ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
AntiRafidah มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 05/06/2009 ตอบ: 120
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 11:49 am ชื่อกระทู้: |
|
|
israya บันทึก: |
ระหว่างพวกคุณกับผม ในเรื่องนี้ ใครกันแน่ครับ ที่ลบหลู่ดูแคลนท่านอุมัร ? ใครกันแน่ที่ยกย่องท่านอุมัร
ขณะที่เหตุผลของคุณ หมายถึงว่า ท่านอุมัร เป็นคนไม่รู้คำสั่งห้ามของท่านนบี ไม่ได้ออกรบกะเขา ขนาดห่างนานถึง ๑๕ ปี ผ่านสมัยอะบูบักร์ก็แล้ว ก็ยังไม่รู้ข่าวรู้คราวเรื่องห้ามมุตอะกับใครเขาบ้างเลย ส่วนผมเองนั้น ตรงนี้ผมถือว่า ต้องให้คะแนนท่านอุมัร เพราะท่านเก่งกล้า และสามารถยิ่งนัก ที่หาญประกาศห้ามในสิ่งที่ท่านรอซูลเคยอนุญาตได้ จึงถามว่า ผมหรือคุณที่ลบหลู่ท่านอุมัร ?
|
ให้ทุกท่านอ่านแล้วพิจารณากันเอง ว่ารอฟิเฎาะทายาทซีฟัตมูนาฟิกตัวนี้
สันด...นมันยกย่องท่านอุมัรจริงหรือไม่?
เราเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของมันได้อีกครั้งแล้ว
และรอฟิเฎาะ israya เคยเขียนไว้ว่า
israya บันทึก: |
เรื่องการนิกาห์ มุตอะ ที่ว่าถูกยกเลิกแล้วนั้น เป็นความเข้าใจตรงกัน ตามหลักฐานที่มีในตำราฮะดีษของแต่ละฝ่าย ทั้งซุนนี ชีอะ แต่ในส่วนของตำราชีอะนั้น นอกจากจะมีฮะดีษบอกว่ายกเลิกแล้ว ยังมีฮะดีษที่บอกว่า มุตอะยังเป็นสิ่งอนุญาตให้กระทำได้อยู่ด้วย (ในภาวะที่จำเป็น)
บรรดาอุละมาฮะดีษได้ตรวจสอบฮะดีษเหล่านั้นแล้ว จึงได้สรุปออกมาเป็นคำฟัตวาว่า นิกาห์มุตอะ เป็นที่อนุมัติในอิสลาม เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยใดๆอีก นี่คือคำตอบในส่วนของคำถามที่สงสัย ต่อตำราของฝ่ายชีอะ
|
ก็ถ้างั้นนักอุลามาฮะดีษของรอฟิเฎาะชีอะห์ก็ไม่หาญกล้าต่อท่านนบี และอิมามของพวกเขากระนั้นหรือ
ในเมื่อการนิกะมุตอะนั้นมีรายงานยกเลิกมุตอะที่ถูกต้องจากท่านนบี(ซ.ล) รายงานโดยท่านอาลี (ร.ฎ) จริง
แต่กลับวินิฉฉัย ให้นิกะมุตอะที่ถูกยกเลิกโดยท่านนบี รายงานโดยอิมามคนเเรกของพวกเขาเอง กลับมาให้กระทำได้?
ทำไมในเเวงวงผู้รู้ของรอฟิเฎาะชีอะห์ถึงได้สับสนและหาญกล้ากันเช่นนี้? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 11:56 am ชื่อกระทู้: |
|
|
Israya กล่าวว่า
ขอทำความเข้าใจในเรื่องส่วนตัวกันก่อน พวกคุณกรุณาอย่าได้เข้าใจว่า ผมเกลียดท่านอุมัร ผมไม่มีสิทธิเกลียดท่าน และไม่ได้ชิงชังท่านด้วยอารมณ์ส่วนตัว และไม่จำเป็นอะไรที่ผมจะต้องอคติต่อท่านอย่างอธรรม นี่คือความสัจจริง
ดูเหมือนชีอะฮ์จะเคารพรักและนับถือท่านอุมัรซะเหลือเกิน แต่คำพูดของพวกสับปลับนั้นหาแก่นสารอะไรไม่ได้ นอกจากคำหวานที่หลอกให้ผู้อื่นเคลิ้มไปชั่วขณะ แต่การโกหกมันปิดกันไม่มิด ในที่สุด Israya ก็กล่าวว่า
จนกระทั่งได้มีการปลอมฮะดีษขึ้นมาเพื่อปกป้องการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของท่านอุมัรที่ประกาศเป็นคนสั่งห้ามนิกาห์มุตอะเอง
ความจริง ก็เป็นเรื่องปกติอีกเรื่องหนึ่งของนักรายงานฮะดีษที่อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ปกครองอยู่แล้วที่จะต้องกระทำอย่างนั้นเสมอ
ผมไม่แปลกใจกับการพลิกลิ้นของชีอะฮ์ เนื่องจากหลัก ตะกียะห์ หรือการโกหกแล้วได้บุญ ถือเป็นบรรทัดฐานในศาสนาของพวกเขา เพราะฉะนั้นลิ้นของพวกเขาจึงมีหลายแฉก
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 11:59 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คนที่หัวใจสะอาดบริสุทธิ์นั้น เวลาได้รับคำท้วงติงในเรื่องข้อผิดพลาดเขาก็จะแก้ไข ไม่ดึงดันในความผิด เพราะพฤติกรรมเช่นนี้เป็นของอิบลีส
ก่อนหน้านี้ผมได้ชี้แจงแล้วว่า ชีอะฮ์รีบร้อนที่จะกลบเกลื่อนจึงไปคว้าเอาตัวบทเรื่อง มุตอะตุ้ลฮัจญ์ หรือ การทำฮัจญ์ตะมัตตัวอ์มาเป็นหลักฐานเรื่องนิกะห์มุตตอะฮ์ และเพิ่มเติมข้อความในตัวบทฮะดีสคือ
عن عمران بن حصين رضي الله تعالى عنه قال نزلت آية المتعة في كتاب الله ففعلناها مع رسول الله صلى الله عليه وسلم ولم ينزل قرآن يحرمه ولم ينه عنها حتى مات قال رجل برأيه ما شاء قال محمد يقال انه عمر
แต่แทนที่ Israya จะรับผิดจากการกระทำของตนเอง กลับโยนความผิดไปให้ผู้อื่นอย่างไม่มียางอาย มาวันนี้เขาก็แอบเอาต้นเดิมมาอ้างเป็นหลักฐานอีก ดังที่ปรากฏ
ผมไม่เห็นว่าคนเหล่านี้จะสำเหนียกในความผิดที่กระทำ ไม่ว่าจะเป็นการโกหกกล่าวเท็จต่อท่านนบี หรือการนำเอาฮะดีสมาบิดเบือน, การพลิกลิ้นโกหกตลบตะตะแลง เหมือนกับการกระทำเยี่ยงนี้เป็นความสนุกสนานของพวกเขา
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AntiRafidah มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 05/06/2009 ตอบ: 120
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 12:02 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
dabdulla บันทึก: | สวัสดีครับ คุณ israya
จากนั้นอัล-ญัสซาสได้พูดถึงท่านอิบนฺ อับบาส เนื่องจากท่านตีความว่าอายะฮฺ 4:24 เกี่ยวข้องกับการทำมุตอะฮฺ อัล-ญัสซาสระบุว่า เมื่อท่านอิบนฺ อับบาสได้ยินว่าคำชี้ขาดของท่านทำให้มีคนทำมุตอะฮฺกันอย่างตะกละมูมมาม ท่านจึงกล่าวว่าท่านอนุญาตการทำมุตอะฮฺเฉพาะตามความจำเป็นเท่านั้น เหมือนกับกรณีของซากสัตว์ เลือดและเนื้อสุกรซึ่งอนุญาตให้บริโภคได้เมื่อมีความจำเป็นจริงๆ และตามรายงานของญาบิรฺ บิน ซะอิดระบุว่า ท่านอิบนฺ อับบาสได้ถอนคำพูดของท่านที่ท่านเคยพูดเกี่ยวกับมุตอะฮฺและริบาอฺ( ดอกเบี้ย ) เรื่องนี้ยังได้รับการพิสูจน์จากรายงานของอฺะตะ อัล-คุเราะซานีย์ว่า ท่านอิบนฺ อับบาสได้กล่าวว่า อายะฮฺเกี่ยวกับมุตอะฮฺถูกยกเลิกโดยอายะฮฺอีกอายะฮฺที่มีใจความว่า " เมื่อเจ้าจะหย่าภรรยา ก็จงหย่าพวกนางตามกำหนด( อิดดะฮฺ )ของพวกนาง " ( 65:1 ) กำหนดของพวกนาง ณ ที่นี้ หมายถึงสภาวะที่สะอาด( หรือไม่มีประจำเดือน )และไม่ได้ตั้งครรภ์
โอเคครับ สมมุตว่าในสมัยท่านอูมัร ไม่มีใครกล้าค้าน แต่หลังจากท่านอูมัรแล้ว
ท่านอาลีขึ้นดำรงตำแหน่ง ท่านอาลีก็ยังคงดำรงไว้ซึ่งแนวทางของท่านอูมัร เพราะ
จากท่านอาลี บุตรของ อบีตอเล็บรายงานว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ได้ห้ามมุตอะฮ์สตรีในวันคอยบัร และห้ามกินเนื้อลาบ้าน ซอเฮียะฮ์มุสลิม กิตาบุ้ลนิกะฮ์ ฮะดีษที่ 29
ที่ท่านกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ฮะดิษปลอมนั้น ท่านนบีจะหมายถึงฮะดิษในฝั่งของชีอะห์นะครับ
เพราะบรรดานักวิชาการทั้งหมดต่างลงความเห็นว่า ฮะดิษซอเฮียะห์ของอีหม่ามบุคอรีและมุสลิม
มีความถูกต้องเป็นอันดับสองรองจากกุรอ่าน |
ก็ท่านอาลี (ร.ฎ) ได้รายงานห้ามมุตอะจากท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) ตามที่ท่านอุมัรสั่งห้ามตามนบีไปแล้ว
คุณก็น่าจะยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นได้แล้วนะครับ ทำไมยังดื้อดึงอยู่กับนัฟซูตัวเองอีก?
บรรดาคอลีฟะฮฺ เขาก็ลงมติเป็นเอกฉันท์กันว่ามุตอะนั้นถูกห้ามไปแล้ว
แต่เห็นก็มีแต่คุณที่หื่นกระหาย อยากจะมุตอะผู้หญิงแล้วไม่รับผิดชอบให้ได้
และดูท่าทางวันนี้ ก็คงไม่มีอายะมุตอะจากอัลกุรอานที่แจ้งชัดและเปิดเผยจากรอฟิเฎาะ israya ตามเดิม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 12:02 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ชีอะอ์ตะโกนถามว่า ใครเป็นคนห้ามนิกะฮ์มุตอะฮ์ แล้วเขาก็พุ่งเป้าไปที่ท่านอุมัร เพื่อชี้ให้คนอื่นเห็นว่า ท่านอุมัรนี่แหละเป็นคนห้ามคนแรกเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยคำสั่งห้าม แล้วก็สรุปว่าเป็นการวินิจผิดพลาดของท่านอุมัร
ก่อนที่จะเจาะกันว่าใครเป็นผู้ห้ามนิกะฮ์มุตอะฮ์ ก็อยากให้ชีอะฮ์ทบทวนหลักฐานในตำราของชีอะฮ์เองสักหน่อยดังนี้
ما رواه أحمد بن محمد بن أبي الحسن عن بعض أصحابنا يرفعه إلى أبي عبد الله (ع) قال: لا تتمتع بالمؤمنة فتذلها
สิ่งที่รายงานโดยอะหมัด บิน มุหัมหมัด บิน อบีอัลหะซัน จากบางส่วนของสหายของเรา เขาได้อ้างมันว่า อบีอับดุลลอฮ (อ)กล่าวว่า " ท่านอย่านิกะหมุตอะฮ กับหญิงผู้ศรัทธา เพราะท่านจะทำให้นางต่ำต้อย - ดู ตะซีบุลอะหกาม เล่ม 7 หน้า 253 หมายเลข 1089 หะดิษที่ 14 (1)
หลักฐานต้นนี้ Israya เองก็เคยยอมรับมาก่อนหน้านี้ (แต่วันนี้จะพลิกลิ้นอีกหรือเปล่าไม่ทราบ) แล้วก็พูดในภายหลังอีกว่า มีข้อห้ามจากอิหม่ามจริงแต่เป็นการห้ามส่วนบุคคล
และหลักฐานจากในตำราของชีอะฮ์อีกเช่นกันว่า
محمد بن أبي عمير، عن عبد الله بن سنان
قال: سألت أبا عبد الله عليه السلام عن المتعة فقال: لا تدنس نفسك بها
มุหัมหมัด บิน อบี อุมัยรฺ จากอับดุลลอฮ บิน สะนาน กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอบูอับดุลลอฮ อะลัยฮิสสลาม เกี่ยวกับนิกะหฺมุตอะฮ แล้วเขากล่าวว่า ท่านอย่าได้ทำให้ตัวของท่านมัวหมอง(มีมลทิน)ด้วยมัน - ดู อัลบิหารุลอันวาร์ เล่ม 100 หน้า 103 และ อัลมุสตัดรอ็ก อัลมะสาอีล ของ อิหม่ามอัฏฏูสีย์(อุลามาอฺชีอะฮ) เล่ม 14 หน้า 445
عن عمار قال: قال أبو عبد الله لي ولسليمان بن خالد: ( قد حرمت عليكما المتعة )
จากอัมมาร กล่าวว่า อบูอับดุลลอฮ ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าและ สุลัยมาน บิน คอลิด ว่า (แท้จริงฉันได้ห้ามการนิกะหฺมุตอะฮแก่ท่านทั้งสอง - ดู ฟุรูอัลกาฟีย์ เล่ม 2 หน้า 48 และวะสาอิลุชชีอะฮ เล่ม 14 หน้า 450
ผมถามง่ายๆ ด้วยกับคำพูดของชีอะฮ์ที่ตั้งข้อสงสัยกับท่านอุมัรว่า
อิหม่ามของชีอะฮ์วินิจฉัยเอาเองหรือเปล่า เพราะชีอะฮ์เชื่อว่าไม่มีคำสั่งห้ามจากท่านนบี
อิหม่ามของชีอะฮ์วินิจฉัยผิดพลาดหรือเปล่า เพราะคำวินิจฉัยนี้ตรงกับท่านอุมัร
ท่านคิดจะโจมตีท่านอุมัร โดยปิดบังหลักฐานในตำราของพวกท่านไว้ เมื่อเปิดออกมาให้เห็น เท่ากับถ้อยความที่ชีอะฮ์กล่าวร้ายต่อท่านอุมัรนั้น โดนอิหม่ามของตัวเองเข้าอย่างจัง
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 12:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
หากท่านอุมัรไม่ได้วินิจฉัยเอง และอิหม่ามของเหล่าชีอะฮ์ไม่ได้วินิจฉัยเอง แล้วข้อห้ามในเรื่องนิกะฮ์มุตอะห์มาจากไหน ผมจะเรียงลำดับให้ท่านเห็นดังนี้
จากตำราของชาวซุนนี
عَنْ عَليِ بْنِ أبِي طَالِبٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ أنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنْ مُتْعَةِ النِسَاءِ يَوْمَ خَيْبَرَ وَعَنْ أَكْلِ لُحُوْمِ الحُمَرِ الإنْسِيَّةِ
รายงานจากอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคาราวกับสตรี ในวันคอยบัร และห้ามการกินเนื้อลาบ้าน
ตัวบทข้างต้นนี้จากบันทึกของอิหม่ามบุคอรี และมุสลิม ซึ่งอยู่ในสถานะฮะดีสศอเฮียะฮ์ โดยมีสายรายงานของฮะดีสดังนี้
จากบุคอรี
حدثني يحيى بن قرعة جدثنا مالك عن ابن شهاب عن عبد الله والحسن ابنى محمد بن علي عن أبيهما عن علي بن أبي طالب رضى الله عنه
อีกสายหนึ่งจากมุสลิม
عن يحى بن يحى قال قرأت على مالك عن ابن شهاب عن عبد الله والحسن ابنى محمد بن على عن أبيهما عن علي بن أبي طالب
จะเห็นได้ว่าสายรายงานที่นำมาแสดงนี้ล้วนแต่บุคคลที่เชื่อถือได้ ไม่มีบุคคลที่ฏออีฟอยู่ในสาย มิหน้ำซ้ำผู้รายงานยังเป็นลูกหลานของท่านอิหม่ามอาลีเอง
หลักฐานจากตำราของชีอะฮ์
محمد بن الحسن بإسناده عن محمد بن أحمد بن يحيى، عن أبي جعفر، عن أبي الجوزاء، عن الحسين بن علوان، عن عمرو بن خالد، عن زيد بن علي، عن آبائه عن علي عليه السلام قال: " حرّم رسول الله صلى الله عليه وآله يوم خيبر لحوم الحمر الأهلية ونكاح المتعة
มุหัมหมัด บิน อัลหะซัน ด้วยสายรายงานของเขา จากมุหัมหมัด บิน อะหมัด บิน ยะหยา จากอบียะอฺฟัร จาก อบี อัลเญาซาอฺ จาก อัลหุซัยน์ บิน อุลวาน จากอัมริน บิน คอลิด จาก เซด บิน อาลี จาก บิดาของเขา จาก อาลี อะลัยฮิสสลาม กล่าวว่า " รซูลุลลอฮ วะอาลิฮี ได้ห้ามเนื้อลาบ้านและการนิกะหฺมุตอะฮ - ดู วะสาอิลุชชีอะฮ ของท่านหุรอัลอามิลีย์ อัชชีอีย์ เล่ม 14 หน้า 441 หะดิษหมายเลข 32 บทว่าด้วยเรื่อง นิกะห หัวข้อเรื่อง นิกะหมุตอะฮ
ทั้งจากหลักตำราของชาวซุนนีและชีอะฮ์ระบุตรงกัน จากคำรายงานของท่านอาลีเอง ว่าท่านรอซูล ได้ห้ามนิกะฮ์มุตอะฮ์ (แต่จะห้ามเมื่อไหร่กันแน่ตามที่ชีอะฮ์สับสนนั้นเราจะคุยในประเด็นถัดไป)
ด้วยเหตุนี้เราจึงเชื่อว่า ผู้ที่ห้าม นิกาฮ์มุตอะฮ์ เป็นผู้แรกไม่ใช่ท่านอุมัร หรือ อิหม่ามของชีอะฮ์ และก็ไม่ใช่เป็นคำวินิจฉัยที่ผิดพลาดของท่านอุมัร หรืออิหม่ามญะอ์ฟัรของชีอะฮ์เอง
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 12:19 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ชีอะฮ์ หยุดจาบจ้วงล่วงเกินท่านอุมัรเสียเถิด มิเช่นนั้นแล้ว จะเท่ากับท่านได้ล่วงเกินอิหม่ามของท่านเอง เพราะยุคการปกครองของท่านอุมัรอยู่ห่างจากการเสียชีวิตของท่านนบีประมาณ สองปีครึ่ง แต่ท่านญะอ์ฟัรศอดิก อิหม่ามลำดับที่หกของท่านนั้นอยู่ห่างจากท่านนบีตั้งหลายชั่วคน
เดี๋ยวก็จะกลายเป็นการตะโกนด่าอิหม่ามของตัวเอง
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 12:27 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ความจริงท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ เป็นบุคคลที่ชีอะฮ์ยกให้เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่ง ไฉยเลยที่ชีอะฮ์จะเมินเฉยกับคำรายงานของอิหม่าม แล้วไปคว้าต้นอื่นมาประกบแปะอย่างมั่วซั่ว เหมือนกับจะประกาศว่า ถ้าเรื่องมุตอะฮ์ ฉันไม่ตามอาลี
ชีอะฮ์อาจจะอ้างว่า ไม่เชื่อในคำรายงานจากตำราของชาวซุนนี แล้วบอกว่า มันเป็นฮะดีสปลอม
แล้ววิชาการอันใดเล่าที่จะมาสนับสนุนคำพูดนี้ นอกจากอารมณ์ของตนเองมาตัดสิน
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 1:08 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมได้อ่านผ่านมาก่อนหน้านี้ ที่ชีอะฮ์พยายามปฏิเสธหลักฐานห้ามที่มีอยู่ในตำราของชีอะฮ์เอง โดยกล่าวว่า
แต่ฮะดีษนี้ ในตำราริญาล ระบุว่า สายรายงานคนหนึ่ง ฎออีฟ คือ อัมร บิน คอลิด เพราะคนนี้ไม่ได้รับความเชื่อถือในอิลมุลริญาล และมีหลายคนให้ความเห็นเกี่ยวกับตัวของเขา ขัดแย้งกัน
นี่คือปัญหาของชีอะฮ์ ไม่ใช่ปัญหาของชาวซุนนะฮ์ และผมต้องย้ำว่ามันคือปัญหาของ ชีอะฮ์ ไม่ใช่ปัญหาของซุนนะฮ์
แต่ถ้าชีอะฮ์ต้องให้การซุนนีช่วยคลี่คลายปัญหานี้ ผมก็ยินดีช่วยสะสาง เชิญครับ
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 1:17 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ความจริงเราคุยเรื่องการเล่นมิสยารของพวกคุณไปพลางๆด้วยก็ได้ เพื่อผ่อนคลาย จะได้รู้ว่า ท่านนบีเคยอนุญาตให้เล่นมิสยารกี่ครั้ง และเคยห้ามกี่ครั้ง
จนในที่สุด ให้ระบุว่า ใครเป็นคนอนุโลมให้เล่นมิสยารจนถึงปัจจุบัน ? น่าจะเป็นประเด็นเคียงคู่กับนิกาห์มุตอะได้ดีทีเดียว
ฉะนั้น ถ้าจะให้ได้อรรถรส เวลาเราพบคำว่า ห้ามนิกาห์มุตอะ ให้อ่านว่า อนุญาตเล่นมิสยาร เวลาเราพบคำว่า อนุญาตนิกาห์มุตอะ ให้อ่านว่า ห้ามเล่นมิสยาร สลับไป สลับมาให้เท่าจำนวนครั้งที่ห้ามและอนุโลม แบบสลับไป สลับมาของฮะดีษพวกนั้น ไงครับ สนุกดี
ส่วนท่านอิบนุก็อยยิมอัลเญาซียะเองนั้น อธิบายให้ความเห็นว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง คือ จะว่าท่านนบีห้ามก็ว่าได้ จะว่า ท่านอุมัรห้ามเองก็ว่าได้ (ดู زاد المعاد 2|184 ) เดี๋ยวจะยกประโยคคำกล่าวของท่านมาให้ดู
แต่ทว่า นักวิชาการที่ยืนยันความเห็นที่หนึ่งที่ว่า ท่านนบี ศ เป็นผู้ห้ามเองนั้น มีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องนี้ ถึง เจ็ดคำอธิบาย คือ المناسبة الشهر السنة
خيبر المحرم سنة سبع
عمرة القضاء ذي الحجة سنة سبع
يوم الفتح رمضان سنة ثمان
غزوة حنين شوال سنة ثمان
أوطاس شوال (بعد حنين لعشر بقين منه) سنة ثمان
تبوك رجب سنة تسع
حجة الوداع ذي الحجة سنة عشر
ท่านอิบนุลก็อยยิมกล่าวว่า
«وهو وهم من بعض الرواة، سافر فيه وهمه من فتح مكّة إلى حجة الوداع... وسفر الوهم من زمان الى زمان، ومن مكان الى مكان، ومن واقعة إلى واقعة، كثيراً ما يعرض للحفاظ »มันเป็นคาดเดาจากบรรดานักรายงานเอง การคาดเดาของเขาได้ร่ายไปจากตอนพิชิตเมืองมักกะ ไปจนถึงฮัจญะตุลวิดาอ์....และการคาดเดาได้ร่ายจากสมัยหนึ่ง ไปยังอีกสมัยหนึ่ง และจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่หนึ่ง และจากสงครามหนึ่งไปยังสงครามหนึ่ง มันมากครั้งจนทำให้ขัดกับความทรงจำดู زاد المعاد في هدي خير العباد 2|183.
เจตนาของนักวิชาการที่ให้คำอธิบายในกลุ่มที่สอง เกี่ยวกับประเด็นที่สั่งห้ามการนิกาห์มุตอะที่อัลลอฮและรอซูลอนุมัติ และกฎเกณฑ์การนิกาห์มุตอะก็ยังคงอยู่ กระทั่งวันที่ท่านรอซูล ศ กลับไปสู่พระผู้อภิบาล และเป็นที่แน่นอนเหลือเกินว่า เราไม่สามารถจะยกเลิกเรื่องใดๆภายหลังท่านนบี ศ จากไปแล้วได้เลย แต่กลุ่มนี้ต้องการจะอธิบายว่า แท้จริงท่านอุมัร เป็นผู้ซึ่งสั่งห้ามการนิกาห์มุตอะ และท่านรอซูลสั่งไว้ว่า ให้ปฏิบัติตามสิ่งที่คอลีฟะรอชิดีนวางกฎระเบียบขึ้นมาได้
(ดูزاد المعاد في هدي خير العباد 2|184.
ดังนั้น เหล่านี่ คือ คำอธิบายหลากหลายรูปแบบที่นักค้นคว้าได้พยายามหาข้อสรุป โดยประมวลจากประเด็นคำพูดต่างๆของพวกเขามี่คัดค้านและหักล้างกันเองไม่รู้จบ
สมมติว่า ถ้าคอลีฟะวางกฎระบียบใดๆขึ้นมา แม้ว่าจะขัดแย้งกับสุนนะเดิมๆของท่านนบี ก็ไม่ผิดจริงแล้วไซร้ ทำไมคนกลุ่มหนึ่งจึงพยายามกลบเกลื่อนว่า ที่ท่านอุมัรสั่งห้ามนิกาห์มุตอะนั้น ก็เพราะท่านได้รู้เรื่องนี้มาจากท่านนบีเป็นกรณีพิเศษ
ถ้าหากคอลีฟะวางกฎระเบียบใดๆขึ้นมา แม้ว่าจะขัดแย้งกับสุนนะเดิมๆของท่านนบี ก็ไม่ผิดจริงแล้วไซร้ ทำไมจึงต้องมีการปลอมแปลงฮะดีษขึ้นมาในลักษณะที่จงใจจะเพิ่มความเข้มข้นของคำสั่งห้าม ให้ดูหนักแน่นเสียจนกลายเป็นพิรุธ ชนิดที่ไม่น่าจะนำมากล่าวถึง ?
การนิกาห์มุตอะ ในวันนี้ ก็ยังคงมีสภาพได้รับการอนุโลมจากท่านนบี ศ เหมือนกับที่เคยมีอยู่ในสมัยของท่าน
สาเหตุที่ท่านอุมัรได้สั่งห้ามการนิกาห์มุตอะ ก็เพราะเนื่องจากท่านทราบว่า ผู้ชายคนหนึ่งทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ แล้วเขาอาจไม่รับผิดชอบ
ซึ่งอาจเป็นปัญหาในสังคมของท่านก็ได้ ท่านจึงเห็นว่าควรจะได้ยกเลิกการนิกาห์มุตอะเสีย จะได้ไม่เกิดปัญหาที่ไม่พึงประสงค์เช่นนั้นต่อไปอีก นับว่าเป็นเจตนาดีของท่านอย่างหนึ่ง และเป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่คอลีฟะของท่านที่มักจะเป็นห่วงสภาพสังคม จนบางครั้งก็เป็นเหตุให้ท่านพลาดพลั้งจากหลักการศาสนาไปบ้าง ซึ่งมีให้เห็นอยู่มากมายหลายเรื่อง
แต่ทว่า ในความเป็นจริงของหลักการนิกาห์มุตอะนี้ ท่านก็ทราบดีเหมือนกันว่า ท่านไม่มีสิทธิจะยกเลิกได้จริง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในคราวต่อมา แม้ว่า หลังจากท่านได้สั่งห้ามนิกาห์มุตอะแล้วก็ตาม แต่ยังมีคนฝ่าฝืนคำสั่งของท่านอยู่อีก และท่านก็มิได้ลงโทษทัณฑ์ในกรณีนั้น
แต่ท่านจะเรียกมาสืบหาพยานที่อาเด็ลสองคน และได้เป็นที่รู้กันว่าตามหลักการของท่านอุมัรก็คือ ถ้ามีพยานรู้เห็นสองคน ให้ถือว่า นิกาห์มุตอะนั้นใช้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม สิ้นท่านไปแล้ว อำนาจตามคำสั่งของท่านในฐานะคอลีฟะก็ยังคงอยู่ตลอดไป เพราะประชาชนส่วนใหญ่ภายใต้การปกครองก็ได้ให้ความร่วมมือด้วยดีกับคอลีฟะ
แม้ว่าจะมีสียงคัดค้านอยู่มากแต่ก็ไม่มีใครคิดจะลุกฮือขึ้นต่อต้านผู้ปกครองด้วยเหตุผลของการห้ามนิกาห์มุตอะ
เพราะจะทำให้ดูเป็นเรื่องน่าบัดสี อีกอย่างหนึ่งในสมัยท่านอุมัร มีเรื่องร้ายแรงมากมายหลายเรื่อง ที่ทำให้ประชาชนขยาด จนไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ปกครองในฐานะคู่กรณี ในที่สุด เรื่องนี้ก็ถูกลปล่อยให้เลยตามเลย
แต่ก็ยังมีศอฮาบะอาวุโสจำนวนหนึ่ง ที่คัดค้าน แต่เป็นส่วนน้อยอยู่ดี จนกระทั่งกฎระเบียบของคอลีฟะอุมัร ได้ผ่านพ้นเวลาไปนานหลายปี กระทั่งล่วงเลยไปจากสมัยของคอลีฟะฮ์ที่สาม
การยอมรับของประชาชนต่อกฎระเบียบนี้ได้ทำให้สังคมเกิดความเคยชิน และเห็นว่า การไม่อนุญาตให้นิกาห์มุตอะเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียแล้ว ประชาชนก็อยู่ในระเบียบวินัยดี
ผู้คนที่กระหือรือในช่วงแรกๆก็ลุล่วงเข้าวัยชรา ไม่มีใครคิดจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิข้อนี้กันให้แตกหักแต่อย่างใด
ครั้นมาถึงสมัยท่านอะลี ท่านก็ได้แต่ให้ความคิดเห็นในเรื่องนิกาห์มุตอะว่า ถ้าหากท่านหวนย้อนประกาศว่านิกาห์มุตอะยังอนุญาตให้กระทำได้ เหมือนในสมัยนบีแล้วไซร้
แน่นอนเหล่าบรรดาขุนทหารของผู้ปกครองคนเดิมๆที่รับราชการอยู่จำนวนมาก จะต้องแปรพักตร์และตีตัวออกจากท่านอย่างแน่นอน
แล้วพวกเขาจะกล่าวหาท่านว่า เข้ามาเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบชองคอลีฟะคนก่อนๆ และเมื่อนั่น ท่านอาจยืนอยู่คนเดียว จึงได้แต่อดทน
นั่นคือ อดีต แล้วหันมาถามหาปัจจุบัน เรื่องการนิกาห์มุตอะ ยังเป็นสิ่งอนุมัติตามหักศาสนาอยู่เหมือนกับในสมัยคอลีฟะอุมัรนั่นแหละ
เพียงแต่ว่า ใครจะอยากทำบ้าง และสมมติว่าอยากทำ ถามว่าจะทำกับใคร และท่านพร้อมจะอยู่ในกรอบเงื่อนไขของการนิกาห์จริงๆแล้วหรือ เท่านั้นเอง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 1:33 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณท่าน ALI ยังไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ของการเสวนาปัญหาวิชาการใดๆเลย มัวแต่คิดยึดติดอยู่กับการแบ่งฝักฝ่าย คุณชีอะ ผมซุนนะ อย่างพวกอะศอบียะ เราต้องถอดป้ายแขวนคอสักพักก่อนจะดีไหม
ถ้าเราคิดจะถก จะเสวนากัน เราก็ต้องทำหน้าที่คลี่คลายปัญหาขัดแย้งในเชิงวิชาการ ไม่ใช่มาค่อนแคะกระแซะคารม แบบเด็กๆ
ผมไม่ได้นำเสนอว่า ถ้าเปนชีอะแล้วก็ต้องเอาตำราชีอะเป็นหลัก ถ้าเปนซุนนะก็ต้องเอาตำราซุนนะเป็นหลัก เอาของใครมาก่อน มาหลังก็ได้ แล้วเรามาพิจารณาด้วยกัน
เพราะเราต่างคนก็มีปัญญา เหมือนกับคนทำหน้าที่พิจารณาความคดี จะต้องไม่มองหน้าว่า จำเลยเป็นลูกหลานตัวเองหรือเปล่า เป็นญาติเมียเราหรือเปล่า เป็นลูกชายเพื่อนเราหรือเปล่า มัวคิดอย่างนั้นก็เสียหายหมดประเทศเลยครับ
หน้าที่เรา คือ ยึดถือหลักฐานจากเอกสาร พยานเป็นหลักแล้วมาชั่งน้ำหนักดู ฝ่ายไหนน่าเชื่อถือกว่า ฝ่ายไหนไม่น่าเชื่อถือ คิดอย่างนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาเสวนากันให้เสียเวลา
ถ้าจะเอาแค่ทะเลาะกันให้สนุกๆ มันๆปากไปวันๆ ผมนั่งซดกาแฟ อ่านหนังสือคนเดียวดีกว่า |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 1:45 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ตั้งแต่ผมเข้ามาสนทนากับคุณในกระทู้นี้ ก็ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องมิสยารเลย คุณได้สนทนากับใครไว้ก็ไปตอบกับคนนั้นเถิด
แต่ผมคุยกับคุณเรื่องนิกะฮ์มุตอะฮ์ ด้วยหลักฐานและวิชาการ อย่าหนีไปซดกาแฟคนเดียวอย่างที่ว่า เสียชื่อสถาบันชีอะฮ์หมด
ข้อความจากหนังสือ ที่คุณยกมาตัดแปะกับคำพูดของคุณเอง ผมจะละไว้ก่อน ขอคุยเรื่องหลักฐานให้ผ่านไปทีละขั้น
เอาละ !! คุณตอบได้ไหมว่าทำไมคุณถึงพูดว่า
สายรายงานคนหนึ่ง ฎออีฟ คือ อัมร บิน คอลิด เพราะคนนี้ไม่ได้รับความเชื่อถือ
เอาตามหลักวิชาการครับ ไม่ต้องเอาคำพร่ำพรรณนาเรื่องอื่นมาสอดแทรก คุยกันเป็นวิชาการ ทีละประเด็น
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ali มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 24/12/2003 ตอบ: 295
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 2:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
Israya กล่าวว่า
ครั้นมาถึงสมัยท่านอะลี ท่านก็ได้แต่ให้ความคิดเห็นในเรื่องนิกาห์มุตอะว่า ถ้าหากท่านหวนย้อนประกาศว่านิกาห์มุตอะยังอนุญาตให้กระทำได้ เหมือนในสมัยนบีแล้วไซร้
แน่นอนเหล่าบรรดาขุนทหารของผู้ปกครองคนเดิมๆที่รับราชการอยู่จำนวนมาก จะต้องแปรพักตร์และตีตัวออกจากท่านอย่างแน่นอน
แล้วพวกเขาจะกล่าวหาท่านว่า เข้ามาเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบชองคอลีฟะคนก่อนๆ และเมื่อนั่น ท่านอาจยืนอยู่คนเดียว จึงได้แต่อดทน
คำสาธยายของคุณข้างต้นนี้ ยิ่งทำให้ท่านอาลีตกต่ำ ทำให้ผู้คนตั้งข้อกังขาในตัวท่านอาลีว่า
ทำไมท่านอาลีถึงขี้ขลาดเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ได้รับฉายาว่า ราชสีห์
ทำไมท่านอาลีถึงห่วงตัวเองและตำแหน่งมากกว่าหลักการ และ ฯลฯ
ดังนั้นอย่าทำให้ท่านอาลีตกต่ำด้วยคำพร่ำพรรณนาของคุณอีกเลย
มาคุยถึงหลักฐานบนบรรทัดฐานทางวิชาการกันดีกว่า
คุณจะเฉลยได้หรือยังว่า ทำไมคุณถึงพูดว่า
สายรายงานคนหนึ่ง ฎออีฟ คือ อัมร บิน คอลิด เพราะคนนี้ไม่ได้รับความเชื่อถือ
คุณเอามาตรฐานทางวิชาการอันใดมาเป็นบทพิสูจน์ สายรายงานฮะดีสจากตำราของคุณเองเสียด้วย
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 4:08 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณคนนี้ได้เรียนฮะดีษอะไรมาบ้างแล้วยัง เพ้อเจ้ออยู่ได้ว่า ถ้าไม่ยอมรับฮะดีษที่ว่า ท่านอะลีรายงานแล้ว เท่ากับดูหมิ่นท่านอะลี นี่คนสติปัญญาดีหรือเปล่า คงไม่เคยรู้หรอกนะ แม้แต่ท่านนบี ก็ยังเคยมีคนเอาไปแอบอ้างชื่อเขียนฮะดีษหากิน ที่เขาเรียกกันว่า ฮะดีษปลอมนะ เคยได้ยินไหมครับ เขียนบอกว่า นบีบอกว่า อัลลอฮ ลงนรกก็มี เคยได้ยินไหม ทำไม ไม่เชื่อฮะดีษนั้น เท่ากับปฏิเสธท่านนบีด้วยหรือ ??
นี่ผมคุยเสวนากับใครกันแน่นี่หา
ก็ผมเป็นพวกตะกียะ ผมจะไม่สามารถอธิบายหลักฐานจากตำราของฝ่ายซุนนะ ได้ไง และผมได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ความเชื่อว่านิกาห์มุตอะ เป็นสิ่งต้องห้ามในตำราของฝ่ายซุนนะนั้น ไม่อยู่ในกรอบตามหลักวิชาการที่ได้มาตรฐานแต่อย่างใด
หมายความว่า หลักฐานที่ว่าท่านนบีห้ามนิกาห์มุตอะนั้น มีด้วยกันหลากหลายลีลา หลายวาระ หลายสถานที่ และหลายสมรภูมิ จนเกิดประเด็นคำถามที่ทุกคนต้องอ้ำอึ้ง นอกจากตอบแบบส่งเดช กันเท่านั้น ครั้นจะหยิบยกเอาไปถามครู บางทีอาจโดนครูขว้างด้วยที่ลบกระดานก็เป็นได้นะครับ ใครไม่เชื่อผม ก็ลองดู
ไม่อยูกับร่องกับรอย ไม่อยู่ในสภาพที่จับต้องได้อย่างแน่นอน เพราะหักล้างกันเองทั้งสิ้น เข้าทำนองใครอยากเชื่อก็เชื่อไป ใครไม่เชื่อก็ว่าอะไรเขาไม่ได้ และยังขัดแย้งกับสภาพสังคมที่ปรากฏในสมัยคอลีฟะอุมัรด้วยอย่างเห็นได้ชัด
หลักฐานห้ามการนิกาห์มุตอะในตำราชีอะก็มีครับ แต่เป็นหลักฐานที่ผมบอกแล้วว่า บรรดาฟุกอฮาอ์และนักตรวจสอบฮะดีษ นำมาพิสูจน์แล้ว พบว่ามีจุดบกพร่องเช่นกัน ไม่สามารถนำมายึดถือเป็นหลักได้
ส่วนกรณีที่บางทัศนะให้ความเห็นว่า นิกาห์มุตอะที่มีหลักการที่ว่าต้องกล่าวอักด์ มีอิดดะ มีมะฮัร และกำหนดเวลา และเงื่อนไขต่างๆนั้น มีที่มาจากประเพณีหนึ่งของคนในสมัยญาฮิลียะฮ์ ก็ไม่มีหลักฐานใดๆชี้ชัดให้เชื่ออย่างนั้น
เพราะการแต่งงานในสังคมญาฮิลียะฮ์ ไม่มีหลักการต่างๆในรูปแบบของนิกาห์มุตอะที่รู้จักกันอยู่
ที่แน่ชัดก็คือ รายงานบอกเล่าศอฮีฮ์จำนวนมากระบุว่า ท่านนบี(ศ)ได้อนุญาตให้บรรดาศอฮาบะของท่าน และได้อนุญาตให้แก่พวกเขาในบางสงคราม
فقد أخرج مسلم في صحيحه عن قيس قال: سمعت عبد الله (1) يقول: كنا نغزو مع رسول الله (ص) ليس لنا نساء، فقلنا: ألا نستخصي؟ فنهانا عن ذلك، ثم رخّص لنا أن ننكح المرأة بالثوب إلى أجل، ثم قرأ عبد الله: ( يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ لاَ تُحَرِّمُواْ طَيِّبَاتِ مَا أَحَلَّ اللهُ لَكُمْ وَلاَ تَعْتَدُواْ إِنَّ اللهَ لاَ يُحِبُّ المُعْتَدِينَ ).
وأخرج أيضاً عن جابر بن عبد الله وسلمة بن الأكوع قالا: خرج علينا منادي رسول الله (ص) فقال: إن رسول الله (ص) قد أذن لكم أن تستمتعوا. يعني متعة النساء.
وأخرج بسنده عن سلمة بن الأكوع وجابر بن عبد الله أن رسول الله (ص) أتانا، فأذن لنا في المتعة.
وأخرج بسنده عن الربيع بن سبرة، أن أباه غزا مع رسول الله (ص) فتح مكة، قال: فأقمنا بها خمس عشرة، ( ثلاثين بين يوم وليلة )، فأذن لنا رسول الله (ص) في متعة النساء... (2).
فهذه الأحاديث وغيرها تدل على أن النبي (ص) قد رخّص للناس في نكاح المتعة وأذن لهم فيه، ولو كانت المتعة من الأنكحة المعروفة في الجاهلية وكانت مباحة للمسلمين من أول الأمر لما اتّجه قولهم للنبي (ص) : (ألا نستخصي؟).
وأما تحريم عمر للمتعة فيدل عليه ما أخرجه مسلم في صحيحه بسنده عن أبي
الزبير قال: سمعت جابر بن عبد الله يقول: كنا نستمتع بالقبضة من التمر والدقيق الأيام على عهد رسول الله (ص) وأبي بكر، حتى نهى عنه عمر في شأن عمرو بن حريث.
وبسنده عن أبي نضرة قال: كنت عند جابر بن عبد الله، فأتاه آتٍ فقال: ابن عباس وابن الزبير اختلفا في المتعتين. فقال جابر : فعلناهما مع رسول الله (ص) ، ثم نهانا عنهما عمر، فلم نَعُدْ لهما (1).
وأخرج أحمد في المسند عن جابر قال: متعتان كانتا على عهد النبي (ص)، فنهانا عنهما عمر رضي الله تعالى عنه فانتهين(2).
وفي رواية أخرى عن جابر بن عبد الله قال : تمتعنا متعتين على عهد النبي (ص) : الحج والنساء، فنهانا عمر عنهما فانتهينا (3).
รายงานจากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ กล่าว่วา ทั้งฮัจญ์ตะมัตตุอ์ และนิกาห์มุตอะกับสตรี เคยได้รับอนุญาตในสมัยท่านนบี แต่แล้ว ท่านอุมัรได้ห้ามพวกเราจากทั้งสองอย่างนั้น
หลักฐานทั้งหมดนี้ ผมจะไม่ขอแปลซ้ำอีก เพราะได้ยกมาเสนอหลายครั้งแล้ว ล้วนแต่ยืนยันว่า นิกาห์มุตอะ มีการอนุญาตในสมัยท่านนบี และบางรายงานก็ระบุต่อไปด้วยว่า ต่อมาท่านอุมัรได้ห้ามเสีย
ขอให้สังเกตด้วยว่า ในริวายะที่ ๑ นั้น ศอฮาบะได้มียกอายะกุรอานมาอ้างในทำนองว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย อย่าได้ออกคำสั่งห้าม ในสิ่งที่อัลลอฮทรงอนุญาต ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในความเข้าใจของบรรดาศอฮาบะนั้น การนิกาห์มุตอะ คือ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงอนุญาต
ส่วนหลักฐานในการห้ามก็มีมากมายเหมือนกัน ถึงตอนนี้ เป็นเรื่องที่ต้องคิดพิจารณาดูกันเอาเอง ว่า จะเชื่อว่า ใครเป็นผู้ห้าม ท่านนบี หรือท่านอุมัร หลักฐานยืนยันมากมายว่า ท่านนบีเป็นผู้ห้าม แต่ก็มีหลักฐานมากมายบอกว่า ท่านอุมัรก็เป็นคนห้าม
وقال السرخسي في المبسوط: وقد صحَّ أن عمر رضي الله عنه نهى الناس عن المتعة، فقال: متعتان كانتا على عهد رسول الله (ص)، وأنا أنهى عنهما: متعة النساء ومتعة الحج (1).
ท่านซัรคอซีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมับซูฏ ๒๗/๔ว่า ที่ถูกต้องจริงๆนั้น คือ ท่านอุมัร ร ฎ ได้ห้ามประชาชนจากการนิกาห์มุตอะ โดยท่านได้กล่าวว่า มุตอะทั้งสองอย่าง(ฮัจญ์ตะมัตตุอ์แลนิกาห์มุตอะ)มีในสมัยท่านรอซูล(ศ) แล้วฉันได้ห้ามสิ่งทั้งสองนั้น นั่นคือ นิกาห์มุตอะกับสตรี และฮัจญ์ตะมัตตุอ์
وأخرج البخاري في صحيحه بسنده عن مطرّف عن عمران بن حصين رضي الله عنه، قال: تمتَّعنا على عهد رسول الله (ص)، فنزل القرآن، قال رجل برأيه ما شاء
ในศอฮีฮ์บุคอรี ๑/๔๖๘ รายงานจากอิมรอน บิน ฮุศ็อยน์ ร ฎ กล่าวว่า พวกเราได้ทำนิกาห์มุตอะในสมัยท่านรอซูล ศ ดังนั้น อัลกุรอานได้ถูกประทานมา เขาได้กล่าวอีกว่า ชายคนหนึ่ง กล่าวไปตามความเห็นที่ตัวเขาเองต้องการ
อิบนุฮะญัร ได้กล่าวในหนังสือ ฟัตฮุลบารี อธิบายประโยคหลังสุดว่า ชายคนที่กล่าวไปตามความต้องการของตนเอง หมายถึง ท่านอุมัร
ในศอฮีฮ์มุสลิมอีกเช่นกัน ระบุว่า อิบนุซุเบรได้สั่งห้ามนิกาห์มุตอะ แต่อิบนุอับบาส ได้สั่งให้กระทำนิกาห์มุตอะได้ ดังนั้น พวกเขาได้ถามท่านญาบิร ท่านญาบิรก็ตอบว่า คนแรกที่ห้ามการนิกาห์มุตอะคือ ท่านอุมัร
โปรดดู(3) تاريخ الخلفاء، ص 108. وتجد ذكر تحريم المتعة في كتاب الأوائل للعسكري 1/240
ด้วยเหตุนี้ อะบูฮิลาล อัสการีย์ ถือว่า ส่วนหนึ่งจากความเป็นคนแรกในด้านต่างๆของท่านอุมัร บิน ค็อฏฏ้อบก็คือ การห้ามนิกาห์มุตอะ โดยท่านสะยูฏีย์ได้อ้างอิงหลักฐานจากริวายะนี้
قال السيوطي في تاريخ الخلفاء: فصل في أوليات عمر رضي الله عنه، قال العسكري: هو أول من سُمِّي أمير المؤمنين، وأول من كتب التاريخ من الهجرة، وأول من اتّخذ بيت المال، وأول من سَنَّ قيام شهر رمضان، وأول من عسَّ بالليل ، وأول من ضرب في الخمر ثمانين، وأول من حرَّم المتعة...
ท่านสะยูฏีย์ได้กล่าวในหนังสือตารีคุล คุลาฟาอ์ ในหมวดว่าด้วยความเป็นคนแรกด้านต่างๆของท่านอุมัร ร ฎ ว่าท่านอัสการีย์กล่าวว่า ท่านคื่อคนแรกที่ได้รับสมญานามว่าอะมีรุลมุมินีน ท่านคือคนแรกที่เขียนปฏิทินฮิจเราะฮ์ศักราช ท่านคือคนแรกที่ได้เอาบัยตุลมาล ท่านเป็นคนแรกที่วางแบบอย่างนมาซตัรวีห์ในเดือนรอมฎอน ท่านเป็นคนแรกที่ตระเวณในยามกลางคืน ท่านเป็นคนแรกที่เฆี่ยนคนดื่มสุรา ๘๐ ที ท่านเป็นคนแรกที่ห้ามนิกาห์มุตอะ
โปรดดู تاريخ الخلفاء، ص 108. وتجد ذكر تحريم المتعة في كتاب الأوائل للعسكري 1/240.
พี่น้องครับ ผมไม่ได้รบเร้าที่จะให้ใครเชื่อว่า นิกาห์มุตอะมิได้ถูกยกเลิกโดยท่านรอซูล และผมไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ ที่พวกคุณไม่ได้เชื่อเหมือนผม
เพียงแต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง ว่ามาตรฐานความคิดอ่าน และความเข้าใจของพวกคุณตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิชาการที่สมบูรณ์ดีแล้วหรือ ?
หรือว่าแค่แกล้งผมเล่นๆเท่านั้น ไม่ได้จริงจังอันใด
เพราะเท่าที่ผมพบมา หลักฐานการกอดอก ยังไม่ชัดเจนเท่านี้เลย แต่พวกคุณก็ยังเชื่อถือนำไปปฏิบัติเป็นของสุนัตได้ หลักฐานเรื่องพ่อแม่ท่านนบีตกนรก ก็ยังไม่ชัดเจนเท่านี้เลย แต่พวกคุณก็ยังเอาไปเชื่อถือกันได้
หลักฐานเรื่องสุญูดบนผ้าในยามปกติ ก็ยังไม่ชัดเจนเท่านี้เลย พวกท่านก็ยังเชื่อถือเอาไปได้ เหตุไฉนและทำไม หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ พวกคุณยังยอมรับ ยอมเชื่อถือไม่ได้ มาตรฐานของพวกคุณอยู่ตรงไหนแน่
ผมคิดว่า เผลอๆพวกคุณเชื่อตั้งนานแล้วก็ได้ ว่านิกาห์มุตอะเป็นสิ่งถูกต้อง แต่แกล้งหลอกล่อทำเป็นคัดค้านผม เพื่อให้ผมนำหลักฐานข้อมูลมาแสดงให้มากที่สุด เพื่อความมั่นใจอะไรบางอย่างเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าไม่ทราบได้ ขอรับ ....? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
israya มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/10/2009 ตอบ: 293
|
ตอบ: Mon Oct 19, 2009 4:25 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
การที่อุละมา ชีอะ ไม่ยอมรับคนรายงานท่านใด หลักเกณฑ์ทั่วไปของอุละมา ก็คงจะคล้ายคลึงกันกับหลักเกณฑ์ของอุละมาซุนนะ คือ อย่างน้อย ก็จะมีการตรวจสอบว่า เป็นมัซฮับไหนแน่ ถ้ายังมีข้อคลางแคลงตรงนี้ ก็มักจะไม่เป็นที่ยอมรับ เป็นเรื่องธรรมดา ในสายรายงานของซุนนะก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันครับ
قال أمير المؤمنين صلوات الله عليه: ( حَرّم رسول الله (ص) يوم خيبر لحوم الحمر الأهلية، ونكاح المتعة ) انظر التهذيب 2/186، الاستبصار 3/142، وسائل الشيعة 14/441.
ฮะดีษนี้บอกว่า ท่านอะลี(อ)กล่าวว่า ท่านรอซูลศ) ได้ห้ามเนื้อลาบ้านและนิกาห์มุตอะ ในสงครามค็อยบัร
وأقول: هذه الرواية ضعيفة السند بعمرو بن خالد الواسطي، فإنه لم يوثَّق في كتب الرجال، واختُلف في مذهبه، فقيل: إنه من أهل السنة. والمشهور أنه من رؤساء الزيدية، وأغلب رواياته يرويها عن زيد بن علي، ومنها هذه الرواية.
คำอธิบายของอุละมา บอกว่า ริวายะนี้ฎออีฟในสายรายงาน โดยบุคคลชื่อ อัมร์ บิน คอลิด อัลวาซิฏี เขาผู้นี้ไม่ได้รับความเชื่อถือในตำราอัรริญาล และเขาขัดแย้งในมัซฮับของเขาเอง มีบางคนกล่าวว่า เขาเป็นชาวซุนนะ แต่ที่รู้กันแพร่หลาย เขาคือ หัวหน้าคนหนึ่งในสายซัยดียะฮ์ ส่วนใหญ่เขาจะรายงานจากท่านเซด บิน อะลี ซัยนุลอาบิดีน) และส่วนหนึ่งก็คือ ริวายะนี้ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|