นว่า สิ่งที่จะมาผ่านหน้าคนละหมาดนั้นตามรายงานที่เป็นคน คือ ผู้หญิงมีรอบเดือน ยิว มะญูซ กาฟิร ซึ่งคนเหล่านี้ ไม่ได้ร่วมละหมาดด้วย ที่เป็นสัตว์อาจจะระบุไว้เพียง สุนัข ลา หมู ซึ่งมันก็ไม่ได้ร่วมละหมาดเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่รู้หรอกว่าเขาละหมาดกันอยู่ หรืออาจจะผ่านเข้ามาโดยไม่ทันสังเกตถ้าไม่มีสุตเราะฮฺขวางกั้นอยู่ ผมจึงตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ท่านนบีกล่าวถึงอาจจะไม่ได้หมายความระบุเจาะจงถึงสิ่งนั้นๆเป็นการเฉพาะ แต่หมายถึง "คนอื่น" หรือ "สัตว์ต่างๆ" จะผ่านเข้ามาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และที่ท่านนบีกล่าวถึง 3 สิ่งนั้นก็เป็นเพียงการยกตัวอย่าง เพราะเห็นๆอยู่ว่า มีผู้หญิงที่ไม่ได้ละหมาดเดินไปเดินมาอยู่ มีสุนัข มีลาเพ่นพ่านอยู่ในบริเวณใกล้เคียงตามที่ปรากฏในบางรายงานข้างต้น เหมือนกับเรากล่าวว่า "ใครจะละหมาดตรงนี้ก็กั้นสุตเราะฮฺซะ เดี๋ยวใครหรือตัวอะไร ฯลฯ มาผ่านหน้าแล้วใจจะวอกแวกเสียสมาธิ" โดยเราแทนที่คำว่า ผู้หญิง ลาและสุนัขที่ปรากฏในหะดีษด้วย "ฯลฯ" คือจะเป็นอะไรก็ได้ที่อยู่ในบริเวณนั้นและไม่ได้ร่วมละหมาดด้วยกัน เมื่อกั้นสุตเราะฮฺแล้วใครหรือตัวอะไรผ่านมาเห็นสิ่งกีดขวางนั้นก็จะได้เลี่ยงไปทางอื่น แต่ถ้าไม่กั้นมันก็จะดุ่ยๆเข้ามาโดยไม่รู้ประสีประสา สัตว์น่ะมันไม่รู้หรอกว่าคนเขาละหมาดอยู่ หรือ ถ้าเป็นคนก็อาจจะไม่ได้สังเกต เพราะไม่มีอะไรให้สังเกตวางกั้นไว้ แต่ถ้าทั้งๆที่ตั้งสุตเราะฮฺขวางกั้นไว้แล้ว ยังจะดันทุรังผ่านเข้ามาอีก ก็นับว่าแย่เต็มที ท่านนบีถึงบอกว่านั่นน่ะ...."ชัยฏอน"..... จะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ให้สู้กับมันได้เลย เพราะมันกำลังจะมาทำหน้าที่ตามที่ได้รับการบงการจากนายใหญ่ของมันนั่นเอง ซึ่งผมคิดว่านี่น่าจะเป็นคำเฉลยที่ดีที่สุดว่า หะดีษดังกล่าวนั้นมิได้มีจุดประสงค์ดังที่คุณแมทท์ปรักปรำแม้แต่น้อย.... วัลลอฮุอะอฺลัม
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการแสดงทัศนะนะครับ อาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็ได้ ผมมิอาจฟันธงว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เนื่องจากบางทีอาจจะมีตัวบทอื่นที่ผมยังไม่พบระบุถึงความชัดเจนในเรื่องนี้ได้ดีกว่านี้ก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ก็พึงระลึกเสมอว่าท่านนบีและบรรดาเศาะหาบะฮฺที่อยู่ร่วมกับท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงาม ความเข้าใจบางส่วนในเหตุการณ์นั้นอาจไม่ได้ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรมาถึงรุ่นเราอย่างครบถ้วนก็ได้ และที่สำคัญก็คือ นั่นมิใช่สาเหตุที่จะต้องบอกปัด ปฏิเสธไม่ยอมรับหะดีษใดๆเลย การมีแหล่งทรัพยากรทางความรู้และวิชาการจากหลายๆทางช่วยประกอบการพิจารณา ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรในมือเลย...หรือเพียงแต่ใช้ความคิดเห็นของใครของมันตีความเอาเองให้มันเตลิดเปิดเปิงไปตามอารมณ์...มิใช่หรือ?
==================
อีกประเด็นหนึ่งก็น่าสนใจมิใช่น้อย .... จากที่คุณ'จานแมทท์หลับหูหลับตาแปลออกมาว่า....
วิญญานชั่วช้าสถิตย์อยู่ใน ผู้หญิง , ม้า และ บ้าน (ทรัพย์สิน) (matt : Thu Feb 24, 2005 10:09 pm)
อันนี้ก็คงอีกยาวเช่นกัน เพราะฉะนั้น ... พรุ่งนี้นะครับ.... ค่อยมาว่ากันต่อ อินชาอัลลอฮฺ
//////////////////////////////////////////////// |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Apr 17, 2005 12:49 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
กลับไปขายอาหารที่อเมริกาเถอะครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Sun Apr 17, 2005 12:55 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
แปลกจริงๆ คุณ matt |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sun Apr 17, 2005 8:51 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
-----------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-3/4
-----------------------------------------------------
วิญญานชั่วช้าสถิตย์อยู่ใน ผู้หญิง , ม้า และ บ้าน (ทรัพย์สิน) (matt : Thu Feb 24, 2005 10:09 pm)
ก็เหมือนเดิมนะครับ ต้องมาไล่หากันก่อนว่า จานแมทท์ ทั่นเอามาจากไหน....."วิญญาณชั่วช้า" เนี่ย
ไปสืบในภาษาปะกิตก็เจอแต่ที่เขาใช้คำว่า "Evil omen" หรือ "ill omen" เช่นใน..
Bukhari Volume 4, Book 52(Al-Jihaad), Number 110:
Narrated 'Abdullah bin 'Umar: I heard the Prophet saying. "Evil omen is in three things: The horse, the woman and the house."
Muslim Book 26(AS-SALAM), Number 5524:
'Abdullah b. 'Umar reported Allah's Messenger (may peace be upon him) as saying. There is no transitive disease, no ill omen, and bad luck is lound in the house, or wife or horse.
ถ้าในภาษาอรับก็คือหะดีษนี้ครับ ....
حَدَّثَنَا أَبُو الْيَمَانِ أَخْبَرَنَا شُعَيْبٌ عَنِ الزُّهْرِيِّ قَالَ أَخْبَرَنِي سَالِمُ بْنُ عَبْدِاللهِ أَنَّ عَبْدَاللهِ بْنَ عُمَرَ رَضِي الله عَنْهممَا قَالَ سَمِعْتُ النَّبِيَّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ إِنَّمَا الشُّؤْمُ فِي ثَلَاثَةٍ فِي الْفَرَسِ وَالْمَرْأَةِ وَالدَّارِ (البخاري : الجهاد)
حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ قَالَ حَدَّثَنِي مَالِكٌ عَنِ ابْنِ شِهَابٍ عَنْ حَمْزَةَ وَسَالِمٍ ابْنَيْ عَبْدِاللهِ بْنِ عُمَرَ عَنْ عَبْدِاللهِ بْنِ عُمَرَ رَضِي الله عَنْهممَا أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ الشُّؤْمُ فِي الْمَرْأَةِ وَالدَّارِ وَالْفَرَسِ (البخاري : النكاح)
و حَدَّثَنَا أَبُو الطَّاهِرِ وَحَرْمَلَةُ بْنُ يَحْيَى قَالَا أَخْبَرَنَا ابْنُ وَهْبٍ أَخْبَرَنِي يُونُسُ عَنِ ابْنِ شِهَابٍ عَنْ حَمْزَةَ وَسَالِمٍ ابْنَيْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عُمَرَ عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عُمَرَ أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لَا عَدْوَى وَلَا طِيَرَةَ وَإِنَّمَا الشُّؤْمُ فِي ثَلَاثَةٍ الْمَرْأَةِ وَالْفَرَسِ وَالدَّارِ (مسلم : السلام)
บุคอรี : อับดุลลอฮฺ อิบนิอุมัร เล่าว่า ฉันได้ยินท่านนบี กล่าวว่า "อัชชุอ์มุ นั้นมีอยู่ใน 3 สิ่ง คือ ม้า ผู้หญิง และบ้าน" (บุคอรี : อัลญิฮาด)
และ: อับดุลลอฮฺ อิบนิอุมัร เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "อัชชุอ์มุ นั้นมีอยู่ใน ผู้หญิง บ้าน และม้า" (บุคอรี : อันนิกาห์)
มุสลิม : อับดุลลอฮฺ อิบนิอุมัร เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "ไม่มีอัดวา ไม่มีฏิยะเราะฮฺ ส่วน อัชชุอ์มุ นั้นมีอยู่ใน 3 สิ่ง คือ ผู้หญิง ม้า และบ้าน" (มุสลิม : อัสสะลาม)
"อัดวา" ในตำราบอกว่า เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของอรับญาฮิลียะฮฺ ว่าโรคภัยไข้เจ็บไม่ว่าจะระบาดในสัตว์หรือมนุษย์ก็ตามนั้นมันเกิดขึ้นมาเอง ไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์การอนุมัติ หรือตักดีรของอัลลอฮฺ ไม่แน่ใจว่าผมจะเข้าใจถูกหรือป่าวนะครับ เท่าที่อ่านก็สรุปมาได้หยั่งงี้ ดูจะคล้ายๆกับความเชื่อของคนไทยเรื่องโรคลมเพลมพัดนะครับ ที่ว่ามันเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งท่านนบีบอกว่าความเชื่อเช่นนั้นมันไม่ถูกต้อง มีรายงานว่า
حَدَّثَنَا أَبُو الْيَمَانِ أَخْبَرَنَا شُعَيْبٌ عَنِ الزُّهْرِيِّ قَالَ حَدَّثَنِي أَبُو سَلَمَةَ بْنُ عَبْدِالرَّحْمَنِ أَنَّ أَبَا هُرَيْرَةَ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ لَا عَدْوَى قَالَ أَبُو سَلَمَةَ بْنُ عَبْدِالرَّحْمَنِ سَمِعْتُ أَبَا هُرَيْرَةَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لَا تُورِدُوا الْمُمْرِضَ عَلَى الْمُصِحِّ وَعَنِ الزُّهْرِيِّ قَالَ أَخْبَرَنِي سِنَانُ بْنُ أَبِي سِنَانٍ الدُّؤَلِيُّ أَنَّ أَبَا هُرَيْرَةَ رَضِي الله عَنْه قَالَ إِنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لَا عَدْوَى فَقَامَ أَعْرَابِيٌّ فَقَالَ أَرَأَيْتَ الْإِبِلَ تَكُونُ فِي الرِّمَالِ أَمْثَالَ الظِّبَاءِ فَيَأْتِيهَا الْبَعِيرُ الْأَجْرَبُ فَتَجْرَبُ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَمَنْ أَعْدَى الْأَوَّلَ (البخاري : الطب)
อบูฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ท่านนบี กล่าวว่า "พวกท่านจงอย่าเอาสัตว์(หรือคน)ป่วยไปรวมกับสัตว์(หรือคน)ที่สุขภาพดี"
และอีกรายหนึ่งจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ ว่าท่านรอซูล กล่าวว่า "ไม่มี อัดวา" อรับบ้านนอกคนหนึ่งได้ลุกขึ้นกล่าวว่า "ท่านเห็นอูฐที่อยู่กลางทรายหรือไม่เล่า มันเหมือนกวางเลย แต่พอมีอูฐเป็นขี้เรื้อนเข้ามา พวกมันก็ติดขี้เรื้อนกันหมด" ท่านนบีกล่าวว่า "แล้วใครเล่าที่ทำให้ตัวแรกนั่นมันเป็นโรค" (บุคอรี)
"อัฏฏิยะเราะฮฺ" ก็คืออีกความเชื่อหนึ่งที่มาจากการเสี่ยงทายด้วยนกว่าถ้ามันบินไปทางโน้นเป็นลางดี ถ้ามาทางนี้เป็นลางร้าย คล้ายๆที่คนไทยเราเชื่อเรื่องจิ้งจกทักอะไรทำนองนั้น ซึ่งท่านนบีบอก ไม่มี...ไม่มีการเชื่อถือเรื่องโชคลางไร้สาระเหล่านี้
ส่วน "อัชชุอ์มุ" ที่จานแมทท์ท่านแปลออกมาเป็นวิญญาณชั่วร้ายนั้น ผมว่า น่าจะแปลว่า ลางร้ายหรือความโชคร้าย มากกว่า พอ 'จาน ทั่นแปลเป็นวิญญาณชั่วร้ายสิงสถิตย์คนนั้น สิ่งนี้ ทั่นก็เลยเหมาไปถึงผู้หญิงทั้งหมดเลย เพราะเห็นทั่นไปใส่วงเล็บไว้ในพันทิพว่าหมายถึง ญาติผู้ใหญ่ เทือกเถาเหล่ากอที่เป็นผู้หญิงทั้งตระกูลเลย
เกริ่นมานานพอสมควรแล้ว น่าจะเข้าฉาก "แก้ข้อกล่าวหา" ได้แล้วกระมังครับ
หะดีษที่นำมาข้างต้น ผมขอจัดไว้ในกลุ่มที่ 1 : สนับสนุนการกล่าวอ้างของ 'จานแมทท์ ...
อ๊ะ-อ๊ะ...ไม่ใช่สนับสนุน "ข้อกล่าวหา" นะขอรับ....ผมบอกว่า การกล่าวอ้าง หมายถึง ที่'จานทั่นยกมานั้น มันมีหะดีษดังกล่าวอยู่จริง (แม้จะแปลไม่ค่อยถูกเรื่องถูกราวก็ตาม) กล่าวโดยรวมก็คือ หะดีษกลุ่มนี้บอกว่า "ลางร้ายมีอยู่ใน ผู้หญิง ม้า และบ้าน" (ในแต่ละสำนวนหะดีษอาจจะสลับไขว้ไปไขว้มาระหว่าง 3 สิ่งที่กล่าวถึง...ซึ่งก็ไม่ใช่ประเด็นปัญหา)
ถ้าอ่านเพียงเท่านั้น ก็เป็นไปได้มาก ว่าจะต้องหลงคารมการบิดเบือนอิสลามของ 'จานทั่น แต่ผมบอกไว้หลายครั้งหลายหนว่า ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วอย่าเพิ่งจับมากระเดียด อ่านเจอหะดีษไหน รายงานใดแล้วอย่าเพิ่งจับหะดีษนั้นต้นเดียวเที่ยวร้องแรกแหกกะเฌอไปทั่วว่า "ผิด"...."ใช้ไม่ได้" มันตื้นเกินไปครับ
ยังมีหะดีษกลุ่มที่ 2 มาช่วยขยายความให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆได้ดีขึ้นอีกครับ
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ مِنْهَالٍ حَدَّثَنَا يَزِيدُ بْنُ زُرَيْعٍ حَدَّثَنَا عُمَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ الْعَسْقَلَانِيُّ عَنْ أَبِيهِ عَنِ ابْنِ عُمَرَ قَالَ ذَكَرُوا الشُّؤْمَ عِنْدَ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنْ كَانَ الشُّؤْمُ فِي شَيْءٍ فَفِي الدَّارِ وَالْمَرْأَةِ وَالْفَرَسِ (البخاري : النكاح)
و حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْحَكَمِ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ عُمَرَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ زَيْدٍ أَنَّهُ سَمِعَ أَبَاهُ يُحَدِّثُ عَنِ ابْنِ عُمَرَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ إِنْ يَكُنْ مِنَ الشُّؤْمِ شَيْءٌ حَقٌّ فَفِي الْفَرَسِ وَالْمَرْأَةِ وَالدَّارِ (مسلم : السلام)
و حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مَسْلَمَةَ بْنِ قَعْنَبٍ حَدَّثَنَا مَالِكٌ عَنْ أَبِي حَازِمٍ عَنْ سَهْلِ بْنِ سَعْدٍ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنْ كَانَ فَفِي الْمَرْأَةِ وَالْفَرَسِ وَالْمَسْكَنِ يَعْنِي الشُّؤْمَ (مسلم : السلام)
อิบนิอุมัร เล่าว่า (บรรดาเศาะหาบะฮฺ)ได้พูดถึงลางร้ายต่อหน้าท่านนบี ท่านนบี จึงกล่าวว่า "ถ้าจะมีลางร้ายในสิ่งใดแล้วละก็ ก็คงมีอยู่ในบ้าน ผู้หญิง และม้า" (บุคอรี : อันนิกาห์)
อิบนิอุมัร เล่าว่า ท่านนบี กล่าวว่า "ถ้าการมีลางร้ายในสิ่งใดมันมีจริงแล้วไซร้ ก็คงมีอยู่ในม้า ผู้หญิง และบ้าน" (มุสลิม : อัสสะลาม)
สะฮฺล์ บินสะอฺด์ เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "ถ้ามันจะมี ก็ในผู้หญิง ม้า และที่อยู่อาศัยนั่นแหละ" .... นั่นหมายถึง ลางร้าย (มุสลิม : อัสสะลาม)
ในกลุ่มนี้จะเห็นว่ามีเงื่อนไขว่า "ถ้า" เข้ามาขยายความแล้ว
- ถ้าอย่างนั้น...จะเป็นอย่างนี้
- ถ้าอย่างนี้ ... จะเป็นอย่างนั้น
- ถ้ามีจริง ... มีใน 3 สิ่งนั่น
ทีนี้ก็เอาไม้บรรทัด อะกีดะฮฺ อิสลามียะฮฺ มาทาบได้เลยว่า "ลางร้าย" น่ะมีมั้ย ในอิสลาม..... ไม่มีครับ!
เมื่อไม่มี.... คำว่า ลางร้ายในที่นี้จึงไม่ได้แปลว่า ลางร้ายจริงๆ แต่เป็นอะไรที่มันเบากว่านั้น อาจจะเป็นแค่สิ่งบอกเหตุ หรือความไม่ดี ความบกพร่องอะไรบางอย่าง ซึ่งมีอยู่ในสิ่งต่างๆด้วยกันทั้งนั้น ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งสิ่งของ ไม่มีใครหรือสิ่งใดที่จะดีเพียบพร้อมสมบูรณฺ์แบบ perfect ไปซะหมดทุกกระเบียดนิ้ว
แต่ท่านนบีกล่าวถึง 3 สิ่งนี้ ....มันมีนัยยะสำคัญอย่างไร?..... ต้องต่อตอนหน้าอีกละ !
อินชาอัลลอฮฺ แล้วค่อยพบกันใหม่ครับ
/////////////////////////////////// |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Mon Apr 18, 2005 10:36 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ใกล้จะรวมเป็นเล่มวางขายได้แล้วครับ AlGhuraba |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon Apr 18, 2005 5:15 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
-----------------------------------------------------
MATTISM CONSPIRACY : Episode-3/5
-----------------------------------------------------
เมื่อกล่าวถึง "ผู้หญิง" สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คือ ภรรยา หรือ คู่ครอง เวลาผู้ชายมองหาหญิงสักคนมาเป็นคู่ครอง บางคนอาจจะมองที่รูปร่างหน้าตา วงศ์ตระกูล ชื่อเสียงเกียรติยศ และฐานะความมั่งคั่งร่ำรวย รวมทั้งกิริยามารยาทที่งดงาม... คงไม่จำเป็นต้องยกหะดีษนั้นมาอ้างหรอกนะครับ หนุ่มๆที่นี่แทบจะท่องกันขึ้นใจแล้ว.... ถ้าได้คนที่มีอะไรๆเพียบพร้อมถึงคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน ก็นับเป็นบุญ เป็นความโชคดีอย่างเหลือล้น(จนน่าอิจฉา..มั้ยล่ะ???) หรือถ้าขาดไปสักข้อ-สองข้อ-สามข้อ หรือสี่ข้อ แต่ยังเหลือความเป็นกุลสตรีที่ดีมีอีมาน ก็ยังเรียกว่าโชคดีอยู่นั่นแหละ
แล้วถ้ากลายเป็นมุมกลับล่ะครับ..... ตอนปิ๊งกันใหม่ๆก็จ๊ะจ๋า เรียบร้อยน่ารักดีอยู่(ก็ใครล่ะจะขุดสันดอนออกมาให้เห็นตอนนั้น) แต่พออยู่ๆไป กลายเป็น...ยัยปากปลาร้า...นิสัยไม่ดี...เจ้าอารมณ์...นินทาชาวบ้าน...ชวนทะเลาะ ฯลฯ มีใครยังคิดว่าโชคดีอยู่รึป่าวเอ่ยที่ได้คนแบบนี้มาเป็นคู่ครอง?...ครับ อาจจะกัดฟันพูดว่า โชคดี...ที่ไม่เลวไปกว่านั่น" แต่นั่นก็คือคำพูดเชิงประชดนั่นแหละ ความรู้สึกลึกๆในใจก็คือ "ซวยชะมัดยาดเลย....ตู"
เป้าหมายของการมีคู่ครองก็คือ การมีบุตรที่ดี ที่ศอและห์สืบสานเจตนารมณ์อิสลาม แม้จะเลือกคัดสายพันธุ์มาอย่างดีแล้วว่าลูกหลานบ้านนี้ พี่น้องเยอะ โอกาสเป็นหมันน้อย... แต่ก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกว่า ผู้ที่เราเลือกมาเป็นคู่ครองนั้นจะสามารถมีบุตรให้ได้สมความตั้งใจหรือไม่ ถ้านางไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ มันก็ไม่ใช่ความผิดของนาง แต่เป็นเพียงความผิดปกติบางอย่างในตัวนางเท่านั้น เรียกว่าเป็นความบกพร่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ต้องติดตัวนางเช่นนั้นต่อไป
สิ่งเหล่านี้แหละ คือ อัชชุอ์มุ ที่มีอยู่ในผู้หญิง .... ถ้ามันจะมี!
เห็นมั้ยครับ....ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ แม่ ย่า ยาย พี่สาวน้องสาว ป้า น้า อาสาว หรือญาติฝ่ายหญิงของใครบางคนจะต้องเป็นตัวซวยไปซะหมดอย่างที่จานแมทท์ทั่นหวาดผวาอยู่เมื่อได้อ่านหะดีษที่เอามาโวยวาย แต่นบีบอกว่า ถ้ามันจะมี มันก็อาจจะมีอยู่ตรงนั้น ซึ่งถ้าใครประสบพบเช่นนั้นกับตัวก็นับเป็นโชคไม่ดีสำหรับผู้นั้น เป็น "มุศีบะฮฺ" อย่างหนึ่งที่มาประสบกับเขา จากรายงานของศุฮัยบ์ ท่านนบีบอกว่า ...
حَدَّثَنَا هَدَّابُ بْنُ خَالِدٍ الْأَزْدِيُّ وَشَيْبَانُ بْنُ فَرُّوخَ جَمِيعًا عَنْ سُلَيْمَانَ بْنِ الْمُغِيرَةِ وَاللَّفْظُ لِشَيْبَانَ حَدَّثَنَا سُلَيْمَانُ حَدَّثَنَا ثَابِتٌ عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ أَبِي لَيْلَى عَنْ صُهَيْبٍ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَجَبًا لِأَمْرِ الْمُؤْمِنِ إِنَّ أَمْرَهُ كُلَّهُ خَيْرٌ وَلَيْسَ ذَاكَ لِأَحَدٍ إِلَّا لِلْمُؤْمِنِ إِنْ أَصَابَتْهُ سَرَّاءُ شَكَرَ فَكَانَ خَيْرًا لَهُ وَإِنْ أَصَابَتْهُ ضَرَّاءُ صَبَرَ فَكَانَ خَيْرًا لَهُ (مسلم : الزهد)
เรื่องของมุอ์มินนั้นเป็นเรื่องแปลกเสียนี่กระไร ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับมุอ์มินทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ดีทั้งหมด เรื่องดีที่ว่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นกับใครเลยนอกจากมุอ์มินเท่านั้น ถ้าคนที่เป็นมุอ์มินประสบกับสิ่งที่ดีเขาก็ชุกูรต่ออัลลอฮฺ มันก็เป็นกุศลเป็นคุณความดีสำหรับเขา พอมีสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับเขา แล้วเขาอดกลั้นอดทน เขาก็ได้กุศลผลบุญอีก (มุสลิม : กิตาบุซฺ'ซุฮฺด์)
ดังนั้นก็ให้หาทางแก้ไขปัดเป่าซะด้วยความอดกลั้น อดทนและหวังในพระเมตตาจากอัลลอฮฺ โดยพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เช่น ชนิดนิสัยไม่ดี ก็บอกกล่าว ตักเตือน ห้ามปราม คาดโทษ และลงโทษในทีสุด ถ้ายังไม่ได้เรื่องก็ทำอย่างที่ท่านนบีอิบรอฮีมฝากคำผ่านลูกสะใภ้นิสัยเสียให้บอกนบีอิสมาอีลลูกชายท่านว่า.... เปลี่ยนธรณีประตูซะ !
แต่ในกรณีเป็นหมันหรือความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งในร่างกาย ... มันไม่ใช่ความผิดของนาง เพราะมันไม่ได้อยู่ในอำนาจของมนุษย์ที่จะดลบันดาลให้เป็นหรือให้หายเองได้ หญิงก็เสียใจ ชายก็ซึมเศร้า แต่นั่นไม่ใช่เหตุที่จะอ้างว่า "ไม่สามารถดำรงกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺได้" เพราะทางออกอื่นก็ยังมี.... 2 หรือ 3 หรือ 4 .... ที่อัลลอฮฺทรงเปิดหนทางไว้ให้ (และก็เป็นการทดสอบอีมานของฝ่ายหญิงอย่างหนักทีเดียว...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงยุคนี้ที่ถูกสังคมเอา monogamy chip ฝังหัวมาตั้งแต่จำความได้เช่นนี้)
แล้วก็มาดูว่าท่านนบีบอกว่ายังไงอีก....
حَدَّثَنَا أَبُو الْيَمَانِ وَمُحَمَّدُ بْنُ مُصْعَبٍ قَالَا حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ عَنْ حَبِيبِ بْنِ عُبَيْدٍ قَالَ قَالَتْ عَائِشَةُ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الشُّؤْمُ سُوءُ الْخُلُقِ (أحمد)
ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺเล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "อัชชุอ์มุ ก็คือ การมีมารยาททราม" (อะหฺมัด)
นั่นแหละคือ bad omen สำหรับคนคนนั้น
ส่วนในกรณีของม้าและบ้านก็ในลักษณะเดียวกัน อาจจะไม่ใช่ประเด็นการโจมตีใส่ใคล้ แต่ถ้ารับฟังคำอธิบายไว้บ้างก็น่าจะเป็นประโยชน์
حَدَّثَنَا الْقَعْنَبِيُّ حَدَّثَنَا مَالِكٌ عَنِ ابْنِ شِهَابٍ عَنْ حَمْزَةَ وَسَالِمٍ ابْنَيْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عُمَرَ أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ الشُّؤْمُ فِي الدَّارِ وَالْمَرْأَةِ وَالْفَرَسِ قَالَ أَبو دَاود قُرِئَ عَلَى الْحَارِثِ بْنِ مِسْكِينٍ وَأَنَا شَاهِدٌ أَخْبَرَكَ ابْنُ الْقَاسِمِ قَالَ سُئِلَ مَالِكٌ عَنِ الشُّؤْمِ فِي الْفَرَسِ وَالدَّارِ قَالَ كَمْ مِنْ دَارٍ سَكَنَهَا نَاسٌ فَهَلَكُوا ثُمَّ سَكَنَهَا آخَرُونَ فَهَلَكُوا فَهَذَا تَفْسِيرُهُ فِيمَا نَرَى وَاللهُ أَعْلَمُ قَالَ أَبو دَاود قَالَ عُمَرُ رَضِي الله عَنْه حَصِيرٌ فِي الْبَيْتِ خَيْرٌ مِنِ امْرَأَةٍ لَا تَلِدُ (أبوداود : الطب)
บันทึกของอบูดาวูดในหะดีษเรื่อง อัชชุอ์มุใน 3 สิ่งคือ บ้าน ผู้หญิง และม้า นี้ มีคำอธิบายของอิมามมาลิกถึงกรณีของบ้านว่า "ตั้งกี่มากน้อยแล้วล่ะที่บ้านที่คนเข้าไปอยู่แล้วประสบกับความวิบัติหายนะ พอคนอื่นเข้ามาอยู่ก็วิบัติหายนะอีก"
และในอบูดาวูดอีกเช่นกัน เราพบรายงานว่า....
حَدَّثَنَا الْحَسَنُ بْنُ يَحْيَى حَدَّثَنَا بِشْرُ بْنُ عُمَرَ عَنْ عِكْرِمَةَ بْنِ عَمَّارٍ عَنْ إِسْحَقَ بْنِ عَبْدِ اللهِ بْنِ أَبِي طَلْحَةَ عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ قَالَ قَالَ رَجُلٌ يَا رَسُولَ اللهِ إِنَّا كُنَّا فِي دَارٍ كَثِيرٌ فِيهَا عَدَدُنَا وَكَثِيرٌ فِيهَا أَمْوَالُنَا فَتَحَوَّلْنَا إِلَى دَارٍ أُخْرَى فَقَلَّ فِيهَا عَدَدُنَا وَقَلَّتْ فِيهَا أَمْوَالُنَا فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ذَرُوهَا ذَمِيمَةً (أبوداود : الطب)
อะนัส บินมาลิกเล่าว่า ชายคนหนึ่งถามว่า "ท่านรอซูล ครับ เราเคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ที่นั่นทั้งจำนวนคนและทรัพย์สินของเรามีมาก แล้วเราก็ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง ปรากฏว่าทั้งจำนวนคนและทรัพย์สินของเรากลับมีน้อยลง" ท่านรอซูลกล่าวว่า "จงทิ้งมันไปซะ เพราะมันไม่ดี" (อบูดาวูด : อัฏฏิบ)
บ้านบางหลัง อยู่ไม่สบาย ร้อนอบอ้าวเนื่องจากทิศทางการรับแสงแดดไม่เหมาะสม ทิศทางลมไม่ถูกทาง ทำให้คนที่อยู่เสียสุขภาพได้ ไม่มีต้นไม้ให้ความร่มรื่น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ดูๆไปก็คล้ายๆ "ฮวงจุ้ย" นะ ซึ่งผมคิดว่า ถ้าเรามองฮวงจุ้ยในแง่ฟิสิกส์และนำมาปรับใช้กับการปลูกเรือนสร้างเหย้า ศาสตร์เชิงสถิติที่สั่งสมกันมาด้วยวิธีลองผิดลองถูกนานนับศตวรรษของชาวจีนโบราณศาสตร์นี้มันก็น่าจะเป็นประโยชน์ไม่ใช่น้อย แต่ถ้าเชื่อถือกันในลักษณะของ โชคลางหรืออาถรรพณ์ จนคิดต่อไปว่าที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เนื่องจากอำนาจลึกลับอะไรบางอย่าง .... นั่นกลายเป็นชิริกไปเลยครับ
หรือการมีเพื่อนบ้านเลวๆ ขยันหาความเดือดร้อนมาให้ ทำเลที่ตั้งที่ห่างไกลจนลำบากในการไปประกอบกิจต่างๆ หรือไปปลูกอยู่ตรงที่ที่สำรวจออกมาแล้วว่าเป็นจุดเสี่ยงต่อภัยพิบัติแผ่นดินทรุด ฯลฯ อะไรก็ตามที่มันจะนำมาแต่เรื่องร้ายๆจากบ้านหลังนั้น นั่นคือ "อัชชุอ์มุ" ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกหลังอีกเหมือนกันที่เป็นอย่างนั้น .... เพียงบางหลังเท่านั้น...."ถ้ามันจะมี" !
ม้าศึกสุดฮึกโหม โรมรัน
ทะยานเข้าจู่โจมพลัน เพลี่ยงพล้ำ
เข่าทรุดสะดุดคว่ำ หน้าคะมำ
ขุนศึกมิอาจแก้ พลาดแพ้ ถึงตาย
อาจจะไม่ค่อยถูกฉันทลักษณ์โคลงสี่ฯ นักก็อย่าถือสาเลยนะครับ แค่เขียนมาให้คุณๆพิจารณากันว่า เจอม้าอย่างนี้เข้ามัน "ซวย" มั้ยครับ? ..... นั่นแหละ อัชชุอ์มุ ที่จะมีในม้า ในตำราเค้าบอกว่า ม้าไหนที่ออกญิฮาดไม่ได้ นั่นแหละเป็นความโชคร้ายของเจ้าของ
หะดีษอีกกลุ่มหนึ่งเป็นมุมกลับกับภาพลบที่ 'จานแมทท์ ทั่นมองเห็น"อิสลาม"ผ่านแว่นอคติที่ทั่นใช้อยู่
حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ اللهِ بْنِ نُمَيْرٍ الْهَمْدَانِيُّ حَدَّثَنَا عَبْدُ اللهِ بْنُ يَزِيدَ حَدَّثَنَا حَيْوَةُ أَخْبَرَنِي شُرَحْبِيلُ بْنُ شَرِيكٍ أَنَّهُ سَمِعَ أَبَا عَبْدِ الرَّحْمَنِ الْحُبُلِيَّ يُحَدِّثُ عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عَمْرٍو أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ الدُّنْيَا مَتَاعٌ وَخَيْرُ مَتَاعِ الدُّنْيَا الْمَرْأَةُ الصَّالِحَةُ (مسلم : الرضاع - بَاب خَيْرُ مَتَاعِ الدُّنْيَا الْمَرْأَةُ الصَّالِحَةُ)
อับดุลลอฮฺ บินอัมร์ เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "ดุนยานั้นเป็นเพียงความสุขชั่วแล่น และ ความสุขชั่วแล่นที่ดีที่สุดในดุนยาก็คือ ผู้หญิงที่ดี" (มุสลิม : อัรเราะฎออฺ)
حَدَّثَنَا هِشَامُ بْنُ عَمَّارٍ حَدَّثَنَا عِيسَى بْنُ يُونُسَ حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ زِيَادِ بْنِ أَنْعُمَ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ يَزِيدَ عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عَمْرٍو أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ إِنَّمَا الدُّنْيَا مَتَاعٌ وَلَيْسَ مِنْ مَتَاعِ الدُّنْيَا شَيْءٌ أَفْضَلَ مِنَ الْمَرْأَةِ الصَّالِحَةِ (ابن ماجه : النكاح)
อับดุลลอฮฺ บินอัมร์ เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "แท้จริงดุนยานั้นคือความสุขชั่วแล่น และไม่มีความสุขชั่วแล่นอันใดในดุนยาจะประเสริฐยิ่งไปกว่า ผู้หญิงที่ดี" (มุสลิม : อัรเราะฎออฺ)
ทั้งสองหะดีษนี้ใช้คำว่า "มะตาอฺ" หมายถึงสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วครู่ชั่วคราว ความสุข ความเพลิดเพลินจำเริญใจทั้งหลายทั้งปวงที่ประสบกับมนุษย์ เป็นได้ทั้งความโปรดปราน ความเมตตาที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่บ่าวถ้าเขารู้จักใช้มันในทางที่ดี ในอันที่จะเกื้อหนุนส่งเสริมการงานเพื่อผลานิสงค์ในอาคิเราะฮฺ หรืออาจเป็นเครื่องทดสอบอันน่าสะพรึงกลัว ถ้าเขาหลงระเริง และลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับมันจนลืมอัลลอฮฺและพันธะหน้าที่อันพึงมีในฐานะบ่าวของพระองค์ และที่ว่าสตรีที่ดี หรือ หญิงศอลิหะฮฺ ที่เป็นสุดยอดแห่งมะตาอฺในดุนยานั้นคืออย่างไร?
حَدَّثَنَا عُثْمَانُ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَعْلَى الْمُحَارِبِيُّ حَدَّثَنَا أَبِي حَدَّثَنَا غَيْلَانُ عَنْ جَعْفَرِ بْنِ إِيَاسٍ عَنْ مُجَاهِدٍ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ قَالَ لَمَّا نَزَلَتْ هَذِهِ الْآيَةُ ( وَالَّذِينَ يَكْنِزُونَ الذَّهَبَ وَالْفِضَّةَ ) قَالَ كَبُرَ ذَلِكَ عَلَى الْمُسْلِمِينَ فَقَالَ عُمَرُ رَضِي الله عَنْه أَنَا أُفَرِّجُ عَنْكُمْ فَانْطَلَقَ فَقَالَ يَا نَبِيَّ اللهِ إِنَّهُ كَبُرَ عَلَى أَصْحَابِكَ هَذِهِ الْآيَةُ فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّ اللهَ لَمْ يَفْرِضِ الزَّكَاةَ إِلَّا لِيُطَيِّبَ مَا بَقِيَ مِنْ أَمْوَالِكُمْ وَإِنَّمَا فَرَضَ الْمَوَارِيثَ لِتَكُونَ لِمَنْ بَعْدَكُمْ فَكَبَّرَ عُمَرُ ثُمَّ قَالَ لَهُ أَلَا أُخْبِرُكَ بِخَيْرِ مَا يَكْنِزُ الْمَرْءُ الْمَرْأَةُ الصَّالِحَةُ إِذَا نَظَرَ إِلَيْهَا سَرَّتْهُ وَإِذَا أَمَرَهَا أَطَاعَتْهُ وَإِذَا غَابَ عَنْهَا حَفِظَتْهُ (أبوداود : الزكاة)
อิบนิอับบาส เล่าว่า ..... ท่านรอซูล กล่าวแก่อุมัรว่า "ฉันจะบอกท่านเอาไหมถึงสิ่งที่ดียิ่งที่มนุษย์พึงสะสม(หวงแหนไว้เป็นสมบัติ) นั่นคือสตรี(ภรรยา)ที่ดี เมื่อเขามองดูนางก็ทำให้เขาเป็นสุข เมื่อเขาสั่งใช้อะไรนาง นางก็เชื่อฟังปฏิบัติตาม และเมื่อเขาอยู่ห่างจากนาง นางก็สงวนตัวไว้เพื่อเขา" (อบูดาวูด : อัซฺซฺะกาฮฺ)
ความสุข เมื่อสามีมองดูภรรยา มันไม่ได้หมายความว่า นางจะต้องเป็นสุดสวยระดับ superstar celebrities หรือระดับนางงามจักรยาน มิสโน่น มิสนี่ แต่ความสุขนั้น คือความสุขใจที่ชายคนหนึ่งมองดูหญิงที่ตนรัก แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่ชวนฝัน แต่ความงดงามแห่งกิริยาวาจา และน้ำใจนั้นมันมีอานุภาพเหนือความงามใดๆที่สัมผัสได้ด้วยตา แม้วัยและสังขารจะร่วงโรยไปเพียงใด แต่ด้วยความงดงามในจิตใจนั่นแหละที่เป็นสิ่งผูกมัดใจชายให้มีความรักต่อนางยิ่งๆขึ้น และส่วนที่จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับหญิงศอลิหะฮฺ ก็คือ การมีอีมานอย่างแน่นแฟ้น มั่นคง
رَبَّنَا هَبْ لَنَا مِنْ أَزْوَاجِنَا وَذُرِّيَّاتِنَا قُرَّةَ أَعْيُنٍ
ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ทรงโปรดประทานคู่ครองและลูกหลาน(ที่ดี)ให้เป็นที่ชื่นตาเย็นใจแก่เราด้วยเถิด (25:74)
อามีน....อามีน....อามีน !
ทำไมครับ....ทำไมไม่ถอดแว่นอคติอันนั้นทิ้งไป แล้วมาศึกษาอัลหะดีษด้วยใจบริสุทธิ์ ทั่น'จานเองนั่นแหละที่บอกให้ใครต่อเขามองทั่นในทาง positive บ้าง แต่ตัวทั่นเองกลับมีทัศนคติที่ negative สุดๆต่อท่านนบีและบรรดาเศาะหาบะฮฺผู้สืบสานแบบอย่างแนวทางจากท่านนบีมาถึงพวกเรา
อีกสักหะดีษหนึ่งที่อยากจะขอฝากไว้เป็นบทสรุปของเรื่องนี้ ...
حَدَّثَنَا رَوْحٌ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ أَبِي حُمَيْدٍ حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ سَعْدِ بْنِ أَبِي وَقَّاصٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ جَدِّهِ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ سَعَادَةِ ابْنِ آدَمَ ثَلَاثَةٌ وَمِنْ شِقْوَةِ ابْنِ آدَمَ ثَلَاثَةٌ مِنْ سَعَادَةِ ابْنِ آدَمَ الْمَرْأَةُ الصَّالِحَةُ وَالْمَسْكَنُ الصَّالِحُ وَالْمَرْكَبُ الصَّالِحُ وَمِنْ شِقْوَةِ ابْنِ آدَمَ الْمَرْأَةُ السُّوءُ وَالْمَسْكَنُ السُّوءُ وَالْمَرْكَبُ السُّوءُ (أحمد)
สะอฺด์ บินอะบีวักฺกฺอศ เล่าว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า "ส่วนหนึ่งจากความผาสุกของลูกหลานอาดัม 3 ประการ และส่วนหนึ่งจากความทุกข์ใจของลูกหลานอาดัมอีก 3 ประการนั้น กรณีความผาสุกของลูกหลานอาดัมได้แก่ สตรีที่ดี(ศอลิหะฮฺ) ที่พำนักพักอาศัยที่ดี และพาหนะที่ดี ส่วนกรณีความทุกข์ใจของลูกหลานอาดัมก็ได้แก่ หญิงเลว ที่พำนักที่เลว และพาหนะที่เลว" (อะหฺมัด)
ครับ....ก็หวังคุณๆคงพอจะเข้าใจ! (ว่าถ้าคิดจะอ้างตัวเป็น"ผู้ศรัทธาที่แท้จริง"ก็อย่ามองนบีในแง่ร้าย)
///////////////////////// THE END OF EPISODE-III /////////////////////////
อัลฆุเราะบาอ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon Apr 18, 2005 10:41 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
คุณ nop จะเอาดีทางตั้งโรงพิมพ์เองเลยเหรอครับ ... ก็คงดีเหมือนกันนะ
แต่นี่เพิ่งผ่านไปแค่ 2 ภาคเองนะครับ หนทางยังเหลืออีกตั้งยาวไกล จะลงภาค 4 ต่อเลยก็เหนื่อยเหลือเกิน ว่าจะพักจิบน้ำชาสักระยะก่อน
ระหว่างนี้ผมอยากรับฟัง feedback จากพี่น้องบ้างครับ ที่ผมพล่ามไปเรื่อยนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอื่นๆมีความเห็นกันยังไง เห็นด้วยหรือคัดค้าน หรือมีหลักฐาน ข้อมูล แนวคิดและมุมมองในแง่ต่างๆเกี่ยวกับประเด็นที่ยกมานั้นว่าอย่างไรกันบ้าง ผมยินดีรับฟังนะครับ ขอเพียงให้พวกเราเสนอความคิดเห็นกันในเชิงสร้างสรร อันไหนที่คิดว่าผิดก็บอกว่าผิดด้วยเหตุผล หลักฐานอย่างไร อันที่ถูกก็ว่ากันไปตามถูก เพื่อผมจะได้รับความรู้เพิ่มพูนขึ้นด้วย ... นะครับ
อัลฆุเราะบาอ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sun Apr 24, 2005 12:04 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
natee มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 108
|
ตอบ: Wed May 04, 2005 12:36 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ได้ติดตามข้อเขียนของคุณAlGhuraba มาโดยตลอด รู้สึกชื่นชมมากเลย ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน ขอบคุณมากๆ สำหรับความรู้ต่างๆ ที่คุณนำมา อยากรู้จังค่ะว่าคุณเป็นผู้รู้สอนศาสนาหรือเปล่าคะ แล้วดิฉันจะมีโอกาสติดตามการสอนของคุณได้บ้างมั้ยคะ
อยากให้คุณ อธิบายฮาดีส เรื่อง Breast Feeding ที่นาย matt ว่าเ ป็นฮาดีสเหลวไหล ต่อเลยได้มั้ยคะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|