ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
“มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 10, 11, 12 ... 21, 22, 23  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Fri Nov 05, 2004 9:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอะลัยกุม … พี่น้องที่รัก

หลายท่านคงชะเง้อรอคอยคำตอบจากลุงแมทท์เช่นเดียวกับผม
ก็ไม่รู้จะทำงัยได้เหมือนกันครับ ข่าวคราวแกก็ไม่ส่งมาให้รับรู้บ้างเลย
ตั้งแต่ 5 ก.ค. 47 จนวันนี้ 5 พ.ย. 47 .... 4 เดือนเข้าให้สินะ .... ที่หายต๋อม!
แต่ก็พอจะมีข่าวดีอยู่บ้างครับ ว่า ลุงแมทท์ แกยังไม่ตาย

จำได้มั้ยครับ คราวก่อนแกไปโม้อยู่ที่พันทิป ผมเผอิญไปจอเข้า ได้คุยกันนิดหน่อย ก็ลากแกข่าวแกมาให้ได้รับรู้กัน
เมื่อสัปดาห์ก่อนเข้าไปเยี่ยมแกอีกที แกก็ยังพยายามตอบครับ ผมก็เลยเก็บมาฝากพี่น้องที่นี้พร้อมคำตอบจากผม
แต่วันนี้เข้าไปอีกที บ้านนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้ เลยไม่รู้จะคุยยังไงกับลุงแมทท์ได้
แต่ก็ยังเรียกว่าโชคดีครับ แกไปเปิดบ้านใหม่ ที่พันทิพที่เดิม...
และข้างล่างนี้ก็คือ คำถาม-คำตอบ ที่ว่านั่นครับ

===================================
อัสลามมุอะลัยกุม ครับ หลาน AlGhuraba ที่รัก,

คิดถึงจริงๆ บอกจริงๆไม่ชอบคุยกับใครเหมือน คุยกับหลาน AlGhuraba เลย, เนื่องจากว่า หลาน พูดด้วยใจจริง และมีความรู้ทาง “หะดีษ” เป็นอย่างดี ทั้งทางภาษาอรับและ ภาษาอังกฤษ อย่างที่บอกมาแล้ว และอีกอย่างหนึ่ง ลุงทราบ จากลูกศิษย์ ของหลาน ว่า หลาน เป็นคนดี จริงๆ, แต่ทำไมวันนี้ ถึง ฉุนเฉียวนัก ถ้าเราทำตาม ซุนนะห์ และ หะดีษ ของท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด แล้ว เราต้อง สำรวม มรรยาท และ คำ พูด ของเรา ไว้ หน่อย, เพราะว่า สื่งเดียว ที่เป็น สัญญาลักษณ์ ของ มุสลิม คือ การปฏิตามซุนนะห์ ที่แท้จริง ของ ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด, คือ เริ่มต้นด้วย การมีมรรยาท ที่ ดีงาม มีความสุภาพอ่อนโยน และ ความกรุณาปราณี ใจบุญทำทานแก่คนทั่วไป ลุงอธิบาย ไว้ แล้วในที่นี้ ว่า, “คุณสมบัติและคุณลักษณะของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด นั้น เป็นบุคคลเช่นใด”, นั้นแหละคือ “ซุนนะห์” ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ที่มุสลิม ทุกคน สมควร จะปฏิบัติตาม

เพราะความฉุนเฉียวของหลานซึ่งมีต่อลุง ทำให้หลานเขียนไม่ตรงจุดที่สำคัญ ที่หลานขึ้นต้นไว้ หลานเขียนเสียยืดยาว ทั้งหมด หลาน พูดถึง ลุง และ ประชดประชันลุง เท่านั้น, ซึ่ง ไม่เป็น ประโยชน์ ต่อหลาน ต่อ ลุง และ ต่อ ผู้ที่ต้องการ ทราบความจริง เกี่ยว กับ หลักการของอิสลาม, สิ่งที่หลานไม่พอใจอย่างมาก ก็เพราะ ลุง เขียนว่า

“ในการกล่าวคำปฎิญาณ หรือ การเชิญชวน ก่อนการทำการ กราบเคารพบูชาพระเจ้า(อัลลอฮ์) ประจำวัน (การละหมาด) ของ “ผู้ที่ มีศรัทธา และยอมสวามิภักดิ์ ต่อ พระองค์ ทั้ง กาย วาจา ใจ” (มุสลิม), จึงไม่สมควร จะกล่าวนามผู้ใด ต่อท้าย คำปฎิญาณ (ชะฮาดะหฺ) ต่อ พระผู้เป็นเจ้า ได้ การทำเช่นนั้น เป็นการ ยก “มนุษย์เทียบเท่าพระเจ้า” แม้แต่ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด ก็ไม่กระทำเช่นนั้น, ท่านกล่าว คำปฏิญาณก่อนการทำละหมาดว่า, “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” เท่านั้น”


1. หลานว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง ตรงไหน?


---------------------------


จะสมควรหรือไม่สมควรกล่าว…. ไม่ใช่หน้าที่ที่บ่าวของอัลลอฮอย่างเราๆจะไปกำหนดกฏเกณฑ์ สิ่งที่เราต้องทำคือ ท่านนบีมุฮัมมัด สอนเราอย่างไร ก็ทำไปตามนั้น ขอย้ำว่า มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ต่อเติม ตัดตอน ระเบียบวิธีการประกอบอิบาดะฮ อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ สั่งให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านนบีนำมาบอก มาสอน มาชี้แจง ก็จงทำตามโดยดุษฏี

และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น (4:64)

การเชื่อฟัง การปฏิบัติตามในสิ่งต่างๆเหล่านั้น อัลลอฮทรงอนุมัติแล้ว ไม่ใช่มายกกันเอง ไม่ได้เป็นการตั้งภาคีต่อพระองค์ เพราะฉะนั้นอย่าได้ตะขิดตะขวงใจ ยึกยัก เช่นตัวอย่างในกรณีนี้ ลุงแมทท์มีปัญหาว่า จะชะฮาดะฮยอมรับมุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮด้วยมั้ย ย้อนกลับดูสิว่านบีตัดสินปัญหานี้อย่างไร ท่านทำให้ดูเลย ว่าชะฮาดะฮสำหรับผู้ศรัทธาในยุคของท่านคือ

ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ มุฮัมมะดุรรอซูลลุลลอฮ
หรือว่ากันให้เต็มยศ ก็ …อัชฮะดุอัน ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ วะอัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัรรอซูลลุลลอฮ

ทั้งในละหมาด-นอกละหมาด กล่าวเหมือนกันอย่างนี้…นบีสอน…คนศอและห์ถ่ายทอดมาถึงเรา..จะเชื่อ-ไม่เชื่อ?….ดูตรงนี้ครับ

มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาแล้วพวกเขาไม่พบความ คับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจำนนด้วยดี (4:65)

นบีชี้ขาดมาแล้วว่าต้อง 2 กะลิมะฮ ลุงแมทท์ ยืนกรานชะฮาดะฮด้วนเหลือแค่ประโยคเดียว โดนไปเต็มๆ 2 กระทงครับ
กระทงที่ 1 ไม่ยอมรับการตัดสินของนบี ผิดด้วยมาตรา 4:65
กระทงที่ 2 เถียงว่าเป็นการตั้งภาคี แปลว่าไม่ยอมรับการอนุมัติของอัลลอฮ ผิดด้วยมาตรา 4:64

ดังนั้น ข้อความที่ว่า “(มุสลิม), จึงไม่สมควร จะกล่าวนามผู้ใด ต่อท้าย คำปฎิญาณ (ชะฮาดะหฺ) ต่อ พระผู้เป็นเจ้า ได้ การทำเช่นนั้น เป็นการ ยก “มนุษย์เทียบเท่าพระเจ้า” จึงเป็นการเอาวัสดุเหลือใช้ข้นๆ(หรือว่าใสแจ๋ว?)ในศีรษะมาใช้ผิดเจตนารมณ์ที่อัลลอฮทรงสร้างมาให้ คิดได้งัยว่าเป็นการยกมนุษย์ขึ้นเทียบเท่าพระเจ้า? ทั้งๆที่ ข้อความก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า…อัลลอฮเป็นพระเจ้า – มุฮัมมัดเป็นรอซูล … เอาแค่ภาษาไทยที่เค้าแปลกันไว้ชัดๆแล้วเนี่ย น่าจะลองอ่านซ้ำทวนดูหลายๆเที่ยวนะครับ ลุง?

อัลลอฮฺบอกว่า.... แท้จริงบรรดาผู้ที่ให้สัตยาบันกับเจ้า(มุฮัมมัด)นั้นเสมือนกับว่าพวกเขาได้ให้สัตยาบันกับอัลลอฮ.พระหัตถ์ของอัลลอฮ.ทรงอยู่เหนือมือของพวกเขาฉะนั้นผู้ใดทำลาย(สัตยาบัน)เสมือนกับว่าเขาทำลายตัวของเขาเองส่วนผู้ใดปฏิบัติตามสัญญาที่เขาได้มีไว้กับอัลลอฮ.โดยครบถ้วนพระองค์ก็จะทรงตอบแทนรางวัลอันใหญ่หลวงแก่เขา (48:10)

ไม่ได้แปลว่า นบีอยู่ในฐานะเท่ากับอัลลอฮฺ แต่แปลว่า อัลลอฮฺอนุมัติครับ อนุมัติให้ท่านนบีอยู่ในฐานะเหนือกว่าใคร เสมือนเป็นตัวแทนของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงสั่งให้บรรดามลาอิกะฮฺและญิน สุญุดต่ออาดัม ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เทิดทูนอาดัมขึ้นเป็นพระเจ้าเทียบเคียงอัลลอฮฺ แต่ให้ “ยอม” แก่อาดัมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเขาจะถูกสร้างมาอย่างไร มีอยู่ตัวนึงที่ชื่อ อิบลีส ที่วันนั้นมันไม่ยอม เช่นเดียวกับวันนี้ที่มีใครบางคนไม่ยอมเหมือนกันที่จะให้เกียรติท่านนบีมุฮัมมัด และเทิดทูนท่านเหนือมัคลูกทั้งปวง

นี่ก็อีก “แม้แต่ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด ก็ไม่กระทำเช่นนั้น, ท่านกล่าว คำปฏิญาณก่อนการทำละหมาดว่า, “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” เท่านั้น” อย่ามั่วน่า…ลุงแมทท์….นบีน่ะ ท่านไม่สอนอย่างนึง ทำอีกอย่างนึงหรอกครับ... บอกหน่อยดิ เอามาจากไหนว่านบีทำแค่นั้น???


---------------------------


2. ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด และ ท่านศาสนทูต ท่านอื่นๆ ก่อนหน้าท่านศานทูตมูฮัมมัด กล่าวคำปฏิญาณ ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ที่ถูกต้อง ว่าอย่างไร?

---------------------------


ถามว่า กล่าวปฏิญาณต่ออัลลอฮ…ก็คงต้องตอบว่า “อัชฮะดุอัน ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ” แล้วอัลลอฮก็ทรงสั่งว่า

จงประกาศเถิด(มุฮัมมัด) ว่า “โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงฉันคือรอซูลของอัลลอฮมายังพวกท่านทั้งมวล ซึ่งพระองค์นั้นอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นของพระองค์ ไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย ดังนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็น ซึ่งเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขาเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับคำแนะนำ ” (7:158)

อัลลอฮสั่งให้ท่านนบีประกาศว่า ท่านเป็นรอซูล เราก็ต้องยืนยันตามท่าน ว่า ท่านน่ะเป็นรอซูล ด้วยประโยคว่า “วะอัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัรรอซูลลุลลอฮ” ลุงยังจะมีทางเลือกอื่นอีกหรือที่จะดื้อด้านไม่ยอมยืนยันตามที่อัลลอฮสั่งให้ท่านนบีมาประกาศ?

ในเมื่อท่านนบีมุฮัมมัดได้รับคำสั่งให้มาประกาศอย่างนี้ …เรา….ในฐานะอุมมะฮของท่าน … ในฐานะผู้ที่ยอมน้อมรับคำบัญชาจากอัลลอฮ ก็ต้องกล่าวเช่นนั้นด้วย

ถามถึงยุคก่อนจากนบีมุฮัมมัด… บรรดานบีเหล่านั้นก็ได้รับคำสั่งเช่นเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนบีนูห์ ฮูด ศอและห์ ลูฏ ชุอัยบ์ ฯลฯ ท่านเหล่านั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “แท้จริง ฉันเป็นรอซูลผู้ซื่อสัตย์มายังพวกท่าน” แล้วท่านก็กำชับเหมือนกันหมดอีกเหมือนกันว่า “จงยำเกรงอัลลอฮและจงปฏิบัติตามฉัน” ไปดูได้เลยครับในซูเราะฮ อัชชุอะรออ์(26) มีตั้งหลายอายะฮ และด้วยมาตรฐานเดียวกันนี่แหละ ย่อมสรุปได้ว่า ศาสนทูตทุกท่านที่อัลลอฮทรงคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ ต่างก็สอนคำปฏิญาณแก่ประชาชาติของท่านว่า

“ฉันปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และฉันปฏิญาณด้วยว่า [นบีท่านนั้นๆ] เป็นรอซูลของอัลลอฮ”


---------------------------


3. หลานทราบไหมว่า ผู้ใด ต่อ เติม คำปฏิญาณ ต่อพระเจ้า องค์เดียว ด้วยการเติม ประโยค ที่ว่า “และศาสนทูตมูฮัมมัดเป็น ศาสนทูตที่แท้จริง” ลงไป, และต่อเติมเมื่อสมัยไหน? และ มีเรื่องเป็นมาอย่างไร? เมื่อเราเชื่อว่า ศาสนทูตทุกๆท่าน ที่อัลลอฮ์ ส่งมา มีความแท้จริง แล้ว ทำไมเราจึงไม่กล่าวชื่อของทุกๆท่าน จำนวน 25 ท่าน ทุกๆครั้งทุกๆวัน ว่าท่านเหล่านั้น เป็น ศาสนทูตที่แท้จริง?

---------------------------


บังอาจเหลือเกินนะ..ลุงแมทท์เนี่ย
บังอาจใช้คำว่า “ต่อเติม” เชียวหรือ?
จำได้มั้ยครับ อัลลอฮทรงถามท่านนบีอีซาว่าอย่างไร?

และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า อีซาบุตรของมัรยัม เอ๋ย! เจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะทั้งสองอื่นจากอัลลอฮ์ เขากล่าวว่า มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน! ไม่เคยแก่ข้าพระองค์ที่จะกล่าวสิ่งที่มิใช่สิทธิของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมรู้ดี โดยที่พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย (5:116)

ขนาดนบีอีซายังไม่กล้าต่อเติม ตัดตอน เปลี่ยนแปลงคำสั่งที่อัลลอฮประทานมา สั่งมาแค่ไหนท่านสอนแค่นั้น บัญญัติมาอย่างไร ท่านปฏิบัติให้ดูอย่างนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดก็เช่นเดียวกันครับ ลุงไม่น่าจะคลางแคลงในความซื่อสัตย์ของท่านนบีขนาดนี้เลย…อนิจจา

จะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ “ใครเป็นผู้สอนให้ปฏิญาณตนเช่นนี้” …. ซึ่งคงไม่จำเป็นจะต้องบอกคำตอบกันแล้วละ กล่าวมายืดยาวขนาดนี้แล้วยัง …บื้อ…ก็ช่วยไม่ได้แล้วละครับ

ลุงเอาสมองส่วนไหนมาถามครับ ว่า “เมื่อเราเชื่อว่า ศาสนทูตทุกๆท่าน ที่อัลลอฮ์ ส่งมา มีความแท้จริง แล้ว ทำไมเราจึงไม่กล่าวชื่อของทุกๆท่าน จำนวน 25 ท่าน ทุกๆครั้งทุกๆวัน ว่าท่านเหล่านั้น เป็น ศาสนทูตที่แท้จริง?”
ประการที่ 1 นบีสอนมาแค่นี้ครับ…เพราะฉะนั้นไม่ต้องดัดจริตไปเติม
ประการที่ 2 “ศาสนทูต” มีแค่ 25 เท่านั้นหรือลุง? …. มีอื้อเลยครับ อัลลอฮบอก

“และมีบรรดารอซูล ซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว(25 ท่าน) และมีบรรดาร่อซูลซึ่งเรามิได้เล่าแก่เจ้าเกี่ยวกับพวกเขา” (4:164)

ถ้าจะเอามาตรฐานของลุงมาวัด…ตายเลยครับ…ท่านอื่นๆที่เหลือจะเอาชื่อมาจากไหน เพราะอัลลอฮสั่งไม่ให้แบ่งแยกบรรดารอซูลของพระองค์ เอาคนนี้ ไม่เอาคนนั้น…ไม่ได้

ดังนั้นขออภัยนะครับที่จำเป็นจะต้องสรุปว่า มาตรฐานของลุงน่ะ ห่วย!


---------------------------


ลุงเข้าใจดี ในความรู้สึกของหลาน เพราะ ว่าลุง เคยอยู่ใน สภาพ เช่นเดียวกับหลานมาก่อน, แต่เมื่อลุงสามารถ ที่จะแยก ความศรัทธา ของลุง ต่อพระองค์อัลลออ์ และ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดแล้ว, จึงได้เข้า ใจทุกสิ่งทุกอย่าง แจ่มใสขึ้น, “ศาสนอิสลาม เป็น ศาสนาของพระเจ้า เป็นหลักการของพระเจ้า กับมนุษย์ โดยตรง ไม่มีผู้ใดอยู่ระหว่าง กลาง, ไม่มีผู้ใด ที่จะพูดแทนเรา ในวันตัดสิน, เราจะเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ ไม่ได้ ถ้าเราไม่ ประพฤติและปฏิบัติตาม คำสั่งสอน และการกระทำที่แท้จริง ของท่าศาสนทูตมูฮัมมัด ที่รับ “วะฮียฺ” มาจากอัลลอฮ์ “อัลกุรอาน” .

---------------------------


“แต่เมื่อลุงสามารถ ที่จะแยก ความศรัทธา ของลุง ต่อพระองค์อัลลออ์ และ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดแล้ว, จึงได้เข้า ใจทุกสิ่งทุกอย่าง แจ่มใสขึ้น” …. มีหนังสือชีอะฮฺเล่มนึง ตั้งชื่อว่า “ษุมมะฮฺตะดัยตุ – ในที่สุดฉันก็ได้รับทางนำ” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นน่ะ นำไปลงเหวลงคูที่ไหนมั่ง เหมือนกับที่ลุงบอกว่า “เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แจ่มใสขึ้น” ลุงหมายถึงเข้าใจว่า กงจักรเป็นดอกบัว-ดอกบัวเป็นกงจักร รึป่าวคับ !

ลุงแมทท์ครับ.... ลุงแบ่งแยกอัลลอฮฺกับรอซูลได้ยังไงครับ?
ในฐานะของ พระเจ้ากับบ่าว พระผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง น่ะใช่...อัลลอฮฺกับนบีอยู่กันคนละฐานะ ไม่มีมุสลิมคนไหนคิดอย่างที่ลุงเข้าใจหรอก ชะฮาดะฮฺคำปฏิญาณเขาชัดเจนครับ.... อัลลอฮฺเป็นพระเจ้า มุฮัมมัดเป็นบ่าวของพระองค์ เป็นศาสนทูตที่พระองค์ทรงคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ประกาศศาสนาของพระองค์
แต่ในเรื่องของบทบัญญัติ คำสั่งของนบีก็คือสิ่งที่มาจากอัลลอฮฺ ไม่ว่าจะใช้ให้ทำอะไร จะห้ามสิ่งไหน แบ่งแยกกันไม่ได้เด็ดขาด

แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์และกล่าวว่า เราศรัทธาในส่วนหนึ่งและปฏิเสธศรัทธาในอีกส่วนหนึ่ง และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาในระหว่างนั้น ซึ่งทางใดทางหนึ่งนั้น
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
(4:150-151)

ครับ ชนิดที่เอาแต่กุรอานเท่านั้นว่าเป็นคำสั่งอัลลอฮฺ แต่ไม่เอาคำสั่งจากนบี แยกอัลลอฮฺส่วนหนึ่ง นบีอีกส่วนหนึ่ง หรือเอาแต่นบีบางท่าน ปฏิเสธบางท่าน พวกแบบนี้ อัลลอฮฺเตรียมการลงโทษอันอัปยศไว้คอยท่าแล้ว พร้อมกับตราหน้าไว้ด้วยว่า นั่นแหละ “กาฟิรตัวจริง” .... นะ จะบอกให้

“เราจะเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ ไม่ได้ ถ้าเราไม่ ประพฤติและปฏิบัติตาม คำสั่งสอน และการกระทำที่แท้จริง ของท่าศาสนทูตมูฮัมมัด ที่รับ “วะฮียฺ” มาจากอัลลอฮ์ “อัลกุรอาน” …..ตอนต้นน่ะ ใช่ …จะเป็นมุสลิมต้องทำตามนบี แต่ตอนท้ายที่มาขมวดปมว่า การกระทำที่แท้จริงของท่านนบีที่รับวะฮีมาจากอัลลอฮฺ คือ อัลกุรอาน เท่านั้น มันมั่วนิ่มนะลุง!

ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของท่านนบีที่สื่อถึงการใช้ การห้าม ล้วนเป็นข้อบัญญัติที่มาจากอัลลอฮทั้งสิ้น ล้วนเป็นแบบอย่างที่อัลลอฮทรงเลือกเฟ้นมาให้มุสลิมผู้ศรัทธาทั้งหลายยึดถือปฏิบัติอย่างเต็มที่ สุดความสามารถ การสรุปเอาเองว่ากุรอานเท่านั้นที่เป็นวะฮี เป็นการลดความสำคัญของ ฐานะการเป็นศาสนทูตลงเหลือเพียงแค่ คนอ่านข่าว หรือบุรุษไปรษณีย์ ธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่ มุฮัมมัด รอซูลุลลอฮ เป็นมากกว่านั้นครับ

ท่านนบีไม่ได้เป็นใบ้ …. นอกจากข้อความในอัลกุรอานแล้ว ท่านยังพูด ยังคุย ยังสั่ง ยังสอน อะไรต่างๆอีกมากมาย
ท่านนบีไม่ได้เป็นง่อย …. ท่านละหมาดให้ดู ท่านเดินตลาด ท่านบัญชาการรบให้ดู ท่านทำหน้าที่พ่อบ้าน ท่านทำการตัดสินชำระคดี ฯลฯ
ทั้งหมดที่ท่านทำเหล่านั้น … อัลลอฮทรงให้ท่านนบียืนยันว่า “ฉันไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งใด นอกจากสิ่งที่ถูกวะฮีแก่ฉันเท่านั้น” (6:50)

“จงกล่าวเถิดฉันจะไม่ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเจ้า ถ้าเช่นนั้นแน่นอน ฉันก็ย่อมหลงผิดไปด้วย และฉันก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ได้รับคำแนะนำ” (6:56)

และอัลลอฮก็ยืนยันด้วยว่า สิ่งที่ท่านนบีกระทำนั้น ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ตลอดเวลา

แท้จริง เจ้า(มุฮัมมัด)นั้นอยู่ในเบื้องสายตาของเรา (52:48)

แล้วมีหรือที่อัลลอฮจะทรงปล่อยให้ท่านนบีทำอะไรผิดๆเพี้ยนๆ มีหรือที่พระองค์จะปล่อยให้ท่านนบีคลำหาหนทางเอาเองโดยไม่ทรงชี้แนะ … แน่นอน เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วะฮีจึงมิใช่หยุดอยู่แค่อัลกุรอาน แต่คือสิ่งที่ท่านนบีสอนสั่ง อรรถาธิบาย ชี้แจงแก่มวลเศาะหาบะฮ วะฮียังคงมีอยู่ในอิริยาบทต่างๆของท่านนบี เพื่อเป็น “อุสวะฮ-หะสะนะฮ” แก่ประชาชาตินี้ครับ

ถามว่า เมื่อสิ่งเหล่านั้นคือวะฮีจากอัลลอฮ…นอกจากกาฟิรแล้ว…หน้าไหน ใครยังกล้าปฏิเสธอีกหรือ?

ดังนั้นหน้าที่ของเราคือ

ดังนั้นท่านทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮให้สุดความสามารถ (64:16)

หมายความว่าอย่างไรครับ เกรงกลัวอัลลอฮอย่างสุดความสามารถ สุดแรงเกิด สุดกำลังวังชา ก็คือ พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะขวนขวายได้ เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะสืบเสาะแสวงหาได้ว่าอัลลอฮสั่งอะไร ใช้อะไร ห้ามอะไร ชอบอะไร เกลียดอะไร ฯลฯ แล้วขวนขวายพยายามทำตามที่ทรงชอบทรงใช้นั้น ยุติและหลีกหนีให้ห่างไกลที่สุดจากสิ่งที่ทรงห้ามทรงกริ้ว … ใช่มั้ยครับ
รู้ได้จากไหน?…. ก็จากอัลกุรอาน จากสิ่งที่ท่านนบีทำไว้ สั่งไว้ ห้ามไว้ นั่นแหละ เพราะคำสั่ง คำใช้ คำห้ามของนบีก็คือวะฮีที่มีมาจากอัลลอฮ อัลลอฮจะไม่ทรงปล่อยให้นบีสั่งเองห้ามเองตามอำเภอใจ และท่านนบีเองก็ยืนยันว่าท่านไม่ทำตัวเช่นนั้นแน่นอน…หรือลุงแมทท์ยังคิดว่า นบีทำอะไรๆเองตามใจชอบ?...อะอูซุบิลลาฮฺ!

ลุงแมทท์ “เต็มที่” หรือยังครับ สุดๆหรือยังครับกับความพยายามที่จะสืบค้นสิ่งที่เป็นคำสั่งจากนบี?
เพียงแค่บอกว่า ไม่แน่ใจว่า หะดีษนั้น หะดีษนี้ ใช่หรือไม่ใช่ เลยเหมาโหล โล๊ะทิ้งเสียทั้งหมด…. อย่างนั้นเค้าเรียกว่า “มักง่าย” ครับ ไม่ใช่ มัสตะเฏาะอตุม….. ไม่ใช่สุดความสามารถ ไม่มีอะไรเกินความสามารถหรอกครับถ้า”จริงใจ”ที่จะทำ มีแต่ชนิดกลิ้งกลอก ปลอกปลิ้น เท่านั้นแหละที่พยายามบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบวะฮีของอัลลอฮที่ทรงชี้นำแก่ท่านนบีให้มาทำเป็นแบบอย่างแก่พวกเรา ลองไปดูสิครับว่าพวกยิวมันเกี่ยงที่จะเชือดวัวตามที่นบีมูซาสั่งกันกี่กระบวนท่า เพราะฉะนั้น เมื่อมักง่ายอย่างนี้ ก็อย่าได้มาอ้างเลยว่า ศรัทธาอย่างแท้จริง…มันเข้าข่ายอายะฮ มุนาฟิกที่ลุงเอามาอ้างนะขอรับ



---------------------------



มีอีกอย่างที่อยากจะ เตือนสติหลานสักหน่อย เวลาโกรธ อย่าทำสิ่งต่อไนี้

1. อย่ากล่าวว่า “อัลลอฮฺบอกว่า มุนาฟิกพวกนี้มัน ขี้ห้กทั่งเพ้.....” ประโยคนี้ไม่สุภาพที่จะ กล่าวอ้างว่าพระองค์ ใช้วาจาเช่นนั้น


---------------------------


น่าอนาถใจหลายๆเด้อ…. ทำไมลุงแมทท์ถึงได้ดูหมิ่นเหยียดหยามภาษาท้องถิ่นของบางภูมิภาคถึงขนาดนี้หนอ?

เราคุยภาษกลางกันมาตั้งนาน ลุงก็ไม่ค่อยจะเข้าใจซะที ก็เลยลองเปลี่ยนเป็นคุยแบบภาษาท้องถิ่นอื่นดูบ้าง เผื่อจะเข้าหูมั่ง ก็กลับมาดูถูกเขาเสียนี่ว่า ไม่สุภาพ !

คำว่า โกหก โป้ปด มดเท็จ เป็นภาษากลางที่เราใช้กันโดยทั่วไป ในท้องถิ่นอื่นเขาก็มีคำที่ใช้กันโดยทั่วไปในท้องถิ่นนั้นๆ ไม่มีใครเขาเข้าใจว่าจะเป็นคำไม่สุภาพแต่อย่างใดเลย
พี่น้องชาวอีสานเขาบอกว่า ขี้ตั๊วะ
ทางเหนือก็ใช้คำว่า จุ๊ หรือ ขี้จุ๊
แล้ว ขี้ห้ก นี่ก็เป็นภาษาของพี่น้องชาวใต้เค้าครับ

ลุงแมทท์ พูดภาษาชาววัง แล้วพอมาเจอชาวบ้านเขาพูดกันอีกอย่างที่ไม่คุ้นเคย รู้สึกรับไม่ได้ ก็เลยพาลไปว่าภาษาเขาไม่สุภาพ อย่างนี้มันหยามกันเกินไปนะขอรับ สังเกตมั้ยครับ เค้ามี “ขี้…” กันทั้งนั้นเลย โปรดสงบอกสงบใจ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางภาษาบ้างเถิดครับ คำบางคำเราดัดจริตไปเองว่ามันไม่สุภาพ แต่แท้ที่จริงคนอื่นอีกค่อนประเทศเขายอมรับกันครับว่า มันแสนจะ..ธรรมด๊า...ธรรมดา เพียงแต่ตัวเราเองเท่านั้นละครับที่งมโข่งอยู่กับ “อัตตา” เลยไปประณามคนอื่นเขาจากความเขลาของตัวเอง ความแตกต่างเหล่านี้มิใช่อื่นใดเลย หากแต่เป็นพระเมตตาจากอัลลอฮฺโดยแท้

และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ การสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการแตกต่างของภาษาของพวกเจ้าและผิวพรรณของพวกเจ้า แท้จริงในการนี้แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณสำหรับบรรดาผู้มีความรู้ (30:22)

อัลลอฮฺบอกว่า เฉพาะ คนรู้เท่านั้นละครับ ที่เข้าใจเรื่องแบบนี้ ประเภทไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดีเหมือนกัน ผมอยากเรียนให้ลุงทราบว่า ภาษาท้องถิ่นนั้นมิใช่สิ่งน่ารังเกียจเดียดฉันท์ มันเป็นความสละสลวยและเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแต่ละชุมชน เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติ เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินผู้อื่นด้วยอารมณ์นะครับ แม้แต่ท่านนบี อัลลอฮฺก็ทรงให้มาประกาศศาสนาของพระองค์ด้วยภาษาท้องถิ่นมิใช่หรือ?

และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใด นอกจากด้วยการพูดภาษาชนชาติของเขา เพื่อจะได้ชี้แจงอย่างชัดแจ้งแก่พวกเขา อัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงทาง และทรงชี้แนะทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ (14:4)

ก็อย่างว่าละนะครับ ขนาดนั้นแล้วก็ยังมีพวกดื้อด้านที่เลือกเอาหนทางแห่งความหลงผิดอยู่ดีนั่นแหละ


---------------------------


2. อย่าเที่ยวเติม “หาง” ให้กับ ลูกหลานของท่าน นะบีอดัม เป็น การ ดัดแปลง สิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้

---------------------------


555 – ลุงไม่ชอบให้”หางโผล่”เหรอครับ งั้นเปลี่ยนเป็น “เขางอก” ก็ได้ คงเท่ห์ดีไม่หยอก เข้ากับบุคลิกด้วยสิ อัลลอฮฺทรงตรัสว่า

และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นบีทุกคน คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกมันจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วนซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์(ที่จะไม่ให้พวกมันร่วมกันหลอกลวง) แล้วพวกมันก็จะไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ เจ้าจงปล่อยพวกมันและสิ่งที่พวกมันอุปโลกน์ขึ้นเถิด (6:112)

คนที่ปากบอกว่าต้องตามนบี แต่นบีสั่งอะไรไม่เชื่อ ห้ามอะไรไม่ฟัง ซ้ำยังหาว่า คำสั่งเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้ นั่นคือคนที่ทำตัวตรงข้ามกับนบีครับ นบีสอนอย่างนึง พวกนี้พยายามลากไปอีกทางนึง นั่นละครับเค้าเรียกว่า “ศัตรูของนบี” ซึ่งอัลลอฮฺบอกตรงนี้ว่า มันเป็นชัยฏอนในคราบมนุษย์ก็ได้หรือในคราบญินก็ได้ เพราะฉะนั้น แม้ physical จะถือกำเนิดเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ที่เป็นมนุษย์ลูกหลานอาดัม แต่เนื้อแท้ตัวจริงๆของมันคือ ชัยฏอน ที่พยายามล่อลวงผู้คนออกไปจากหนทางของอัลลอฮฺ พวกนี้ มันมีเขาด้วยนะครับ เชื่อป่าว?

นบีบอกว่า ตอนดวงอาทิตย์กำลังขึ้นน่ะ ห้ามละหมาด เพราะ “นั่นมันโผล่ขึ้นมาระหว่างเขาของชัยฏอน” (มุสลิม กิตาบุศเศาะลาฮฺ - 1275)

อีกรายงานนึง ท่านนบีชี้ไปทางทิศตะวันออกแล้วบอกว่า “ความปั่นป่วนวุ่นวายจะเกิดขึ้นจากทางด้านโน้น ตรงที่เขาชัยฏอนมันโผล่ขึ้นมา” (มุสลิม กิตาบุลฟิตัน - 6938)

เพียงรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏเท่านั้น ที่เรามองเห็นเป็นมนุษย์ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์มาในรูปลักษณ์ที่สวยงาม สมบูรณ์มาแต่แรกเริ่ม ไม่มีเขา ไม่มีหางหรอก แต่จำได้มั้ยครับ อัลลอฮฺบอกว่ายังงัย.....?

โดยแน่นอนยิ่ง เราได้สร้างมนุษย์มาในรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์งดงามยิ่ง (95:4)

แล้วเป็นงัยต่อ?

แล้วเราได้ปล่อยให้เขากลับสู่สภาพที่ตกต่ำสุดๆ (95:5)

เดาออกมั้ยครับ ว่ามนุษย์ประเภทไหนที่มันต่ำทรามสุดๆนั่น และมันขนาดไหนเชียว?

และแน่นอนเราได้บังเกิดสำหรับญะฮันนัม ซึ่งมากมายจากญิน และมนุษย์ โดยที่พวกเขามีหัวใจซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันทำความเข้าใจและพวกเขามีตา ซึ่งพวกเขาไม่ใช่มันมอง และพวกเขามีหู ซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันฟังชนเหล่านี้แหละประหนึ่ง ”อันอาม” ใช่แต่เท่านั้น พวกเขาเป็นผู้หลงยิ่งกว่า ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาคือผู้ทีเผลอเรอ (7:179)

ครับ...หัวใจ ก็มีเหมือนๆกัน
ตา ก็มีเหมือนๆกัน
หู ก็มีเหมือนๆกัน
เหมือนกับมนุษย์โดยทั่วไปที่เป็นลูกหลานอาดัมนี่แหละ แต่อัลลอฮฺบอกว่า ชนิดที่มีเหมือนกัน แต่ไม่ใช้ให้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้มันเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง กลับเอาไปใช้ในทางตรงกันข้ามกับที่อัลลอฮฺทรงประทานมา ใครเขาบอก เขาเตือน เขาอ้างอิงหลักฐานกันมาขนาดไหน.... ไม่หรอก ไม่รู้ ไม่ดู ไม่ฟัง พวกนี้มัน “อันอาม” ครับ .... เลว ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ…. นี่อัลลอฮฺทรงเปรียบไว้นะครับ ไม่ใช่ผม
และอย่าให้ผมแปลเลยครับ ว่า “อันอาม” มันตัวอะไร เดี๋ยวจะกระเทือนซางลุงเปล่าๆ.... รู้ไว้คร่าวๆว่า มันมี หาง ก็แล้วกันครับ ลุงแมทท์

จะบอกให้เป็นความรู้อีกหน่อยครับ
มนุษย์ที่เป็นลูกหลานอาดัมนี่อีกเช่นกัน ที่อัลลอฮฺทรงเปรียบประเภท “อย่างว่า” เป็นสัตว์ต่างๆตั้งหลายอย่างนะ เป็นลิงก็มี เป็นหมูก็มี หรือลุงอาจนึกไม่ถึงว่าเป็น “หมา” ยังมีเลยครับ เชื่อมั้ยเอ่ย?


---------------------------


3. อย่าตัดสินผู้ใดว่า “ตกจากศาสนาของพระองค์อัลลอฮ์” เพราะเป็นการก้าวก่าย พระประสงค์ ของพระองค์, เป็นหน้าที่ ของ พระองค์ ที่จะ เป็นผู้ตัดสินด้วยพระองค์เอง

---------------------------


ลุงครับ ... มุสลิมน่ะไม่มีใครเขาตัดสินอะไรกันพร่ำเพรื่อตามอารมณ์หรอกครับ แต่เขาตัดสินกันบนพื้นฐานแห่งตัวบทที่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์วางไว้ให้ทั้งนั้นครับ และจำเป็นต้องตัดสินเช่นนั้นด้วย เพราะแต่ละกระทง หนักๆทั้งเลย ลุง!

ใครไม่ตัดสินตามที่อัลลอฮฺทรงมีบัญชามา มันผู้นั้น...เป็นกาฟิร...เป็นซอลิม...เป็นฟาสิก (5:44, 45, 47)

อย่าง...แยกคำสั่งของอัลลอฮฺส่วนหนึ่ง ของนบีอีกส่วนหนึ่ง แล้วเอาแต่ดำรัสอัลลอฮฺ ไม่เอาคำพูดนบี อย่างนี้อัลลอฮฺ ตราหน้ามาแล้วว่า กาฟิรตัวจริง ... จะให้เราตัดสินไปเป็นอย่างอื่นได้งัยครับ????

ตอบคำถามจบ 3 ข้อตรงนี้ ผมก็อยากจะขอบอกให้ทราบด้วยว่า ทุกอย่างที่ทำไปนั้น มิใช่ด้วยอารมณ์โกรธเคืองอะไรลุงแมทท์เลย แม้สักน้อยหน่อยเดียวก็ไม่มี ความรู้สึกที่จะมีต่อลุงแมทท์เมื่อเห็นลุงปล่อยไก่ ปล่อยเป็ด ปล่อยห่าน ปล่อยจิ้งจกตุ๊กแกออกมาวิ่งเพ่นพ่านเต็มไปหมดเช่นนี้ ก็คงมีแต่ความรู้สึก
“สมเพช” เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ ผมขอยืนยัน!


---------------------------



ลุงรับรองได้ว่าถ้าหลานยึดเชือกเส้นเดียว กับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ที่พระองค์อัลลอฮ์ ประทานให้มา , “อัลกุรอาน” เช่น เดียวกับ ที่ลุงยึดถือในขณะนี้ ลุงรับรองได้ ว่า หลานจะไม่หลงทางและสับสนอยู่เช่นนี้

จำเรื่องสายเชือกแห่งความศรัทธา ที่หลานเคยเขียนไว้ได้ไหม ? ถ้าจำไม่ได้ ลุงจะนำมาลงให้อ่านอีกก็ได้...

วัสสลาม

แมทท์



---------------------------


ขอตอบตรงนี้สั้นๆด้วยอายะฮฺนี้ครับ
พวกหนึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮฺ และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับคำแนะนำ (7:30)


===================


เรียน พี่น้องมุสลิม แห่ง บางมรดก ทราบ

ข้อความที่ผมตอบลุงแมทท์ไปข้างต้นนั้น โปรดอย่าถือสาหรือเข้าใจว่าเป็นการก้าวร้าว ระราน หรือหยาบคายอันเกิดแต่นิสัยส่วนตัว หากแต่เป็นไปตามคำสั่งที่อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า

มุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา เป็นผู้แข็งกร้าวต่อพวกปฏิเสธ เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง (48:29)

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kodomo
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 30/12/2003
ตอบ: 15
ที่อยู่: bkk

ตอบตอบ: Thu Feb 03, 2005 1:07 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผลงาน ลุง แมทท์ อีก..แล้นนนน...

http://www.thaimuslimusa.com/webboard/newsView.asp?id_news=11

http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K3271353/K3271353.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว MSN
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Mon Feb 21, 2005 12:34 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ขอความสันติและความสามัคคีจงมีแด่ผู้ที่ยึดมั่น ในพระองค์อัลลอฮ์


ผมไม่ได้เข้ามาในห้องเสวนา มาเป็นเวลานาน แต่ ในขณะเดียวกัน ก็ตาม อ่าน เรื่อง ราว การ ถาม และ การ ตอบ ปัญหา ของ ผู้ ทรงความรู้ ทางศาสนาอิสลาม ในเวบนี้ เสมอมา เหตุ ที่ต้อง เข้า มา ใน ห้องเสวนา วัน นี้ ก็ เพราะ ว่า เมื่อ ปี กว่าๆ ผมเผอิญ ไป อ่านพบ เวบไซด์ ข้างล่าง นี้ อยาก จะ เรียก ความสนใจ ของ ผู้รู้ ในห้องเสวนา นี้ ให้ ช่วย หาทาง แก้ไข ข้อมูล ที่ลงในเวบ ข้างล่าง นี้ ให้ถูกต้อง ตาม หลักการ ของ อิสลาม ด้วย


http://www.faithfreedom.org/challenge.htm

http://www.faithfreedom.org/Articles.htm

เนื่องจากว่า เมื่อผมพบ เรื่อง ราวเช่นนี้ ผมไม่อาจจะ มองข้าม ผ่าน ไป หรือ ทำ เป็น ไม่เห็นไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะว่า มันเป็น หน้าที่ โดย ตรง ของ มุสลิม ทุกๆคน โดย เฉพาะ ท่านอาจารย์ และ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ที่ต้องมีความรับผิดชอบ ในการแก้ปัญหา และ สะสางมลฑิล ที่ถูก กระ ทำให้ เกิด ต่อศาสนา ของ พระองค์ อัลลอฮ์ เพื่อเป็นมรดกตกทอด ให้แก่ เยาวชน รุ่นหลัง และเพื่อ ให้ผู้ที่ไม่ใช่ มุสลิม เข้า ใจหลัก การ ของ ศาส นา อิสลาม ให้ดีขึ้น


ผมเข้าใจ…..บางท่านอาจจะคิดว่า นี่ ไม่ ใช่ เป็น เรื่อง สำคัญ เพราะ ว่า เรื่อง เช่นนี้ มี อยู่ ทุกๆ สมัย ตั้ง แต่สมัย ท่าน ศาสนฑูต มูฮัมมัด ประกาศ โองการ อัลกุรอาน มาแล้ว การคิดเช่นนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะว่า ในสมัยนั้น การสื่อสาร ไม่รวดเร็ว เช่นเดียว กับ ใน ปัจจุบัน การโฆษณา ชวน เชื่อ และ การใส่ร้ายป้ายสี ไม่ ทำให้เห็นจริงเห็น จัง ด้วย เหตุ และผล เหมือน ใน ปัจจุบัน ทั้งนี้ เพราะ ว่า สิ่งแวดล้อม และ ความเจริญ ทางวัตถุ ต่างจาก เมื่อ สมัย 1400 กว่า ปีมาแล้ว เยาวชน ผู้ ซึ่งเริ่ม ศึกษา ศาสนาอิสลาม และ อัลกุรอาน ใหม่ๆ เมื่อ เข้า ไปอ่าน ข้อ ความ เช่นนั้น เข้า อาจจะจำนน ต่อ เหคุ ผล เหล่า นั้น ได้ ง่ายๆ การแก้ ปัญหานี้ ไม่ ใช่แต่เพียง ประกาศห้าม มุสลิม เข้า ไป อ่าน ข้อความ ใน เวบ ดังกล่าว แล้ว ซึ่ง เป็น แต่ เพียง ปัดฝุ่น เข้าไป ใต้ พรม เท่านั้น


ปัญหาเรื่องนี้ เป็น ปัญหาที่ใหญ่มาก ใหญ่ เกิน กว่า ที่ มุสลิม ที่มี สามัญสำนึก จะมองข้าม ไป และ คิด ว่า ธุระ ไม่ใช่ ผมคิดว่า ถึงเวลา แล้ว ที่ มุสลิม จะต้องสามัคคีกัน และพิสูจน์ ให้ สังคม เห็นว่า มุสลิมไทย ผู้ ที่มีความรู้ ทั้งหลาย ช่วย กัน หา ทาง แก้ไข และป้องกัน ความ เข้าใจ ผิด เกี่ยว กับ ศาสนา อิสลาม ก่อน ที่จะสายเกินไป ถ้าเราสามารถที่จะ อธิบายให้ เขาทราบได้ว่า การกล่าวหาตาม หัวข้อ ข้างล่าง นี่ ไม่ ถูก ต้อง อย่างไร? แต่ก่อนที่จะแก้ไขปัญหา นี้ จะต้อง อ่านกล่าวคำ กล่าวหาของ เขา ให้ เข้า ใจ เสียก่อน


จุดอ่อนที่อิสลามถูกโจมตี มากเกิด จาก “อะฮะดีษ” ของ บุคออ์รีย์ ที่เรื่องเล่า เหล่า นั้น ทำลาย คุณลักษณะ และ จริยาธรรม ของ ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด อย่าง ไม่ มี ข้อ สงสัย และเป็นที่แน่นอน ว่า เรื่องราว ต่างๆ เหล่านั้นไม่ ใช่ “วะฮีย์ “ อย่างที่ บางท่านเข้าใจ


การด่าหรือ สาปแช่งผม(แมทท์) ของ อาจารย์ บางท่าน, ไม่ได้ ประโยชน์ อะไร ต่อ อิสลาม เลย ผมเห็นว่า เรา มา เสีย เวลา กับ ใน การ ยกยอ ตัว เอง และ พูมใจ ต่อ ประวัติ ศาสตร์ และ เรื่องราว ที่ไม่มีความสำคั ญ ต่อ การ ก้าวหน้า ของ อิสลาม เลย เช่น การเสียเวลา ใน เรื่อง อะห์ลุลกิตาบ คือใคร? และท่านวะรอเกาะฮ์ยึดหลักตรีเอกานุภาพ หรือไม่? จนเกิด ทำให้เห็นได้ชัดว่า ได้เกิดการ แตก แยก ในระ หว่าง สังคมไทยมุสลิม มีกลุ่ม ซะลาฟียูน และ กลุ่ม มูลนิธิอนุรักษ์ เพราะต่าง ฝ่าย ต่าง ก็ เชียร์ อาจารย์ ของ ตน เอง ส่วน บรรดา อาจารย์ ก็ หลบ หน้า อยู่ หลังฉาก ปล่อย ให้ เยาวชน โต้เถียง สิ่ง ที่ ไม่ เป็น สาระ ที่มาจาก หลัก ฐาน ที่ไม่ แน่ นอน ที่ตนเองไม่ได้ อธิบายไว้อย่าง กระจ่างชัด เนื่องจากนำ มาจาก อะหะดีษ บุคอรีย์ ที่อ่อนปวกเปียก


ผมอยากขอความกรุณา ผู้ ที่มีความรู้ในเวบนี้ และ มุสลิมไทย ทุกๆท่าน ช่วย หาข้อมูล จาก เวบ ดัง กล่าว และช่วย กัน แก้ ไข ให้ ถูก ต้อง,โดยที่แสดง ให้ สังคม เห็น ว่า มุสลิมไทยเรา มีความสามัคคีกัน และมีความรู้ ความเข้าใจ อิสลาม ที่ ถูก ต้อง แต่ถ้ามุสลิมไทยเรา ได้ ทราบเรื่อง ที่ผม นำมานี้ แล้วทำเฉยเมย แสดง ว่า มุสลิมไทยเรา ความรู้ไม่พอที่จะ อธิ บาย ประวัติ ของท่านศาสนฑูต มูฮัมมัด และ วัตถุประสงค์ ของ อายะต่างๆ ใน อัลกุรอาน


สมัยนี้เป็นสมัยที่การสื่อสาร เจริญรวดเร็ว เราควรฉวยโอกาศ ของความเจริญ ก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ช่วยกัน สร้างความ เจริญ ของสังคมไทยมุสลิม ให้ เจริญ ก้าว ไปข้าง หน้า แทนที่จะ ใช้เป็น กระบอกเสียง ให้ กลุ่ม ผู้ก่อการร้าย ชาว อรับ กลุ่ม บุคคลที่อาศัยศาสนา ทำลาย ภาพ ของ ศาสนาอิสลาม ให้เสื่อม เสียไปทุกๆ วัน หรือกลับไปโต้เถียง กัน ว่า “นายวะ รอ เกาะฮ์ยึดหลักตรีเอกานุภาพ หรือไม่?” นาย วะรอเกาะฮ์ แกจะ ยึดหลักอะไร ก็ตาม ไม่ ได้ ทำให้ มุสลิม ในสมัย นี้ ดี เด่น ขึ้น มาอย่าง ไร แทบจะกล่าวได้ ว่า ไม่ มี ประโยชน์ ในเสริมความศรัทธา ให้ แก่ มุสลิมเลย และประวัติศาสตร์ ใน เรื่องนั้น ก็ ไม่มีรายละเอียด อะไรมากเท่าใด?


เราทราบว่า อิสลาม มีอะไรจะเสนอให้ กับ มุสลิม, แต่ ถ้าเราจะถาม ตัวเอง ว่า เรา ที่เป็น มุสลิม ได้ ทำ อะไร ให้ กับ อิสลาม บ้าง คำตอบ ก็คือ ถ้า มุสลิม ไทย ให้ ความสนใจ และ ช่วย กัน แก้ปัญหาที่ ถูก ท้าทาย ความจริง ของ อิสลาม ด้วย สติปัญญาและความรู้ แล้ว มันจะเป็นการกระทำที่ดีต่อ “อิสลาม” และช่วยป้องกัน เกียรติ ของ ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด

ผมจะแก้ไขในหัวข้อเรื่อง “Science and Quran” ร่วมกันกับท่านที่สนใจ ส่วน หัวข้ออื่นๆ ขอให้ท่านผู้รู้ทั้ง หลาย ช่วย แบ่งกัน อธิบาย ให้ ละ เอียดด้วย และเมื่อ ทุกคนทำงานเสร็จ เราก็นำ คำโต้ แย้ง เหล่านั้น มาลงในเวบ และ ให้ สมาชิก ช่วย วิจารณ์ และ ขัด เกลา จนเรียบ ร้อย แล้ว แปล เป็น ภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะ ส่งไปลง ในเวบ ดังกล่าวแล้ว


หัวข้อ

• Quran
• Science and Quran
• Miracles
• Women in Islam
• Wives of the Prophet
• Morality and Ethics
• Modernism and Reformism in Islam
• Miscellaneous Articles
• Terrorism and Islamic Expansionism
• Human Rights Abuses in Islam
• Free thought
• About God
• Satire
• Humanism


ผมขอความร่วมมือ ในเรื่องนี้ด้วย เพราะ เวลาและความรู้ที่คุณใช้ในการ ถกปัญหา ประวัติศาสตร์ นำมาช่วยกัน แก้ ไข และปก ป้อง ชื่อ ของ “อิสลาม” จะมีประโยชน์ กว่า

wassalam

มทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Mon Feb 21, 2005 12:40 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


คำตอบที่ค้างมานาน

คำถามที่ ว่า ถ้าไม่มี “อะฮะดีษของบุคอฮ์รีย์” แล้ว มุสลิมในรุ่นหลังนี้ จะละหมาดกัน อย่างไร? ในอัลกุรอานมีรายละเอียดอยู่ที่ใดที่สอนละหมาด?

ในการถามเช่นนี้แสดงว่าผู้ถามขาดรายละเอียดและความเข้าใจในการอ่านอัลกุรอาน และใน ขณะเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า เขาผู้นั้นได้รับการสอนมาจากผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ใน ศาส นา อิสลามที่แท้จริง และไม่มีศรัทธาต่อ “อัลลอฮ์” ที่บัญญัติว่า

“อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มีรายละเอียดของเนื้อหาที่สมบูรณ์ที่สุด”

จากคำถามข้อนี้ สะท้อนให้เห็นความสำคัญในความศรัทธาของผู้ถามอยู่สามประการดังนี้
1.เป็นการท้าทาย “คุุณานุภาพของพระองค์อัลลอฮ์” และความรู้สึกใต้สำนึกของผู้ถาม ต้องการจะ “พิสูจน์” ให้เห็นว่า “อัลลอฮ์” นั้น ผิด ที่ว่าอัลกุรอานมีความสมบูรณ์ พร้อมเพรียง และประกอบไปด้วยรายละเอียด

2.เพื่อที่จะอวดแสดงให้เห็นว่า “อะฮะดีษ” บรรจุรายละเอียดเกี่ยวกับ “การทำละหมาด” และ ดัง นั้น ควรจะใช้ “อะฮะดีษ ” เป็นกฏหมายของศาสนาอิสลาม

3.เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า “พระองค์อัลลอฮ์” ผิดในการที่สอน เราในอัลกุรอานว่า, การประกอบ กิจทางศาสนาอิสลาม รวมทั้งการทำ “การทำละหมาด” ได้มอบให้แก่ ท่านนบีอิบรอฮิมแล้ว


ผมเชื่อว่าท่านผู้ที่มีความรู้และเข้าใจ “อัลกุรอาน” เป็นอย่างดี ทราบว่า ในการนับถือศาสนาอิสลามนั้น มี แหล่งความรู้อยู่ สองแหล่ง

๑. คัมภีร์ “อัลกุรอาน” ซึ่ง เป็นคัมภีร์ที่ บรรจุไว้ซึ่งรายละเอียดของความรู้ กฎบัญญัติทางศาสนาอิสลามที่สมบูรณ์ที่สุด

๒. การปฏิบัติพิธีการทางศาสนาที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ประทานให้ท่านนบีอิบรอฮิม และถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาหลายชั่วคนจนถึงปัจจุบัน

“อัลกุรอาน” สอนให้เราทราบว่า “การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม (การทำละหมาด, ซากาต, การถือศีลอด และการทำฮัจจฺ) ถ่ายทอดมาจากท่านนบีอิบรอฮิมมาหลายชั่วคน จนกระทั่งทุกวันนี้

มุสลิมส่วนมากสงสัยว่าทำไมการประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามจึงถ่ายทอดมาจาก ท่าน นบี อิบราฮิม ทำไม่ไม่มาจากท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด คำตอบก็คือ พระองค์อัลลอฮ์ ทรงต้องการ ให้ พิธีการปฏิบัติทางศาสนาของพระองค์ส่งถ่ายทอดมาถึงมุสลิมรุ่นหลังๆ อย่างบริสุทธฺ์, อย่างชัด แจ้ง และ สมบูรณ์

เนื่องจากการปฏิบัติพิธีการทางศาสนาอิสลามมีมาก่อน ท่านศาสดามูฮัมมัด แสดงให้เห็นว่า หน้าที่ของท่านศาสนฑูตมูฮัมมัดโดยเฉพาะก็คือ นำโองการของพระองค์อัลลอฮ์ “อัลกุรอาน” มาสู่มวลมนุษย์เท่านั้น


(ยังมีต่อ)


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nes
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: Mar 12, 2004
ตอบ: 80
ที่อยู่: bkk

ตอบตอบ: Mon Feb 21, 2005 6:32 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

โอ๊ะ โอ้...กลับมาแล้ว...อาจารย์แมททฺ

หายไปเสียนาน มาครั้งนี้เรียกร้องความสนใจได้ไม่เลว

แต่ผมว่าเวบนี้อันตรายนะ

http://www.thaimuslimusa.com

เขาบอกว่าการคลุมฮิญาบเป็นประเพณี

แล้วเขาก็ปฏิเสธฮะดีสด้วยอ่ะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Tue Feb 22, 2005 9:27 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (ThaimuslimUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


ขอความสันติและความสามัคคีจงมีแด่ผู้ที่ยึดมั่น ในพระองค์อัลลอฮ์


ตามที่ คุณ NES กล่าวว่า, “แต่ผมว่าเวบนี้อันตรายนะhttp://www.thaimuslimusa.com เขาบอกว่าการ คลุม ฮิญาบ เป็นประเพณี แล้ว เขา ก็ ปฏิเสธฮะดีสด้วยอ่ะ”, เรื่อง เวบ http://www.thaimuslimusa.com นั้น แล้วแต่ ว่า คุณจะคิด ถ้าคุณเห็น ว่า เป็น อัน ตราย ต่อ เยาวชน มสลิม แล้ว และ ให้ เหตุผลที่น่าฟัง, ผม ก็ จะ ปิด เวบ เลย เพราะ ไม่ทำให้ เกิด ประ โยชน์ แก่ วงการ มุสลิม และ เพื่อ ความสามัคคี ใน สังคม ไทย มุสลิม ทั้งนี้ เนื่อง จากว่า ผมดำเนินการ คนเดียว และ เป็น ความคิด และ ปรัชญา ของ คนๆ เดียว ที่ มองหลักการ ของ อิสลาม จากทาง ตรง และ เห็นว่า อะไร คือ จุด เสื่อม ที่ทำ ให้ สัง คม มุสสิม ตกต่ำ


ตัวเลขต่างๆ ดูสวยงาม จำนวน มุสลิม เพิ่ม มาก ขึ้น แต่เราไม่ ได้ ถามว่า ตัวเลข ที่เพิ่ม ขึ้น นั้น จาก การ ขยายจำนวน ของ พลเมือง ของ ประเทศ ที่ มี ผู้ นับ ถือ ศาสนา อิสลาม หรือ จาก ผู้ ที่ มีความ เชื่อ ถือ เนี่อง จาก ความศรัทธาที่แท้จริง ในอเมริกา จำนวนการขาย อัลกุร อาน และ การศึกษา ศาสนาอิสลาม เพิ่มขึ้น กว่า 300 เปอร์เซนต์ โดยประมาณ หลังจาก 9/11 มุสลิมได้รับเชิญ ให้ไปอธิบาย หลัก การ ของ อิสลาม ตาม Church ต่างๆ ในชนบท โดยปกติ ชาวอเมริกัน พยายาม อย่าง ยิ่ง ที่ จะ เข้า ใจ ศาสนาอิสลาม ในแง่ดี แต่ตัวเลข เหล่า นี้ ไม่ ได้ แสดง ถึงคุณภาพ ของ มุสลิม การเป็นมุสลิมที่มึคุณภาพข, จะสะท้อนผล ให้เกิด ความเป็นมนุษย์ ที่มีคุณภาพ และเป็น ประ โยชน์ ต่อสังคมมนุษย์ ซึ่ง ตรง ตาม ความ มุ่ง หมาย ของ อิสลาม และวัตถุประสงค์ ที่พระองค์ อัลลอฮ์ ประทาน อิสลาม ให้แก่มวล มนุษย์


ผมหวังว่า คุณ NES คงเข้าใจคำอธิบาย ข้อนี้, คุณไม่คิดหรือ ว่าทำไมผมจึงนำเรื่อง นี้ มาเสนอที่เวบนี้ ทั้งๆ ที่ ทราบดีว่า ไม่มี ใครเห็น ด้วย กับผม เลย ทั้งนี้ เนื่อง จากว่า ผมเห็น ว่า ถ้าบรรดา มุสลิม ในเวบนี้ ตั้ง ใจ จะ รักษาอิสลาม ให้ เป็น มรดก ของ เยาวชน อย่าง แท้ จริง แล้ว จะตัอง กำจัด ข้อ บาด หมาง ในเรื่อง ความ คิด เห็น ที่ ไม่ ตรง กัน และ เพิ่ม ความสามัคคี ใน วงการ มุสลิม ไทย เรา ให้ เป็น ตัว อย่าง ที่ดี ให้แก่ เยาวชนมุสลิม เห็น ว่า “อิสลาม” สอน ให้ เรา เป็น ผู้ ใหญ่ที่ดี


เรื่องที่ผมนำมาเสนอ เป็น เรื่องที่สำคัญมากสำหรับ วงการมุสลิมไทยเรา ทั้งนี้ เพราะ ว่า ในสังคมมุสลิมไทยเรา ในยุคนี้ แทนที่จะ ศรัทธาและปฎิบัติ ศาสนกิจ ตาม หลักการ ในอัลกุรอาน แต่ บาง กลุ่ม ของ พวกเรา กลับ ไป ตาม ความสำคัญ ของ กลุ่ม บุคคล และ การปฏิบัติ ของมุสลิม ในประเทศอื่น เราจะอธิบาย ให้ ยุวมุสลิม เข้า ใจได้ อย่าง ไร ว่า ทำ ไม เรา จึง ถือ ศีลอด และเลิก ถือ ศีลอด ไม่ตรงกัน ใน เมื่อ นับถือ ศาสนา อิสลาม เหมือน กัน และ อาศัยอยู่ ใน สภาพภูมิศาสตร์ เดียวกัน ดวงจันทร์ ดวงเดียว กัน แต่ “อิด อัล- ฟิตร์” ไม่ตรงกัน, แล้ว อิด อัล-อัดฮา ตรงกัน วันเดียว กัน ไหม? ก็ไม่ตรงกันอีก... การที่เป็น เช่นนี้ เพราะ เหตุไร?


การช่วยกันแก้ ปัญหา ในเรื่อง นี้ นับว่า เป็น การ ต่อ สู้ ตาม แนว ทาง ของ อัลลออ์ ที่แท้จริง ใน ทาง สันติ และ เป็น การ รักษาอิสลาม ให้ เป็น มรดก ของ ลูก หลานของ เรา ตามวัตถุประสงค์ ที่จัดตั้ง เวบ นี้ ขึ้น มา เมื่อใดก็ตาม ที่เรา เห็น ปัญหา เหล่านี้ แล้ว เราเฉยเมย ไม่ แสดง ความเป็น เจ้าของ ของสิ่งที่เป็น มรดกเพื่อ ลูก หลาน ของ เรา แล้ว ย่อม เป็น จุด อ่อน ให้ ผู้ ที่ต้อง การ ทำลาย ล้าง ศาสนา อิสลาม ขาด ความ ยำเกรง และ ใช้เป็น เหตุ ให้ โฆษนา ชวนเชื่อ


เราจะเห็นว่าชาวยิว ผู้มีคัมภีร์ เตารอ๊ด หรือ โทราฮ์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ ที่ได้รับวะฮีย์จาก พระเจ้า และ หนังสือตาลมูด ซึ่ง เป็น การ รวบ รวม ประเพณีและกฏบัญญัติเก่าแก่ต่าง, คัมภีร์ ตัลมูด ถูกนำมาใช้ โดยชาวยิว เช่นเดียว กับ มุสลิม ที่ใช้ “อะฮะดีษบุคอฮรีย์ เป็น แหล่ง วิชา” ในการสอนและประกอบศาสนกิจ ในชีวิตประจำวัน

พระองค์อัลลออ์ทรงมีโองการว่า

“ความวิบัติจงมีแด่ผู้ที่เขียนคัมภีร์ขึ้นเองด้วยมือของพวกเขา แล้วอ้างว่า มันคือคัมภีร์จากอัลลอฮ์ เพื่อพวกเขาจะได้นำมันไปแลกกับราคาเพียงเล็กน้อย” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 79"


เราจะเห็น ว่า ความจริงในเรื่องนี้ ได้ เกิด กับสังคม ชาวยิว มาแล้ว ทั้งในอดีตและ ปัจจุบัน สังคมยิว, ในอดีตได้ ชาวยิว ตกอยู่ใน เหตุการที่ รันทดและโศรกเศร้่าที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของมนุษย์ โลก ที่ถูก กระทำ โดย ผู้บ้าคลั่งลัทธิ หนึ่ง ในศาสนาหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ ศาสนา อิสลาม, ในปัจจุบันสังคมของชาวยิว เต็มไป ด้วย อบายมุข และความเสื่อม ในด้าน คุณธรรมและศีลธรรม, แล้ว อะไรเล่าที่ กำลังเกิด ขึ้น ในสังคม มุสลิม เนื่อง จาก มุสลิม ส่วน ใหญ่ไม่ ปฏิบัติ ตาม คำสั่งและ บัญญัติ ของ อัลลอฮ์,


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้ สังคมมุสลิม แตกแยกกัน พ่ายแพ้ตลอดมา หลังจาก ที่ท่าน ศาสนทูต มูฮัมมัด สิ้น ชีวิต แล้ว, เริ่ม ขึ้น เมื่อ มุสลิมส่วน ใหญ่ หันไปยึด และกลัว ตัว บุคคล ผู้นำ ทางศาสนา แทนที่จะ กลัว พระเจ้า แต่กลับ หันไปยึด “อะฮะดีษ” ในที่นี้ คือ เรื่อง บอกเล่า ที่ เขียน โดย “บุคอฮ์รียฺ์” พระองค์ อัลลอฮ์ ได้ มีบัญญัติ ให้ เรา เชื่อฟัง และปฏิบัติ ตาม ฮะดีษ และ ซุนนะห์ ที่แท้จริง ของ ท่าน ศาสนฑูต มูฮัมมัด เท่านั้น “ไม่ใช่ ฮะดีษ และ ซุนนะห์ ของ “บุคอฮ์รีย์” และพระองค์ ได้ ให้ บัญญัติว่า เรา จะ ตรวจสอบ ได้ อย่าง ไร ว่า “เรื่องราวที่เป็น วะฮีย์ จะต้อง มีลักษณะอย่างไร ?” เมื่อใดก็ ตาม ถ้า มุสลิม เรา ยังเชื่อว่า ฮะดีษ และ ซุนนะห์ ของ “บุคอฮ์รีย์” เป็น วะฮีย์ และ ยึดถือเป็น หลักปฏิบัติ แทน อัลกุรอาน หรือ ใช้อธิบาย อัลกุรอาน แล้ว, ขอให้นึกถึง อัลกุรอาน ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 79"


“อะฮะดีษบุคอฺฮ์รีย์” ทำให้เกิดการแตกแยกในสังคมมุสลิม เนื่อง จาก ว่า มีข้อ ความที่ให้ ความหมาย ก้ำกึ่ง , ข้อความที่ให้ ความหมาย ขัดกัน, ข้อความที่ขัดกับอัลกุรอาน , เรื่องที่ดูถูก และเหยียด หยาม เพศหญิง, เรื่องที่ทำให้ เสีย ลักษณ์ทางคุณธรรมของ ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด ฯลฯ


บางท่านกล่าวว่า ก่อนจะรับฮะดีษบทใด จะต้อง ใช้ อัลกุรอาน เป็นบรรทัดฐาน ในการปฏิบัติตามเรื่องเล่า เหล่านี้ คือ ความ เที่ยง ตรง กับ คำ สอน ในอัลกุรอาน ฮะดีษที่ไม่ตรง หรือ ขัดกับ บัญญัติ ใน อัลกุรอาน จะตัดทิ้ง ไป


แน่นอน ข้อความหรือ เรื่องเล่า ต่างๆ ที่ดี และ เป็น คติสอนใจ สอนศีลธรรมที่ดี ก็ มีอยู่ มาก ในอะฮะดีษ แต่ ข้อสำคัญ คือสิ่งเหล่านั้น ได้ มี อยู่ ในอัลกุรอาน แล้ว, และถ้าสิ่งที่เราจะยอมรับ จาก อะฮะดีษ เฉพาะ เรื่อง ราวที่ตรง กับ อัลกุรอาน เท่านั้น ทำไมเรา จึง ต้องเสียเวลา ไป ใช้ อะฮะดีษ ของ บุคอฮ์รีย์ เราก็ใช้ แต่ เพียง อัลกุรอาน ก็ เพียง พอ แล้ว, และ ไม่ ควร ที่จะ สอน มุสลิม รุ่น หลังๆ ว่า เรื่อง บอกเล่า เหล่า นั้นว่า เป็น “วะฮีย์” จาก อัลลอฮ์ เช่น เดียว กับ อัลกุรอาน


เท่าที่เห็น ข้อความและเรื่อง เล่า ต่างๆ ใน “ซอเฮี๊ยะ ฮะ ดีษ" นั้น ไม่ ผ่าน มาตรฐานการทดสอบ ของ บัญญํติ ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 ซึ่ง บัญญัติไว้ดังนี้


“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”


จากความหมายของอายะ 4:82 นี้ บอกให้เราทราบว่า สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่เราจะเห็น ได้ว่า ใน หะดีษ ซอเฮี๊ยะ มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์


เราทราบแล้วว่า ไม่มีข้อสงสัยเลย ว่ามีเรื่องเศร้า และสิ่งที่น่าเสียใจเกี่ยวกับ ประวัติของการ ปลอมแปลง ฮะดีษ และมีสิ่ง เดียว เท่านั้น ที่ ผู้ รวบรวม ฮะดีษ ใช้เป็น หลักประกัน ความเชื่อถือได้ ของ ฮะดีษ นั้นก็คือ “การเชื่อถือ คำพูด หรือ การ บอกเล่า ต่อๆกันมา ของ ผู้ที่ บรรยายฮะดีษ”


การ สอน และ การ เชื่อ ว่า "อะฮะดีษ ของบุคอฮ์รีย์" เป็นวะฮีย์ เป็น“ชิริก” เนื่อง จาก เราทราบแน่ชัด แล้วว่า มีความ ผิดพลาด และ ข้อ บกพรอ่ง ใน “อะฮะดีษของบุคอฮ์รี์” อยู่มากมาย (4:82)


ดังนั้น ตามที่ คุณ NES กล่าวว่า ผมปฏิเสธ ฮะดีษของท่านศาสนฑูตมูฮัมมัด จึง เป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงกับ ความศรัทธา ของ ผม ที่มีต่อ ท่าน รอซูล ของเรา, คุณลองพิจารณา การ ใช้ ฮะดีษ ของบุคอฮ์รีย์ อธิบายอัลกุรอาน อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะ เราะฮฺ์


จากซอเฮี๊ยะบุคอฮ์รีย์ เล่มที่ 60 คำอธิบาย อัลกุรอาน(ตัฟซีร์) เลขที่ :51
บรรยายโดย ญาบิร ว่า:

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่าSolallah “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:


“ภรรยาของพวกเจ้าเปรียบเสมือนแหล่งเพาะพืชพันธ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือ อย่าง ใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์, แต่เจ้าทั้งหลาย จะต้องกระทำสื่งดีให้ดวงจิตของพวกเจ้าไว้ล่วงหน้า และจงเกรงกลัว ต่อ พระองค์ อัล ลอฮ์ และจงแน่ใจเถิด ว่า พวกเจ้า จะพบกับ พระองค์ ใน ปรโลก และเจ้า (มูฮัมมัด) จงสร้างสัมพันที่มั่นคงกับผู้ที่มีศรัทธา” (2:223)



นี่หรือคือเหตุผลของ”ฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ “ชาวยิว” ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ?


จาก ข้อความที่กล่าวว่า, “ เจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือหรืออย่างใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์” ในที่นี้ หมายความว่า จงปฏิบัติ ต่อ ภรรยาของเจ้า เช่น เดียวกับคำสั่งในบัญญัติ ที่ 2:222 ในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน ห้าม สามียุ่งเกี่ยว กับ ภรรยา แต่ หลัง จาก ที่ภรรยาหมดประจำเดีอน จึงอณุญาติ เข้า หา ภรรยา ได้ แต่ต้องอยู่ ในขอบ เขต และ วินัย ของ พระเจ้า, ภรรยาก็ เปรียบ เสมือน แหล่งเพาะ พืชพันธ์ ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา


ความหมายที่แท้จริง ของอายะ 2:223 นี้ ต่อ เนี่องมา จาก ความหมาย ใน อายะ ที่ 2: 222 เนื่องจาก ความสัมพันธื์ทางเพศ ระหว่าง หญิง กับ ชาย เป็น เรื่อง ละเอียด อ่อน มาก, บัญญัติ ใน อัลกุรอาน ได้ ถูก วางหลักการไว้ ไม่ แต่ เฉพาะ ความ สัมพันธ์ ทางการสำผัส ทาง ร่าง กาย เท่านั้น, แต่ ต้อง การ ที่ จะ แยก ความมี คุณสมบัติที่สูงส่ง ของ มนุษย์ ให้อยู่ เหนือ ระดับ ของ สัตว์ เดรัจฉาน โดย ทั่วๆ ไป และได้ ย้ำ เตือน ให้ มนุษย์ เห็น ว่า ในการมีสัมพันธ์ ทางเพศ กับภรรยา นั้น ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า ถึงแม้ แต่ การ บัญญัติ ก็ ใช้ ภาษาในการ อธิบาย อย่าง ระมัด ระวัง เพื่อ ไม่ ให้ ข้อ ความ กลาย เป็น เรี่อง ลามก, โดยการที่เปรียบเทียบ ภรรยา เช่น ที่เพาะพีชพันธ์ ดังนั้น วัตถุ ประสงค์ ใน การ ร่วม เพศ กับ ภรรยา เปรียบ เสมือน การ ไถหว่าน เพี่อ ให้ เกิด เยาวชน รุ่นหลัง เพื่อ คอย รับใช้ พระองค์ อัลลอฮ์สีบศาสนาอิสลามให้รุ่งเรือง ต่อไป


จากตัวอย่างนี้ คุณ NES จะเห็น ว่า ถ้า เรา ใช้ คำบอกเล่า ของ บุคอรียฺ์ มา อธิบาย อัลกุรอาน แล้ว จะทำให้ ความหมาย ของ อัลกุรอาน ไม่ ตรง กับ พระประสงค์ ของ พระองค์ อัลลอฮ์ ทั้งนี้ เพราะว่า อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ์ ไม่ได้ลงมาเพื่อลบล้าง คำกล่าว ของ ชาว ยิว แต่ว่า เป็นโองการที่ประทานมา ลง มา เพื่อ อธิบาย ว่า เมื่อ ภรรยาหมด ประจำเดือน แล้ว ไม่เป็นที่ต้อง ห้าม ที่สามีจะหลับ นอน กับ ภรรยา เขา อย่าง ไร และ เมื่อ เวลา ใดก็ได้ แต่ต้อง ให้รำลึก อยู่ เสมอ ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า (หมายถึงห้าม การกระทำอะไร ที่ผิด ธรรมชาติ ของ การ ร่วมเพศ เพื่อมีผู้สืบเผ่าพันธ์ ของ มนุษย์)


ทีนี้ คุณ NES เข้า ใจหรือ ยัง ว่า ผม ไม่ได้ ปฏิเสธ ฮะดีษของ ท่าน รอซูลเลย แต่ ผม ปฏิเสธ “อะฮะดีษ” ของ บุคอรียฺ์ เพราะว่า ที่ เรียกว่า “ซอเฮียะฮะดีษ” นั้น มันไม่มี ความแท้จริง อยู่ ที่จะทำให้ผมเชื่อได้ ตาม มาตรฐาน ของ อัลลออ์ (4:82)


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Tue Feb 22, 2005 9:42 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Solallah ขออภัยด้วยที่คำนี้ เข้าไปในประโยคข้างล่าง โดย Accident

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:

.............................................

คำตอบที่ค้างมานาน(ต่อ)


ยังมีมุสลิมอยู่จำนวนมากที่ ไม่ทราบว่าการละหมาด ๕ เวลามีอยู่ในอัลกุรอาน การกำหนดเวลา และขั้นตอนในการละหมาดแจ้ง ไว้ในอายะต์ต่างๆซึ่งจะหาได้ในอัลกุรอาน
การละหมาด ๕ เวลา และกำหนดเวลาในการทำละหมาดแต่ละครั้งจะหาได้ใน อัลกุรอาน จากอายัตต์ ต่างๆ ดังต่อไปนี้

(๑) เวลาในการทำละหมาด เมื่อเวลาตะวันคล้อย ตกดิน (ฟัจญริ) ๑๑…๑๑๔ และ ๒๔..๕๘

114. และเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ตามปลายช่วงทั้งสองของกลางวัน(มักริบ) และยามต้นจากกลางคืน(อีชาอ์) แท้จริงความดีทั้งหลายย่อมลบล้างความชั่วทั้งหลายนั่นคือข้อเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่รำลึก

58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

(๒) การละหมาดในช่วงเวลาตะวันเริ่มคล้อย อยู่ในอายัตต์ ๑๗..๗๘ และ ๓๐..๑๘
78. จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณ(*1*)แท้จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ

(1) ที่ใช้สำนวน “การอ่านยามรุ่งอรุณ” ก็เพราะว่าการละหมาดเวลาฟัจรนั้นชอบให้อ่านต้นยาวๆ ในอายะฮนี้เป็นการชี้แนะถึงเวลาละหมาดที่ถูกกำหนดไว้ คือละหมาดตั้งแต่ตะวัน คล้อย หมายถึงอัลดุฮร และอัลอัศร พลบค่ำหมายถึงเวลามักริบและอิชาอ ยามรุ่งอรุณหมายถึงละหมาดศุบฮ
18. มวลการสรรเสริญในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ และในยามพลบค่ำ และเมื่อพวกเจ้าย่างเข้าสู่ยามบ่าย (*1*)

(1) เคล็ดลับในการสรรเสริญก็คือ เป็นการแสดงออกถึงว่า ความสำเร็จต่าง ๆ ที่ปวงบ่าวได้รับนั้นเป็นความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ประทานให้ ดังนั้น จึงเป็นการสมควรที่พึงจะได้รับการสรรเสริญ

(๓) การละหมาดหลังเที่ยง (อัศริ) มีอยู่ในอายะ ๒…๒๓๘
238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(1 ) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม

(1) ให้ทำละหมาดฟัรดู ห้าเวลาเป็นประจำ เฉพาะอย่างยิ่งละหมาดเวลาอัศริ ควรขะมักเขม้นให้มาก และบุคคลมักจะละเลยการเรียกละหมาดอัศรินี้ว่า ละหมาดกึ่งกลางก็เพราะ อยู่กึ่งกลางระหว่างละหมาดห้าเวลา

239. ถ้าพวกเจ้ากลัว ก็จงละหมาดพลางเดินหรือขี่(*1*) ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์(*2*) ดังที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกเจ้าซึ่งสิ่งที่พวกเจ้ามิเคยรู้มาก่อน

(1) คือให้ละหมาดขณะที่เดิน หรือขณะที่ขับขี่พาหนะ
(2) คือให้ขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ด้วยการปฏิบัติตามบทบัญญัติ เยี่ยงที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกเขาไว้

(๔) การละหมาดตอนพลบค่ำ (มักริบ) มีกล่าวอยู่ใน อายะห์ ๑๑..๑๑๔
114. และเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ตามปลายช่วงทั้งสองของกลางวัน(ศุบฮ์และอัศร) (*1*) และยามต้นจากกลางคืน (มักริบและอีชาอ์) (*2*) แท้จริงความดีทั้งหลายย่อมลบล้างความชั่วทั้งหลายนั่นคือข้อเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่รำลึก(*3*)

(1) หมายถึงละหมาดศุบฮ์และอัศร
(2) หมายถึงละหมาดมักริบและอีชาอ์
(3) ผู้รำลึกคือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรม และดำรงรักษาไว้ซึ่งการละหมาด ดังนั้น การรักษาไว้ซึ่งการละหมาดก็ดี และการทำความดีอย่างอื่น ๆ ก็ดี เป็นข้อเตือนสำหรับผู้รักการตักเตือนและเป็นการชี้แนะแก่ผู้ที่รักการชี้แนะไปสู่ความดี

(๕) การละหมาดในเวลากลางคืน (อิชาอฺ) มีกล่าวอยู่ใน อายะห์ ๒๔..๕๘

58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

(1) คือให้บรรดาทาสและทาสีขออนุญาต เมื่อเวลาจะเข้าห้องส่วนตัว
(2) คือเวลาพักผ่อนตอนกลางวัน
(3) คือเวลาก่อนจะเข้านอน
(4) จงสั่งสอนทาส คนใช้ และเด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลานของพวกเจ้า อย่าให้เข้าไปในห้องของพวกเจ้าในเวลาดังกล่าวนี้ เว้นแต่จะต้องขออนุญาตเสียก่อน


(ยังมีต่อ)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Wed Feb 23, 2005 11:37 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สลามทุกท่านยกเว้นคุณแมทท์

ก็เป็นกระทู้แรกที่เข้ามาทักทายนับจากยุค muslimthai.com
ผมอยากจะแนะนำตักเตือนพี่น้องและตัวกระผมเองให้ตั้งอยู่บนความตักวาต่อัลลอฮฺ
และพิจารณาคำสั่งสอนของอัลลอฮฺและรสูลเสมอในทุกๆความคิดและความประพฤติ

ผมอยากจะบอกกับพี่น้องให้ทราบกันโดยทั่วไปว่าคนที่หลงผิดและบ่อนทำลายศาสนามีอยู่จำนวนมาก มีอยู่โดยทั่วไป(เพียงแต่เขาไม่อาจทำได้สำเร็จ)
คุณแมทท์เป็นคนหนึ่งในบุคคลจำนวนนั้นที่เป็นผู้หลงผิดเฉกเช่นผู้ที่ก่อตั้งลัทธิหรือแนวคิดต่างๆ ซึ่งมีทั้งคนดังและคนไม่ดัง
เราต้องรู้กันว่าคนแบบนี้ถ้าไปเกิดในยุคต้นๆของอิสลาม ก็จะถูกประหารชีวิต และตำรับตำราของพวกเขาก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน
คนพวกนี้ในสังคมผมเจอมาพอสมควร คนพวกนี้ไม่ได้สนทนากับใครเพื่อต้องการแสวงหาสัจธรรม ไม่คเยต้องการยอมรับความจริง
สิ่งที่เขายึดมั่นคือตนเอง เขาสนทนากับมครก็มีจุดมุ่งหมายเดียวคือต้องการให้ผู้อื่นมีความคิดแบบเดียวกับเขา มีความเชื่อแบบเดียวกับเขา มีลัทธิเดียวกับเขา
เป็นการเสียเวลาที่จะอธิบายสัจธรรมให้เขาเข้าใจ แต่สิ่งที่เราต้องทำคืออธิบายข้อเท็จจริงให้คนัท่วไปทราบ ไม่ให้ผู้อื่นไปหลงคล้อยตามเขา(ซึ่งจริงๆอัลลอฮฺก็ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว)
ผมจึงอยากเรียกร้องให้มุสลิมที่มีความสามารถ ช่วยประหารชีวิตเขาด้วย(หากไม่เป็นการเดือดร้อนหรือไม่กลัวการเดือดร้อน)
และผู้ที่มีความสามารถในการ hack การโจรกรรมข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือปล่อยไวรัส ท่านก็ช่วยทำลายเว็บไซท์และสารที่เขาเผยแพร่ด้วย
รวมไปถึงเว็บมาสเตอร์ก็ช่วยกำจัดข้อความของเขาด้วย
และผมย้ำให้ทราบชัดๆอีกทีว่า ท่านทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนแนวคิดหรือตักเตือนเขาได้เลย เพราะเขามีเจตนาเดียว(นียะหฺ)ว่าต้องการให้คนอื่นยอมรับแนวคิดเขา
คนเหล่านี้คือมุนาฟิกีนที่ถึงเราจะตักเตือนเขาหรือไม่เขาก็ไม่เชื่อฟัง

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 10:49 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

คูณนพ

เท่าที่เห็น และอ่าน ข้อ เขียน ของ คุณ มา ถ้าจำไม่ผิด คุณเคยบอกว่า "ผู้ที่ไม่เชื่อ อะฮะดีษ บุคอฮรี ยังคงเป็น มุสลิมอยู่" และ การที่คุณ กล่าวว่า

"ผมจึงอยากเรียกร้องให้มุสลิมที่มีความสามารถ ช่วยประหารชีวิตเขาด้วย(หากไม่เป็นการเดือดร้อนหรือไม่กลัวการเดือดร้อน"

คุณทราบไหมว่า เป็นการผิด กฎหมายอาญา และ ผิด หลักการ ของ อิสลาม ตามที่คุณ ประกาศออกมาเช่นนั้น.... เนื่อง จาก ผม ทราบ ว่า คุณ เป็น ใคร และมีอาชีพอะไร?.... เพื่อ ความปลอดภัยของผมและครอบครัว ผมจำต้อง ส่ง ชื่อ และข้อเขียนของคุณ ให้กับ กองตำรวจสอบสวนกลาง, การเขียน ของ คุณ เช่นนี้ จะทำ ให้ ผู้อื่น เดือด ร้อน ไป ด้วย

คุณ มีเหตุผลอะไร ก็ อธิบาย มา ซิ ผมกลับเข้ามาที่นี่ ด้วย เจตนาดี คนมีความรู้ ของ สังคมมุสลิมไทย ไปอยู่ ที่ใด จึงไม่สนใจ เรื่องที่ผมนำมา ว่าเป็ นเรื่องสำคัญ

คุณนพเข้าใจเรื่อง ที่ผมอธิบายหรือไม่ ลองอ่าน ให้เข้าใจซิครับ ว่า ผมหวังดีหรือ หวัง ร้าย ต่อ อิสลาม ถ้าคุณ มีความรู้ คุณ ควร ใช้ ปัญญา ไม่ ใช่กำลัง หรือ ความ เขลา ของคุณผมเป็นมุสลิม มา 3 Generations แล้ว คุณปู่ คุณพ่อ ของผมก็ทำงานให้ สังคมมุสลิมมามากแล้ว ในอดีต


เนื่อง จาก การ มองดูสังคมมุสลิม ทั่ว โลก แล้ว ผม ทราบว่า อะไรที่ ทำ ให้ มุสลิม เรา พ่ายแพ้ และ ตกต่ำ ผมก็แสดงความคิดเห็น และ เหตผล ออกมา หวังว่า บางท่าน อาจจะหูตาสว่างบ้าง แต่ น่าเศร้าใจ ที่ เรา นับถือ ศาสนาอิสลาม โดย ขาด เหตุผล อ่านที่ผมเขียน ให้ เข้า ใจ คุณไม่ต้อง เห็น ตาม ผม หรอก เพียง แต่ ใช้ ความคิด หน่อย เท่านั้น คุณ ก็ จะเข้า ใจ

ถ้าคุณเห็นว่า ข้อเขียน ของ ผม ผิด หลักก็ อ้าง หลักฐานมา เพื่อผมจะได้ เข้า ใจ ให้ ถูกต้อง


ผมจะมากรุงเทพฯ ในสองเดือน ข้างหน้า และจะพักที่ "Oriental Hotel" บางรัก 1 อาทิตย์ ให้เบอร์ โทรศัพท์ หรือ อี เมลล์ ของคุณ ไว้กับผม เมื่อ มาถึง ผมจะ ติดต่อ กับคุณ เพื่อ ให้ เด็ก ผมไปรับ คุณมาคุยกับผมที่โรงแรม ก็ได้ บางทีเราอาจจะ เข้าใจกันได้ ว่า ผมมีเจตนาดีต่อ "อิสลาม" แค่ไหน?


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
addullslam
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 19/05/2004
ตอบ: 672


ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 2:01 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
ไม่เอาน่า คุณ mahh
คุณ nop เราต่างก็เคยอยู่เว็บเดียวกันมาก่อน
รวมถึงผมด้วย preecha เราอยู่กันจน
กระดานล้มไปแล้ว หนึ่งแห่ง
ก็เขียนแบบนี้แหละ ที่นี่น่าจะใช้เป็นที่
เผยแผ่ หลักการและหลักฐานจะดีกว่าน๊ะครับ
เตือนมาเนื่องจาก เราก็คุ้นกันดีอยู่
ผม คุณแมชช คุณ นพ และผมเราก็เคย
สนทนากัน มาแล้ว คงพูดกันง่ายๆนะครับ
ถนอมน้ำใจกันหน่อย อย่าว่ากันแรงชี่น๊ะ
wassalam





















ีะะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
แคร็อธ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 24/02/2005
ตอบ: 5


ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 3:25 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอาลัยกุมคุณนพ และมุสลิมทุกท่าน(ถ้าคุณแมทท์ไม่ยอมรับฮะดีษซึ่งเป็นแบบอย่างท่าน นบีมุฮัมมัด(ซ.ล)ผมก็ไม่สามารถให้สลามคุณได้)

ยุคนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้ว และเราก็ไม่ได้อยู่ประเทศอิสลามด้วย การที่จะไปประหารใครคงทำไม่ได้ ดังนั้นผมจึงอยากเรียกร้องให้ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ร่วมกันให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเว็บนี้เพื่อเห็นแก่พี่น้องมุสลิมท่านอื่นๆ

เพราะการที่เราไปไล่ Hack เว็บ ไล่โจมตีข้อมูลบนเว็บมันไม่ได้ช่วยให้มุสลิมหลายๆคน(รวมทั้งผมด้วย)ที่เผลอเข้าไปอ่านแล้ว หายอึดอัดแต่มันจะยิ่งกลับทำให้พวกเราอึดอัดมากขึ้น เนื่องจากการไปไล่ปิดเว็บหรือลบความเห็นนั้นมันหมายถึงบรรดาผู้รู้ของเราไม่สามารถแก้ต่างและให้ข้อมูลที่ถูกต้องได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้อาจจะทำให้มุสลิมที่ความรู้ไม่แน่นพอ หลงเชื่อและหลุดออกไปจากแนวทางที่ถูกต้องได้

ทุกท่านอย่าเพิ่งคิดว่า นายแมทท์โผล่มาแค่ที่นี่ที่เดียว แต่ นายคนนี้โผล่ไปที่พันทิพด้วย และท่าทางจะพยายามไปทุกๆกระดานสนทนา ที่คนเยอะ แบบนี้ทำยังไงก็ตามไปลบไม่ไหวหรอกครับ (เจตนาส่อถึงการจ้องทำลายอิสลามเห็นๆถึงเอาเรื่องฮะดีษไปโจมตี กลางเว็บที่มีคนต่างศาสนาอยู่เยอะ)

ดังนั้นแล้วผมมีความเห็นว่าการที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือขอให้ทุกท่านร่วมกันใช้หลักฐานและเหตุผลที่ถูกต้อง อธิบายตอบโต้นายแมทท์กันด้วย ไม่ใช่เพื่อให้นายคนนี้กลับใจ แต่เพื่อให้มุสลิมหลายๆท่านไม่ตกเป็นเหยื่อความเลวร้ายครั้งนี้

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่านายคนนี้นอกจากจะไม่ใช่เพียงผู้ที่หลงผิดแล้ว นายคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในขบวนการทำลายอิสลามด้วย(นี่คือความเห็นของผมนะครับ นายแมทท์จะเป็นจริงอย่างที่ผมว่าหรือเปล่าไม่ทราบ) การที่เราไปไล่ hack ไล่ลบความเห็น คงไม่สามารถหยุดความโกลาหลครั้งนี้ได้ ที่ทำได้คือ ปกป้องด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรัดกุม

ท่านผู้รู้หรือผู้อาวุโสบางท่านอย่าคิดว่า internet เป็นของเล่น ที่สั่งห้ามเล่นก็พอ สั่งห้ามเข้าเว็บก็เรียบร้อย มันง่ายไปครับ เพราะถ้าไม่แก้ไขกันตอนนี้มันก็จะลามไปเป็น หนังสือ ลามไปเป็น อะไรได้อีกหลายอย่าง

ผมเองความรู้ก็น้อยนิด ไปถกเถียงสู้ได้คงไม่ได้แถมอาจจะบาปอีกด้วย ดังนั้นผมจึงขอความกุรณา ท่านทั้งหลายมาช่วยกันด้วยนะครับ

เราจะได้กำจัดความหลงผิดนี้ออกไปซะที อินชาอัลลอฮฺ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 8:29 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


Addullslam และ แคร็อธ


ผมทราบดีว่า ข้อเขียน ของผม อาจจะทำให้เข้าใจยาก เพราะว่า เราเคยชิน กับประเพณี มาเป็นเวลานาน แต่ว่า ประเพณีบางอย่าง ไม่ใช่หลักการ ของศานา ซึ่งจำเป็นอย่าง ยิ่ง ที่เรา จะต้อง แยก ให้ออก, ตัวอย่างเช่น เรา ทำ เมาลิด มา เป็น เวลาหลายชั่วคน เพิ่ง จะมาเลิกทำ เมื่อ ไม่นาน นี้, การแห่แหน เด็กๆ คล้าย แห่บวชนาค เมื่อ เวลา ทำ สุนัด บางแห่ง บางตำบล ยังทำ อยู่


เนื่องว่า การ อธิบาย ใน อัล กุรอาน ประกอบ ไปด้วย ตรรกวิทยา, ปรัชญา, ตัวอย่าง, การ อุปมาอุปมัย, และ สุภาษิต สอน ใจ ต่างๆ เรื่อง เหล่า นี้ ผู้ อ่าน จะ ต้อง แยก แยะ ออก จาก กัน ให้ ได้ ตัวอย่าง ที่ ผมยกมา ให้ เห็น เกียว กับ การ ใช้ “อะหะดิษ” อธิบาย อัลกุรอาน นั้น คุณ ว่า คำอธิบาย ของ ผม หรือ ของ บุคอฮ์ รี ย์ ที่ ถูกต้อง และ มี เหตุ ผล กว่า?

.............................................

จากซอเฮี๊ยะบุคอฮ์รีย์ เล่มที่ 60 คำอธิบาย อัลกุรอาน(ตัฟซีร์) เลขที่ :51
บรรยายโดย ญาบิร ว่า:

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:


“ภรรยาของพวกเจ้าเปรียบเสมือนแหล่งเพาะพืชพันธ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือ อย่าง ใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์, แต่เจ้าทั้งหลาย จะต้องกระทำสื่งดีให้ดวงจิตของพวกเจ้าไว้ล่วงหน้า และจงเกรงกลัว ต่อ พระองค์ อัล ลอฮ์ และจงแน่ใจเถิด ว่า พวกเจ้า จะพบกับ พระองค์ ใน ปรโลก และเจ้า (มูฮัมมัด) จงสร้างสัมพันที่มั่นคงกับผู้ที่มีศรัทธา” (2:223)


นี่หรือคือเหตุผลของ”ฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ “ชาวยิว” ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ?


จาก ข้อความที่กล่าวว่า, “ เจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือหรืออย่างใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์” ในที่นี้ หมายความว่า จงปฏิบัติ ต่อ ภรรยาของเจ้า เช่น เดียวกับคำสั่งในบัญญัติ ที่ 2:222 ในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน ห้าม สามียุ่งเกี่ยว กับ ภรรยา แต่ หลัง จาก ที่ภรรยาหมดประจำเดีอน จึงอณุญาติ เข้า หา ภรรยา ได้ แต่ต้องอยู่ ในขอบ เขต และ วินัย ของ พระเจ้า, ภรรยาก็ เปรียบ เสมือน แหล่งเพาะ พืชพันธ์ ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา


ความหมายที่แท้จริง ของอายะ 2:223 นี้ ต่อ เนี่องมา จาก ความหมาย ใน อายะ ที่ 2: 222 เนื่องจาก ความสัมพันธื์ทางเพศ ระหว่าง หญิง กับ ชาย เป็น เรื่อง ละเอียด อ่อน มาก, บัญญัติ ใน อัลกุรอาน ได้ ถูก วางหลักการไว้ ไม่ แต่ เฉพาะ ความ สัมพันธ์ ทางการสำผัส ทาง ร่าง กาย เท่านั้น, แต่ ต้อง การ ที่ จะ แยก ความมี คุณสมบัติที่สูงส่ง ของ มนุษย์ ให้อยู่ เหนือ ระดับ ของ สัตว์ เดรัจฉาน โดย ทั่วๆ ไป และได้ ย้ำ เตือน ให้ มนุษย์ เห็น ว่า ในการมีสัมพันธ์ ทางเพศ กับภรรยา นั้น ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า ถึงแม้ แต่ การ บัญญัติ ก็ ใช้ ภาษาในการ อธิบาย อย่าง ระมัด ระวัง เพื่อ ไม่ ให้ ข้อ ความ กลาย เป็น เรี่อง ลามก, โดยการที่เปรียบเทียบ ภรรยา เช่น ที่เพาะพีชพันธ์ ดังนั้น วัตถุ ประสงค์ ใน การ ร่วม เพศ กับ ภรรยา เปรียบ เสมือน การ ไถหว่าน เพี่อ ให้ เกิด เยาวชน รุ่นหลัง เพื่อ คอย รับใช้ พระองค์ อัลลอฮ์สีบศาสนาอิสลามให้รุ่งเรือง ต่อไป

.............................................................


การที่ผมกลับเข้ามา และ นำ ชื่อ เวบ ที่กล่าว โจมตีอิสลาม อย่าง เสื่อม เสีย มา ขอความช่วยเหลือ จาก มุสลิม ที่มีความรู้ ในห้องนี้ ก็เพราะว่า ไม่เป็น การ เหมาะสม ที่จะ ไป เขียน ใน พันทิบ เพราะ เป็น เริ่อง เสื่อม เสีย ต่อ สังคม มุสลิม


คุณจะเห็น ว่า ผม เขียน ตอบ โต้ ผู้ ที่ กล่าว โจมตี อิสลาม ในเรื่อง การ วิวัฒนาการ และ เรื่อง กำ เนิด ของ สิ่งมีชีวิตในพันทิบ จนเขาจำนนที่ว่า “ชาลส์ดาร์วินเชื่อ ในเรื่อง การมีผู้สร้างหรือ พระเจ้า", แต่ไม่ เห็น มี มุสลิม ผู้ ใด ที่กล้า ใช้ เหตุ ผล ในการ ป้องกัน อิสลาม เลย, นอก จากจะ ใช้ กำลัง และ การ ฆ่าฟัน โดย อาศัย ศาสนา เป็น เครื่อง กำบัง ซึ่งมีแต่จะนำ ความ เสื่อม เสีย มา สู่ อิสลาม อิสลามสอน ให้ เรา ใช้ เหตุผล ในการ ใคร่ ตรอง ข่าวสาร ก่อน ที่ เรา จะ เชื่อ อะไร


ผมอธิบายว่า “อะฮะดิษของบุคอรีย์” ไม่ใช่ “วะฮีย์” ของท่านรอซูลที่แท้จริง ก็ เพราะว่า ไม่ ผ่านการทดสอบ ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 ซึ่ง บัญญัติไว้ดังนี้

“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”

จากความหมายของอายะ 4:82 นี้ บอกให้เราทราบว่า สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่เราจะเห็น ได้ว่า ใน หะดีษ ซอเฮี๊ยะ มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์

การกล่าวเช่นนี้ เป็น การ ทำ ลายอิสลาม หรือ ว่า เป็น การ ช่วย ให้ มุสลิม ใช้อัลกุรอาน พิจารณา ว่า สิ่ง ใด เป็น ของ จริง และ ของ ปลอม?

ถ้าอาจารย์ ต่างๆ สอน ว่า “อะฮะดิษ เป็น วะฮีย์" แต่ ขัด กับ การ อธิบาย ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 แล้ว และเรา จะเห็นว่า อะฮะดิษ ไม่ผ่าน การทดสอบที่อัลลออ์ วางไว้ ผมอยากจะถาม มุสลิมทั้งหลายว่า:

เราควรจะเชื่อ “อัลลอฮ์” (อัลกุรอาน) ที่อธิบายให้เราเข้าใจว่า สิ่งใดก็ตาม ถ้ามาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอน เราจะพบสิ่ง บก พร่องในสิ่งนั้น อย่างมากมาย (4:82)” หรือ ว่าเราควรจะ เชื่อ “บุคอฮ์รีย์ หรือ เชื่ออาจารย์ ท่านต่างๆ ที่สอน ว่า “ซอเฮียะ ฮะดีษ เป็น วะฮีย์” ?

อย่างแน่นอทีเดียว.....ผมเองตัวผมเอง ผม ต้อง เชื่อ “อัลลออ์” และ อัลกุรอาน ซึ่งเป็นฮะดีษที่แท้จริง ของท่าน รอซูล และ เป็น สิ่ง เดียว ที่ ท่าน รอซูล ยึดถีอ เป็น หลัก ปฏิบัติ ในศาสนาอิสลาม ซี่งเป็น ซุนนะห์ ที่แท้ จริง ของ ท่าน รอซูล และผมว่ามุสลิมทุกๆท่าน คงจะเห็นด้วยในเรื่องนี้


การไม่เห็นด้วย กับ ผู้ เล่า เรื่อง เกี่ยว กับท่าน รอซูล นั้น เป็นบาป ด้วย หรือ อย่าลีมว่า บุคอรีย์ เป็น คนธรรมดา ไม่ใช่ ศาสดา หรือ บุคคล ที่มุสลิม กราบ เคารพ บูชา การไม่เห็น ด้วย กับอีหม่ามต่างๆ ไม่ถือว่า เป็น บาป ตาม หลักการ ของ อิสลาม ผมจึงอยากให้ มุสลิมเรา ทบทวนดูว่า อิสลามสอน ให้ เรา ศรัทธา อะไรบ้าง? นอกจาก อัลลอฮ์, อัลกุรอาน และท่าน รอซูลมูฮํมมัด, โปรด คิดดูให้ดี ก่อน ที่ จะ ตำหนิผม


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 9:25 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

" มันคือประเพณี "
" เรายึดติดอยู่กับประเพณี "
" เราเคยชินอยู่กับประเพณ "

คำพูดเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงของคุณแมทท์
เพราะคุณแมทท์เข้าใจว่าที่เรานำหลักการจากอัลหะดีษมาเนี่ยคือพวกอนุรักษ์ประเพณี
เปล่าเลยครับ (มีสองอย่างคือเข้าใจผิดหรือไม่ก็แกล้งโง่) พวกเรารักษาหลักการ
ไอ้พวกอนุรักษ์ประเพณีพวกหัวดื้อเนี่ยต้องพวกอนุรักษ์เมาลิด อนุรักษ์กวนขนมอาชูรอครับ
พวกนี้เค้ากลัวว่าวันนึงประเพณีนี้จะหายไป ความชื่นมื่นรื่นเริงในดุนยาจะหายไป

ที่ผมพูดมาทั้งหมดไม่ใช่ด้วยอารมณ์รุนแรง หรือความบ้าคลั่งเลยครับ
ผมพูดอย่างนิ่งๆ ใจนิ่ง ไม่มีอะไรสะทบสะเทือนความคิดของผมทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นแวดล้อม หรือความเกรงใจ เกรงกลัวอะไรก็แล้ว ถนอมน้ำใจไม่มี
ว่ากันด้วยหลักการตรงๆ

พี่น้องสุนนะฮฺครับ วันนี้เราคงจะเป็นคณะใหม่สมชื่อ เป็นบูดอสมชื่อ
ไม่ใช่สุนนะฮฺแท้ๆ ไม่ใช่สลัฟแท้ๆหรอกครับ
เพราะเราเอาแค่เรื่องฟิกฮฺมาเฉยๆ แต่ไม่ได้เอาจิตวิญญาณ เอาอิมานของเค้ามาเป็นแบบอย่างเลย
และเมื่อจิตวิญญาณมันไม่สุนนะฮฺ แน่นอนหลักการบางประการเราก็ทิ้ง
พี่น้องครับ ผมไม่ได้มาชวนทะเลาะ หรือพร่ำบ่นมั่วๆเหมือนคนเสียสติ
เพราะอย่างที่เรียนให้ทราบแล้วว่า ผมสติและจิตใจผมมานิ่งๆเลยครับ
ว่ากันด้วยหลักการเพรียวๆ
เรื่องการประหารชีวิตคุณแมทท์ ผมไม่ได้มั่วนะครับ
จะต้องให้นำหลักฐานมาว่าหรือเปล่าครับ
ตอนที่ผมโพสต์ไปนั้นผมคิดว่า พี่น้องสุนนะฮฺ(หรือมุสลิมโดยทั่วไปก็ตาม)จะพยักหน้าเห็นด้วยด้วยซ้ำ
แต่นี่คุณมาบอกว่าให้ถนอมน้ำใจ ให้พูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ตรงนี้นำหลักการหลักฐานมาจากไหนครับ
วันนี้เราสนุกกับการได้เสวนาทางกระทู้เหรอครับ
เราถึงได้มานั่งสนทนาเล่นกันกับมุรตัด สนทนาเล่นกันกับผู้ก่อตั้งลัทธิใหม่
เราควรนำจิตวิญญาณแบบสลัฟกลับมาใช้ นำอิมานแบบนั้นมาอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่เอามาแต่เรื่องฟิกฮฺ เราจะได้เป็นกลุ่มสุนนะฮฺจริงๆ เป็นสลาฟียฺจริงๆ ไม่ใช่บูดอ

พี่น้องครับ ใครๆมันก็อ้างว่ารักษาหลักการทั้งนั้นแหละ
อย่างที่คุณแมทท์เค้าทำอยู่ เค้าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งครับ เค้าต้องให้ศาสนาอิสลามเนี่ยมันเป็นแบบนี้
แล้วจะทำให้ยังไงให้มันเป็นล่ะ? ..ก็ต้องหลอกตัวเองก่อนไง หลอกซะจนเข้าใจว่าไอ้ที่เค้าอยากให้เป็นเนี่ยมันเป็นจริงๆ
ผมรู้จักคนแบบนี้มาหลายคนเหมือนกันครับ ไม่ใช่พึ่งมาเจอนี่เป็นรายแรก

โดยทางจิตวิทยา มันเกิดจากการที่คุณแมทท์เห็น(ลึกๆในใจ)ว่าอิสลามล้าหลัง
ในสภาพสังคมที่โมเดิร์น คุณแมทท์เป็นคนโมเดิร์น แต่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรสูล
ทีนี้ทำไงในเมื่อหลักการของอัลลอฮฺและรสูลมันโดนดูถูกมันน่าอาย
เค้าก็ต้องอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็บิดเบือน เฉไฉเปลี่ยนแปลงความหมายคำสอนให้เป็นไปตามที่เค้าชอบ โดยการหลอกตัวเองซะก่อน (แล้วจึงเข้าใจว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ)
นี่คือโดยทางจิตวิทยาที่มันเกิดครับ
เหมือนกับคนดื้อ ต้องอนุรักษ์งานกินบุญ ตัลกีน อีซีกุโบรฺ เมาลิด พวกนี้จะทำอย่างไรครับ ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เค้าต้องการให้มันอยู่(ด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่บุคคล)
ในเมื่อมันไม่มีในหลักการ ทีนี้มันก็ต้องเฉไฉ บิดเบือน หาหลักฐานมาค้ำยัน
โดยเริ่มจากการหลอกตัวเองซะก่อน แล้วค่อยไปหลอกคนอื่น อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือลักษณะคร่าวๆ(รายละเอียดมันต้องคุยยาวๆ)

วันนี้เราต้องใช้อิมานนำเป็นอันดับแรก แล้วทีนี้จึงใช้ปัญญาความรู้ในหลักการตามต่อมา
ถ้ามีปัญญา มีความรู้ แต่เพลินไปกับดุนยา แน่นอนหลักการมันก็เสียโดยการที่เราไม่รู้ตัว
อย่างที่ท่านกำลังเสวนาอยู่กับเจ้าลัทธิใหม่นี่แหละครับ

ผมยืนยันอีกครั้งว่าท่านทั้งหมด ไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม ไม่สามารถดึงคุณแมทท์กลับได้เลย
นี่ไม่ใช่คำทำนายนะครับ แต่มันคือความเข้าใจเรื่องหิกมะฮฺของศาสนา
โดยทางประวัติศาสตร์ที่เราเรียนรู้ คนอย่างคุณแมทท์เนี่ยไม่มีกลับครับ มีแต่ตายสภาพนี้เนี่ยแหละ
แล้วเรายังไม่เข้าใจ อยากจะรักษาหลักการแต่ยังไม่รู้หลักการ หรือปกปิดหลักการซะเอง ศาสนาเรามันถึงได้เป็นแบบนี้ไง
เป็นศาสนาที่ไม่ตาย ไม่มีเสียหาย แต่คนที่นับถือมีน้อยคนที่จะได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง

ขอให้พวกเราพ้นจากการเป็นผู้หลงทางด้วยเถิด

เข้าใจอีกที นึกภาพให้ดีๆนะครับ ผมไม่ได้ทะเลาะนะครับ
ผมอารมณ์ดีๆ สบายๆ นิ่งๆเลยครับ
แต่ที่พูดมาตรงหลักการเป๊ะครับ ถือว่าเตือนสติกัน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 9:41 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


คุณนพ

ขอให้พูดกันให้ตรงจุด คุณช่วยอธิบายด้วยว่า เหตุผลข้างล่างนี้ ถูกต้องไหม? ตอบเป็นข้อๆ บางทีคุณอาจจะกลับใจผมได้....

1. จากซอเฮี๊ยะบุคอฮ์รีย์ เล่มที่ 60 คำอธิบาย อัลกุรอาน(ตัฟซีร์) เลขที่ :51
บรรยายโดย ญาบิร ว่า:

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:


“ภรรยาของพวกเจ้าเปรียบเสมือนแหล่งเพาะพืชพันธ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือ อย่าง ใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์, แต่เจ้าทั้งหลาย จะต้องกระทำสื่งดีให้ดวงจิตของพวกเจ้าไว้ล่วงหน้า และจงเกรงกลัว ต่อ พระองค์ อัล ลอฮ์ และจงแน่ใจเถิด ว่า พวกเจ้า จะพบกับ พระองค์ ใน ปรโลก และเจ้า (มูฮัมมัด) จงสร้างสัมพันที่มั่นคงกับผู้ที่มีศรัทธา” (2:223)


นี่หรือคือเหตุผลของ”ฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ “ชาวยิว” ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ?


จาก ข้อความที่กล่าวว่า, “ เจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือหรืออย่างใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์” ในที่นี้ หมายความว่า จงปฏิบัติ ต่อ ภรรยาของเจ้า เช่น เดียวกับคำสั่งในบัญญัติ ที่ 2:222 ในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน ห้าม สามียุ่งเกี่ยว กับ ภรรยา แต่ หลัง จาก ที่ภรรยาหมดประจำเดีอน จึงอณุญาติ เข้า หา ภรรยา ได้ แต่ต้องอยู่ ในขอบ เขต และ วินัย ของ พระเจ้า, ภรรยาก็ เปรียบ เสมือน แหล่งเพาะ พืชพันธ์ ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา


ความหมายที่แท้จริง ของอายะ 2:223 นี้ ต่อ เนี่องมา จาก ความหมาย ใน อายะ ที่ 2: 222 เนื่องจาก ความสัมพันธื์ทางเพศ ระหว่าง หญิง กับ ชาย เป็น เรื่อง ละเอียด อ่อน มาก, บัญญัติ ใน อัลกุรอาน ได้ ถูก วางหลักการไว้ ไม่ แต่ เฉพาะ ความ สัมพันธ์ ทางการสำผัส ทาง ร่าง กาย เท่านั้น, แต่ ต้อง การ ที่ จะ แยก ความมี คุณสมบัติที่สูงส่ง ของ มนุษย์ ให้อยู่ เหนือ ระดับ ของ สัตว์ เดรัจฉาน โดย ทั่วๆ ไป และได้ ย้ำ เตือน ให้ มนุษย์ เห็น ว่า ในการมีสัมพันธ์ ทางเพศ กับภรรยา นั้น ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า ถึงแม้ แต่ การ บัญญัติ ก็ ใช้ ภาษาในการ อธิบาย อย่าง ระมัด ระวัง เพื่อ ไม่ ให้ ข้อ ความ กลาย เป็น เรี่อง ลามก, โดยการที่เปรียบเทียบ ภรรยา เช่น ที่เพาะพีชพันธ์ ดังนั้น วัตถุ ประสงค์ ใน การ ร่วม เพศ กับ ภรรยา เปรียบ เสมือน การ ไถหว่าน เพี่อ ให้ เกิด เยาวชน รุ่นหลัง เพื่อ คอย รับใช้ พระองค์ อัลลอฮ์สีบศาสนาอิสลามให้รุ่งเรือง ต่อไป

2. ผมอธิบายว่า “อะฮะดิษของบุคอรีย์” ไม่ใช่ “วะฮีย์” ของท่านรอซูลที่แท้จริง ก็ เพราะว่า ไม่ ผ่านการทดสอบ ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 ซึ่ง บัญญัติไว้ดังนี้

“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”

จากความหมายของอายะ 4:82 นี้ บอกให้เราทราบว่า สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่เราจะเห็น ได้ว่า ใน หะดีษ ซอเฮี๊ยะ มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์

การกล่าวเช่นนี้ เป็น การ ทำ ลายอิสลาม หรือ ว่า เป็น การ ช่วย ให้ มุสลิม ใช้อัลกุรอาน พิจารณา ว่า สิ่ง ใด เป็น ของ จริง และ ของ ปลอม?

ถ้าอาจารย์ ต่างๆ สอน ว่า “อะฮะดิษ เป็น วะฮีย์" แต่ ขัด กับ การ อธิบาย ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 แล้ว และเรา จะเห็นว่า อะฮะดิษ ไม่ผ่าน การทดสอบที่อัลลออ์ วางไว้ ผมอยากจะถาม มุสลิมทั้งหลายว่า:

เราควรจะเชื่อ “อัลลอฮ์” (อัลกุรอาน) ที่อธิบายให้เราเข้าใจว่า สิ่งใดก็ตาม ถ้ามาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอน เราจะพบสิ่ง บก พร่องในสิ่งนั้น อย่างมากมาย (4:82)” หรือ ว่าเราควรจะ เชื่อ “บุคอฮ์รีย์ หรือ เชื่ออาจารย์ ท่านต่างๆ ที่สอน ว่า “ซอเฮียะ ฮะดีษ เป็น วะฮีย์” ?

อย่างแน่นอทีเดียว.....ผมเองตัวผมเอง ผม ต้อง เชื่อ “อัลลออ์” และ อัลกุรอาน ซึ่งเป็นฮะดีษที่แท้จริง ของท่าน รอซูล และ เป็น สิ่ง เดียว ที่ ท่าน รอซูล ยึดถีอ เป็น หลัก ปฏิบัติ ในศาสนาอิสลาม ซี่งเป็น ซุนนะห์ ที่แท้ จริง ของ ท่าน รอซูล และผมว่ามุสลิมทุกๆท่าน คงจะเห็นด้วยในเรื่องนี้


ผมอยากให้คุณตอบให้ตรงจุดทั้ง สองข้อนี้ และใช้ หลักฐานอ้างอิงด้วยถ้ามี อย่าหลืกเลี่ยงคำถามครับ


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
matt
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004
ตอบ: 254
ที่อยู่: usa

ตอบตอบ: Thu Feb 24, 2005 10:09 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

สำหรับคุณนพ

ที่คุณว่า ผมเข้าใจผิด.....

" มันคือประเพณี "
" เรายึดติดอยู่กับประเพณี "
" เราเคยชินอยู่กับประเพณ "
คำพูดเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงของคุณแมทท์
เพราะคุณแมทท์เข้าใจว่าที่เรานำหลักการจากอัลหะดีษมาเนี่ยคือพวกอนุรักษ์ประเพณี
เปล่าเลยครับ (มีสองอย่างคือเข้าใจผิดหรือไม่ก็แกล้งโง่) พวกเรารักษาหลักการ
ไอ้พวกอนุรักษ์ประเพณีพวกหัวดื้อเนี่ยต้องพวกอนุรักษ์เมาลิด อนุรักษ์กวนขนมอาชูรอครับ

ที่คุณนพคาดความคิดของผมนั้น ผิดถนัดเลยครับ ผมกล่าวว่า:

“เราเคยชิน กับประเพณี มาเป็นเวลานาน แต่ว่า ประเพณีบางอย่าง ไม่ใช่หลักการ ของศาสนา ซึ่งจำเป็นอย่าง ยิ่ง ที่เรา จะต้อง แยก ให้ออก, ตัวอย่างเช่น เรา ทำ เมาลิด มา เป็น เวลาหลายชั่วคน เพิ่ง จะมาเลิกทำ เมื่อ ไม่นาน นี้, การแห่แหน เด็กๆ คล้าย แห่บวชนาค เมื่อ เวลา ทำ สุนัด บางแห่ง บางตำบล ยังทำ อยู่”……….ทำให้มุสลิมบางท่านเข้าใจผิดคิดว่า สิ่งเหล่านั้น อยู่ ในหลักการของ ศาสนาอิสลาม


การนำอะฮะดิษของบุคอฮ์รีย์มาใช้ แล้ว อ้าง ว่า เป็น “วะฮีย์ นั้น ผมว่า เป็น ความเข้าใจที่ผิด ด้วย เหตุผล จาก อัลกุรอาน …

“ผมหมายความว่า การเอาเรื่องบอกเล่าเกี่ยวกับท่าน รอซูล แล้วอ้างว่ามีผู้ เห็น หรือ ได้ ยิน ท่าน รอซูลกล่าวหรือ ปฏิบัติ เช่นนั้น เช่นนี้ โดย ที่เนื้อ หาเรื่อง บอกเล่า เหล่านั้น มึข้อบกพร่อง และความผิดพลาดอย่างมากมาย, การที่เรื่องบอกเล่าเหล่านั้น มีข้อบกพร่อง และขัดกันเอง ก็ เพราะว่า เรื่องเหล่านั้น ไม่ใช่ “วะฮีย์” จากอัลลออ์, ตามมาตรฐาน ของ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82”

คุณเชื่อว่า ฮะดิษ ซอเอี๊ยะบุคอฮ์รีย์ ข้างล่างนี้ เป็น “วะฮีย์หรือไม่?

การ จัดเพศหญิงว่า เป็น ต้นเหตุ แห่งความชั่วช้าทั้งหลาย และ จัดไว้ ในเรื่อง อบายมุข ประเพศหนึ่ง ตัวอย่าง


ฮะดิษ ซอเอี๊ยะบุคอฮ์รีย์ 8/4-102 และ ฮันบฺล 4/86

บรรยายว่า “ถ้าลิง, สุนัขดำ หรือ ผู้หญิง เดินผ่าน ผู้ซึ่งกำลังละหมาดอยู่ การละหมาดของ เขาผู้นั้น จะไม่บรรลุผล(คือใช้ไม่ได้)

ฮะดิษ ซอเฮี๊ยะ บุคอฮ์รีย์ 76/53
บรรยายว่า
“วิญญานชั่วช้าสถิตย์อยู่ใน ผู้หญิง , ม้า และ บ้าน (ทรัพย์สิน)”

จากอะฮะดีษทั้งสอง บทนี้ สะท้อนถึงความลำเอียงดูหมิ่น ผู้หญิง เพศมารดา ว่า มีฐานะความสำคัญ เท่ากับ ลิง, สุนัขดำ ม้า และ บ้าน, เป็น “อะฮะดีษที่ปลอมแปลง” หาหลักฐานความเป็นจริง สนับสนุน ไม่ได้, ศาสนาอิสลามให้การยกย่อง เพศหญิงอย่าง เต็มที่ ไม่เคยใช้ การ บรร ยาย คุณสมบัติ ที่ทำให้ ผู้หญิง มีคุณค่าเท่ากับ สุนัข, ลิง หรือ วิญญานแห่งความชั่วช้า

เอากันแค่นี้ ก่อน ขอให้คุณอธิบายด้วย ว่า “ฮะดิษ ซอเอี๊ยะบุคอฮ์รีย์” ข้างบนนี้ มีหลักฐานว่า เป็น วะฮีย์ อย่างไร?



wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 10, 11, 12 ... 21, 22, 23  ถัดไป
หน้า 11 จากทั้งหมด 23

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.24 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ