ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sat Mar 12, 2005 11:25 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
อัสลามุอะลัยกุม
คุณ nes และ คุณ addullslam (ผมว่า น่าจะเป็น Abdus-Salam มากกว่านะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ชื่อเฉพาะ ถ้าไม่มีความหมายใดที่เสื่อมเสีย คุณพอใจชื่อนี้ก็เรียกขานกันด้วยชื่อนี้)
คุณ nes บอกว่า กรุณาอย่าเสียเวลาค้นอัลกุรอานและฮาดีสให้นาย matt เลย จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ เรื่องของเขาผมไม่ได้สนใจ
แต่ผมขอบอกว่า ผมเองกำลังค้นอยู่ครับ ไม่ได้ค้นให้ มุจญ์ริม คนใดใครที่ไหน แต่ผมกำลังค้นคว้าเพื่อพี่น้องที่ยังเป็น มุสลิม อยู่ ด้วยเกรงว่าจะไปหลงกลคนทำลายศาสนาจนทำให้อีมานของพวกเขาต้องเสียไปตามเล่ห์กลที่แฝงมากับข้อความเหล่านั้น
เมื่อผมบอกว่าผมมีคำตอบ...ผมก็ต้องรักษาคำพูด เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลา เพราะทุกอย่างที่คิดว่าเป็นคำตอบนั้นมันอาจจะผ่านหู ผ่านมาตา มานานนม จนแทบจะจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน อย่างไรบ้าง โปรดอดใจรอ
อินชาอัลลอฮฺ... ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ คงได้เอามาลงกระทู้ให้ดูกันครับ
ผมไม่ใช่ คนที่ชอบโอ่ว่า ตัวเองถูกต้อง มีเหตุ มีผล มีศรัทธาแก่กล้าเหนือใคร แต่เมื่อถูกทวงถามถึงตัวบทหลักฐานเพียงเล็กน้อย ก็อ้ำอึ้ง อมพะนำ ทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ แล้วปลิ้นปล้อนกลอกกลิ้ง พลิ้วหลบเป็นพัลวัน หรือไม่ก็เบี่ยงเบนประเด็น ขุดเรื่องนั้นขึ้นมาอ้าง เสาะเรื่องนี้ขึ้นมากลบ หรือจนแต้มก็แอบเข้า กลีบเมฆซะเฉยๆอย่าง เขา หรอกครับ
นี่ขนาด ดักคอ ไว้รอบนึงแล้วนะ พี่ท่านยังอุตส่าห์ หาเรื่องจับผิดนบีมาไล่เบี้ยคุณ addullslam อีกจนได้ .... อนิจจา .... มุจญ์ริแมทท์ ! |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
แคร็อธ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 24/02/2005 ตอบ: 5
|
ตอบ: Sat Mar 12, 2005 11:28 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ถ้าคุณแม็ทไม่คิดจะตอบเรื่อง นมาซก็อย่าโผล่มาดีกว่าครับ
ถามทีไรหนีทุกที รอคำตอบกันอยู่นะครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Sat Mar 19, 2005 5:46 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
อุตส่าห์พิมพ์ตั้งนาน
เข้ามาดูอีกที webmaster ลบข้อความตูหมด
เออ เหลืออยู่อันเดียว
ดีจีงจี๊ง! |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sat Mar 19, 2005 12:56 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
เคยคิดว่าจะยังไม่ชี้แจงอะไรในข้อใส่ไคล้ของคุณ แมทท์ จนกว่าเขาจะเฉลยปัญหาค้างปีซะก่อน แต่จากเท่าที่ติดตามกันมานานพอสมควร ก็พอจะประเมินนิสัยเขาได้ว่าเป็นอย่างไร รอไปอีก 10 ปีก็คงหาอะไรมาปั้นน้ำเป็นตัวแก้ต่างไม่ได้แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้อใส่ไคล้ที่ใครต่อใครมาอ่านมารับรู้ไปแล้ว ก็จะยังคงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยกันต่อไป ซึ่งแน่นอนที่สุด ผลเสียมันย่อมตกแก่พี่น้อง เพื่อนพ้องเรานั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนคนรุ่นใหม่ น้องๆในระดับมัธยม และ freshy มหาลัยหลายคน ที่อาจจะมีพื้นฐานด้านศาสนาเพียงผิวเผิน เป็นไปได้มากที่น้องๆเหล่านี้จะหลงคารม อมยาพิษเคลือบน้ำตาลของคุณแมทท์เข้าไปแล้วติดใจ เป็นการทำลายโครงสร้างทางอะกีดะฮฺให้กร่อนไปทีละน้อยๆ จนพังครืนลงมาในที่สุด
ผมเอง มิได้อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญอะไรในเชิงวิชาการศาสนา หากแต่เป็นเพียงผู้ที่ชอบค้นคว้า อ่านจากตำราหลายๆเล่ม ถามไถ่จากทุกผู้ทุกนามทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่เลือกว่าจะอยู่ค่ายไหน ไม่เกี่ยงว่าจะมีวุฒิอะไรมาหรือไม่ ถ้าเขามีคำตอบให้แม้เพียงเล็กน้อยผมก็ยินดี และนับเป็นผู้มีพระคุณท่านหนึ่งเสมออาจารย์ผู้ทรงเกียรติ และสิ่งที่ได้ซึมซับรับรู้มา ผมคิดว่าไม่ควรที่จะเก็บมันไว้ให้ตายไปกับตัว เสมือนทำตัวเป็นอีกหนึ่งในสัญญาณกิยามะฮฺ ถือเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องช่วยกันดูและปกป้องศาสนาจากการถูกทำลายล้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากน้ำมือของผู้ที่แอบอ้างตนเป็นผู้ศรัทธา ทว่าคอยจ้องทำลายอะกีดะฮฺของพี่น้องเราอย่างแยบยล นั่นคือเหตุที่ทำให้ต้องเสียสัตย์ ที่เคยลั่นวาจาไว้ว่า จะตอบก็ต่อเมื่อคุณแมทท์จะเริ่มบทเรียน การละหมาดตามอัลกุรอาน
พี่น้องครับ.... คำชี้แจงต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผมประมวลได้จากตำรับตำรา และการซักไซ้ไต่ถามจากผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการบางท่าน ไม่ถึงกับระดับอุละมาอ์ ทว่าก็พอจะให้ความกระจ่างได้ในบางเรื่อง และด้วยข้อมูลที่จำกัด กับพื้นความรู้อันกระท่อนกระแท่นด้านภาษา อาจจะมีบางวรรคบางตอนที่แปลผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป หรือสรุปความไม่ตรงกับตัวบทหลักฐานอื่นที่ผมค้นไปไม่ถึง ก็ขอได้โปรดอภัย และสำหรับผู้ที่มองเห็นข้อผิดพลาดเหล่านั้น กรุณาถือเป็นภาระหน้าที่ในการท้วงติงแก้ไขประเด็นนั้นๆให้ถูกต้องด้วย ทั้งนี้มิใช่อื่นใด...ก็เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องของเราทุกท่านบนกระดานแห่งนี้นั่นเอง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sat Mar 19, 2005 1:18 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ประเด็นแรกที่จับความได้จากถ้อยแถลงของคุณแมทท์ในยกที่สองนี้คือ
ลูกตาเหล่กับแหล่งเพาะพันธุ์ (ที่เขานำมาโจมตีการใช้หะดีษอรรถาธิบายอัลกุรอาน)
ก่อนอื่นต้องขอตกลงทำความเข้าใจกันไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือตัวบท หลักฐาน การวิเคราะห์ วิจารณ์ด้วยเหตุด้วยผลในเชิงวิชาการ หาใช่การพร่ำพรรณนาพูดพล่อยในเรื่องลามกสกปรกแต่อย่างใด ดังนั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยใจบริสุทธิ์ โปรดตัดอคติและสิ่งโสโครกทั้งหลายทั้งปวงในใจทิ้งไปเสียก่อน.... หวังว่าท่านจะได้รับความสว่างในหัวใจ
หลุมพรางที่คุณแมทท์พยายามนำมาโน้มน้าวความรู้สึกของผู้อ่านให้คล้อยตามว่าใช้หะดีษอธิบายอัลกุรอานไม่ได้ในประเด็นนี้คือ ข้อความที่ว่า :
นี่หรือคือเหตุผลของฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ ชาวยิว ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ? (แมทท์ : Tue Feb 22, 2005 9:27 pm)
ท่านครับ...สิ่งที่ชาวยิวในมะดีนะฮฺเชื่อกันว่า การเข้าหาภรรยาจากด้านหลังจะทำให้ลูกที่จะเกิดมาตาเหล่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งจะพูดกันวันสองวันก่อนการประทานอายะฮฺ 2:223 พวกเขาเชื่อกันอย่างนั้น ถือกันเช่นนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก่อนที่ท่านนบีจะเริ่มภารกิจของท่านที่มักกะฮฺด้วยซ้ำ(มั้ง) ถ้าจะอ้างว่าที่อัลลอฮฺทรงประทานอายะฮฺนี้มาเพียง เพื่อลบล้างคำพังเพยของยิว แค่นั้นก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะถ้าแค่จะลบล้างก็คงจะต้องลงมาตั้งแต่แรกเลย เนื่องจากทัศนคติเช่นนี้มีมานานแล้ว ถ้าวัตถุประสงค์ของอายะฮฺมีเพียงเพื่อจะลบก็ต้องลบกันตั้งแต่แรกโน่นทำไมจะต้องปล่อยให้ล่วงเลยมาจนป่านนั้น
หะดีษที่รายงานโดยอิมามบุคอรีบทนี้ อ่านดีๆก็จะเห็นว่ามิใช่ สาเหตุ ของการประทานอายะฮฺ แต่เป็นบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวที่คล้องจองกับอายะฮฺต่างหาก มาดูกันอีกทีว่าตัวบทเค้าบันทึกไว้ว่าอย่างไร ...
4528 حَدَّثَنَا أَبُو نُعَيْمٍ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنِ ابْنِ الْمُنْكَدِرِ سَمِعْتُ جَابِرًا رَضِي الله عَنْه قَالَ كَانَتِ الْيَهُودُ تَقُولُ إِذَا جَامَعَهَا مِنْ وَرَائِهَا جَاءَ الْوَلَدُ أَحْوَلَ فَنَزَلَتْ ( نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ ) (البخاري : كتاب التفسير )
... ญาบิรกล่าวว่า พวกยิวเคยกล่าวกันว่า เมื่อร่วมสังวาสกับนาง(ภรรยา)จากทางด้านหลัง เด็กที่เกิดมาจะตาเหล่ แล้วอายะฮฺนี้ลงมาว่า : บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) (บุคอรี : อัตตัฟสีร)
ส่วนในเศาะเฮียะห์มุสลิมมีข้อความต่างกันเล็กน้อยดังนี้ ...
2592 حَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ وَأَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ وَعَمْرٌو النَّاقِدُ وَاللَّفْظُ لِأَبِي بَكْرٍ قَالُوا حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنِ ابْنِ الْمُنْكَدِرِ سَمِعَ جَابِرًا يَقُولُ كَانَتِ الْيَهُودُ تَقُولُ إِذَا أَتَى الرَّجُلُ امْرَأَتَهُ مِنْ دُبُرِهَا فِي قُبُلِهَا كَانَ الْوَلَدُ أَحْوَلَ فَنَزَلَتْ ( نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ ) (مسلم : كتاب النكاح)
ญาบิรกล่าวว่า พวกยิวเคยกล่าวกันว่า เมื่อชายเข้าหาภรรยาของเขาจากทางด้านหลังของนาง ตรง(อวัยวะ)ส่วนหน้าของนาง เด็กนั้นจะตาเหล่ แล้วอายะฮฺนี้ลงมาว่า : บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) (มุสลิม : อันนิกาห์)
พวกยิวจะพูดยังไง จะคิดยังไง จะทำอะไร ฯลฯ นั่นมันเพี้ยนมาตั้งแต่ยุคก่อนนบีมุฮัมมัดเกิดแล้ว แต่โดยที่มุสลิมใหม่ในมะดีนะฮฺมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับยิวกันมาอย่างลึกซึ้ง และเกี่ยวข้องในลักษณะให้ความเคารพยกย่องด้วยซ้ำ ต่อเมื่อพฤติกรรมหรือทัศนคติใดๆของยิวเข้ามาข้องเกี่ยวพัวพันหรือมีอิทธิพลต่อการกระทำของผู้ที่เพิ่งเปลี่ยนเข้ามารับอิสลามจะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรืออย่างไรก็ตาม ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว อัลลอฮฺก็จะทรงกำหนดทิศทางแนวปฏิบัติที่ถูกต้องมาให้ อาจจะโดยประทานลงมาเป็นอายะฮฺอัลกุรอานชัดๆ หรือโดยให้ท่านนบีท้วงติง ชี้แนะด้วยคำพูด ด้วยการกระทำของท่านนบี หรือบอกให้เศาะหาบะฮฺบางท่านทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามแต่เหตุการณ์จะเป็นไป
ทัศนคติเรื่อง กลับหลังหันกับลูกตาเหล่ นี่ก็เช่นกัน ยิวมันจะเชื่ออย่างนั้นก็ตามใจมัน เพราะเรื่องอื่นๆอีกร้อยแปดพันเก้า มันก็กุของมันขึ้นมาอีกพะเรอเกวียน แต่พอมุสลิมไปเชื่อตาม ปฏิบัติตามนี่สิ....เป็นเรื่อง !
------------------------------------
พรุ่งนี้ค่อยมามา เคาะห์ กันต่อนะครับ... อินชาอัลลอฮฺ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Sun Mar 20, 2005 10:06 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ขอสนับสนุนคุณ AlGhuraba ให้เขียนหนังสือขึ้นซักเล่มชี้แจง และโต้แย้งเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ที่ๆเราคุยกันมาตั้งแต่ 1 หรือ 2 ปีมาแล้ว
ผมว่าน่าจะรวบรวมได้เป็นเล่มแล้วนะ
แล้วนำไปเสนอให้อนุรักษ์มรดก หรืออาจารย์ฟาริดหรืออาจารย์มุรีดพิมพ์ขายก็ได้
ตอนนี้ก็ไปกันใหญ่แล้ว ผู้หญิงนำละหมาดก็มีแล้ว |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Sun Mar 20, 2005 11:22 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
รับทราบครับ คุณ nop
แต่ขอเรียนตามตรงว่า ผมเนี่ยมันคนขี้เกียจสุดๆเลย แค่ตามล้างตามเช็ดอยู่นี่ก็สุดเอือมแล้วละ
สิ่งที่ทำอยู่นี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมถือว่านี่คือหน้าที่ พยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เท่าที่ปัจจัยจะอำนวย เท่าที่ข้อมูลจะหาได้ และตราบเท่าที่ยังมีกำลังวังชาอยู่
ส่วนคุณ หรือใครจะทำอย่างที่แนะนำนั้น ผมไม่ขัดข้อง แต่ขอเตือนว่า กรุณาตรวจสอบความถูกต้องกับผู้รู้จริงๆอีกครั้ง เพราะผมเองต้องรับว่าอาจจะมี "หลุด" บ้างเหมือนกันครับ
-----------------------------
เอาละมาว่ากันต่อจากเมื่อวานนะครับ
มุสลิมทำตามยิวยังไง เราได้พบในบันทึกของอบูดาวูดว่า....
حَدَّثَنَا عَبْدُ الْعَزِيزِ بْنُ يَحْيَى أَبُو الْأَصْبَغِ حَدَّثَنِي مُحَمَّدٌ يَعْنِي ابْنَ سَلَمَةَ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ إِسْحَقَ عَنْ أَبَانَ بْنِ صَالِحٍ عَنْ مُجَاهِدٍ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ قَالَ إِنَّ ابْنَ عُمَرَ وَاللهُ يَغْفِرُ لَهُ أَوْهَمَ إِنَّمَا كَانَ هَذَا الْحَيُّ مِنَ الْأَنْصَارِ وَهُمْ أَهْلُ وَثَنٍ مَعَ هَذَا الْحَيِّ مِنْ يَهُودَ وَهُمْ أَهْلُ كِتَابٍ وَكَانُوا يَرَوْنَ لَهُمْ فَضْلًا عَلَيْهِمْ فِي الْعِلْمِ فَكَانُوا يَقْتَدُونَ بِكَثِيرٍ مِنْ فِعْلِهِمْ وَكَانَ مِنْ أَمْرِ أَهْلِ الْكِتَابِ أَنْ لَا يَأْتُوا النِّسَاءَ إِلَّا عَلَى حَرْفٍ وَذَلِكَ أَسْتَرُ مَا تَكُونُ الْمَرْأَةُ فَكَانَ هَذَا الْحَيُّ مِنَ الْأَنْصَارِ قَدْ أَخَذُوا بِذَلِكَ مِنْ فِعْلِهِمْ وَكَانَ هَذَا الْحَيُّ مِنْ قُرَيْشٍ يَشْرَحُونَ النِّسَاءَ شَرْحًا مُنْكَرًا وَيَتَلَذَّذُونَ مِنْهُنَّ مُقْبِلَاتٍ وَمُدْبِرَاتٍ وَمُسْتَلْقِيَاتٍ فَلَمَّا قَدِمَ الْمُهَاجِرُونَ الْمَدِينَةَ تَزَوَّجَ رَجُلٌ مِنْهُمُ امْرَأَةً مِنَ الْأَنْصَارِ فَذَهَبَ يَصْنَعُ بِهَا ذَلِكَ فَأَنْكَرَتْهُ عَلَيْهِ وَقَالَتْ إِنَّمَا كُنَّا نُؤْتَى عَلَى حَرْفٍ فَاصْنَعْ ذَلِكَ وَإِلَّا فَاجْتَنِبْنِي حَتَّى شَرِيَ أَمْرُهُمَا فَبَلَغَ ذَلِكَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهم عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَنْزَلَ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ ( نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ ) أَيْ مُقْبِلَاتٍ وَمُدْبِرَاتٍ وَمُسْتَلْقِيَاتٍ يَعْنِي بِذَلِكَ مَوْضِعَ الْوَلَدِ (أبوداود : النكاح
ท่านอิบนิอับบาสเล่าว่า ท่านอิบนิอุมัร-ขออัลลออฮฺทรงอภัยแก่เขาด้วย-เข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป(เกี่ยวกับอายะฮฺ 2:223) เรื่องก็คือ ชาวอันศอรนั้นเป็นพวกบูชาเจว็ด(มาก่อน)อยู่ร่วมกับพวกยิวซึ่งเป็นอะฮฺลุลกกิตาบ โดยชาวอันศอรจะยกย่องนับถือพวกยิวว่าดีกว่า เหนือกว่าพวกเขาในเรื่องความรู้ พวกเขาจึงพยายามเลียนแบบตามการกระทำต่างๆของพวกยิว และก็เป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งของพวกยิวที่จะไม่เข้าหาภรรยาในลักษณะอื่นนอกจากทางด้านเดียวเท่านั้น(คือเข้าหาภรรยาทางด้านหน้าโดยฝ่ายหญิงนอนหงายเท่านั้น ) ซึ่งนั่นเป็นลักษณะท่าทางที่ปกปิดที่สุดที่พึงเป็นสำหรับผู้หญิง ชาวอันศอรก็ยึดถือปฏิบัติตามอย่างการกระทำของพวกเขาด้วย ส่วนชาวกุร็อยช์นั้นจะเปิดเผยภรรยาของตนอย่างเต็มที่จนเกินควร แล้วก็หาความสำราญจากนางทั้งจากด้านหน้า จากด้านหลัง และจับนอนหงาย
ครั้นเมื่อชาวมุฮาญิรีนอพยพมายังมะดีนะฮฺ ชายชาวมุฮาญิรีนก็มาแต่งงานกับสาวชาวอันศอร เขาก็ปฏิบัติตัว อย่างที่เคยทำมานั้น ฝ่ายหญิงก็ไม่ยอม โดยจะบอกว่า 'พวกเราเข้าหากันจากด้าน(หน้า อย่าง)เดียวเท่านั้น ดังนั้นจงทำอย่างนั้นเถิด ถ้าไม่เช่นนั้นก็จงไปอยู่ห่างๆฉัน' จนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราว และไปถึงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจึงทรงประทานอายะฮฺลงมาว่า บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) หมายความว่า จะด้านหน้าก็ได้ ด้านหลังก็ได้ หรือนอนราบก็ตามทั้งนี้จะต้องในตำแหน่งที่จะมีลูก (อบูดาวูด : กิตาบุนนิกาห์)
ตอนต้นที่ท่านอิบนิอับบาสบอกว่า ท่านอิบนิอุมัรเข้าใจผิดนั้นผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเข้าใจอะไรกันผิดยังไง เพราะในตัวบทนี้ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ แต่จากที่อ่านเทียบกับรายงานอื่น (ผม)เข้าใจว่า เพราะมีข่าวลือว่าท่านอิบนิอุมัรอนุมัติให้เข้าหาภรรยาทางทวารหนัก(Anal sex) ซึ่งก็มีหลายรายงานยืนยันว่าท่านอิบนิอุมัรเองก็ปฏิเสธเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ... ไม่ทราบว่าเป็นกรณีนี้หรือเปล่านะครับ - วัลลอฮุอะอฺลัม - เรื่องนี้มีปรากฏในบันทึกของอิมามนะสาอี จากรายงานของอบี อันนัฎร์ ว่า....
เขาได้ถามนาฟิอฺ คนรับใช้ของอิบนิ อุมัร ว่า "มีคนพูดถึงท่านกันมากมายว่าท่านบอกว่า ท่านอิบนิอุมัรฟัตวา(ให้คำวินิจฉัย)ว่า ให้เข้าหาภรรยาทางทวารหนักได้"
นาฟิอฺตอบว่า "พวกเขากุความเท็จต่อฉัน แต่ฉันจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง... คือว่า วันหนึ่งท่านอิบนิอุมัรเอากุรอาน(ในรายงานใช้คำว่า มุศหัฟ - المصحف )มาหาฉัน และฉันก็อยู่กับท่านตลอดจนกระทั่งอ่านกันมาถึงอายะฮฺ บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ... (2:223) ท่านอิบนิอุมัรก็ถามว่า 'โอ้ นาฟิอฺเอ๋ย เจ้ารู้มั้ยว่าอายะฮฺนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร? คือพวกเราชาวกุร็อยช์เนี่ยเคยสมสู่ภรรยาจากทางด้านหลัง พอเรามาอยู่มะดีนะฮฺ มาแต่งงานกับสาวชาวอันศอร เราก็อยากจะทำกับพวกนางอย่างที่เราเคยทำกันกับภรรยาของเรา(สมัยอยู่มักกะฮฺ) แต่(สาวชาวอันศอรนี่)พวกนางไม่ชอบที่จะให้ทำอย่างนั้น จนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เนื่องจาก(ธรรมเนียม)สาวชาวอันศอรนั้นเขาให้เข้าหาในท่านอนหงายเท่านั้น จากนั้นอัลลอฮฺได้ทรงประทานอายะฮฺลงมาว่า
نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ
บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) ' "
ตรงนี้ละครับที่เป็นอีกเหตุหนึ่งของการประทานอายะฮฺ คือเมื่อสังคมมุสลิมเกิดความสับสนในวิถีปฏิบัติ อัลลอฮฺก็จะทรงประทานแนวทางหรือข้อเฉลยมาให้ เหตุต่างๆที่เกิดขึ้นจนกระทั่งมีการประทานอายะฮฺหนึ่งอายะฮฺใดลงมาเพื่อเปิดทางตันตรงนั้น ล้วนเป็นไปตามแผนการที่อัลลอฮฺทรงวางไว้ทั้งสิ้น เพราะอัลกุรอานนั้นสมบูรณ์มาตั้งแต่แรกแล้วโดยที่อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งว่าจะเกิดอะไร ขึ้นเมื่อใด อย่างไร แล้วพระองค์ก็จะทรงทะยอยมันลงมาเป็นทางนำแก่มนุษยชาติเพื่อชี้แนะหนทางต่อสถานการณ์นั้นๆ และอายะฮฺใดที่ถูกประทานลงมาเนื่องจากเหตุการณ์เฉพาะอย่างหนึ่งในตอนนั้น ก็จะถูก applied ไปใช้กับเหตุการณ์อื่นในลักษณะเดียวกันได้ต่อไปจวบจนกิยามะฮฺ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ดูสลักสำคัญอย่างยิ่ง หรือเรื่องเล็กน้อยที่ดูเหมือนไม่ค่อยน่าสนใจ หรือแม้แต่เรื่อง "ลับเฉพาะ" เช่นในกรณีนี้ อัลลอฮฺก็ทรงมีทางนำให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์เสมอ
ดังนั้น สิ่งที่เราได้จากอายะฮฺนี้ (2:223) คือ เป็นการอนุมัติเรื่องลับเฉพาะระหว่างสามี-ภรรยา ตามเหตุที่เป็นเรื่องเป็นราวในยุคนั้น ส่วนทัศนคติของยิวเรื่อง "ลูกตาเหล่" นั้นเป็นเพียงสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการปฏิบัติของมุสลิมใหม่ในขณะนั้นซึ่งยังไม่ข้อบ่งชี้ใดๆเลยในตอนนั้นว่าถูกหรือไม่ถูก ควรทำหรือไม่ควรทำ ต่อเมื่ออายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา จึงเป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ยิวอุปโลกน์กันขึ้นนั้นไร้สาระโดยสิ้นเชิง ทั้งยังเป็นบทเรียนแก่สังคมมุสลิมโดยรวมด้วยว่า พึงระวังในการรับแนวปฏิบัติใดๆจากพวกยิวหรือประเพณีปฏิบัติอื่นใดที่ไม่ใช่อิสลาม
แต่คุณแมทท์ก็ไม่ลดละที่จะพยายามบ่ายเบี่ยงว่า อายะฮฺไร่นา 2:223 นี้ต่อเนื่องมาจากอายะฮฺ ข้อห้ามระหว่างมีประจำเดือน (2:222) ดังนั้นจึง.... " เป็นโองการที่ประทานมา ลง มา เพื่อ อธิบาย ว่า เมื่อ ภรรยาหมด ประจำเดือน แล้ว ไม่เป็นที่ต้อง ห้าม ที่สามีจะหลับ นอน กับ ภรรยา เขา อย่าง ไร และ เมื่อ เวลา ใดก็ได้ " (แมทท์ : Tue Feb 22, 2005 9:27 pm) .....นั่นก็ถูกครับแต่ไม่ตรงประเด็น เพราะในอายะฮฺ 2:222 ระบุชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่า เมื่อภรรยาหมดประจำเดือนก็ทำอะไรๆได้ตามปกติ
وَيَسْأَلُونَكَ عَنِ الْمَحِيضِ قُلْ هُوَ أَذًى فَاعْتَزِلُواْ النِّسَاء فِي الْمَحِيضِ وَلاَ تَقْرَبُوهُنَّ حَتَّىَ يَطْهُرْنَ فَإِذَا تَطَهَّرْنَ فَأْتُوهُنَّ مِنْ حَيْثُ أَمَرَكُمُ اللّهُ إِنَّ اللّهَ يُحِبُّ التَّوَّابِينَ وَيُحِبُّ الْمُتَطَهِّرِينَ
และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับ(การสมสู่หญิงขณะมี)ประจำเดือน จงกล่าวเถิด มันเป็นสิ่งให้โทษ ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลหญิงขณะมีประจำเดือน และจงอย่าเข้าใกล้นางจนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนางได้ชำระร่างกายจนสะอาดแล้ว ก็จงมาหานางตามที่อัลลอฮฺทรงใช้พวกท่าน(คือ อนุมัติให้สมสู่นางได้ตามขอบเขตที่อัลลอฮฺทรงกำหนดไว้) (2:222)
สิ่งที่ตามมาในอายะฮฺไร่นา 2:223 จึงเป็นการขยายความต่อไปอีกเพื่อขจัดความสับสนของบรรดาเศาะหาบะฮฺว่า การเข้าหานางตามที่อัลลอฮฺทรงใช้นั้นคือ...อย่างไรก็ได้ "ตามที่พวกเจ้าต้องการ" ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดี เราจะพบนัยยะที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ในนั้นด้วย นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างไร่นากับการเพาะปลูก....
ครับ...ตรงนี้คุณแมทท์เข้าใจถูกต้องครับที่บอกว่า "วัตถุประสงค์ในการร่วมเพศกับภรรยาเปรียบเสมือนการไถหว่านเพี่อให้เกิดเยาวชนรุ่นหลัง" แต่เรายังได้คำอธิบายจากหลายๆหะดีษเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ต่อไปอีกว่า เมื่อการเข้าสู่ไร่นานั้นเพื่อการเพาะปลูกให้เกิดพืชผล นั่นหมายความว่าชาวไร่ชาวนาผู้นั้นจะต้องไถต้องหว่าน ต้องเพาะต้องปลูกในเนื้อดินที่เหมาะสมเพื่อให้มันงอกเงยฉันใด สามีก็พึงสมสู่ภรรยาในตำแหน่งแห่งที่ที่จะก่อกำเนิดได้ฉันนั้น ไม่ใช่ไปปลูกเมล็ดพันธุ์เอาไว้บนก้อนหินกลางนา ซึ่งรู้ๆอยู่ว่ามันไม่ขึ้น เชื้ออสุจิก็สมควรจะถูกนำไปพำนักอยู่ในมดลูกอันจะก่อเกิดการปฏิสนธิได้ต่อไป ไม่ใช่เอาไปไว้ "ช่องอื่น" ซึ่งการที่เขาจะเข้าสู่ไร่นานั้น เขาจะเดิน จะวิ่ง จะคลาน จะหกคะเมนตีลังกา เข้าไร่นาของเขายังไง ทางด้านไหน มุมใดของผืนนา ก็ตามสะดวก อัลลอฮฺมิได้ทรงปิดกั้น ขอแต่เพียง "ปลูกให้ถูกที่" ก็แล้วกัน
นัยยะลึกๆของอายะฮฺนี้ที่เราสรุปได้จากการอรรถาธิบายของท่านนบีคือตรงนี้ครับ คือเข้าหาภรรยาลักษณะไหนอย่างไร ไม่จำกัด ... ْ أَنَّى شِئْتُمْ ตามที่พวกเจ้าต้องการ (2:223) แต่ต้อง "ถูกที่ถูกทาง" เราจะได้ความชัดเจนในเรื่องนี้จากหะดีษต่อไปนี้ครับ
حَدَّثَنَا عَبْدُ بْنُ حُمَيْدٍ حَدَّثَنَا الْحَسَنُ بْنُ مُوسَى حَدَّثَنَا يَعْقُوبُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ الْأَشْعَرِيُّ عَنْ جَعْفَرِ بْنِ أَبِي الْمُغِيرَةِ عَنْ سَعِيدِ بْنِ جُبَيْرٍ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ قَالَ جَاءَ عُمَرُ إِلَى رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ يَا رَسُولَ اللهِ هَلَكْتُ قَالَ وَمَا أَهْلَكَكَ قَالَ حَوَّلْتُ رَحْلِيَ اللَّيْلَةَ قَالَ فَلَمْ يَرُدَّ عَلَيْهِ رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ شَيْئًا قَالَ فَأُنْزِلَتْ عَلَى رَسُولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ هَذِهِ الْآيَةَ ( نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ ) أَقْبِلْ وَأَدْبِرْ وَاتَّقِ الدُّبُرَ وَالْحَيْضَةَ
قَالَ أَبو عِيسَى هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ غَرِيبٌ (الترمذِي : التفسير
อิบนิอับบาส เล่าว่า อุมัรได้มาหาท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม แล้วบอกว่า "ท่านรอซูลครับ พินาศแล้ว...ฉัน" ท่านรอซูลถามว่า "อันใดทำให้เจ้าพินาศหรือ?" เขาตอบว่า "ฉันกลับหลังภรรยาของฉันเมื่อคืนนี้ครับ" แต่ท่านรอซูลก็ไม่ได้ตอบคำแก่เขาแต่อย่างใด ดังนั้นอายะฮฺนี้ก็ได้ถูกประทานลงมายังท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ
บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) (ท่านรอซูลกล่าวว่า) จะข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้ แต่จงละเว้นทวารหนักและขณะมีประจำเดือน (บันทึกโดย อัตติรมิซี ... เป็นหะดีษ หะสัน-เฆาะรีบ)
หะดีษนี้เป็นคำอธิบายจากท่านนบีโดยตรง ส่วนในหะดีษอบูดาวูดข้างบนนั้น เป็นเพียงคำอธิบายของท่านอิบนิอับบาสเกี่ยวกับกรณีความอึดอัดใจของสาวชาวอันศอรต่อการกระทำของหนุ่มมุฮาญิรีน และในบันทึกของอิมามอะหฺมัด เราจะพบคำอธิบายชัดๆตรงๆของท่านรอซูลศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม จากการรายงานของท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺอีกว่า
حَدَّثَنَا عَفَّانُ حَدَّثَنَا وُهَيْبٌ حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عُثْمَانَ بْنِ خُثَيْمٍ عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ سَابِطٍ قَالَ دَخَلْتُ عَلَى حَفْصَةَ ابْنَةِ عَبْدِ الرَّحْمَنِ فَقُلْتُ إِنِّي سَائِلُكِ عَنْ أَمْرٍ وَأَنَا أَسْتَحْيِي أَنْ أَسْأَلَكِ عَنْهُ فَقَالَتْ لَا تَسْتَحْيِي يَا ابْنَ أَخِي قَالَ عَنْ إِتْيَانِ النِّسَاءِ فِي أَدْبَارِهِنَّ قَالَتْ حَدَّثَتْنِي أُمُّ سَلَمَةَ أَنَّ الْأَنْصَارَ كَانُوا لَا يُجِبُّونَ النِّسَاءَ وَكَانَتِ الْيَهُودُ تَقُولُ إِنَّهُ مَنْ جَبَّى امْرَأَتَهُ كَانَ وَلَدُهُ أَحْوَلَ فَلَمَّا قَدِمَ الْمُهَاجِرُونَ الْمَدِينَةَ نَكَحُوا فِي نِسَاءِ الْأَنْصَارِ فَجَبُّوهُنَّ فَأَبَتِ امْرَأَةٌ أَنْ تُطِيعَ زَوْجَهَا فَقَالَتْ لِزَوْجِهَا لَنْ تَفْعَلَ ذَلِكَ حَتَّى آتِيَ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَدَخَلَتْ عَلَى أُمِّ سَلَمَةَ فَذَكَرَتْ ذَلِكَ لَهَا فَقَالَتِ اجْلِسِي حَتَّى يَأْتِيَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَلَمَّا جَاءَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ اسْتَحَتِ الْأَنْصَارِيَّةُ أَنْ تَسْأَلَهُ فَخَرَجَتْ فَحَدَّثَتْ أُمُّ سَلَمَةَ رَسُولَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ ادْعِي الْأَنْصَارِيَّةَ فَدُعِيَتْ فَتَلَا عَلَيْهَا هَذِهِ الْآيَةَ ( نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ ) صِمَامًا وَاحِدًا (أحمد
อับดุรเราะหฺมาน บินสาบิฏ เล่าว่า ฉันได้เข้าพบหัฟเศาะฮฺ บินติ อับดิรเราะหฺมาน (หลานปู่ของท่านอบูบักร์) ฉันกล่าวว่า "ฉันอยากจะถามท่านเรื่องหนึ่ง แต่ฉันอายที่จะถามมัน" นางกล่าวว่า "อย่าอายเลย...หลานเอ๋ย" เขากล่าวว่า "เกี่ยวกับการเข้าหาภรรยาทางด้านหลังครับ" นางตอบว่า "ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺบอกกับฉันว่า ชาวอันศอรนั้นจะไม่พลิกภรรยาคว่ำหน้า และพวกยิวก็มักพูดกันว่า ใครพลิกภรรยาของเขาคว่ำหน้า ลูกของเขาจะตาเหล่ ครั้นเมื่อชาวมุฮาญิรีนอพยพมามะดีนะฮฺ มาแต่งงานกับสาวชาวอันศอร พวกเขาก็จับนางคว่ำหน้า ภรรยาก็ปฏิเสธที่จะยอมปฏิบัติตามสามีของนาง นางก็บอกแก่สามีของนางว่า 'อย่าได้ทำเช่นนั้นเป็นอันขาด จนกว่าฉันจะไปหาท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม ก่อน' นางจึงเข้าพบท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ และเล่าเรื่องนั้นให้ท่านหญิงฯฟัง ท่านหญิงฯบอกว่า 'เธอจงนั่งรอก่อนจนกว่าท่านรอซูลจะมา' พอท่านรอซูลมา สาวอันศอรผู้นั้นก็อายที่จะถามท่านตรงๆ นางจึงเลี่ยงออกไป ปล่อยให้ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺเล่าเรื่องให้ท่านรอซูลฟัง ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า 'เธอจงไปเรียกสาวอันศอรคนนั้นมา' นางก็ถูกเรียกตัวเข้ามา แล้วท่านก็อ่านอายะฮฺนี้ให้นางฟังว่า
نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ
บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) (ท่านรอซูลกล่าวว่า) คือช่องทางเดียวเท่านั้น' "
อีกรายงานหนึ่งของอิมาม อัตติรมิซี จับตอนท้ายอย่างเดียวมารายงาน ว่า
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنِ ابْنِ خُثَيْمٍ عَنِ ابْنِ سَابِطٍ عَنْ حَفْصَةَ بِنْتِ عَبْدِ الرَّحْمَنِ عَنْ أُمِّ سَلَمَةَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي قَوْلِهِ ( نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ ) يَعْنِي صِمَامًا وَاحِدًا قَالَ أَبو عِيسَى هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ (الترمفي : التفسير)
(อับดุรเราะหฺมาน) บินสาบิฏ รายงานจากหัฟเศาะฮฺ บินติ อับดิรเราะหฺมาน จากท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม เกี่ยวกับดำรัสว่า
نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) นั้น หมายถึงช่องทางเดียวเท่านั้น (ติรมิซี กิตาบุตตัฟสีร - หะสัน เศาะเฮียะห์)
คงไม่ต้องสรุปอะไรอีกแล้วนะครับว่าอายะฮฺนี้บ่งบอกชัดเจนถึงเรื่องใดกันแน่
และแล้ว คุณแมทท์ก็แอบเอากับดักมาซุกไว้ปนกับข้อความที่สอดคล้องกับบัญญัติอิสลาม.....
ตรงไหน ... ยังไง รออ่านต่อพรุ่งนี้ครับ.... อินชาอัลลอฮฺ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Sun Mar 20, 2005 11:30 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ตามที่คุณ AlGhuraba อธิบายว่า:
ทัศนคติเรื่อง กลับหลังหันกับลูกตาเหล่ นี่ก็เช่นกัน ยิวมันจะเชื่อ อย่าง นั้นก็ตามใจมัน เพราะเรื่องอื่นๆอีกร้อยแปดพันเก้า มันก็กุของมัน ขึ้นมาอีกพะเรอเกวียน แต่พอมุสลิมไปเชื่อตาม ปฏิบัติตาม นี่สิ.. .เป็น เรื่อง !
ในฮะดีษนี้ ปัญหา ไม่ได้ อยู่ที่ ยิวจะกล่าวว่าอย่างไร หรือ มันก็กุของมัน ขึ้นมาอีกพะเรอเกวียน ก็ตาม ข้อสำคัญของฮะดีษนี และและความเข้าใจของ ตัว คุณAlGhuraba เอง ก็คือ พยายามที่จะอธิบายให้เห็น ถึงเหตุที่ อายะ 2:223 ถูกส่งลงมา เพราะเหตุไร?
ความเป็นจริงแล้ว การที่อายะ นี้ ถูกประทาน มา มัน ไม่ มี อะไรเกี่ยวข้อง กับ ฮะดิษ บทนี้เลย ุ คุณ เอา นิทาน มาเล่าเป็น ตุเป็น ตะ ไปได้ ชักแม่น้ำ ทั้ง 5 ทั้ง 6 มา หลอกเด็ก แล้วยัง กล่าว หาว่า ผม พยาม จะทำลาย ศาสนา, ในขณะที่คุณเอง ขาดความรู้ และ เหตุ ผล ในการ เข้า ใจ ความหมายของอัลกุรอานให้ถูกต้อง, คุณคิดหรือ ถ้าคุณใช้เหตุผลเช่นนี้ อธิบาย ให้ ผู้ที่สนใจในศาสนาอิสลาม และต้องการที่จะ รับนับถือศาสนาอิสลาม มาอธิบาย แล้ว เขาคงคิดว่ามุสลิมเรา ขาด เหตุผล ในความศรัทธาของตนเอง
เพื่อให้คุณเข่าใจได้ง่ายๆ ผมอ่าน พบ ฮะดีษ บทหนึ่ง เชื่อ ว่า เป็น ฮะดีษ ซอเอี๊ยะ บรรยาย โดย อบูฮุรัยเราะห์ ว่า:, ท่านรอซูลกล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่เข้าหาหญิงที่มีประจำเดือน หรือ ทางด้านหลัง ของหญิงนั้น, เขาผู้นั้น จะ กลายเป็นผู้ขาดศรัทธา(كفر), ทั้งนี้เพราะ ว่า ข้อห้ามนี้ ได้ วะฮีย์ ให้แก่ท่านรอซูล (อัลกุรอาน 2:222), ฮะดีษนี้ ได้ถูก รวบรวมโดย อบูดาวูด,นัสซออี,ติรมิซิ ฯลฯ
ในฮะดีษบทนี้ อ้างถึงอัลกุรอาน ซึ่งเกี่ยวขอ้ง กับ อายะห์ 2:222 ซึ่งมี ความ ถูกต้อง มาก กว่า เรื่อง นิทาน ที่คุณ สาธยาย มาเป็นน้ำท่วมทุ่ง
ความจริงแล้วข้อความในอายะ 2:223 นี้ เป็น คำสั่งและหรือบัญญัติ ที่ อธิบายถึงการ ร่วม เพศ กับภรรยา ซึ่ง ข้อความ สัมพันธ์ กับ อายะ 2:222 ดังต่อไปนี้
จาก ข้อความที่กล่าวว่า, เจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือหรืออย่างใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์ ในที่นี้ หมายความว่า จงปฏิบัติ ต่อ ภรรยาของเจ้า เช่น เดียวกับคำสั่งในบัญญัติ ที่ 2:222 ในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน ห้าม สามียุ่งเกี่ยว กับ ภรรยา แต่ หลัง จาก ที่ภรรยาหมดประจำเดีอน จึงอณุญาติ เข้า หา ภรรยา ได้ แต่ต้องอยู่ ในขอบ เขต และ วินัย ของ พระเจ้า, ภรรยาก็ เปรียบ เสมือน แหล่งเพาะ พืชพันธ์ ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา
ความหมายที่แท้จริง ของอายะ 2:223 นี้ ต่อ เนี่องมา จาก ความหมาย ใน อายะ ที่ 2: 222 เนื่องจาก ความสัมพันธื์ทางเพศ ระหว่าง หญิง กับ ชาย เป็น เรื่อง ละเอียด อ่อน มาก, บัญญัติ ใน อัลกุรอาน ได้ ถูก วางหลักการไว้ ไม่ แต่ เฉพาะ ความ สัมพันธ์ ทางการสำผัส ทาง ร่าง กาย เท่านั้น, แต่ ต้อง การ ที่ จะ แยก ความมี คุณสมบัติที่สูงส่ง ของ มนุษย์ ให้อยู่ เหนือ ระดับ ของ สัตว์ เดรัจฉาน โดย ทั่วๆ ไป และได้ ย้ำ เตือน ให้ มนุษย์ เห็น ว่า ในการมีสัมพันธ์ ทางเพศ กับภรรยา นั้น ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า ถึงแม้ แต่ การ บัญญัติ ก็ ใช้ ภาษาในการ อธิบาย อย่าง ระมัด ระวัง เพื่อ ไม่ ให้ ข้อ ความ กลาย เป็น เรี่อง ลามก, โดยการที่เปรียบเทียบ ภรรยา เช่น ที่เพาะพีชพันธ์ ดังนั้น วัตถุ ประสงค์ ใน การ ร่วม เพศ กับ ภรรยา เปรียบ เสมือน การ ไถหว่าน เพี่อ ให้ เกิด เยาวชน รุ่นหลัง เพื่อ คอย รับใช้ พระองค์ อัลลอฮ์สีบศาสนาอิสลามให้รุ่งเรือง ต่อไป
จากคำอธิบายตามเหตุผลในอัลกุรอาน จะเห็น ว่า ไม่มีอะไร เกี่ยวข้อง กับ ฮะดีษ บทนั้น เลย, แต่ ถ้า เรา ใช้ การอธิบาย ของคุณ AlGhuraba มาอธิบาย อัลกุรอาน แล้ว จะทำให้ ความ หมาย ของ อัลกุรอาน ไม่ ตรง กับ พระประสงค์ ของ พระองค์ อัลลอฮ์ ทั้งนี้ เพราะว่า อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ์ ไม่ได้ลงมาเพื่อลบล้าง คำกล่าว ของ ชาว ยิว แต่ว่า เป็น โองการที่ประทานมา ลง มา เพื่อ อธิบาย ว่า เมื่อ ภรรยาหมด ประจำเดือน แล้ว ไม่เป็นที่ต้อง ห้าม ที่สามีจะหลับ นอน กับ ภรรยา เขา อย่าง ไร และ เมื่อ เวลา ใดก็ได้ แต่ต้อง ให้รำลึก อยู่ เสมอ ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า (หมายถึงห้าม การกระทำอะไร ที่ผิด ธรรมชาติ ของ การ ร่วมเพศ เพื่อมีผู้สืบเผ่าพันธ์ ของ มนุษย์)
สำหรับ ความรู้ในเรื่อง ศาสนา คุณพูดเหมือน เป็น การถ่อมตัวว่า ไม่ได้เป็น ผู้ อวดอ้าง ว่า มีความรู้มากมาย, ผมชักจะเห็นด้วย แล้ว เพราะ ในระยะเวลา 2 ปี ที่ เขียน โต้ตอบ กับ คุณ ไม่มีอะไร ที่คุณแสดง ให้ ผมเห็น ว่า คุณ ใช้ เหตุ ผลเลย, มีอย่างเดียว คือ การ ขู่ เด็กๆ ว่า, ถ้าจะเรียนฮะดิีษอย่าคิดพิลึก และ ให้ระวัง นรก ไว้, ความเป็นจริง แล้ว คุณจะแก้ไข และ สั่ง สอน สมาชิกผู้ใด ที่คุณเห็น ว่า เขียนผิดและ เข้า ใจ ผิด จากที่ คุณ คิด ไป เสมอ
ตัวอย่างเช่น, ชื่อของสมาชิก ที่ใช้ชื่อว่า addullslam, และ คุณ addullslam (ผมว่า น่าจะเป็น Abdus-Salam มากกว่านะ แต่ไม่ เป็น ไร หรอก ชื่อเฉพาะ ถ้าไม่มีความหมายใดที่เสื่อมเสีย คุณพอใจชื่อ นี้ก็เรียก ขานกัน ด้วย ชื่อนี้)
ความจริงแล้วไม่ใช่มรรยาทของคุณทีจะตำหนิ ชื่อเฉพาะของผู้ใดก็ตาม, ขีอเขียนของคุณ addullslam นั้น น่าอ่าน เพราะเขียนจากความจริงใจ ด้วย ความสุภาพ และไม่มีการกล่าว ประ ชดใคร
คุณว่า ผู้ที่มีความคิด ไม่ตรงกับที่คุณเรียนรู้มา เหมือน กบ อยู่ ใน กะลาครอบ แต่ความจริง แล้ว คุณ ยัง ไม่ เคย ทราบ เลย ว่า ภายในกะลาซึ่งมี ปริมาตรเพียงเล็กน้อย นั้น มีอะไรอยู่ ข้างในบ้าง นอกจากเห็น แต่ตัวกบ ตัวหนึ่งเท่านั้น
ตามที่คุณกล่าวว่าถ่อมตัวว่า:
ผมเอง มิได้อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญอะไรในเชิงวิชาการศาสนา หากแต่เป็นเพียง ผู้ที่ ชอบ ค้นคว้า อ่านจากตำราหลายๆเล่ม ถามไถ่จากทุกผู้ทุกนามทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่เลือก ว่า จะอยู่ค่ายไหน ไม่เกี่ยงว่าจะมีวุฒิอะไรมาหรือไม่ ถ้าเขามีคำตอบ ให้แม้ เพียงเล็ก น้อยผมก็ ยินดี และนับเป็นผู้มีพระคุณท่านหนึ่งเสมออาจารย์ผู้ทรงเกียรติ และสิ่งที่ได้ซึมซับรับรู้มา ผม คิด ว่าไม่ควรที่จะเก็บมันไว้ให้ตายไปกับตัว เสมือนทำตัวเป็นอีกหนึ่งในสัญญาณกิยามะฮฺ ถือเป็น หน้า ที่ที่เราจะต้องช่วยกันดูและปกป้องศาสนาจากการถูกทำลายล้าง โดยเฉพาะ อย่าง ยิ่ง จากน้ำมือของผู้ที่แอบอ้างตนเป็นผู้ศรัทธา ทว่าคอยจ้องทำลายอะกีดะฮฺของ พี่น้อง เราอย่างแยบยล นั่นคือเหตุที่ทำให้ต้องเสียสัตย์ ที่เคยลั่นวาจาไว้ว่า จะตอบก็ต่อเมื่อ คุณแมทท์ จะเริ่ม บทเรียน การละหมาดตามอัลกุรอาน
จากคำอธิบายแหล่งความรู้ของคุณ และ ความเข้าใจศาสนาอิสลาม, และขบวนการ เรึยน รู้ของคุณ ผมชักจะเห็นด้วยแล้ว, การ ที่คุณมีความรู้อยู่นั้น คุณมี ทางที่จะเสริมปัญญาคุณได้ โดยเริ่ม ศึกษา อัล กุรอาน ตาม วัตถุประสงค์ ที่ทาน รอซูล มีความ มุ่งหมาย ที่จะให้ มุสลิม ทุกๆคน ปฏิบัติ ตามตัว อย่าง ของท่าน ดัง ฮะดีษ ซอเฮี๊ยะ ข้างล่างนี้ ที่ท่านรอซูลกล่าวว่า:,
เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือ ของ พวก ท่าน
(มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56)
เนื่องจาก ฮะดีษนี้ เป็น ซอเฮี๊ยะหะดีษ หวังว่าคุณๆ ทั้งหลาย คงจะเชื่อ คำกล่าวของท่านนบี ตามที่ท่านเรียนรู้มา
สำหรับตัวผมเองนั้นเรียนศาสนาอิสลาม ด้วยตนเองได้รับความรู้จากอัลกุรอาน ไม่ได้ไป เมื่องนอก เมืองนา กับเขาที่ไหน ? แต่ทนเห็น การสอนศาสนาที่มีแต่การ ขู่ เด็กๆ ไม่ได้ ตัวอย่าง ที่ เห็น ได้ ชัด ก็ คือ ถ้า ผู้ที่มีอาชีพ แปลฮะดีษขาย ก็ จะ ย้ำ ถึงความ สำคัญของ ฮะดีษบุคอฮ์รีย์ (ซึ่งไม่ใช่ฮะดีษของท่านรอซูล), มีบางท่านถึงกับยกขึ้น เทียบเท่า หรือ เป็น กิตาบุลลอฮ์ เล่มที่สอง รองจากอัลกุรอาน โดยไม่คำนึงถึง ความแน่นอน ของเรื่อง เล่า เหล่านั้น และเมื่อมีความสะดวก จะ ใช้ อ้าง อิง ในเรื่อง ใดที่เกี่ยว กับหลักศาสนา อิสลาม ก็นำมาใช้ แม้ แต่ ฮะดีษ ที่อ่อนปวกเปียก ไปจนถึง ขั้น ที่ว่า เที่ยง แท้ ที่สุด
สำหรับผู้ที่ขาย เครื่อง แต่งกาย อรับ หรือ อินเดีย ก็ ใช้ ความศรัทธา มาอ้าง เพื่อขายสินค้า โดยอาศัย ความไม่เข้าใจของมุสลิมบางท่าน ว่า มุสลิมไม่มีเครื่องแบบ หรือ สัญญาลักษณ์ สิ่งที่แสดง ความเป็นมุสลิมก็คือ การปฏิบัติตาม บัญญัติในอัลกุรอาน
ในศาสนาอิสลาม ไม่มีศาสดา, ไม่มี นักบุญ ไม่มี สถาบันสงฆ์ ใดๆทั้งสิ้น มุสลิม ทุกๆท่าน เป็นผู้รับผิดชอบ ในการปฏิบัติ ตาม บัญญัติ ที่พระเจ้า ประทานไว้ ได้แก่ อัลกุรอาน และ มุสลิมจะต้องเชื่อฟัง คำสอน และ การปฏิบัติของ ท่านศาสนฑูต มูฮัมมัด ที่ กล่าวไว้ ในอัลกุรอานเท่านั้น
ในเมื่อ ศาสนาอิสลาม ไม่มีสถาบันสงฆ์ ดังนั้น ผู้ที่นับถือ ศาสนาอิสลาม จึง ไม่มี เครื่อง แบบ ใดๆเพื่อแสดงว่า ว่า เป็น ผู้ที่นับถือ ศาสนา อิสลาม หรือ มุสลิม เนื่อง จาก กฎบัญญัติ ต่างๆ ของศาสนาอิสลาม มาจากพระเจ้า โดยผ่าน ท่านศาสนฑูตมูฮัมมัด
ดัง นั้น ความ หมายใน ภาษาไทย ที่ถูก ต้อง ในการเรียก ท่าน มูฮัมมัด คือ จะต้อง ใช้ ว่า ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ไม่ใช่ ศาสดา มูฮัมมัด
การแต่งกายของมุสลิม ไม่มีเครื่องแบบ แต่ต้องแต่งกายให้สุภาพ ไมเปิดเผย ส่วนใดของ ร่างกาย ที่ยั่วยวน อารมณ์ ทาง เพศ ของ ทั้งชาย และหญิง, ซึ่งโดย ปกติก็ให้ แต่ง กายตาม ประเพณีท้องถิ่น, แต่ที่ว่า ใบหน้า และเรือนผม แขน ขา (ตั้งแต่ฝ่าเท้า ถึง ส่วน ต่ำ ของ หัว เข่า) , และ ตั้งแต่ฝ่ามือ ถึง หัวไหล เป็นส่วนของ ร่างกาย ที่ยั่วยวน อารมณ์ ทางเพศแล้วนั้น, ขึ้นอยู่กับ ความสำรวม ของ เพศ ตรงข้าม ถ้า เป็น ผู้ที่ไม่มักมาก ในกามรมณ์, ตาม วัฒนธรรม ทั่วๆ ไปของทุกๆประเทศ การแต่งตัวในลักษณะนี้ ก็ นับว่า เป็นการ แต่ง กาย ที่สุภาพ ตามหลักการของอิสลาม
ถ้าคุณจะทำตามที่ ฮะดีษบุคอฮ์รีย์ แล้วคุณ จะต้อง ขึ่ีอูฐไปทำงาน, ไม่ใช้เซลลูล่าโฟน, ไม่ดูภาพยนตร์, ทีวี, ไม่ใช้คอมพิวเตอร์, ดื่มปัสสวะอูฐเป็นยา, ใช้น้ำมันชะมดทาตัว, ไม่ติดรูป ใดๆ ไว้ ในบ้าน, ล้างปัสวะด้วยก้อนหิน, เผาบ้านผู้ใดก็ตามที่ไม่ไปละหมาด, ฯลฯ ผมอยาก ทราบว่า ทำไมคุณถึงไม่ทำสิ่งเหล่านั้น ซึ่ง ฮะดีษบุคอฮ์รีย์ อ้างว่า เป็น ซุนนะห์ ของ ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด,
ทำไมคุณถึงเลือกทำตามความสดวกและความ ต้องการ ของ คุณ, แม้แต่ตัว คุณเอง และมุสลิมส่วนใหญ่ ไม่ได้ ทำ ตาม ฮะดีษบุคอฮ์รีย์ อย่างครบ ถ้วน แล้ว คุณจะเอา น้ำยาอะไร มาตำหนิผม ว่าไม่ทำตาม ฮะดีษ การมีศรัทธาตามความสดวก ของตัวคุณเอง เขาเรียกว่า หน้าไหว์หลังหลอก คุณเข้าใจไหม?
ผมอยากจะเห็น คำอธิบาย ของ เรื่อง สาวสวรรค์ผู้มีความงามและความบริสุทธิ์ และ สุรา ที่ ไม่เปลี่ยนแปลงรสชาติ ที่กำลังรอคนมีอีมานอย่าง ดี เช่นคุณ AlGhuraba, อยาทราบว่า คุณ จะ มีเหตุผล อย่างไร? และ มุสลิมะ ที่ มีความดีได้เข้าสู่สวรรค์ นั้น จะได้รับรางวัล อะไร บ้าง? และอีกข้อ หนึ่ง มุสลิมที่ อยู่ในสวรรค์ นั้น ยังต้อง ทำละหมาด 5 เวลา อยู่หรือ ไม่? มุสลิมที่มีความรู้ ควรจะมีคำตอบได้ อย่างมีเหตุผล โดยที่ไม่ใช้วาจา หยาบคาย, ข่มขู่ และ ประชดประชัน
คำตอบอย่างน้ำท่วมทุ่ง ไม่มีแก่นสาร อย่างที่คุณ อธิบายเรื่อง อายะั 2:223 กับ ฮะดีษ นั้น ใช้ไม่ได้ เพราะ ขาด เหตุ ผลและหลักการ ซึ่งผมได้ อธิบาย คำตอบที่ถูก ต้อง ไว้ แล้ว และ เป็น เหตุผลที่ มุสลิม ควร จะ ใช้ เป็น คำตอบ ต่อ บรรดา กาเฟร ที่ ตั้ง ปัญหาเหล่านี้ มา โจม ตี มุสลิม, ถ้าคุณ AlGhuraba ไม่สามารถที่จะตอบ คำถามของ ผม แล้ว โปรด กรุณา อย่า โมเม ว่า ผมเป็นผู้ ทำลายศาสนาอิสลาม แต่ผมกำลังจะ ช่วย ให้ ยุวมุสลิมใช้ เหตุ ผลใน ความ ศรัทธา ต่อ ศาสนา อิสลาม เมื่อเติบโตเป็น ผู้ใหญ่ จะได้ เป็น คนมีเหตุผลต่อ ความ ศรัทธา ในศาสนาอิสลาม
................................................................................................
สำหรับเรื่องละหมาดที่มีในอัลกุรอานนั้น ผมขอตอบดังนี่ครับ
เมื่อผมบอกว่าผมมีคำตอบ...ผมก็ต้องรักษาคำพูด เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลา เพราะทุก อย่างที่ หามา มัน ประติดประต่อกันยากหน่อย และเชื่อ ว่า ถ้าอธิบายมา ก็ คงไม่มี ผู้ใดใน เวบบี้ เห็นด้วย เพราะ ว่า ยังมี ความสงสัย ใน ความสมบูรณ์ ของ อัลกุรอาน อยู่ คำอธิบายจะเป็น อย่างไร บ้าง โปรด อดใจรอ
อินชาอัลลอฮฺ... ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ คงได้เอามาลง กระทู้ให้ดูกันครับ
.
การทำละหมาด 5 เวลามีอยู่ในอัลกุรอานหรือไม่?
บรรดามุสลิม ส่วนใหญ่ มีความเข้าใจ ว่า ท่าน นะบีมูฮัมมัด เป็น ท่านแรก ที่ นำการ ละ หมาด ประจำ วันๆ ละ 5 เวลา มากำหนดให้ เป็น ข้อ ปฏิบัติ ใน ศาสนาอิสลาม, ความ จริง แล้ว ท่านนะบี อิบรอฮิม ผู้ ซึ่งกำหนด เรียกศาสนาของพระองค์อัลลอฮ์ นี้ ว่า อิสลาม, ซี่งมี ความ หมาย ว่า การยอมสวามิภักดิ์และยอมจำนนต่อ พระองค์อัลลฮ์แต่พระองค์เดียว อย่าง สิ้นเชิง ซึ่งเป็นศาสนาที่ มุสลิมเรา ศรัทธา และถือปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน
ท่านนะบึอิบรอฮิม เป็นผู้ที่ นำและวางระเบียบ การละหมาด, หน้าทีปฏิบัติ ทางศาสนา ซึ่งมุสลิมถือปฏิบัติต่ิอเนื่องกันมาจนทุกวันนี้, ความจริงข้อนี้ มีปรากฎอยู่ ใน ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ อายะ 78 ดังนี้..
และจงบากบั่น อย่างเต็มที่ (ต่อสู้, พากเพียร, อุตสาหะ) ในการปฎิบัติตามแนวทางของ อัลลอฮ์,การบากบั่น(ปฎิบัติตามแนวทางของพระองค์)เช่นนั้น เป็นหน้าที่(สำหรับมุสลิม) ที่ จะ ต้องตอบแทนต่อพระองค์, พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า, และพระองค์ไม่ได้สร้าง ความ ยาก ลำบาก ใน(การปฏิบัติตามข้อบัญญัติ) เรื่องศาสนา; ซึ่งเป็นศาสนาของ บรรพบุรุษ ของ เจ้า อิบรอฮิม; และพระองค์ทรงเรียกพวกเจ้าว่า, มุสลิมีน มาแต่หนหลังและ ในคัมภีรฉบับนี้ (อัลกุรอาน) เื่พื่อที่รอซูลจะเป็นพยานต่อพวกเจ้า, และพวกเจ้าจะได้เป็นพยาน ให้แก่มนุษย์ ชาติ(ในรุ่นต่อไป), ดังนั้น(พวกเจ้า) พวกเจ้าจงปฏิบัติการละหมาด และบริจาค ซะกาต, และ ยึดมั่น(มีศรัทธา) ต่อพระองค์อัลลอฮ์; พระองค์เป็นผู้คุ้มครองของพวกเจ้า, และเป็นผู้คุ้ม ครอง (ที่ดีเลิศ), และผู้ช่วยเหลือที่ดีเลิศ (22:78)
จาก ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ อายะ 78 นี้ พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงยืนยัน ให้เราทราบว่า ตั้งแต่สมัยท่านนะบีอิรอฮิม เรื่อยลงมามา,บรรดา ผู้ซึ่งมีศรัทธาในพระองค์ อัลลอฮ์, รวม ทั้ง ท่าน นะบี และ ศาสนฑูต ท่านต่างๆ ได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม,และ ได้ทำการละหมาด, และ ปฏิบัติ หน้าทีทางศาสนา เช่น เดียว กับ การละหมาดตามที่ท่าน นะบีอิบรอฮิมปฏิบัติ
หากจะมีผู้คัดค้านในเรื่องนี้ว่า ท่านนะบีมูฮัมมัด เป็นผู้วางวิธีการปฏิบัติ การละหมาด เพราะ มีอยู่ ใน อะหะดีษของบุคอรีย์, และถ้าไม่มีอะหะดีษของบุคอรีย์ แล้วเรา จะละหมาด กันอย่างไร? ผมเองก็ อยาก จะ ทราบ เหมือน กันว่า การสอน ละหมาดในอะฮะดีษนั้น มีรูป แบบ ขั้นตอนอย่างไร? ที่เป็น แบบ ฉบับอย่างสมบูรณ์,
ข้อสังเกตุ:
ผมเองว่า คงมีแบบ ฉบับไม่เหมือน กัน เป็น อย่างแน่ เพราะ มุสลิมที่ตามหะดิษ ของบุคอรียฺ ยังละหมาดไม่เหมือนกัน บาง กลุ่ม ไม่ยอมละหมาด ร่วม มัสยิด เดียวกัน แม้แต่ว่า วัน สำ คัญ ทางศาสนา ยังไม่ยอมที่ จะละ หมาด พร้อมกัน ผมว่า บางท่าน ก็อาบน้ำ ชำระร่าง กาย สองคร้ง บางท่าน คง ชำระ ครั้งเดียว ทั้ง นี้ เพราะ ว่า ในอะหะ ดีษของบุคอรีย์ มีบอก ไว้ ทั้ง สอง อย่าง, และ ทำไมผู้ซึ่ง ปฏิบัติตาม หลัก การ ใน อะหะดีษ ของบุคอรีย์ ฉบับเดียวกัน จึง แตกแยก ออกเป็น หลายฝ่าย
การทำละหมาดประจำวันนั้น ถ่ายทอดต่อๆกันมา โดยคัมภีร์ต่างๆที่ พระองค์ อัล ลอฮ์ ทรง ประทาน ให้กับท่าน ศาสนฑูตท่านต่างๆ, พระองค์ อัลลอฮ์ ได้ห้ คำแนะนำ ในการทำ ละหมาด ไว้ ใน คัมภีร์ เพื่อว่า ศาสนทูตเหล่านั้น จะได้เรียนรู้ วิธีละหมาด, ความจริงข้อ นี้ มี บัญญัติไว้ ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ อายะ 73:
และเราได้แต่งตั้งผู้นำ เพื่อที่จะได้ แนะแนวทางตามบัญชาของเรา, เราได้ ให้ วะฮี แก่ เขา (ผู้นำ) เหล่านั้นให้ปฏิบัติแต่ความดี, กำหนดการรักษาการละหมาด ประจำวันให้ สม่ำ เสมอ และ บริจาคซะกาต, และเขาเหล่านั้นมีความจงรักภักดีต่อเราเท่านั้นอย่างสม่ำเสมอ
เราจะเห็นว่า จากบัญญัติในอัลกุรอาน ที่ชี้ ให้ เห็น ว่า การละหมาดประจำวันนั้น มีมาก่อน ท่านนะบี มูฮัมมัด ถ้าไม่มีมาก่อน แล้ว พระองค์ อัลลอฮ์ จะไม่มีบัญชา ให้ มุสลิม รักษาการ ละหมาด ประจำวันอย่าง สม่ำ เสมอ เพื่ออะไร?
ในสมัยท่านนะบีมูฮัมมัด นั้น การทำละหมาดยังคงมีอยุ่ แต่ได้ถูกดัดแปลงไป จนไม่เป็นที่ ยอม รับ ของ พระองค์ อัลลอฮ์ ดังจะเห็นได้จาก ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะ 142
บรรดาพวกผู้เสแสร้ง:.พวกเขาคิดว่าเขาหลอกลวงอัลลอฮ์ได้, แต่พระองค์ทรงล่วงรู้ เท่าทัน เขาเหล่า นั้น, เมื่อพวกเขาลุกขึ้นยืนละหมาด, พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนอย่าง เกียจคร้าน (อย่างไม่เต็มใจ), เพื่ออวดผู้คน, แต่ในจิตใจเขารำลึกถึงอัลลอฮ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (4:142)
และใน ซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ อายะ 54
เหตุผลที่การบริจาคของพวกเขาไม่เป็นที่ยอมรับก็เพราะเหตุว่า, เขาเหล่านั้นไม่มีศรัทธา ต่อ อัลลอฮ์ และ รอซูลของพระองค์, และพวกเขาไม่มาทำละหมาด และเวลามาก็มา อย่างไม่ เต็ม ใจ, และการบริจาคก็ทำอย่างไม่เต็มใจ(9:54)และซูเราะฮฺ อัลมาอูน อายะ4-5
ความโศกเศร้าเสียใจจงมีต่อผู้ทีทำละหมาด,เขาผู้ซึ่งแสร้งทำความดีเพื่อให้(ผู้คน)เห็น (107:4-5 )
ท่านนะบีมูฮัมมัดได้ปรับปรุงและกวดขัน การทำละหมาดของบรรดาผู้ศรัทธา โดยใช้ อัล กุรอานซึ่งได้รับ วะฮี จากอัลลอฮ์ (21:73), ถึงแม้ว่าการละหมาดจะเป็นวะฮีย์ และ ถูก สอน ให้แก่บรรดารอซูลต่อๆกันมา ผู้ศรัทธาและรอซูลเหล่านั้น ยังต้องอาศัย บทเรียนจาก บรรดาคัมภีร์ ที่พระองค์อัลอฮ์ได้ประทานมา ในสมัยท่านนะบีมูฮัมมัดก็เช่นกัน วิธีการ ละ มาด ได้มีอยู่ใน อัลกุรอานซึ่งอยู่ ในรูปของการสอดแทรกมาใน อายะต่างๆ
(ซึ่งจะกล่าวถึงในคราวต่อไป)
....................................
แมทท์
ปล.
สำหรับคุณ AlGhuraba:
ผมเรียนภาษาอรับด้วยตนเอง ผมอยากให้คุณช่วย ตรวจแก้ไขประโยคข้าง ล่างนี้ให้ ถูกต้อง ด้วย
بالرّغم من أنّ لست مقطعًا معافًى بالعربيّة . أنا يريد للسماح تعرف أن التّصرّف مثل قرد مشاغب صغير غير جيّدًا
(فقط على سبيل الدّعابة) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon Mar 21, 2005 6:51 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
เย่ .... มาแล้ว ลุงแมทท์!
คุณแมทท์บอกว่า ความเป็นจริงแล้ว การที่อายะ นี้ ถูกประทาน มา มัน ไม่ มี อะไรเกี่ยวข้อง กับ ฮะดิษ บทนี้เลย (matt Sun Mar 20, 2005 11:30 pm)
: >> ผมเข้าใจว่าผมขียนไปแล้วนะครับ ว่า... หะดีษที่รายงานโดยอิมามบุคอรีบทนี้ อ่านดีๆก็จะเห็นว่ามิใช่ สาเหตุ ของการประทานอายะฮฺ แต่เป็นบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวที่คล้องจองกับอายะฮฺต่างหาก (AlGhuraba - Sat Mar 19, 2005 1:18 pm) ลองอ่านดูให้ดีนะครับว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น และมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
----------------------------------
คุณแมทท์บอกว่า ทั้งนี้ เพราะว่า อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ์ ไม่ได้ลงมาเพื่อลบล้าง คำกล่าว ของ ชาว ยิว (matt Sun Mar 20, 2005 11:30 pm)
> ผมก็ขียนไปแล้วอีกเหมือนกันนะครับ ว่า... ถ้าจะอ้างว่าที่อัลลอฮฺทรงประทานอายะฮฺนี้มาเพียง เพื่อลบล้างคำพังเพยของยิว แค่นั้นก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะถ้าแค่จะลบล้างก็คงจะต้องลงมาตั้งแต่แรกเลย เนื่องจากทัศนคติเช่นนี้มีมานานแล้ว ถ้าวัตถุประสงค์ของอายะฮฺมีเพียงเพื่อจะลบก็ต้องลบกันตั้งแต่แรกโน่นทำไมจะต้องปล่อยให้ล่วงเลยมาจนป่านนั้น (AlGhuraba - Sat Mar 19, 2005 1:18 pm)
-----------------------
แล้วคุณแมทท์ก็หาทางเลี่ยง โดยไปขุดปัญหาโบราณขึ้นมาถกว่า ถ้าคุณจะทำตามที่ ฮะดีษบุคอฮ์รีย์ แล้วคุณ จะต้อง ขึ่อูฐไปทำงาน, ไม่ใช้เซลลูล่าโฟน, ไม่ดูภาพยนตร์, ทีวี, ไม่ใช้คอมพิวเตอร์, ดื่มปัสสวะอูฐเป็นยา, ใช้น้ำมันชะมดทาตัว, ไม่ติดรูป ใดๆ ไว้ ในบ้าน, ล้างปัสวะด้วยก้อนหิน, เผาบ้านผู้ใดก็ตามที่ไม่ไปละหมาด, ฯลฯ ผมอยาก ทราบว่า ทำไมคุณถึงไม่ทำสิ่งเหล่านั้น ซึ่ง ฮะดีษบุคอฮ์รีย์ อ้างว่า เป็น ซุนนะห์ ของ ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด, (matt Sun Mar 20, 2005 11:30 pm)
ลุงครับ..... เรื่องแบบนี้เขาคุยกันจบไปตั้งปีมะโว้แล้วละครับ ลุงอาจจะไปอยู่เมืองนอกเมืองนาซะนานนะ เลยไม่รู้ว่าเขาไปกันถึงไหนแล้ว ถ้าผมจะไม่พูดเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องสาวสวรรค์ สุรา และอื่นๆที่ลุงพยายามจะดึงมากลบเกลื่อนก็คงไม่แปลกหรอก เพราะยังไม่อยากดึงประเด็นให้เป๋ไปกว่านี้ บางทีอาจมีใครใจบุญช่วยสงเคราะห์ลุงบ้างก็ได้นะ...ขอโทษที่ไม่หลงกล อิ อิ
-------------------------
คุณแมทท์อ้างหะดีษบทหนึ่งว่า.... เราทิ้งไว้ให้พวกท่าน, อัลกุรอาน แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เป็นสิ่งยึดถือ ของ พวก ท่าน (มุสลิม 15/19, นู 1218, อิบนุมาญะฮ์ 25/84, อะบูดาวูด 11/56) เนื่องจาก ฮะดีษนี้ เป็น ซอเฮี๊ยะหะดีษ หวังว่าคุณๆ ทั้งหลาย คงจะเชื่อ คำกล่าวของท่านนบี ตามที่ท่านเรียนรู้มา (matt Sun Mar 20, 2005 11:30 pm)
เอ...ผมว่าผมก็อธิบายเรื่องนี้ไปเมื่อนานมาแล้วเหมือนกันนะครับ ในกระทู้นี้แหละ หน้า 5 ผมตอบไว้เมื่อ Wed Jun 30, 2004 9:57 pm ลองย้อนกลับไปอ่านดูใหม่ว่าที่นบีทิ้งไว้น่ะกี่อย่าง อะไรมั่ง และผมอธิบายไว้ว่าอย่างไร แบบว่าเรื่องมันยาวอ่ะ ในนั้นมีสรุป คำถามบนกระดานนี้ ที่รอให้ลุงแมทท์ตอบด้วยละ ทบทวนดูอีกทีดีมั้ย
1 ละหมาดตามอัลกุรอาน ทำอย่างไร? (คำถามที่ทุกคนรอคอย ซึ่งอันนี้ผมถามลุงมาตั้งแต่กระดาน muslimthai.com ปีที่แล้ว..ปีนึงพอดิบพอดี... ลุงยังปั้นน้ำไม่เป็นตัวเลยเหรอครับ? ลองเอาใส่ตู้เย็นสิ เข้าช่อง Freeze นะ เอาไว้ข้างล่างมันไม่เป็นตัวหรอก)
รวมทั้งประเด็นปลีกย่อยคือ (วะฮาบีย์ : อ. มิย. 15, 2004 4:21 pm)
1.1 ถามว่าเวลาจะอาบน้ำละหมาดคุณ Matt ทำอย่างไร ล้างหน้า ล้างแขน ลูบหัว ล้างเท้า เป็นอันเสร็จ ???
1.2 และหากพวกเจ้ามีญะนาบะฮฺ ก็จงทำความสะอาด ทำความสะอาดในที่นี้คืออะไร ทำอย่างไร ช่วยหาในอัลกุรอานทีว่าอยู่อายะห์ไหน
1.3 แล้วละหมาดวันหนึ่งมีกี่เวลา ผมสงสัยจังว่าที่ละหมาด 5 เวลาจะถูกต้องไหม เพราะยังหาหลักฐานในอัลกุรอานไม่เจอ ช่วยหาให้ทีสิครับ ด่วนด้วยนะครับ
2 ใครคือนบี (รอซูล)
3 คุณไม่ปฏิเสธนะบี แต่ไม่เอาคำสอนของนะบี หมายความว่ายังไง(Nes อ. มิย. 08, 2004 7:53 pm )
4 กุรอานอายาฮ์ใดที่ใช้ให้ปฏิเสธฮาดีษที่หมายถึงซุนนะฮ์ของนบี (nes : พ. มิย. 09, 2004 9:18 pm )
5 ในวันอีดิ้ลฟิตรี่คุณจ่ายฟิตเราะห์หรือเปล่าคะและคุณเอาหลักฐานในการจ่ายฟิฏเราะห์นั้นมาจากไหน (chico : พฤ. มิย. 10, 2004 12:50 am)
6 คุณรับวะฮีย์เองหรือ คุณตามนะบีหรือปล่าว ถ้าตาม...ตามยังไง ในเมื่อคุณปฏิเสธฮะดีสศอเฮียห์ (nes : อาทิตย์ มิย. 13, 2004 12:05 pm)
7 คุณมีความเข้าใจอายะฮฺนี้อย่างไร (AlGhuraba : พ. มิย. 16, 2004 11:00 am)
مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ وَكَانَ اللَّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمًا
33:40. Muhammad was not the father of any man among you. He was a messenger of GOD and the final prophet. GOD is fully aware of all things.
8 อาถรรพ์เลข 19 (AlGhuraba : พ. มิย. 16, 2004 10:35 pm)
9 คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าอัลกุรอานี่อัลลอฮประทานลงมาคือเล่มที่คุณยึดเป็นแนวทาง (วะฮาบีย์ : พฤ. มิย. 17, 2004 10:04 am)
ลองย้อนกลับไปอ่านดูใหม่นะครับ แต่ลุงยังไม่ต้องเลือกหรอกว่าจะตอบข้อไหน เพราะเราลงมติกันแล้วว่า อยากให้ลุงตอบข้อ 1 ก่อน
----------------------------
จนถึงที่คุณแมทท์บอกว่า แต่ว่า เป็น โองการที่ประทานมา ลง มา เพื่อ อธิบาย ว่า เมื่อ ภรรยาหมด ประจำเดือน แล้ว ไม่เป็นที่ต้อง ห้าม ที่สามีจะหลับ นอน กับ ภรรยา เขา อย่าง ไร และ เมื่อ เวลา ใดก็ได้ แต่ต้อง ให้รำลึก อยู่ เสมอ ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า (หมายถึงห้าม การกระทำอะไร ที่ผิด ธรรมชาติ ของ การ ร่วมเพศ เพื่อมีผู้สืบเผ่าพันธ์ ของ มนุษย์) (matt Sun Mar 20, 2005 11:30 pm)
ก็ใช่ครับ ผมก็บอกไปแล้วว่า อายะฮฺ 2:222 นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า และจงอย่าเข้าใกล้นางจนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนางได้ชำระร่างกายจนสะอาดแล้ว ก็จงมาหานางตามที่อัลลอฮฺทรงใช้พวกท่าน(คือ อนุมัติให้สมสู่นางได้ตามขอบเขตที่อัลลอฮฺทรงกำหนดไว้) คือเมื่อสะอาดแล้วก็ไม่มีปัญหา อายะฮฺ 2:223 จึงขยายความต่อไปอีกขั้นหนึ่งว่า อันนาชิอ์ตุม-อย่างไรก็ได้ตามที่พวกเจ้าต้องการ แต่ผมยังเล่าไม่จบ ก็จะพยายามให้จบซะวันนี้เลยละกัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon Mar 21, 2005 7:21 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
จากเมื่อวานคงจะเห็นแล้วว่า ที่มันเป็นเรื่องขึ้นมาก็เพราะ
หนึ่ง... สาวอันศอรนั้นไม่คุ้นเคยกับวิธีปฏิบัติของหนุ่มกุร็อยช์ จึงรู้สึกแปลกๆ และขัดเขิน
สอง... ที่สำคัญคือ มันกลายเป็นความเชื่อตามพวกยิวว่า พฤติกรรมเช่นนั้นเป็นสิ่งผิด
เมื่อประเพณีปฏิบัติใดๆก็ตาม หยั่งรากลึกลงไปจนกลายเป็นความเชื่อ นั่นคือสิ่งที่ขัดแย้งอย่างรุนแรงต่ออัลอิสลาม ดังนั้นความเชื่อ หรือประเพณีปฏิบัติผิดๆเช่นนั้นจึงจำเป็นต้องถูกขุดรากถอนโคนออกไปให้สิ้น อายะฮฺ 2:223 จึงเป็นคำตอบสำหรับแนวปฏิบัติที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติ
ก่อนจบเมื่อวาน ผมบอกว่าคุณแมทท์พยายามเอา"ความเท็จ" มาเหน็บรวมไว้กับความจริงเพื่อเป็นกับดักหลุมพราง ตรงไหนครับ?
.... คุณแมทท์บอกว่า
นี่หรือคือเหตุผลของฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ ชาวยิว ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ? (แมทท์ : Tue Feb 22, 2005 9:27 pm)
ข้อความ "โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและความต้องการหรือไม่ต้องการของภรรยา กระนั้นหรือ?" ที่พ่วงมาในตอนท้ายนี้มิได้มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากเพื่อลวงให้ผู้อ่านคล้อยตามว่า นัยยะของหะดีษคงเป็นอย่างนั้นไปด้วยกระมัง ราวกับว่า "หะดีษ" สอนให้ชายทำอะไรตามอำเภอใจต่อภรรยาในเรื่องเพศได้โดยไม่มีขีดจำกัด... นะอูซุบิลลาฮฺ กับมนุษย์ชนิดอย่างนี้
การใส่ไคล้เช่นนี้นับว่าเป็นอคติที่บ่งบอกถึงความ ignorance อย่างแท้จริง !
ด้วยการหยิบยกหะดีษบุคอรีบทหนึ่งซึ่งกล่าวพาดพิงถึงทัศนคติบางอย่างของพวกยิวขึ้นมาวิจารณ์ เขาก็พยายามใช้เล่ห์กลหาวิธีแทรกเสริมเติมแต่งถ้อยคำให้กลายเป็นว่า นั่นคือการสอนให้ละเมิดสิทธิของภรรยาโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของนางแต่อย่างใด ดูๆไปมันเข้าทำนอง.... ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด... ในที่สุด เขียดก็ตกน้ำตาย !
ท่านครับ ... เนื่องจากคุณแมทท์เอาแต่เถียงหัวชนกะลา...เอ๊ย...หัวชนฝา...ด้วยจิตอคติอย่างรุนแรงมาตลอดว่า ไม่อาจยอมรับหะดีษใดๆได้นอกจาก อัลกุรอานอย่างเดียวเท่านั้น เขาจึงไม่รู้ว่าท่านนบีสอนอย่างไร...
حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ بْنُ نَصْرٍ حَدَّثَنَا حُسَيْنٌ الْجُعْفِيُّ عَنْ زَائِدَةَ عَنْ مَيْسَرَةَ عَنْ أَبِي حَازِمٍ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ مَنْ كَانَ يُؤْمِنُ بِاللهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ فَلَا يُؤْذِي جَارَهُ وَاسْتَوْصُوا بِالنِّسَاءِ خَيْرًا فَإِنَّهُنَّ خُلِقْنَ مِنْ ضِلَعٍ وَإِنَّ أَعْوَجَ شَيْءٍ فِي الضِّلَعِ أَعْلَاهُ فَإِنْ ذَهَبْتَ تُقِيمُهُ كَسَرْتَهُ وَإِنْ تَرَكْتَهُ لَمْ يَزَلْ أَعْوَجَ فَاسْتَوْصُوا بِالنِّسَاءِ خَيْرًا (البخاري : النكاح(
อบูฮุร็อยเราะฮฺ รายงานว่า ท่านนบีสอนว่า "ใครที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ เขาจงอย่าได้ก่อความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้าน และฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ปฏิบัติต่อผู้หญิงโดยดี เพราะแท้จริงนางถูกสร้างมาจากกระดูกซี่โครง และส่วนที่โค้งงอที่สุดของกระดูกซี่โครงก็คือส่วนปลายของมัน ถ้าหากว่าพวกท่านจะฝืนดัดให้มันตรง ท่านก็จะทำให้มันหัก แต่ถ้าท่านปล่อยมันไว้เฉยๆ มันก็จะยังคงโค้งงออยู่เช่นนั้น ดังนั้น ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ปฏิบัติต่อผู้หญิงโดยดี" (บุคอรี : อันนิกาห์)
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ يَحْيَى حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ يُوسُفَ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنْ هِشَامِ بْنِ عُرْوَةَ عَنْ أَبِيهِ عَنْ عَائِشَةَ قَالَتْ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خَيْرُكُمْ خَيْرُكُمْ لِأَهْلِهِ وَأَنَا خَيْرُكُمْ لِأَهْلِي (الترمذي : المناقب
ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม สอนว่า "คนที่ดีที่สุดในพวกท่านได้แก่ผู้ที่ดีที่สุดต่อครอบครัวของเขา และฉันคือผู้ที่ดีสุดในพวกท่านต่อครอบครัวของฉัน" ...(อัตติรมิซี : อัลมะนากิบ .... หะสัน-เฆาะรีบ-เศาะเฮียะห์)
حَدَّثَنَا أَبُو كُرَيْبٍ حَدَّثَنَا عَبْدَةُ بْنُ سُلَيْمَانَ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَمْرٍو حَدَّثَنَا أَبُو سَلَمَةَ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَكْمَلُ الْمُؤْمِنِينَ إِيمَانًا أَحْسَنُهُمْ خُلُقًا وَخِيَارُكُمْ خِيَارُكُمْ لِنِسَائِهِمْ خُلُقًا قَالَ وَفِي الْبَاب عَنْ عَائِشَةَ وَابْنِ عَبَّاسٍ قَالَ أَبو عِيسَى حَدِيثُ أَبِي هُرَيْرَةَ هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌا (الترمذي : الرضاع
อบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม สอนว่า "มุอ์มินที่มีศรัทธาสมบูรณ์ที่สุด ได้แก่ผู้ที่มีจรรยามารยาทงดงามที่สุดในหมู่พวกเขา และผู้ที่ดีที่สุดในพวกท่าน ได้แก่ผู้ที่มีจรรยามารยาทดีที่สุดต่อผู้หญิง(ภรรยา)ของพวกเขา" ...(อัตติรมิซี : อัรเราะฏออฺ.... หะสัน-เศาะเฮียะห์)
และอีกรายงานหนึ่ง คล้ายๆกัน บอกว่า ...
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ مَنِيعٍ الْبَغْدَادِيُّ حَدَّثَنَا إِسْمَعِيلُ ابْنُ عُلَيَّةَ حَدَّثَنَا خَالِدٌ الْحَذَّاءُ عَنْ أَبِي قِلَابَةَ عَنْ عَائِشَةَ قَالَتْ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّ مِنْ أَكْمَلِ الْمُؤْمِنِينَ إِيمَانًا أَحْسَنُهُمْ خُلُقًا وَأَلْطَفُهُمْ بِأَهْلِهِ وَفِي الْبَاب عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ وَأَنَسِ بْنِ مَالِكٍ قَالَ أَبو عِيسَى هَذَا حَدِيثٌ صَحِيحٌ ) الترمذي : االإيمان
จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ บอกว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม สอนว่า "แท้จริงจากบรรดามุอ์มินที่มีศรัทธาสมบูรณ์ที่สุดนั้น ได้แก่ผู้ที่มีจรรยามารยาทงดงามที่สุดในหมู่พวกเขา และสุภาพอ่อนโยน นุ่มนวลที่สุดต่อภรรยาของพวกเขา" ...(อัตติรมิซี : อัรเราะฏออฺ.... หะสัน-เศาะเฮียะห์)
อะไร อย่างไรคือ ดีที่สุด สุภาพ อ่อนโยน นุ่มนวลที่สุด? ... คำถามแบบนี้ เรื่องระหว่างสามี-ภรรยา เช่นนี้ คนที่จะบอกได้ว่า ดีหรือไม่ดี Satisfied พอใจหรือไม่ สอบผ่านหรือป่าว ก็ต้องผู้เป็นภรรยานั่นละครับที่จะตอบได้ดีที่สุด ภรรยาที่อยู่กินด้วยกัน หลับนอนปฏิบัติกิจด้วยกันนั่นแหละที่จะเป็นผู้ให้คะแนนได้ดีที่สุด และนั่นคือสิ่งที่สามีพึงสังวรณ์ว่าควรทำอย่างไรจึงจะผ่านเกณฑ์นั้นได้
แต่ขณะเดียวกันท่านนบีก็ปรามภรรยาไว้ด้วยเช่นกันว่า
حَدَّثَنَا مُسَدَّدٌ حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ عَنِ الْأَعْمَشِ عَنْ أَبِي حَازِمٍ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِي الله عَنْه قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا دَعَا الرَّجُلُ امْرَأَتَهُ إِلَى فِرَاشِهِ فَأَبَتْ فَبَاتَ غَضْبَانَ عَلَيْهَا لَعَنَتْهَا الْمَلَائِكَةُ حَتَّى تُصْبِحَ (البخاري : بدأالخلق
อบูฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม สอนว่า "เมื่อชายคนหนึ่งเรียกให้ภรรยาของเขามายังที่นอน แต่นางปฏิเสธ แล้วเขาก็ผ่านคืนนั้นไปด้วยความขุ่นเคือง มลาอิกะฮฺจะสาปแช่งนางไปจนกระทั่งรุ่งสาง" (บุคอรี)
อีกรายงานหนึ่งบอกว่า
حَدَّثَنَا ابْنُ أَبِي عُمَرَ حَدَّثَنَا مَرْوَانُ عَنْ يَزِيدَ يَعْنِي ابْنَ كَيْسَانَ عَنْ أَبِي حَازِمٍ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ مَا مِنْ رَجُلٍ يَدْعُو امْرَأَتَهُ إِلَى فِرَاشِهَا فَتَأْبَى عَلَيْهِ إِلَّا كَانَ الَّذِي فِي السَّمَاءِ سَاخِطًا عَلَيْهَا حَتَّى يَرْضَى عَنْهَا (مسلم : النكاح
อบูฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีชายคนใดที่เรียกให้ภรรยาของเขามายังที่นอน แล้วนางปฏิเสธบ่ายเบี่ยงเขา นอกจากพระผู้ทรงสถิตย์ ณ ชั้นฟ้าจะทรงขุ่นเคืองนางจนกว่าเขา(สามี)จะพอใจนาง" (มุสลิม : อันนิกาห์)
สามี-ภรรยา น่าจะเป็นมนุษย์สองคนที่คุยกันรู้เรื่องมากที่สุด เพราะคุยกันได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว แม้จะมาจากต่างพ่อต่างแม่ แต่เมื่อตกลงปลงใจที่จะร่วมหอลงโลง อยู่กินด้วยกันแล้ว อะไรที่พอใจร่วมกัน ชอบเหมือนๆกันก็คงไว้ต่อไป อะไรที่เห็นต่างกัน ชอบต่างกัน พอใจหรือไม่พอใจเรื่องไหนอย่างไร ก็ค่อยๆเปลี่ยน ค่อยๆปรับเข้าหากันตราบเท่าที่ไม่เป็นการฝ่าฝืนละเมิดบัญญัติ ตราบเท่าที่ไม่มีข้อห้ามจากอัลลอฮฺและรอซูล ย่อมคุยกันได้ ตกลงกันได้เสมอ สามีต้องการสิ่งใด ภรรยาทำให้ได้มั้ย ถ้าอึดอัดขัดใจก็อย่าฝืน อย่าหักหาญใจกัน ถนอมน้ำใจกันไว้ รักษาความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันไว้.... นั่นคือ ค็อยรุกุม - คนดีที่สุดในพวกท่าน
ฝ่ายภรรยา ถ้ายังไม่พร้อม ไม่สะดวก หรือติดขัดด้วยเรื่องใด ก็บอก ก็ชี้แจงกันได้ อย่าทำปั้นปึ่งหรือปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งรอเก้อ ขุ่นใจไปตลอดคืน เจรจากันซะ เพื่อว่าคืนนั้นจะได้ผ่านไปด้วยความเข้าใจและเห็นใจกัน เป็นความจำเริญ-บะเราะกัต-แก่ทั้งคู่ จะได้ไม่ตกอยู่ใต้คำประณามสาปแช่งจากมลาอิกะฮฺ เพราะในรายงานบอกว่า ถ้าเขาผ่านคืนนั้นไปด้วยความขุ่นเคืองมลาอิกะฮฺจึงจะสาปแช่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องคุยกันให้ดี รีบเคลียร์กันซะให้เข้าใจ ไม่ติดขัดขุ่นเคืองเรื่องใดข้ามคืน อย่าคิดว่าไม่จำเป็น ซึ่งฝ่ายชายเองก็ต้องเข้าใจและเห็นใจในความจำเป็นหรือความไม่พร้อมของภรรยาด้วยเช่นกัน อ่านหะดีษ อย่าเพิ่งด่วนสรุปตีความใดๆจากหะดีษเดียว ตัดอคติและอารมณ์ออกไปก่อน อ่านให้มาก ค้นคว้าเยอะๆ แล้วจึงค่อยนำรายงานต่างๆเหล่านั้นมาปะติดปะต่อและประมวลกันใหม่เพื่อให้ได้ solution ที่ดีที่สุด
สิ่งเหล่านี้ละครับ คือบทสรุปที่เราได้จากหะดีษที่มาช่วยชี้ชัดว่า อายะฮฺ
نِسَاؤُكُمْ حَرْثٌ لَكُمْ فَأْتُوا حَرْثَكُمْ أَنَّى شِئْتُمْ
บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223) นั้นมีความหมายอย่างไร และมีขอบเขตแค่ไหน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon Mar 21, 2005 7:45 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับ ที่คุณแมทท์เขาบอกว่า
"ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา .... (อายะฮฺ 2:223)เป็นโองการที่ประทานมา ลง มา เพื่อ อธิบาย ว่า เมื่อ ภรรยาหมด ประจำเดือน แล้ว ไม่เป็นที่ต้อง ห้าม ที่สามีจะหลับ นอน กับ ภรรยา เขา อย่าง ไร และ เมื่อ เวลา ใดก็ได้ แต่ต้อง ให้รำลึก อยู่ เสมอ ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า (หมายถึงห้าม การกระทำอะไร ที่ผิด ธรรมชาติ ของ การ ร่วมเพศ เพื่อมีผู้สืบเผ่าพันธ์ ของ มนุษย์)" (แมทท์ Tue Feb 22, 2005 9:27 pm) นั้น....
อะไรคือ "ผิดธรรมชาติของการร่วมเพศ" ???
ถ้าข้อความนั้นหมายถึง "ประตูหลัง" .... ก็แปลว่าเราเข้าใจตรงกันครับ เพราะเรามีหะดีษยืนยันว่าท่านนบีห้ามเช่นนั้น เช่นที่ท่านนบีอธิบายอายะฮฺนี้ว่า صِمَامًا وَاحِدًا หมายถึงช่องทางเดียวเท่านั้น (ติรมิซี กิตาบุตตัฟสีร - หะสัน เศาะเฮียะห์) คือทางอวัยวะเพศ ตามที่อ้างแล้วข้างต้น แล้วก็ยังมีรายงานอื่นอีก ...
عن خزيمة بن ثابت أن رسول الله صلى الله عليه وسلم نهى أن يأتي الرجل امرأته في دبرها ( رواه أحمد)
คุซัยมะฮฺ บินษาบิต รายงานว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามมิให้ผู้ชายเข้าหาภรรยาของเขาทางทวารหนัก (บันทึกโดย อะหฺมัด)
แต่ถ้าจะหมายถึงการเข้าถึงอวัยวะเพศจากทิศทางอื่นที่ไม่ใช่ front-to-front แล้วคุณมาโวยวายว่า ผิดธรรมชาติละก้อ.... อัลลอฮฺบอกแล้วครับ...أَنَّى شِئْتُمْ ... ตามที่พวกเจ้าประสงค์ อัลลอฮฺทรงอนุมัติเปิดทางให้ครับ เหตุใดจึงหาญกล้ามาปฏิเสธความเมตตาของพระองค์ ซึ่งอันนี้เป็น flexibility ของสรีระร่างกายมนุษย์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัวในท่าทางต่างๆ เท่าที่จะทำได้โดยไม่เป็นอันตราย (แต่อย่าลืมที่จะตกลงกันให้ดีเสียก่อนเพื่อรักษาสถานภาพ...ค็อยรุกุม(ผู้ที่ดีที่สุด)...อะหฺสะนุกุม คุลุก็อน(กิริยามารยาทงดงาม)... และ ... อัลเฏาะฟุกุม(นุ่มนวลละเมียดละมัย).) ซึ่งต่างจากสัตว์ทั้งหลายที่ทำได้เพียงในรูปแบบมาตรฐานอย่างเดียวเท่านั้นตามชนิดของมัน อัลลอฮฺทรงตรัสถึงการสร้างอันมหัศจรรย์สำหรับมนุษย์นี้ไว้ว่า
لَقَدْ خَلَقْنَا الْإِنسَانَ فِي أَحْسَنِ تَقْوِيمٍ
โดยแน่นอนยิ่ง เราได้สร้างมนุษย์มาในรูปลักษณ์ที่ดีเยี่ยม (95:4)
เขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงตำราภารตะโบราณ... กามสูตร(Kamasutra).... ซึ่งจะมีเนื้อหารายละเอียดอย่างไรไม่รู้ละนะ เท่าที่ทราบก็คือกล่าวถึงท่วงท่าการร่วมเพศในลักษณะต่างๆมากมายเป็นสิบเป็นร้อยท่า (ไม่รู้คิดกันมาได้งัยสิ) ที่อ้างถึงตำรานี้ก็เพียงเพื่อจะแสดงว่า มันมีท่าทางเพื่อการนี้อยู่มากมายที่เป็นไปได้ที่สรีระร่างกายมนุษย์เอื้ออำนวยที่จะพลิกแพลงไปได้ ไม่ได้หมายความว่าให้ไปเสาะหามาปฏิบัตินะครับ... โปรดเข้าใจด้วย เรากำลังคุยกันเรื่องวิชาการ
ที่เรากล้ายืนยันว่าอัลลอฮฺทรงอนุมัติท่วงท่าต่างๆ ตราบเท่าที่เป็นการปฏิบัติกิจที่อวัยวะเพศ เนื่องจากเรามีหะดีษยืนยันเช่นนั้น ซึ่งบทวิเคราะห์เรื่องวัตถุประสงค์ของ "ไร่นา" ในอายะฮฺ 2:223 ที่กล่าวไปข้างต้นก็คือสิ่งที่ประมวลได้จากข้อบ่งชี้จากหะดีษต่างๆเหล่านั้นนั่นเอง แต่ไม่ว่าใครจะพลิกแพลงสรรหาวิธีใดมาปฏิบัติ... อย่างปลอดภัย และนุ่มนวล ด้วยความยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย...ก็ตาม "บทอัศจรรย์ในที่รโหฐาน"ของใครคนใดคนหนึ่ง ก็มิใช่ประเด็นที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น Talk of the town ไม่ใช่ญัตติที่จะนำมาอภิปรายกันในสภากาแฟท้ายตลาด ไม่ใช่นวตกรรมใหม่ที่จะต้องนำมาเผยแพร่สู่สาธารณชน แต่จงเก็บมันไว้เป็นความอิ่มเอิบใจที่จะกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองให้แน่นแฟ้นตลอดไป นี่คือจรรยาที่เราได้เรียนรู้จากคำสอนในหะดีษของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม....
حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ حَدَّثَنَا مَرْوَانُ بْنُ مُعَاوِيَةَ عَنْ عُمَرَ بْنِ حَمْزَةَ الْعُمَرِيِّ حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ سَعْدٍ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا سَعِيدٍ الْخُدْرِيَّ يَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّ مِنْ أَشَرِّ النَّاسِ عِنْدَ اللهِ مَنْزِلَةً يَوْمَ الْقِيَامَةِ الرَّجُلَ يُفْضِي إِلَى امْرَأَتِهِ وَتُفْضِي إِلَيْهِ ثُمَّ يَنْشُرُ سِرَّهَا......مسلم : النكاح
อบูสะอีด อัลคุดรี กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอฺะลัยฮิวะสัลลัม สอนว่า "แท้จริงส่วนหนึ่งจากมวลมนุษย์ที่มีสถานภาพอันชั่วช้าเลวทรามที่สุดในทัศนะของอัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ คือ คนที่ใช้เวลาส่วนตัว(ร่วมเพศ)กับภรรยาของเขา และนางก็(มีความสุข)ร่วมกับเขา แล้วเขาก็ออกมาเปิดเผยความลับของนาง" (มุสลิม : อันนิกาห์)
ดูก่อน...ท่านผู้ยึดทัศนะความคิดเห็นแห่งตนเป็นสรณะ...กุรอานในยุคของเราก็คือฉบับเดียวกับที่บรรดาเศาะหาบะฮฺ ตาบิอีน และผู้ศรัทธาทั้งหลายในยุคแรกๆอ่านกัน ซึ่งบางคนที่ไม่ได้รับรู้รับทราบว่าท่านนบีอธิบายอย่างไร เขาอ่านอายะฮฺเดียวกันนี้ก็ยังเข้าใจไปเป็นอย่างอื่นได้เหมือนกัน ทั้งๆที่เขาพูดภาษาอรับ อ่านภาษาอรับเข้าใจดีกว่าเราหลายเท่าด้วยซ้ำ ดังตัวอย่างต่อไปนี้...
อิกริมะฮฺเล่าว่า ชายคนหนึ่งมาหาท่านอิบนิอับบาส และบอกว่า "ฉันเข้าหาภรรยาของฉันตรงทวารหนักของนางเพราะฉันได้ยินดำรัสของอัลลอฮฺทรงตรัสว่า 'บรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าก็คือไร่นาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด (2:223)' ฉันจึงคิดว่านั่นเป็นที่อนุมัติ(หะลาล)สำหรับฉัน"
ท่านอิบนิอับบาส กล่าวว่า "ลุเกียะอฺเอ๋ย ที่จริงดำรัสของพระองค์ที่ว่า 'ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด' นั้นหมายถึง ยืนก็ได้ นั่งก็ได้ ทางด้านหน้าก็ได้ หรือว่าทางด้านหลังก็ได้ แต่ว่าต้องที่(อวัยวะ)ส่วนหน้า(คือ อวัยวะเพศ)ของนางเท่านั้น เจ้าจงอย่าเลยเถิดไปเป็นที่อื่นจากตรงนั้น" (ตัฟสีร อิบนิกะษีร)
เห็นมั้ยครับ คนในยุคที่ใกล้ชิดท่านนบียังเข้าใจไปเป็นอย่างนั้นเลย ที่เขาเข้าใจไปอย่างนั้นก็ใช้หลักการเดียวกับคุณแมทท์นั่นละครับ คือ เอาทัศนะความคิดเห็นของตัวเองมาตีความอัลกุรอาน ห่างมาจนถึงสมัยเรา ถ้าไม่เอาหะดีษมาอธิบายกุรอาน จะเพี้ยนไปถึงไหน จึงอยากฝากคำถามกลับไปสักนิดว่า โดยที่เป็นที่เข้าใจกันดีว่า
สิ่งใดมีบัญญัติห้าม .... สิ่งนั้น อย่าทำ
สิ่งใดมีบัญญัติใช้ .... สิ่งนั้นห้ามทิ้ง
สิ่งใดไม่มีคำห้าม .... จะทำก็ได้
สิ่งใดไม่มีคำใช้ ....จะทิ้งก็ไม่เป็นไร
ดังนั้นถ้าปิดหูปิดตาจากหะดีษทั้งหมดแล้วไซร้ มีอายะฮฺไหนบ้างที่จะให้ความชัดเจนได้ว่า ห้ามเข้าหาภรรยาทางทวารหนัก ในเมื่ออายะฮฺนี้บอกแต่เพียงว่า "ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าหาไร่นาของพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด" ตรงไหนครับที่บอกว่า "ห้ามเข้าประตูหลัง" ???
وَاللهُ لَا يَسْتَحْيِي مِنَ الْحَقِّ
อัลลอฮฺมิทรงละอายต่อความจริง (33:53)
แล้วคุณแมทท์อับอายอันใดหรือ ที่อิสลามจะมีระเบียบปฏิบัติในแง่มุมต่างๆของชีวิตอย่างลึกซึ้งและรัดกุมขนาดนี้
และที่ลุงแมทท์บอกว่า ถ้าเอาหะดีษมาอธิบาย อัลกุรอานแล้ว จะทำให้ความหมายของอัลกุรอานไม่ตรงกับพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ น่ะ .... ถามจริงๆเถอะ.... ไม่ตรงพระประสงค์ของอัลลอฮฺ หรือว่า ไม่ถูกใจลุงแมทท์กันแน่
.(อย่าลืมนะครับ เราคุยกันเรื่องวิชาการ กรุณาอ่านด้วยวิจารณญาณ และพินิจพิเคราะห์ด้วยใจบริสุทธิ์ อย่าเอาความลามกสกปรกในจิตใจมาใช้ในการศึกษาอัลกุรอาน อัลหะดีษ)..
------------------ จบข้อ 1 ครับ ------------------ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
แคร็อธ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 24/02/2005 ตอบ: 5
|
ตอบ: Mon Mar 21, 2005 9:50 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ยังไงถ้าคุณ แม็ทจะตอบประเด็นฮะดีษก็อย่าลืม เรื่องนมาซนะครับ
กลัวมาก กลัวจะเฉไฉอีก เปิดช่องเป็นไม่ได้
ปล. อัสลามุอาลัยกุมคุณ AlGhuraba
ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะครับ เดี๋ยวถูกพาหลุดออกนอกประเด็นเหมือนเคย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Tue Mar 22, 2005 12:10 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
ขอบคุณครับ คุณ "แคเหลาะ" (ไม่ว่ากันนะ อยากได้มาฝากสักอัน...5555 )
ผมระวังอยู่แล้วครับ ไม่หลงออกนอกทางง่ายๆหรอก
เพราะฉะน้นตอนนี้คงต้องงดตอบประเด็นที่ list ไว้วันก่อนสักพักนะครับ เอาไว้ถ้าคุณแมทท์แกหา "กลีบเมฆ" ไว้แอบกำบังกายได้แล้ว เราค่อยมาเฉลยกันต่อ..อินชาอัลลอฮฺ
ดีใจนะครับที่เห็นลุงแมทท์กลับมา ทีนี้เห็นทีจะได้ฤกษ์เปิดคอร์สละหมาดกันจริงๆจังๆซะทีกระมัง เพราะลุงแมทท์...เอ๊ย...ต้องเรียก อาจานแมทท์แล้วสินะ ทั่นยืนยันหนักแน่นว่า.... เมื่อผมบอกว่าผมมีคำตอบ...ผมก็ต้องรักษาคำพูด เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลา เพราะทุก อย่างที่ หามา มัน ประติดประต่อกันยากหน่อย และเชื่อ ว่า ถ้าอธิบายมา ก็ คงไม่มี ผู้ใดใน เวบบี้ เห็นด้วย เพราะว่ายังมีความสงสัยในความสมบูรณ์ของอัลกุรอานอยู่ คำอธิบายจะเป็น อย่างไร บ้าง โปรด อดใจรอ
อินชาอัลลอฮฺ... ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ คงได้เอามาลง กระทู้ให้ดูกันครับ (รู้สึกคุ้นๆแฮะ สำนวนนี้ อิ อิ) แต่กว่าทั่นอาจานจะรู้สึกตัวว่าต้องรักษาคำพูดมันก็ผ่านไปนานโขแล้วนะ เฉพาะที่มรดกฯ นี่ก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนปี ย้อนกลับไปสมัย muslimthai.com อีกปีครึ่ง แต่อย่าบอกนะว่าตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมายังไม่ได้รวบรวม ไม่ได้ปะติดปะต่ออะไรไว้เลย เพราะหูยังอยู่ในนา ตายังอยู่ในไร่ ไม่รู้ไม่ชี้อะไร เป็นทองไม่รู้ร้อนมาตลอด จึงต้องมาขอเวลาเอาตอนนี้อีกสักสี่ส้าห้าปี !!!
ก็ดูเหมือนอาจานฯ จะอดไม่ได้นะที่จะต้องกล่าวหาปรักปรำคนอื่นอยู่เรื่อยว่า สงสัยในความสมบูรณ์ของอัลกุรอาน ทั้งๆไม่เคยปรากฏว่ามุสลิมคนใดสงสัยในความถูกต้องสมบูรณ์ของอัลกุรอานเลย มีแต่พวกฟาสิกและมุนาฟิกฺเท่านั้นที่จ้องจะกล่าวหาว่ามุสลิมสงสัยอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่เชื่อมั่นศรัทธาจริงอย่างพวกมัน และในที่นี้ก็มีแต่อาจานน่ะแหละที่หาว่าคนอื่นเขาสงสัยบ้าง ไม่รู้ไม่เข้าใจบ้าง ไม่เชื่ออย่างแท้จริงบ้าง ฯลฯ อะไรทำนองนี้ อาจานแมทท์อย่าเอาอย่างพวกฟาสิกมันสิครับ ไม่ดีหรอก แต่ก็เอาละเมื่ออาจานเปิดคอร์สสอนละหมาดแล้วผมก็ขอเข้ามาลงทะเบียนเรียนเป็นคนแรกเลยนะครับ...ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย แต่บอกซะก่อนนะครับ ผมมันเด็กมีปัญหา !
มีปัญหายังไง.... ก็ดูสิครับอาจานเข้ามางวดนี้จะตอบอะไรทั้งที ก้าวแรกมาก็พลาดเลยอ่ะ..... บรรดามุสลิม ส่วนใหญ่ มีความเข้าใจ ว่า ท่าน นะบีมูฮัมมัด เป็น ท่านแรก ที่ นำการ ละ หมาด ประจำ วันๆ ละ 5 เวลา มากำหนดให้ เป็น ข้อ ปฏิบัติ ใน ศาสนาอิสลาม, (matt Sun Mar 20, 2005 11:30 pm)
ส่วนใหญ่เชียวเหรอ??? .... ไม่ใช่มั้ง ถ้าใช้คำว่า บางท่าน อาจจะค่อยยังชั่วหน่อย เพราะไม่เห็นมีมัสญิดไหน โรงเรียนใดสอนอย่างที่อาจานกล่าวหานั่นเลย
แม้กระทั่ง... หากจะมีผู้คัดค้านในเรื่องนี้ว่า ท่านนะบีมูฮัมมัด เป็นผู้วางวิธีการปฏิบัติ การละหมาด เพราะ มีอยู่ ใน อะหะดีษของบุคอรีย์,(matt Sun Mar 20, 2005 11:30 pm)
ก็ไม่เคยเห็นใครเขาสอนอย่างที่ลุงใส่ความเลยครับ เพราะมุสลิมทั้งโลกเขาก็อ่านอัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺ 73 เหมือนกันว่า .... และเราได้แต่งตั้งพวกเขาให้เป็นผู้นำเพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องโดยคำสั่งของเรา และเราได้วะฮีแก่พวกเขาให้ปฏิบัติความดี และธำรงการละหมาด แล้วบริจาคทานซะกาตและพวกเขาก็เป็นผู้เคารพภักดีต่อเราเท่านั้น
กับอายะฮฺอื่นๆอีกมากมายที่บอกว่า ทุกๆนบีมีการละหมาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยมีใครสอนเลยว่าเพิ่งจะมีการละหมาดในยุคนบีมุฮัมมัด ทั้งละหมาด ทั้งถือศีลอด ซะกาต ฮัจญ์ .... มีมานานแล้ว จะว่าไปในหะดีษก็บอกว่า นบีอาดัมก็ละหมาดนะครับ เพราะนั้นอาจานอย่าเที่ยวกล่าวหาใครส่งเดชอย่างนั้นอีกนะ
แต่ตรงนี้สิ อาจานเข้าใจอะไรผิดไปหรือป่าว.... ตั้งแต่สมัยท่านนะบีอิรอฮิม เรื่อยลงมามา,บรรดา ผู้ซึ่งมีศรัทธาในพระองค์ อัลลอฮ์, รวม ทั้ง ท่าน นะบี และ ศาสนฑูต ท่านต่างๆ ได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม,และ ได้ทำการละหมาด, และ ปฏิบัติ หน้าทีทางศาสนา เช่น เดียว กับ การละหมาดตามที่ท่าน นะบีอิบรอฮิมปฏิบัติ (Matt : Sun Mar 20, 2005 11:30 pm) ซึ่งพิจารณาร่วมกับบทความดึกดำบรรพ์(ต้องใช้คำนี้นะ เพราะเก่าแก่นมนานกาเลมาแล้ว)ของอาจานที่สอนไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจานเข้าใจว่าการละหมาดเพิ่งเริ่มในยุคท่านนบีอิบรอฮีมเองเหรอครับ? ทำไมมันถึงได้หดจุ๊ดจู๋อยู่แค่นั้นล่ะครับ?
ดูนี่หน่อยนะครับ อาจานแมทท์
ไม่ใช่นบีอิบรอฮีมคนเดียวหรอกที่บอกประชาชาติของท่านว่า
وَإِبْرَاهِيمَ إِذْ قَالَ لِقَوْمِهِ اعْبُدُوا اللهَ وَاتَّقُوهُ
พวกท่านจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺและจงเกรงกลัวพระองค์เถิด (29:16)
นบีนูห์ นบีฮูด นบีศอและห์ นบีชุอัยบ์ ก็บอกเหมือนกันหมดว่า
يَا قَوْمِ اعْبُدُواْ اللهَ مَا لَكُم مِّنْ إِلَـهٍ غَيْرُهُ
หมู่ชนของฉันเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ พวกท่านไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้วนอกจากพระองค์เท่านั้น (7:59,65,73,85)
เรื่อยมาถึงนบีอีซา
وَقَالَ الْمَسِيحُ يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ اعْبُدُواْ اللهَ رَبِّي وَرَبَّكُمْ
อัลมะเสียะห์(อีซา)กล่าวว่า โอ้ลูกหลานอิสรออีลเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ - พระผู้เป็นเจ้าของฉันและของพวกท่านด้วย (5:72)
นอกจากนี้อัลลอฮฺยังทรงย้ำอีกว่า
وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَّسُولاً أَنِ اعْبُدُواْ اللهَ وَاجْتَنِبُواْ الطَّاغُوتَ
โดยแน่นอนยิ่ง เราได้แต่งตั้งรอซูลในทุกประชาชาติ(เพื่อมาสั่งกำชับ)ว่า ท่านทั้งหลายจงอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ และจงหลีกให้ห่างไกลจากฎอฆูต (16:36)
อิบาดะฮฺ น่ะไม่ใช่แค่การศรัทธา ใครๆก็รู้ แต่มันคือการแสดงออกด้วยการปฏิบัติเพื่อยืนยันถึงการยอมตนเป็นบ่าว เป็นการแสดงออกซึ่งศรัทธาที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจตามรูปแบบต่างๆที่อัลลอฮฺทรงให้รอซูลทุกท่านมาสั่งสอนทบทวนแก่ประชาชาติต่างๆบนหน้าแผ่นดิน การละหมาดก็คือรูปแบบหนึ่งในนั้น ส่วนจะใช้คำเรียกว่าอย่างไร นั่นก็เรื่องนึง จะมีรูปแบบเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่สำหรับแต่ละประชาชาติ นั่นก็อีกเรื่องนึง-วัลลอฮุอะอฺลัม อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง
อย่างไรก็ตามองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของมันคือ การสุญูด แล้วเราลองไป scan ดูประชาชาติต่างๆทั่วโลก ตั้งแต่ตะวันออก ญี่ปุ่น จีน ชาวหมู่เกาะต่างๆ เรื่อยมาถึง อินเดีย เมโสโปเตเมีย อาฟริกา ข้ามไปดูเจ้าของทวีปอเมริกาตัวจริง คือ อินเดียนแดงผู้ถูกพวกหน้าขาวปล้นชาติไป แล้วกวาดกลับลงมาซีกล่าง ดูอะบอริจินในออสเตรเลีย
ฯลฯ... ทุกประชาชาติเหล่านี้มีการสุญูดเป็นร่องรอยที่เหลืออยู่จากการอิบาดะฮฺที่สืบทอดมาแต่บรรพชนของพวกเขาทั้งสิ้น แม้ว่ารูปแบบอื่นๆและเนื้อหาสาระจะ distort ไปถึงไหนๆแล้วก็ตามที
ในซุเราะฮฺมัรยัม อัลลอฮฺทรงเล่าถึงบรรดานบีในยุคก่อนๆไว้มากมาย เรามาดูกันตั้งแต่ตรงที่เริ่มจากท่านนบีอิบรอฮีมนะครับ อัลลอฮฺตรัสว่า
وَاذْكُرْ فِي الْكِتَابِ إِبْرَاهِيمَ إِنَّهُ كَانَ صِدِّيقًا نَّبِيًّا {41}
إِذْ قَالَ لِأَبِيهِ يَا أَبَتِ لِمَ تَعْبُدُ مَا لَا يَسْمَعُ وَلَا يُبْصِرُ وَلَا يُغْنِي عَنكَ شَيْئًا {42}
يَا أَبَتِ إِنِّي قَدْ جَاءنِي مِنَ الْعِلْمِ مَا لَمْ يَأْتِكَ فَاتَّبِعْنِي أَهْدِكَ صِرَاطًا سَوِيًّا {43}
يَا أَبَتِ لَا تَعْبُدِ الشَّيْطَانَ إِنَّ الشَّيْطَانَ كَانَ لِلرَّحْمَنِ عَصِيًّا {44}
يَا أَبَتِ إِنِّي أَخَافُ أَن يَمَسَّكَ عَذَابٌ مِّنَ الرَّحْمَن فَتَكُونَ لِلشَّيْطَانِ وَلِيًّا {45}
قَالَ أَرَاغِبٌ أَنتَ عَنْ آلِهَتِي يَا إِبْراهِيمُ لَئِن لَّمْ تَنتَهِ لَأَرْجُمَنَّكَ وَاهْجُرْنِي مَلِيًّا {46}
قَالَ سَلَامٌ عَلَيْكَ سَأَسْتَغْفِرُ لَكَ رَبِّي إِنَّهُ كَانَ بِي حَفِيًّا {47}
وَأَعْتَزِلُكُمْ وَمَا تَدْعُونَ مِن دُونِ اللَّهِ وَأَدْعُو رَبِّي عَسَى أَلَّا أَكُونَ بِدُعَاء رَبِّي شَقِيًّا {48}
فَلَمَّا اعْتَزَلَهُمْ وَمَا يَعْبُدُونَ مِن دُونِ اللَّهِ وَهَبْنَا لَهُ إِسْحَاقَ وَيَعْقُوبَ وَكُلًّا جَعَلْنَا نَبِيًّا {49}
41 และจงรำลึกถึง(เรื่องราวของ)อิบรอฮีมที่อยู่ในคัมภีร์แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ เป็นนะบี
42 และจงรำลึกถึงเมื่อเขากล่าวแก่บิดาของเขาว่า โอ้พ่อจ๋า ทำไมท่านจึงเคารพบูชาสิ่งที่ไม่ได้ยินและไม่เห็น และไม่ให้ประโยชน์อันใดแก่ท่านเลย ?
43. โอ้พ่อจ๋า แท้จริงความรู้ได้มีมายังฉันแล้ว ซึ่งมิได้มีมายังท่าน ดังนั้น จงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉันเถิด ฉันจะชี้แนะท่านสู่ทางที่ราบรื่น
44. โอ้พ่อจ๋า ! อย่าเคารพบูชาชัยฏอนเป็นอันขาด แท้จริงชัยฏอนนั้นมันดื้อรั้นต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี
45. โอ้พ่อจ๋า ! แท้จริง ฉันกลัวว่าการลงโทษจากพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะประสบแก่ท่านแล้วท่านก็จะเป็นสหายของชัยฎอน
46. เขา (บิดา) กล่าวว่า เจ้ารังเกียจพระเจ้าทั้งหลายของฉันกระนั้นหรือ โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย ! หากเจ้าไม่หยุดยั้ง (จากการตำหนิ) แน่นอนฉันจะขว้างเจ้า (ด้วยก้อนหิน) และเจ้าจงไปให้พ้นจากฉันตลอดไป
47. เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า ขอความศานติจงมีแด่ท่าน ฉันจะขออภัยโทษจากพระเจ้าของฉันให้แก่ท่าน แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตากรุณาแก่ฉันมาก
48. และฉันจะปลีกตัวออกจากพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์ และฉันจะวิงวอนขอพระเจ้าของฉัน หวังว่าด้วยการวิวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน จะไม่ทำให้ฉันได้รับความทุกข์
49. ครั้นเมื่อเขาปลีกตัวออกไปจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคารพบุชาอื่นจากอัลลอฮ์แล้ว เราได้ให้แก่เขา อิสฮาก และยะอ์กูบ และแต่ละคนเราได้แต่งตั้งให้เป็นนะบี (19:41-49)
แล้วก็มาถึงนบีมูซา
وَاذْكُرْ فِي الْكِتَابِ مُوسَى إِنَّهُ كَانَ مُخْلَصًا وَكَانَ رَسُولًا نَّبِيًّا {51}
وَنَادَيْنَاهُ مِن جَانِبِ الطُّورِ الْأَيْمَنِ وَقَرَّبْنَاهُ نَجِيًّا {52}
وَوَهَبْنَا لَهُ مِن رَّحْمَتِنَا أَخَاهُ هَارُونَ نَبِيًّا {53}
51 และจงรำลึกถึง(เรื่องราวของ)มูซาที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ได้รับคัดเลือก และเขาเป็นร่อซูลเป็นนะบี
52. และเราได้ร้องเรียกเขาจากทางด้านขวาของภูเขาฎูร และเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ
53. และเราได้ประทานความเมตตาของเราแก่เขา คือพี่ชายของเขา ฮารูน เป็นนบี (19:51-53)
กลับมาที่นบีอิสมาอีล..
وَاذْكُرْ فِي الْكِتَابِ إِسْمَاعِيلَ إِنَّهُ كَانَ صَادِقَ الْوَعْدِ وَكَانَ رَسُولًا نَّبِيًّا {54}
وَكَانَ يَأْمُرُ أَهْلَهُ بِالصَّلَاةِ وَالزَّكَاةِ وَكَانَ عِندَ رَبِّهِ مَرْضِيًّا {55}
54 และจงรำลึกถึง(เรื่องราวของ)อิสมาอีลที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อสัญญา และเขาเป็นร่อซูลเป็นนะบี
55. และเขาใช้หมู่ญาติของเขาให้ปฏิบัติละหมาดและจ่ายซะกาต และเขาเป็นที่โปรดปราน ณ ที่พระเจ้าของเขา (19:54-55)
ตรงนี้เราเจอคำว่า ละหมาด แล้ว ก็แน่ละครับเพราะนบีอิสมาอีลท่านเป็นลูกของนบีอิบรอฮีม แต่ดูต่อไปนะครับ อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงนบีอีกท่านหนึ่งที่มาก่อนนบีอิบรอฮีมตั้งไม่รู้กี่ศตวรรษ
وَاذْكُرْ فِي الْكِتَابِ إِدْرِيسَ إِنَّهُ كَانَ صِدِّيقًا نَّبِيًّا {56}
56 และจงรำลึกถึง(เรื่องราวของ)อิดรีสที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ เป็นนบี (19:56)
แล้วอัลลอฮฺก็ทรงสรุปว่า
أُوْلَئِكَ الَّذِينَ أَنْعَمَ اللَّهُ عَلَيْهِم مِّنَ النَّبِيِّينَ مِن ذُرِّيَّةِ آدَمَ وَمِمَّنْ حَمَلْنَا مَعَ نُوحٍ وَمِن ذُرِّيَّةِ إِبْرَاهِيمَ وَإِسْرَائِيلَ وَمِمَّنْ هَدَيْنَا وَاجْتَبَيْنَا إِذَا تُتْلَى عَلَيْهِمْ آيَاتُ الرَّحْمَن خَرُّوا سُجَّدًا وَبُكِيًّا {58}
58 ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ซึ่งอัลลอฮฺทรงโปรดปรานพวกเขาให้เป็นนบี ที่มีเชื้อสายมาจากอาดัม และจากเชื้อสายผู้ที่เราได้บรรทุกไว้ในเรือกับนูห์ และจากเชื้อสายของอิบรอฮีม และอิสรออีล และจากเชื้อสายผู้ที่เราได้ชี้แนะทางและเราได้คัดเลือกไว้ เมื่อบรรดาโองการของพระผู้ทรงกรุณาปรานีถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาจะก้มลงสุญูด และร้องไห้ (19:58)
ชนเหล่านั้น หมายถึงใครครับ? ก็คือ บรรดานบีที่กล่าวไว้ในอายะฮฺก่อนหน้านั้น อันได้แก่ นบีอิบรอฮีม นบีอิสหาก นบียะอฺกูบ นบีมูซา นบีฮารูน และนบีอิดรีสก็ด้วย ที่พวกเขาสุญูดและร้องไห้ ใช่แต่เท่านั้น ยังรวมถึงบรรดาคนศอและห์ทั้งหลายที่สืบเชื้อสายเรื่อยมาตั้งแต่นบีอาดัม และที่เหลืออยู่หลังจากนบีนูห์ ทั้งหมดเหล่านี้พวกเขาต่างก็ สุญูด ด้วยกันทั้งนั้น
หรือถ้าจะพยายามดึงดันศีรษะชนกะลา เอ๊ย...ลืมอีกละ..ชนฝา! ว่านั่นแค่สุญูด ไม่ได้บ่งบอกว่าพวกเขาละหมาดกัน ก็มาดูในอายะฮฺต่อไปครับ
فَخَلَفَ مِن بَعْدِهِمْ خَلْفٌ أَضَاعُوا الصَّلَاةَ وَاتَّبَعُوا الشَّهَوَاتِ فَسَوْفَ يَلْقَوْنَ غَيًّا {59}
ภายหลังจากพวกเขา คนรุ่นชั่วก็ได้สืบต่อมา พวกเขาได้ทิ้งละหมาด และปฏิบัติตามความใคร่ ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ (19:59)
แปลว่าอะไรครับ? แปลว่ารุ่นก่อนๆน่ะเขาละหมาดกันมาทั้งนั้นตั้งแต่นบีอาดัมแล้ว อัลลอฮฺถึงได้บอกว่าพวกชั่วๆรุ่นหลังของแต่ละนบีนั้นมันมาทิ้งกันเอง... ไม่ใช่หรือ?
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อาจานแมทท์ก็กรุณาอย่ามั่วส่งเดชอีกว่าเพิ่งจะมามีการละหมาดกันก็ในยุคนบีอิบรอฮีมนี่เอง เยาวชนตาดำๆ ลูกเล็กเด็กแดงจะเป็นงงไม่รู้จบกับการบิดเบือนอิสลามแบบนี้ เพราะศาสนานี้คือศาสนาเดียวกับที่อัลลอฮฺทรงสร้างนบีอาดัมมาให้อิบาดะฮฺต่อพระองค์เช่นกัน
وَمَا خَلَقْتُ الْجِنَّ وَالْإِنسَ إِلَّا لِيَعْبُدُونِ
และข้าไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อให้อิบาดะฮฺต่อข้าเท่านั้น (51:56)
และอาดัมมิใช่หรือที่เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ทำการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺตามบัญชาของพระองค์?
-------------------------------------------
เรื่อง ละหมาดนี้ใครเริ่ม.... ผมมีเพียงเท่านี้ครับ ถ้าอาจาน มีอะไรคัดค้านก็เชิญได้ครับ ยินดีรับพิจารณา
ถ้าไม่มี ก็แปลว่า เรายอมรับเรื่องนี้ตรงกันในจุดแรก
และถ้าเช่นนั้น ผมขอทวงของเก่าวันก่อนอีกทีกันลืมครับว่า รู้ได้งัยว่าต้องละหมาดวันละ 5 เวลา? (หมายความว่า เลข 5 เนี่ย มาจากอายะฮฺไหนในอัลกุรอานครับ..ต้องย้ำอย่างนี้ เพราะอาจานมักจะเข้าใจอะไรยากจัง).... ขอบคุณ และกู๊ดไนท์ ของให้อาจานแมทท์ นอนหลับฝันดี
ราตรีสวัสดิ์ครับ
-------------------
อัลฆุเราะบาอ์ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Thu Mar 24, 2005 2:03 am ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
คุณแมทท์ลองไปท้า dr.Zakir ที่ IRF ดูนะครับ
ลองท้าโต้วาทีกับเค้าดู
www.irf.net |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Fri Mar 25, 2005 5:50 pm ชื่อกระทู้: Re: มรดกอิสลาม.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) |
|
|
วันนี้ฝนตกที่ กอทอมอ
คุณ nop ว่าแถวเมกาจะมี "กลีบเมฆ" ก่อตัวป่าวคับ?
กัวจัง .... กัวอดเรียนละหมาด อ่ะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|
|
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้ คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้ คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
Powered by phpBB
ฉ 2001, 2002 phpBB Group
|