ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 2)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
มัซฮับสะละฟีย์และมัซฮับทั้งสี่ (ภาคที่ 2)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 8, 9, 10 ... 31, 32, 33  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Thu Feb 09, 2006 9:39 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้อง kunkonyakroo รำพึงรำพันว่า
บังฮะซันครับ ฮาดีสข้างบนนั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าพระองค์จะต้องให้บ่าวที่ทำบิดะต้องลงนรกหรอกนะครับ ทุกอย่างเป็นสิทธิของพระองค์ อย่าพยายามเอาฮาดีสที่สนับข้างตัวเองแล้วประกาศให้อัลลอฮ์เร่งรีบหรือกาหัวว่าเราคือผู้ทำบิดะเลยครับ
……………….
ตอบ
น้องครับ คนที่ทำผิด นั้นมีโทษนรกก็จริง แต่ ถ้าอัลลอฮซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงอภัย ก็เป็นสิทธิของพระองค์ แต่..เมื่อเรารู้ว่า ผิด ก็น่าจะถอยห่างออกมา บังงงและก็งง มากๆ ทำไม่หรือ เราทิ้งบิดอะฮมาทำตามสุนนะฮแท้ๆ โดยไม่ต้องมีบิดอะฮเข้ามาปะปนไม่ได้หรือครับ มันถอนตัวยากนักหรือ

قال ابن مسعود: (اتبعوا ولا تبتدعوا فقد كفيتم) [الدرامي: 175

อิบนุมัสอูดกล่าวว่า” พวกท่านจงเจริญรอยตาม(สุนนะอ)และอย่าอุตริบิดอะฮ แท้จริง(การอิตติบาอ)นั้นทำให้ เพียงพอแก่พวกท่านแล้ว – อัดดาเราะมี /175 บาบที่ 23
อิบนุมัสอูดกล่าวไว้อีกว่า

الاقتصاد في السنة أحسنُ من الاجتهاد في البدعة). [الحاكم في المستدرك: 11/103، وقال: هذا حديث صحيح على شرطهما ولم يُخرجاه،

การจบอยู่ที่สุนนะฮ ดีกว่า อิจญติฮาดในเรื่องบิดอะฮ - อัลหากิมใน อัลมุสตัดรอ็ก 11/103 และเขากล่าวว่า นี้คือ หะดิษเศาะเฮียะตามเงื่อนไขของบุคอรีและมุสลิม โดยที่ท่านทั้งสองไม่ได้บันทึกมัน

قال حذيفة رضي الله عنه: (كل عبادة لم يتعبد بها أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم فلا تتعبدوا بها؛ فإن الأول لم يدع للآخر مقالاً، فاتقوا الله يا معشر القراء، خذوا طريق من كان قبلكم).[الأمر بالاتباع للسيوطيwhistling#1589;:62

หุซัยฟะฮ (ร.ฎ)กล่าวว่า “ทุกอิบาดะฮ ที่บรรดาสาวกของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้ปฏิบัติมัน(เป็นอิบาดะฮ) ดังนั้นพวกท่านจงอย่านำมันมาปฏิบัติ(เป็นอิบาดะฮ) แท้จริงคนรุ่นแรก ไม่ได้ทิ้งคำพูดเอาไว้สำหรับคนรุ่นหลัง ดังนั้นจงยำเกรงต่ออัลลอฮเถิด โอ้เหล่าผู้นับถือศาสนา(อิสลาม)ทั้งหลาย จงยึดถือตามแนวทางชนรุ่นก่อนพวกท่านเถิด –
อัลอัมรุบิลอิตติบาอ ของ อัส-สะยูฏีย์ หน้า 17


قال ابن عبّاس رضي الله عنهما: (ما أتى على الناس عام إلاَّ أحدثوا فيه بدعة، وأماتوا فيه سنة حتى تحيا البدع، وتموت السنن)

อิบนุอับบัส(ร.ด)กล่าวว่า “ หนึ่งปีไม่ได้มายังผู้คน นอกจากพวกเขาอุตริบิดอะฮ ในมัน(ในแต่ละปีที่มาถึง) และพวกเขาทำให้สุนนะฮตายในมัน จนกระทั้งบิดอะฮฟื้นคืนชีพขึ้นมา และบรรดาสุนนะฮได้ตายไป*
. [رواه الطبراني في المعجم الكبير: 10/262، وقال الهيثمي في مجمع الزوائد 1/188: ورجاله موثقون].
…………….
*หมายถึง เมื่อกาลเวลาผ่านไป บิดอะฮก็มีมากขึ้นจนแพร่หลาย และสุนนะฮ ก็ไม่ได้รับความสนใจ และตายไปจากหัวใจของคนในสังคม
น้องบ่าว konyakroo ถามว่า
ถ้างั้นผมขอถามว่าที่ในฮาดีสที่กล่าววถึง ท่านอุมัซร์ในเรื่อรวมคนละหมาดตารอวิห์ละ แล้วท่านกล่าวว่านีคือ บิดอะที่ดีละ***นีคืออะไร แล้วบิดอะตรงนี้ในความหมายคืออะไรกันแนะละบัง เหอเหอ เหอ....
.....................
ตอบ
ประเด็นนี้ได้ตอบไปแล้วลองย้อนกลับไปดู แต่หะดิษ นี้ท่านอุมัรไม่ได้หมายถึงบิดอะฮในทางศาสนา เพราะ ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยนำละหมาดตะเราะเวียะแก่เหล่าสาวก และได้ส่งเสริมให้ปฏิบัติ
قال ابن رجب: "وأمَّا ما وقع في كلام السلف من استحسان بعض البدع، فإنما ذلك في البدع اللغوية لا الشرعية، فمن ذلك قول عمر - رضي الله عنه - لما جمع الناس في قيام رمضان على إمام واحد في المسجد، وخرج ورآهم يصلون كذلك، فقال: نعمت البدعة هذه ". [جامع العلوم والحكم: 1/129

อิบนุเราะญับกล่าวว่า “ สำหรับสิ่งที่ปรากฏในคำพูดของสะลัฟ จากการที่เห็นว่าบางส่วนของบิดอะฮเป็นสิ่งที่ดีนั้น ความจริง ดังกล่าวนั้น เกี่ยวกับบิดอะฮในเชิงภาษา ไม่ใช่ ในด้านศาสนา แล้วส่วนหนึ่งจากดังกล่าวนั้น คือ คำพูดของอุมัร (ร.ฎ)เมื่อได้รวมผู้คนให้มาละหมาดกิยามุเราะมะฏอน(ตะรอเวียะ) ภายใต้การนำของอิหม่ามคนเดียวกัน ในมัสญิด และท่านได้ออกมาเห็นพวกเขา กำลังละหมาดเช่นนั้น จึงกล่าวว่า “ นี่คือ บิดอะฮที่ดี – ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม 1/129
........................................
หากน้อง kunkonyakroo เข้าใจหะดิษที่ว่า “ จงยึดมั่นในสุนนะฮของฉัน และสุนนะฮผู้ทรงธรรม ผู้ได้รับทางนำ” ก็จะไม่เอากรณีหะดิษท่านอุมัร(ร.ฏ) มาอ้าง เพื่อทำบิดอะฮอย่างแน่นอน โปรดพิจารณานะครับน้อง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Feb 10, 2006 5:41 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

[align=justify]อ้างอิงจากบังอะสัน

บิดอะฮในทางศาสนานั้น ไม่มีคำว่า หะสะนะ หรือ บิดอะฮที่ดี เพราะท่านนบี ศอลฯ กล่าวว่า

"كل بدعة ضلالة، وكل ضلالة في النار" [رواه النسائي في "سننه" (3/188 ـ 189

ทุกบิดอะฮ เป็นการหลงผิด และทุกการหลงผิดนั้น จะอยู่ในนรก –รายงานโดย อัลนะสาอีย์ ในสุนันของท่าน – 3/188-189

ตอบ

บังอะสันครับ หะดิษที่ท่าน อันนะซาอีย์ รายงานมาโดย เพิ่มคำว่า "และทุกการหลงผิดนั้น อยู่ในนรก" ผมไม่ทราบว่า การเพิ่มรายงาน จากท่านอันนะซะอีย์นี้ มีความซอเฮี๊ยะหฺมากน้อยเพียงใด เนื่องจากอิมามมุสลิมและอิมามบุคคอรีย์ ไม่ยอมเอามารายงาน และผมก็ไม่เคยเห็นว่าอุลามาอ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ ท่านใด ได้ทำการยกหะดิษที่เพิ่มคำว่า "และทุกการลุ่มหลงนั้น อยู่ในนรก" ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ ผมพูดในเชิงตัวหะดิษ หรือความซอเฮี๊ยะหฺหรือฏออีฟของหะดิษเท่านั้นนะครับ

และหากว่า การรายงานเพิ่มเติมนี้ ซอเฮี๊ยะหฺ แต่ทุกๆบิดอะฮ์ใน ณ ที่นี้ คือทุกๆบิดอะฮ์ที่ไม่มีรากฐานเดิมจากศาสนา ซึ่งไม่เกี่ยวกับบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่มีรากฐานบนหลักการของศาสนา และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นี้ ท่าน อิบนุรอญับ ไม่เรียกว่าเป็นบิดอะฮ์ แต่แก่แท้แล้ว มันคือ ซุนนะฮ์ ที่อยู่ความหมายบิดอะฮ์ในเชิงภาษา เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีการขัดแย้งกันในหลักการ แต่ขัดแย้งกันในการเรียก

อ้างอิงจากบังอะสัน

الاقتصاد في السنة أحسنُ من الاجتهاد في البدعة). [الحاكم في المستدرك: 11/103، وقال: هذا حديث صحيح على شرطهما ولم يُخرجاه،

การจบอยู่ที่สุนนะฮ ดีกว่า อิจญติฮาดในเรื่องบิดอะฮ - อัลหากิมใน อัลมุสตัดรอ็ก 11/103 และเขากล่าวว่า นี้คือ หะดิษเศาะเฮียะตามเงื่อนไขของบุคอรีและมุสลิม โดยที่ท่านทั้งสองไม่ได้บันทึกมัน

ตอบ

จากคำพูดดังกล่าวนี้ มีความถูกต้องครับ เนื่องจาก การดำเนินอยู่ในซุนนะฮ์ ย่อมดีกว่า การวินิจฉัยในเรื่องบิดอะฮ์ แต่ประเด็นที่เราพูดสนทนากันอยู่นี้ คือ การแบ่งบิดอะฮ์ ไปเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์และซัยยิอะฮ์ นั้น อยู่ในหลักการหรือไม่? และอนุญาติให้แบ่งได้หรือไม่เท่านั้นเอง ? คำรายงานดังกล่าวนี้ ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ที่มีพื้นฐานบนหลักการของศาสนา

อ้างอิงจากบังอะสัน

เมื่อเรารู้ว่า ผิด ก็น่าจะถอยห่างออกมา บังงงและก็งง มากๆ ทำไม่หรือ เราทิ้งบิดอะฮมาทำตามสุนนะฮแท้ๆ โดยไม่ต้องมีบิดอะฮเข้ามาปะปนไม่ได้หรือครับ มันถอนตัวยากนักหรือ

قال ابن مسعود: (اتبعوا ولا تبتدعوا فقد كفيتم) [الدرامي: 175

อิบนุมัสอูดกล่าวว่า” พวกท่านจงเจริญรอยตาม(สุนนะอ)และอย่าอุตริบิดอะฮ แท้จริง(การอิตติบาอ)นั้นทำให้ เพียงพอแก่พวกท่านแล้ว – อัดดาเราะมี /175 บาบที่ 23

قال حذيفة رضي الله عنه: (كل عبادة لم يتعبد بها أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم فلا تتعبدوا بها؛ فإن الأول لم يدع للآخر مقالاً، فاتقوا الله يا معشر القراء، خذوا طريق من كان قبلكم).[الأمر بالاتباع للسيوطي "

หุซัยฟะฮ (ร.ฎ)กล่าวว่า “ทุกอิบาดะฮ ที่บรรดาสาวกของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้ปฏิบัติมัน(เป็นอิบาดะฮ) ดังนั้นพวกท่านจงอย่านำมันมาปฏิบัติ(เป็นอิบาดะฮ) แท้จริงคนรุ่นแรก ไม่ได้ทิ้งคำพูดเอาไว้สำหรับคนรุ่นหลัง ดังนั้นจงยำเกรงต่ออัลลอฮเถิด โอ้เหล่าผู้นับถือศาสนา(อิสลาม)ทั้งหลาย จงยึดถือตามแนวทางชนรุ่นก่อนพวกท่านเถิด –
อัลอัมรุบิลอิตติบาอ ของ อัส-สะยูฏีย์ หน้า 17


قال ابن عبّاس رضي الله عنهما: (ما أتى على الناس عام إلاَّ أحدثوا فيه بدعة، وأماتوا فيه سنة حتى تحيا البدع، وتموت السن)

อิบนุอับบัส(ร.ด)กล่าวว่า “ หนึ่งปีไม่ได้มายังผู้คน นอกจากพวกเขาอุตริบิดอะฮ ในมัน(ในแต่ละปีที่มาถึง) และพวกเขาทำให้สุนนะฮตายในมัน จนกระทั้งบิดอะฮฟื้นคืนชีพขึ้นมา และบรรดาสุนนะฮได้ตายไป*
. [رواه الطبراني في المعجم الكبير: 10/262، وقال الهيثمي في مجمع الزوائد 1/188: ورجاله موثقون

ตอบ

คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนั้น คือบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ซึ่งท่านอิบนุมัสอูดได้พูดกับพวกค่อวาริจ ที่ทำเล่าขานกันและกันในการสรรญเสริญซอฮาบะฮ์บางท่าน และทำการตำหนิประนาม กล่าวกุฟุรกับซอฮาบะฮ์อีกบางส่วน ซึ่งพฤติกรรมอย่างนี้ ย่อมเป็นบิดอะฮ์ โดยที่บรรดาซอฮาบะฮ์ได้เคยกระทำมาก่อน ดังที่ผมจะนำมากล่าวในหลักฐานคำกล่าวและการกระทำของบรรดาซอฮาบะฮ์ ดังนั้นท่านอิบนุมัสอูด ไม่ได้ปฏิเสธบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่มีรากฐานและอยู่บนหลักพื้นฐานของศาสนา เช่นท่านอิบนุมัสอูด อ่าน อะฮีอัต ในตะชะฮุด ว่า
السلام عليك ايها النيى ورحمة الله ويركاته السلام علينا من ربنا
โดยเพิ่มขึ้นมาเอง กับคำว่า من ربنا หากมันเป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมท่านอิบนุมัสอูด ถึงเพิ่มคำดังกล่าวขึ้นมาอีก ทั้งๆที่ท่านนบีไม่ได้เพิ่มไว้ และมีตัวอย่างอีกมากมายจากท่านอิบนุมัสอูด ที่กระทำอิบาอะฮ์ที่ท่านนบีไม่ได้ทำ เช่นละหมาดสุนัตหลังละหมาดซุบหฺ และอื่นๆอีก ซึ่งผมจะนำมากล่าวในหลักฐานคำกล่าวและการกระทำของบรรดาซอฮาบะฮ์ ดังนั้น คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนี้ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่มีรากฐานและอยู่บนพื้นฐานของศาสนา

สำหรับคำกล่าวของท่าน อิบนุ อับบาส นั้น คือท่านได้ตำหนิบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง บิดอะฮ์ที่มาทำลายซุนนะฮ์ บิดอะฮ์ที่มาขัดกับซุนนะฮ์ และยกหลักการของซุนนะฮ์ออกไป ไม่ใช่ไปท่านอิบนุอับบาส ตำหนิบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ที่มีรากฐานจากซุนนะฮ์ ดังนั้น การกระทำที่มีรากฐานจากซุนนะฮ์ ก็ย่อมไม่ใช่เป็นการทำให้ซุนนะฮ์นั้นตายแต่อย่างใด

เมื่อท่านอิบนุอับบาสเสียชีวิต ท่านมุหัมมัด บิน หะนะฟีย์ (คือมุหัมมัด บุตร ท่านอลี นั่นเอง) ท่านได้ทำการจัดการละหมาดให้แก่ท่านอิบนุอับบาส และทำการอยู่ในกุบูรเพื่ออ่านอัลกุรอานแก่ท่านอิบนุอับบาสถึง 3 วัน (ท่านฮัยษะมีย์บอกว่า บรรดาผู้รายงานนั้น ซอฮิหฺ) อะๆ เริ่มโผล่หลักฐานกันนิดๆหน่อยๆแล้วครับ แต่ใจเย็นๆครับ เพราะมันยังไม่ถึงประเด็นจะพูด เราคุยเรื่องหลักฐานจากซุนนะฮ์ให้หมดกันก่อนนะครับ คุณ คนอยากรู้

สำหรับคำกล่าวของ ท่าน หุซัยฟะฮ์ (ร.ฏ.) นั้น คือท่านได้กล่าวเกี่ยวกับพวกค่อวาริจ ที่กระทำบิดอะฮ์ โดยอ้างตนเองว่า พวกเขาคือผู้ที่เคร่งครัดที่สุด และทำการวินิจฉัยอิบาดะฮ์ที่ ที่ไม่มีพื้นฐานเดิมจากบรรดาซอฮาบะฮ์และจากหลักการของศาสนาอย่างแท้จริง คำว่า يا معشر القراء (กุรรออ์) เป็นฉายาของกลุ่มค่อวาริจ ก่อนที่พวกเขาจะแยกตัวออกมาจากบรรดามุสลิมมีน ความบิดอะฮ์หนึ่งของพวกค่อวาริจนั้น คือชอบยกอายะฮ์ต่างๆที่กล่าวถึงพวกกุฟฟาร แล้วมาใช้กับมุสลิมีน อ่ะๆ แบบนี้โดนกลุ่มวะฮาบีย์ด้วยหรือเปล่า ที่ชอบยกอายะฮ์ที่กล่าวถึงกับพวกกุฟฟาร แล้วยกมาใช้กับเราชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ??

อ้างอิงจากบังอะสัน

ประเด็นนี้ได้ตอบไปแล้วลองย้อนกลับไปดู แต่หะดิษ นี้ท่านอุมัรไม่ได้หมายถึงบิดอะฮในทางศาสนา เพราะ ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยนำละหมาดตะเราะเวียะแก่เหล่าสาวก และได้ส่งเสริมให้ปฏิบัติ
قال ابن رجب: "وأمَّا ما وقع في كلام السلف من استحسان بعض البدع، فإنما ذلك في البدع اللغوية لا الشرعية، فمن ذلك قول عمر - رضي الله عنه - لما جمع الناس في قيام رمضان على إمام واحد في المسجد، وخرج ورآهم يصلون كذلك، فقال: نعمت البدعة هذه ". [جامع العلوم والحكم: 1/129

อิบนุเราะญับกล่าวว่า “ สำหรับสิ่งที่ปรากฏในคำพูดของสะลัฟ จากการที่เห็นว่าบางส่วนของบิดอะฮเป็นสิ่งที่ดีนั้น ความจริง ดังกล่าวนั้น เกี่ยวกับบิดอะฮในเชิงภาษา ไม่ใช่ ในด้านศาสนา แล้วส่วนหนึ่งจากดังกล่าวนั้น คือ คำพูดของอุมัร (ร.ฎ)เมื่อได้รวมผู้คนให้มาละหมาดกิยามุเราะมะฏอน(ตะรอเวียะ) ภายใต้การนำของอิหม่ามคนเดียวกัน ในมัสญิด และท่านได้ออกมาเห็นพวกเขา กำลังละหมาดเช่นนั้น จึงกล่าวว่า “ นี่คือ บิดอะฮที่ดี – ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม 1/129
........................................
หากน้อง kunkonyakroo เข้าใจหะดิษที่ว่า “ จงยึดมั่นในสุนนะฮของฉัน และสุนนะฮผู้ทรงธรรม ผู้ได้รับทางนำ” ก็จะไม่เอากรณีหะดิษท่านอุมัร(ร.ฏ) มาอ้าง เพื่อทำบิดอะฮอย่างแน่นอน โปรดพิจารณานะครับน้อง

ตอบ

ท่านอิบนุ ร่อญับ ไม่ได้ปฏิเสธ การแบ่งบิดอะอ์ในเชิงภาษา (คือบิดอะอ์ที่มีรากฐานที่มา หรือบิดอะฮ์ที่อยู่บนหลักการของศาสนา) แต่ท่าน อิบน รอญับ ได้ปฏิเสธการแบ่งบิดอะฮ์ที่อยู่ในความหมายของศาสนา
ดังนั้น บิดอะฮ์ในเชิงภาษานั้น ย่อมมีทั้งบิดอะฮ์ที่ดี และบิดอะฮ์ที่ไม่ดี แม้จะอธิบายว่า มันเป็นแค่บิดอะฮ์เชิงภาษา ก็ไม่ได้ปฏิเสธแนวทางการแบ่งของเราเลยแม้แต่น้อย เมื่อการกระทำของท่านอุมัร นั้นเป็นซุนนะฮ์(แนวทาง) แต่ทำไมท่านอุมัร ถึงแรกว่า มันเป็นบิดอะฮ์ที่ดี ซึ่งประเด็นมันอยู่ตรงนี้ คือทำไมท่านอุมัรถึงเรียกว่า "มันเป็นบิดอะฮ์ที่ดี" ก็แสดงว่า บิดอะอ์ที่ดีนั้น ก็คือ ซุนนะฮ์ นั่นเอง
(คำนิยาม)บิดอะฮ์ตามหลักศาสนา

ที่นั่นมี สองแนวทางของบรรดาอุลามาอ์ ในการให้คำนิยามของคำ"บิดอะฮ์ตามหลักศาสนา"

หนทางที่ 1. คือแนวทางของท่าน อิซซุดดีน บิน อับดุสลาม โดยที่ท่านได้พิจารณาว่า แท้จริงสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยกระทำนั้น เป็นบิดอะฮ์ และท่านได้แบ่งบิดอะฮ์ออกเป็นหุกุ่มต่างๆ โดยท่านกล่าวว่า "(บิดอะฮ์คือ)การกระทำที่ไม่เป็นที่รู้กันในสมัยของท่านร่อซุลเลาะฮ์(ซ.ล.) คือมันแบ่งออกเป็น บิดอะฮ์วายิบ บิดอะฮ์หะรอม บิดอะฮ์สุนัต บิดอะฮ์มักโระฮ์ และบิดอะฮ์มุบาห์.....(โปรดอ่านเพิ่มตามจากคำนิยามของ อิบนุ อับดุสลามที่ได้นำเสนอมาแล้วข้างต้น)" (ดู ก่อวาอิด อัลอะหฺกาม ฟี มะซอลิหฺ อัลอะนาม เล่ม 2 หน้า 204)

ท่านอิมาม อันนะวะวีย์ ได้สนับสนุนกับความหมายดังกล่าวว่า "ทุกๆการกระทำที่ไม่เคยมีในสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) เรียกว่าบิดอะฮ์ แต่ส่วนหนึ่งจากมันนั้น มีสิ่งที่ดี (หะสะนะฮ์) และส่วนหนึ่งจากมันก็มีสิ่งที่ยัดแย้งกับดังกล่าว" (ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 394)

หนทางที่ 2. คือทำความเข้าใจความหมายของบิดอะฮ์ตามหลักศาสนา(ของแนวทางแรก)นั้น ให้เฉพาะเจาะจงเข้าไปอยู่ใน(บิดอะฮ์ตาม)หลักภาษา และทำ(การจำกัด)บิดอะฮ์ตามหลักศาสนาให้อยู่ในความหมายที่ถูกตำหนิเท่านั้น คือ(อุลามาอ์ที่อยู่หนทางนี้)จะไม่เรียก บิดอะฮ์วายิบ บิดอะฮ์สุนัติ บิดอะฮ์มุบาหฺ และบิดอะฮ์มักโระฮ์ (ท่านอิบนุอับดุสลาม) ว่า "เป็นบิดอะฮ์" และส่วนหนึ่งจากผู้ที่อยู่ในแนวทางนี้ คือ ท่าน อิบนุร่อญับ (ร.ห.) และท่านอิบนุรอญับ ได้อธิบายความหมายดังกล่าวว่า " จุดมุ่งหมายด้วยกับบิดอะฮ์นั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ที่มาจากสิ่งที่ไม่มีรากฐานจากหลักศาสนาที่บ่งชี้บนมัน แต่สำหรับสิ่งที่มีรากฐานให้กับมัน จากหลักศาสนาที่บ่งชี้บนมันนั้น ก็ย่อมไม่ใช่บิดอะฮ์ แต่หากว่า มันเป็นบิดอะฮ์ตามหลักภาษา" (ดู ญาเมี๊ยะอฺ อัลอุลูม วะ อัลหิกัม หน้า 223 )

และในความเป็นจริงแล้ว สองหนทางนี้ ได้มีความเห็นสอดคล้องกันใน แก่นแท้ของความเข้าใจจากคำว่า"บิดอะฮ์" (คือสอดคล้องในด้าน การกระทำใดที่ไม่มีรากฐานเดิมตามหลักศาสนา ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิตามทัศนะของอิบนุรอญับ และเป็นบิดอะฮ์หะรอมตามทัศนะของท่านอิซซุดดีนบินอับดุสลาม) แต่ความแตกต่างกัน อยู่ตรงที่ แนวทางการวินิจฉัยที่เข้าไปสู่ความเข้าใจที่ตรงกัน คือ แท้จริง บิดอะฮ์อันถูกตำหนิ ที่เป็นการกระทำจะได้รับบาปนั้น คือบิดอะฮ์ที่ไม่มีรากฐานในศาสนาที่บ่งชี้บนมัน ซึ่งมันก็คือ จุดมุ่งหมายจากคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ที่ว่า "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง" (ทั้งหมดนี้ อ้างอิงจาก หนังสือ อัลบะยาน หน้าที่ 204 - 205 ฟัตวาที่ 50)

ดังนั้น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือ ซุนนะฮ์ นั่นเอง ซึ่งท่าน อิบนุ อะษีร ได้กล่าวยืนยันไว้ว่า

والبدعة الحسنة فى الحقيقة سنة، وعلى هذا التأويل يحمل حديث " كل محدث بدعة" على ما خالف أصول الشريعة، وما لم يخالف السنة

"และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ในความเป็นจริงแล้ว คือซุนนะฮ์ และบนการอธิบายตามนัยนี้ ก็ถูกตีความ หะดิษที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น บิดอะฮ์" นั้น บนสิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐานของศาสนา และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์ " ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ เล่ม 1 หน้า 80 (ถ่ายทอดจากหนังสือ อัลบะยาน หน้า 206 ฟัตวาที่ 50)
[/align]

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Feb 10, 2006 5:45 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

ส่วนการอ้างหะดิษที่ว่า หะดิษต่อไปนี้ เป็นหลักฐานบิดอะฮหะสะนะฮนั้น ย่อมไม่เป็นผล
من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำแบบอย่างที่ดี ในอิสลาม แน่นอน เขาจะได้รับ ผลตอบแทนของมัน และผลตอบแทนของผู้ที่ได้ปฏิบัติด้วยกับมัน จากหลังเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ได้กับเขา) โดยไม่มีสิ่งใดลดลงไปเลย จากผลการตอบของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำแบบอย่างที่เลว ในอิสลาม แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่ 1017)
..............................
เพราะ หะดิษนี้ ไม่ได้หมายถึง การอุตริบิดอะฮที่ดีในอิสลาม แต่หมายถึง การฟื้นฟูสุนนะฮ และ การเป็นแบบอย่าง ในการทำดี ทีศาสนามีบัญญัติไว้ เพราะที่มาของคำพูดของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ข้างต้นเนื่องจากมีเศาะหาบะฮท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวอันศอร ได้ทำการเศาะดะฮเกาะฮ ในยามวิกฤต แล้วคนอื่นๆก็เอาเยี่ยงอย่าง ดังสำนวนหะดิษข้างล่างนี้

ตอบ

การจำกัดหะดิษนี้ เพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ซอดาเกาะฮ์ นั้น เป็นการแช่แข็งตัวบทหะดิษ แต่หะดิษนี้ ย่อมครอบคลุ่มถึงเรื่องอื่นๆด้วย โดยมติของบรรดาอุลามาอ์ มีความเห็นพร้อมว่าบนหลักการที่ว่า

العبرة بعموم اللفظ لا بخصوص السبب

"การพิจารณา(ตัวบทนั้น) ด้วยความหมายที่ครอบคลุมของคำ ไม่ใช่ด้วยการเจาะจงเพียงแค่สาเหตุ"

และสาเหตุของการกล่าวหะดิษนั้น ก็ย่อมผนวกเข้าไปอยู่ในตัวบทอยู่แล้ว ซึ่งหากจำกัดเพียงแค่สาเหตุนั้น ก็จะทำให้บรรดาหุกุ่มต่างๆตามหลักชาริอะฮ์ ต้องไร้ความหมายไป เนื่องจากตัวบท จำกัดเพียงแค่สาเหตุเท่านั้น

และการแปลความหมายของ سن ให้อยู่ในความหมาย การฟื้นฟู นั้น ไม่มีในภาษาอาหรับเลยแม้แต่น้อย

เราลองมาวิจารณ์คำพูดของ มุนัจญิด อุลามาอ์วะฮาบีย์ ในดวงใจของ ไออาเอฟกันสักหน่อย

มุนัจญิด คัดค้านว่า

أنّ المبتدع الذي يضيف إلى الدّين ما ليس منه يلزم من فعله هذا عدة مساوئ كلّ واحد منها أسوأ من الآخر ومنها :
- اتهام الدّين بالنقص وأنّ الله لم يكمله وأن فيه مجالا للزيادة وهذا مصادم لقوله تعالى : ( اليوم أكملت لكم دينكم وأتممت عليكم نعمتي ورضيت لكم الإسلام دينا ) .
- أنّ الدّين بقي ناقصا من أيام النبي صلى الله عليه وسلم حتى جاء هذا المبتدع ليكمله من عنده .
- أنّه يلزم من إقرار البدعة اتهام النبي صلى الله عليه وسلم بأحد أمرين : إما أن يكون جاهلا بهذه البدعة الحسنة !! أو أنه قد علمها وكتمها وغشّ الأمة فلم يبلّغها
สรุปคำพูดของมุนัจญิดก็คือ "ผู้ที่ทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น คือผู้ที่เพิ่มเติมเสริมในเรื่องศาสนา และกล่าวหากว่าศาสนานั้นบกพร่อง โดยยกอายะฮ์ที่ว่า "วันนี้ข้างได้ทำให้ศาสนาพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว....." และยิ่งไปกว่านั้น มุนัจญิดกล่าวว่า ผู้ที่ทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น คือผู้ที่กล่าวหาว่า นบี(ซ.ล.)โง่และไม่รู้เรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์และกล่าวหาว่าท่านบีได้รู้และทำการปกปิดหลอกลวงประชาชาติของท่านโดยไม่ได้ทำการเผยแพร่..

ตอบ

แท้จริง ความหมายของอายะฮ์ "ฉันได้ทำให้สมบูรณ์สำหรับพวกเจ้า" นี้ คือความสมบูรณ์ของบรรดาอุดมการณ์หลักๆ ( المبادئ ) หรือบรรดาสิ่งที่เป็นหลักการสำคัญๆ ( القواعد ) และส่วนหนึ่งของบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็ผนวกอยู่ในอุดมการณ์ของอิสลามด้วย เนื่องจากมันอยู่บนรากฐานของศาสนา ดังนั้น ผู้ที่กระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมในเรื่องศาสนา หรือคิดว่าหลักศาสนานั้นบกพร่อง หรือเขาได้กระทำตามอารมณ์ หรือเขาได้บัญญัติเรื่องศาสนาขึ้นมาเองก็หาไม่ แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นการปฏิบัติตามหลักของศาสนา ( قاعدة شرعية ) ที่ได้รับมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ โดยที่ไม่ต้องการจะมาเลียนแบบให้เหมือนกับหลักการศาสนา และไม่ได้มีเจตนาที่จะดันทุรังกับการหลักการของอัลเลาะฮ์ และฝ่าฝืนท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)"

หากการทำบิดอะฮ์ที่ดี เป็นการกล่าวหาท่านร่อซูล(ซ.ล.)ว่า ปกปิด หลอกลวงประชาชาติตามที่มุนัจญิดกล่าวไว้นั้น ก็ถือว่าเป็นการตำหนิท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ไปริเริ่มรูปแบบต่างๆของการละหมาดตะรอวิหฺ เช่นการเพิ่มจำนวน 20 ร่อกะอัต เป็นต้น วัลอิยาซุบิลลาหฺ!!


มุนัจญิดบอกว่า

أنّ معنى قوله صلى الله عليه وسلم " من سنّ في الإسلام سنّة حسنة " أي : من أحيا سنّة من سنن النبي صلى الله عليه وسلم أو دلّ عليها أو أمر بها أو عمل بها

ตอบ
ดูซิครับท่านผู้อ่าน หะดิษมีดังกล่าวความหมายชัดเจนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ในท้องฟ้าเสียอีก ที่มีความหมายว่า "ผู้ใดที่กระทำ หรือประดิษฐ์แนวทางที่ดีในอิสลาม" แต่มุนัจญิดกลับไปแปลว่า (أحيا ) ฟื้นฟู มันมีที่ใหนล่ะครับ ที่คำว่า (سن) ไปมีความหมายว่า(أحيا ) แบบนี้มันตีความตามอารมณ์เข้าตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งมันเป็นการบิดเบือน ถ้อยความ และความเข้าใจจากตัวบทอย่างแจ้งชัด และเป็นการทำลายความหมายและถ้อยคำต่างอย่างชัดเจน ที่ได้ระบุถึง การส่งเสริมในการสร้างแนวทางต่างๆที่ดี เป็นการเปิดให้ผู้คนทั้งหลายมีขนบธรรมเนียมที่ดีงาม ที่อยู่ในใต้กรอบและหลักการของชาริอัตอิสลาม และกฏเกนฑ์ทั่วไปที่ไม่ขัดและคัดค้านกับรากฐานของศาสนาอิสลาม
ท่านอิมาม อันนะวะวีย์ กล่าวว่าอธิบายหะดิษดังกล่าวว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها.....إلى أخره

"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน ผลตอบแทนของมัน ก็มีให้แก่เขา...(จนจบหะดิษ) ในหะดิษนี้ ได้ส่งเสริมให้ริเริ่มกระทำบรรดาความดีงาม และกระทำขึ้นมา กับบรรดาแนวทางทางที่ดี และเตือนให้ระวัง จากการประดิษฐ์บรรดาสิ่งที่เป็นโมฆะและสิ่งที่น่ารังเกียจ และสาเหตุที่นบี(ซ.ล.)กล่าวในหะดิษนี้ คือในช่วงแรกผู้รายงานกล่าวว่า " ได้มีชายคนหนึ่ง(ที่ยากจนแล้วบรรดาซอฮาบะฮ์ก็บริจาคทำการช่วยเหลือ) ได้นำถุงกระสอบหนึ่งที่มือของเขายกเกือบไม่ไหว แล้วบรรดาผู้คนก็ติดตาม(บริจาคให้อีก)" ดังนั้น ความประเสริฐอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ที่ริเริ่ม ด้วยการทำความดีนี้ และสำหรับผู้ที่เปิดประตูของการกระทำความดีงามนี้ และในหะดิษนี้ ได้มาทอนความหมายคำหะดิษท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่กล่าวว่า

كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

"ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น บิดอะฮ์ และทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"
โดยที่จุดมุ่งหมายของหะดิษนี้ ก็คือ บรรดาสิ่งที่อุตริทำขึ้นมาใหม่ที่เป็นโมฆะและบรรดาบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิเท่านั้น..." (ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ของท่านอิมาม อันนะวาวีย์ เล่ม 4 หน้า 113)
และการฟื้นฟูซุนนะฮ์นะนั้น ย่อมมีหลักฐานที่เป็นเอกเทศของมันอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปตีความหะดิษ "من سن في الإسلام سنة حسنة " แต่อย่างใด เช่น

ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ได้รายงาน จาก ท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دعا إلى هدى كان له من الأجر مثل أجور من تبعه لا ينقص ذلك من أجورهم شيئا ، ومن دعا إلى ضلالة كان عليه من الإثم مثل آثام من تبعه لا ينقص ذلك من آثامهم شيئا

"ผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ทางนำ แน่นอน ย่อมมีผลตอบแทนแก่เขา เหมือนบรรดาการตอบแทนของผู้ที่เจริญตาม โดยดังกล่าวนั้น จะไม่ลดน้อยสักสิ่งใดเลย จากบรรดาผู้การตอบแทนของพวกเขา และผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ความลุ่มหลง แน่นอน ย่อมมีบาปบนเขา ซึ่งเสมือนกับบรรดาบาปของผู้ที่เจริญตาม โดยสิ่งดังกล่าวนั้น จะไม่ลดน้อยสักสิ่งเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม

รายงานจากอบีมัสอูด อัลอันซอรีย์ จากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دل على خير فله مثل أجر فاعله

"ผู้ใด ได้ชี้แนะบนความดีหนึ่ง ดังนั้น ให้กับเขา ก็เหมือนกับผู้ตอบแทนของผู้กระทำ" รายงานโดยมุสลิม
รายงาน กะษีร บิน อับดิลลาฮ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ได้ยินท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من أحيا سنة من سنتي قد أميتت بعدي فإن له من الأجر مثل من عمل بها من غير أن ينقص من أجورهم شيئا ، ومن ابتدع بدعة ضلالة لا ترضي الله ورسوله كان عليه من مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزار الناس شيئا

"ผู้ใดที่ฟื้นฟูซุนนะฮ์หนึ่ง จากซุนนะฮ์ของฉันที่ได้ตายไป หลังจากฉัน แท้จริงแล้ว ย่อมเขาย่อมมีผลตอบแทน เสมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน โดยไม่ลดย่อนลงสิ่งใดเลย จากผลการตอบแทนของพวกเขา และผู้ใดที่อุตริบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง โดยที่ไม่ทำให้พึงพอพระทัยกับอัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์นั้น เขาย่อมได้รับผลกรรม เหมือนกับบรรดาบาปของผู้ที่กระทำมันโดยสิ่งดังกล่างไม่ทำให้ลดย่อนกับสิ่งใดเลยจากบรรดาบาปของมนุษย์" รายงานโดย ท่านติรมิซีย์ และอิบนุมาญะฮ์
อุลามาอ์วะฮาบีย์บางคนอาจจะกล่าวว่า หะดิษ من سن فى الإسلام سنة حسنة...
"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้

คือ "จำกัดและเจาะจงสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์และบรรดาคอลิฟะฮ์ได้วางแนวทางไว้แล้วเท่านั้น" แต่ความจริงแล้ว หะดิษดังกล่าว ย่อมมีความชัดเจนและครอบคลุมอยู่แล้ว ในการริเริ่มส่งเสริม กระทำบรรดาแนวทางที่ดีงามโดยที่ไม่ได้จำกัดว่า จะเป็นคนศตวรรษใหนเป็นการเฉพาะ ดังนั้นการวางเงื่อนไขเจาะจงเฉพาะกับการกระทำสิ่งหนึ่งขึ้นมาใหม่ เพียงแต่สมัยซอฮาบะฮ์อย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการวางเงื่อนไขเจาะจงที่ปราศจากหลักฐาน (มาเจาะจงหรือทอนความหมายกับตัวบทนี้)

และอุลามาอ์วะฮาบีย์บางท่านอาจจะอ้างอีกว่าหะดิษ من سن فى الإسلام سنة حسنة...
"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้

หมายถึง "การที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์และกระทำสิ่งหนึ่งที่ ที่เป็นเรื่องของดุนยา หรือหนทางต่างๆที่มีประโยชน์ และแนวทางที่เลว นั้น คือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์กระทำขึ้นมา บนหนทางที่อันตรายและเลวร้าย" ดังนั้น การที่พวกเขาจำกัดสิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่ที่ยอมรับได้เพียงแค่เรื่องของดุนยานั้น เป็นการเจาะจงหรือทอนความหมายของหะดิษ โดยไม่มีสิ่งที่มาทอนความหมายหรือเฉพาะเจาะจงกับมันเลย ซึ่งตามหลักวิชาการนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้โดยเด็ดขาด

หะดิษดังกล่าว ระบุว่า "ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." ดังนั้น คำว่า "ในอิสลาม" นี้ ย่อมไม่มีความใด นอกจากศาสนาอิสลาม ที่อัลเลาะฮ์ทรงพอพระทัยด้วย
ดังนั้น ความหมายที่ชัดเจนของหะดิษดังกล่าวนั้น คือทุกๆสิ่งที่ริเริ่มกระทำขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา หรือดุนยา หะดิษดังกล่าว ย่อมครอบคลุ่มถึงทั้งหมด ซึ่งหากสิ่งใดที่กระทำขึ้น โดยสอดคล้องกับหลักศาสนา สิ่งนั้นย่อมเป็นแนวทางที่ดี และสิ่งใดที่กระทำขึ้นมาใหม่โดยที่ขัดกับหลักการของศาสนา สิ่งที่นั้นย่อมเป็นแนวทางที่เลว

หมายเหตุ

แม้บังอะสัน เคยบอกว่า ไมให้สหายของบังมุหัมมัดเอ่ยชื่อนั้น ผมคงทำไม่ได้ ในเมื่อบังอะสัน ยังเข้ามาร่วมสนทนาในกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Feb 10, 2006 5:46 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจากบังอะสัน

ส่วนการอ้างหะดิษที่ว่า หะดิษต่อไปนี้ เป็นหลักฐานบิดอะฮหะสะนะฮนั้น ย่อมไม่เป็นผล
من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำแบบอย่างที่ดี ในอิสลาม แน่นอน เขาจะได้รับ ผลตอบแทนของมัน และผลตอบแทนของผู้ที่ได้ปฏิบัติด้วยกับมัน จากหลังเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ได้กับเขา) โดยไม่มีสิ่งใดลดลงไปเลย จากผลการตอบของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำแบบอย่างที่เลว ในอิสลาม แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่ 1017)
..............................
เพราะ หะดิษนี้ ไม่ได้หมายถึง การอุตริบิดอะฮที่ดีในอิสลาม แต่หมายถึง การฟื้นฟูสุนนะฮ และ การเป็นแบบอย่าง ในการทำดี ทีศาสนามีบัญญัติไว้ เพราะที่มาของคำพูดของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ข้างต้นเนื่องจากมีเศาะหาบะฮท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวอันศอร ได้ทำการเศาะดะฮเกาะฮ ในยามวิกฤต แล้วคนอื่นๆก็เอาเยี่ยงอย่าง ดังสำนวนหะดิษข้างล่างนี้

ตอบ

การจำกัดหะดิษนี้ เพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ซอดาเกาะฮ์ นั้น เป็นการแช่แข็งตัวบทหะดิษ แต่หะดิษนี้ ย่อมครอบคลุ่มถึงเรื่องอื่นๆด้วย โดยมติของบรรดาอุลามาอ์ มีความเห็นพร้อมว่าบนหลักการที่ว่า

العبرة بعموم اللفظ لا بخصوص السبب

"การพิจารณา(ตัวบทนั้น) ด้วยความหมายที่ครอบคลุมของคำ ไม่ใช่ด้วยการเจาะจงเพียงแค่สาเหตุ"

และสาเหตุของการกล่าวหะดิษนั้น ก็ย่อมผนวกเข้าไปอยู่ในตัวบทอยู่แล้ว ซึ่งหากจำกัดเพียงแค่สาเหตุนั้น ก็จะทำให้บรรดาหุกุ่มต่างๆตามหลักชาริอะฮ์ ต้องไร้ความหมายไป เนื่องจากตัวบท จำกัดเพียงแค่สาเหตุเท่านั้น

และการแปลความหมายของ سن ให้อยู่ในความหมาย การฟื้นฟู นั้น ไม่มีในภาษาอาหรับเลยแม้แต่น้อย

เราลองมาวิจารณ์คำพูดของ มุนัจญิด อุลามาอ์วะฮาบีย์ ในดวงใจของ ไออาเอฟกันสักหน่อย

มุนัจญิด คัดค้านว่า

أنّ المبتدع الذي يضيف إلى الدّين ما ليس منه يلزم من فعله هذا عدة مساوئ كلّ واحد منها أسوأ من الآخر ومنها :
- اتهام الدّين بالنقص وأنّ الله لم يكمله وأن فيه مجالا للزيادة وهذا مصادم لقوله تعالى : ( اليوم أكملت لكم دينكم وأتممت عليكم نعمتي ورضيت لكم الإسلام دينا ) .
- أنّ الدّين بقي ناقصا من أيام النبي صلى الله عليه وسلم حتى جاء هذا المبتدع ليكمله من عنده .
- أنّه يلزم من إقرار البدعة اتهام النبي صلى الله عليه وسلم بأحد أمرين : إما أن يكون جاهلا بهذه البدعة الحسنة !! أو أنه قد علمها وكتمها وغشّ الأمة فلم يبلّغها
สรุปคำพูดของมุนัจญิดก็คือ "ผู้ที่ทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น คือผู้ที่เพิ่มเติมเสริมในเรื่องศาสนา และกล่าวหากว่าศาสนานั้นบกพร่อง โดยยกอายะฮ์ที่ว่า "วันนี้ข้างได้ทำให้ศาสนาพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว....." และยิ่งไปกว่านั้น มุนัจญิดกล่าวว่า ผู้ที่ทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น คือผู้ที่กล่าวหาว่า นบี(ซ.ล.)โง่และไม่รู้เรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์และกล่าวหาว่าท่านบีได้รู้และทำการปกปิดหลอกลวงประชาชาติของท่านโดยไม่ได้ทำการเผยแพร่..

ตอบ

แท้จริง ความหมายของอายะฮ์ "ฉันได้ทำให้สมบูรณ์สำหรับพวกเจ้า" นี้ คือความสมบูรณ์ของบรรดาอุดมการณ์หลักๆ ( المبادئ ) หรือบรรดาสิ่งที่เป็นหลักการสำคัญๆ ( القواعد ) และส่วนหนึ่งของบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็ผนวกอยู่ในอุดมการณ์ของอิสลามด้วย เนื่องจากมันอยู่บนรากฐานของศาสนา ดังนั้น ผู้ที่กระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมในเรื่องศาสนา หรือคิดว่าหลักศาสนานั้นบกพร่อง หรือเขาได้กระทำตามอารมณ์ หรือเขาได้บัญญัติเรื่องศาสนาขึ้นมาเองก็หาไม่ แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นการปฏิบัติตามหลักของศาสนา ( قاعدة شرعية ) ที่ได้รับมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ โดยที่ไม่ต้องการจะมาเลียนแบบให้เหมือนกับหลักการศาสนา และไม่ได้มีเจตนาที่จะดันทุรังกับการหลักการของอัลเลาะฮ์ และฝ่าฝืนท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)"

หากการทำบิดอะฮ์ที่ดี เป็นการกล่าวหาท่านร่อซูล(ซ.ล.)ว่า ปกปิด หลอกลวงประชาชาติตามที่มุนัจญิดกล่าวไว้นั้น ก็ถือว่าเป็นการตำหนิท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ไปริเริ่มรูปแบบต่างๆของการละหมาดตะรอวิหฺ เช่นการเพิ่มจำนวน 20 ร่อกะอัต เป็นต้น วัลอิยาซุบิลลาหฺ!!


มุนัจญิดบอกว่า

أنّ معنى قوله صلى الله عليه وسلم " من سنّ في الإسلام سنّة حسنة " أي : من أحيا سنّة من سنن النبي صلى الله عليه وسلم أو دلّ عليها أو أمر بها أو عمل بها

ตอบ
ดูซิครับท่านผู้อ่าน หะดิษมีดังกล่าวความหมายชัดเจนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ในท้องฟ้าเสียอีก ที่มีความหมายว่า "ผู้ใดที่กระทำ หรือประดิษฐ์แนวทางที่ดีในอิสลาม" แต่มุนัจญิดกลับไปแปลว่า (أحيا ) ฟื้นฟู มันมีที่ใหนล่ะครับ ที่คำว่า (سن) ไปมีความหมายว่า(أحيا ) แบบนี้มันตีความตามอารมณ์เข้าตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งมันเป็นการบิดเบือน ถ้อยความ และความเข้าใจจากตัวบทอย่างแจ้งชัด และเป็นการทำลายความหมายและถ้อยคำต่างอย่างชัดเจน ที่ได้ระบุถึง การส่งเสริมในการสร้างแนวทางต่างๆที่ดี เป็นการเปิดให้ผู้คนทั้งหลายมีขนบธรรมเนียมที่ดีงาม ที่อยู่ในใต้กรอบและหลักการของชาริอัตอิสลาม และกฏเกนฑ์ทั่วไปที่ไม่ขัดและคัดค้านกับรากฐานของศาสนาอิสลาม
ท่านอิมาม อันนะวะวีย์ กล่าวว่าอธิบายหะดิษดังกล่าวว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها.....إلى أخره

"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน ผลตอบแทนของมัน ก็มีให้แก่เขา...(จนจบหะดิษ) ในหะดิษนี้ ได้ส่งเสริมให้ริเริ่มกระทำบรรดาความดีงาม และกระทำขึ้นมา กับบรรดาแนวทางทางที่ดี และเตือนให้ระวัง จากการประดิษฐ์บรรดาสิ่งที่เป็นโมฆะและสิ่งที่น่ารังเกียจ และสาเหตุที่นบี(ซ.ล.)กล่าวในหะดิษนี้ คือในช่วงแรกผู้รายงานกล่าวว่า " ได้มีชายคนหนึ่ง(ที่ยากจนแล้วบรรดาซอฮาบะฮ์ก็บริจาคทำการช่วยเหลือ) ได้นำถุงกระสอบหนึ่งที่มือของเขายกเกือบไม่ไหว แล้วบรรดาผู้คนก็ติดตาม(บริจาคให้อีก)" ดังนั้น ความประเสริฐอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ที่ริเริ่ม ด้วยการทำความดีนี้ และสำหรับผู้ที่เปิดประตูของการกระทำความดีงามนี้ และในหะดิษนี้ ได้มาทอนความหมายคำหะดิษท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่กล่าวว่า

كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

"ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น บิดอะฮ์ และทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"
โดยที่จุดมุ่งหมายของหะดิษนี้ ก็คือ บรรดาสิ่งที่อุตริทำขึ้นมาใหม่ที่เป็นโมฆะและบรรดาบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิเท่านั้น..." (ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ของท่านอิมาม อันนะวาวีย์ เล่ม 4 หน้า 113)
และการฟื้นฟูซุนนะฮ์นะนั้น ย่อมมีหลักฐานที่เป็นเอกเทศของมันอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปตีความหะดิษ "من سن في الإسلام سنة حسنة " แต่อย่างใด เช่น

ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ได้รายงาน จาก ท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دعا إلى هدى كان له من الأجر مثل أجور من تبعه لا ينقص ذلك من أجورهم شيئا ، ومن دعا إلى ضلالة كان عليه من الإثم مثل آثام من تبعه لا ينقص ذلك من آثامهم شيئا

"ผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ทางนำ แน่นอน ย่อมมีผลตอบแทนแก่เขา เหมือนบรรดาการตอบแทนของผู้ที่เจริญตาม โดยดังกล่าวนั้น จะไม่ลดน้อยสักสิ่งใดเลย จากบรรดาผู้การตอบแทนของพวกเขา และผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ความลุ่มหลง แน่นอน ย่อมมีบาปบนเขา ซึ่งเสมือนกับบรรดาบาปของผู้ที่เจริญตาม โดยสิ่งดังกล่าวนั้น จะไม่ลดน้อยสักสิ่งเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม

รายงานจากอบีมัสอูด อัลอันซอรีย์ จากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دل على خير فله مثل أجر فاعله

"ผู้ใด ได้ชี้แนะบนความดีหนึ่ง ดังนั้น ให้กับเขา ก็เหมือนกับผู้ตอบแทนของผู้กระทำ" รายงานโดยมุสลิม
รายงาน กะษีร บิน อับดิลลาฮ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ได้ยินท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من أحيا سنة من سنتي قد أميتت بعدي فإن له من الأجر مثل من عمل بها من غير أن ينقص من أجورهم شيئا ، ومن ابتدع بدعة ضلالة لا ترضي الله ورسوله كان عليه من مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزار الناس شيئا

"ผู้ใดที่ฟื้นฟูซุนนะฮ์หนึ่ง จากซุนนะฮ์ของฉันที่ได้ตายไป หลังจากฉัน แท้จริงแล้ว ย่อมเขาย่อมมีผลตอบแทน เสมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน โดยไม่ลดย่อนลงสิ่งใดเลย จากผลการตอบแทนของพวกเขา และผู้ใดที่อุตริบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง โดยที่ไม่ทำให้พึงพอพระทัยกับอัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์นั้น เขาย่อมได้รับผลกรรม เหมือนกับบรรดาบาปของผู้ที่กระทำมันโดยสิ่งดังกล่างไม่ทำให้ลดย่อนกับสิ่งใดเลยจากบรรดาบาปของมนุษย์" รายงานโดย ท่านติรมิซีย์ และอิบนุมาญะฮ์
อุลามาอ์วะฮาบีย์บางคนอาจจะกล่าวว่า หะดิษ من سن فى الإسلام سنة حسنة...
"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้

คือ "จำกัดและเจาะจงสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์และบรรดาคอลิฟะฮ์ได้วางแนวทางไว้แล้วเท่านั้น" แต่ความจริงแล้ว หะดิษดังกล่าว ย่อมมีความชัดเจนและครอบคลุมอยู่แล้ว ในการริเริ่มส่งเสริม กระทำบรรดาแนวทางที่ดีงามโดยที่ไม่ได้จำกัดว่า จะเป็นคนศตวรรษใหนเป็นการเฉพาะ ดังนั้นการวางเงื่อนไขเจาะจงเฉพาะกับการกระทำสิ่งหนึ่งขึ้นมาใหม่ เพียงแต่สมัยซอฮาบะฮ์อย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการวางเงื่อนไขเจาะจงที่ปราศจากหลักฐาน (มาเจาะจงหรือทอนความหมายกับตัวบทนี้)

และอุลามาอ์วะฮาบีย์บางท่านอาจจะอ้างอีกว่าหะดิษ من سن فى الإسلام سنة حسنة...
"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้

หมายถึง "การที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์และกระทำสิ่งหนึ่งที่ ที่เป็นเรื่องของดุนยา หรือหนทางต่างๆที่มีประโยชน์ และแนวทางที่เลว นั้น คือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์กระทำขึ้นมา บนหนทางที่อันตรายและเลวร้าย" ดังนั้น การที่พวกเขาจำกัดสิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่ที่ยอมรับได้เพียงแค่เรื่องของดุนยานั้น เป็นการเจาะจงหรือทอนความหมายของหะดิษ โดยไม่มีสิ่งที่มาทอนความหมายหรือเฉพาะเจาะจงกับมันเลย ซึ่งตามหลักวิชาการนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้โดยเด็ดขาด

หะดิษดังกล่าว ระบุว่า "ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." ดังนั้น คำว่า "ในอิสลาม" นี้ ย่อมไม่มีความใด นอกจากศาสนาอิสลาม ที่อัลเลาะฮ์ทรงพอพระทัยด้วย
ดังนั้น ความหมายที่ชัดเจนของหะดิษดังกล่าวนั้น คือทุกๆสิ่งที่ริเริ่มกระทำขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา หรือดุนยา หะดิษดังกล่าว ย่อมครอบคลุ่มถึงทั้งหมด ซึ่งหากสิ่งใดที่กระทำขึ้น โดยสอดคล้องกับหลักศาสนา สิ่งนั้นย่อมเป็นแนวทางที่ดี และสิ่งใดที่กระทำขึ้นมาใหม่โดยที่ขัดกับหลักการของศาสนา สิ่งที่นั้นย่อมเป็นแนวทางที่เลว

หมายเหตุ

แม้บังอะสัน เคยบอกว่า ไมให้สหายของบังมุหัมมัดเอ่ยชื่อนั้น ผมคงทำไม่ได้ ในเมื่อบังอะสัน ยังเข้ามาร่วมสนทนาในกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
al-azhary
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 14/06/2005
ตอบ: 573
ที่อยู่: อียิปต์

ตอบตอบ: Fri Feb 10, 2006 5:57 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ้างอิงจาก บัง คนอยากรู้

คุฯอัลฟารุก คุณอัชอารีคุณมูฮำมัด และเพื่อนๆนักศึกษาไคโรทุกคน


กระผมคนอยากรู้และเพื่อนผู้อยู่ในแนวทางอัชชาฟอีทั้งหลายยินดีต้อนรับทุกๆท่านจากอียิปต์ครับ

ที่นีคือรายการ ....แก้คำ.ใส่ร้ายป้ายสีจากพี่น้องวะฮาบีย์ที่กล่าวหาว่ามัสหับชาฟีอี คืออะล้ลบิดอะ

ตอบ

พวกเรายินดีเสมอครับ และยินดีที่ บัง คนอยากรู้ เข้ามาร่วมสนทนาด้วย บังเคยบอกผมว่า บังเป็นเพียงคนบ้านๆธรรมดา ไอ้กระผมก็ธรรมดาเหมือนบังนั่นแหละ แต่ผมว่าบัง คนอยากรู้จะมีความรู้มากกว่าผมเสียอีกนะ ไม่ใช่อย่าลบลู่ตัวเอง ฮ่าๆ ว่างๆ ผมจะตั้งกระทู้ขึ้นมาอีกกระทู้หนึ่ง หลังจากที่ถูกปิดไปแล้วหนึ่งกระทู้ เนื่องจากพูดถึงเรื่องอัลเลาะฮ์ ตามที่ อ.ฟาริด ว่าไว้ แต่กระทู้ต่อไปผมจะตั้งว่า "แก้คำ ใส่ใคล้ที่มีต่อ อัล-อะชาอิเราะฮ์" คือได้รับการสั่งการมาจาก บัง อัล-ฟารูก โดยที่บังเขาได้รับแง่คิดมาจากบัง คนอยากรู้นี่แหละครับ

และบังอัล-ฟารูก ฝากสลามถึง บังคนอยากรู้ด้วยนะครับ

_________________
นักศึกษามหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ Yahoo
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Fri Feb 10, 2006 12:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam บังฮะซันครับ
น้องอัลอัชอารีเขาอธิบายเรื่องบิดอะที่บังเข้าใจให้บังแทนผมเข้าผมทุกอย่างแล้วนะ
ผมว่าถ้าบังลองใช้สติปัญญาและยอมรับการถ่ายทอดความรู้จากบรรดานักษาคึกษาจากไคโร
ซึ่งเขากำลังทำการศึกษาอยู่และโอกาศที่นำไปสู่ความถูกต้องและพบกับความจริงนั้นย่อมเป็นไปได้สูงมาก การศึกษานั้นอัลลอฮ์(ซบ)เปิดโอกาศให้เราศึกษาความรู้ของพระองค์ได้อย่างเต็มที่
และแท้จริง***ขณะที่เขาทำการการศึกษานั้นแม้ว่าเขากระทำผิดหรือบกพร่องในการชี้แจงเพื่อให้ความกระจ่างนั้นอัลลอฮ์(ซบ)ทรงอภัยให้เขาตลอด เพราะเขานั้นขวนขวายและขอทางนำต่อพระองค์ในการชี้ความถูกต้องในวิชาความรู้ของพระองค์

Idea ดังนั้นพี่น้องวะฮาบีย์บังฮะซันและสหายทั้งหลายครับ
คนที่กำลังศึกษานั้น ย่อมนำความรู้ที่ถูกต้องมาเผยแพร่เสมอ และยังตักวาต่อพระองค์เสมอในการนำข่าวสารมาเสนอ เพราะแน่นอนเขาจักต้องถูกสอบสวนแน่ ในวันนั้นถ้าหากเขามุสาหรือบดเบือน โดยหวังเผื่อหวังแก่ชัยชนะ แลกกับความรู้ที่เรียนมา ฉนั้นสำหรับความต้องการในชนะนั้น...สำหรับผู้ที่กำลังศึกษานั้นไม่มีครับ แต่ถ้าเพื่อความถูกต้องในศาสนาของอัลอฮ์(ซบ)แล้ว..เขาเพียรและพยายามเสมอครับในสิ่งนี้ ที่จะนำมาสู่ความเข้าใจที่ไม่มีอะไรเลือบแคลงในเบื่องหลัง...


ฉนั้น Crying or Very sad ในการเชื่อมั่นในความถูกต้องของการนำเสนอข่าวสารฯของนักศึกษา ย่อมมีน้ำหนักมากกว่า ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา หรือศึกษาโดยไม่มีใครเป็นผู้ชี้แนะในความถูกต้อง นั้น
ในการเชื่อถือนั้นย่อมน้อยกว่า ผู้ที่เรียนรู้ โดยปริยาย

พี่น้องที่รักทั้งหลาย ผมอยากให้พี่น้องที่เข้าชมเว็ปนี้จงเชื่อเถิดว่า คนที่อยู่ระหว่างการศึกษานั้น


ย่อมมีโอกาสนำเสนอมาสู่เรามากกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหลายเท่านั้นครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Fri Feb 10, 2006 12:36 pm    ชื่อกระทู้: มัสหับ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam น้องอัชอารีคุณมูฮำมัดคุณอัลฟารุกและนักศึกษาอัรฮาซัร...


ผมและเพื่อนมีความสบายใจมากครับที่คุณและเพื่อนๆ มีความห่วงใยในการทำอิบาดัดของผู้อยูในแนวทางมัสหับ เกรงว่าที่เขาโจมตีหรือใส่ไคล้นั้นเป้นความจริง เพราะไม่ใครกล้านำความจริงทและความถูกต้องมาหักล้างคำใส่ร้ายเหล่านั้น
มาบัดนี้หลายๆคนเกิดความสบายใจมากทั้งในเรื่องในหลักเตาฮีด ฮูกมต่างในหลักชาเราะ และตะเซาวุฟ

ทุกคนรวมทั้งกระผม อยากให้คุณและเพื่อนๆช่วยทำหน้าที่สอดส่องดูแล สิ่งใส่ไค้หรือเพื่อทำลายการยึดถือในแนวทางทรีมีมาในอดีต ที่มีผู้ไหวังดีบบางท่าน พยามยามนำความเท็จมาบิดเบือน มาเสนอทางก้านสือต่างเช่น จากหนังสือที่มีการแจกให้ฟรี จากซีดี จากเทบคาสเซ็ท จากการ
บรรยาย และการนำเสนอบทความ หรือสื่อสิ่งพิมต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นการบั่นทอนผู้ที่ทำอีบาดัตที่ความรู้น้อยหรือคนเอาวามตกเป็นเครื่องมือ ของฝ่ายที่ไม่หวังดี ต่อการอยู่ในแนวทางของมัสหับก็ได้

คุณมูอำมัด/อัลฟารุก/อัชอารีครับ เมืองไทยวันนี้ มีความหลากหลายมากครับ อะไรที่ไม่เคยมีเมื่อก่อน อัลลออ์เปิดออกมาให้เห็นเกือบหมดแล้วครับ

การกล่าวโจมตีเรื่องบิดอะนี้ มันเกิดมานานแล้วครับ แต่ก็พูดกันแบบหนังคนละม้วน กี่ครังๆก็ไม่ยอมเปิดใจ

Razz ไม่น้อมรับความคิดเห็นของบรรดาผู้มีความรู้ที่โลกยอมรับในอดีต
บางคนปากว่าตาขยิบ เช่นแกล้งพูดไปว่า เรานั้นยอมรับในความเห็นของอุลามะผู้เรืองปราชย์แต่ตรงกันข้าม

Rolling Eyes กลับโจมตี หาว่าผู้ที่ตักลีดตามอุลามะในแนวทางใดทางหนึ่งนั้น คือความผิดพลาดและเป็นบิดอะที่ร้ายแรงและฮุกมแรงว่าการตามอุลามะนั้นเป็นชีริกบ้างกับผู้ที่เรายอมรับฟังเพราะเอามาเทียบเคีงกับอัลลออ์(ซบ)

Twisted Evil [align=left]
การกล่าวแบบนี้นั้นเป้นการกล่าวรวมโดยไม่ได้แยกแยะวิชาเลย ทั้งที่ในอัลกรุอานนั้นมีวิชาการที่อัลลอฮ์นำมาถึง104วิชา แต่เขากลับเอามาแค่วิชาเดียวคือ วิชาเตาฮีด และก็นำมาฮูกมใครต่อใครว่า ตกศาสนาบ้าง บิดอะบ้าง ฯลฯ

Evil or Very Mad
Confused ทำไมเขาจึงไม่รู้จักแยกแยะบ้างละ เตาฮีดก็คือการยึมั่นในเอกภาพต่อพระองค์ๆเดียวเท่านั้น ไม่มีสิ่งวใดเทียบเคียงพระองค์ได้

อุลามะนั้นเป็นคนมีมะซุมย่อมีผิดและถูก*** จะไปเทียบเคียงกันได้อย่างไร

แต่อุลามะหรือผู้รู้คือผู้ชี้นำแนวทางที่ถุกต้องให้กับเรา ได้พบกับทางที่สว่างที่ผู้คนเคยเดินผ่านมาแล้ว ในยุคอดีต
มันแตกต่างกับผู้ที่ไม่มีผู้รู้และอุลามะในการชี้นแนวทางที่ถุกต้อง และโอกาศของมารร้ายนั้นมีโอกาศเข้าไปครอบงำการนึกคิดของเขาอย่างง่ายดายกว่าผู้ที่มีครูหรือคนมีความรู้ค่อยสะกิดเตือนเขาเเนะนำสิ่งผิดสิ่งถูก เพราะประสบการณ์ย่อมอยู่ที่ผู้ที่มีความรู้มากกว่าคนที่เขาศึกษามาก่อน

พี่น้องครับด้วยความหวังดี นักศึกษาก็เป็นบุคคลหนึ่งของการเก็บเกี่ยวความรู้ที่ถูกชี้ทางสว่าง
โดยผ่านการตักดีรของ
พระองค์ ดังนั้น จึงไม่ผิดเลยที่เรานั้นต้องเชื่อฟังและในสิ่งที่ผู้มีความรู้นำเสนออย่างตั้งใจและจดจำ

คุณอัชอารีครับ คุณและเพื่อนๆนักศึกษา ให้ความรู้ต่อผมมากเลยครับหลังจากที่เรามีส่วนรวม
ในการนำเสนอและชี้แจงเพื่อหักล้างความเข้าใจผิดของอีกทัศนะหนึ่ง

Razz หวังว่าเราคงจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันต่อไปและขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยคนนะครับ


wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
ซุกกรี
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 06/01/2006
ตอบ: 26


ตอบตอบ: Fri Feb 10, 2006 4:50 pm    ชื่อกระทู้: มัสหับ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คุณมูฮำมัด /อัลอัชอาร/คุณฟารุก/คุณอยากรู้

ต้องขอมาอัฟคุณทั้งหลายด้วยที่หายหน้าไปและไม่ได้บอกกล่าวลา 2-3วันนี้ผมเองพยายามที่จะเข้าเว็บ หลายครั้งแต่ ก็เข้าไม่ได้ ผมลืมรหัสลับ จำกลับไปกลับมา ตอนแรกคิดว่า คงจะถูกแบนไอพีอีกคุณเหมือนคุณอับดลรอมาน ยิ่งเห็นบทความของคนอยากรูแล้วยิ่งคิดไปเลยเถิดว่า

ฮันแน่..ตูคงโดนอีกคนแล้ว แต่อัลหัมดูลิ้ลลาห์ฯ วันี้เข้าได้แล้วและขอบคุณทีมงานอนุรักษืมากๆครับ
ผมนั้นนั้งติดตามอ่านการเสวนาของคุณมาไม่ขาดครับผมมองทั้ง2ด้านครับในการเสวนาครั้งนี้

ประการแรก..บางครั้งผู้นำเสนอ ยังนำเสนอสิ่งที่นำมายังไม่ทันจบก็โดนทักท้วงจาก จากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งทำให้ขาดเนื้อหาที่ต่อเนื่อง
ประการที่สอง...การทักท้วงของผู้นำเสนอนั้น..ขาดการรอบคอบในการทำความเข้าใจในเนื้อหาของผู้เสนอ เลยทำให้ไม่เป็นระเบียบในการนำข่าวสารมาตอบโต้กัน
ประการที่สาม....การมี ทัศนะคติหรือความอคติต่อข่าวสารที่นำมเสนอ เลยทำให้ไม่อยากอ่านและมองแค่เผินๆ
ประการที่สี่.....การมีมองผู้ร่วมเสวนาในแง่ลบโดย กับตัวผู้นำเสนอ เอง สาเหตุนี้จึงทำให้อารมณ์ในการเสวนา จึงต้องเกิดการสดุด และต้องเริ่มกันใหม่
ประการที่ห้า.....อุปนิสัยและอารมณ์เดิมของผู้เสวนา ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เลยทำให้อารมณ์ บางช่วงต้องหลุดออกมากลายเป็นจุดอ่อน(weakpiont ) เลยต้องออกมาระบาย(bypass)ต่อหน้าสาธารณะชน..

ประการที่หก...ในเมือผู้ร่วมเสวนา ต่างก็ยอมรับและเชื่อในอัลลออ์และเชื่อในรอซู้ล และบรรดาศอฮาบะและยอมรับในบรรดาอุลมาะของอัลลออ์แล้ว ก็สมควรจะให้เกียติรและยอมรับควมคิดเห็นของอุลามะในแต่ละทัศนะ แต่ถ้าหากใครมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากกว่ากัน ก็สมควรวิจารณ์อุลามะโดยอยู่ในขอบเขตในตัวบท
ประการที่เจ็ด....การยกหลักฐานมาหักล้างคำพูดของบรรดาผู้มีความรู้แต่ละสาขาสามารถกระทำได้บนพื้นฐานที่มีสิ่งอ้างอิง
ประการที่แปด ....ผู้ร่วมเสวนาหรือผู้ทักท้วง จะต้องไม่จำกัดสิ่งที่ท่านนบีพูดหรืออกความเห็นไว้เท่าเน้น เพราะจะทำให้เกิดการจำกัดในวงแคบ ทำให้การเสวนาต้องขาดการชี้แจงหรือให้การอธิบายจากบรรดาอุลมะที่อัลลออฮ์ทรงสร้างมาเผื่อทำหน้าที่อธิบายสิ่งที่ไม่ชัดเจนจากอัลกรุอานและฮาดีส
ประการที่เก้า...ต้องผู้ที่เสวนาและผู้ทักท้วงยอมรับว่าหลังจากท่านนบีจากไปแล้ว บรรดาซอฮาบะเช่น ท่านอบูบักร์ ท่านอุมัซร์ ท่านอุสมาน ท่านอลี ท่านอบูรอยเราะ ท่านอิบนิมัสอูด ท่านซัลมาฟารีซี ฯลฯก็ยังอธิบายอัลกรุอ่านและอัลฮาดีสไดเช่นกัน

Twisted Evil ตัวอย่างที่ยกมานี้...อยากให้ผู้ที่เข้าร่วมทักท้วงในการนำเสนอของกระทู้นั้นๆในการเสวนาได้ควบคุมตัวเองด้วยและยอมรับในสิ่งที่ผู้ทั้งกระทู้นำมาเสนอด้วย


Embarassed ไม่ใชรีบแสดงออกในการไม่เห็นด้วยหรือทึกทักว่านั้นคือความผิดและความลุ่มหลงทั้งนี้เพื่อความเป็นระเบียบและภูมิทัสน์ที่สวยงามในการเสวนา
และเมื่อมีการนำเสนอบทความหรือมีการชี้แจงให้รับทราบแล้ว..ผู้ทักท้วงก็สมควรจะยอมรับและนำไปวิเคราะห์( Analiizer) เพ่อหาหลักฐานมาโต้แย้งต่อไป


wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Feb 11, 2006 1:31 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้อง al-azhary กล่าวว่า
กระทำของบรรดาซอฮาบะฮ์ ดังนั้นท่านอิบนุมัสอูด ไม่ได้ปฏิเสธบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่มีรากฐานและอยู่บนหลักพื้นฐานของศาสนา เช่นท่านอิบนุมัสอูด อ่าน อะฮีอัต ในตะชะฮุด ว่า
السلام عليك ايها النيى ورحمة الله ويركاته السلام علينا من ربنا
โดยเพิ่มขึ้นมาเอง กับคำว่า من ربنا หากมันเป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมท่านอิบนุมัสอูด ถึงเพิ่มคำดังกล่าวขึ้นมาอีก ทั้งๆที่ท่านนบีไม่ได้เพิ่มไว้ และมีตัวอย่างอีกมากมายจากท่านอิบนุมัสอูด ที่กระทำอิบาอะฮ์ที่ท่านนบีไม่ได้ทำ เช่นละหมาดสุนัตหลังละหมาดซุบหฺ และอื่นๆอีก ซึ่งผมจะนำมากล่าวในหลักฐานคำกล่าวและการกระทำของบรรดาซอฮาบะฮ์ ดังนั้น คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนี้ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่มีรากฐานและอยู่บนพื้นฐานของศาสนา
........................................
ตอบ
มันเป็นไปได้อย่างไร ว่า อิบนุมัสอูด ไม่ได้ปฏิเสธบิดอะฮ และยอมรับว่ามีบิดอะฮที่ดี เพราะไม่มีคำพูดใดๆของท่าน ที่ส่งเสริมเรื่องบิดอะฮเลย เพราะหากใครยึดถือเอาหะดิษนี้ ก็แสดงว่า หากเห็นว่าถ้อยคำใหนดี ก็สามารถเพิ่มเติมถ้อยคำในตะชะฮุดให้เกินจากที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สอนไว้ได้
นี้คือ สิ่งที่อันตรายที่เข้ามาทำลายความบริสุทธิ์ของสุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หากหะดิษเศาะเฮียะจริง น่าจะมาจากการอิจญติฮาดของท่านอิบนิมัสอูด ก่อนที่ท่านนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมสอนถ้อยคำที่ใช้ในการอ่านตะชะฮฮุด ให้แก่ท่านมากกว่า เพราะหะดิษที่เศาะเฮียะที่สุด ในบรรดาหะดิษ ที่เกี่ยวกับถ้อยคำตะชะฮฮุด คือ หะดิษที่รายงานโดยอิบนิมัสอูดข้างล่างนี้

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بنِ مَسْعُودٍ رضي الله عنه قَالَ : عَلَّمَنِي رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم التَّشَهُّدَ - كَفِّي بَيْنَ كَفَّيْهِ - كَمَا يُعَلِّمُنِي السُّورَةَ مِنْ الْقُرْآنِ : التَّحِيَّاتُ لِلَّهِ , وَالصَّلَوَاتُ وَالطَّيِّبَاتُ , السَّلامُ عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُّ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ ، السَّلامُ عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللَّهِ الصَّالِحِينَ ، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَهَ إلاَّ اللَّهُ ، وَأَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّداً عَبْدُهُ وَرَسُولُهُ

รายงานจากอับดุลลอฮ บุตร มัสอูด กล่าวว่า “ท่านรซูลลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สอนตะชะฮุด ให้แก่ข้าพเจ้า ในขณะที่สองฝ่ามือของข้าพเจ้าอยู่ระหว่างสองฝ่ามือของท่าน เหมือนกับที่ท่านได้สอนซูเราะฮจากอัลกุรอ่านให้แก่ข้าพเจ้า (ตะชะฮุดดังกล่าว)คือ
: التَّحِيَّاتُ لِلَّهِ , وَالصَّلَوَاتُ وَالطَّيِّبَاتُ , السَّلامُ عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُّ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ ، السَّلامُ عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللَّهِ الصَّالِحِينَ ، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَهَ إلاَّ اللَّهُ ، وَأَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّداً عَبْدُهُ وَرَسُولُهُ

- รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม

قال مسلم: أجمع الناس على تشهد ابن مسعود؛ لأن أصحابه لا يخالف بعضهم بعضاً، وغيره قد اختلف أصحابه. وقال الترمذي، والخطابي، وابن عبد البر، وابن المنذر: تشهد ابن مسعود أصح حديث في التشهد، ويلي تشهد ابن مسعود في الصحة تشهد ابن عباس،

อิหม่ามมุสลิม กล่าวว่า “ บรรดานักวิชาการ มีมติเห็นฟ้องกันเกี่ยวกับตะชะฮุด ที่รายงานโดยอิบนุมัสอูด เพราะบรรดาสาวกของท่านบี ไม่มีผู้ใดขัดแย้งกันเลย ส่วนอื่นจากนั้น บรรดาสาวกของท่านนบี มีความเห็นที่ขัดแย้งกัน และ อัตติรมิซีย์ อัลคอฏฏอบีย์ อิบนุอับดิลบีรรี และอิบนุมันซิร กล่าวว่า ตะชะฮฮุด ที่รายงานโดย อิบนิมัสอูด เป็นหะดิษที่ถูกต้องที่สุด และรองลงมาคือ ตะชะฮฮุด ที่รายงานโดย อิบนุมัสอูด - ดูฟิกฮอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 119
...............................................
บังไม่ทราบว่า น้องอัลอัชอะรี ใช้ถ้อยคำในการอ่าน ตะชะฮุด แบบ ที่อ้างมาโดย เพิ่มคำว่า على ربنا หรือไม่ แต่..อย่างไรก็ตาม หะดิษที่น้องอ้างมา ไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อิบนุมัสอูด ยอมรับ “บิดอะฮหะสะนะฮ” แต่ประการใด
น้องอัล-อัชอะรีกล่าวว่า
การจำกัดหะดิษนี้ เพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ซอดาเกาะฮ์ นั้น เป็นการแช่แข็งตัวบทหะดิษ แต่หะดิษนี้ ย่อมครอบคลุ่มถึงเรื่องอื่นๆด้วย โดยมติของบรรดาอุลามาอ์ มีความเห็นพร้อมว่าบนหลักการที่ว่า

العبرة بعموم اللفظ لا بخصوص السبب

"การพิจารณา(ตัวบทนั้น) ด้วยความหมายที่ครอบคลุมของคำ ไม่ใช่ด้วยการเจาะจงเพียงแค่สาเหตุ"
…………………………..
ตอบ
ใช่ครับ แต่ไม่ได้หมายถึง การอุตริบิดอะฮ ที่เห็นว่า ดีแล้วให้ผู้อื่นตาม แต่หมายถึง การเป็นแบบอย่าง หรือเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น เกี่ยวกับ การปฏิบัติในสิ่งที่ดีใดๆก็ตาม ที่มีบัญญัติไว้ ไม่ใช่คิดบิดอะฮขึ้นมา ซึ่งสอดคล้องกับหะดิษ ที่มาจากสาเหตุที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ ปลุกระดมให้เหล่าสาวกบริจาคช่วยเหลือคนยากจนกลุ่มหนึ่ง แล้วเมื่อมีคนๆหนึ่งทำ ก็มีหลายคนเอาเยี่ยงอย่าง จึงเกิดมีหะดิษดังกล่าว

قال ابن كثير في تفسيره [4/157]: ((وأما أهل السنة والجماعة فيقولون في كلِّ فعلٍ وقولٍ لم يثبت عن الصحابة رضي الله عنهم: هو بـدعة؛ لأنه لو كان خيراً لسبقونا إليه؛ لأنَّهم لم يتركوا خصلة من خصال الخير إلا بادروا إليها)

อิบนุกะษีร ได้กล่าวไว้ในตัฟสีรของท่าน ( 4/157) ว่า “สำหรับชาวสุนนะฮและอัล-ญะมาอะฮนั้น พวกเขากล่าวว่า ในทุกการกระทำ และคำพูด ที่ไม่ได้มีรายงานยืนยันมาจากเหล่าเศาะหาบะฮ(ร.ฎ) มันคือ บิดอะฮ เพราะว่า หากปรากฏว่ามันดี แน่นอน พวกเขาย่อม เอามันมา(ปฏิบัติ)ก่อนพวกเราแล้ว เพราะว่า พวกเขาจะไม่ละทิ้งประการหนึ่ง ประการใดจากสิ่งที่ดี นอกจากพวกเขารีบเร่งไปหามัน (คือ รีบเอามันมาปฏิบัติ)
……………….
ดังนั้นคำพูดของเช็คมุนัจญิดข้างล่างนี้ ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
“ผู้ที่ทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น คือผู้ที่กล่าวหาว่า นบี(ซ.ล.)โง่และไม่รู้เรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์และกล่าวหาว่าท่านบีได้รู้และทำการปกปิดหลอกลวงประชาชาติของท่านโดยไม่ได้ทำการเผยแพร่.”
…………..
น้องอัลอัชอะรีกล่าวว่า
แม้บังอะสัน เคยบอกว่า ไมให้สหายของบังมุหัมมัดเอ่ยชื่อนั้น ผมคงทำไม่ได้ ในเมื่อบังอะสัน ยังเข้ามาร่วมสนทนาในกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นครับ
................................
ตอบ
ย่อมได้หากการสนทนา เป็นไปด้วยความเป็นมิตร และวิชาการ และที่เข้ามานั้น เพื่อต้องการจะชี้แจงให้ผู้อ่านได้เข้าใจ เพราะที่เข้ามาสนทนานั้น ฝ่ายบังอะสันนั้น ก็มีน้องฟาอิส ที่เข้ามาบ่อย ส่วนคนอื่นนานๆครั้ง จึงไม่อยากจะถูก ถูกกล่าวหาว่า “วิ่งหนีหางจุกตูด” อีก

........................................
Kunkonyakroo กล่าวว่า
นั้น ในการเชื่อมั่นในความถูกต้องของการนำเสนอข่าวสารฯของนักศึกษา ย่อมมีน้ำหนักมากกว่า ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา หรือศึกษาโดยไม่มีใครเป็นผู้ชี้แนะในความถูกต้อง ในการเชื่อถือนั้นย่อมน้อยกว่า ผู้ที่เรียนรู้ โดยปริยาย
.....................................
ตอบ
ขอให้น้องคนอยากรู้ ไปศึกษานิยาม คำว่า”การศึกษา”เสียใหม่” แล้วมาคุยกัน และมาตรฐานที่กล่าวข้างต้น มีความเที่ยงตรงเพียงใด การศึกษาไม่ได้จำกัดแต่ในห้องสี่เหลี่ยมภายในรั้วมหาลัย หรอกครับ
ส่วนคุณชุกรี รู้สึกว่า จะมาเล่นสำนวนภาษาอังกฤษ เสียะด้วย แทงคิ้วครับ แฮะๆๆ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Sat Feb 11, 2006 8:24 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ผมคงเข้ามาไม่บ่อยนะครับ แต่จะพยายามสนทนาเสริมละกันนะครับ

ก่อนอื่นผมเห็นด้วยกับคุณชุกรีนะครับ และผมไม่อยากเห็นการสนทนาใดๆที่ไม่เป็นวิชาการ หรือขาดตอน หากไม่นำเสนอวิชาการก็ควรรอดีกว่าครับ

ส่วนคุณอัลอัซฮารีย์ผมอยากเสนอนิดว่าคุณทำการเรียบเรียงเป็นประเด็นๆดีแล้วครับ แต่ว่าอย่าพยายามหลุดอะไรที่ไม่ใช่ประเด็นออกมาครับ นี่มีเรื่องตะชะฮุดอีกแล้ว หลังจากที่เคยมีเรื่องอิสเตียห์ซาน ละหมาดตะรอเวียห์ แล้วก็จะขาดตอนครับ

ผมเห็นคุณอัลอัซฮารีย์นำเสนอการทำความเข้าใจตัวบทตามหลักการอุศูลุลฟิกแล้วนะครับ แต่ผมยังไม่เห็นการวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้าม(ยกเว้นเรื่องข้อปลีกย่อยที่ยังไม่เป็นประเด็น)

คุณอัลอัซฮารีย์กล่าวกับผมว่า
“และผมรู้สึกว่า คุณจะยึดคำนิยามจาก ท่านอัชชาฏิบีย์”

ผมไม่เห็นด้วยกับอัชชาฏิบีย์ครับ

ผมมีข้อสนทนาด้วยครับไว้จะเข้ามาใหม่

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Feb 11, 2006 10:42 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ข้อความของคุณ มุสลิม
ก่อนอื่นผมเห็นด้วยกับคุณชุกรีนะครับ และผมไม่อยากเห็นการสนทนาใดๆที่ไม่เป็นวิชาการ หรือขาดตอน หากไม่นำเสนอวิชาการก็ควรรอดีกว่าครับ
……………….
ตอบ
ผมไม่ทราบว่า คำว่า “ วิชาการ” มันมีความแตกต่างกับ ว่า “ไม่ใชวิชาการอย่างไร” อยากให้ช่วยอธิบายให้มันเป็นรูปธรรม ครับ
قال ابن الماجشون: سمعت مالكا يقول : "من ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة ، فقد زعم أن محمدا – صلى الله عليه وسلم- خان الرسالة ، لأن الله يقول showاليوم أكملت لكم دينكم}، فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا"{1- الاعتصام ،للشاطبي1/49}

อิบนุลมาญิชูน กล่าวว่า “ ข้าพเจ้าได้ยิน มาลิกกล่าวว่า ผู้ใดอุตริบิดอะฮขึ้นมาในอิสลาม แล้วเห็นมันว่าดี แน่นอน เขาเชื่อว่า แท้จริงนบีมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์น(แห่งพระผู้เป็นเจ้า) เพราะว่า แท้จริงอัลลอฮตรัสไว้ว่า (วันนี้ เราทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว) ดังนั้น สิ่งใด ที่ไม่ใช่ศาสนาในวันนั้น ในวันนี้ มันก็ไม่เป็นศาสนา - อัลเอียะติศอม ของ ชาฏิบีย์ เล่ม 1 หน้า 49
...........................................
จึงไม่ได้หมายความว่า สิ่งใดที่เราไม่เห็นด้วย สิ่งนั้น ไม่ใช่วิชาการ นะครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Konyakroo
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 16/01/2006
ตอบ: 244


ตอบตอบ: Sat Feb 11, 2006 12:14 pm    ชื่อกระทู้: มัสหับ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam คุณมุสลิม คุณชุกรี,นักศึกษาไคโร/บังฮะซัน
*****และพี่น้องท่านผู้อ่านท่านผู้ชมทั้งหลายในประเทศและต่างประเทศ
ตอนนี้เรากำลังสนทนาเชิงวิชาการเพื่อปรับทัศนะมุมมอง ระหว่างมัสหับชาฟีอี กับมัสหับวะฮาบีย์

Embarassed หมายเหตุ1. ชาฟีอี คือ อีหม่ามอัชชาฟีอี (รฮ) เกิด เมื่อฮศ.150 เสียชีวิต ฮศ.240 (เป็นคนตาบีอีน)
Rolling Eyes หมายเหตุ2.วะฮาบีย์ คือท่านมุฮำมัด บินอับดุลวะฮาบ เสียชีวิตในปีคศ.1787

Confused ดังนั้น ในการนำเสนอข้อมูลหรือสิ่งอ้างอิง ของฝ่ายสนทนาสามารถหยิบยกจากตำราของตนเองอยู่ในแนวทาง
ฉนั้น บางครั้งหลักฐานที่ถูกหยิบยกออกมามีทั้งเป็นที่รู้จักและยอมรับและไม่เป็นที่รู้จักและไม่เป็นที่ยอมรับก็มีเป็น
ผมว่า บังฮะซันสมควรจะยึดข้อแนะนำบางข้อของคุณซุกกรีนะครับเรื่อง การมีทัศนะคติในการรับฟังข่าวสารจากอีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม
****ที่น้องอัชอารี และคุณมูฮำมัดได้อธิบายในนิยามของคำว่าบิดอะฮ์นั้นและก็ยกมาจากตำราของแนวทางที่เขากำลังศึกษาอยู่ ดังนั้น ผมอยากให้บังกลับไปทบทวนอ่านเพือให้เข้าใจใหม่นะครับ ส่วนจะยอมรับหรือไม่ยอมรับนั้น บังค่อยมาวิจารณ์อีกที เพราะที่คุณกัน หลายสัปดาห์แล้ว บังยังไม่เข้าใจคำว่าบิดอะเลย

-------------------พี่น้องที่รักทั้งหลายครั้งหนึ่งคุณไออาเอฟเคยกล่าวไว้ในเว็บของอจ.มุรีว่า---------
ในอิสลามไม่มีความจำเป็นที่ต้องตามแนวทางใดเลย นึกจะเข้าหรืออกได้ตามอำเภอใจและไม่การบังคับหรือวายิบใดๆ
นึกจะใส่กางทหาร แล้วใสเสื้อตำรวจ และสรวมหมวกลูกเสือ รองเท้า ผู้ว่า แล้วก็พาทั้งปืนสั้นพกและเอ็ม16 และก็เหน็บด้วยไม้กระบอง ก็ไม่มีใครว่า เพราะอิสลามคือศาสนาแห่งความง่ายดาย
และมันก็เข้าทางของมัสหับวาฮะบีย์ที่ไม่มีจุดยืนในการอ้างอิงถึงที่มาของตำรา
ถ้าถูกใจด้านวิชาฟิกฮ์ก็จะอ้างรายงานที่ อีหม่ามฮัมบาลีหรือชาฟีอีหรือบางครั้งก็ของอิหม่ามฮานาฟี แล้วแต่จะหยิบยกมา ถกให้สอดคล้องกับสิ่งที่ทัศนะตนถือว่าใช้ได้ และถ้าอะกีดะก็ต้องอิบนุตัยมียะ แต่ตะเซาวุฟนี้จะเอามาทั้ง 4มัสหับ...
มันจึงพูดกันแบบไม่รู้วันจบ
เช่นง่ายๆกับคำว่า บิดอะ บังก็ยังยืนยันว่า บิดอะคือสิ่งที่เลวร้ายและผิดพลาดหมด....

Twisted Evil โดยบังเข้าใจอยู่ในความหมายเดียวที่ว่า บิดอะฮ์นั้คือ สิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในศาสนาหรือการอุตรกรรมที่ลุ่มหลง
โดยอ้างถึงหลักฐานของ
อิบนุเราะญับที่กล่าวว่า

فكل من أحدث شيئاً ونسبه إلى الدين ولم يكن له أصل من الدين يرجع إليه فهو ضلالة، والدين برئ منه، وسواء في ذلك مسائل الاعتقادات أو الأعمال أو الأقوال الظاهرة والباطنة.

[B]แล้วทุกคนที่[U]อุตริสิ่งใดขึ้นมา แล้วนำไปอ้างว่าเป็นศาสนา ทั้งๆที่ไม่ได้มีที่มาในศาสนา ที่จะกลับไปหามัน มันคือ การหลงผิด
บังเหมารวมประโยคนี้ ทั้งหมด ดยไม่จำแนก ว่าบิดอะนั้นไมได้ถูกตีความหมายหรือจำกัดอยู่อย่างเดียว


ตอบ

ซึ่ง ท่านอิบนุหาญิบนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เพราะว่า บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น คือ สิ่งที่มีรากฐานที่มา จากศาสนาแล้วทำไปมันก็สอดคล้องกับสิ่งที่มีมาแต่เดิม
คำว่าสิ่งประดิษฐ์ใหม่คือ ก่อนหน้านั้นเช่นคำสั่งที่มายังท่านรอซูลให้เราละหมาด วันละ5 เวลาแล้วก็มีใครบางคนบอกว่าเพียง3หรือ6เวลาก็ได้ โดยไมแบบอย่างหรือคำสั่งจากท่านรอซุลให้กระทำเลย อย่างนี้แหละบังเขาจึงเรียกว่า บิดอะที่ลุ่มหลงและอุตริกรรม เพราะยังไม่มีในสมัยท่านนบี
หวังว่าบังคงจะได้เข้าใจเสียใหม่นะครับ
และที่บังยกมาว่า

قال ابن الماجشون: سمعت مالكا يقول : "من ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة ، فقد زعم أن محمدا – صلى الله عليه وسلم- خان الرسالة ، لأن الله يقول اليوم أكملت لكم دينكم}، فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا"{1- الاعتصام ،للشاطبي1/49}

อิบนุลมาญิชูน กล่าวว่า “ ข้าพเจ้าได้ยิน มาลิกกล่าวว่า ผู้ใดอุตริบิดอะฮขึ้นมาในอิสลาม แล้วเห็นมันว่าดี แน่นอน เขาเชื่อว่า แท้จริงนบีมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์น(แห่งพระผู้เป็นเจ้า) เพราะว่า แท้จริงอัลลอฮตรัสไว้ว่า (วันนี้ เราทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว) ดังนั้น สิ่งใด ที่ไม่ใช่ศาสนาในวันนั้น ในวันนี้ มันก็ไม่เป็นศาสนา - อัลเอียะติศอม ของ ชาฏิบีย์ เล่ม 1 หน้า 49
...........................................
ตรงนี้และตรงประเด็นที่นำมาเสนอในข้างต้น
เพราะในศาสนานั้นหมายถึงหลักข้อห้ามข้อใช้ในการทำอามัลอิบาดัด ใครจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้


wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
asan
ผู้ดูแลกระดานเสวนา
ผู้ดูแลกระดานเสวนา


เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005
ตอบ: 3165


ตอบตอบ: Sat Feb 11, 2006 3:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

วะอะลัยกุมุสสลามฯ
น้อง konyakroo ครับ
อาบังเข้าใจครับ พูดกันมันก็ยาว และขอเรียนว่าเราไม่ได้ตำหนิอิหม่ามทั้งสี่นะครับ และเราไม่ได้ถือว่า ท่านมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ เป็น หัวหน้ามัวฮับของเรานะครับ กรุณาอย่าเอาท่านมาโยง ว่า เป็นเจ้ามัซฮับนะครับ เอาละ..พูดกันมันก็ไม่จบหรอก เพียงแต่ตอนนี้ อาบังอยากเห็นหน้าตา ของสิ่งที่น้องบอกว่า เป็น บิดอะฮหะสะนะฮ เพื่อบังจะได้ดูว่าของท่านอิหม่ามชาฟิอี หรือของคนอื่นแล้วเอาโลโก้ชาฟิอีมาปิด บอกมาเลยว่า ข้อ 1 2 3..... เพราะหากไม่เห็นตัวอย่าง มันก็เหมือนวาดรูปในอากาศ

อิบนุตัยมียะฮกล่าวว่า

‏ولم يقل أحد من السلف والصحابة والتابعين أن المجتهد الذي استفرغ وسعه في طلب الحق يأثم لا في الأصول ولا في الفروع‏"‏‏.‏ ‏(‏الفتاوى 13/125‏)
และไม่มีบุคคลใดจาก ชาวสลัฟ บรรดาเศาะหาบะฮ และ บรรดาตาบิอีน กล่าวว่า มุจญตะฮิด ที่ทุ่มเทความพยายาม ของเขาในการแสวงหาความถูกต้องนั้น มีความผิด ไม่ว่าในเรื่องอุศูลุลดีน (อะกีดะฮ)หรือ ฟุรูอุดดีน(ฟิกฮ) - อัลฟะตาวา 13/125

....................
ดังนั้น อาบังจะคุยเรื่องบิดอะฮ ที่คนบ้านเราว่า ดีมากกว่า ว่า อะไรสอดคล้องกับหลักฐาน หรือไม่สอดคล้องกับหลักฐาน ดังที่อิหม่ามชาฟิอีกล่าวว่า

لبدعة بدعتان: بدعة محمودة، وبدعة مذمومة، فما وافق السنة فهو محمود، وما خالف السنّة فهو مذموم
انظر: فتح الباري (13/253).

..................
แค่นี้แหละครับ จะได้ไม่ยืดเยื้อ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
dabdulla
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005
ตอบ: 437


ตอบตอบ: Sat Feb 11, 2006 4:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอลัยกุม คุณ konyakroo ครับ

ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่กับประเด็นนี้ ทั้งคุณและผม ก็คนชั้นเอาวามเหมือนกัน กรุณานั่งอ่านอยู่ห่างๆ อย่าออกมาแสดงความโง่เขลาในเวปให้เขาเลยครับ

กรณีของ 4 มัซฮับ กับ มัซฮับวะฮาบีย์ ผมว่าคุณมั่วแล้วล่ะครับ ไม่มีใครบอกคุณหรอครับ ว่าอีหม่ามวะฮาบ ก็ตามมัซฮับเช่นกัน คุณคงมัวแต่มาตอบกระทู้มากเกินไป เลยไม่มีเวลาศึกษาหาความรู้

กรณีที่มัซฮับวะฮาบีย์ อะไรตามที่คุณว่ามาน่ะ เขาไม่ยึดมัซฮับ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ยึดมติ ยุมฮูดครับ คือเอาทัศนะ ของหลายๆ มัซฮับที่ตรงกันมาใช้ แถวบ้านคุณคงไม่มีใครเคยใช้คำว่า ยุมฮูด คุณเลยไม่รู้จัก

คุณพูดไปพูดมา เหมือนหมากัดหางตัวเองอยู่ตอนนี้ เป็นคำพังเพยนะครับ ไม่ได้ เพราะว่าการที่คุณพูดถึงมัซฮับ แล้วต้องตามมัซฮับใดมัซฮับหนึ่งน่ะ คุณกำลังดูถูกมัซฮับคนอื่นๆ ซึ่งเป็นอุลามาอ์ ระดับโลกที่มีชื่อเสียง

คุณไม่รู้อย่างผม อย่าว่าแต่รอซูล กับ ซอฮาบะห์ เลยครับ นักวิชาการผู้เป็นเจ้าของมัซฮับเหล่านี้ ผมยังไม่เคยล่วงเกินเขาเลย เพราะฉนั้น อย่าแสดงความเขลาออกมา

กรณี 4 มัซฮับ กับ มัซฮับวะฮาบีย์ ตามนิยามของคุณน่ะ เขามีอากีดะห์เหมือนกัน คือ ศรัทธาในอัลลอฮ รอซูล และ ไม่จาบจ้วง บรรดาซอฮาบะห์ และ เชื่อว่ากุรอ่านเล่มที่ถืออยู่ คือกุรอ่านเล่มที่สมบูรณ์

กรณี มัซฮับชีอะห์ มุตอะห์ อัตกียะห์ คงไม่เกี่ยวอะไรในอิสลาม เพราะพวกนี้สามารถแสดงตัวเป็นมุสลิม ในขณะเดียวกัน ก็ยุแยงตะแคงรั่ว บรรดาผู้ศรัทธา
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
มุสลิม
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/06/2004
ตอบ: 79


ตอบตอบ: Sat Feb 11, 2006 5:25 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

หะดีษ و كل بدعة ضلالة

ผมเห็นคุณอัลอัซฮารีย์อธิบายเกี่ยวกับหะดีษนี้บ้างในหน้า 10 เลยขออนุญาตเสริมเล็กน้อย เพื่อให้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับคำว่า "ทุกๆ" ในหะดีษ

1.คำว่า กุลลุ เป็นหนึ่งในศิยะฆุลอุมูม(สำนวนกว้างๆ) ซึ่งมีอยู่หลายสำนวนด้วยกัน และไม่มีนักวิชาการท่านใดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเคยกล่าวว่า ศิยะฆุลอุมูมนั้นตัคศีศไม่ได้

ศอดรุชชะรีอะฮ์กล่าวในอัตตังเกียห์ว่า “และหนึ่งในสำนวนอุมูม ก็คือ กุลลุ กับ ญะเมียอ์ซึ่งทั้งสองตายตัวถ้าเข้าไปร่วมกับคำใด” อัตตัฟตาซานีย์อธิบายคำพูดของศอดรุชชะรีอะฮ์ที่ว่า “ซึ่งทั้งสองตายตัวถ้าเข้าไปร่วมกับคำใด”ว่า “ไม่ได้หมายความว่าคำทั้งสองไม่รับการตัคศีศเลย เพราะดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า “وخلق كل شيئ” และดำรัสที่ว่า “و أوتيت من كل شيئ”ถูกตัคศีศตามที่ได้เคยกล่าวมา แต่ความหมาย(คำของท่านศอดรุชชะรีอะฮ์)จริงก็คือ คำทั้งสอง(กุลลุ กับ ญะเมียอ์)ไม่สามารถกล่าวอย่างคอศได้ เช่นกล่าวว่าผู้ชายทุกคน(กุลลุ) หรือผู้ชายทั้งหมด(ญะเมียอ์)แล้วไปหมายถึงผู้ชายเเค่คนเดียว ซึ่งต่างกับคำอุมูมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคำที่มีอลีฟลาม หรือคำว่า มัน หรือคำว่า มา(ซึ่งคำเหล่านี้เป็นคำอุมูมแต่สามารถมีสมาชิกเพียงตัวเดียวได้ ซึ่งต่างกับกุลลุ และญาเมียอ์)”


2.ทรรศนะญุมฮูรอุลามาอ์บอกว่าดิลาละตุลอาม เป็น ظنية ไม่ใช่ قطعية อาจถูกตัดศีศเมื่อไหร่ก็ได้

3.ไม่มีความแตกต่างกันในความเป็นอุมูมระหว่างศิยะฆุลอุมูม หมายถึงความเป็นอุมูมในกุลลุ หรือ ญะเมียอ์ไม่ได้เหนือกว่าความอุมูมที่มีในญัมอ์มุอัรรอฟ บิ อลีฟ ลาม หรือ บิลอิฎอฟะฮ์ หรือนะกิเราะฮ์ฟีซิยากินนัฟย์,ชัรฏ์ ฯลฯ ฉะนั้นหากยอมรับว่าพวกนี้ตัคศีศได้ กุลลุ กับญะเมียอ์ก็ตัคศีศได้เช่นกัน

ตัคศีศคือ การคัดสมาชิกบางตัวที่สำนวนนั้นครอบคลุมอยู่ออกไป

ฉะนั้นเมื่อมี مخصص มาแยกแยะแล้วไม่ให้มีการเข้าใจตามเดิม(ที่เคยครอบคลุม)
มุคอศศิศในที่นี้คือ หะดีษท่านบิลาลกล่าวว่า

ما أعلم يا رسول الله قال اعلم يا بلال قال ما أعلم يا رسول الله قال أنه من أحيا سنة من سنتي قد أميتت بعدي فإن له من الأجر مثل من عمل بها من غير أن ينقص من أجورهم شيئا ومن ابتدع بدعة ضلالة لا ترضي الله ورسوله كان عليه مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزار الناس شيئا

ประโยคที่ว่า ومن ابتدع بدعة ضلالة لا ترضي الله ورسوله มีการบรรยายลักษณะบิดอะฮฺว่าฎอลาละฮ์ ฉะนั้นในเชิงวิชาการเขาเรียกตัวบทนี้ว่าเป็น مخصص متصل ซึ่งมีการตัคศีศโดยให้ศิฟะฮ์ คุณลักษณะของสิ่งนั้นๆบ่งไว้เพื่อจะได้ไม่หมายรวมถึงสิ่งเดียวกันที่ไม่มีลักษณะดังกล่าวปรากฏอยู่

ฉะนั้นหะดีษ و كل بدعة ضلالة จึงเป็น عام مخصوص อย่างที่ท่านอิมามอันนะวะวีย์ได้กล่าวไว้ ไม่ใช่อามเฉยๆ และต้องเข้าใจความหมายหะดีษตามนัยยะดังกล่าวด้วย

หรือ... ยังมีการให้ความเข้าใจวิธีที่สองตามหลักการอุศูลุลฟิกฮ์คือ

แบบที่ 2

ท่านรอซูล ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า فإن كل محدثة بدعة ทุกอย่างที่ทำขึ้นใหม่เป็นบิดอะฮฺ คำว่า มัวห์ดะษะฮ์ ในหะดีษเป็นมุฏลัก ภายนอกจึงชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างที่ถูกทำขึ้นใหม่เป็นบิดอะฮ์ แต่มีอีกหะดีษหนึ่งที่มาตักยีด تقييد มุฏลักตัวนี้ นั่นก็คือ หะดีษท่านรอซูล ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า

من أحدث في أمرنا هدا ما ليس منه فهو رد

คำว่ามัวห์ดะษะฮ์ในที่นี้จึงถูกตักยีดด้วยคำว่า ما ليس منه หรือในริวายะฮฺมุสลิมที่ว่า ليس عليه أمرنا
ซึ่งมัซฮับบรรดาอุลามาอ์บอกว่าเมื่อ سبب กับ حكم ระหว่างมุฏลัก กับมุกอยยัดตรงกันให้เข้าใจมุฏลัก ตามนัยยะของมุกอยยัด حمل المطلق على المقيد ตามนัยยะนี้ความหมายจึงเป็น

فإن كل محدثة التي ليس عليها الشرع بدعة

ซึ่งไม่ว่าจะเข้าใจแบบใด 1 หรือ 2 ล้วนแล้วแต่มีมัฟฮูมมุคอละฟะฮ์ในตัวทั้งสิ้นซึ่งคงไม่ต้องหยิบยกให้เห็นเนื่องจากมันชัดเจนอยู่แล้ว และต้องย้ำด้วยว่า مفهوم الصفة นั้นเป็นที่อ้างอิงกันในหมู่อุลามาอ์ และเป็นที่ทราบดีสำหรับผู้เคยร่ำเรียนอุศูลุลฟิกฮ์มา

ผมนำเสนอเรื่องนี้ด้วยหลักวิชาการที่เป็นที่ยอมรับของโลกอิสลามตลอดมาคืออุศูลุลฟิกฮ์ ไม่ว่าจะเรื่อง อาม,คอศ,มุฏลัก,มุกอยยัด หรือมัฟฮูมุล มุคอละฟะฮ์ และในช่วงที่คุณอัลอัซฮารีย์พูดถึงเรื่องนี้ก็ใช้พื้นฐานของอุศูลุลฟิกฮ์เช่นกัน เพราะฉะนั้นหากจะได้รับการวิจารณ์ก็ขอให้ใช้อุศูลมาหักล้างว่าถูกหรือไม่ถูกอย่างไร เพราะความรู้ของผมก็น้อยนิด

อีกประการหากหักล้างกันด้วยอุศูลไม่ได้ผมขอให้ยุติการอ้างหะดีษ كل بدعة ضلالة ซึ่งเป็นอามมัคศูศอย่างที่ได้เสนอไปและอย่างที่อุลามาอ์เห็นกันแล้ว มาแปลและให้ความเข้าใจตามนัยยะของอาม(เฉยๆ)นะครับ เพราะจะแสดงให้เห็นถึงจิตไจที่ไม่ยอมเปิดกว้างนะครับ

wassalam
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> หลักความเชื่อ ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 8, 9, 10 ... 31, 32, 33  ถัดไป
หน้า 9 จากทั้งหมด 33

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.17 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ