ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
NADEYAZA มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 19/08/2010 ตอบ: 39
|
ตอบ: Tue Sep 07, 2010 9:14 am ชื่อกระทู้: มุสลีมะห์แต่งหน้าบาบใหมคะ |
|
|
ทาแป้ง(แป้งตลับ)ทาปากเขียนคิ้วทำใด้ใหมคะ อ้อเขียนขอบตาดำบาบใหมคะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
shabab มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 16/07/2008 ตอบ: 303
|
ตอบ: Tue Sep 07, 2010 10:57 pm ชื่อกระทู้: Re: มุสลีมะห์แต่งหน้าบาบใหมคะ |
|
|
NADEYAZA บันทึก: | ทาแป้ง(แป้งตลับ)ทาปากเขียนคิ้วทำใด้ใหมคะ อ้อเขียนขอบตาดำบาบใหมคะ |
อัสลามุอาลัยกุม วาเราะมาตุลลอฮ
กรณีในที่สาธารณะ
ทาแป้งได้ไหม ได้ แต่อย่าให้เยอะ จนดูสวยกว่าปกติแล้วสะดุดตาชาย
ทาปากได้ไหม ได้ แต่อย่าให้เห็นว่ามีการทาปากด้วยสีใดๆๆ เว้นแต่ ลิปมัน เพื่อไม่ให้ริมฝีปากแห้งแล้วเป็นที่สะดุดตาชาย
เขียนคิ้วได้ไหม ไม่ได้ เพราะย่อมเห็นชัดเจนว่ามีการตกแต่งบนใบหน้า แล้วเป็นที่สะดุดตาชาย
ขอบตาดำ ได้ ด้วยชูนมา แต่ก็อย่าทำให้ดูเด่น สวย และเป็นที่ดึงดูดเพศตรงข้าม
กรณีต่อหน้าสามี
ทาโน้น ทานี้ ให้ดู สวย ดูดี ให้สุดๆๆไปเลย เพราะเมื่อสามีมองแล้ว สามีเย็นตา เย็นใจ ชื่นชม ชื่นชอบ หญิงก็ได้ผลบุญ
--------------------------
อิสลาม ปกป้องเกียรติของสตรีอย่างเข้มงวด เพื่อมิให้ ใครก็ไม่รู้ ที่ไม่ใช่ มะหรอมของเรา เค้านั้น มอง วิจารณ์ และชื่นชม แทะโลมสตรีคนๆหนึ่ง ทุกคน
อ่านดูนะครับ ว่าอิสลาม ปกป้องสตรี ขนาดไหน
ตะบัรรุจญฺ - การอวดโฉม
นิยามและความเสียหาย
อบู ฮัมซะฮฺ เรียบเรียง
ความหมายของ ตะบัรรุจญฺ ปรากฏใน กอมูส (ปทานุกรม) คือ การที่หญิงสาวผู้หนึ่งได้อวดเครื่องประดับ และความสวยงาม(ของเรือนร่างและเสน่ห์ของนาง)แก่ชายอื่นที่ไม่ใช่สามีของนาง
ท่านอิหม่ามบุคอรียฺ ได้ให้ความหมายของคำว่า อัตตะบัรรุจ ว่า การที่สตรีนำเอาส่วนสวยงามของนางมาแสดง
อัลกรุอาน ได้พูดถึง ตะบัรรุจญฺ ด้วยคำสั่งห้ามมิให้มุอฺมินะฮฺ (หญิงผู้ศรัทธา) ลอกแบบการตะบัรรุจญฺของผู้หญิงในยุคก่อนอิสลาม ยุคญาฮิลิญะฮฺ)ไว้ว่า
และจงอย่าได้อวดความงาม(ของพวกเธอ) เช่นการอวดความงาม (ของพวกสตรี)แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน (อัลกุรอาน 33:33)
ท่านอิหม่าม มุญาฮิด ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า คือการที่ผู้หญิงได้เดินออกไปนอกบ้านและปะปนกับกลุ่มผู้ชาย
นอกจากนี้อิสลามยังได้ห้ามสตรีมุสลิมจากการกระทำต่อไปนี้อีกด้วย
-- การที่เธอไม่สวมผ้าคลุมศรีษะ (หิญาบ) หรือแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่สามารถปกปิดเอาเราะฮฺ (เรือนร่างของเธอเว้นแต่ใบหน้าและฝ่ามือ)ของเธอได้
-- เธอสวมหิญาบแล้วแต่หิญาบของเธอไม่ยาวพอที่จะปิดส่วนคอและหน้าอก เพราะหิญาบนั้นมิใช่เพื่อปกปิดศีรษะเท่านั้น
-- การที่เธอนำเอาทองคำ ,อัญมณีต่างๆ มาประดับกายจนมองเห็นได้อย่างเปิดเผยจากภายนอก (มีทัศนะยกเว้นเครื่องประดับที่อย่างไรก็ต้องเห็นจากภายนอกเช่น แหวน)
-- แม้ว่าเครื่องประดับต่างๆของเธอเช่นกำไล สร้อยคอ ต่างหู จะซ่อนอยู่หลังเสื้อผ้า แต่หากว่าการเคลื่อนไหวด้วยการเดินหรือวิ่ง ทำให้คนอื่นได้ยินเสียงของเครื่องประดับเหล่านั้น ดังปรากฏในอัล กุรอานว่า
และอย่าให้พวกเธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ (อัลกุรอาน 24:31)
ท่านอิบนุกะษีร ได้อธิบายความหมายของอายะฮฺนี้ว่า ผู้หญิงในยุคญาฮิลิยะฮฺ นางเดินไปตามถนนโดยสวมกำไลข้อเท้า แต่ไม่มีใครรู้ เมื่อผ่านหน้าผู้ชาย พวกเธอก็กระทืบเท้าเพื่อให้พวกเขาได้ยินเสียงของกำไลของพวกเธอ
-- การที่เธอสวมหิญาบแล้วแต่หิญาบของเธอได้กลายเป็นเครื่องประดับโดยตัวของมันเอง เพราะการที่เธอนำเอาแฟชั่นไปประยุกต์ หรือเธอนำเอาเครื่องประดับอัญมณีอื่นๆเข้าไปเสริมแต่ง จนทำให้ดวงหน้าของเธอโดดเด่น มีเสน่ห์ ชวนให้น่ามองเมื่อได้สวมมัน
-- เธอได้ดัดเสียงของเธอให้อ่อนหวานจนเกินงาม เพราะน้ำเสียงที่ออดอ้อนของเธอมีผลให้เกิดความปั่นปวนในใจของบุรุษได้ง่าย ดังนั้นการพูดเสียงเล็กเสียงน้อยก็เป็นข้อห้ามเช่นกัน ดังปรากฏในอัล กุรอานว่า
เธอทั้งหลายจงอย่าพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน มิเช่นนั้นผู้ที่หัวใจของเขามีโรคก็จะมีความปรารถนาในตัวนาง (อัลกุรอาน 33:32)
-- การที่เธอพรมน้ำหอมจนมีกลิ่นโชยออกไป และมีเจตนาให้ผู้อื่นได้กลิ่นนั้น ดังปรากฏในหะดีษที่ว่า
สตรีคนใดที่ใส่น้ำหอมแล้วนางออกจากบ้าน และเดินผ่านชนกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาได้กลิ่นของนาง นางคือหญิงที่ทำซินา รายงานโดย อัน-นาสาอียฺ
อิสลามมิใช่ศาสนาที่มุ่งเอาแต่จ้องจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษด้วยการโบยหรือการขว้าง แต่เป็นศาสนาที่วางแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยการป้องกันเป็นสำคัญ ซึ่งสิ่งนี้ประจักษ์ได้ด้วยการมองอย่างไม่อคติ
ดังนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าสถิติอาชญากรรมทางเพศในสังคมตะวันตกที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวนั้นเป็นเพราะกรอบความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายได้ถูกทลายลงมาในนามสิทธิสตรีและความเสมอภาคระหว่างสองเพศ ผู้หญิงได้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ควรไปอยู่ ...
เป็นสังคมที่มีการปะปนกันอย่างเสรีทั้งชายและหญิงในที่ทำงาน โรงเรียน รวมถึงค่านิยมที่เรียกร้องให้ผู้หญิงตามแฟชั่นเสื้อผ้าที่แข่งขันกันเปิดเอาเราะฮฺ
เป็นสังคมที่ติดตามด้วยการสนับสนุนความชั่วนี้อย่างบ้าคลั่งของสื่อต่างๆด้วยการผลิตภาพยนตร์ รายการในทีวี นิตยสาร ที่แฝงด้วยยาพิษในเรื่องเพศจนเป็นเรื่องธรรมดาไปทั่วโลก... จนสามารถกล่าวได้ว่า เด็กชายคนหนึ่งหากเขานั่งดูทีวีสัก 15 นาที หรือเขากวาดสายตาที่แผงหนังสือหน้าปากซอย ความสะอาดของจิตใจของเด็กคนนั้นจะถูกทำร้ายอย่างแน่นอน
วิถีชีวิตของผู้ที่บูชาวัตถุช่างห่างไกลจากแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เสียเหลือเกิน ซัยยิด กุฏบฺ เมื่อครั้งได้ไปเยือนอเมริกาและได้เห็นความเสียหายของสังคมที่นั่น ท่านยิ่งเกิดความเชื่อมั่นเป็นเท่าทวีคูณว่า อิสลามเท่านั้นคือ ทางแห่งสัจจะที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์
บทความชิ้นนี้ ขอจบด้วยวจนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่แสดงให้เห็นถึงการป้องกันปัญหาเสื่อมเสียด้านศีลธรรมทางเพศ ด้วยการวางกรอบความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอย่างรัดกุม
มิใช่ดอกหรือ ที่ชายจะไม่อยู่กันตามลำพังกับหญิงสาว เว้นแต่ชัยตอนจะเป็นบุคคลที่สามของพวกเขา (รายงานโดยอัต ติรมิซียฺ)
-----------------------------
วัสลามุอาลัยกุม วาเราะมาตุลลอฮ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
NADEYAZA มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 19/08/2010 ตอบ: 39
|
ตอบ: Wed Sep 08, 2010 11:27 am ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|