ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
“มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 14, 15, 16 ... 21, 22, 23  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
addullslam
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004
ตอบ: 672


ตอบตอบ: Sat Mar 26, 2005 8:27 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
คุณ แมทท ผู้โดดเดี่ยว ผมมีเรื่องที่จะขอความเห็นและความรู้
ผมเห็นว่าคุณมีสิ่งที่แปลกมาให้อ่านบ่อยๆ จึงอยากทราบว่า
ในฐานะที่คุณแมทท อยู่ใกล้กัน และพูดกันรู้ภาษา
ผมอยากทราบว่า รูปการละหมาดที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำ
คุณพอรู้ไหมว่าเขาใช้หลักฐานอะไรมาอ้างในการกระทำดังกล่าว
แล้วคุณแมทท เห็นว่าการกระทำดังกล่าวผิดหรือไม่
เขากำลังทำลายศาสนาอิสลามโดยการนำความคิดมาใส่ใน
บทบัญญัติ ว่าทำสิ่งนั้นน่าจะดี เติมตรงนั้นน่าจะดี จัดแบบนี้น่าจะดี
ผมเห็นรูปแล้วขำมากที่เขาให้แผนการเหมือนตลกคาแฟ่ในการนี้
ทำในโบสถ์นัซซอรอย์ผิดครับ จัดรูปการยืนเหมือนนัซซอรอย์ขณะ
ทำพิธีในโบสถ์ผิดครับ ผู้หญิงเป็นผู้นำในพิธีศาสนาอิสลามทั้งที่มี
ผู้ชายร่วมอยู่ด้วยผิดครับ เรื่องสถานที่และรูปแบบผิดทั้งหมดครับ
แต่ต้องขอรบกวนคุณแมทท ช่วยว่าเขามีหลักฐานจริงหรือไม่
ผมถามเพื่อเป็นความรู้ไว้ ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ส่วนเรื่องเชื่อ
หรือไม่นั้นเป็นสิทธิ์ของผม ส่วนคุณแมทท ตอบถูกก็รับผลบุณไป
ตอบผิดก็บาปแน่ๆ ถ้าปิดบังก็ยิ่งหนัก นึกว่าเราคุยกันน๊ะครับ
เพราะรู้จักกันมานานแล้ว
ส่วนข้อเขียนของคุณนั้น ผมอ่านแล้วที่ดีก็จำไว้ ที่ไม่ดีไม่ถูก
ก็ปล่อยให้เลยไป ถ้าหนักข้อก็เตือนกันบ้าง แต่จะไม่ต่อว่ากัน
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Sat Mar 26, 2005 1:55 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณ addullslam ครับ

ในรูปนั้นถึงแม้ผู้หญิงจะนำละหมาดได้ก็จริง แต่คุณแมทท์ยังถือว่าญาฮิลียะฮฺอยู่นะครับ
เพราะว่าเค้าคลุมหิญาบนะครับ!! (แหะๆ)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sat Mar 26, 2005 9:59 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


ผมต้องรีบกลับเข้ามาคุยกันก่อน เพราะ ถ้าไม่เข้ามาตอนนี้ จะทำให้คุณ อัลฆุเราะบาอ์ เข้าใจผิดว่า ผม หาย เข้ากลีบเมฆ ไป อีก อเมริกาตอนนี้ อากาศ ทางตะวันออก เฉียงใต้ กำลังสวย งาม ทีเดียว แจ่มใส เริ่มฤดู ใบไม้ ผลิ แล้ว เมื่อวัน ที่ 21 มีนาคม นี้ เอง ผมรับรอง ว่า จะไม่ หลบ หน้า ไปไหน หรอก เพราะ การ สนทนา เริ่ม มี เหตุผล ใน หลัก วิชา มากขึ้น และ
ลด การ ตำหนิเรื่อง ส่วน ตัว ไป เนื่อง จากการ สนทนา นี้ เป็น เรื่อง ของ ความเข้า ใจ ในหลักการ ศาสนา ที่ต่างกัน แต่เรามี ความศรัทธา ใน หลักการ ใหญ่ เหมือนกัน (ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะห์ 62 และ ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะห์ 69) ผม จึงเกิดมีความ สนุก ในการสนทนาด้วย เพราะ ผมได้ เรียนรู้ ในความเข้าใจ ที่ต่าง กัน ของ มุสลิม เรา


ขณะนี้ผมกำลังเขียนคำตอบปัญหาที่ติดค้างกัน ไว้อยู่ แต่ ต้องเข้ามาอธิบายว่า ทำไมถึงล่าช้าไป ผมว่าคุณ Nop จะมองเห็นอะไรๆ แจ่มใสดี ในเรื่อง หลักการ ของ อิสลาม ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ หลักศรัทธา โดยเฉพาะ เรื่อง การทำละหมาด และการ เชื่อหรือ ไม่ เชื่อ หะดีษ, ถ้าคุณNop ใจเย็นๆ สักหน่อย เราจะคุยกันสนุกทีเดียว เพราะ ผม ยังมี อีกหลายปัญหา ที่ควร จะมา สนทนากัน แต่การถามอาจจะ เป้นดูเหมือนว่า ผม ขาด ศรัทธา, แต่ความจริงแล้วมันเป็น การศึกษาศาสนา ด้วยเหตุผลตามหลักการ ของอิสลาม ที่มีบัญญัติไว้ ในอัลกุรอาน

ผมขอขอบคุณๆ addullslam ที่มีความเข้าใจในหลักการสนทนาของผม ผมว่าเป็นการ ดี ที่เรา สามารถที่ จะฟัง เหตุผลซึ่งกันและกัน โดย ไม่ ต้อง ถือเป็น เรื่อง ส่วนตัว

การที่สตรีมุสลิมนำละหมาดนั้น ผมยังศึกษาไม่พบ ในอัลกุรอาน ความคิดของผมเอง ส่วนตัว แล้ว ผมไม่ขัดข้องอะไร เนื่องจาก เวลาเราทำละหมาด นั้น จิตใจของ เรา แน่วแน่ อยู่ ใน การ กราบเคารพบูชาพระเจ้า(อัลลอฮ์) เท่านั้น เมื่อ ใดก็ตาม ที่จิตใจเรา วอกแวก ออก จาก อัลลอฮ์ แล้ว การละหมาดก็เสียไปทันที และถ้าเราไม่สามารถ ควบคุมจิตใจเราได้ ก็ไม่ ควรจะไป โยนความผิด ให้ กับ เพศ ตรง ข้าม ส่วนตัวของผมแล้วผมว่า ผู้หญิง ควรจะมีสิทธิ เท่าเทียม กับ เพศ ชาย ในทุกๆแง่มุม ของ ชีวิต ทั้งนี้จะต้อง ให้อยู่ ในกรอบของ “ศีลธรรม”

ผู้ชายทุกๆท่าน ส่วนมากไม่ว่า จะนับถือศาสนาอะไร ก็ตาม มักจะ รวม เพศหญิง อยู่ ใน ส่วนหนึ่ง ของ อบายมุข โดยไม่ ได้ นึกถึงว่า สาเหตุนั้น เกิดจากความละโมภและ ความเห็น แก่ ตัว ของ เพศชาย เพศชายจะต้องเข้าใจว่า เพศหญิงเป็นเพศมารดา ที่ให้กำเนิดเรามา (เราลองนึกถึงสภาพ ความำบาก และ เจ็บปวดของมารดา ตั้งแต่อุ้มทองเรามา จนถึงการ คลอด ที่อาจจะทำให้ มารดาเสียชีวิต ได้ในขณะคลอดลูก) และอบรมเลี้ยงดูเรามาจนโต บาง ทีชายที่เป็นพ่อไม่รับผิดชอบใน การ เลี้ยงดู, มารดาต้องสง่เสีย จนลูกเรึยนจบ การศึก ษา มี ความรู้ กลับ เห็น เพศมารดา(หญิง) เป็น สิ่งอัปมงคล ในการ ประกอบศาสนกิจ

วันนี้ขอเท่านี้ก่อนครับ ถ้ามีความผิดพลาดในการสะกดหรืออะไร ขออภัยด้วย เพราะ รีบพิมพ์


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
addullslam
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004
ตอบ: 672


ตอบตอบ: Sun Mar 27, 2005 9:47 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ไม่เอาน่าคุณแมทท อย่าตอบแบบคนไม่มีความรู้
เรื่องสิทธิ์ของสตรีนั้นผมไม่ได้ว่าอะไร อย่ายกมาเป็นข้ออ้าง
ในการตอบหรือเป็นข้ออ้างในการลังแกคนที่อ่อนแอกว่า
ที่ผมถามก็ในเรื่องรูปแบบการประกอบศาสนกิจในศาสนาอิสลาม
ว่ารูปที่เห็นผู้หญิงเป็นอิม่ามนำละมาดนั้นถูกต้องใหมในสถานที่ดังกล่าว
ถ้าตอบแบบนี้ไม่ตอบยังจะดีกว่า จะได้ไม่เปลืองตัว ก็บอกไปเลยว่าผมไม่
มีความเห็นในเรื่องนี้ เรื่องการยกย่องสตรีนั้นแน่นอนเป็นเรื่องที่ดีและสมควร
แต่ภาพที่เห็นคุณแมทท ไม่กล้าตอบเพราะอะไรก็พอจะมองได้ไม่มีปัญหา
ผมคงไม่เสียเวลาถามอีกแล้ว ถ้าผมได้คำตอบที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผมเลย
ในด้านของหลักการศาสนาอิสลาม
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sun Mar 27, 2005 10:34 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ addullslam ครับ เท่าที่ทราบมาผมไม่ เห็น ว่า ในอัลกุรอาน มีข้อความที่ ห้าม สุภาพ สตรี นำละหมาด หรือเป็นเพราะ ว่า ผมยังอ่านไม่พบก็ไม่ทราบ, แต่ผมไม่มี ความ ขัด ข้อง หรือ ต่อต้าน เพราะว่าไม่มีบัญญัติที่ตายตัว ว่า ผู้ หญิงนำละหมาดไม่ได้ อยู่ ในหลัก การ ของอิสลาม, สำหรับความเห็นส่วน ตัวผมของผม แล้ว ผมไม่เห็นเป็น เรื่อง ใหญ่ที่จะ ต้อง ตก อกตกใจ กันเลย เนื่องจากศาสนาอิสลามให้สิทธิมุสลิมทุกๆท่าน ในการทำการสวา มิภักดิ์ กราบ ไหว้บูชา พระองค์อัลลอฮ์ เท่าเทียมกันทั้ง หญิงและชาย


คำตอบของผมตอนแรกนั้น ผมต้องการให้มุสลิมทราบเสียก่อนว่า ไม่ว่าเพศหญิงและชาย ในการประกอบ ศาสน กิจต่อ พระองค์อัลลอฮ์ นั้นย่อมมีสิทธิเท่ากัน ไม่มีอะไรที่จะ ขัดขวาง ได้, ไม่มีกฎบัญญัติ ของ มนุษย์ ผู้ ใด ที่ สามารถ จะตั้งขึ้น เพื่อ ลบล้าง หรือ เพิ่มเติม บัญญัติ ของ อัลลอฮ์ ได้ ไม่ว่าผู้ละหมาด หรือ ผู้นำละหมาด จะเป็น เพศใดก็ตาม ย่อมขึ้นกับสิทธิส่วนตัว ของ ผู้ ที่ร่วมละหมาดด้วยกัน


แม้แต่ท่านรอซูลมูฮัมมัดก็ไม่สามารถที่จะออกกฏ ใดๆ ห้ามมุสลิมหรือตัวของท่านเอง กระทำในสิ่งที่อัลลอฮ์ ไม่ได้ บัญญัติห้ามไว้ ในอัลกุรอาน, ดังจะเห็นได้จาก ซูเราะฮฺ อัตตะหฺรีม, อายะห์ 1

“โอ้, เจ้า, นะบี, ทำไมเจ้าจึงห้ามสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงอนุมัติแก่เจ้า, เพื่อเพียงแต่ที่จะเอา ใจภรรยาของเจ้า? และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตา (66:1)”


เราเรียนรู้อะไรจาก ซูเราะฮฺ อัตตะหฺรีม, อายะห์ 1 ? อายะห์ นี้ แจ้งให้เราทราบว่า พระองค์ อัลลอฮ์เท่านั้น ที่เป็นผู้ที่สามารถ ออกบัญญัติ ในการห้ามหรือ อนุญาติ หรือ ทำให้ สิ่งถูกต้อง ได้โดยพระองค์เอง, ไม่มีผู้ใดที่จะแอบอ้างได้ว่า เคยเห็นหรือ เคยได้ยิน ท่าน รอซูล กระทำ หรือ อนุญาติให้กระทำ สิ่งใดๆได้ ในเมื่อพระองค์ ไม่ได้ บัญญัติให้ไว้ ใน อัลกุรอาน, ถ้าหากมีผู้ใดฝ่าฝืนคือผู้ที่ปฎิเสธศรัทธา(กาเฟร)

ดังนั้น ไม่ว่า ผู้ใดจะนำ “หะดีษ” ใดๆมาอ้างว่าการที่ผู้หญิงนำละหมาดนั้น ผิดหลักการ ของอิสลาม แล้ว เขาจะตกอยู่ ในบรรดา ผู้ฝ่าฝืนบัญญัติ ของอัลลออ์ หรือ ผู้ที่ไม่ศรัทธา

ตามที่คุณกล่าวว่า,


“ทำในโบสถ์นัซซอรอย์ผิดครับ จัดรูปการยืนเหมือนนัซซอรอย์ขณะ ทำ พิธี ในโบสถ์ผิด
ครับ ผู้หญิงเป็นผู้นำในพิธีศาสนาอิสลามทั้งที่มี ผู้ชายร่วมอยู่ ด้วยผิด ครับ เรื่องสถานที่
และรูปแบบผิดทั้งหมดครับ”


คุณช่วยกรุณาอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าผิดอย่างไร?


ที่ผมกลับเข้ามาตอบไม่ได้เพราะ ต้อง การจะ แสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ อะไร เลย แต่ต้องการจะรักษาน้ำใจคุณ ไม่ให้เข้าใจผิด ว่าผมเฉย เมย ต่อ การสนทนาของคุณ, ผมอยากจะเห็นคำอธิบาของท่านอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ และ อาจารย์อะห์หมัด ก้อพิทักษ์ เสียก่อน ว่าท่านทั้งสองมีความคิดเห็น ว่า อย่างไร?


สำหรับผมนั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เพราะอิสลามไม่มีสถาบันสงฆ์, มุสลิมทุกๆท่านรับผิด ชอบในการกระทำของตนเอง ในการศรัทธา และสวามิภักดิ์ ต่อ พระองค์อัลลอฮ์ ตามกฏ บัญญัติ ในอัลกุรอาน ถ้าผู้ใดที่ทำผิดไปจากที่บัญญัติไว้ ในอัลกุรอาน เขาผู้นั้น ก็ คือ ผู้ปฏิเสธศรัทธา


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nuroiya
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 28/12/2003
ตอบ: 41


ตอบตอบ: Sun Mar 27, 2005 11:16 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam สำหรับพี่น้องมุสลิม

ดิฉันมีความเห็นว่า เราน่าจะเลิกสนทนากับนายแมทท์กันดีกว่า ดิฉันว่าเรายิ่งสนทนาเราก็จะไม่ก่อเกิดประโยชน์อะไร เพราะเขาไม่เอาฮะดีษทั้งหมด ยกเว้นอัล-กุรอ่านอย่างเดียว ฉะนั้นไม่ผิดอะไรที่เขาไม่สามารถตอบเรื่องการละหมาดได้ เขานึกจะละหมาดอย่างไร เขาก็ตามสบายของเขา ดิฉันว่าอีกหน่อยเขาคงจะตีลังกาละหมาด เขาก็จะบอกว่า บทบัญญัติของพระองค์ (อัล-กุรอาน) ไม่เห็นมีห้ามเอาไว้ ถ้ามีช่วยยกหลักฐานมาหน่อยซิ แล้วอย่างนี้เราจะคุยกันเข้าใจไหมหนอ เฮ้อ.....

wassalam

_________________
"จงยึดมั่นในสายเชือก(ศาสนา)ของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกัน และอย่าได้แตกออก หรือแตกต่างจากศาสนาของอัลลอฮฺ"
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว เข้าชมเว็บไซต์
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Mon Mar 28, 2005 2:01 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คุณแมทท์บอกว่าให้ผมใจเย็นซะหน่อบ
แล้วใครบอกว่าผมเป็นคนใจร้อนล่ะครับ
อย่าว่าแต่ใจเย็นเลยครับ ใจมันนิ่งปรั๊วะเลยครับ
แต่ปัญหาคือพูดตรงหลักการไปหน่อย แล้วมันแรงไป(สังคมคนยุคนี้) ก็เลยโดนลบ
ซึ่งความจริงแล้ว หากเรายึดหลักการแบบ fundamentalist เดิมๆเลยก็ถือว่าไม่แรงนะครับ เบามาก ปรานีมาก(สำหรับยุคนั้น)
อิสลามเป็นศาสนาที่นิ่มนวลที่สุด หลักการจากกุรอาน+หะดีษ นิ่มนวลอ่อนหวานที่สุด
เศาะหาบะฮฺนิ่มนวลอ่อนหวานมากถ้าเทียบกับพวกระบบโรมัน หรือจีนในสัมยนั้น
อุละมาอฺยุคสลัฟที่นำกฎหมายอิสลามมาหุกุมถือเป็นกฎหมายที่นิ่มนวลที่สุด
ในสมัยท่านอุมัรฺ พอกองทัพมุสลิมต้องถอยร่น บรรดากาเฟรฺที่ถูกปกครองร้องห่มร้องไห้ ไม่อยากให้ไป จะหาได้ที่ไหนในโลก
เอายุคนี้พวก fundamentalist อย่างทหารฏอลิบันที่จับตัวนักข่าวยุโรปไว้ ปฏิบัติตามหลักการแบบเดิมๆ(ศาสนาครับไม่ใช่ประเพณี)
นักข่าวถึงกับแปลกใจ ว่าทั้งที่เธอด่าเหยียดหยามก็แล้ว ถ่มน้ำลายก็แล้ว ทหารฏอลิบันยังปฏิบัติกับเธออย่างดี
จนเธอกลับไปก็ศึกษาอิสลามแล้วก็เข้ารับทันที
อีกตัวอย่างพวก fundamentalist (ศาสนาไม่ใช่ประเพณี)ที่อาสาไปรบอิรัค จับตัวประกัน
บรรดาตัวประกันที่ถูกปล่อยต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าถูกปฏิบัติอย่างดี(แขก VIP)
ถามว่าหาได้ที่ไหนครับในโลก
เราไปรับแวดล้อมแห่งความ sensitive ความดีจอมปลอม ไอ้นั่นนิดไอ้หน่อยก็โหดร้าย ป่าเถื่อน
ผมกล้ายืนยัน นั่งยันว่าไอ้พวก sensitive คิดว่าตัวเองเมตตา ตัวเองชอบให้ความรัก ตัวเองขี้สงสาร
หากพวกนี้โดนถ่มน้ำลายล่ะก็ ไม่มีอดทนอดกลั้นแน่ ใครจะทำได้อย่างนี้ครับนอกจากพวก fundamentalist ที่ถูกมองว่าป่าเถื่อน

เพราะฉะนั้นของจริงมันก็คือของจริง จะเสแสร้งเฉไฉยังไงก็แล้วแต่ สุดท้ายก็ไปไม่รอด
ตัวเองไม่ตามศาสนา แต่จะเอาศาสนาให้ตามตัวเอง
ก็ฉันชอบแบบนี้น่ะ ก็อย่างนั้นมันไม่ดีน่ะ แต่ไม่กล้าบอกว่าศาสนาไม่ดี ก็บิดออกไป เฉออกไปว่าศาสนาน่ะดี แต่คนมันเข้าใจผิด
นบีเองก็ผิด! ชอบสอนในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้สั่ง ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้ห้าม
เออ..แต่นบีพูดดักไปแล้วว่าจะมีอยู่พวกนึงที่อยู่อย่างเอกเขนกแล้วบอกว่ากุรอานก็พอ หะดีษไม่ต้อง
ตอนนี้มันก็มี คุณแมทท์เองก็พูดจาอย่างเอกเขนกว่าหะดีษไม่ต้อง ..(ซะงั้น!)
เอ...นบีรู้ได้ไงอ่ะ?
นบีนั่งไทม์แมชชีนมาดูอนาคต แล้วเห็นอนาคตรึเปล่า? ... เปล่า!
เอ๊ะ นบีรู้ได้ไงอ่ะ ว่าแมลงวันปีกข้างนึงมีพิษ ปีกอีกข้งามียา
นบีเรียนเคมีมาเหรอ? ...เปล่า!
เอ๊ะ แล้วนบีรู้ได้ไงอ่ะ ว่าจะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นถี่ยิบ ถี่ยิบ ...และแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
นบีเป็นนักธรณีวิทยารึเปล่า? ..ก็เปล่า!

<ส่วนหะดีษที่มีสำนวนขัดกัน อย่าเข้าใจว่านบีสับสน แต่ไอ้สายรายงานน่ะที่สับสน>
------------------------------------------------------------------------

ว่าแต่ว่าคุณแมทท์ถามถึงตอนที่ท่านนบีเอาใจฮัฟเซาะฮฺโดยการห้ามตัวเองไปนอนกับนางมรียะฮฺตลอดไป
อัลลอฮฺจึงลงอายะฮฺมาต่อว่านบีเลย(ทำนองนั้น) อ่านี่ไงหะดีษนบีใช้ไม่ได้! อย่างงี้นบีไม่ใช่มะอฺศูมแหง!
ผมให้แง่คิดซักนิด ว่านบีพูด/กระทำ/ยอมรับ มาตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วในยุคนี้ก็มีคนมาบอกว่านบีมั่ว มั่วหุกุ่มเอง
หุกุ่มสวนทางกับอัลลอฮฺ แต่เอ๊ะ ไหง อัลลอฮฺไม่ยักลงอายะฮฺมาห้ามเรื่อยๆล่ะ
หรือห้ามครั้งสองครั้งพอ? ทดสอบนบีว่าจะดื้ออีกรึเปล่า?

เปล่าเลยกุรอานเราจะไปเอาบางส่วน ส่วนไหนไม่ชอบเราก็ทำเป็นเลี่ยงไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้
ศึกษากุรอานต้องทำความเข้าใจหิกมะฮฺโดยรวม
แล้วหิกมะฮฺเนี่ยมันก็คือเอาสุนนะฮฺมาขยายความเข้าใจกุรอาน
เราก็ต้องไปดูว่าเหตุที่อัลลอฮฺลงนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เด็กกำพร้า คนตาบอด นักรบ คนขี้เกียจ คนขี้เหนียว คนเจ้าเล่ห์
หรือลงเกี่ยวกับชีวิตครอบครับ ลงเกี่ยวกับกฎหมาย
แล้วสุนนะฮฺนบี หรือผู้ที่อยู่ในเหตการณ์ในสมัยกุรอานลงนั่นแหละครับคือตัวอธิบายความหมาย
เพราะฉะนั้นแล้วถ้าอัลลอฮฺไม่ให้นบีมีตัวอย่างที่ทำผิดกับครอบครัวเลย แล้วเราจะรู้มั๊ยว่าอัลลอฮฺสอนอะไรเรา
สอนให้เราปฏิบัติกับภรรบาอย่างไร กับลูกอย่างไร หาเลี้ยงครอบครับแบบใดๆ

...พอก่อน ยาวเกินไปแล้ว
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Mon Mar 28, 2005 11:02 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ nuroiya ครับ
อย่าเพิ่งตัดเยื่อตัดใยกะแกเลยครับ
สมัยเด็กๆ เคยดูหนังเรื่องนึง จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร แต่จำประโยคหนึ่งของพระเอกเค้าได้ว่า "ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง"

ทำให้ผมมองเห็นประโยชน์อย่างหนึ่งของ 'จาน แมทท์ได้ว่า ทำให้ผมหรือใครก็ตามที่สงสัยในสิ่งที่แกเสนอมา แล้วไปค้นไปคว้าหาคำตอบที่ถูกต้องตามแนวทางอัลอิสลาม ซึ่งนั่นก็คือทำให้เราได้รู้อะไรๆเพิ่มขึ้นอีกเยอะครับ ค้นปัญหานึง คุณจะได้ความรู้ในเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่อง ซึ่งผมต้องยอมรับตามตรงครับว่า ข้อใส่ใคล้บางเรื่องของ 'จานแมทท์ ผมก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย แกถึงได้คุยทับว่า ทำไมมุสลิมทั่วๆไปถึงไม่รับหะดีษนั้นมาปฏิบัติทั้งๆที่เป็นหะดีษเศาะเฮียะห์ อย่างเช่นเรื่องที่แกบอกว่า "ให้ภรรยาของตนเอง เอานมให้ชายหนุ่มแปลกหน้า”ดูด” เพื่อเปลี่ยน สภาพจากคนแปลกหน้า มาเป็นบุตรบุญธรรม" เอ๊ะ...อย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ ซึ่งก็มีคำตอบครับ....แต่อยู่คิวท้ายๆโน่นแน่ะ ต้องคอยอีกนาน อินชาอัลลอฮฺ

กับเรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน ถ้าเราใฝ่รู้ และมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺและรอซูล ด้วยการ "ตักวา"อย่างเต็มความสามารถ ตามที่พระองค์ทรงกำชับไว้ว่า....อิตตะกุลลอฮะ มัสตะเฏาะอฺตุม ... เราต้องขวนขวายครับว่าอันไหนอัลลอฮฺใช้ รอซูลสั่ง และอันไหนที่ถูกสั่งห้าม
-------------------------------
คุณ nop ครับ
ไม่ยาวไปหรอกครับ ถ้าสิ่งที่กล่าวมามันช่วยสะกิดใจใครบางคนได้ แม้เพียงน้อยนิด ก็ยังถือว่ามีคุณค่า และน่าสรรเสริญ


wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
addullslam
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004
ตอบ: 672


ตอบตอบ: Tue Mar 29, 2005 10:29 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
คุณแมทท ให้อธิบายเพิ่มเต็มที่ว่าผิดอย่างไรดังข้อความที่ว่า
“ทำในโบสถ์นัซซอรอย์ผิดครับ จัดรูปการยืนเหมือนนัซซอรอย์ขณะ ทำ พิธี ในโบสถ์ผิด
ครับ ผู้หญิงเป็นผู้นำในพิธีศาสนาอิสลามทั้งที่มี ผู้ชายร่วมอยู่ ด้วยผิด ครับ เรื่องสถานที่
และรูปแบบผิดทั้งหมดครับ”
ส่วนใหญ่จะเป็นหะดีษซึ่งคุณไม่รับอยู่แล้ว เรื่องนี้จบไปเพราะบอกไปก็ไม่เกิดประโยชน์
ก็ต้องขออภัยที่มารบกวนการรอคอยของคุณ รวมถึงสามชิกท่านอื่นด้วย
" เอาคนใหญ่ออกมาที่เท่าเทียมกัน " คัดคำมาจากหนังวีดีโอเรื่อง
. . . มุฮัมมัด ร่อซูลุลลอฮฺ
salam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Wed Mar 30, 2005 5:57 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เวลามีคนถามถึงอายะฮฺเหล่านี้ คุณแมทท์จะเลี่ยงไม่ตอบ โดยการไปยกอันอื่นมาว่า
ไปเอาหลักฐานที่พอค้ำยันได้มาว่า คนอ่านก็ลืมประเด็นไปว่า เอ้าจริงๆแล้วคุณแมทท์ยังไม่ตอบเลยนี่หว่า

คุณแมทท์ช่วยอธิบายความหมายของอายะฮฺเหล่านี้หน่อยสิครับ ว่าอัลลอฮฺหมายความว่าอย่างไร
เอาความหมายอยาะฮฺเหล่านี้ก่อนนะครับ ชี้แจงอันนี้ก่อน ก่อนที่จะยกอันอื่นแล้วปฏิเสธอันนี้

(3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา "

ผมถามจริงๆเหอะ ทำไมอัลลอฮฺไม่กล่าวแค่ว่า " จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ " แค่นี้ก็พอแล้ว ทำไมต้องมีรอซูลอีก Logic นี้มันหมายความว่าไง?
เหมือนกับผมบอกลูกว่า "ลูกเชื่อฟังพ่อนะ และพี่ชายลูกด้วย"

ที่สำคัญ ที่สุด อายะฮฺนี้
(4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ "
เอ.. เชื่อฟังในที่รอซูลในที่นี้หมายถึงอะไร คุณแมทท์ช่วยอธิบายสิครับ? ตาม logic อัลลอฮฺคือผู้ที่ถูกกล่าวไว้ 1 แล้ว และรอซูลนี่ก็อีก 1 ไม่ใช่บุคคลเดียวกันนะครับ
แล้วอัลลอฮฺกล่าวว่าใครเชื่อฟังคนเนี้ย รอซูลเนี่ย(ไม่ใช่อัลลอฮฺนะ)ก็เท่ากับว่าเชื่ออัลลอฮฺแล้ว
เหมือนกับผมบกอว่า "ถ้าลูกเชื่อฟังพี่ชายเนี่ย ก็เท่ากับว่าเชื่อฟังพ่อแล้วนะ" กล่าวคือที่พ่อสั่งลูกไว้เนี่ยให้เชื่อฟังพี่ ถ้าลูกทำตามก็เท่ากับว่าเชื่อฟังที่พ่อสั่งไว้

(24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา "
ทำไมต้องปฏิบัติตามรอซูลล่ะครับ ก็เพราะว่าอัลลอฮฺไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติ อัลลอฮฺทิ้งคำสั่งไว้ แต่จะไปดูใคร ก็ไปดูรอซูล แน่นอนว่าถ้ารอซูลทำผิด อัลลอฮฺก็จะลงวะฮีย์ให้ แก้ไขให้ถูก

อายะฮฺพวกนี้เราต้องเคลียร์ความเข้าใขด้วย อย่าพาลไปว่า เฮ่ยแล้วไอ้ที่ว่าอย่างนู้นล่ะ แล้วที่อายะฮฺนู้นว่าอย่างนี้ล่ะ อย่าพึ่ง ถ้าคิดแบบนี้ Inlogical แล้ว
กุรอานไม่ขัดแย้งกันหรอก เพียงเราไม่เอาท่อนที่เราไม่อยากเอาไง

ดูตัวอย่างนบีนุฮฺกล่าวกับกลุ่มชนของท่านนะ
(26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน"
อ้าวชีริกมั๊ยเนี่ย? ไหงนบีนุฮฺพูดงี้ บอกให้ยำเกรงอัลลอฮฺ แต่พอคำสั่ง ไม่สั่งให้เชื่ออัลลอฮฺ แต่กลับให้เชื่อฟังฉัน(คือนบีนุฮฺ) คนละบุคคลนะครับ ตาม logic ให้ดี
ถ้านบีนุฮฺจะสั่งให้คนเชื่ออัลลอฮฺ ก็จะบอกว่า "ยำเกรงอัลลอฮฺนะ" "เชื่อฟังอัลลอฮฺนะ" แต่นี่กลับบอกว่า "เชื่อฟังฉัน"
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นนะครับ ว่าผู้ศรัทธาจะเชื่อฟังอัลลอฮฺเท่านั้น (อ่า อย่า งง)
ก็จริงๆก็ต้องฟังอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียวนั่นแหละ แต่อัลลอฮฺให้สิทธิ์ ให้สิทธิ์เพื่อความง่ายแก่มนุษย์
อัลลอฮฺให้เชื่อฟังรอซูลของกลุ่มชนนั้นๆด้วย ถ้ารอซูลสอนผิดเดี๋ยวอัลลอฮฺแก้ไขเองแหละ
เหตุผลที่อัลลอฮฺให้รอซูลสอนผิด(แต่ไม่บาป) ก็เพราะกันว่าเดี๋ยวผู้คนจะไปยึดติดเคารพบูชารอซูลซะ
อัลลอฮฺให้เรารู้เลยว่านบีนึงก็รู้ไปเรื่องที่เฉพาะที่อัลลอฮฺให้รู้ เช่นนบีมูซาก็รู้เรื่องนึง แต่รู้ไม่หมด
ยังมีเรื่องที่นบีเคาะดรฺรู้แต่นบีมูซาไม่รู้ดังที่กุรอานและหะดีษได้เล่าไว้

นอกจากนั้นแล้วอัลลอฮฺไม่ได้ให้เชื่อฟังแค่รอซูล บรรดาผู้ปกครอง ผู้นำชุมชนหรืออุละมาอฺก็ตาม อัลลอฮฺก็ให้สิทธิ์ที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟัง
(4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง "
อันนี้ชัดเลย เชื่อฟังอัลลอฮฺ เชื่อฟังรอซูล (แยก อาตีอุ กันชัดเจน) และผู้ปกครองด้วย แต่กล่าวตามสำนวนคือเชื่อแบบไม่มีน้ำหนักก็ได้ เพราะผู้ปกครองหรือจะตีความว่าอุละมาอฺ ประมุขหรือมุฟตีก็แล้วแต่ ก็เป็นรองอัลลอฮฺและรอซูล และยังทิ้งท้ายไว้อีกว่า ถ้าขัดแย้งกันก็กลับไปหาอัลลอฮฺ ไม่แค่แค่นั้น กลับไปหารอซูลด้วย แยกกันชัดเจน

(4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี "

ขอเตือนคุณแมทท์ทิ้งท้าย
(33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง "
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Mar 30, 2005 9:31 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

การกำหนดเวลาในการ ทำละหมาด 5 เวลา ประจำวัน ใน “อัลกุรอาน”


(1) เวลาละหมาดรู่งเช้า “ซุบฮิ” ใน อัลกุรอาน กล่าวไว้ ใน 24:58
“مِن قَبْلِ صَلَاةِ الْفَجْرِ”
(2) เวลาละหมาด ซดุฮริ (ตอน เที่ยง วัน)มีกล่าวไว้ใน 17:78. เริ่ม เมื่อตะวันคล้อยผ่านจุดยอดสุด
أَقِمِ الصَّلاَةَ لِدُلُوكِ الشَّمْسِ إِلَى غَسَقِ اللَّيْلِ

(3) เวลา ละ หมาดตอน บ่าย “อัศริ” มีกล่าวไว้ใน 2:238. ในระหว่างเที่ยงวัน และ ตะวันตกดิน
حَافِظُواْ عَلَى الصَّلَوَاتِ والصَّلاَةِ الْوُسْطَى وَقُومُواْ لِلّهِ قَانِتِينَ
(4) The Sunset Prayer is mentioned in เวลา ละหมาดตอนพลบค่ำ “มักริบ” มีกล่าวใน 11:114. เมื่อยามค่ำคืบคลานมา
وَأَقِمِ الصَّلاَةَ طَرَفَيِ النَّهَارِ وَزُلَفًا مِّنَ اللَّيْلِ إِنَّ الْحَسَنَاتِ يُذْهِبْنَ السَّـيِّئَاتِ ذَلِكَ ذِكْرَى لِلذَّاكِرِينَ
(5) เวลา ละหมาดยามค่ำ “อีซา” มีกล่าวไว้ใน 24:58
وَمِن بَعْدِ صَلَاةِ الْعِشَا" "


การกำหนดเวลาในการ ทำละหมาด 5 เวลา ประจำวัน ใน “อะหะดีษ”

ท่าน อับดุลเลาะห์ อิบนฺ อะมัร รายงานว่า ท่านรอซุลลุลเลาะห์ กล่าวว่า , “เวลาละหมาด ซดุฮริ (ตอน เที่ยง วัน) นั้น เริ่ม เมื่อตะวันคล้อยผ่านจุดยอดสุดจนความยาวของเงาเท่ากับความสูงของคน, เวลา ละ หมาดตอน บ่าย “อัศริ” เริ่มหลังจาก หมดเวลาละหมาดเที่ยง จนถึงแสงตะวันเป็นสีเหลืองเทื่อเวลา ใกล้ จะ ตก ดิน, เวลา ละหมาดตอนพลบค่ำ “มักริบ” เริ่มและจบในระหว่างเวลา ครึ่งมืดครึ่งสว่าง(โพล้เพล้), เวลา ละหมาดยามค่ำ “อีซา” หลังจากหมดเวลามักริบ จนถึงตรงกลางของเวลากลางคืน, และ การละ หมาด รุ่งเช้า “ซุบฮี” เริ่มจาก เวลาทีเห็นแสงสลัวจนถึงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น, เมื่อเวลลาอาทิตย์ขึ้นนั้น ให้หยุดทำการ ละ หมาด เพระว่า ดวงอาทิตย์ ขึ้นในระหว่าง เขา ของไชตอน (บรรยายโดย “มุสลิม”)

จาก การกำหนดเวลาละหมาด ในอัลกุรอาน และในอัลฮะด๊ษ จะเห็นได้ว่า:

การกำหนดเวลา ใน อัลกุรอาน เป็นการกล่าวถึง เวลา ละหมาด จากการปฏิบัติที่ กระ ทำ อยู่ เป็น ประจำวัน, ช่วงเวลา ในเวลาละหมาด ถือว่าเป็นที่ เข้าใจกัน เนื่อง จาก มุสลิม จะต้อง ทราบเวลาในการละหมาดอยู่แล้ว, รวมทั้งท่านรอซูลด้วย, ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเป็นหน้า ที่ ของ มุส ลิม ที่จะ ต้อง กระทำ ตั้งแต่ สมัยก่อน “ท่านรอ ซูล มูฮัมมัด”, ซึ่งมีการละหมาดวันละ 5 เวลา อยู่ แล้ว และ ยังคงดำเนินการ ละหมาด ต่อ เนื่อง กัน มา จนถึง ปัจจุบันนี้ ดังนั้น ท่่า ทาง ใน การละหมาด จะต้อง มีลักษณะ เช่นเดียว กัน กับ ที่ มุสลิม กระทำ อยู่ในปัจจุ บันนี้ เพราะ ในอัล กุร อาน กล่าว ถึง การ ซูยูด และ รุกุ๊ อยู่ในหลายอายะห์


โดยเหตุนี้พระองค์ อัลลอฮ์ ทรง มีโองการกำชับ มุสลิมทั้งหลาย ให้ เชื่อ ฟังคำ สอน ของ ท่านรอซูล โดยการ ยึด มั่น ต่อหน้าที่ ที่มีต่อ พระองค์ และเพื่อน มนุษย์ ด้วยกัน ที่ ผ่านตกทอด มาจากท่าน นบีอิบรอฮิม โดยทีพระองค์ เดือนความจำว่าดังนี้จาก
“เจ้าจงกระทำละหมาด(الصَّلَاةَ) และ จ่าย ซะกาต (الزَّكَاةَ) และ เชื่อฟังท่านรอซูล, เพื่อที่จะได้รับความเมตตา” (24:56)

“จงกล่าวเถิด(โอ, มูฮัมมัด), ถ้าพวกเจ้ารัก อัลลออ์ ดังนั้นเจ้าจะต้องเชื่อฟังฉัน(มูฮัมมัด), แล้วอัลลอฮ์จะรักเจ้า และทรงอภัยโทษที่เป็นบาปให้เจ้า; อัลลอฮ์คือผู้ให้อภัยและกรุณา, จงกล่าวเถิดว่า จงเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์, ถ้าเจ้าผินหลังให้, อัลลอฮ์ ไม่ทรงโปรด ผู้ที่ไม่มีศรัทธา” (3:31-32)
“ผู้ใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟังอัลลอฮ์และท่านรอซุลจะตกอยู่ในไฟนรกชั่วกัลป์” (72:23)
จากอายหฺ ต่างๆ ในอัลกุรอานที่ยกมานี้ สำคัญมาก เป็น หัวเลี้ยว หัวต่อ ของ ความศรัทธา ของมุสลิมทุกๆ ท่าน เราจะต้อง ทราบและเข้าใจ ว่า อะไรคือ “คำสอนและการปฏิบัติที่แท้จริง ของ ท่าน รอซูล” เท่าที่เราเห็นจริงอยู่ โดยไม่ต้อง สืบสาย หรือ สอบสวน ปากคำจาก ท่าน ผู้ใด ก็คือ
“อัลกุรอาน เป็นกิตาบุลลอฮ์เล่มเดียวเท่านั้น ที่ ท่าน รอซูลยึดมั่นเป็นหลักปฏิบัติศาสนกิจ และนำมาสั่งสอนมุสลิม”

เนื่องจากผมกำลังเขียนถึงตอนนี้อยู่ พอเหลือบไปเห็น ข้อความของ คุณ Nop เข้า เลย คิด ว่า ควรจะคุยเรื่องที่คุณยกมากันให้เข้า่ใจเสียก่อน เพราะเรื่อง ละหมาดนั้น เป้นเรื่อง ที่ ทุกๆท่านในที่นี้ ทราบว่า ปฏิบัติสืบต่อ จาก ท่าน นบีอิบรอฮิม มาก่อน ที่จะถึง ท่าน รอซูล

ผมว่า คุณทั้งหลายคงยังไม่เข้าใจ สิ่งที่ผม พูด ไว้่ “ผมไม้เคยบอกหรือกล่าวเลย ว่า ผมไม่เชื่อ คำสั่งสอน และ คำตักเตือน ของท่านรอซูล การเชื่อและยึดถีออัลกุรอาน เพียง อย่าง เดียว นั้น เป็น การเชื่อ ฟัง ท่าน รอซูล และตาม ซุนนะห์ ของ ท่าน อย่าง แท้ จริง

แต่ผมกล่าวว่า
“ผมไม่เชื่อเรื่อง บอกเล่า ที่บุคอรี เก็บรวบรวม มาเล่า ว่า มีผู้เคยเห็น หรือ ได้ยิน คำกล่าว ของ ท่านรอซูลว่า ทำอย่างโน้น ทำ อย่าง นี้ ต่างหาก ถ้าพวกคุณ จะเชื่อ ก็เป็น สิ่ง ที่ คุณเลือก ทาง กันเอง แต่ถ้าคุณจะเชื่อ และปฏิบัติ ตาม เรื่องบอกเล่า นั้นๆ เฉพาะ สิ่งที่ สดวก สบาย ต่อชีวิตคุณ และ ความ ต้องการ ของ คุณ แล้ว คุณ ลอง คิด ดู ให้ ดี ซิ ว่า คุณจะจัด อยู่ ใน บุคคล จำ พวก ใด”

คำบอกเล่าต่างๆที่เกี่ยวกับการกระทำของ ท่านรอซูล ในซอเฮี๊ยะ หะดีษนั้น ถ้าคุณ ยกเทิดทูล เกล้าทูล กระหม่อม และ ปฏิบัติ ตาม ทุกๆ บทแล้ว คุณลองคิดดูซิว่า สังคม มุสลิมจะเป็น อย่าง ไร การ ตั้ง คำถาม เช่นนี้ ไม่ใช่ เป็น เรื่อง จาก ปี มะโว้ ที่เลิก ถาม กัน แล้ว แต่ยังเป็น คำถาม ที่ ยังอยู่ ในความสงสัย ของ มุสลิม เกีอบ ทุกๆท่าน แม้ แต่ บรรดา ผู้ ที่ เชื่อ ซอเฮี๊ยะ ฮะดีษ ก็ตาม

แม้แต้คุณ Nop เอง ครั้งหนึ่ง ที่มีผู้ชวน โหวต ว่า “คนไม่เชื่อ “หะดีษ” นั้น ตกจากการ เป็น มุสลิม หรือ ไม่ คุณN op เคย บอกว่า ไม่ ตกจากการ เป็น มุสลิม ผมว่า คุณ Nop คง จะลืมไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่ง คุณN op เคยกล่าวว่า การละหมาด สมัยก่อน ท่าน นบี นั้น ก็ทำเช่นเดียว กับ การละหมาด ที่ ทำ กัน อยู่ ทุกๆ วันนี้ ผมหวังว่า คุณNop คงจะจำคำ พูด และ คำตอบ ของ คุณ ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า ผมจะพยายาม ใช้ คุณN op เป็น ข้อ แก้ ตัว


wassalam

มทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Mar 30, 2005 9:36 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ด้วยความรีบร้อน เลยลงเรื่อง สับสนไปหน่อย เรี่องนี้ ควรจะมาก่อน เรื่องข้างบนนี้น


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Wed Mar 30, 2005 9:39 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

การสนทนาได้มาถึง จุดที่ผมต้องการ คือ ผมเริ่มต้นด้วยการ ตั้งกระทู้ว่า มุสลิม ควร จะ ใช้ อัลกุรอาน เพียงอย่างเดียว ในการ เรียน การ สอน และการใช้ เป็น หลัก ในการ ประ กอบ ศาสนกิจ, แต่มุสลิมส่วนใหญ่ กลับ ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับ ท่านรอซูลมูฮัมมัด ว่าท่าน กล่าว หรือ ปฏิบัติอย่าง อย่างไร ที่รวบรวม โดย บุคอรีย์ หรือ มุสลิม (หรือ ผู้ใดก็ตาม), ที่ มุสลิม รู้ จัก กัน โดยทั่วๆไปว่า “อะหะดีษ”, โดยเฉพาะ “อะหะดีษ” ที่เป็นที่ยอมรับและ ศรัทธากัน ใน มุสลิม ส่วนใหญ่ ได้แก่ “ซอเฮี๊ยะหะดีษ” ของบุคอรีย์ และมุสลิม

และผมได้กล่าวต่อไปว่า ตามหลักการ ของ อิสลาม การที่ยก อะหะดีษบุคอรีย์” ขึ้น เทียบ เท่า หรือ จัด อัน ดับ เป็น หนังสือ เล่มที่สอง รองจากอัลกุรอาน โดยศรัทธาว่า “ซอ เฮี๊ยะ หะดีษ” เป็น “วะฮีย์” จาก พระองค์อัลลอฮ์ และ แนะ นำสั่งสอน มุสลิม ว่า “ทั้งอัล กุรอาน และ อะหะดีษบุคอรีย์” นี้ มุสลิมจะต้อง ยกขึ้น เทิด ทูลขึ้น เหนือ เกล้า เหนือ กระ หม่อม และแม้ กระนั้น ยังใช้ “อะหะดีษบุคอรีย์” อธิบาย อัลกุรอาน, การกระทำดัง กล่าว นี้ ถือว่า เป็นการสร้าง ภาคี “ชิริก”

ด้วยเหตุนี้ ได้มีผู้ตั้งคำถามต่อผมว่า ถ้าไม่ มี “อะหะดีษบุคอรีย์” แล้ว เราจะทำ ละ หมาด กัน อย่างไร? ผมก็ตอบว่า การทำละหมาดนั้น มี มาตั้งแต่สมัยท่าน นะบีอิบรอฮิม แล้ว และปฏิบัติ สืบ เนี่อง กันต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน และมีอยู่ในอัลกุรอาน, แต่คุณทั้งหลาย ก็ไม่ พอใจในคำตอบ ของผม และ พยายาม เรียกร้อง รายละเอียด ในการลักษณะท่าทาง การ ละหมาด แต่ ขั้น ตอน ในการ ละหมาด ที่มีอยู่ ในอัลกุรอาน


จากการอธิบายของคุณอัลฆุเราะบาอ์ เกี่ยวกับ การ อิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ นั้น มีมา ก่อน ท่าน นะบีอิบรอฮิม ซึ่งไม่มีสมาชิกท่านใดทีอาจจะ โต้เถึยง ความจริง ข้อนี้ได้, และเรา ยัง ทราบ จากอัลกุรอาน อีกว่า คำว่า “มุสลิม” นี้ มีมาก่อนท่านรอซูลมูฮัมมัด ทั้งนี้ เพราะว่า ศาสนา ของ ท่าน นะบีอิบรอฮิม นั้น คือ ศาสนา “อิสลาม” ซึ่งหมายถึง “การยอมรับและ สวามิภักดิ์ และ ยอมจำนน ต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น” และผู้ที่ การยอมรับและ สวามิภักดิ์ และ ยอมจำนน ต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เรียกว่า “มุสลิม” โดยเหตุนี้ เรา จะเห็นและเข้า ใจ ได้ ว่า, การเป็นมุสลิมนั้น มีมาก่อน ท่านรอซูลมูฮัมมัด ความจริงข้อนี้ มีปรากฎอยู่ ใน ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ อายะ 78, จาก ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ อายะ 78 นี้ พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรง ยืนยัน ให้เราทราบว่า ตั้งแต่สมัยท่านนะบีอิรอฮิม เรื่อยลงมามา,บรรดา ผู้ซึ่งมีศรัทธาใน พระองค์ อัลลอฮ์, รวม ทั้ง ท่าน นะบี และ ศาสนฑูต ท่านต่างๆ ได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม,และ ได้ทำการละหมาด, และ ปฏิบัติ หน้าทีทางศาสนา เช่น เดียว กับ การละหมาดตามที่ท่าน นะบีอิบรอฮิมปฏิบัติ

เราจงมาพิจจารณา ความหมาย ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะห์ 62 และ ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะห์ 69 ที่แจ้ง ให้เราทราบว่า ผู้ที่

1. ยอมรับ, ศรัทธา,สวามิภักดิ์ และ ยอมจำนน ต่อพระเจ้าองค์เดียว
2. เชื่อในวันปรโลก
3. ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม


บุคคลเหล่านี้ (รวมทั้งผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียน และอัศ-ซอบิอีน) จะได้รับ ความเมตตา จาก พระองค์ อัลลอฮ์และจะไม่ต้องเกรงกลัว หรือมีความเศร้าโศรก เสีย ใจ (ในวันตัดสิน) ทั้งนี้ ก็ เพราะ เขาเหล่านั้น ก็ คือ “มุสลิม” หรือ ผู้ที่ นับถือศาสนาอิสลาม นั้นเอง)


ดังนั้น การปฎิเสธเรื่องบอกเล่าต่างๆ เกี่ยวกับท่านรอซูลมูฮัมมัด ที่รวบรวมโดย บุคอรีย์ หรือ มุสลิม จึ่ง ไม่เกี่ยวกัย การตกจากการเป็นมุสลิม, แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม ถ้า มุสลิม ขาด ศรัทธา ต่อ บัญญัติ ในอัลกุรอาน หรือ ไม่ปฏิบัติตาม แล้ว เขาผู้นั้น จะตกจากการเป็น มุสลิม อย่าง แน่ นอน




เนื่่องจาก มุสลิม คือ ผู้ที่ ยอมรับ, ศรัทธา,สวามิภักดิ์ และ ยอมจำนน ต่อพระ องค์ อัลลอฮ์ ดังนั้นมุสลิม จึงจำต้องมีความศรัทธาว่า ท่านรอซูลมูฮัมมัดเป็นศาสนทูต ที่แท้จริง ของ พระองค์ อัลลอฮ์ เช่นเดียวกับ ท่านนบีท่านต่างๆที่มาก่อน ท่านรอซูล มูฮัมมัด และ จะต้อง ศรัทธาว่า อัลกุรอาน เป็น “วะฮีย์” จากอัลลอฮ์ และเป็น คัมภึร์ เล่มสุดท้าย ที่มุสลิม จะต้อง ยึดถือ ตามคำสั่งของท่านรอซูล ดังเช่น จาก หะดิสบทนี้:

“เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, “อัลกุรอาน” แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือ ของ พวก ท่าน” (มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56)”

(คำอธิบายของคุณ อัลฆุเราะบาอ์ ในเรื่อง “หะดีษบทนี้ และอีกสองบท ที่ขัดกัน และสนับ สนุน ระหว่าง “ซุนนีย์” และ “ชีอะต์” มุสลิมนั้น, ไม่มีเหตุผลเพียงพอและขาด เอกสารอ้างอิง ว่า อะหะดีษ ทั้ง สามบทนี้ เพราะเหตุใดถึง ขัดกัน, ผมว่าบทนี้ น่าเชื่อถือกว่า ทั้งสองบทนั้น โดย เหตุ ว่า ตรงกับอัลกุรอาน อายาต 6:114-117)


……………………………………………………….

ข้อความอ้างอิงของ คุณ อัลฆุเราะบาอ์:

“ดูนี่หน่อยนะครับ อาจานแมทท์
ไม่ใช่นบีอิบรอฮีมคนเดียวหรอกที่บอกประชาชาติของท่านว่า
وَإِبْرَاهِيمَ إِذْ قَالَ لِقَوْمِهِ اعْبُدُوا اللهَ وَاتَّقُوهُ
…พวกท่านจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺและจงเกรงกลัวพระองค์เถิด (29:16)
นบีนูห์ นบีฮูด นบีศอและห์ นบีชุอัยบ์ ก็บอกเหมือนกันหมดว่า…

يَا قَوْمِ اعْبُدُواْ اللهَ مَا لَكُم مِّنْ إِلَـهٍ غَيْرُهُ
หมู่ชนของฉันเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ พวกท่านไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้วนอกจากพระองค์เท่านั้น (7:59,65,73,85)

เรื่อยมาถึงนบีอีซา…
وَقَالَ الْمَسِيحُ يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ اعْبُدُواْ اللهَ رَبِّي وَرَبَّكُمْ
อัลมะเสียะห์(อีซา)กล่าวว่า โอ้ลูกหลานอิสรออีลเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ - พระผู้เป็นเจ้าของฉันและของพวกท่านด้วย (5:72)

นอกจากนี้อัลลอฮฺยังทรงย้ำอีกว่า
وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَّسُولاً أَنِ اعْبُدُواْ اللهَ وَاجْتَنِبُواْ الطَّاغُوتَ
โดยแน่นอนยิ่ง เราได้แต่งตั้งรอซูลในทุกประชาชาติ(เพื่อมาสั่งกำชับ)ว่า ท่านทั้งหลายจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ และจงหลีกให้ห่างไกลจากฎอฆูต (16:36)

“อิบาดะฮฺ” น่ะไม่ใช่แค่การศรัทธา ใครๆก็รู้ แต่มันคือการแสดงออกด้วยการปฏิบัติเพื่อยืนยันถึงการยอมตนเป็นบ่าว เป็นการแสดงออกซึ่งศรัทธาที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจตามรูปแบบต่างๆที่อัลลอฮฺทรงให้รอซูลทุกท่านมาสั่งสอนทบทวนแก่ประชาชาติต่างๆบนหน้าแผ่นดิน การละหมาดก็คือรูปแบบหนึ่งในนั้น ส่วนจะใช้คำเรียกว่าอย่างไร นั่นก็เรื่องนึง จะมีรูปแบบเหมือนหรือแตกต่าง กันอย่างไรหรือ ไม่ สำหรับแต่ละประชาชาติ นั่นก็อีกเรื่องนึง-วัลลอฮุอะอฺลัม อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง”

………………………………………………………..

จากคำรอ้างอิงของ คุณ อัลฆุเราะบาอ์ บอกให้มุสลิมและสมาชิกทุกๆท่านได้เห็น หลักฐาน ในอัลกุรอานแล้วว่า “ชะหะดะห์” ที่ถูกต้อง ที่ ท่านรอซูลทุกๆท่าน กล่าว และสอน เรา มา ท่าน ศาสนทูต ทุกๆท่าน รวม ทั้ง ท่าน ศาสดา มูฮัมมัด, กล่าวคำ ปฏิญาณ ยอมสวา มิภักดิ์ และ รับความเป็น “เอกะ” ของพระเจ้า ด้วย ประโยค ในภาษา อรับว่า:


“อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” หมายความว่า, “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่สมควรในกราบเคารพบูชานอกจาก พระ เจ้าองค์เดียวเท่านั้น (อัลลออ์)”


ไม่ว่าเราจะมีความรักความศรัทธาต่อท่านรอซูลมูฮัมมัดมากเท่าใดก็ตาม มุสลิม ไม่ อาจ จะยกตำแหน่ง ของท่านรอซูลเทียบเท่า “อัลลอฮ์” ได้ เราจะต้องเชี่อ ฟังคำสั่งสอน ของ ท่าน รอซูลมูฮัมมัด ภายในขอบข่ายของ บัญญัติ ในอัลกุรอาน, มิฉนั้น แล้ว จะ เกิดความ เข้า ใจ ผิด ในความศรัทธา เช่นเดียว กับ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ต่อ ท่าน นบีอีซา พระองค์ อัลลอฮ์ มี คำ สั่งให้เรายกย่อง รอซูลและสดุดี ต่อศาสนทูตทุกๆท่าน ที่ พระองค์ ทรง ส่งมา สั่งสอน มนุษยชาติ



wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Mon Apr 04, 2005 1:34 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เห็นมั๊ยครับ เห็นหรือยังครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย
อย่างที่ผมพูดไว้ไม่มีผิด เลี่ยงคำตอบ
นี่ผมถามไปตาแมทท์เค้ายังไม่ตอบเลย
ผมคงต้องเน้นคำโตๆซะแล้วว่า

เวลามีคนถามถึงอายะฮฺเหล่านี้ คุณแมทท์จะเลี่ยงไม่ตอบ โดยการไปยกอันอื่นมาว่า
ไปเอาหลักฐานที่พอค้ำยันได้มาว่า คนอ่านก็ลืมประเด็นไปว่า เอ้าจริงๆแล้วคุณแมทท์ยังไม่ตอบเลยนี่หว่า


ผมกะเข้ามาอ่านว่าตาแมทท์จะมาอธิบายอายะฮฺเหล่านี้อย่างไร
แต่ก็ดันไม่ตอบ เลี่ยงไปอันอื่น
ส่วนอายะฮฺที่ถามไปนั้นถ้าตอบไม่ได้ นั่นแสดงว่าไม่ยอมรับกุรอานส่วนนี้
ถ้ายอมรับ ต้องอธิบายได้ อย่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

อีกทีนะครับ ช่วยแปล หรือช่วยอธิบายอายะฮฺเหล่านี้ด้วยครับ
อย่าพึ่งเฉไปออกเรื่องอื่น เดี๋ยวคนจะจับผิดได้นะครับว่าอ๋อตาแมทท์นี่มันปลาไหล

(3:132) " และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา "

(4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ "

(24:56) " และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา "

(26:108) " ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน" (นบีนุฮฺ)

(4:59) " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยยิ่ง "

(4:69) " และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี "

(33:71) " พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง "

ที่ผมยกไว้ในหน้า 22 ของกระดานเนี่ย อธิบายด้วยครับ

รอคำตอบ รอคำอธิบาย.(เน้นว่าอายะฮฺเหล่านี้นะ อย่าไปตอบเรื่องอื่น). ^_^ ^_^ ^_^ อิอิ ฮาดี
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Fri Apr 08, 2005 1:12 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เรียน จานแมทท์

ขอบคุณครับที่ พยายาม ตอบเรื่องการละหมาด แต่ก็ยังอุตส่าห์พ่วงปัญหาอื่นมาล่อให้เขวได้อยู่เรื่อยเหมือนกัน
ก็เอาละครับ ผมจะพยายามไม่หลุดออกไปนอกกรอบ คือเรื่องละหมาด กับ 7-8 ข้อที่ผมค้างไว้(กับพี่น้องมุสลิมของผม อาจานไม่เกี่ยว)

มาว่าตามประเด็นก่อนนะครับ ในเรื่องการละหมาดที่จานตอบมาเกี่ยวกับการกำหนดเวลาละหมาด

ก่อนอื่นขอย้อนถึงที่ผมทิ้งท้ายไว้คราวก่อนว่า การละหมาดที่สืบทอดกันมานั้น มิได้ด้วนอยู่แค่ที่นบีอิบรอฮีม แต่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้านั้นสืบย้อนไปถึงนบีอาดัมเลย ..... เรื่องนี้ จานไม่ได้กล่าวถึงอีก ดังนั้นผมขอสรุปว่า ในประเด็นนี้ จานยอมรับว่าสิ่งที่จานเสนอมานั้นผิด และของผมถูก .... เช่นนี้ถูกต้องมั้ยครับ ... ถ้าไม่ตอบอีก ถือว่า ถูกต้องนะครับจะได้จบไปเป็นเรื่องๆ

ต่อไปก็คือ ....

“การกำหนดเวลา ใน อัลกุรอาน เป็นการกล่าวถึง เวลา ละหมาด จากการปฏิบัติที่ กระ ทำ อยู่ เป็น ประจำวัน, ช่วงเวลา ในเวลาละหมาด ถือว่าเป็นที่ เข้าใจกัน เนื่อง จาก มุสลิม จะต้อง ทราบเวลาในการละหมาดอยู่แล้ว, รวมทั้งท่านรอซูลด้วย, ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเป็นหน้า ที่ ของ มุส ลิม ที่จะ ต้อง กระทำ ตั้งแต่ สมัยก่อน “ท่านรอ ซูล มูฮัมมัด”, ซึ่งมีการละหมาดวันละ 5 เวลา อยู่ แล้ว” (matt : พ. มีค. 30, 2005 9:31 am)

ก็ได้ครับ.... สมมุติว่ายุคนบีเขารู้กันอยู่แล้วว่า ต้องละหมาด 5 เวลา เพราะท่านนบีอยู่กับพวกเขาด้วย ท่านย่อมต้องยืนยันได้ว่าที่เศาะหาบะฮฺปฎิบัติกันอยู่นั้นถูกต้อง

คำถามคือ เมื่อท่านนบีเสียชีวิต บรรดาเศาะหาบะฮฺคนที่เคยเจอกับท่านนบีตายกันไปหมด หลังจากนั้นจะเอาอะไรมายืนยันครับว่า 5 เวลาถุกต้อง เพราะตามศาสนา Mattism ของจานน่ะ รับฟังคำบอกเล่าจากใครหน้าไหนไม่ได้เลยนอกจากอัลกุรอาน ปู่บอกพ่อมา พ่อมาบอกผมก็ยังเชื่อไม่ได้เพราะนั่นคือ “หะดีษ” ที่ห้ามยึดถือ เพราะฉะนั้นที่เศาะหาบะฮฺบอกต่อแก่ชนรุ่นต่อๆมาก็เชื่อไม่ได้อีกเช่นกันนอกจากจะต้องมีระบุเป็นลายลักษณ์อักษรในอัลกุรอานเท่านั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วแม้แต่ที่ท่านนบีจะยืนยันอย่างไรกับเศาะหาบะฮฺก็ยังเชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะนบีไม่ใช่อัลลอฮฺ อาจจะเป็นการบอกเล่าตามอารมณ์ของท่านนบีก็ได้(อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ – ขออัลลอฮฺทรงอภัยที่จำเป็นต้องอ้างด้วยถ้อยคำนี้) ตรงนี้ละครับที่เป็นที่มาของคำถามเดิมๆของผมว่า จะทราบได้อย่างไรว่าต้องละหมาด 5 เวลา เพราะตามที่จานเสนอมาว่าละหมาดนั้น ละหมาดนี้ถูกระบุอยู่ในอัลกุรอานครบ 5 เวลานั้น มันตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า มี 5 เวลา แล้วก็ไปหาเอาดิ ว่า 5 เวลานั้นอยู่ตรงไหนมั่ง มันก็ต้องเจอตามที่จานว่ามานั่นแหละ

แต่ถ้าไม่รู้มาก่อน อย่างผมเนี่ย ไม่ค่อยประสีประสาอะไร อยู่ๆเอากุรอานมาให้นั่งอ่านเอาเอง ไม่ต้องไปถามไปไถ่ใคร อ่านเอาเอง เข้าใจเอาเอง จะรู้มั้ยว่าต้องละหมาดกี่เวลา เพราะถ้าจะให้หาจากอัลกุรอานโดยไม่มีอะไรบอกให้รู้มาก่อน จะพบว่า มีหลายๆอายะฮฺที่กล่าวถึงช่วงเวลาต่างๆที่มันสอดคล้องกับช่วงเวลาของการละหมาด เช่น

" وَالْفَجْرِ วัลฟัจญร์ - ขอสาบานด้วยยามรุ่งอรุณ"
" وَالْعَصْرِ วัลอัศร์ - - ขอสาบานด้วยเวลาเย็น"
" وَالَّيْلِ วัลลัยล์ - ขอสาบานด้วยยามค่ำคืน"

อันนี้ก็ตรงกับ 3 ใน 5 เวลาละหมาด ที่จานอ้างมาแล้วใช่มั้ยครับ
พอมาเจอสำนวนเดียวกันว่า " وَالضُّحَى วัฎฎุหา - - ขอสาบานด้วยยามสาย" ก็น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่จะต้องละหมาดได้เหมือนกัน กลายเป็น 6 แล้วสิ ???

มาตามล่าหาความจริงกันต่อไปนะครับ อัลลอฮฺบอกว่า
وَسَبِّحْ بِحَمْدِ رَبِّكَ قَبْلَ طُلُوعِ الشَّمْسِ وَقَبْلَ الْغُرُوبِ
และจงสดุดีด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์ และก่อนมันตก
(50:39)

ให้สดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น .... มันตรงกับละหมาดศุบห์นี่นา
แล้วสดุดีสรรเสริญก่อนดวงอาทิตย์ตก .... ก็ตรงกับละหมาดอัศร์

โดยอัลกุรอานใช้คำว่า "سَبِّحْ" งั้นเราก็จะได้เบาะแสว่า ตัสเบียะห์ หมายถึง ละหมาดเหมือนกัน...แล้วมาดู

وَاذْكُر رَّبَّكَ كَثِيراً وَسَبِّحْ بِالْعَشِيِّ وَالإِبْكَارِ

และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์ (3:41)
وَسَبِّحْ بِحَمْدِ رَبِّكَ بِالْعَشِيِّ وَالْإِبْكَارِ
และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในเวลาอะชีย์และเวลาอิบการ์
(40:55)

เอาละสิ ... ได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา "อะชีย์" กับ "อิบการ์"
อะชีย์ ก็ เย็นๆ แต่มัน เย็นเดียวกับอัศริรึป่าว ถ้าเป็นคนละเย็นแล้วมันก่อนหรือหลังอัศริ จะเบียดจะแบ่งช่วงกันยังไง..ต้องไปถามอุละมาอ์..เอ๊ย ไม่ใช่..เพราะอุละมาอ์เชื่อถือไม่ได้สักคน งั้นโน่นเลย ไปถามนบีอิบรอฮีม..ชัวร์สุดๆ
อิบการ์ ก็เหมือนกัน ตอนเช้าๆ จะแบ่งช่วงเวลากันยังไงกับศุบห์และฎุหาถ้ามันคือคนละล็อกเวลากัน
แล้วถ้าทั้งสองคำนี้เป็นช่วงเดียวกับสองในห้าเวลาละหมาด คือ อัศร์และ ศุบห์ ก็น่าจะใช้คำเดียวกันที่มันสื่อให้เข้าใจง่ายๆ เพราะกุรอานนี้ต้องง่ายแก่การเข้าใจ.... ดังนั้นน่าจะสรุปได้ว่า นี่เป็นอีกสองเวลาต่างหากจากที่อ้างข้างต้น

ถึงตรงนี้เราก็ได้ 8 เวลาละหมาดแล้วนะ มาตามกันต่อไปครับ ....

وَسَبِّحْ بِحَمْدِ رَبِّكَ قَبْلَ طُلُوعِ الشَّمْسِ وَقَبْلَ غُرُوبِهَا وَمِنْ آنَاء اللَّيْلِ فَسَبِّحْ وَأَطْرَافَ النَّهَارِ لَعَلَّكَ تَرْضَى
และจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า ก่อนตะวันขึ้นและก่อนตะวันลับลงไป และส่วนหนึ่งจากเวลากลางคืน ก็จงแซ่ซร้องสดุดีและปลายช่วงของเวลากลางวัน เพื่อเจ้าจะได้พออกพอใจ
(20:130)

ก่อนอาทิตย์ขึ้น ก่อนอาทิตย์ตก ... ok นั่นอยู่ในเวลาที่อ้างแล้วข้างต้น ท่อนต่อจากนั้นล่ะ...
ส่วนหนึ่งจากกลางคืน ... คงจะเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่แบ่งกันกับอิชาอ์
ปลายช่วงของกลางวัน ... ยังนึกไม่ออกนะครับว่าจะแบ่งกับเวลาไหน แต่ก็คงเป็นอีกหนึ่งเวลาละหมาดเหมือนกัน

เป็นอันว่าเราได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา เป็น 10 เวลาละหมาดแล้ว

وَمِنَ اللَّيْلِ فَسَبِّحْهُ وَإِدْبَارَ النُّجُومِ
และส่วนหนึ่งของกลางคืน ก็จงแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ และเมื่อยามคล้อยลับของหมู่ดวงดาว
(52:49)

ส่วนหนึ่งจากกลางคืน กับ เมื่อดวงดาวคล้อยลับ ตามสำนวนในอายะฮฺนี้แสดงว่ามันเป็นคนละช่วงเวลาแบ่งแยกออกจากกัน ถ้าขี้เกียจนักก็เอา ส่วนหนึ่งจากกลางคืนตรงนี้ไปโปะรวมกับช่วงใดช่วงหนึ่งที่แจกแจงมาแล้วข้างต้นก็ได้เพราะเราไม่รู้นี่ว่าใช่หรือไม่ใช่ นบีก็ไม่อยู่แล้ว หรือถ้าขยันหน่อยจะแยกเป็นอีกช่วงหนึ่งเราก็ได้เพิ่มมาอีก 2 เวลา รวมเป็น วันละโหลพอดี!

ดังนั้นถ้าไม่รู้มาก่อนว่าละหมาดมีอยู่ 5 เวลา แล้วเราใช้ขี้เลื่อยในกระโหลกหนาๆที่ติดหัวมาตอนเกิดคิดเดาเอาเองอย่างนี้ จะถูกมั้ยครับ โปรดเข้าใจนะครับ นี่ผมว่าไปตามตรรกะที่ศาสนา Mattism "เสี้ยมสอน" ไว้เป๊ะเลยนะครับ .... คือ การใช้ความคิดเห็นตีความบัญญัติศาสนา...โดยไม่ต้องอิงหะดีษ จะถูก-จะผิด ยังไง ช่างมัน! ต้องคิดเอง .... เออ เอง เท่านั้น
ดังนั้นโปรดชี้แนะให้ชัดเจนด้วยครับว่า “5 เวลา” มาจากไหนแน่?

-------------------------------
อัลฆุเราะบาอ์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 14, 15, 16 ... 21, 22, 23  ถัดไป
หน้า 15 จากทั้งหมด 23

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.22 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ