ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - อาจาร์ยฟาริดบอกว่าคนปฎิเสธหะดีษเศาะหีหฺไม่ใช่ใช่มุลิม ?
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
อาจาร์ยฟาริดบอกว่าคนปฎิเสธหะดีษเศาะหีหฺไม่ใช่ใช่มุลิม ?
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
AbdurRahman
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005
ตอบ: 185


ตอบตอบ: Fri Aug 26, 2005 6:55 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ควักทราย(อาจมีก้อนหินปนเล็กน้อย) ขว้างใส่หน้าพี่มาด บังอาจมาชมเรา Mad แม้ว่าจะชมทีเดียวก็ตาม แบบว่า ผมจะหยอกพี่อะสันเล่นเฉยๆ คิออย่างนี้พี่ พี่คงไม่ค่อยเข้าใจหรืออาจจะเข้าใจดีเกินไป เกี่ยวกับฮาดิษซอเฮี๊ยะฮ์ คือถ้า ( ถ้านะครับ ) พี่เป็นเหมือนผม คือเมื่ออ่าน ฮาดิษซอเฮี๊ยะฮ์ จะเกิดความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่า นบี Solallah กำลังพูดกับเรา พี่ก็จะเกิดความรู้สึกดีๆกับทุกๆคนเหมือนผม ครั้งหนึ่งอุซตาซเคยฝึกให้พวกผมขึ้นคุตบะฮ์ ผมได้นำคำพูดของท่านนบี Solallah มาพูดเพื่อสอนผม และทุกๆคน เป็นคำสอนที่ง่ายๆและเกิดความรู้สึกดีๆ ผมเลือกฮ่าดิษที่ว่า
" ลายุมิน ฮัตตา ยุฮิบบ่ะ ลิอะคีฮิ มายุฮิบบุ ลินัฟซิฮี" ความหมายง่ายๆ แต่ผมรู้สึกกินใจมากมาย คงไม่ต้องแปลนะครับ พี่ๆทุกคนก็เป็นอะคี กันอยู่แล้ว ถ้ามีใครซักคนจ้องจะโจมตี พี่น้องเรา ก็ให้พึงระลึกไว้ทันทีว่า มีคนใดคนนึงไม่ยอมที่จะพยายามเป็นมุอ์มิน ไม่ยอมที่จะยกระดับตัวเองขึ้นมาด้วยสิ่ง ง่ายๆ แค่คำว่า รัก ให้กันไม่ได้ก็อย่ามาคิดจะเป็นพี่น้องกันดีกว่าครับ
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Aug 26, 2005 11:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

السلام عليكم ورحمة الله
อ้างอิงจากคุณแมท
"ถ้าอาจาร์ยตอบลักษณะนี้อย่างไม่ชัดเจน ผมจำได้ว่า ตัวของชัยคฺเองเคยตั้งคำถามกับนักศึกษาว่า " แล้วท่านจะว่าอย่างไรกับการที่ อิหม่ามอะหฺหมัด บินหัมบัล ไม่รับหะดีษของอิหม่ามบุลคอรีย์ ในเมื่อศ่อหีหฺของอิหม่ามบุคคอรีย์เปนที่ยอมรับในแวววงวิชาการหะดีษ"

ตอบ
คุณแมทครับ คำถามก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยนี่ครับ นักรายฮะดิษ เช่นอิมามบุคอรีย์ อิมามอะหฺมัดบินหัมบัล นั้นต่างก็เป็นมุจญฺฮิดกันทั้งนั้น ในแนวทางของฮะดิษเช่นเดียวกัน ต่างคนก็เป็นนักรายฮะดิษที่สืบสายรายงานด้วยตัวเองโดยไม่ตามผู้อื่น เพื่อให้มีสายรายหลายสายที่ยืนยันความถูกต้อง เท่าที่ผมเคยเรียนมานั้น อิมามฮะดิษบุคอรีย์ได้ถูกนำเสนอแก่อิมามอะหฺมัด อิมามอะหฺก็ยอมรับและนับว่าเป็นสิ่งที่ดี นอกจาก 4 ฮะดิษ ซึ่ง 4 ฮะดิษนี้ท่านอิมามอะหฺมัดอาจจะยังไม่ได้รับสายรายงานของตัวท่านเอง แต่อิมามบุคคอรีย์ได้รับ การที่นักมุจญฺฮิดด้านฮะดิษไม่รับฮะดิษกันเองนั้น เนื่องจากต่างคนก็ต้องการที่จะรายงานฮะดิษด้วยสายรายงานที่ العالى ของตัวเอง เช่นเดียวกันกับเรื่องอิมามบุคคอรีย์ไม่รับสายรายงานของอิมามชาฟิอีย์ มีบางคนอาจตั้งคำถามกับตัวเองว่าเพราะเหตุใด ? คำตอบก็คือ เพราะอิมามบุคคอรีย์ ต้องการสืบสายรายงาน ที่ العالى มาเป็นของตัวเอง เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าอิมามบุคคอรีย์จะตำหนิสายรายงานของอิมามชาฟิอีย์ก็ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น และการเรียบเรียงบทต่างๆ ของฮะดิษบุคคอรีย์นั้น อิมามบุคคอรีย์ก็ตามแนวทางของอิมามชาฟิอีย์

อ้างอิงจากคุณแมท
อีมามบุคอรีและอื่นๆ ก็เปรียบเสมือน ผู้รวบรวม ตำราทำอาหาร จับเรื่องเล่าต่างๆ มาประติดประต่อกัน และ ตั้งเป็น รูปแบบ ขึ้น เช่น คนไทยเรา ปรุงแกงเผ็ด ไก่ กันมา ตั้ง แต่ สมัยขอม ตั้งแต่ยังไม่มีตำราอาหาร เป็นรูปเล่ม แต่พอ มีผุ้รวบรวม ตำรา ขึ้น แกงเผ็ด ไก่ ก็กลายไป มีรสชาด ต่างๆ กัน ทั้งนี้ เพราะ ผู้ เล่า แต่ละท่าน จำการผสมเครื่องแกง มาจากการเล่าต่อๆ กันมาซึ่งไม่ตรงกัน ผิดๆถูกๆ, นี่เป็นแค่การเปรียบเทียบ


อะหะดีษ ก็เช่นเดียว กัน จดมาจาก ความทรงจำของ ผู้ คนในแต่ละยุคละสมัย ทำให้ มีการ ค้านกันเองบ้าง, ขัดกับอัลกุรอานบ้าง, ตรงกับคำสอนของ คริสต์ เตียนบ้าง, มีประเพณีอรับติดปนมา กลายเป็นหลักศาสนาไป ฯลฯ การทำละหมาด และหลักการต่างๆ เมื่อใช้ อะหะดีษของบุคอรี เป็นแบบฉบับแล้ว เริ่มเกิด มีปํญหา มาถกเถียงกัน ในรูปแบบ จองการละหมาด, ไม่ยอมละหมาดร่วมกัน แตกความสามัคคีกัน ทั้งนี้ เพราะว่า เกิด จาก การ แปลความหมาย ของ อะหะดีษ ไปใน รูปแบบ ต่างๆ กัน
ตอบ
คุณแมทจะเปรียบเทียบการบันทึกของอิมามบุคคอรีย์เหมือนกับรวมตำราทำอาหารได้อย่างไร ? เรื่องการทำอาหารนั้น เกิดขึ้นมาตามที่แต่ละคนชอบและอารมณ์ปรารถนา การรวบรวมฮะดิษของอิมามบุคคอรีย์นั้น เขามีหลักเกนฑ์และเงือนไขที่รัดกุม ต้องมีขัดกับอัลกุรอาน หากมีค้านกันเองนั้นก็ต้องไปดูเรื่องการยกเลิกฮะดิษ الناسخ والمنسوخ และอื่น ๆ คุณแมทไม่คิดบ้างหรือครับว่า อัลกุรอานเป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่นอนและเป็นหลักฐานแรกที่ต้องยึดมามาปฏิบัติ แต่ความเข้าใจของตัวบทนั้น ย่อมมีความแตกต่างกัน
แม้คุณแมทจะประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ที่ยึดอัลกุรอานเท่านั้น ผมอยากจะทราบเหลือเกินว่า ทฤษฏีและหลักปฏิบัติ มันจะไปได้กันหรือเปล่า ???? ปัญหาของคุณมันอยู่ตรงนี้
หากสมมุติว่า มุสลิมทั้งโลกตามอัลกุรอานเพียงอย่างเดียวแบบคุณแมท ผมว่าต้องเกิดการขัดแย้งและแตกแยกกันเป็นร้อยๆพวก ไม่ใช่เพราะตามอัลกุรอาน แต่เนื่องจากต่างคนต่างมีความเข้าใจตัวบทของอัลกุรอานที่แตกต่างกันไป เช่นบางคนเข้าใจว่า อัลกุรอานบอกว่าเวลานั้นละหมาดมีสามเวลา บางคนบอกว่ามี 5 บางคนบอกว่ามี 12 บางคนบอกว่ามี 20 เพราะเข้าจากตัวบทของอัลกุรอานและอ้างว่ายึดอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว หากเป็นแบบนี้แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น
พวกยึดอัลกุรอานอย่างเดียวอย่างคุณแมท อ้างว่ากินดอกเบี้ยได้หากไม่ขูดรีดจนเกินไป เมื่อเป็นอย่างนี้ก็จะทำให้มุสลิมทั่วโลก(สมมุติว่ายึดอัลกุรอ่านเพียงอย่างเดียว) ต่างกินดอกเบี้ยกันเพลิน พวกที่อ้างตัวเองว่ายึดอัลกุรอานเพียงอย่างเดียวก็ขัดแย้งกันในจำนวนเงินที่กินดอกเบี้ยได้ บางคนจะเอาเท่านั้น บางคนกำหนดเท่านี้ บางคนกำหนดอัตราเท่าโน้น บางคนบอกว่าจำนวนเงินดอกเบี้ยเท่านี้ยังไม่ถึงกับขูดรีด บางคนบอกว่าจำนวนเงินเท่านั้นขูดรีดแล้ว บางคนบอกว่ามากกว่านั้นก็ยังไม่ขูดรีด หากเป็นแบบนี้ อารมณ์จะมีส่วนมากำหนดทิศทางของความเข้าใจของตัวบทอัลกุรอาน แล้วผลที่ตามมาละครับ ไม่พังหรือครับ
การที่คุณแมทเรียกร้องให้ยึดอัลกุรอานนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเรา เพราะเราก็ตามมากกว่าคุณแมทอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า เราจะเข้าใจอัลกุรอานอย่างไร ? หากคุณแมทเข้าใจจากตัวบทเอง คุณมั่นใจไหมว่า คนที่ตามแนวทางแบบคุณเขาจะเข้าใจตรงกันแบบคุณกันไปทุกเรื่อง สมมุติคุณคิดว่าโองการ تلاتة قروء "สามกุรุอฺ" คุณแมทจะเข้าใจอย่างไร พวกเดียวกับคุณแมทบอกว่า สามเฮด บางคนบอกว่า สามการเกลี้ยง ซึ่งมีความหมายได้สองแง่ตามหลักภาษา บรรดาศานุศิษย์ของคนที่ว่า สามเฮด ก็ยึดความเข้าใจของเขา ส่วนสานุศิษย์ของคนที่บอกว่า สามการเกลี้ยง ก็ยึดตามความเข้าใจของเขา แบบนี้ก็แบ่งพวกกันได้แล้วล่ะครับ
มีคนที่อยู่แนวทางเดียวกับคุณแมทกล่าวว่า ลูกของภรรยาที่เขาไม่ได้เลี้ยงดูนั้นแต่งงานกันได้ เพราะอัลกุรอานบอกว่า "ลูกเลี้ยงที่อยู่ในการเลี้ยงดูของพวกท่านนั้นแต่งงานไม่ได้ " ผมไม่รู้ว่าคุณแมทจะอยู่ฝ่ายใหน หากคุณแมทค้านฝ่ายแต่งงานกับลูกเลี้ยงที่ไม่อยู่ในการเลี้ยงดู เขาก็อ้างว่าเขาเอามาจากอัลกุรอาน หากคุณแมทตามความเห็นเช่นนั้นด้วย ระวังนะครับเตือนไว้ก่อน
ไม่ว่าเรื่องละหมาดและเรื่องอื่นๆ ที่คุณแมทถูกถามว่าจะทำกันอย่างไร คำตอบที่พอจะฟังได้ แต่ยังสกิดอยู่ก็คือ คุณแมททำละหมาด 5 เวลาและวิธีการนั้น " เขาทำติดต่อตามกันมาจนถึงปัจจุปัน " หากเป็นเช่นนี้ คุณแมทไม่ทำชิริกหรือครับ ? โดยที่เอาการกระทำของมนุษย์มาเป็นตัวกำหนดเรื่องละหมาด ระวังนะครับ ชิริกที่คุณอ้างนักอ้างหนามันจะกลับไปหาตัวคนเอง
กรณีเรื่องละหมาดคุณแมทก็ยังเคลียไม่กระจ่าง นอกจากยกฮะดิษอื่นๆ ที่คุณแมทคิดว่าไม่ตรงกับอัลกุรอานมาบิดเบือนประเด็น เรื่องละหมาดคุณก็ไปเคลียร์กับคุณ อัลฆุเราะบาอฺก็แล้วกัน สำหรับผมเรื่องซะกาตบ้าง ผมไม่รู้ว่าคุณจะออกซะกาตการอย่างไร โดยใช้การกำหนดพิกัดมาจากใหน ? หากคุณแมทว่าเอาจากการกระทำที่ติดต่อกันมา แสดงว่าคุณแมททำชิริก โดยเอาการกระทำของมนุษย์มาตรากฏหมายเคียงคู่อัลกุรอาน
ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า หากคุณแมทมีลูก ซึ่งคุณแมทก็สั่งสอนลูกให้อยู่ตามแนวทางของคุณ ลูกของคุณแมทถามคุณแมทว่า เรื่องซะกาตนั้นเราจะออกกันอย่างไร ? ในเมื่ออัลกุรอานไม่ได้กล่าวระบุเอาไว้ในเรื่องพิกัต คุณแมทก็ตอบลูกเขาว่า ก็ทำอย่างที่เขาทำต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ลูกคุณแมทก็ถามอีกว่า แล้วที่เขาทำกันมานั้น เขาเอาหลักเกนฑ์และบรรทัดฐานมาจากใหน ? คุณแมทก็ตอบว่า เขาก็สอนๆกันมาแล้วทำกัน ลูกคุณแมทก็ถามอีกว่า แล้วที่เขาสอนๆ กันมานั้น เขาเอาข้อมูลมาจากใหน ? 1. หากคุณแมทตอบว่าเอามาจากตำราฮะดิษ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะคุณแมทไม่เชื่ออะดิษที่เขาบันทึกไว้ 2. และหากคุณแมทตอบว่า ก็เอามาจากคำพูดต่อๆ กันมาว่าเขาทำกันอย่างนั้น หากเป็นเช่นนี้ คุณแมทก็ทำชิริกอีก เพราะเอาคำพูดของมนุษย์มาเป็นตัวตรากฏหมายของอัลกุรอาน และคุณแมทจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่มนุษย์พูดต่อๆกันมานั้นถูกต้อง หากคุณแมทบอกว่าเอาสิ่งที่ตรงกับอัลกุรอาน ก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน เพราะพิกัดเรื่องซะกาตไม่ได้ระบุไว้ในอัลกุรอาน แล้วมันจะไปตรงได้อย่างไร ? หรือว่า 3. คิดและเข้าใจกันขึ้นมาเอง แบบนี้คุณแมทคงไม่คิดสั้นเป็นชิริกตัวจริงโดยตั้งกฏเรื่องพิกัดซะกาตขึ้นมาเอง
คุณแมทครับ คุณอย่าลืมอายะฮ์นี้นะครับ
إِنَّ الَّذِينَ يُلْحِدُونَ فِي آيَاتِنَا لَا يَخْفَوْنَ عَلَيْنَا أَفَمَن يُلْقَى فِي النَّارِ خَيْرٌ أَم مَّن يَأْتِي آمِناً يَوْمَ الْقِيَامَةِ اعْمَلُوا مَا شِئْتُمْ إِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ
แท้จริงบรรดาผู้บิดเบือนโองการต่างๆ ของเราทั้งหลาย พวกเขาจะไม่ซ่อนเร้นไปจากเราได้ ผู้ที่ถูกโยนลงในนรกจะดีกว่า หรือผู้ที่มาอย่างปลอดภัยในวันกิยามะฮฺ ? งั้นพวกเจ้าจงทำตามสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาเถิด! แท้จริงพระองค์ทรงรู้เห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ " ฟุศศิลัต 40
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Sat Aug 27, 2005 9:06 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณ Al-azhary:


ผมไม่เข้าใจว่าคุณ al-azhary กำลังศึกษาวิชาอะไร ถึงได้ สับสนเช่นนี้ ผมขอเริ่มต้นด้วย “อากิดะฮฺ” คือ เรื่อง หลักศรัทธาของอิสลามให้คุณทราบพอสังเขปก่อน ตลอด ทุกซูเราะห์ ในอัลกุรอาน เราจะพบว่าคำว่า “อัลลอฮฺ” อยู่เสมอ ซึ่งหมายถึง “พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น” (ผมจะยังไม่โต้แย้งอาจารย์ ท่านใดก็ตามที่จะพยายามอธิบายว่า “ อัลลอฮ์” เป็น ชื่อเฉพาะของ พระเจ้า ของอิสลามเท่านั้น เพราะ ว่าเรื่องนี้ จะต้อง อธิบายกันอีกยืดยาว) จาก..

ซูเราะฮฺ อัศศ็อฟฟาต อายะ 4


إِنَّ إِلَهَكُمْ لَوَاحِدٌ

อินนา อิลาหะกุมละวาฮีดฺ

อย่างแน่แท้พระเจ้าของพวกเจ้านั้น มีเพียงหนึ่งเท่านั้น (37:4)


นี้คือแก่นแห่งความศรัทธาของอิสลาม คำว่า “เตาฮีด” หมายถึงความมั่นใจและความแน่ใจ ในความเป็นหนึ่งเดียว, ความเป็นหนึ่งเดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้า, เป็นหนึ่งเดียว แห่งความศรัทธา

เนื่องจากคำว่า “มุสลิม” หมายถึงผู้ที่ยอมตนสวามิภักดิ์, ยอมจำนน ต่อพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ความศรัทธาของมุสลิมต่อ องค์พระผู้เป็นเจ้านั้น นอกจากจะเชื่อว่า มีพระเจ้าอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้สร้าง แล้ว มุสลิมจะต้องให้ความเคารพกราบไหว้บูชา ต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ผู้ซึ่ง เป็นหนึ่งเดียวของความศรัทธา


การแบ่งแยก หรือรวม สิ่งอื่นเข้ามาในหลักเตาฮีด ถือว่าเป็น “บิดะอะห์”

ลักษณะของการกระทำที่เป็น “ชริก” (ตามนักวิชาการ "ซุนนีย์")

จาก บาปหนักลงไปถึงขนาดเบาที่สุด มีดังต่อไปนี้

การยกฐานะของสิ่งใดๆ ก็ตามเทียบเท่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

มีความตั้งใจและการไตร่ตรองที่จะบูชาสิ่งอื่นใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

เชื่อฟังผู้อื่นเพื่อการฝ่าฝืนบัญญัติของ พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

ให้ความรักต่อบุคคลหรือวัตถุมากกว่าพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

ยกฐานะสิ่งหนึ่งสิ่งใดเทียบเท่า พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

การแสดงออกทางศาสนาเพื่อ ผลประโยชน์ทางโลก (เอาศาสนามาหากิน)

การสาบานต่อสิ่งอื่นๆ นอกจากอัลลออ์ (รวมทั้งคำอุทานที่แสดงความเห็นใจและความสงสาร)


คำว่า “ชริก” ก็คือการกระทำใดๆก็ตามที่ยกบุคคลหรือวัตถุ เทียบเท่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวนั้น


ตามที่คุณ al-azhary กล่าวว่า,


“แต่ยังสกิดอยู่ก็คือ คุณแมททำละหมาด 5 เวลาและวิธีการนั้น " เขาทำติดต่อตามกันมาจนถึงปัจจุปัน " หากเป็นเช่นนี้ คุณแมทไม่ทำชิริกหรือครับ ? โดยที่เอาการกระทำของมนุษย์มาเป็นตัวกำหนดเรื่องละหมาด ระวังนะครับ ชิริกที่คุณอ้างนักอ้างหนามันจะกลับไปหาตัวคนเอง”


“การกระทำเช่นนั้นไม่ได้เรียกว่าเป็นการ ทำชิริกหรอกครับ”, ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าคุณอ่านข้อความของผมให้เข้าใจให้ดีๆ คุณจะเห็นว่า การปฏิบัติการละหมาด หรือการประกอบศาสนกิจ ตามที่ท่านร่อซูล(ซล.) ปฏิบัติ และที่มุสลิมทั้งหลายทำต่อๆกันเป็นนิสัยนั้น เป็นการดำเนินการปฏิบัติตาม การกระทำของมนุษย์ ทั้งนี้ เพราะ ว่า ท่านร่อซูล(ซล.) เป็นมนุษย์ธรรมดา เช่นพวกเราทั้งหลาย แต่ฐานะของท่านต่างจากสามัญชน หรือต่างจาก เราๆทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะ ท่านร่อซูล(ซล.) ได้รับการแต่งตั้งจาก องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้เป็นผู้นำข่าวสารของพระองค์ “อัลกุรอาน” มาสู่มวลมนุษยชาติ


ในหนังสือของอีมามบุคอรี มีข้อบรรยายในหนังสือที่เรียกว่า “หนังสือในการทำละหมาด” และสิ่งที่น่าแปลกก็คือ ในหนังสือนี้ไม่มี หะดีษใดๆเลย ที่สอนเกี่ยวกับการละหมาด, มีแต่อะหะดีษที่ เล่าหรืออ้างว่า เคยเห็น หรือได้ยินท่านร่อซูล(ซล.) กล่าวหรือกระทำบางสิ่ง ที่ เกี่ยวกับการละหมาด เท่านั้น และมีอยู่เพียง หะดีษเดียว ที่บุคอรีรายงานว่าท่านร่อซูล(ซล.) สอนชายผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งท่านร่อซูล(ซล.) เห็นว่าชายผู้นั้น ละหมาดไม่ถูกต้อง, แต่ หะดีษที่รายงานนี้ กล่าวว่า ท่านร่อซูล(ซล.) สอนชายผู้นั้น เกี่ยวกับการปฏิบัติ เช่นการ รุกุ และ สูญูด, และการอ่านบทในอัลกุรอาน, แต่หะดีษไม่ได้ระบุว่า ท่านร่อซูล(ซล.) สอนหรือ กล่าวถึง จำนวนในการ รุกุ และจำนวน สูญูด ว่า จะต้องทำ กี่ ครั้ง, หรือกล่าวถึงการอ่าน “ อัลฟาติหะ”, ซึ่ง มีกล่าวในหะดีษ บทอื่นว่าถ้าไม่อ่าน“ อัลฟาติหะ” แล้ว การละหมาดจะไม่สมบูรณ์, ในหะดีษบทหนึ่งกล่าวว่า “จงละหมาดตามที่ท่านเห็นเราละหมาด”, แต่หะดีษบทนี้ไม่ได้ บอกวิธีการละหมาดว่าคะต้องทำอย่างไรเช่นกัน


ไม่มีอะหะดีษบทใดๆเลยที่กล่าวถึงจำนวน “รอกกะอัต” การ รุกุ และ การสูญูด ถ้าจะพูดถึงเรื่อง ซะกะห์ ไม่มีหะดีษที่กล่าวถึง อัตรา ในการจ่ายว่า แต่ละบุคคล จะต้องจ่ายจำนวนเท่าไร (ถ้าผมอ่านหรือค้นไม่พบก็ช่วยกรุณา เพิ่มเติมความรู้ให้ผมด้วย)


เราจะเห็นว่า หลักปฏิบัติทางศาสนกิจ ตามที่คุณ al-azhary อ้างถึงนั้น ไม่มี อะหะดีษ ใดๆ ที่สอน ให้รายละเอียดไว้ อย่างชัดเจน ซึ่งความจริงตามที่ผมกล่าวแล้ว ว่า เป็นการกระทำ และสอนต่อๆกันมา โดยไม่ต้อง อาศัย “ซอเอี๊ยะ หะดีษของบุคอรีและอื่นๆ มา ใช้ควบคู่ไปกับอัลกุรอาน


อาจารย์ฟะรีด เพนดี้ สอนว่า หลัก “อากิดะฮฺ” ของอิสลาม ตั้งอยู่บนความแท้จริง “อัลกุรอานและซอเฮี๊ยะ หะดีษของบุคอรีและอื่นๆ”, เป็นหลักการปฏิบัติในศาสนาอิสลาม, เมื่อท่านอาจารย์ ทั้งหลาย สอนให้เรายก “เรื่องบอกเล่า “ฮีกาญะห์” มาใช้ควบคู่ไปกับอัลกุรอาน แล้ว จะขัดกับหลัก “เตาฮีด” หรือไม่ ? คุณลองคิดดู


หลักการของอิสลามจะต้องตั้งอยู่ที่การยึดถือพระเจ้าองค์เดียว และ การยึดถือพระเจ้าองค์เดียว ก็คือ การยึดถือ”อัลกุรอาน” ไม่ใช่ เรื่องนิทาน หรือ เรื่อง บอกเล่า “ตากะยาย”

การปฏิบัติศาสนกิจสืบต่อกันมาจาก ชนรุ่นหนึ่งมายังชนรุ่นหนึ่งโดยไม่ขาดสาย, จะเป็นการปฏิบัติตามที่เห็น ท่านร่อซูล(ซล.) ปฏิบัติ ( แม้แต่ในหะดีษที่คุณเทิดทูล ยังมีบันทึกว่า“จงละหมาดตามที่ท่านเห็นเราละหมาด”) หรือ ตามบุคคลที่ เคยปฏิบัติ มาก่อน ท่านร่อซูล(ซล.) ไม่เป็น “ชริก” ผมว่า “คุณ al-azhary” สับสนเรื่อง หลักเตาฮีด ในอิสลามเสียแล้ว

ท่านอีมามมาลิก กล่าวในทำนองนี้ว่า “ไม่ว่าเราจะจำอะหะดีษมากมายสักเท่าไร ก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้จักนำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”


ผมจะยกตัว ย่างของการกระทำ “ชริก” ที่ทำโดยไม่ตั้งใจ และไม่เข้าใจ สังคมรอบข้าง

อาจารย์ Asan ท่านอธิบายว่า,

“คำว่า"สิ่งทีถูกประดิษฐขึ้นใหม่ คือ ทุกสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนาอิสลาม จากบิดอะฮที่เกี่ยวกับหลักวามเชื่อ การอิบาดะฮและในทำนองนั้น จากสิ่งที่ไม่ปรากฏในคัมภีร์และสุนนะฮที่แน่นอนจากท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ และพวกเขายึดถือเป็นศาสนา นำสิ่งนั้นมาเป็นความเชื่อ และ ประกอบอิบาดะฮด้วยสิ่งนั้น โดยเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติทั้งๆที่ไม่ใช่”


คำวลี ที่ว่า, “สุนนะฮที่แน่นอนจากท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ” หมายถึงอะไร ? ผมว่าคงไม่หมายถึง “อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆ” เป็นแน่เพราะ เราทราบอยู่แล้วว่า มีความไม่แน่นอน อยู่ใน “อะหะดีษ” เป็นจำนวนมาก (4:82)


“สุนนะฮที่แน่นอนจากท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ” ที่แน่ใจได้ 100 % คือ การยึดถืออัลกุรอานเป็นหลักปฏิบัติในศาสนาอิสลามเท่านั้น และ “สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนาอิสลาม” ได้แก่ “อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆ” ทั้งนี้เพราะว่า เริ่มจดบันทึกเป็นรูปเล่ม 200 กว่าปีหลังจากที่ท่านร่อซูล(ซล.)สิ้นชีวิตไปแล้ว โดยที่ท่านร่อซูล(ซล.) ไม่มีโอกาสได้รับทราบหรือรับรองความแน่นอน และแท้จริง ของ การจดบันทึก ตามที่ ท่านอาจารย์ ฟารีด เพนดี้ กล่าวอ้าง,


คุณคงไม่คัดค้านหรือ ต่อต้านว่า “อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆ” เป็น “กิตาบุลลอฮ์” ที่ท่านร่อซูล(ซล.) สอนให้เรา “ยึดมั่น” ควบคู่ไปกับ “อัลกุรอาน” เพราะถ้าคุณเชื่อเช่นนั้น จะเป็นการกระทำที่เป็น “ชริก”

คือ “ยกฐานะสิ่งหนึ่งสิ่งใดเทียบเท่า พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น”


คุณจะเห็นว่า ในการสนทนากระทู้นี้ ท่านอาจารย์ ASAN กล่าวว่า โดยไม่ตั้งใจว่า,
“แหมเล่นเรียก"พี่อาสัญ"ตกใจหมดเลยเพราะคำนี้ถ้าจำไม่ผิดแปลว่า "ตาย"โถ..โถ เขายังไมอยากตาย ตอนนี้ ทีหลัง เรียกว่า"อะสัน" ดีกว่านะคร้าบ ส่วนหะดิษที่คุณพูดถึง ผมขอตอบแทน อ. มุริด ก็แล้วกัน..”

การกล่าวคำอุทาน ที่มาจาก “อากิดะฮฺ ” ของพุทธศาสนา นั้น ก็จัดอยู่ในการกระทำ ที่เป็น “ชริก” อย่างหนึ่ง คือ “การสาบานต่อสิ่งอื่นๆนอกจากอัลลอฮ์(รวมทั้งคำอุทานที่แสดงความเห็นใจและความสงสาร)”

ในความเป็นพี่น้องมุสลิมด้วยกัน ผม เข้าใจได้ว่า ท่านอาจารย์ ASAN มีอีม่าน ความศรัทธาต่อ พระเจ้าองค์เดียว อย่างแท้จริง และพระเจ้าย่อมล่วงรู้ถึง จิตใจจริง ของ อาจารย์ ASAN พระองค์จะทรงให้อภัยเสม,


ที่ผมยกตัวอย่างนี้ มาในที่นี้ เพื่อ ให้ ยุวชนมุสลิมเห็นว่า การกระทำอะไรที่เป็นนิสัยประจำ เนื่องจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมนั้น อาจจะทำให้ เสีย อีมานไปโดยไม่ตั้งใจได้


ความจริงศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ง่ายต่อการปฏิบัติ แต่มุสลิมส่วนใหญ่ไปเสียเวลา ศึกษาสิ่งที่ไม่ได้เป็น หลัก “อากิดะฮฺ ” ของอิสลามที่แท้จริง ไปเสียเวลากับ “สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนาอิสลาม” ได้แก่ “อะหะดีษ”


ความจริงแล้วผมไม่ได้คัดค้านความ “คงอยู่” ของ “อะหะดิษ” หรือถ้อยคำ ในอะหะดิษ นอกจากบาง อะหะดิษ ที่ ออกนอกลู่นอกทางของ อิสลาม และ ขัดกับ “อัลกุรอาน” ผมมองและเข้าใจ “อะหะดิษ” จาก ความตั้งใจ ของ ผู้รวบรวม “อะหะดิษ” ในแง่ว่า บรรดา ผู้รวบรวม “อะหะดิษ” นั้นมีความต้องการ “เก็บถ้อยคำ” หรือ “การบอกเล่า” เรื่องที่เชื่อว่า อาจจะเป็นคำพูด หรือ การ ปฏิบัติ ที่แท้จริงของ ท่าน “รอซูล(ซ.ล.)” เพื่อเก็บไว้ให้เป็น อนุสร ถึงท่าน รอซูล(ซ.ล.) ท่านอิมามบุคอรีผู้ซึ่ง เป็นผุ้ ที่ได้ชื่อว่า เป็น ต้นกำเนิด ของวิชาการ “หะดีษ” ท่านเองก็ยังมีความ ไม่แน่ใจเกี่ยวกับ ความแท้จริง ของ แต่ละอะฮะดิษที่ท่านจดบันทึก ท่านต้องละหมาด 2 รอ๊กอัต เพิ่อขออภัยโทษจาก “พระผู้เป็นเจ้า”หากการจดบันทึก ของท่าน ไม่ตรงกับความเป็นจริง


การที่ว่า “อะหะดีษ”ถูกบันทึกมาเพื่อเป็นอนุสร ถึงท่าน รอซูล(ซ.ล.) นั้น ก็เพราะว่า มี “อะหะดิษ” อยู่หลายบท ที่มีบทสอนใจที่ดี ที่น่าชื่นชม, ที่ทำให้มุสลิมรักและอยู่ร่วมกัน มีความสามัคคีกัน, รักหมู่คณะ เปรียบเสมือน นิทานสุภาษิติ แต่ก็ยังมี อะหะดิษ ที่จัดว่า เป็น “ซอเฮี๊ยะ” เป็นจำนวนมาก ที่ขัดกับหลักการ ของอิสลาม และมนุษยธรรม และ ทำลายคุณสมบัติและบุคลิกภาพที่สูงส่งของรอซูล(ซ.ล.)


เนื่องจากศาสนาอิสลามต่างกับ พุทธศาสนา ที่ว่า “ศาสดาของศาสนาพุทธ” เป็นผู้สร้างและกำหนดบท บัญญํติ และหลักการของพุทธศาสนา ขึ้นมาจาสติปัญญาของท่านเอง


แต่ว่า ศาสนาอิสลาม มี รอซูล(ซ.ล.) เป็น ศาสนทูต ผู้ซึ่งรับโองการหรือบทบัญญัติ (อัลกุรอาน) มาจากพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ เพื่อที่จะบรรลุความสุขที่แท้จริง ใน ปรโลก,รอซูล(ซ.ล.)ไม่ได้ตั้งบัญญัติ ใดๆด้วยตัวท่านเอง


การสร้างหรือจดบันทึกถ้อยคำหรือการกระทำใดๆ ก็ตามของศาสดา หรือ ของศาสนทูต โดยเฉพาะ สำหรับศาสนาอิสลาม แล้ว เป็นการ อันตรายต่อ การศรัทธา ต่อ พระ ผู้เป็นเจ้า มุสลิมทุกๆท่านที่ศึกษาอะหะดิษอย่างละเอียด จะพบว่า “รอซูล(ซ.ล.)” สั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด ในการจดบันทึกถ้อยคำ หรือการกระทำของท่าน นอกจาก “อัลกุรอาน” เท่านั้น แต่ไม่มีผู้ใดใส่ใจ


ในศาสนาพุธ หลังจากที่ ศาสดา สิทธัตถะ สิ้นชีวิตไปแล้ว ก็มีผู้ที่ศรัทธาต่อท่าน และรักท่าน สร้างรูปปั้นและรูปภาพ เสมือนตัวท่านไว้เป็นที่ระลึก แต่ในที่สุด ส่วนใหญ่ ของผู้นับถือพุทธศาสนา ลืมคำสอนของท่านแต่กลับมากราบเคารพรูปปั้นของท่าน


ในศาสนาคริสต์ หลังจาก ท่านนบีอีซา สิ้นชีวิตไปแล้ว ผู้คนที่รักและเคารพท่านอย่างล้นพ้น หลงในเรื่องบอกเล่า ที่เกี่ยวกับตัวท่าน ถึงกับยกท่านเป็น ภาคีกับพระเจ้า และ สร้างรูปท่านขึ้นมาเป็นที่ระลึกและเคารพบูชา


รอซูล(ซ.ล.) เห็นและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ท่าน นบีอีซา รอซูล(ซ.ล.) จึงห้ามการจดบันทึก ถ้อยคำของท่านนอกเหนือไปจาก อัลกุรอานเพราะรอซูล(ซ.ล.) เกรงว่า มุสลิม จะมาเคารพบูชาท่าน แทนที่จะ “ยึดอยู่กับการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว”


ด้วยเหตุนี้ผมจึงคัดค้าน ว่า มุสลิมไม่ควรยึดศรัทธา “อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆ เป็นหลักปฏิบัติในอิสลาม ควบคู่ไปกับอัลกุรอาน” และจัดลำดับให้เป็น คัมภีร์ ของอิสลามเล่มที่สอง


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AbdurRahman
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005
ตอบ: 185


ตอบตอบ: Sat Aug 27, 2005 9:57 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
แหมๆๆๆๆ พี่มาดนะพี่มาด ทำไปได้ ผมในฐานะ น้องใหม่นะครับ พึ่งเข้ามาไม่นาน เวลา ใครเขียน ยาวๆ ผมจะมึน คือไม่รู้ว่า ผู้เขียนจะสื่อไปถึงตรงไหน เอาเป็นว่า ตามความเข้าใจของผม
พี่แมท? หรือ พี่มาด ดูเสมือนมีความรู้สึกที่จะต่อต้านใน อะหะดิษ โดยเฉพาะ ท่านอิมามบุคอรีย์ เพราะเห็นท่านถูกพี่กล่าวพาดพิงบ่อยๆ
พี่คงไม่เชื่อมั่นในระบบควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ( อิอิ ลอกเค้ามานะครับ คำนี้) ของศาสนาอิสลาม ในระบบสายรายงานความถูกต้อง คือคงมีสิ่งที่สงสัย อยู่ค้างคาในบางส่วนของจิตใจ (สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเกิดจากชัยตอน มารร้ายที่ถูกสาปแช่ง เข้ามายุแหย่ในจิตใจ) ถ้าไม่เชื่อในอะหะดิษ อย่างที่พี่ชอบว่า ผมขอแค่เรื่องยิ้มให้กัน ผมก็คงไม่ยิ้มแล้วละครับ ทั้งๆที่มันเป็นซอดาเกาะฮ์ เป็นการทำทาน โลกนี้คงจะเครียดขึ้นอีกเยอะ พี่ว่าไม้ครับ
ผมมีหลักง่ายๆ ถึงง่ายมากๆ ที่ผมถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กๆ คือ อิสลาม เป็นศาสนาที่ทำให้คนเป็นคนดีที่สุด ถ้ามีส่วนไหน หรือที่ใด ที่ทำให้คนเป็นคนไม่ดี ให้สันนิษฐานไว้ก่อน(แล้วต้องไปค้นคว้าสอบถาม อาจารย์ให้ละเอียด)ว่า สิ่งนั้นไม่น่าจะมาจากคำสอนของอิสลาม
เพราะฉะนั้น ถ้า ท่าน อิมาม บุคอรีย์ ที่พี่ไม่คิดจะเชื่อใน รายงานที่ท่านจัดทำขึ้น มีฮาดิษบทไหน ที่ทำให้พี่เป็นคนไม่ดี พี่ยกมาเลยครับ เราจะได้วิเคราะห์กัน ว่า นั่น ใช่แนวทางอิสลามหรือไม่
เพราะไม่ใช่แค่ท่านอิมาม บุคอรีย์ที่ทำ รายงานนี้ แต่ยังมี ท่านอิมาม มุสลิม ถ้า สองท่านจัดทำรายงานขึ้นมาตรงกันทั้งสองสาย ก็ยิ่งน่าจะทำให้เราภาคภูมิใจมากๆ นะครับ
ผมไม่แปลกใจ และ ไม่เคยคิดจะก้าวไปให้ลึกเกินกว่าที่จะทำให้ศรัทธาของเราต้องไขว้เขว ในเมื่อ มีคนรับผิดชอบความเชื่อของเรา ผู้ที่กลั่นกลองสิ่งที่จะทำให้เราเป็น ประชาชาติตัวอย่าง แค่เราทำตาม พร้อมทั้งคิดตาม ผลที่มันจะเกิดต่อเนื่องตามมาศรัทธาในอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัล ทำตามแนวทางที่มีผู้เสียสละจัดทำรายงานวิถีการดำเนินชีวิตของท่านผู้นำสาร Solallah จะคิดมากไปเพื่อให้ได้เป็น ซูฟี เหรอคร้าบ
หมายเหตุ พี่ไม่น่านำคำพูดที่ผมกับพี่อะสัน มาต่อยอด จากคำทักท้วงของผมเลยครับ ผมไม่ชอบนะ ทีหลังต้องขออนุญาติผมด้วยนะครับ ห้ามทำโดยพลการ Shocked Shocked Shocked
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sun Aug 28, 2005 1:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดี อ. แมท
ผมเองช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา มากนัก แต่ พอเข้าเห็นคุณ แมทและ น้องอับดุรเราะหมาน ตำหนิ การใช้ภาษา คำว่า" โถ" ซึ่งคำนี้ปกติเวลาสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน ขอยืนยันว่าไม่เคยใช้เลย ผมคนภาคใต้ ใช้ภาษาใต้ เป็นหลัก แต่..ที่กล่าวคำว่า " โถ"ในบอร์ดสนทนา ก็เพื่อเป็นการหยอกล้อกับคุณ อับดุรเราะหมาน เท่านั้นเอง แต่ก็ขอขอบคุณ ท่านทั้งสองที่ตำหนิมา ซึงผมเองก็ได้ความรู้ใหม่ในคำว่า ไถ" นะครับ
และขอตอบคุณแมทนิดหนึ่งที่คุณ แมทกล่าวว่า
ไม่มีอะหะดีษบทใดๆเลยที่กล่าวถึงจำนวน “รอกกะอัต” การ รุกุ และ การสูญูด
..........................................
ตอบ
2-عن أنس قال : صليت مع رسول الله صلى الله عليه وسلم الظهر بالمدينه أربعا وصليت معه العصر بذي الحليفه ركعتين ( متفق عليه)
รายงานจากอะนัส กล่าวว่า"ข้าพเจ้าละหมาดซุฮรี พร้อมกับท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ ที่นครมะดีนะฮ สี่เราะกะอัต และละหมาดอัศรี พร้อมกับท่าน ที่ซุ้ลหุลัยฟะฮ สองเราะกะอัต - มุตตะฟักอะลัยฮ
หะดิษบทนี้ ระบุว่า ท่านรอซูล ศอลฯ ละหมาดซุฮรี 4 เราะกะอัต
ส่วนการละหมาดอัศรี ที่ซุลหุลัยฟะฮ 2 เราะกะอัตนั้น เพราะอยู่ในระหว่างเดินทาง ท่านจึงย่อละหมาด
เอาแค่นี้ก่อน อิงชาอัลลอฮ ค่อยมาว่ากันใหม่
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 3:36 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ถึงท่านแมทท์
ยังไม่ทันไร ท่านเริ่มสับสนเสียแล้วหรือครับ ค่อยๆอ่าน ค่อยพิจารณานะครับ ว่าทฤษฏีและหลักปฏิบัติของท่านนั้นจะไปกันได้หรือเปล่า ? ส่วนหลักการศรัทธาตามที่ท่านนำเสนอมานั้น มันเรื่องที่ไม่มีใครเขาคัดค้านกันเรื่องครับ เห็นนำเสนอซะยืดยาวเลย เดี๋ยวผมจะเจาะประเด็นให้ครับ เพื่อท่านแมทท์จะได้ไม่สับสน

อ้างอิงจากท่านแมทท์
ตามที่คุณ al-azhary กล่าวว่า,
“แต่ยังสกิดอยู่ก็คือ คุณแมททำละหมาด 5 เวลาและวิธีการนั้น " เขาทำติดต่อตามกันมาจนถึงปัจจุปัน " หากเป็นเช่นนี้ คุณแมทไม่ทำชิริกหรือครับ ? โดยที่เอาการกระทำของมนุษย์มาเป็นตัวกำหนดเรื่องละหมาด ระวังนะครับ ชิริกที่คุณอ้างนักอ้างหนามันจะกลับไปหาตัวคนเอง”
“การกระทำเช่นนั้นไม่ได้เรียกว่าเป็นการ ทำชิริกหรอกครับ”, ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าคุณอ่านข้อความของผมให้เข้าใจให้ดีๆ คุณจะเห็นว่า การปฏิบัติการละหมาด หรือการประกอบศาสนกิจ ตามที่ท่านร่อซูล(ซล.) ปฏิบัติ และที่มุสลิมทั้งหลายทำต่อๆกันเป็นนิสัยนั้น เป็นการดำเนินการปฏิบัติตาม การกระทำของมนุษย์

ตอบ
สิ่งที่ผมกล่าวไปนั้นไม่เป็นชีริกตามทัศนะของท่านดอกหรือครับ ? ในเมื่อท่านเคยกล่าวไว้ในกระทู้มรดกอิสลามยอมฮิตของท่านว่า
“และเขา (มูฮัมหมัด) มิได้กล่าวเรื่องใดจากอารมณ์ของตัวเอง หากแต่เป็นการดลใจที่ถูกประทานมา” ซูเราะห์อัลนัจญ์ อายะห์ที่ 3”

จากคำจำกัดความข้างบนนี้ ท่านสมาชิกจะเห็นว่า “ท่านผู้นี้ พยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างภาคี (ชิริก) โดยพยายามจะแยกความสำคัญของอัลกุรอาน ออกเป็นบัญญัติเก่า เพื่อเปิดที่ ให้ “ฮะดีษ” ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ ของมนุษย์ ขึ้นมาเป็นหลักการ “ใหม่” ของศาสนา เล่มที่สอง โดยอ้างอัลกุรอานประกอบไว้เพียงครึ่งเดียว ดังกล่าวแล้ว" ดูหน้า 6 ตอบ: Sat Jun 19, 2004 10:57 pm

ท่านแมทท์กล่าวย้ำอีกครั้งว่า "ถ้าจะกล่าวในความหมายกว้างๆ “ชิริค” คือการปฎิบัติตัวของผู้ใดก็ตาม(รวมทั้งของตัวเรา) ที่ ยึดถือหลักการ, คุณธรรม, หรือการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ตาม ประเพณีหรือหลักปฏิบัติ ที่นอกเหนือไปจาก คำสอนและคุณธรรมที่บัญัติไว้ในอัลกุรอาน, หรือผู้ที่สร้างบัญญัติ หรือยกย่องบุคคลขึ้น เป็นภาคีต่อ พระองค์อัลลอฮ์ นั้นเอง" ดูหน้า9 ตอบ: Wed Jun 30, 2004 6:16 pm

เมื่อท่านเคยกล่าวออกมาอย่างนี้ แล้วจะให้ผมเข้าใจอย่างไรครับท่าน

อ้างอิงจากท่านแมทท์
เพราะ ว่า ท่านร่อซูล(ซล.) เป็นมนุษย์ธรรมดา เช่นพวกเราทั้งหลาย แต่ฐานะของท่านต่างจากสามัญชน หรือต่างจาก เราๆทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะ ท่านร่อซูล(ซล.) ได้รับการแต่งตั้งจาก องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้เป็นผู้นำข่าวสารของพระองค์ “อัลกุรอาน” มาสู่มวลมนุษยชาติ

ตอบ
ท่านแมทท์เนี่ย รู้สึกว่าดูค่าท่านนบี(ซ.ล.)น้อยว่าที่คิดเหมือนกัน ท่านนบี(ซ.ล.) เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา ไม่ใช่เป็นมาลาอิกะฮฺ เป็นยินก็หาไม่ ท่านนบีไม่ปราถนาที่มีคนมายกย่องท่านเหมือนกับนบีอีซาจนเลยเถิดถึงขั้นเป็นพระเจ้า ท่านนบีเป็นบ่าวผู้น้อบน้อมเป็นที่สุดต่ออัลเลาะฮฺ ดังกล่าวอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงใช้ท่านนบีกล่าวว่า "จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริง ฉันเป็นมนุษย์เหนือพวกท่านทั้งหลาย ซึ่งวะฮีได้ถูกมายังฉัน" หากแม้ว่าวะฮีไม่ลงมายังท่านนบี(ซ.ล.) ท่านก็ยังเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด ( الإنسان الكامل ) มีจรรยาที่สมบูรณ์สุด แต่ฐานะของท่านนั้นต่างจากพวกเรามากนัก ไม่ใช่เพียงแต่ท่านได้รับการแต่งตั้งจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้เป็นผู้นำสารเท่านั้น แต่ท่านนบี(ซ.ล.) ยังเป็นเราะฮฺมัต เป็นความเมตตาที่อัลเลาะฮฺทรงให้แก่สากลโลก
وما أرسلناك إلا رحمة للعالمين
"และเราไม่ได้ส่งเจ้ามา(โอ้มุฮัมมัด)นอกจาก เป็นความเมตตาแด่มวลมนุษย์ชาติ"
وكان فضل الله عليك عظيما
"และความโปรดของอัลเลาะฮฺ ที่ให้แก่เจ้านั้น(โอ้มุฮัมมัด) มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน"
อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า
ورفعنا لك ذكرك
"และเราได้ยกเกียตริ กับการรำลึกกล่าวเจ้า(โอ้มุฮัมมัด)"
อัลเลาะฮฺได้ทรงให้เกียตริท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ถูกเอ่ยนามกล่าวใน สอง กะลิเมาะฮฺคำปฏิญาน ได้รับเกียตริให้ถูกกล่าวในละหมาด ซึ่งแตกต่างจากนบีท่านอื่นๆ

อ้างอิงจากท่านแมทท์
ในหนังสือของอีมามบุคอรี มีข้อบรรยายในหนังสือที่เรียกว่า “หนังสือในการทำละหมาด” และสิ่งที่น่าแปลกก็คือ ในหนังสือนี้ไม่มี หะดีษใดๆเลย ที่สอนเกี่ยวกับการละหมาด, มีแต่อะหะดีษที่ เล่าหรืออ้างว่า เคยเห็น หรือได้ยินท่านร่อซูล(ซล.) กล่าวหรือกระทำบางสิ่ง ที่ เกี่ยวกับการละหมาด เท่านั้น และมีอยู่เพียง หะดีษเดียว ที่บุคอรีรายงานว่าท่านร่อซูล(ซล.) สอนชายผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งท่านร่อซูล(ซล.) เห็นว่าชายผู้นั้น ละหมาดไม่ถูกต้อง

ตอบ
ผมแปลกใจกับท่านแมทท์มากเลยครับ ไม่รู้ว่าท่านเขาจะเอาอย่างไรกันแน่ บอกว่าเรื่องละหมาด ที่เกี่ยวกับเวลาละหมาด จำนวนระกะอัต เป็นต้นนั้น เขาได้ทำต่อๆ กันมา พอท่านบีท่านทำให้เห็นกลับมาวิจารณ์ หากท่านนบีพูดออกมาเกี่ยวกับเรื่องละหมาด แล้วเล่าต่อๆ กันมา ท่านแมทท์ก็ไม่เชื่ออีกเพราะว่านบีไม่ได้รับ ทั้งที่การเห็นนบีทำละหมาดนั้น บรรดาซอฮาบะฮฺได้เห็นแล้วก็บอกกล่าวรายงานกันมา ผมไม่รู้ว่าท่านแมทท์จะเชื่ออีกหรือเปล่า ? เพราะการกระทำของนบีก็เป็นเรื่องที่เล่ารายงานกันมาเหมือนกัน แต่ท่านแมทท์ไม่เลือกที่จะบอกว่าตามบุคคอรีย์ เพราะกลัวจะเสียหลักทฤษฏีของตัวเอง เลยบอกไปว่าเขาทำละหมาดเพราะคนทำต่อๆ กันมา ทั้งที่การกระทำต่อๆ กันมานั้น เขาเอาจากตัวบทฮะดิษ

อ้างอิงจากท่านแมทท์
ไม่มีอะหะดีษบทใดๆเลยที่กล่าวถึงจำนวน “รอกกะอัต” การ รุกุ และ การสูญูด ถ้าจะพูดถึงเรื่อง ซะกะห์ ไม่มีหะดีษที่กล่าวถึง อัตรา ในการจ่ายว่า แต่ละบุคคล จะต้องจ่ายจำนวนเท่าไร (ถ้าผมอ่านหรือค้นไม่พบก็ช่วยกรุณา เพิ่มเติมความรู้ให้ผมด้วย) เราจะเห็นว่า หลักปฏิบัติทางศาสนกิจ ตามที่คุณ al-azhary อ้างถึงนั้น ไม่มี อะหะดีษ ใดๆ ที่สอน ให้รายละเอียดไว้ อย่างชัดเจน ซึ่งความจริงตามที่ผมกล่าวแล้ว ว่า เป็นการกระทำ และสอนต่อๆกันมา โดยไม่ต้อง อาศัย “ซอเอี๊ยะ หะดีษของบุคอรีและอื่นๆ มา ใช้ควบคู่ไปกับอัลกุรอาน

ตอบ
ผมนึกว่าท่านแมทท์จะศึกษาฮะดิษ อย่างจริงจังเสียอีก เมื่อกี้ท่านแมทท์บอกว่า มีเพียงฮะดิษเดียวที่บุคอรีย์รายงานว่าท่านร่อซุล(ซ.ล.)สอนชายคนหนึ่ง ท่านแมทท์ลองศึกษาฮะดิษนั้นหรือยังครับถึงได้ฟันธงออกมาอย่างนี้ แม้กระทั้งเรื่องซะกาต ฟันธงมาเลยว่าไม่มีอัตราในการจ่าย นี่ท่านแมทท์อยู่อเมริกามาตั้ง 40 ปี แล้วนะครับ(ไม่รู้ว่าผมจำผิดหรือเปล่า) อายุอวุโสมากแล้ว แต่จากพูดจากท่านแมทท์ที่บอกว่า ไม่มีหะดิษที่กล่าวเรื่องอัตราในการจ่าย เป็นการเผยตัวตนอันแท้จริงของท่านแมทท์ว่า ท่านไม่เคยออกซะกาต ตั้งแต่เกิดมาดูโลก อัลกุรอานบอกใช้ให้ออกซะกาต ท่านแมทท์ก็ได้แต่อ่านหลักการ แต่ทำไม่เป็น หากท่านแมทท์อ้างว่าเคยออกซะกาตเพราะตามคนอื่นที่เขาทำกันมา ก็แสดงว่าผู้ที่ประกาศตนว่าตามอัลกุรอาน แต่มาตามคนอื่นเขาทำกัน โดยไม่รู้ว่าที่มานั้นมาจากใหน? แสดงว่าหลักการปฏิบัติของท่านแมทท์นั้นคือ 1 ตามอัลกุรอาน 2. ตามสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน มาควบคู่กับอัลกุรอาน ท่านแมทท์ไม่ลองถามหรือว่าที่เขาทำๆกันเขาเอามาจากใหน ? กว่าจะกระทำกันได้นั้น ต้องบอก ต้องสั่งสอน เรียนกัน ไม่ใช่แค่มองตากันและเห็นว่าเขาทำอย่างไรก็ตามกันไป เมื่อคนเราจะอะไร อะมัลอะไร ก็ต้องเรียน ต้องศึกษา แล้วหลักสูตรตำราล่ะ เอามาจากใหน ? ส่วนข้อมูลเรื่องซะกาตนั้น ลองเข้าเวปไซด์ซะกาตซิครับ

อ้างอิงจากท่านแมทท์
การปฏิบัติศาสนกิจสืบต่อกันมาจาก ชนรุ่นหนึ่งมายังชนรุ่นหนึ่งโดยไม่ขาดสาย, จะเป็นการปฏิบัติตามที่เห็น ท่านร่อซูล(ซล.) ปฏิบัติ ( แม้แต่ในหะดีษที่คุณเทิดทูล ยังมีบันทึกว่า“จงละหมาดตามที่ท่านเห็นเราละหมาด”) หรือ ตามบุคคลที่ เคยปฏิบัติ มาก่อน ท่านร่อซูล(ซล.) ไม่เป็น “ชริก” ผมว่า “คุณ al-azhary” สับสนเรื่อง หลักเตาฮีด ในอิสลามเสียแล้ว

ตอบ
คำว่า"ชิริก"นั้น ไม่ใช่ตามนัยยะของความหมายอะฮฺลิสซุนนะฮฺ แต่ผมพูดเอาหลักการของท่านที่ท่านกล่าวไว้ ท่านเคยกล่าวไว้ในกระทู้มรดกอิสลามยอมฮิตของท่านว่า
“และเขา (มูฮัมหมัด) มิได้กล่าวเรื่องใดจากอารมณ์ของตัวเอง หากแต่เป็นการดลใจที่ถูกประทานมา” ซูเราะห์อัลนัจญ์ อายะห์ที่ 3”

จากคำจำกัดความข้างบนนี้ ท่านสมาชิกจะเห็นว่า “ท่านผู้นี้ พยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างภาคี (ชิริก) โดยพยายามจะแยกความสำคัญของอัลกุรอาน ออกเป็นบัญญัติเก่า เพื่อเปิดที่ ให้ “ฮะดีษ” ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ ของมนุษย์ ขึ้นมาเป็นหลักการ “ใหม่” ของศาสนา เล่มที่สอง โดยอ้างอัลกุรอานประกอบไว้เพียงครึ่งเดียว ดังกล่าวแล้ว" ดูหน้า 6 ตอบ: Sat Jun 19, 2004 10:57 pm
ท่านแมทท์กล่าวย้ำอีกครั้งว่า "ถ้าจะกล่าวในความหมายกว้างๆ “ชิริค” คือการปฎิบัติตัวของผู้ใดก็ตาม(รวมทั้งของตัวเรา) ที่ ยึดถือหลักการ, คุณธรรม, หรือการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ตาม ประเพณีหรือหลักปฏิบัติ ที่นอกเหนือไปจาก คำสอนและคุณธรรมที่บัญัติไว้ในอัลกุรอาน, หรือผู้ที่สร้างบัญญัติ หรือยกย่องบุคคลขึ้น เป็นภาคีต่อ พระองค์อัลลอฮ์ นั้นเอง" ดูหน้า9 ตอบ: Wed Jun 30, 2004 6:16 pm
เมื่อท่านเคยกล่าวออกมาอย่างนี้ แล้วจะให้ผมเข้าใจอย่างไรครับท่าน ท่านแมทท์เอามารตฐาน การปฏิบัติของมนุษย์ที่ทำต่อๆกันมา นำมาให้ควบคู่กับอัลกุรอาน อัลกุรอานไม่ได้บอกเรื่องเวลาละหมาด จำนวนการซุยูด ท่านแมทท์จึงเอาการกระทำของมนุษย์มาควบคู่กับอัลกุรอาน คือการปฏิบัติตามที่เห็น ท่านร่อซูล(ซ.ล.)ปฏิบัติ ถ้าหากเป็นบรรดาซอฮาบะฮฺนั้น พวกเขาเห็น แล้วยุคหลังจากซอฮะบะฮฺล่ะครับ พวกเขาเห็นนบีละหมาดไหมครับ ? ก็ต้องตอบว่าไม่เห็นแน่นอน เมื่อไม่เห็นแล้วต้องทำอย่างไร ก็ต้องถามบรรดาซอฮาบะฮฺ แล้วบรรดาซอฮะบะฮฺก็ตอบ เล่ารายงานให้ว่านบีทำอย่างนั้น แบบนี้ ในแต่ละยุคในแต่ละสมัยเขาก็บอกเล่ารายงาน สอนกันอย่างนี้ จนกระทั้งบันทึกเป็นตำราขึ้นมา เพื่อกันลืม และจะไม่ได้สูญหาย และจะไม่ได้มีการบิดเบือนเกิดขึ้นในยุคๆต่อมา เมื่อมีตำราแล้วเราก็สามารถศึกษากันได้ เหมือนกับอัลกุรอาน หากไม่มีการบันทึกอัลกุรอานเกิดขึ้นแล้วพวกเราจะทำกันอย่างไร? จะท่องจำติดต่อกันมาเรื่อยๆ เมื่อถึงยุคหลังๆ ก็หมดแล้ว ไม่มีใครอ่านอัลกุรอานกันแล้ว แม้มีเป็นเล่มๆ ก็ไม่ค่อยอ่านกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นหลักการปฏิบัติก็กระทำตามอัลกุรอานที่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นเล่มแล้วมาศึกษา เช่นเดียวกันหากหลักการปฏิบัติไม่ในอัลกุรอานก็เอาฮะดิษที่เขาบันทึกกันไว้เป็นเล่ม หากคุณแมทท์ไม่ต้องตามตำรา แต่ต้องการทำตามคนอื่นๆ ที่เขาทำกัน ก็เหมือนกันตามตำราฮะดิษนั่นแหละครับ เพราะว่าคนที่เขาทำกันมานั้นเขาเรียนศึกษาจากอัลกุรอานและฮะดิษ

อ้างอิงจากท่านแมทท์
หลักการของอิสลามจะต้องตั้งอยู่ที่การยึดถือพระเจ้าองค์เดียว และ การยึดถือพระเจ้าองค์เดียว ก็คือ การยึดถือ”อัลกุรอาน” ไม่ใช่ เรื่องนิทาน หรือ เรื่อง บอกเล่า “ตากะยาย”

ตอบ
หากท่านแมทท์คิดว่าการยึดถือพระเจ้าองค์เดียวคือการยึดอัลกุอานเพียงอย่างเดียวกัน แล้วการกระทำของมนุษย์ที่ต่อๆ กันมาล่ะครับ ท่านยึดถือมันด้วยหรือเปล่า ? ก็แสดงว่าท่านแมทท์เองก็ยึดถือสองอย่างเหมือนกัน ใช่ว่าเรายึดซุนนะฮฺแล้ว เราไม่ยึดถือพระเจ้าองค์เดียวอย่างที่ท่านแมทท์คิด

อ้างอิงจากท่านแมทท์
ท่านอีมามมาลิก กล่าวในทำนองนี้ว่า “ไม่ว่าเราจะจำอะหะดีษมากมายสักเท่าไร ก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้จักนำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”

ตอบ
อัลกุรอานก็เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ ศึกษามากเท่าไร ก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้จักนำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์ อ่านไปอ่านมาฮิญาบไม่ต้องมี ดอกเบี้ยแบบไม่ขูดรีดกินได้ เรื่องที่ไม่มีในอัลกุรอาน ท่านแมทท์ก็บอกว่าทำตามสิ่งที่เขาทำต่อๆ กันมา พอเรื่องฮิญาบซึ่งได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และบรรดามุสลิมมะฮฺทำต่อๆกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แต่ประเด็นนี้ท่านแมทท์กลับบอกว่ามันเป็นประเพณี ผมไม่รู้ว่าท่านแมทท์มีหลักการที่แน่นอนอย่างไรบ้าง ?

อ้างอิงจากท่านแมทท์
คำวลี ที่ว่า, “สุนนะฮที่แน่นอนจากท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ” หมายถึงอะไร ? ผมว่าคงไม่หมายถึง “อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆ” เป็นแน่เพราะ เราทราบอยู่แล้วว่า มีความไม่แน่นอน อยู่ใน “อะหะดีษ” เป็นจำนวนมาก (4:82

ตอบ
ท่านแมทท์ให้ศัพท์วลีตบตาคนอื่นจริงๆ ท่านเขาบอกว่า”สุนนะฮฺที่แน่นอน” กับไม่แน่นอน” คำว่าแน่นอนและไม่แน่นอนนั้นในด้านใหนล่ะครับ ช่วยชี้แจงซิครับ

อ้างอิงจากท่านแมทท์
“สุนนะฮที่แน่นอนจากท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ” ที่แน่ใจได้ 100 % คือ การยึดถืออัลกุรอานเป็นหลักปฏิบัติในศาสนาอิสลามเท่านั้น และ “สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนาอิสลาม” ได้แก่ “อะหะดีษของบุคอรีและอื่นๆ” ทั้งนี้เพราะว่า เริ่มจดบันทึกเป็นรูปเล่ม 200 กว่าปีหลังจากที่ท่านร่อซูล(ซล.)สิ้นชีวิตไปแล้ว โดยที่ท่านร่อซูล(ซล.) ไม่มีโอกาสได้รับทราบหรือรับรองความแน่นอน

ตอบ
ท่านแมทท์ครับ ใครๆ เขาก็ยึดอัลกุรอานเป็นหลักกันทั้งนั้นแหละครับ การอ้างอิงหลักฐานนั้น เขาจะนำอัลกุรอานมาอ้างอิงก่อน แล้วเอาฮะดิษมาอธิบายสิ่งที่ไม่มีในอัลกุรอาน หากท่านแมทท์ยึดอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว ปัญหามันก็ยังมีอยู่ คือผมไม่รู้ว่าท่านแมทท์มีหลักเข้าใจอัลกุรอานอย่างไร ? หรือว่าเอาอารมณ์หรือปัญญาของตัวเองมาตัดสินวินิจฉัยอัลกุรอาน คำอ้างของท่านแมทท์ว่ายึดอัลกุรอานนั้น ดูแล้วสวยหรู แต่เวลามาดูหลักปฏิบัตินั้นและหลักความเข้าใจอัลกุรอานนั้น ผมไม่รู้ว่าท่านแมทท์เอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน เช่นบอกว่าดอกเบี้ยไม่ขูดรีดกินได้ ท่านเขาเข้าใจเอาเองตามอารมณ์ความคิดของตัวเอง ทั้งที่ท้ายอายะฮฺของเรื่องดอกเบี้ยเขาบอกว่า “สำหรับพวกท่านนั้น ได้เพียงต้นทุนเท่านั้น” จะเพิ่มมาสลึงหนึ่ง หรือห้าสิบสตางค์ก็ไม่ได้ แต่ท่านแมทท์บอกว่ากิน เพราะเขายึดอัลกุรอาน
หากฮะดิษที่ถูกบันทึกขึ้นมานั้น เพื่อไม่ให้สูญหายและได้เรียนศึกษากัน หากไม่มีการบันทึกฮะดิษเกิดขึ้น ท่านแมทท์คงละหมาดไม่ถูก เพราะเวลาละหมาดเขาไม่รู้ จะบอกว่าทำตามสิ่งที่คนอื่นเขาทำมา ผมอยากถามว่าท่านแมทท์จะทำตามใคร? จะทำตามพวกที่ยึดอัลกุรอานอย่างเดียว ก็หากยาก มุสลิมในโลกที่ประกาศตัวยึดอัลกุรอานอย่างเดียวก็มีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็น หรือครึ่งเปอร์เซ็น หรือว่าท่านแมทท์จะตามมุสลิมทั่วไปๆ จากสิ่งที่พวกเขาได้ทำกันต่อๆ กันมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแมทท์ก็น่าจะลองถามตัวเองดูว่า สิ่งที่พวกเขาได้ทำกันนั้น พวกเขาเอาหลักการมาจากใหน? รู้หลักปฏิบัติมาจากใหน ? คนเราจะปฏิบัติศาสนกิจกันได้ก็ต้องเรียนรู้วิธีการ แล้วเราจะเรียนรู้ศึกษาจากใหน ? 1. จากปากอาจารย์ที่เขาสอนและบอกต่อๆ กันมา หากเป็นเช่นนี้คุณแมทท์จะเชื่อหรือว่า ปากของมนุษย์ที่บอกต่อๆกันมานั้น ถูกต้อง เพราะนบี(ซ.ล.)ก็ไม่ได้ยืนยันความถูกต้อง 2. เอามาจากตำราที่นักปราชน์ได้บันทึกเอาไว้ กรณีนี้ท่านแมทท์ก็ไม่เอาอีก เพราะว่าบรรดาตำราฮะดิษ นบีไม่ได้รับรองความถูกต้อง แล้วท่านแมทท์มีหลักการแบบใหนกันแน่ ?

อ้างอิงจากท่านแมทท์
บรรดา ผู้รวบรวม “อะหะดิษ” นั้นมีความต้องการ “เก็บถ้อยคำ” หรือ “การบอกเล่า” เรื่องที่เชื่อว่า อาจจะเป็นคำพูด หรือ การ ปฏิบัติ ที่แท้จริงของ ท่าน “รอซูล(ซ.ล.)” เพื่อเก็บไว้ให้เป็น อนุสร ถึงท่าน รอซูล(ซ.ล.) ท่านอิมามบุคอรีผู้ซึ่ง เป็นผุ้ ที่ได้ชื่อว่า เป็น ต้นกำเนิด ของวิชาการ “หะดีษ” ท่านเองก็ยังมีความ ไม่แน่ใจเกี่ยวกับ ความแท้จริง ของ แต่ละอะฮะดิษที่ท่านจดบันทึก ท่านต้องละหมาด 2 รอ๊กอัต เพิ่อขออภัยโทษจาก “พระผู้เป็นเจ้า”หากการจดบันทึก ของท่าน ไม่ตรงกับความเป็นจริง

ตอบ
การที่ท่านอิมามบุคอรีย์ละหมาด 2 ร่อกะอัต ทุกๆการรายงานแต่ละฮะดิษนั้น ไม่ว่าใช่ท่านอิมามบุคอรีย์ไม่แน่ใจถึงความถูกต้องในตัวฮะดิษ แต่ท่านละหมาดเพื่อให้เป็นศิริมง เป็นบะรากัตในการรายงาน เพื่อให้ได้รับทางนำจากอัลเลาะฮฺ การละหมาด 2 ร่อกะอัต ของท่านอิมามบุคคอรีย์นั้น เขาเรียกว่าเป็นเรื่องมารยาทที่บ่าวมีต่ออัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ไม่ใช่ละหมาดเพื่อเตาบัตของอภัยโทษเพราะกลัวไม่ตรงความจริงอย่างที่ท่านแมทท์กล่าวอ้าง
การรวบรวมฮะดิษนั้น ไม่ใช่เพื่อเก็บไว้เป็นอนุสรนะครับท่านแมทท์ การรวบรวมฮะดิษ และมีการกลั่นกลองฮะดิษนั้น ก็เนื่องจากหลายกรณี อาธิเช่น มีการกุฮะดิษขึ้นมามากมายโดยที่คนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดที่เชื่อถือได้และสิ่งใดที่เชื่อถือไม่ได้ บันทึกฮะดิษขึ้นมาเพื่อรักษาไว้ซึ่งแบบฉบับของท่านร่อซูลุลเลาะฮฺ(ซ.ล.) หากไม่บันทึกไว้ ปล่อยให้รายงานต่อๆมากันเองจนถึงปัจจุบัน ก็กลายเป็นสลัดผักซิครับ

อ้างอิงจากท่านแมทท์
รอซูล(ซ.ล.) เห็นและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ท่าน นบีอีซา รอซูล(ซ.ล.) จึงห้ามการจดบันทึก ถ้อยคำของท่านนอกเหนือไปจาก อัลกุรอานเพราะรอซูล(ซ.ล.) เกรงว่า มุสลิม จะมาเคารพบูชาท่าน แทนที่จะ “ยึดอยู่กับการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว”

ตอบ
ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของท่านนบี(ซ.ล.)เป็นอย่างนั้น การที่ท่านนบีห้ามจดบันทึกในบางสถานการเท่านั้น คือท่านห้ามจดบันทึก เพราะเกรงว่าจะไปรวมกับการจดบันทึกของอัลกุรอาน จึงทำให้เกิดความสับสนได้ และบางครั้งนบีก็สั่งให้จดบันทึกส่งไปให้กับ อบีชาฮฺ แต่เมื่ออัลกุรอานได้ถูกบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรที่จะบันทึกฮะดิษ เมื่อฮะดิษถูกบันทึกขึ้นมา เราชาวซุนนะฮ ก็ยังยึดอัลกุรอาน และศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว เหมือนเดิม

คุณแมทครับ คุณอย่าลืมอายะฮ์นี้นะครับ
إِنَّ الَّذِينَ يُلْحِدُونَ فِي آيَاتِنَا لَا يَخْفَوْنَ عَلَيْنَا أَفَمَن يُلْقَى فِي النَّارِ خَيْرٌ أَم مَّن يَأْتِي آمِناً يَوْمَ الْقِيَامَةِ اعْمَلُوا مَا شِئْتُمْ إِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ
แท้จริงบรรดาผู้บิดเบือนโองการต่างๆ ของเราทั้งหลาย พวกเขาจะไม่ซ่อนเร้นไปจากเราได้ ผู้ที่ถูกโยนลงในนรกจะดีกว่า หรือผู้ที่มาอย่างปลอดภัยในวันกิยามะฮฺ ? งั้นพวกเจ้าจงทำตามสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาเถิด! แท้จริงพระองค์ทรงรู้เห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ " ฟุศศิลัต 40
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 10:29 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

al-azhary


คุณอย่าลืมอายะฮ์นี้นะครับ อ่านแล้วทำความเข้าใจให้ดีๆ

إِنَّ الَّذِينَ يُلْحِدُونَ فِي آيَاتِنَا لَا يَخْفَوْنَ عَلَيْنَا أَفَمَن يُلْقَى فِي النَّارِ خَيْرٌ أَم مَّن يَأْتِي آمِناً يَوْمَ الْقِيَامَةِ اعْمَلُوا مَا شِئْتُمْ إِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ

แท้จริงบรรดาผู้บิดเบือนโองการต่างๆ ของเราทั้งหลาย พวกเขาจะไม่ซ่อนเร้นไปจากเราได้ ผู้ที่ถูกโยนลงในนรกจะดีกว่า หรือผู้ที่มาอย่างปลอดภัยในวันกิยามะฮฺ ? งั้นพวกเจ้าจงทำตามสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาเถิด! แท้จริงพระองค์ทรงรู้เห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ " ฟุศศิลัต 40

wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 10:31 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คุณASAN และ คุณ AbdurRahman


ผมขอบคุณที่คุณให้โอกาสผมได้คุยกับคุณในเรื่องของความศรัทธา ผมทราบดีว่าคุณมีความรู้ทางศาสนาดีมาก แต่เนื่องจาก ความเข้าใจ ในความศรัทธา ของเราแตกต่างกัน ผมต้อง ขอมะอัฟ ต่อคุณด้วย ถ้าหากการ เขียนของผม ล่วงเกินคุณ ในแง่ใดๆก็ตาม และขอเป็นกำลังใจให้คุณ ในการ อธิบายหลักการ ของอิสลาม ให้แก่ เยาวชน รุ่นต่อๆไป


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 8:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
คุณ matt
หวังว่าคงจะได้สนทนากันอีกนะครับ และยินดีสนทนาด้วยเสมอครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AbdurRahman
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005
ตอบ: 185


ตอบตอบ: Mon Aug 29, 2005 9:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ครับพี่แมทท์ ยินดีที่ได้คุยครับพี่ วันไหน ผมไปกรุงเต้บ จะเอาลองกองกะบูดูสายบุรีไปฝาก
อินชาอัลเลาะฮ์ครับ ผมก็ต้องขอมะอัฟด้วยนะครับถ้าคำใดล่วงเกินพี่น้องท่านใด ใกล้จะแต่งงานก็งี้แหละ ครับ หงุดหงิดไปทั่ว เอิ๊กซ์
กับพี่อาสั้น (อะ อะ อะสันก็ได้ แหะๆ) เราคงต้องรบกันอีกนาน เพราะผมขัดใจกับชื่อ มรดกอิสลาม เป็นอย่างมาก ถึงมากที่สุด ไม่เปลี่ยนไม่ว่าแต่ข้าจะว่าไปตลอด :P :P :P
อิสลามไม่เคยตาย จึงไม่มีมรดกให้อนุรักษ์ เพราะอิสลามคือ ทุกสิ่ง อดีต ปัจจุบัน อนาคต
อย่าให้อิสลามของพวกเราต้องมีมรดกเลยครับ ขอเป็น ความงดงามในอิสลามได้ไม้ครับ (ว่าไปน่าน) หุหุ
พี่พี่ลองคิดดูซักนิดนะครับ เผื่อ จะสะกิดใจเหมือนผม อนุรักษ์มรดกคริสต์ อนุรักษ์มรดกฮินดู
อนุรักษ์มรดกกวนอิม อนุรักษ์มรดกคุรุนานัก อนุรักษ์มรดกหลวงปู่ทวด พวกนี้ต้องอนุรักษ์ครับ เพราะไม่อนุรักษ์ พวกนี้ต้องสูญพันธ์ แน่ๆ ถ้าคิดจะอนุรักษ์อิสลามเนี่ย ผมว่ามันจะเกินขอบข่ายของมนุษย์ไปนะครับ พี่ เพราะว่า * * ฮุวัลละซีอัรซะละร่อซูลุฮูบิ้ลฮุดา ว่ะดีนิ้ลฮักกิ ลิยุซฮิร่อฮู อะลัดดีนิกุ้ลลิฮ๊ ว่ะกะฟาบิ้ลลาฮิชะฮีดา * * อ่า พี่ช่วยหาแทนผมทีนะพี่ว่ามาจากซูเราะฮ์ไหน ป๋มงงๆ มึนๆ Rolling Eyes Rolling Eyes Rolling Eyes (ถ้าจำได้อีกซัก2อายะฮ์ จะไปขอลูกสาวอุซตาซละ Laughing Laughing Laughing )
แล้วเจอกานนะ ที่บางกอก ครับ กะจะขึ้นไปดูพวกยะฮูด ว่ามันมากันมากหรือยัง ช่วง2-3เดือนนี้ พวกมัน มีวันหยุดเยอะ เลยมาเมืองไทยแยะ ว่าจะหาทางวางคอนเซปต์ให้พวกมันซะหน่อย Twisted Evil

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Tue Aug 30, 2005 7:35 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมอยู่ทางใต้และไม่ได้รู้จักส่วนตัวกับคุณฟาริด จะให้ผมไปเปลี่ยนชื่อเว็บเขาได้อย่างไรละครับ น้องชาย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AbdurRahman
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005
ตอบ: 185


ตอบตอบ: Tue Aug 30, 2005 12:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
พี่อยู่ใต้กว่าผมหรือปล่าวน้า บ้านผมเดินแปบเดียวก็ถึงมาเลย์แล้ว Rolling Eyes Rolling Eyes Rolling Eyes
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
อิลยาส
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 20/04/2005
ตอบ: 279


ตอบตอบ: Thu Sep 01, 2005 6:43 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

อยู่ใต้มักๆเรยหรือครับ...ดีจริง ผมอยู่เชียงใหม่ ได้ขึ้นมาก้อแวะเวียนมาห้องสมุดบ้างนะครับ (เอาปลาหมึก กุ้ง หอย มาฝากผมด้วย ไม่ต้องเกรงใจว่าบ้านผมเปน ฮานาฟีย์ไม่กินกุ้งนะครับ ฮิฮ)



wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AbdurRahman
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 26/07/2005
ตอบ: 185


ตอบตอบ: Thu Sep 01, 2005 10:21 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ง่า แบบว่า มีของฝากที่นิยมฝากคือ กะปิ กะ บูดูบิลิฮ์อะคร้าบ ชอบแบบไหน เด๋วจัดให้คร้าบบบ

แต่บ้านพี่อยู่ใกล้จังเชียงใหม่เนี่ยนะ ระวังโดนน้ำท่วมอีกเด้อพี่ เห็นว่าพวกยะฮูด เที่ยวเต็มเมืองเลยเหรอครับพี่ ว่างๆ ก็ช่วยจัดของฝากให้มันเผื่อพี่น้องฟิลิสติน ซักลูกสองลูก ได้มั้ยครับพี่ ขอซักทีเหอะ เพ่ ก่อน ที่เมืองพี่จะจมอีก Wink Wink Wink Wink
wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Thu Sep 01, 2005 9:57 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
คุณอิลยาส และ น้องอับดุรเราะหมาน ผมอยู่อ.สะเดา ครับ ไปสตูลบ่อย เพราะมีพี่น้อง อยู่สตูล ส่วนเชียงใหม่เคยไป ครังเดียว แต่นานแล้ว แต่ถ้าไปอีก คงจะต้องอาศัย คุณอิลยาส แล้วละครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2
หน้า 2 จากทั้งหมด 2

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.24 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ