ยินดีต้อนรับสู่ Moradokislam.org!
Homeหน้าแรก     Forumsกระดานข่าว     Your Accountสำหรับสมาชิก     Downloadsดาวน์โหลด     Submit Newsเผยแพร่ข่าวสาร     Topicsหัวข้อเรื่อง     Select Thai LangaugeThai Langauge   
อนุรักษ์มรดกอิสลาม :: ดูกระทู้ - “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก อนุรักษ์มรดกอิสลาม  
  เพื่อการอนุรักษ์มรดกอิสลาม      คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว      ค้นหา      รายนามสมาชิก  
  · เข้าระบบ ข้อมูลส่วนตัว · เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ · กลุ่มผู้ใช้งาน  
“มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com)
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 10, 11, 12 ... 21, 22, 23  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sun Sep 05, 2004 1:25 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

พี่น้องที่รักทุกครับ

วันนี้ 5 ก.ย. 2547 ครบรอบ 2 เดือนที่เราเคยลงมติเรียกร้องขอความเข้าใจ โดยใช้วิธีทาง ประชา-ทิป-ตาย ในประเด็นหัวข้อต่างๆ จากคุณลุงแมทท์ คนไทย ใจยูเอส จนมติมาลงเอยที่ “การละหมาดตามอัลกุรอาน” แต่ก็ไม่เคยได้รับทราบข่าวคราวหรือวี่แววใดๆว่าท่านจะรับรู้ จนกระทั่งพากันวิตกไปต่างๆนานา

บัดนี้ ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ลุงแมทท์ของผมยังมีชีวิตอยู่สุขสบายดี ไม่ได้ไปรอยีอูนที่ไหนหรือเจ็บไข้ได้ป่วยดังที่เคยเป็นห่วงและวิตกกันมานานนับเดือน ผมบังเอิญได้ไปพบท่านที่พันทิพย์และทักทายกันแล้ว จึงได้เชื้อเชิญท่านกลับมาให้ความกระจ่างแก่พวกเราที่นี่ พร้อมกับยื่นบันทึกช่วยจำให้ท่านไว้ด้วยแล้วตามข้อความข้างล่างนี้

คาดว่าอีกไม่ช้า ลุงแมทท์ คงกลับมา ถ้าท่านสัจจริง!
แต่ถ้าไม่กลับมา ... ก็สุดแล้วแต่พี่น้องจะสรุปกันเอาเอง
กระผม...จนด้วยเกล้า..พ่ะ-ย่ะ-ค่ะ

-----------------------------
คำพูด:
ลุงแมทท์ ครับ

ลุงเล่นมาแนะนำผมกันต่อหน้าต่อตาอย่างงั้น…เล่นเอา เขินไปเลยครับ ไอ้กระผมมั้นก็ไม่ใช่ผู้รู้อะไรนักหนาหรอกครับ ยังต้องอ่าน ต้องค้น ต้องคว้าอยู่ทุกวี่ทุกวัน เพราะวิชาการมันเรียนกันไม่มีวันจบ ไม่มีวันหมดสิ้น โดยเฉพาะเมื่อมาเจอลุงแมท์ผู้แสนรู้ อะไรที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ ว่ามีอย่างงี้ในโลกกะเค้าด้วย!
เอาอย่างงี้นะ เพื่อไม่ให้น้อยหน้ากัน ผมขอแนะนำลุงให้ผู้อ่านท่านทราบเป็น background ไว้บ้าง ดีมั้ยครับ

คือลุงแมทท์เนี่ยนะครับ ท่านมีความเชี่ยวชาญด้าน “ศาสนา คิด” คือสามารถคิดประดิษฐ์อะไรๆขึ้นมาเป็นศาสนาได้ตามใจชอบ นับเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัว ที่น่าเสียดายคือ ชอบเอามาแปะกับอิสลาม จะเป็นด้วยหวังดีหรือมีใบสั่งมาก็ไม่ทราบได้ ผมเลยต้องตามเรียนรู้จากท่านในหลายๆประเด็น และอีกอย่างนึง ฟุตเวิร์ค ท่านเฉียบขาดจริงๆ พลิ้วหลบได้ทุกสังเวียน แม้จะน้ำใสๆไม่ต้องขุ่นยังไปได้เลย

ที่จริงผมไม่ปรารถนาจะมาคุยกับลุงที่นี่(หมายถึงที่เวปพันทิพย์)หรอกนะครับ เพราะประเด็นที่เราคุยกันมันเป็นเรื่องภายใน ไม่อยากให้เปลืองเนื้อที่ที่นี่เค้า เสียเวลาคนอื่นด้วยที่จะต้องมาอ่านอะไรที่ไม่เป็นสาระสำหรับพวกเขา….แต่มันเป็นสาระมากนะครับสำหรับมุสลิม พรุ่งนี้ 5 ก.ย. จะครบ 2 เดือนพอดีนับจากเราลงมติตามวิถีทางประชา-ทิป-ตาย ที่ลุงเทิดทูนอยู่ เพื่อขอคำชี้แนะถึงรายละเอียดในการประกอบศาสนกิจที่มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน โปรดเข้าใจด้วยว่า พวกเรา-มุสลิมทั้งโลก-ไม่ได้ไม่เชื่อถือศรัทธาว่าอัลกุรอานสมบูรณ์ครบถ้วน เพียงแต่เราหาสิ่งที่ลุงอ้างถึงนั้นไม่พบ เพราะฉะนั้นขอเชิญลุงฯไปให้ความรู้พวกเราที่เวปมรดกฯที่เก่าเถอะครับ

ลุงเตือนผมด้วยอายะฮ 6:114 ok ว่างๆผมจะแจงให้ลุงทราบว่าอะไรเป็นอะไร
วันนี้ผมก็ขอเตือนลุงบ้างเป็นการตอบแทน … ถ้าลุงเข้าไปที่ มรดกฯ ลุงคงได้เห็นแล้ว แต่ลุงก็ยังคงทำเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน … ทำให้บรรยากาศ อึมครึม ครับ

1 ที่นั่นผมเตือนลุงด้วยอายะฮฺอัลกุรอานไว้ว่า…

แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังหลักฐานอันชัดเจน และข้อแนะนำอันถูกต้องที่เราได้ให้ลงมาหลังจากที่เราได้ชี้แจงมันไว้แล้วในคัมภีร์สำหรับมนุษย์นั้น ชนเหล่านี้แหละอัลลอฮ์จะทรงขับไล่พวกเขาให้พ้นจากความเมตตาของพระองค์ และผุ้สาปแช่งทั้งหลายก็จะสาปแช่งพวกเขาด้วย (2:159)

ขอย้ำนะครับ…ลุงแมทท์ รู้ว่ารายละเอียดเรื่องการละหมาดอยู่ตรงไหนอย่างไรบ้างในอัลกุรอาน แต่ลุงไม่ยอมบอกพวกเรา ปล่อยให้พวกเราหลงทางกันมานานนับพันปี อย่างนี้จะเรียกว่าลุงฯ ปิดบังหลักฐานหรือไม่? … และผลจะเป็นประการใดตามนัยยะแห่งอายะฮนี้? …. ลุงไม่กลัวหรือครับที่จะถูกอัลลอฮขับไลให้พ้นจากพระเมตตาของพระองค์ !

2 ผมเตือนลุงไว้อีก ถึงการแสดงหลักฐานของบุคคล 2 ประเภท
ประเภทหนึ่ง คือคนจริง มีหลักฐานจริง เมื่อถูกเรียกร้องให้แสดงหลักฐาน เขาสามารถแสดงได้ในทันที
อีกประเภทหนึ่ง คือคนตอแหล อ้างโน่นอ้างนี่แบบโคมลอย พอถูกเรียกร้องถึงหลักฐาน ก็หลบลี้หนีหน้า

อัลลอฮบอกว่า : ใครเล่าจะเลวยิ่งไปกว่าคนที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺเพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิดโดยไม่มีความรู้ แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงนำทางหมู่ชนที่อธรรม (6:144)

ดังนั้นท้ายที่สุด เราจึงขอวิงวอนลุงอีกครั้งว่า ….

ดังนั้น พวกท่านจงนำคัมภีร์ของพวกท่านมาแสดงซิ หากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง (37:157)

ครับ..หากว่าลุงแมทท์ “สัจจริง” !
------------------------
AlGhuraba



ด้วยใจจดจ่อ
---------------------------------
อัลฆุเราะบาอ์ ครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Sun Sep 05, 2004 1:38 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

โทดที..ลืมไป

เผื่อใครอยากจะไปเยี่ยมเยียนลุงแมทท์ เชิญได้ครับที่พันทิพย์

<a href=http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K2978413/K2978413.html#41>
ห้องสมุด K2978413 "ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของพระเจ้าที่สอนให้มนุษย์ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ" </a>
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
mahdisaudi
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 03/06/2004
ตอบ: 381


ตอบตอบ: Mon Sep 06, 2004 5:11 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อันใดที่เราะสูลสั่งใช้ก็จงทำ อันใดที่เราะสูลห้ามก็จงหยุด
จงนมาซฺเหมือนที่ท่าน(เรียน)รู้ว่าฉันนมาซฺอย่างไร

การเรียนรู้นมาซของท่านเราะสูลว่าทำอย่างไร อ่านอะไรตอนไหนมีท่านญิบรีลเป็นผู้สอน ศอหาบะได้เรียนรู้ต่อมาและได้มัการบันทึกจนถึงเรา คุญแมทกำลังหลงลำพองในการรับใช้ผู้ปฏิเสธ และกำลังหว่านเพาะพันธ์สิ่งอันตรายข้อสงสัยให้กับลูกหลานมุสลิม ให้สงสัยหะดีษ สงสัยศอหาบะฮฺ และต่อไปจะให้สงสัยการมีอยู่จริงของท่านเราะสูลุลลอฮฺ และเมิ่อถึงเวลานั้นคุณแมทก็จะถามแก่มุสลิมอีกว่า มุสลิมจะเชื่อการบันทึกอัลกุรอานได้อย่างไรเพราะเราอยู่ห่างจากสมัยนบีฯ เป็นพันปี อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ แมทกำลังก่อไฟฟิตนะฮฺสร้างปริศนาให้แก่เยาวชนมุสลิม
อัศหาบะได้เรียนรู้การนมาซฺและคำสอนต่างๆจากท่านเราะสูลฯ
ตาบิอฺตาบิอีน ถ่ายทอดกันมา อุละมาอฺต่างๆ ก็เรียนรู้ต่อกันมามีการการอบรมการสอน การบันทึก การรายงานต่อกันมา จนถึงเราในปัจจุบัน จากการรายงานของอุมมุลมุมินีน ภรรยาของท่าน นบีฯ
ของอัศหาบ และอุละมา มีการบันทึกอันมีคุณค่าอันอนันต์ แก่โลก
การเรียนการสอนและการทำรายงาน การบันทึกถ้าไม่มี เราๆในเวลานี้
จะเรียนด้วยปากกันอย่างเดียวหรือ คุณแมทที่จบการศึกษาและทำมาหากินในปัจจุบันไม่ต้องเขียนต้องจดอะไร จะได้หรือ แทัจริงแล้ว ศาตร์แขนงต่างๆก้าวหน้าได้ด้วยเพราะมีการรายงานมีการบันทึก เราอย่าได้ทรยศกับวิชาที่สำคัญอันนี้ บรรดาอาลิม หรือสำนักความคิด อิมามต่าง และผู้รายงาน ผู้บันทึก ได้รายงานจากศอหาบะ นับร้อยนับพันท่าน
และเรารุ่นหลังได้รับจากอุละมา ใหญ่ๆอีกตั้งกี่ท่านที่มีรายงานมาให้
ทราบจนเรียนรู้กันชั่วชีวิตนี้ก็ยังไม่หมด
หะดีษ รายงานการใช้ชีวิตการดำเนินชีวิตของเราะสูลฯ รายละเอียดตั้งแต่เช้าจนค่ำ การกินการนอน การกระทำต่างๆ สีผิวรูปร่าง ลักษณะท่าทาง การเดินการนั่งอิริยาบททุกอย่างของท่านเราะสูลฯถูกรายงานบันทึกในหนังสือบันทุกหะดีษของอุละมาตั้งหลายๆท่าน รายละเอียดเหล่านี้เราจะไปหาไม่ได้ในการอย่างอิสลามนี้อีกแล้ว การบันทุกเหล่านี้ทำให้เรามีอีมานเพิ่มพูนทำให้เรารักศรัทธาต่ออิสลามรักต่อท่านนบีฯ รักครอบครัวของท่านและศอหาบะฮฺสหายของท่านเราะสูลฯ บรรดาวีรชนต่างๆของอิสลาม
ถ้าบรรดาลูกหลานไม่เอาการบันทึกไม่เอาการรายงานหะดีษเพราะเกิดจากการชักจูงของนายแมท ขอพระองค์ช่วยจัดการในเร็ววัน
คุณแมทจงระวังตนระวังตัว เตาบัตกลับตัวขอดุอาอฺให้มาอยู่ในหนทางอิสลาม อย่าได้บาปมากไปกว่านี้เลย
อย่าลืมวันอาคิรัตมีจริง ตามอัลกุรอาน และหะดีษที่ได้บันทึกไว้

_________________
อัลฟะละกี
เรื่องดาราศาตร์ก็มีกล่าวในอัลกุรอาน
&ใช้ดาราศาสตร์เพื่อช่วยให้ง่ายสดวกในการดูเดือน
มิใช่เพื่อมาทดแทนการดูเดือน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
mahdisaudi
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 03/06/2004
ตอบ: 381


ตอบตอบ: Mon Sep 06, 2004 5:27 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
จงนมาซฺเหมือนที่ท่าน(เรียน)รู้ว่าฉันนมาซฺอย่างไร

การเรียนรู้นมาซของท่านเราะสูลว่าทำอย่างไร อ่านอะไรตอนไหนมีท่านญิบรีล

เป็นผู้สอน ศอหาบะได้เรียนรู้ต่อมาและได้มีการบันทึกจนถึงเรา

คุณแมทกำลังหลงลำพองในการรับใช้ผู้ปฏิเสธ และกำลังหว่านเพาะพันธ์

สิ่งอันตรายข้อสงสัยให้กับลูกหลานมุสลิม ให้สงสัยหะดีษ

สงสัยการมอยู่จริงของศอหาบะฮฺนับหมื่นๆท่าน

ดูสหายของท่านเราะสูลที่อพยพไปอบิสสิเนียก็มีบางท่านเป็นผู้รายงานหะดีษ

ผู้เข้ารับอิสลามในปีของการเผยแผ่ที่. 10- 12 จากเผ่าเอาส์ และเผ่าค็อซร็อจญ์

ปีที่10 มี6 ท่าน ปีที่11 มี 12 ท่าน และปีที่ 12 มี73 ท่าน

เศาะหาบะฮฺที่ทำสัญญาบัยอะฮฺริฎวาน ประมาณ 1400 ท่าน ที่ร่วมนมาซฺที่มัสญิดกิบละตัยอีก

หลายท่านในหนังสิอ อุสดุลฆอบะฮฺ8 เล่ม มีรายชื่อของศอหาบะฮฺ 7700 ท่าน

คนเหล่านี้หลายท่านเห็นผู้เล่าหะดีษมาถึงเรา

ถ้าหากใครสักคนได้อ่านอัลกุรอานเพราะความอยากรู้ เขาไม่อาจอดกลั้น

ความรู้สึกได้ว่าในอัลกุรอานนั้นมีอะไรหลายอย่างที่ความหมายที่เเท้จริง

และเจตนารมณ์ของมันไม่อาจเข้าใจได้โดยการอ่านภาษาอรับจากถ้อยคำของอัลกุรอาน

และไม่อาจรู้ว่าจะปฏิบัติตามคำบัญชาที่มีอยู่ในนั้นอย่างไร ให้ดูคำว่า เศาะลาฮฺเป็นตัวอย่าง

การปฏิบัติที่อัลกุรอานเน้นมากที่สุดหลังจากการยืนยันชะฮาดะฮฺการศรัทธาก็คือการนมาซฺ


ไม่มีผู้อ่านภาษาอฺรับคนใดกำหนดว่าการปฏิบัติจะทำอย่างไร ถ้าหากผู้ส่งอัลกุรอาน

ไม่ได้แต่งตั้งครูขึ้นมาสักคนหนึ่งและสอนให้เขารู้ว่าถึงรายละเอียด

และให้เขารู้ถึงวิธีการในการปฏิบัติตามคำสั่งให้ เศาะลาฮฺเป็นไปได้ไหมที่คนมุสลิม

สักสี่ร้อยคนห้าร้อยคนในที่อยู่ต่างถิ่นกันในอรับในไทยในยุโรปจะอ่านนมาซฺได้เหมือนกัน

ห้าเวลา การยืนก้มกราบจำนวนเราะกะอะฮฺเท่ากัน ฟะญัรสองเราะกะอะฮฺ มัฆริบ สาม

และอิชาอฺ ต้องสี่เราะกะอะฮฺ คือเพียงแค่คนเหล่านั้นอ่านอัลกุรอาน

เหตุผลที่ว่าทำไมมุสลิมอ่านนมาซฺเหมือนกันมา 1400ปี พระองค์อัลลอฮฺ

ไม่เพียงแต่ส่งอัลกุรอานมาเท่านั้นแต่ได้ทรงเมตตาส่งครูมาอธิบายรายละเอียด

แนะนำให้สาวกลูกศิษย์นำเอาสุนนะฮฺแบบอย่างคำสอนของท่านให้ไปทั่วโลก

วิธีการต่างๆที่จะรู้ถึงคำอธิบายคำต่างๆของอัลกุรอานที่อัลลอฮฺสุบหานะฮุวะตะอาลา

ได้สอนให้แก่เราะสูลฯของพระองค์และท่านได้นำมาสอนแก่ประชาชาติ

ของท่านโดยคำพูดการกระทำออกมาเป็นสุนนะฮฺหะดีษ

หะดีษได้บอกเล่าจากเศาะหาบะฮฺรุ่นแรกจนได้บันทึกเล่าต่อๆมาแก่ชนรุ่นหลังโดยการกลั่นกรอง

ให้ถูกต้องต่อๆกันจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อๆมาอย่างละเอียด

คนที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งความรู้นี้ความจริงเขากำลังกล่าวหาต่อว่าอัลลอฮฺ

ว่าไม่สอนอธิบายความหมายให้แก่เราะสูลของพระองค์หาว่าอัลลอฮฺไม่ทำตาม

สัญญาของพระองค์ให้ครบถ้วน เพราะความรับผิดชอบอันนี้ไม่ได้มีเพื่อที่จะอธิบาย

ความหมายให้แก่เราะสูลเท่านั้นแต่ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้ประชาชาติมุสลิม

ได้รู้เข้าใจอัลกุรอานหรือคำสอนต่างๆของอิสลามผ่านมาโดยท่านเราะสูลุลลอฮฺด้วย

และทันทีที่หะดีษที่บอกเรื่องสุนนะฮฺของท่านถูกปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นที่มาของคำสอนอิสลาม

มันก็เท่ากับว่าเขาเหล่านั้นโจมตีพระองค์อัลลอฮฺว่าไม่รับผิดชอบในการทำหน้าที่ของพระองค์

สำหรับคนที่โจมตีเรื่องการกุหะดีษเลยไม่รับเสียเลย เนื่องจากเขาไม่เข้าใจวิชา

ของการแยกหะดีษจริงออกจากหะดีษปลอมเป็นศาสตร์ที่สร้างขึ้น

และพัฒนามันโดยมุสลิมเท่านั้น

คนเคราะห์ร้ายก็คือคนที่ไม่รู้เรื่องศาสตร์นี้หรือไม่พยายามจะศึกษาทำความเข้าใจ

และเขาเหล่านั้นกำลังถูกพวกนักบูรพาคดีชาวตะวันตกหรือผู้ไม่หวังดี ชักนำผิดๆ

ให้มองเห็นว่าหะดีษที่ถูกต้องไม่สามารถเชื่อถือได้และไม่ตระหนักถึงความจริง

ว่าพวกเขากำลังทำร้ายอิสลามโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของเขาเอง


wassalam

_________________
อัลฟะละกี
เรื่องดาราศาตร์ก็มีกล่าวในอัลกุรอาน
&ใช้ดาราศาสตร์เพื่อช่วยให้ง่ายสดวกในการดูเดือน
มิใช่เพื่อมาทดแทนการดูเดือน
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Tue Oct 05, 2004 11:16 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam
….พี่น้อง“มุสลิม”ที่รักทุกท่าน

จำได้มั้ยครับว่าผ่านมา 3 เดือนพอดี ที่เราลงมติขอคำตอบจากลุงแมทท์แสนกล คนขยัน ของเราไว้
ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรอยู่ดี แต่วันนี้ผมเข้าไปเยี่ยมแกที่ พันทิพ ก็เลยเก็บ ผลงาน ที่แกไปปล่อยไว้ที่นั่นมาให้อ่านกันดู ว่า ลุงแมทท์ “หางโผล่” ซะแล้ว ....ดูเอาละกันครับ

คำพูด:

ความคิดเห็นที่ 44
. . . . . . .
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนา ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เท่านั้น ไม่มีผู้ใด อยู่ระหว่าง การเคารพบูชา ของมนุษย์ กับพระเจ้า, ศาสนทูตทุกๆท่าน นับตั้งแต่ ศาสนทูต อิบรอฮิม (อิบราฮัม) ขึ้นมาจนถึง ศาสนทูต มูฮัมมัด, ท่าน ศาสนทูต ทุกๆท่าน รวม ทั้ง ท่าน ศาสดา มูฮัมมัด, กล่าวคำ ปฏิญาณ ยอมสวามิภักดิ์ และ รับความเป็น “เอก” ของพระเจ้า ด้วย ประโยค ในภาษา อรับว่า “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” หมายความว่า, “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่สมควรในกราบเคารพบูชานอกจาก พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (อัลลออ์)”

ดังนั้น ในการกล่าวคำปฎิญาณ หรือ การเชิญชวน ก่อนการทำการ กราบเคารพบูชาพระเจ้า(อัลลอฮ์) ประจำวัน (การละหมาด) ของ “ผู้ที่ มีศรัทธา และยอมสวามิภักดิ์ ต่อ พระองค์ ทั้ง กาย วาจา ใจ” (มุสลิม), จึงไม่สมควร จะกล่าวนามผู้ใด ต่อท้าย คำปฎิญาณ (ชะฮาดะหฺ) ต่อ พระผู้เป็นเจ้า ได้ การทำเช่นนั้น เป็นการ ยก “มนุษย์เทียบเท่าพระเจ้า” แม้แต่ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด ก็ไม่กระทำเช่นนั้น, ท่านกล่าว คำปฏิญาณก่อนการทำละหมาดว่า, “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” เท่านั้น

ขอพรจาก “องค์พระผู้เป็นเจ้าที่สูงสุด” ได้โปรด ประทาน ความสงบและสันติสุขและความมีสุขภาพดีแก่ทุกๆท่าน

สวัสดีครับ
แมทท์
(ยังมีต่อ)
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 47 21:09:46
------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 45
ขอความสันติจงมีแด่ท่านสมาชิกทุกๆท่าน

วันนี้ขอเริ่มต้นด้วย ซูเราะฮฺ อัลมุนาฟิกุน อายะ1, ความว่า
“เมื่อผู้ สับปลับ มาหาเจ้าและกล่าวแก่เจ้าว่า “พวกเราขอเป็นพยาน ว่า, อย่างแน่แท้ท่านเป็นทูตของพระเจ้า, แน่ละพระเจ้าทรงล่วงรู้ว่าเจ้าเป็นทูตของพระองค์อย่างแท้จริง, และพระองค์อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานว่าบรรดาพวก สับปลับ เหล่านั้นเป็นผู้กล่าวเท็จ”

ในอายะนี้ อัลกุรอานแจ้งแก่เราว่า ไม่ว่าใครก็ตาม จะมีความจริงใจในความเชื่อว่า “ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เป็น ทูตของพระองค์ที่แท้จริง หรือไม่ นั้น, พระองค์ทรง ล่วงรู้ในจิตใจและ ความคิดของ เขาผู้นั้น ว่าเขา กล่าวด้วยความจริง ใจหรือ กล่าวเท็จ , การที่พระองค์ทรงกล่าวยืนยันว่า “ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ที่แท้จริง” ก็เพื่อ ให้มนุษย์หมดความเคลือบแคลงใจในความแท้จริงของ ศาสนทูตมูฮัมมัด, เพื่อว่า มวลมนุษย์ จะได้รับบัญญัติ ของพระองค์ด้วยความ ศรัทธา อย่างแท้จริง, และยอมรับสภาวะความเป็นจริงในตำแหน่งศาสนทูต ของพระเจ้า ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, เช่นเดียวกับศาสนทูตท่านอื่นๆ ก่อนหน้าศาสนทูตมูฮัม มัด

เมื่อมนุษย์มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว(อัลลอฮ์) อย่างจริงใจแล้ว ย่อมมีความศรัทธาต่อความแท้จริง ของศาสนทูตมูฮัมมัด โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ, ดังนั้นผู้ศรัทธาที่แท้จริง ไม่มีความจำเป็นจะต้องกล่าวยืนยันในความเป็นจริง ข้อนี้ เพราะ พระองค์อัลลอฮ์ ทรงล่วงรู้ว่า คำยืนยันหรือคำสาบานของมนุษย์ในความเชื่อ ต่อท่านศาสนทูตของพระองค์ นั้น จริงหรือเท็จเพียงไร, ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรง กำหนดให้ ผู้ศรัทธา กล่าวข้อความยืนยันหรือปฏิญาณ ในความ แท้จริงของ ศาสนทูตมูฮัมมัด ไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน

ด้วยความจริงข้อนี้ การต่อท้าย คำปฏิญาณต่อพระผู้เป็นเจ้า(อัลลอฮ์) ด้วยนามของท่านศาสนทูตใดๆก็ตาม เป็นการยกย่อง มนุษย์ขึ้นเทียบเคียงพระเจ้า, และถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องกระทำแล้ว, ศาสนทูตอีก 24 ท่าน ก่อนหน้าศาสนทูตมูฮัมมัด นั้น, เรายอมรับว่าท่านเหล่านั้นเป็น ศาสนทูตที่แท้จริงของพระองค์หรือไม่? ถ้าเรายอมรับ ทำไมถึงไม่มีการปฏิญาณ ในความศรัทธาของเราต่อศาสนทูตเหล่านั้น เช่นเดียวกับศาสนทูตมูฮัมมัด ทุกครั้งที่เราปฎิญาณตัวต่อพระเจ้า?

ถ้าเราเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงแล้ว เราต้อง ใช้ความคิดว่า ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดกล่าว “ชะฮาดะห์” ว่าอย่างไร, ท่านต่อท้าย คำปฏิญาณ ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า, ด้วยการปฎิญาณในความศรัทธาต่อผู้อื่นที่ พระองค์สร้างขึ้นหรือไม่? แน่นอนศาสนทูตมูฮัมมัด ย่อมไม่ทำเช่นนั้น และท่านจะไม่สอนให้ผู้ศรัทธาทั้งหลายทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน,

จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น, ผู้ที่มีความศรัทธา ต่อศาสนาของพระเจ้า(อัลลอฮ์), และยอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์, องค์เดียวเท่านั้น, โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ (อิสลาม), เขาผู้นั้น(มุสลิม) จึงมีคำปฏิญาณที่ถูกต้อง เพียง อย่างเดียวเท่านั้นคือ “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” หมายความว่า, “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่สมควรในกราบเคารพบูชานอกจาก พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (อัลลออ์)”

ขอพรจาก “องค์พระผู้เป็นเจ้าที่สูงสุด” ได้โปรด ประทาน ความสงบและสันติสุขและความมีสุขภาพดีแก่ทุกๆท่าน

สวัสดีครับ
แมทท์
(ยังมีต่อ)
จากคุณ : แมทท์ - [ 15 ก.ย. 47 18:15:53 ]
=============================================
แล้วนี่เป็นคำตอบคร่าวๆจากผม...ว่า....


คำพูด:
ความคิดเห็นที่ 59

เห็นมั้ยล่ะ.... บอกแล้วว่าท่านลุงแมทท์ มีความเชี่ยว ในเรื่อง ศาสนาคิด ช่างคิดได้เป็นตุเป็นตะอะไรกันปานฉะนี้

วันนี้ก็ครบรอบ 2 เดือน...วันที่ 5 ตค ...กับของเก่าอีกปีนึงเต็มๆที่ ผมและพวกเราที่ มรดกฯ ต่างชะเง้อชะแง้แลคอย รอคำตอบ คำบรรยายจากลุงแมทท์ เรื่อง วิธีละหมาดตามอัลกุรอาน…. แต่ยังคงเงียบเชียบ!
ว่างๆ ก็ลองตามเข้ามาดูที่นี่อีกที โห.... ลุงแมทท์..... ในที่สุดก็ “หางโผล่” จนได้นะ
______________________________
คห. 44
ในการกล่าวคำปฎิญาณ หรือ การเชิญชวน ก่อนการทำการ กราบเคารพบูชาพระเจ้า(อัลลอฮ์) ประจำวัน (การละหมาด) ของ “ผู้ที่ มีศรัทธา และยอมสวามิภักดิ์ ต่อ พระองค์ ทั้ง กาย วาจา ใจ” (มุสลิม), จึงไม่สมควร จะกล่าวนามผู้ใด ต่อท้าย คำปฎิญาณ (ชะฮาดะหฺ) ต่อ พระผู้เป็นเจ้า ได้ การทำเช่นนั้น เป็นการ ยก “มนุษย์เทียบเท่าพระเจ้า” แม้แต่ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด ก็ไม่กระทำเช่นนั้น, ท่านกล่าว คำปฏิญาณก่อนการทำละหมาดว่า, “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” เท่านั้น
__________________________
ที่จริง ผมได้กล่าวไว้แต่แรกแล้วว่า ผมไม่ปรารถนาจะเข้ามาคุยอะไรมากเรื่องมากความที่นี่ เพราะสิ่งที่เราหวังว่าจะได้รับคำตอบจากลุงแมทท์ ก็คือ เรื่องการละหมาดตามอัลกุรอาน ดังนั้นจึงไม่อยากให้ลุงเสียเวลามัวไปถกปัญหาอื่น หรือทำให้ประเด็นมันขยายหรือเบี่ยงเบนกลายไปเป็นอย่างอื่นอย่างที่ลุงได้หลบเลี่ยง เฉไฉ มาตลอดรอบปีที่ผ่านมา

แต่ในเมื่อ “หาง” ลุงมันโผล่ออกมาอย่างนี้ว่าคำปฏิญาณในลัทธิช่างคิดช่างฝันตามอำเภอใจ ที่ลุงพยายามจะแทรกซึมยัดเยียดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในอิสลามนั้นมันด้วนอยู่แค่ประโยคเดียว ผมก็จำเป็นจะต้องเข้ามาชี้แจงความผิดพลาดคลาดเคลื่อนของลุง(ไม่ว่าจะเป็นไปโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม) ด้วยเกรงว่า เดี๋ยวใครพลัดหลงเข้ามาอ่านเข้า จะเก็บอะไรผิดๆ ติดสมองไปว่า นั่นคืออิสลาม มันจะยุ่งกันใหญ่

ก็ขอเริ่มจากอายะฮฺ มุนาฟิก ที่ลุงยกมาอ้างก็แล้วกัน

คห.45
“เมื่อผู้ สับปลับ มาหาเจ้าและกล่าวแก่เจ้าว่า “พวกเราขอเป็นพยาน ว่า, อย่างแน่แท้ท่านเป็นทูตของพระเจ้า, แน่ละพระเจ้าทรงล่วงรู้ว่าเจ้าเป็นทูตของพระองค์อย่างแท้จริง, และพระองค์อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานว่าบรรดาพวก สับปลับ เหล่านั้นเป็นผู้กล่าวเท็จ”

ครับ...นั่นคือคำแปลอัลกุรอานฉบับที่มุสลิมทั่วโลกใช้กัน ตามสำนวนแปลของลุงแมทท์ แต่แปลกที่ทำไมเข้าใจไปเป็นคนละคุ้งคนละแควกับที่มุสลิมทั้งหลายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเค้าเข้าใจกันได้ถึงขนาดนี้

ลุงแมทท์บอกว่า “เมื่อมนุษย์มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว(อัลลอฮ์) อย่างจริงใจแล้ว ย่อมมีความศรัทธาต่อความแท้จริง ของศาสนทูตมูฮัมมัด โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ, ดังนั้นผู้ศรัทธาที่แท้จริง ไม่มีความจำเป็นจะต้องกล่าวยืนยันในความเป็นจริง ข้อนี้ เพราะ พระองค์อัลลอฮ์ ทรงล่วงรู้ว่า คำยืนยันหรือคำสาบานของมนุษย์ในความเชื่อ ต่อท่านศาสนทูตของพระองค์ นั้น จริงหรือเท็จเพียงไร”

ลุงแมทท์ครับ ...

อัลลอฮฺทรงรู้ทั้งนั้นละครับ ไม่ว่าคนดี-คนชั่ว ในใจใครคิดยังไงกันมั่ง
ชนิดที่คิดดีแล้วเก็บงำไว้ แน่นอนอัลลอฮฺทรงรู้

และความดีใดๆที่พวกเจ้ากระทำนั้น อัลลอฮฺทรงรู้ดี (2:197)

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า หากพวกท่านปกปิดสิ่งที่อยู่ในหัวอกของพวกท่านหรือเปิดเผยมันก็ตาม อัลลอฮฺทรงรู้สิ่งนั้นดี และทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน (3:29)

แท้จริง เราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปยังท้องฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอน เราจะให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสญิดหะรอม(กะอฺบะฮฺที่นครมักกะฮฺ)เถิด ( 2:144 )

สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ และถ้าหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเจ้า หรือจะปกปิดมันไว้ตาม (ไม่ว่าจะดีหรือร้าย)อัลลอฮฺจะทรงนำสิ่งนั้นมาชำระสอบสวนแก่พวกเจ้า(2:284)

และจงรำลึกขณะที่อัลลอฮฺตรัสว่า อีซาบุตรมัรยัม(เยซูบุตรแมรี)เอ๋ย เจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า “จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะอีกสองอย่างอื่นจากอัลลอฮฺ” เขากล่าวว่า "มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ ไม่เคยเลยแก่ข้าพระองค์ที่จะกล่าวสิ่งที่ไม่ใช่สิทธิ์ของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมทรงรู้ดี เพราะพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย" (5:116)

แน่นอน คงไม่มีใครคิดหรอกนะครับว่าในใจท่านนบีอีซา(เยซู) นบีมุฮัมมัด หรือนบีอื่นทุกๆท่านจะมีสิ่งชั่วร้ายเคลือบแฝงซ่อนเร้นอยู่ ท่านมีแต่สิ่งดีๆทั้งนั้น มีแต่ความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแรงกล้า มีแต่ความบริสุทธิ์ใจแด่อัลลอฮฺอย่างเต็มเปี่ยม.... สิ่งเหล่านั้นอัลลอฮฺทรงรู้ ทรงตระหนักดียิ่ง เพราะฉะนั้น ความดีที่เก็บไว้ในใจใครก็ตาม .... อัลลอฮฺทรงรู้ทั้งสิ้น

ในส่วนของความคิดชั่วๆที่ซ่อนเร้นไว้ในใจ อัลลอฮฺก็ทรงรู้เช่นกัน

หาก(การออกสู่สมรภูมินั้น)มันเป็นผลได้อันใกล้และเป็นการเดินทางที่สะดวกและใกล้แล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาก็ปฏิบัติตามเจ้าแล้ว แต่ทว่าระยะทางอันลำบากนั้นไกลแก่พวกเขา และพวกเขาจะสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ถ้าหากพวกเราสามารถแล้ว แน่นอนพวกเราก็ออกไปกับพวกท่านแล้ว พวกเขากำลังทำลายชีวิตของพวกเขาเอง และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ว่าแท้จริงพวกเขาเป็นผู้กล่าวเท็จ (9:42)

พวกเขามิรู้ดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ความเร้นลับของพวกเขา และการพูดซุบซิบของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ซึ่งสิ่งเร้นลับทั้งหลาย (9:78)

และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงรอบรู้สิ่งที่หัวอกของพวกเขา(มุนาฟิก)ปกปิดอยู่และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย (28:69)

พระองค์ทรงรอบรู้การทรยศของดวงตาและสิ่งที่ทรวงอกปกปิดอยู่ (40:19)

อายะฮฺในทำนองนี้มีมากมาย รวมความก็คือ ไม่ว่าจะปกปิดอะไรไว้ หรือจะเผยออกมา จะดีจะชั่ว อัลลอฮฺทรงรู้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นว่าอะไรที่ประกาศออกมาแล้วมันจะกลายเป็นชั่วไปหมด หรืออะไรที่เก็บงำไว้ในใจถึงจะเรียกว่าดี แต่อันใดที่มันไม่ตรงกันระหว่างปากกับใจต่างหาก โดยเฉพาะชนิดที่มันคดงออยู่ในหัวอก นั่นแหละคือ มุนาฟิก

อายะฮฺมุนาฟิกที่ลุงแมทท์เอามาอ้างแล้วแปลส่งเดชไปว่า ไม่ต้องมีการปฏิญาณว่า มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ ไม่งั้นจะกลายเป็นมุนาฟิกไป .... มันคนละเรื่องเลยครับ...ลุง!

พูดง่ายๆก็คือ อัลลอฮฺ ดักคอ ไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่ามุนาฟิกพวกนั้นจะอ้างอะไรออกมา อัลลอฮฺทรงรู้เสมอว่าในใจมันคิดยังไง ไม่ว่าจะปากปราศรัย หวานเยิ้มขนาดไหน ในใจมันเชือดคออย่างไร อัลลอฮฺทรงรู้มาก่อนแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาทำเป็นอ้างโน่นอ้างนี่ ดูอายะฮฺต่อไปสิครับ

พวกเขาถือเอาการสาบานของพวกเขาเป็นโล่ แล้วกีดกันจากทางของอัลลอฮฺ แท้จริงสิ่งที่พวกเขากระทำนั้นช่างชั่วช้าจริงๆ (63:2)

เห็นมั้ยครับ....พวกนี้ เอานบีมาอ้างเพื่อหวังจะแทรกซึมเข้ามาบ่อนทำลาย!
.... ก็คงทำนองเดียวกับที่พ่อค้าเป็ดย่างบางคนบอกว่า “เนื่องจากผมมีความศรัทธาในศาสนาอิสลามและในพระองค์อัลลอฮฺอย่างแท้จริง...” (คห.27 : 2 ก.ย.47)
หรือที่คุณด็อกเตอร์หมอนายหนึ่งอาจจะกล่าวว่า “การนำความคิดเช่นนี้มาเขียน ถ้าผมไม่ใช่มุสลิมถึงน่าจะเรียกว่าทำให้เกิดการแตกแยก แต่ผมเองเป็นมุสลิม พยายามที่จะอธิบายให้คนไทยด้วยกันเข้าใจ....” (คห.29 : 2 ก.ย.47)
หรือที่โปรกอล์ฟอีกคนหนึ่งอ้างว่า “เพราะว่าผมนับถือศาสนาอิสลามที่แท้จริง เช่นเดียวกับศาสนทูตมุฮัมมัด” (คห.48 : 22 ก.ย.47)
หรืออย่างที่ทนายฝีปากเอก ลิ้นแปดแฉก คนหนึ่งยืนยันไว้ว่า “ผมเป็นมุสลิมผู้หนึ่งที่มีอีหม่านต่อพระองค์อัลลอฮ์และรอซูลล์ของพระองค์” (กระดาน Muslimthai.com : 13 ก.ค.2003)

ฯลฯ

ประเภทอย่างนี้ละครับที่อัลลอฮฺทรง “ดักคอ” ไว้แล้ว ว่าอย่าได้มาอ้างเลยว่าตัวเอง เชื่อมั่นศรัทธาอย่างโน้นอย่างนี้ หรือมั่นคงเหนียวหนึบหนับขนาดไหน อัลลอฮฺทรงล่วงรู้ถึงสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในใจเขาดีครับว่ามี ใบสั่ง จงใจหรือ เลอะเลือนอย่างไร

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) พระเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง และผู้ใดอยู่ในการหลงผิดที่ชัดแจ้ง (28:85)

การที่ใครจะอ้างว่าศรัทธา จะคุยว่าแท้จริง หรือจะมามั่วนิ่มว่าเป็นมุสลิมเหมือนกัลลล์ ฯลฯ อัลลอฮฺรู้ครับว่ามันจริงหรือไม่จริง เราต่างหากที่ “รู้หน้าไม่รู้ใจ” ดังนั้นเราจึงไม่สามารถไปตัดสินได้ว่าในใจใครเป็นอย่างไร ทำได้ทางเดียวคือ ตัดสินกันไปตาม พฤติกรรม ที่แสดงออกมาให้เห็นว่าเชื่อหรือปฏิเสธอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ จริงใจมุ่งมั่นและขวนขวายที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์มากน้อยเพียงใด หรือเพียงสักแต่ว่า ประกาศปาวๆให้ลิ้นไก่แกว่งไปแกว่งมาว่า ฉันก็นับถือมุฮัมมัดนะ แต่สิ่งที่มุฮัมมัดสั่งใช้หรือห้ามปราม.... ข้าไม่สน.... มนุษย์ชนิดอย่างนี้ละครับ ลุงแมทท์ ที่อัลลอฮฺทรงหมายถึงในอายะฮฺมุนาฟิกว่า

เมื่อพวกสับปลับ(มุนาฟิกูน)มาหาเจ้า พวกเขากล่าวว่า เราขอปฏิญาณว่า แท้จริงท่านเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งว่า แท้จริงเจ้านั้นเป็นรอซูลของพระองค์อย่างแน่นนอน และอัลลอฮฺทรงเป็นพยานว่า แท้จริงพวกสับปลับนั้นเป็นผู้กล่าวเท็จ (63:1)

ครับ...อัลลอฮฺบอกว่า มุนาฟิกพวกนี้มัน ขี้ห้กทั่งเพ้..... จริงมั้ยครับ?
จากคุณ : AlGhuraba - [ 5 ต.ค. 47 22:47:51 A:202.183.237.125 X: TicketID:071854 ]

=============================================

AlGhuraba
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
วัช๐เพิ่ม
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 11/10/2004
ตอบ: 2


ตอบตอบ: Mon Oct 11, 2004 2:59 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Very Happy
สวัสดีจ้า ทุกๆ ท่าน
ผมเป็น Webmaster MuslimthaiUSA.Com ตอนนี้เว็บกำลังปรับปรุงระบบอยู่ครับ Version เก่า จะใช่งานได้ วันที่ 15 ตุลาคม 47 ส่วน Version ใหม่ จะใช่งานได้ประมาณวันที่ 20 ตุลาคม 47ครับผม

วัชรินทร์ เพิ่มพูน

Web design Web master
MuslimthaiUSA.Com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
วัช๐เพิ่ม
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 11/10/2004
ตอบ: 2


ตอบตอบ: Fri Oct 15, 2004 8:19 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Crying or Very sad สวัสดีจ้า ทุกๆ ท่าน
ข่าวสารจาก Webmaster MuslimthaiUSA.Com
เปลี่ยนแปลงกำหนดการ เปิดเว็บไซต์ MuslimthaiUSA.Com เนื่องจาก MuslimthaiUSA.Com เปลี่ยนชื่อเป็น MuslimthaiUS.Com จึงขอเลื่อนกำหนดการเปิดเว็บไชต์ เป็น วันที่ 18 และ Version ใหม่ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2547

Web design Web master
MuslimthaiUSA.Com
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
AlGhuraba
มือเก๋า
มือเก๋า


เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004
ตอบ: 226


ตอบตอบ: Fri Nov 05, 2004 9:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อัสลามุอะลัยกุม … พี่น้องที่รัก

หลายท่านคงชะเง้อรอคอยคำตอบจากลุงแมทท์เช่นเดียวกับผม
ก็ไม่รู้จะทำงัยได้เหมือนกันครับ ข่าวคราวแกก็ไม่ส่งมาให้รับรู้บ้างเลย
ตั้งแต่ 5 ก.ค. 47 จนวันนี้ 5 พ.ย. 47 .... 4 เดือนเข้าให้สินะ .... ที่หายต๋อม!
แต่ก็พอจะมีข่าวดีอยู่บ้างครับ ว่า ลุงแมทท์ แกยังไม่ตาย

จำได้มั้ยครับ คราวก่อนแกไปโม้อยู่ที่พันทิป ผมเผอิญไปจอเข้า ได้คุยกันนิดหน่อย ก็ลากแกข่าวแกมาให้ได้รับรู้กัน
เมื่อสัปดาห์ก่อนเข้าไปเยี่ยมแกอีกที แกก็ยังพยายามตอบครับ ผมก็เลยเก็บมาฝากพี่น้องที่นี้พร้อมคำตอบจากผม
แต่วันนี้เข้าไปอีกที บ้านนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้ เลยไม่รู้จะคุยยังไงกับลุงแมทท์ได้
แต่ก็ยังเรียกว่าโชคดีครับ แกไปเปิดบ้านใหม่ ที่พันทิพที่เดิม...
และข้างล่างนี้ก็คือ คำถาม-คำตอบ ที่ว่านั่นครับ

===================================
อัสลามมุอะลัยกุม ครับ หลาน AlGhuraba ที่รัก,

คิดถึงจริงๆ บอกจริงๆไม่ชอบคุยกับใครเหมือน คุยกับหลาน AlGhuraba เลย, เนื่องจากว่า หลาน พูดด้วยใจจริง และมีความรู้ทาง “หะดีษ” เป็นอย่างดี ทั้งทางภาษาอรับและ ภาษาอังกฤษ อย่างที่บอกมาแล้ว และอีกอย่างหนึ่ง ลุงทราบ จากลูกศิษย์ ของหลาน ว่า หลาน เป็นคนดี จริงๆ, แต่ทำไมวันนี้ ถึง ฉุนเฉียวนัก ถ้าเราทำตาม ซุนนะห์ และ หะดีษ ของท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด แล้ว เราต้อง สำรวม มรรยาท และ คำ พูด ของเรา ไว้ หน่อย, เพราะว่า สื่งเดียว ที่เป็น สัญญาลักษณ์ ของ มุสลิม คือ การปฏิตามซุนนะห์ ที่แท้จริง ของ ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด, คือ เริ่มต้นด้วย การมีมรรยาท ที่ ดีงาม มีความสุภาพอ่อนโยน และ ความกรุณาปราณี ใจบุญทำทานแก่คนทั่วไป ลุงอธิบาย ไว้ แล้วในที่นี้ ว่า, “คุณสมบัติและคุณลักษณะของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด นั้น เป็นบุคคลเช่นใด”, นั้นแหละคือ “ซุนนะห์” ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ที่มุสลิม ทุกคน สมควร จะปฏิบัติตาม

เพราะความฉุนเฉียวของหลานซึ่งมีต่อลุง ทำให้หลานเขียนไม่ตรงจุดที่สำคัญ ที่หลานขึ้นต้นไว้ หลานเขียนเสียยืดยาว ทั้งหมด หลาน พูดถึง ลุง และ ประชดประชันลุง เท่านั้น, ซึ่ง ไม่เป็น ประโยชน์ ต่อหลาน ต่อ ลุง และ ต่อ ผู้ที่ต้องการ ทราบความจริง เกี่ยว กับ หลักการของอิสลาม, สิ่งที่หลานไม่พอใจอย่างมาก ก็เพราะ ลุง เขียนว่า

“ในการกล่าวคำปฎิญาณ หรือ การเชิญชวน ก่อนการทำการ กราบเคารพบูชาพระเจ้า(อัลลอฮ์) ประจำวัน (การละหมาด) ของ “ผู้ที่ มีศรัทธา และยอมสวามิภักดิ์ ต่อ พระองค์ ทั้ง กาย วาจา ใจ” (มุสลิม), จึงไม่สมควร จะกล่าวนามผู้ใด ต่อท้าย คำปฎิญาณ (ชะฮาดะหฺ) ต่อ พระผู้เป็นเจ้า ได้ การทำเช่นนั้น เป็นการ ยก “มนุษย์เทียบเท่าพระเจ้า” แม้แต่ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด ก็ไม่กระทำเช่นนั้น, ท่านกล่าว คำปฏิญาณก่อนการทำละหมาดว่า, “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” เท่านั้น”


1. หลานว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง ตรงไหน?


---------------------------


จะสมควรหรือไม่สมควรกล่าว…. ไม่ใช่หน้าที่ที่บ่าวของอัลลอฮอย่างเราๆจะไปกำหนดกฏเกณฑ์ สิ่งที่เราต้องทำคือ ท่านนบีมุฮัมมัด สอนเราอย่างไร ก็ทำไปตามนั้น ขอย้ำว่า มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ต่อเติม ตัดตอน ระเบียบวิธีการประกอบอิบาดะฮ อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ สั่งให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านนบีนำมาบอก มาสอน มาชี้แจง ก็จงทำตามโดยดุษฏี

และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น (4:64)

การเชื่อฟัง การปฏิบัติตามในสิ่งต่างๆเหล่านั้น อัลลอฮทรงอนุมัติแล้ว ไม่ใช่มายกกันเอง ไม่ได้เป็นการตั้งภาคีต่อพระองค์ เพราะฉะนั้นอย่าได้ตะขิดตะขวงใจ ยึกยัก เช่นตัวอย่างในกรณีนี้ ลุงแมทท์มีปัญหาว่า จะชะฮาดะฮยอมรับมุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮด้วยมั้ย ย้อนกลับดูสิว่านบีตัดสินปัญหานี้อย่างไร ท่านทำให้ดูเลย ว่าชะฮาดะฮสำหรับผู้ศรัทธาในยุคของท่านคือ

ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ มุฮัมมะดุรรอซูลลุลลอฮ
หรือว่ากันให้เต็มยศ ก็ …อัชฮะดุอัน ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ วะอัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัรรอซูลลุลลอฮ

ทั้งในละหมาด-นอกละหมาด กล่าวเหมือนกันอย่างนี้…นบีสอน…คนศอและห์ถ่ายทอดมาถึงเรา..จะเชื่อ-ไม่เชื่อ?….ดูตรงนี้ครับ

มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาแล้วพวกเขาไม่พบความ คับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจำนนด้วยดี (4:65)

นบีชี้ขาดมาแล้วว่าต้อง 2 กะลิมะฮ ลุงแมทท์ ยืนกรานชะฮาดะฮด้วนเหลือแค่ประโยคเดียว โดนไปเต็มๆ 2 กระทงครับ
กระทงที่ 1 ไม่ยอมรับการตัดสินของนบี ผิดด้วยมาตรา 4:65
กระทงที่ 2 เถียงว่าเป็นการตั้งภาคี แปลว่าไม่ยอมรับการอนุมัติของอัลลอฮ ผิดด้วยมาตรา 4:64

ดังนั้น ข้อความที่ว่า “(มุสลิม), จึงไม่สมควร จะกล่าวนามผู้ใด ต่อท้าย คำปฎิญาณ (ชะฮาดะหฺ) ต่อ พระผู้เป็นเจ้า ได้ การทำเช่นนั้น เป็นการ ยก “มนุษย์เทียบเท่าพระเจ้า” จึงเป็นการเอาวัสดุเหลือใช้ข้นๆ(หรือว่าใสแจ๋ว?)ในศีรษะมาใช้ผิดเจตนารมณ์ที่อัลลอฮทรงสร้างมาให้ คิดได้งัยว่าเป็นการยกมนุษย์ขึ้นเทียบเท่าพระเจ้า? ทั้งๆที่ ข้อความก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า…อัลลอฮเป็นพระเจ้า – มุฮัมมัดเป็นรอซูล … เอาแค่ภาษาไทยที่เค้าแปลกันไว้ชัดๆแล้วเนี่ย น่าจะลองอ่านซ้ำทวนดูหลายๆเที่ยวนะครับ ลุง?

อัลลอฮฺบอกว่า.... แท้จริงบรรดาผู้ที่ให้สัตยาบันกับเจ้า(มุฮัมมัด)นั้นเสมือนกับว่าพวกเขาได้ให้สัตยาบันกับอัลลอฮ.พระหัตถ์ของอัลลอฮ.ทรงอยู่เหนือมือของพวกเขาฉะนั้นผู้ใดทำลาย(สัตยาบัน)เสมือนกับว่าเขาทำลายตัวของเขาเองส่วนผู้ใดปฏิบัติตามสัญญาที่เขาได้มีไว้กับอัลลอฮ.โดยครบถ้วนพระองค์ก็จะทรงตอบแทนรางวัลอันใหญ่หลวงแก่เขา (48:10)

ไม่ได้แปลว่า นบีอยู่ในฐานะเท่ากับอัลลอฮฺ แต่แปลว่า อัลลอฮฺอนุมัติครับ อนุมัติให้ท่านนบีอยู่ในฐานะเหนือกว่าใคร เสมือนเป็นตัวแทนของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงสั่งให้บรรดามลาอิกะฮฺและญิน สุญุดต่ออาดัม ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เทิดทูนอาดัมขึ้นเป็นพระเจ้าเทียบเคียงอัลลอฮฺ แต่ให้ “ยอม” แก่อาดัมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเขาจะถูกสร้างมาอย่างไร มีอยู่ตัวนึงที่ชื่อ อิบลีส ที่วันนั้นมันไม่ยอม เช่นเดียวกับวันนี้ที่มีใครบางคนไม่ยอมเหมือนกันที่จะให้เกียรติท่านนบีมุฮัมมัด และเทิดทูนท่านเหนือมัคลูกทั้งปวง

นี่ก็อีก “แม้แต่ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด ก็ไม่กระทำเช่นนั้น, ท่านกล่าว คำปฏิญาณก่อนการทำละหมาดว่า, “อัชชะฮ์ดุอันลาอิลา ฮาอิลลัลลอฮุ” เท่านั้น” อย่ามั่วน่า…ลุงแมทท์….นบีน่ะ ท่านไม่สอนอย่างนึง ทำอีกอย่างนึงหรอกครับ... บอกหน่อยดิ เอามาจากไหนว่านบีทำแค่นั้น???


---------------------------


2. ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด และ ท่านศาสนทูต ท่านอื่นๆ ก่อนหน้าท่านศานทูตมูฮัมมัด กล่าวคำปฏิญาณ ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ที่ถูกต้อง ว่าอย่างไร?

---------------------------


ถามว่า กล่าวปฏิญาณต่ออัลลอฮ…ก็คงต้องตอบว่า “อัชฮะดุอัน ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ” แล้วอัลลอฮก็ทรงสั่งว่า

จงประกาศเถิด(มุฮัมมัด) ว่า “โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงฉันคือรอซูลของอัลลอฮมายังพวกท่านทั้งมวล ซึ่งพระองค์นั้นอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นของพระองค์ ไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย ดังนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็น ซึ่งเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขาเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับคำแนะนำ ” (7:158)

อัลลอฮสั่งให้ท่านนบีประกาศว่า ท่านเป็นรอซูล เราก็ต้องยืนยันตามท่าน ว่า ท่านน่ะเป็นรอซูล ด้วยประโยคว่า “วะอัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัรรอซูลลุลลอฮ” ลุงยังจะมีทางเลือกอื่นอีกหรือที่จะดื้อด้านไม่ยอมยืนยันตามที่อัลลอฮสั่งให้ท่านนบีมาประกาศ?

ในเมื่อท่านนบีมุฮัมมัดได้รับคำสั่งให้มาประกาศอย่างนี้ …เรา….ในฐานะอุมมะฮของท่าน … ในฐานะผู้ที่ยอมน้อมรับคำบัญชาจากอัลลอฮ ก็ต้องกล่าวเช่นนั้นด้วย

ถามถึงยุคก่อนจากนบีมุฮัมมัด… บรรดานบีเหล่านั้นก็ได้รับคำสั่งเช่นเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนบีนูห์ ฮูด ศอและห์ ลูฏ ชุอัยบ์ ฯลฯ ท่านเหล่านั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “แท้จริง ฉันเป็นรอซูลผู้ซื่อสัตย์มายังพวกท่าน” แล้วท่านก็กำชับเหมือนกันหมดอีกเหมือนกันว่า “จงยำเกรงอัลลอฮและจงปฏิบัติตามฉัน” ไปดูได้เลยครับในซูเราะฮ อัชชุอะรออ์(26) มีตั้งหลายอายะฮ และด้วยมาตรฐานเดียวกันนี่แหละ ย่อมสรุปได้ว่า ศาสนทูตทุกท่านที่อัลลอฮทรงคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ ต่างก็สอนคำปฏิญาณแก่ประชาชาติของท่านว่า

“ฉันปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และฉันปฏิญาณด้วยว่า [นบีท่านนั้นๆ] เป็นรอซูลของอัลลอฮ”


---------------------------


3. หลานทราบไหมว่า ผู้ใด ต่อ เติม คำปฏิญาณ ต่อพระเจ้า องค์เดียว ด้วยการเติม ประโยค ที่ว่า “และศาสนทูตมูฮัมมัดเป็น ศาสนทูตที่แท้จริง” ลงไป, และต่อเติมเมื่อสมัยไหน? และ มีเรื่องเป็นมาอย่างไร? เมื่อเราเชื่อว่า ศาสนทูตทุกๆท่าน ที่อัลลอฮ์ ส่งมา มีความแท้จริง แล้ว ทำไมเราจึงไม่กล่าวชื่อของทุกๆท่าน จำนวน 25 ท่าน ทุกๆครั้งทุกๆวัน ว่าท่านเหล่านั้น เป็น ศาสนทูตที่แท้จริง?

---------------------------


บังอาจเหลือเกินนะ..ลุงแมทท์เนี่ย
บังอาจใช้คำว่า “ต่อเติม” เชียวหรือ?
จำได้มั้ยครับ อัลลอฮทรงถามท่านนบีอีซาว่าอย่างไร?

และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า อีซาบุตรของมัรยัม เอ๋ย! เจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะทั้งสองอื่นจากอัลลอฮ์ เขากล่าวว่า มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน! ไม่เคยแก่ข้าพระองค์ที่จะกล่าวสิ่งที่มิใช่สิทธิของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมรู้ดี โดยที่พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย (5:116)

ขนาดนบีอีซายังไม่กล้าต่อเติม ตัดตอน เปลี่ยนแปลงคำสั่งที่อัลลอฮประทานมา สั่งมาแค่ไหนท่านสอนแค่นั้น บัญญัติมาอย่างไร ท่านปฏิบัติให้ดูอย่างนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดก็เช่นเดียวกันครับ ลุงไม่น่าจะคลางแคลงในความซื่อสัตย์ของท่านนบีขนาดนี้เลย…อนิจจา

จะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ “ใครเป็นผู้สอนให้ปฏิญาณตนเช่นนี้” …. ซึ่งคงไม่จำเป็นจะต้องบอกคำตอบกันแล้วละ กล่าวมายืดยาวขนาดนี้แล้วยัง …บื้อ…ก็ช่วยไม่ได้แล้วละครับ

ลุงเอาสมองส่วนไหนมาถามครับ ว่า “เมื่อเราเชื่อว่า ศาสนทูตทุกๆท่าน ที่อัลลอฮ์ ส่งมา มีความแท้จริง แล้ว ทำไมเราจึงไม่กล่าวชื่อของทุกๆท่าน จำนวน 25 ท่าน ทุกๆครั้งทุกๆวัน ว่าท่านเหล่านั้น เป็น ศาสนทูตที่แท้จริง?”
ประการที่ 1 นบีสอนมาแค่นี้ครับ…เพราะฉะนั้นไม่ต้องดัดจริตไปเติม
ประการที่ 2 “ศาสนทูต” มีแค่ 25 เท่านั้นหรือลุง? …. มีอื้อเลยครับ อัลลอฮบอก

“และมีบรรดารอซูล ซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว(25 ท่าน) และมีบรรดาร่อซูลซึ่งเรามิได้เล่าแก่เจ้าเกี่ยวกับพวกเขา” (4:164)

ถ้าจะเอามาตรฐานของลุงมาวัด…ตายเลยครับ…ท่านอื่นๆที่เหลือจะเอาชื่อมาจากไหน เพราะอัลลอฮสั่งไม่ให้แบ่งแยกบรรดารอซูลของพระองค์ เอาคนนี้ ไม่เอาคนนั้น…ไม่ได้

ดังนั้นขออภัยนะครับที่จำเป็นจะต้องสรุปว่า มาตรฐานของลุงน่ะ ห่วย!


---------------------------


ลุงเข้าใจดี ในความรู้สึกของหลาน เพราะ ว่าลุง เคยอยู่ใน สภาพ เช่นเดียวกับหลานมาก่อน, แต่เมื่อลุงสามารถ ที่จะแยก ความศรัทธา ของลุง ต่อพระองค์อัลลออ์ และ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดแล้ว, จึงได้เข้า ใจทุกสิ่งทุกอย่าง แจ่มใสขึ้น, “ศาสนอิสลาม เป็น ศาสนาของพระเจ้า เป็นหลักการของพระเจ้า กับมนุษย์ โดยตรง ไม่มีผู้ใดอยู่ระหว่าง กลาง, ไม่มีผู้ใด ที่จะพูดแทนเรา ในวันตัดสิน, เราจะเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ ไม่ได้ ถ้าเราไม่ ประพฤติและปฏิบัติตาม คำสั่งสอน และการกระทำที่แท้จริง ของท่าศาสนทูตมูฮัมมัด ที่รับ “วะฮียฺ” มาจากอัลลอฮ์ “อัลกุรอาน” .

---------------------------


“แต่เมื่อลุงสามารถ ที่จะแยก ความศรัทธา ของลุง ต่อพระองค์อัลลออ์ และ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดแล้ว, จึงได้เข้า ใจทุกสิ่งทุกอย่าง แจ่มใสขึ้น” …. มีหนังสือชีอะฮฺเล่มนึง ตั้งชื่อว่า “ษุมมะฮฺตะดัยตุ – ในที่สุดฉันก็ได้รับทางนำ” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นน่ะ นำไปลงเหวลงคูที่ไหนมั่ง เหมือนกับที่ลุงบอกว่า “เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แจ่มใสขึ้น” ลุงหมายถึงเข้าใจว่า กงจักรเป็นดอกบัว-ดอกบัวเป็นกงจักร รึป่าวคับ !

ลุงแมทท์ครับ.... ลุงแบ่งแยกอัลลอฮฺกับรอซูลได้ยังไงครับ?
ในฐานะของ พระเจ้ากับบ่าว พระผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง น่ะใช่...อัลลอฮฺกับนบีอยู่กันคนละฐานะ ไม่มีมุสลิมคนไหนคิดอย่างที่ลุงเข้าใจหรอก ชะฮาดะฮฺคำปฏิญาณเขาชัดเจนครับ.... อัลลอฮฺเป็นพระเจ้า มุฮัมมัดเป็นบ่าวของพระองค์ เป็นศาสนทูตที่พระองค์ทรงคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ประกาศศาสนาของพระองค์
แต่ในเรื่องของบทบัญญัติ คำสั่งของนบีก็คือสิ่งที่มาจากอัลลอฮฺ ไม่ว่าจะใช้ให้ทำอะไร จะห้ามสิ่งไหน แบ่งแยกกันไม่ได้เด็ดขาด

แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์และกล่าวว่า เราศรัทธาในส่วนหนึ่งและปฏิเสธศรัทธาในอีกส่วนหนึ่ง และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาในระหว่างนั้น ซึ่งทางใดทางหนึ่งนั้น
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
(4:150-151)

ครับ ชนิดที่เอาแต่กุรอานเท่านั้นว่าเป็นคำสั่งอัลลอฮฺ แต่ไม่เอาคำสั่งจากนบี แยกอัลลอฮฺส่วนหนึ่ง นบีอีกส่วนหนึ่ง หรือเอาแต่นบีบางท่าน ปฏิเสธบางท่าน พวกแบบนี้ อัลลอฮฺเตรียมการลงโทษอันอัปยศไว้คอยท่าแล้ว พร้อมกับตราหน้าไว้ด้วยว่า นั่นแหละ “กาฟิรตัวจริง” .... นะ จะบอกให้

“เราจะเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ ไม่ได้ ถ้าเราไม่ ประพฤติและปฏิบัติตาม คำสั่งสอน และการกระทำที่แท้จริง ของท่าศาสนทูตมูฮัมมัด ที่รับ “วะฮียฺ” มาจากอัลลอฮ์ “อัลกุรอาน” …..ตอนต้นน่ะ ใช่ …จะเป็นมุสลิมต้องทำตามนบี แต่ตอนท้ายที่มาขมวดปมว่า การกระทำที่แท้จริงของท่านนบีที่รับวะฮีมาจากอัลลอฮฺ คือ อัลกุรอาน เท่านั้น มันมั่วนิ่มนะลุง!

ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของท่านนบีที่สื่อถึงการใช้ การห้าม ล้วนเป็นข้อบัญญัติที่มาจากอัลลอฮทั้งสิ้น ล้วนเป็นแบบอย่างที่อัลลอฮทรงเลือกเฟ้นมาให้มุสลิมผู้ศรัทธาทั้งหลายยึดถือปฏิบัติอย่างเต็มที่ สุดความสามารถ การสรุปเอาเองว่ากุรอานเท่านั้นที่เป็นวะฮี เป็นการลดความสำคัญของ ฐานะการเป็นศาสนทูตลงเหลือเพียงแค่ คนอ่านข่าว หรือบุรุษไปรษณีย์ ธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่ มุฮัมมัด รอซูลุลลอฮ เป็นมากกว่านั้นครับ

ท่านนบีไม่ได้เป็นใบ้ …. นอกจากข้อความในอัลกุรอานแล้ว ท่านยังพูด ยังคุย ยังสั่ง ยังสอน อะไรต่างๆอีกมากมาย
ท่านนบีไม่ได้เป็นง่อย …. ท่านละหมาดให้ดู ท่านเดินตลาด ท่านบัญชาการรบให้ดู ท่านทำหน้าที่พ่อบ้าน ท่านทำการตัดสินชำระคดี ฯลฯ
ทั้งหมดที่ท่านทำเหล่านั้น … อัลลอฮทรงให้ท่านนบียืนยันว่า “ฉันไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งใด นอกจากสิ่งที่ถูกวะฮีแก่ฉันเท่านั้น” (6:50)

“จงกล่าวเถิดฉันจะไม่ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเจ้า ถ้าเช่นนั้นแน่นอน ฉันก็ย่อมหลงผิดไปด้วย และฉันก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ได้รับคำแนะนำ” (6:56)

และอัลลอฮก็ยืนยันด้วยว่า สิ่งที่ท่านนบีกระทำนั้น ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ตลอดเวลา

แท้จริง เจ้า(มุฮัมมัด)นั้นอยู่ในเบื้องสายตาของเรา (52:48)

แล้วมีหรือที่อัลลอฮจะทรงปล่อยให้ท่านนบีทำอะไรผิดๆเพี้ยนๆ มีหรือที่พระองค์จะปล่อยให้ท่านนบีคลำหาหนทางเอาเองโดยไม่ทรงชี้แนะ … แน่นอน เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วะฮีจึงมิใช่หยุดอยู่แค่อัลกุรอาน แต่คือสิ่งที่ท่านนบีสอนสั่ง อรรถาธิบาย ชี้แจงแก่มวลเศาะหาบะฮ วะฮียังคงมีอยู่ในอิริยาบทต่างๆของท่านนบี เพื่อเป็น “อุสวะฮ-หะสะนะฮ” แก่ประชาชาตินี้ครับ

ถามว่า เมื่อสิ่งเหล่านั้นคือวะฮีจากอัลลอฮ…นอกจากกาฟิรแล้ว…หน้าไหน ใครยังกล้าปฏิเสธอีกหรือ?

ดังนั้นหน้าที่ของเราคือ

ดังนั้นท่านทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮให้สุดความสามารถ (64:16)

หมายความว่าอย่างไรครับ เกรงกลัวอัลลอฮอย่างสุดความสามารถ สุดแรงเกิด สุดกำลังวังชา ก็คือ พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะขวนขวายได้ เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะสืบเสาะแสวงหาได้ว่าอัลลอฮสั่งอะไร ใช้อะไร ห้ามอะไร ชอบอะไร เกลียดอะไร ฯลฯ แล้วขวนขวายพยายามทำตามที่ทรงชอบทรงใช้นั้น ยุติและหลีกหนีให้ห่างไกลที่สุดจากสิ่งที่ทรงห้ามทรงกริ้ว … ใช่มั้ยครับ
รู้ได้จากไหน?…. ก็จากอัลกุรอาน จากสิ่งที่ท่านนบีทำไว้ สั่งไว้ ห้ามไว้ นั่นแหละ เพราะคำสั่ง คำใช้ คำห้ามของนบีก็คือวะฮีที่มีมาจากอัลลอฮ อัลลอฮจะไม่ทรงปล่อยให้นบีสั่งเองห้ามเองตามอำเภอใจ และท่านนบีเองก็ยืนยันว่าท่านไม่ทำตัวเช่นนั้นแน่นอน…หรือลุงแมทท์ยังคิดว่า นบีทำอะไรๆเองตามใจชอบ?...อะอูซุบิลลาฮฺ!

ลุงแมทท์ “เต็มที่” หรือยังครับ สุดๆหรือยังครับกับความพยายามที่จะสืบค้นสิ่งที่เป็นคำสั่งจากนบี?
เพียงแค่บอกว่า ไม่แน่ใจว่า หะดีษนั้น หะดีษนี้ ใช่หรือไม่ใช่ เลยเหมาโหล โล๊ะทิ้งเสียทั้งหมด…. อย่างนั้นเค้าเรียกว่า “มักง่าย” ครับ ไม่ใช่ มัสตะเฏาะอตุม….. ไม่ใช่สุดความสามารถ ไม่มีอะไรเกินความสามารถหรอกครับถ้า”จริงใจ”ที่จะทำ มีแต่ชนิดกลิ้งกลอก ปลอกปลิ้น เท่านั้นแหละที่พยายามบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบวะฮีของอัลลอฮที่ทรงชี้นำแก่ท่านนบีให้มาทำเป็นแบบอย่างแก่พวกเรา ลองไปดูสิครับว่าพวกยิวมันเกี่ยงที่จะเชือดวัวตามที่นบีมูซาสั่งกันกี่กระบวนท่า เพราะฉะนั้น เมื่อมักง่ายอย่างนี้ ก็อย่าได้มาอ้างเลยว่า ศรัทธาอย่างแท้จริง…มันเข้าข่ายอายะฮ มุนาฟิกที่ลุงเอามาอ้างนะขอรับ



---------------------------



มีอีกอย่างที่อยากจะ เตือนสติหลานสักหน่อย เวลาโกรธ อย่าทำสิ่งต่อไนี้

1. อย่ากล่าวว่า “อัลลอฮฺบอกว่า มุนาฟิกพวกนี้มัน ขี้ห้กทั่งเพ้.....” ประโยคนี้ไม่สุภาพที่จะ กล่าวอ้างว่าพระองค์ ใช้วาจาเช่นนั้น


---------------------------


น่าอนาถใจหลายๆเด้อ…. ทำไมลุงแมทท์ถึงได้ดูหมิ่นเหยียดหยามภาษาท้องถิ่นของบางภูมิภาคถึงขนาดนี้หนอ?

เราคุยภาษกลางกันมาตั้งนาน ลุงก็ไม่ค่อยจะเข้าใจซะที ก็เลยลองเปลี่ยนเป็นคุยแบบภาษาท้องถิ่นอื่นดูบ้าง เผื่อจะเข้าหูมั่ง ก็กลับมาดูถูกเขาเสียนี่ว่า ไม่สุภาพ !

คำว่า โกหก โป้ปด มดเท็จ เป็นภาษากลางที่เราใช้กันโดยทั่วไป ในท้องถิ่นอื่นเขาก็มีคำที่ใช้กันโดยทั่วไปในท้องถิ่นนั้นๆ ไม่มีใครเขาเข้าใจว่าจะเป็นคำไม่สุภาพแต่อย่างใดเลย
พี่น้องชาวอีสานเขาบอกว่า ขี้ตั๊วะ
ทางเหนือก็ใช้คำว่า จุ๊ หรือ ขี้จุ๊
แล้ว ขี้ห้ก นี่ก็เป็นภาษาของพี่น้องชาวใต้เค้าครับ

ลุงแมทท์ พูดภาษาชาววัง แล้วพอมาเจอชาวบ้านเขาพูดกันอีกอย่างที่ไม่คุ้นเคย รู้สึกรับไม่ได้ ก็เลยพาลไปว่าภาษาเขาไม่สุภาพ อย่างนี้มันหยามกันเกินไปนะขอรับ สังเกตมั้ยครับ เค้ามี “ขี้…” กันทั้งนั้นเลย โปรดสงบอกสงบใจ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางภาษาบ้างเถิดครับ คำบางคำเราดัดจริตไปเองว่ามันไม่สุภาพ แต่แท้ที่จริงคนอื่นอีกค่อนประเทศเขายอมรับกันครับว่า มันแสนจะ..ธรรมด๊า...ธรรมดา เพียงแต่ตัวเราเองเท่านั้นละครับที่งมโข่งอยู่กับ “อัตตา” เลยไปประณามคนอื่นเขาจากความเขลาของตัวเอง ความแตกต่างเหล่านี้มิใช่อื่นใดเลย หากแต่เป็นพระเมตตาจากอัลลอฮฺโดยแท้

และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ การสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการแตกต่างของภาษาของพวกเจ้าและผิวพรรณของพวกเจ้า แท้จริงในการนี้แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณสำหรับบรรดาผู้มีความรู้ (30:22)

อัลลอฮฺบอกว่า เฉพาะ คนรู้เท่านั้นละครับ ที่เข้าใจเรื่องแบบนี้ ประเภทไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดีเหมือนกัน ผมอยากเรียนให้ลุงทราบว่า ภาษาท้องถิ่นนั้นมิใช่สิ่งน่ารังเกียจเดียดฉันท์ มันเป็นความสละสลวยและเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแต่ละชุมชน เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติ เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินผู้อื่นด้วยอารมณ์นะครับ แม้แต่ท่านนบี อัลลอฮฺก็ทรงให้มาประกาศศาสนาของพระองค์ด้วยภาษาท้องถิ่นมิใช่หรือ?

และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใด นอกจากด้วยการพูดภาษาชนชาติของเขา เพื่อจะได้ชี้แจงอย่างชัดแจ้งแก่พวกเขา อัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงทาง และทรงชี้แนะทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ (14:4)

ก็อย่างว่าละนะครับ ขนาดนั้นแล้วก็ยังมีพวกดื้อด้านที่เลือกเอาหนทางแห่งความหลงผิดอยู่ดีนั่นแหละ


---------------------------


2. อย่าเที่ยวเติม “หาง” ให้กับ ลูกหลานของท่าน นะบีอดัม เป็น การ ดัดแปลง สิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้

---------------------------


555 – ลุงไม่ชอบให้”หางโผล่”เหรอครับ งั้นเปลี่ยนเป็น “เขางอก” ก็ได้ คงเท่ห์ดีไม่หยอก เข้ากับบุคลิกด้วยสิ อัลลอฮฺทรงตรัสว่า

และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นบีทุกคน คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกมันจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วนซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์(ที่จะไม่ให้พวกมันร่วมกันหลอกลวง) แล้วพวกมันก็จะไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ เจ้าจงปล่อยพวกมันและสิ่งที่พวกมันอุปโลกน์ขึ้นเถิด (6:112)

คนที่ปากบอกว่าต้องตามนบี แต่นบีสั่งอะไรไม่เชื่อ ห้ามอะไรไม่ฟัง ซ้ำยังหาว่า คำสั่งเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้ นั่นคือคนที่ทำตัวตรงข้ามกับนบีครับ นบีสอนอย่างนึง พวกนี้พยายามลากไปอีกทางนึง นั่นละครับเค้าเรียกว่า “ศัตรูของนบี” ซึ่งอัลลอฮฺบอกตรงนี้ว่า มันเป็นชัยฏอนในคราบมนุษย์ก็ได้หรือในคราบญินก็ได้ เพราะฉะนั้น แม้ physical จะถือกำเนิดเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ที่เป็นมนุษย์ลูกหลานอาดัม แต่เนื้อแท้ตัวจริงๆของมันคือ ชัยฏอน ที่พยายามล่อลวงผู้คนออกไปจากหนทางของอัลลอฮฺ พวกนี้ มันมีเขาด้วยนะครับ เชื่อป่าว?

นบีบอกว่า ตอนดวงอาทิตย์กำลังขึ้นน่ะ ห้ามละหมาด เพราะ “นั่นมันโผล่ขึ้นมาระหว่างเขาของชัยฏอน” (มุสลิม กิตาบุศเศาะลาฮฺ - 1275)

อีกรายงานนึง ท่านนบีชี้ไปทางทิศตะวันออกแล้วบอกว่า “ความปั่นป่วนวุ่นวายจะเกิดขึ้นจากทางด้านโน้น ตรงที่เขาชัยฏอนมันโผล่ขึ้นมา” (มุสลิม กิตาบุลฟิตัน - 6938)

เพียงรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏเท่านั้น ที่เรามองเห็นเป็นมนุษย์ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์มาในรูปลักษณ์ที่สวยงาม สมบูรณ์มาแต่แรกเริ่ม ไม่มีเขา ไม่มีหางหรอก แต่จำได้มั้ยครับ อัลลอฮฺบอกว่ายังงัย.....?

โดยแน่นอนยิ่ง เราได้สร้างมนุษย์มาในรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์งดงามยิ่ง (95:4)

แล้วเป็นงัยต่อ?

แล้วเราได้ปล่อยให้เขากลับสู่สภาพที่ตกต่ำสุดๆ (95:5)

เดาออกมั้ยครับ ว่ามนุษย์ประเภทไหนที่มันต่ำทรามสุดๆนั่น และมันขนาดไหนเชียว?

และแน่นอนเราได้บังเกิดสำหรับญะฮันนัม ซึ่งมากมายจากญิน และมนุษย์ โดยที่พวกเขามีหัวใจซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันทำความเข้าใจและพวกเขามีตา ซึ่งพวกเขาไม่ใช่มันมอง และพวกเขามีหู ซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันฟังชนเหล่านี้แหละประหนึ่ง ”อันอาม” ใช่แต่เท่านั้น พวกเขาเป็นผู้หลงยิ่งกว่า ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาคือผู้ทีเผลอเรอ (7:179)

ครับ...หัวใจ ก็มีเหมือนๆกัน
ตา ก็มีเหมือนๆกัน
หู ก็มีเหมือนๆกัน
เหมือนกับมนุษย์โดยทั่วไปที่เป็นลูกหลานอาดัมนี่แหละ แต่อัลลอฮฺบอกว่า ชนิดที่มีเหมือนกัน แต่ไม่ใช้ให้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้มันเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง กลับเอาไปใช้ในทางตรงกันข้ามกับที่อัลลอฮฺทรงประทานมา ใครเขาบอก เขาเตือน เขาอ้างอิงหลักฐานกันมาขนาดไหน.... ไม่หรอก ไม่รู้ ไม่ดู ไม่ฟัง พวกนี้มัน “อันอาม” ครับ .... เลว ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ…. นี่อัลลอฮฺทรงเปรียบไว้นะครับ ไม่ใช่ผม
และอย่าให้ผมแปลเลยครับ ว่า “อันอาม” มันตัวอะไร เดี๋ยวจะกระเทือนซางลุงเปล่าๆ.... รู้ไว้คร่าวๆว่า มันมี หาง ก็แล้วกันครับ ลุงแมทท์

จะบอกให้เป็นความรู้อีกหน่อยครับ
มนุษย์ที่เป็นลูกหลานอาดัมนี่อีกเช่นกัน ที่อัลลอฮฺทรงเปรียบประเภท “อย่างว่า” เป็นสัตว์ต่างๆตั้งหลายอย่างนะ เป็นลิงก็มี เป็นหมูก็มี หรือลุงอาจนึกไม่ถึงว่าเป็น “หมา” ยังมีเลยครับ เชื่อมั้ยเอ่ย?


---------------------------


3. อย่าตัดสินผู้ใดว่า “ตกจากศาสนาของพระองค์อัลลอฮ์” เพราะเป็นการก้าวก่าย พระประสงค์ ของพระองค์, เป็นหน้าที่ ของ พระองค์ ที่จะ เป็นผู้ตัดสินด้วยพระองค์เอง

---------------------------


ลุงครับ ... มุสลิมน่ะไม่มีใครเขาตัดสินอะไรกันพร่ำเพรื่อตามอารมณ์หรอกครับ แต่เขาตัดสินกันบนพื้นฐานแห่งตัวบทที่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์วางไว้ให้ทั้งนั้นครับ และจำเป็นต้องตัดสินเช่นนั้นด้วย เพราะแต่ละกระทง หนักๆทั้งเลย ลุง!

ใครไม่ตัดสินตามที่อัลลอฮฺทรงมีบัญชามา มันผู้นั้น...เป็นกาฟิร...เป็นซอลิม...เป็นฟาสิก (5:44, 45, 47)

อย่าง...แยกคำสั่งของอัลลอฮฺส่วนหนึ่ง ของนบีอีกส่วนหนึ่ง แล้วเอาแต่ดำรัสอัลลอฮฺ ไม่เอาคำพูดนบี อย่างนี้อัลลอฮฺ ตราหน้ามาแล้วว่า กาฟิรตัวจริง ... จะให้เราตัดสินไปเป็นอย่างอื่นได้งัยครับ????

ตอบคำถามจบ 3 ข้อตรงนี้ ผมก็อยากจะขอบอกให้ทราบด้วยว่า ทุกอย่างที่ทำไปนั้น มิใช่ด้วยอารมณ์โกรธเคืองอะไรลุงแมทท์เลย แม้สักน้อยหน่อยเดียวก็ไม่มี ความรู้สึกที่จะมีต่อลุงแมทท์เมื่อเห็นลุงปล่อยไก่ ปล่อยเป็ด ปล่อยห่าน ปล่อยจิ้งจกตุ๊กแกออกมาวิ่งเพ่นพ่านเต็มไปหมดเช่นนี้ ก็คงมีแต่ความรู้สึก
“สมเพช” เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ ผมขอยืนยัน!


---------------------------



ลุงรับรองได้ว่าถ้าหลานยึดเชือกเส้นเดียว กับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ที่พระองค์อัลลอฮ์ ประทานให้มา , “อัลกุรอาน” เช่น เดียวกับ ที่ลุงยึดถือในขณะนี้ ลุงรับรองได้ ว่า หลานจะไม่หลงทางและสับสนอยู่เช่นนี้

จำเรื่องสายเชือกแห่งความศรัทธา ที่หลานเคยเขียนไว้ได้ไหม ? ถ้าจำไม่ได้ ลุงจะนำมาลงให้อ่านอีกก็ได้...

วัสสลาม

แมทท์



---------------------------


ขอตอบตรงนี้สั้นๆด้วยอายะฮฺนี้ครับ
พวกหนึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮฺ และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับคำแนะนำ (7:30)


===================


เรียน พี่น้องมุสลิม แห่ง บางมรดก ทราบ

ข้อความที่ผมตอบลุงแมทท์ไปข้างต้นนั้น โปรดอย่าถือสาหรือเข้าใจว่าเป็นการก้าวร้าว ระราน หรือหยาบคายอันเกิดแต่นิสัยส่วนตัว หากแต่เป็นไปตามคำสั่งที่อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า

มุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา เป็นผู้แข็งกร้าวต่อพวกปฏิเสธ เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง (48:29)

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kodomo
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 30/12/2003
ตอบ: 15
ที่อยู่: bkk

ตอบตอบ: Thu Feb 03, 2005 1:07 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผลงาน ลุง แมทท์ อีก..แล้นนนน...

http://www.thaimuslimusa.com/webboard/newsView.asp?id_news=11

http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K3271353/K3271353.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว MSN
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Mon Feb 21, 2005 12:34 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam

ขอความสันติและความสามัคคีจงมีแด่ผู้ที่ยึดมั่น ในพระองค์อัลลอฮ์


ผมไม่ได้เข้ามาในห้องเสวนา มาเป็นเวลานาน แต่ ในขณะเดียวกัน ก็ตาม อ่าน เรื่อง ราว การ ถาม และ การ ตอบ ปัญหา ของ ผู้ ทรงความรู้ ทางศาสนาอิสลาม ในเวบนี้ เสมอมา เหตุ ที่ต้อง เข้า มา ใน ห้องเสวนา วัน นี้ ก็ เพราะ ว่า เมื่อ ปี กว่าๆ ผมเผอิญ ไป อ่านพบ เวบไซด์ ข้างล่าง นี้ อยาก จะ เรียก ความสนใจ ของ ผู้รู้ ในห้องเสวนา นี้ ให้ ช่วย หาทาง แก้ไข ข้อมูล ที่ลงในเวบ ข้างล่าง นี้ ให้ถูกต้อง ตาม หลักการ ของ อิสลาม ด้วย


http://www.faithfreedom.org/challenge.htm

http://www.faithfreedom.org/Articles.htm

เนื่องจากว่า เมื่อผมพบ เรื่อง ราวเช่นนี้ ผมไม่อาจจะ มองข้าม ผ่าน ไป หรือ ทำ เป็น ไม่เห็นไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะว่า มันเป็น หน้าที่ โดย ตรง ของ มุสลิม ทุกๆคน โดย เฉพาะ ท่านอาจารย์ และ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ที่ต้องมีความรับผิดชอบ ในการแก้ปัญหา และ สะสางมลฑิล ที่ถูก กระ ทำให้ เกิด ต่อศาสนา ของ พระองค์ อัลลอฮ์ เพื่อเป็นมรดกตกทอด ให้แก่ เยาวชน รุ่นหลัง และเพื่อ ให้ผู้ที่ไม่ใช่ มุสลิม เข้า ใจหลัก การ ของ ศาส นา อิสลาม ให้ดีขึ้น


ผมเข้าใจ…..บางท่านอาจจะคิดว่า นี่ ไม่ ใช่ เป็น เรื่อง สำคัญ เพราะ ว่า เรื่อง เช่นนี้ มี อยู่ ทุกๆ สมัย ตั้ง แต่สมัย ท่าน ศาสนฑูต มูฮัมมัด ประกาศ โองการ อัลกุรอาน มาแล้ว การคิดเช่นนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะว่า ในสมัยนั้น การสื่อสาร ไม่รวดเร็ว เช่นเดียว กับ ใน ปัจจุบัน การโฆษณา ชวน เชื่อ และ การใส่ร้ายป้ายสี ไม่ ทำให้เห็นจริงเห็น จัง ด้วย เหตุ และผล เหมือน ใน ปัจจุบัน ทั้งนี้ เพราะ ว่า สิ่งแวดล้อม และ ความเจริญ ทางวัตถุ ต่างจาก เมื่อ สมัย 1400 กว่า ปีมาแล้ว เยาวชน ผู้ ซึ่งเริ่ม ศึกษา ศาสนาอิสลาม และ อัลกุรอาน ใหม่ๆ เมื่อ เข้า ไปอ่าน ข้อ ความ เช่นนั้น เข้า อาจจะจำนน ต่อ เหคุ ผล เหล่า นั้น ได้ ง่ายๆ การแก้ ปัญหานี้ ไม่ ใช่แต่เพียง ประกาศห้าม มุสลิม เข้า ไป อ่าน ข้อความ ใน เวบ ดังกล่าว แล้ว ซึ่ง เป็น แต่ เพียง ปัดฝุ่น เข้าไป ใต้ พรม เท่านั้น


ปัญหาเรื่องนี้ เป็น ปัญหาที่ใหญ่มาก ใหญ่ เกิน กว่า ที่ มุสลิม ที่มี สามัญสำนึก จะมองข้าม ไป และ คิด ว่า ธุระ ไม่ใช่ ผมคิดว่า ถึงเวลา แล้ว ที่ มุสลิม จะต้องสามัคคีกัน และพิสูจน์ ให้ สังคม เห็นว่า มุสลิมไทย ผู้ ที่มีความรู้ ทั้งหลาย ช่วย กัน หา ทาง แก้ไข และป้องกัน ความ เข้าใจ ผิด เกี่ยว กับ ศาสนา อิสลาม ก่อน ที่จะสายเกินไป ถ้าเราสามารถที่จะ อธิบายให้ เขาทราบได้ว่า การกล่าวหาตาม หัวข้อ ข้างล่าง นี่ ไม่ ถูก ต้อง อย่างไร? แต่ก่อนที่จะแก้ไขปัญหา นี้ จะต้อง อ่านกล่าวคำ กล่าวหาของ เขา ให้ เข้า ใจ เสียก่อน


จุดอ่อนที่อิสลามถูกโจมตี มากเกิด จาก “อะฮะดีษ” ของ บุคออ์รีย์ ที่เรื่องเล่า เหล่า นั้น ทำลาย คุณลักษณะ และ จริยาธรรม ของ ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด อย่าง ไม่ มี ข้อ สงสัย และเป็นที่แน่นอน ว่า เรื่องราว ต่างๆ เหล่านั้นไม่ ใช่ “วะฮีย์ “ อย่างที่ บางท่านเข้าใจ


การด่าหรือ สาปแช่งผม(แมทท์) ของ อาจารย์ บางท่าน, ไม่ได้ ประโยชน์ อะไร ต่อ อิสลาม เลย ผมเห็นว่า เรา มา เสีย เวลา กับ ใน การ ยกยอ ตัว เอง และ พูมใจ ต่อ ประวัติ ศาสตร์ และ เรื่องราว ที่ไม่มีความสำคั ญ ต่อ การ ก้าวหน้า ของ อิสลาม เลย เช่น การเสียเวลา ใน เรื่อง อะห์ลุลกิตาบ คือใคร? และท่านวะรอเกาะฮ์ยึดหลักตรีเอกานุภาพ หรือไม่? จนเกิด ทำให้เห็นได้ชัดว่า ได้เกิดการ แตก แยก ในระ หว่าง สังคมไทยมุสลิม มีกลุ่ม ซะลาฟียูน และ กลุ่ม มูลนิธิอนุรักษ์ เพราะต่าง ฝ่าย ต่าง ก็ เชียร์ อาจารย์ ของ ตน เอง ส่วน บรรดา อาจารย์ ก็ หลบ หน้า อยู่ หลังฉาก ปล่อย ให้ เยาวชน โต้เถียง สิ่ง ที่ ไม่ เป็น สาระ ที่มาจาก หลัก ฐาน ที่ไม่ แน่ นอน ที่ตนเองไม่ได้ อธิบายไว้อย่าง กระจ่างชัด เนื่องจากนำ มาจาก อะหะดีษ บุคอรีย์ ที่อ่อนปวกเปียก


ผมอยากขอความกรุณา ผู้ ที่มีความรู้ในเวบนี้ และ มุสลิมไทย ทุกๆท่าน ช่วย หาข้อมูล จาก เวบ ดัง กล่าว และช่วย กัน แก้ ไข ให้ ถูก ต้อง,โดยที่แสดง ให้ สังคม เห็น ว่า มุสลิมไทยเรา มีความสามัคคีกัน และมีความรู้ ความเข้าใจ อิสลาม ที่ ถูก ต้อง แต่ถ้ามุสลิมไทยเรา ได้ ทราบเรื่อง ที่ผม นำมานี้ แล้วทำเฉยเมย แสดง ว่า มุสลิมไทยเรา ความรู้ไม่พอที่จะ อธิ บาย ประวัติ ของท่านศาสนฑูต มูฮัมมัด และ วัตถุประสงค์ ของ อายะต่างๆ ใน อัลกุรอาน


สมัยนี้เป็นสมัยที่การสื่อสาร เจริญรวดเร็ว เราควรฉวยโอกาศ ของความเจริญ ก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ช่วยกัน สร้างความ เจริญ ของสังคมไทยมุสลิม ให้ เจริญ ก้าว ไปข้าง หน้า แทนที่จะ ใช้เป็น กระบอกเสียง ให้ กลุ่ม ผู้ก่อการร้าย ชาว อรับ กลุ่ม บุคคลที่อาศัยศาสนา ทำลาย ภาพ ของ ศาสนาอิสลาม ให้เสื่อม เสียไปทุกๆ วัน หรือกลับไปโต้เถียง กัน ว่า “นายวะ รอ เกาะฮ์ยึดหลักตรีเอกานุภาพ หรือไม่?” นาย วะรอเกาะฮ์ แกจะ ยึดหลักอะไร ก็ตาม ไม่ ได้ ทำให้ มุสลิม ในสมัย นี้ ดี เด่น ขึ้น มาอย่าง ไร แทบจะกล่าวได้ ว่า ไม่ มี ประโยชน์ ในเสริมความศรัทธา ให้ แก่ มุสลิมเลย และประวัติศาสตร์ ใน เรื่องนั้น ก็ ไม่มีรายละเอียด อะไรมากเท่าใด?


เราทราบว่า อิสลาม มีอะไรจะเสนอให้ กับ มุสลิม, แต่ ถ้าเราจะถาม ตัวเอง ว่า เรา ที่เป็น มุสลิม ได้ ทำ อะไร ให้ กับ อิสลาม บ้าง คำตอบ ก็คือ ถ้า มุสลิม ไทย ให้ ความสนใจ และ ช่วย กัน แก้ปัญหาที่ ถูก ท้าทาย ความจริง ของ อิสลาม ด้วย สติปัญญาและความรู้ แล้ว มันจะเป็นการกระทำที่ดีต่อ “อิสลาม” และช่วยป้องกัน เกียรติ ของ ท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด

ผมจะแก้ไขในหัวข้อเรื่อง “Science and Quran” ร่วมกันกับท่านที่สนใจ ส่วน หัวข้ออื่นๆ ขอให้ท่านผู้รู้ทั้ง หลาย ช่วย แบ่งกัน อธิบาย ให้ ละ เอียดด้วย และเมื่อ ทุกคนทำงานเสร็จ เราก็นำ คำโต้ แย้ง เหล่านั้น มาลงในเวบ และ ให้ สมาชิก ช่วย วิจารณ์ และ ขัด เกลา จนเรียบ ร้อย แล้ว แปล เป็น ภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะ ส่งไปลง ในเวบ ดังกล่าวแล้ว


หัวข้อ

• Quran
• Science and Quran
• Miracles
• Women in Islam
• Wives of the Prophet
• Morality and Ethics
• Modernism and Reformism in Islam
• Miscellaneous Articles
• Terrorism and Islamic Expansionism
• Human Rights Abuses in Islam
• Free thought
• About God
• Satire
• Humanism


ผมขอความร่วมมือ ในเรื่องนี้ด้วย เพราะ เวลาและความรู้ที่คุณใช้ในการ ถกปัญหา ประวัติศาสตร์ นำมาช่วยกัน แก้ ไข และปก ป้อง ชื่อ ของ “อิสลาม” จะมีประโยชน์ กว่า

wassalam

มทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Mon Feb 21, 2005 12:40 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


คำตอบที่ค้างมานาน

คำถามที่ ว่า ถ้าไม่มี “อะฮะดีษของบุคอฮ์รีย์” แล้ว มุสลิมในรุ่นหลังนี้ จะละหมาดกัน อย่างไร? ในอัลกุรอานมีรายละเอียดอยู่ที่ใดที่สอนละหมาด?

ในการถามเช่นนี้แสดงว่าผู้ถามขาดรายละเอียดและความเข้าใจในการอ่านอัลกุรอาน และใน ขณะเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า เขาผู้นั้นได้รับการสอนมาจากผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ใน ศาส นา อิสลามที่แท้จริง และไม่มีศรัทธาต่อ “อัลลอฮ์” ที่บัญญัติว่า

“อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มีรายละเอียดของเนื้อหาที่สมบูรณ์ที่สุด”

จากคำถามข้อนี้ สะท้อนให้เห็นความสำคัญในความศรัทธาของผู้ถามอยู่สามประการดังนี้
1.เป็นการท้าทาย “คุุณานุภาพของพระองค์อัลลอฮ์” และความรู้สึกใต้สำนึกของผู้ถาม ต้องการจะ “พิสูจน์” ให้เห็นว่า “อัลลอฮ์” นั้น ผิด ที่ว่าอัลกุรอานมีความสมบูรณ์ พร้อมเพรียง และประกอบไปด้วยรายละเอียด

2.เพื่อที่จะอวดแสดงให้เห็นว่า “อะฮะดีษ” บรรจุรายละเอียดเกี่ยวกับ “การทำละหมาด” และ ดัง นั้น ควรจะใช้ “อะฮะดีษ ” เป็นกฏหมายของศาสนาอิสลาม

3.เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า “พระองค์อัลลอฮ์” ผิดในการที่สอน เราในอัลกุรอานว่า, การประกอบ กิจทางศาสนาอิสลาม รวมทั้งการทำ “การทำละหมาด” ได้มอบให้แก่ ท่านนบีอิบรอฮิมแล้ว


ผมเชื่อว่าท่านผู้ที่มีความรู้และเข้าใจ “อัลกุรอาน” เป็นอย่างดี ทราบว่า ในการนับถือศาสนาอิสลามนั้น มี แหล่งความรู้อยู่ สองแหล่ง

๑. คัมภีร์ “อัลกุรอาน” ซึ่ง เป็นคัมภีร์ที่ บรรจุไว้ซึ่งรายละเอียดของความรู้ กฎบัญญัติทางศาสนาอิสลามที่สมบูรณ์ที่สุด

๒. การปฏิบัติพิธีการทางศาสนาที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ประทานให้ท่านนบีอิบรอฮิม และถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาหลายชั่วคนจนถึงปัจจุบัน

“อัลกุรอาน” สอนให้เราทราบว่า “การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม (การทำละหมาด, ซากาต, การถือศีลอด และการทำฮัจจฺ) ถ่ายทอดมาจากท่านนบีอิบรอฮิมมาหลายชั่วคน จนกระทั่งทุกวันนี้

มุสลิมส่วนมากสงสัยว่าทำไมการประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามจึงถ่ายทอดมาจาก ท่าน นบี อิบราฮิม ทำไม่ไม่มาจากท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด คำตอบก็คือ พระองค์อัลลอฮ์ ทรงต้องการ ให้ พิธีการปฏิบัติทางศาสนาของพระองค์ส่งถ่ายทอดมาถึงมุสลิมรุ่นหลังๆ อย่างบริสุทธฺ์, อย่างชัด แจ้ง และ สมบูรณ์

เนื่องจากการปฏิบัติพิธีการทางศาสนาอิสลามมีมาก่อน ท่านศาสดามูฮัมมัด แสดงให้เห็นว่า หน้าที่ของท่านศาสนฑูตมูฮัมมัดโดยเฉพาะก็คือ นำโองการของพระองค์อัลลอฮ์ “อัลกุรอาน” มาสู่มวลมนุษย์เท่านั้น


(ยังมีต่อ)


wassalam

แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nes
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: Mar 12, 2004
ตอบ: 80
ที่อยู่: bkk

ตอบตอบ: Mon Feb 21, 2005 6:32 am    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

โอ๊ะ โอ้...กลับมาแล้ว...อาจารย์แมททฺ

หายไปเสียนาน มาครั้งนี้เรียกร้องความสนใจได้ไม่เลว

แต่ผมว่าเวบนี้อันตรายนะ

http://www.thaimuslimusa.com

เขาบอกว่าการคลุมฮิญาบเป็นประเพณี

แล้วเขาก็ปฏิเสธฮะดีสด้วยอ่ะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Tue Feb 22, 2005 9:27 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (ThaimuslimUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

salam


ขอความสันติและความสามัคคีจงมีแด่ผู้ที่ยึดมั่น ในพระองค์อัลลอฮ์


ตามที่ คุณ NES กล่าวว่า, “แต่ผมว่าเวบนี้อันตรายนะhttp://www.thaimuslimusa.com เขาบอกว่าการ คลุม ฮิญาบ เป็นประเพณี แล้ว เขา ก็ ปฏิเสธฮะดีสด้วยอ่ะ”, เรื่อง เวบ http://www.thaimuslimusa.com นั้น แล้วแต่ ว่า คุณจะคิด ถ้าคุณเห็น ว่า เป็น อัน ตราย ต่อ เยาวชน มสลิม แล้ว และ ให้ เหตุผลที่น่าฟัง, ผม ก็ จะ ปิด เวบ เลย เพราะ ไม่ทำให้ เกิด ประ โยชน์ แก่ วงการ มุสลิม และ เพื่อ ความสามัคคี ใน สังคม ไทย มุสลิม ทั้งนี้ เนื่อง จากว่า ผมดำเนินการ คนเดียว และ เป็น ความคิด และ ปรัชญา ของ คนๆ เดียว ที่ มองหลักการ ของ อิสลาม จากทาง ตรง และ เห็นว่า อะไร คือ จุด เสื่อม ที่ทำ ให้ สัง คม มุสสิม ตกต่ำ


ตัวเลขต่างๆ ดูสวยงาม จำนวน มุสลิม เพิ่ม มาก ขึ้น แต่เราไม่ ได้ ถามว่า ตัวเลข ที่เพิ่ม ขึ้น นั้น จาก การ ขยายจำนวน ของ พลเมือง ของ ประเทศ ที่ มี ผู้ นับ ถือ ศาสนา อิสลาม หรือ จาก ผู้ ที่ มีความ เชื่อ ถือ เนี่อง จาก ความศรัทธาที่แท้จริง ในอเมริกา จำนวนการขาย อัลกุร อาน และ การศึกษา ศาสนาอิสลาม เพิ่มขึ้น กว่า 300 เปอร์เซนต์ โดยประมาณ หลังจาก 9/11 มุสลิมได้รับเชิญ ให้ไปอธิบาย หลัก การ ของ อิสลาม ตาม Church ต่างๆ ในชนบท โดยปกติ ชาวอเมริกัน พยายาม อย่าง ยิ่ง ที่ จะ เข้า ใจ ศาสนาอิสลาม ในแง่ดี แต่ตัวเลข เหล่า นี้ ไม่ ได้ แสดง ถึงคุณภาพ ของ มุสลิม การเป็นมุสลิมที่มึคุณภาพข, จะสะท้อนผล ให้เกิด ความเป็นมนุษย์ ที่มีคุณภาพ และเป็น ประ โยชน์ ต่อสังคมมนุษย์ ซึ่ง ตรง ตาม ความ มุ่ง หมาย ของ อิสลาม และวัตถุประสงค์ ที่พระองค์ อัลลอฮ์ ประทาน อิสลาม ให้แก่มวล มนุษย์


ผมหวังว่า คุณ NES คงเข้าใจคำอธิบาย ข้อนี้, คุณไม่คิดหรือ ว่าทำไมผมจึงนำเรื่อง นี้ มาเสนอที่เวบนี้ ทั้งๆ ที่ ทราบดีว่า ไม่มี ใครเห็น ด้วย กับผม เลย ทั้งนี้ เนื่อง จากว่า ผมเห็น ว่า ถ้าบรรดา มุสลิม ในเวบนี้ ตั้ง ใจ จะ รักษาอิสลาม ให้ เป็น มรดก ของ เยาวชน อย่าง แท้ จริง แล้ว จะตัอง กำจัด ข้อ บาด หมาง ในเรื่อง ความ คิด เห็น ที่ ไม่ ตรง กัน และ เพิ่ม ความสามัคคี ใน วงการ มุสลิม ไทย เรา ให้ เป็น ตัว อย่าง ที่ดี ให้แก่ เยาวชนมุสลิม เห็น ว่า “อิสลาม” สอน ให้ เรา เป็น ผู้ ใหญ่ที่ดี


เรื่องที่ผมนำมาเสนอ เป็น เรื่องที่สำคัญมากสำหรับ วงการมุสลิมไทยเรา ทั้งนี้ เพราะ ว่า ในสังคมมุสลิมไทยเรา ในยุคนี้ แทนที่จะ ศรัทธาและปฎิบัติ ศาสนกิจ ตาม หลักการ ในอัลกุรอาน แต่ บาง กลุ่ม ของ พวกเรา กลับ ไป ตาม ความสำคัญ ของ กลุ่ม บุคคล และ การปฏิบัติ ของมุสลิม ในประเทศอื่น เราจะอธิบาย ให้ ยุวมุสลิม เข้า ใจได้ อย่าง ไร ว่า ทำ ไม เรา จึง ถือ ศีลอด และเลิก ถือ ศีลอด ไม่ตรงกัน ใน เมื่อ นับถือ ศาสนา อิสลาม เหมือน กัน และ อาศัยอยู่ ใน สภาพภูมิศาสตร์ เดียวกัน ดวงจันทร์ ดวงเดียว กัน แต่ “อิด อัล- ฟิตร์” ไม่ตรงกัน, แล้ว อิด อัล-อัดฮา ตรงกัน วันเดียว กัน ไหม? ก็ไม่ตรงกันอีก... การที่เป็น เช่นนี้ เพราะ เหตุไร?


การช่วยกันแก้ ปัญหา ในเรื่อง นี้ นับว่า เป็น การ ต่อ สู้ ตาม แนว ทาง ของ อัลลออ์ ที่แท้จริง ใน ทาง สันติ และ เป็น การ รักษาอิสลาม ให้ เป็น มรดก ของ ลูก หลานของ เรา ตามวัตถุประสงค์ ที่จัดตั้ง เวบ นี้ ขึ้น มา เมื่อใดก็ตาม ที่เรา เห็น ปัญหา เหล่านี้ แล้ว เราเฉยเมย ไม่ แสดง ความเป็น เจ้าของ ของสิ่งที่เป็น มรดกเพื่อ ลูก หลาน ของ เรา แล้ว ย่อม เป็น จุด อ่อน ให้ ผู้ ที่ต้อง การ ทำลาย ล้าง ศาสนา อิสลาม ขาด ความ ยำเกรง และ ใช้เป็น เหตุ ให้ โฆษนา ชวนเชื่อ


เราจะเห็นว่าชาวยิว ผู้มีคัมภีร์ เตารอ๊ด หรือ โทราฮ์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ ที่ได้รับวะฮีย์จาก พระเจ้า และ หนังสือตาลมูด ซึ่ง เป็น การ รวบ รวม ประเพณีและกฏบัญญัติเก่าแก่ต่าง, คัมภีร์ ตัลมูด ถูกนำมาใช้ โดยชาวยิว เช่นเดียว กับ มุสลิม ที่ใช้ “อะฮะดีษบุคอฮรีย์ เป็น แหล่ง วิชา” ในการสอนและประกอบศาสนกิจ ในชีวิตประจำวัน

พระองค์อัลลออ์ทรงมีโองการว่า

“ความวิบัติจงมีแด่ผู้ที่เขียนคัมภีร์ขึ้นเองด้วยมือของพวกเขา แล้วอ้างว่า มันคือคัมภีร์จากอัลลอฮ์ เพื่อพวกเขาจะได้นำมันไปแลกกับราคาเพียงเล็กน้อย” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 79"


เราจะเห็น ว่า ความจริงในเรื่องนี้ ได้ เกิด กับสังคม ชาวยิว มาแล้ว ทั้งในอดีตและ ปัจจุบัน สังคมยิว, ในอดีตได้ ชาวยิว ตกอยู่ใน เหตุการที่ รันทดและโศรกเศร้่าที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของมนุษย์ โลก ที่ถูก กระทำ โดย ผู้บ้าคลั่งลัทธิ หนึ่ง ในศาสนาหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ ศาสนา อิสลาม, ในปัจจุบันสังคมของชาวยิว เต็มไป ด้วย อบายมุข และความเสื่อม ในด้าน คุณธรรมและศีลธรรม, แล้ว อะไรเล่าที่ กำลังเกิด ขึ้น ในสังคม มุสลิม เนื่อง จาก มุสลิม ส่วน ใหญ่ไม่ ปฏิบัติ ตาม คำสั่งและ บัญญัติ ของ อัลลอฮ์,


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้ สังคมมุสลิม แตกแยกกัน พ่ายแพ้ตลอดมา หลังจาก ที่ท่าน ศาสนทูต มูฮัมมัด สิ้น ชีวิต แล้ว, เริ่ม ขึ้น เมื่อ มุสลิมส่วน ใหญ่ หันไปยึด และกลัว ตัว บุคคล ผู้นำ ทางศาสนา แทนที่จะ กลัว พระเจ้า แต่กลับ หันไปยึด “อะฮะดีษ” ในที่นี้ คือ เรื่อง บอกเล่า ที่ เขียน โดย “บุคอฮ์รียฺ์” พระองค์ อัลลอฮ์ ได้ มีบัญญัติ ให้ เรา เชื่อฟัง และปฏิบัติ ตาม ฮะดีษ และ ซุนนะห์ ที่แท้จริง ของ ท่าน ศาสนฑูต มูฮัมมัด เท่านั้น “ไม่ใช่ ฮะดีษ และ ซุนนะห์ ของ “บุคอฮ์รีย์” และพระองค์ ได้ ให้ บัญญัติว่า เรา จะ ตรวจสอบ ได้ อย่าง ไร ว่า “เรื่องราวที่เป็น วะฮีย์ จะต้อง มีลักษณะอย่างไร ?” เมื่อใดก็ ตาม ถ้า มุสลิม เรา ยังเชื่อว่า ฮะดีษ และ ซุนนะห์ ของ “บุคอฮ์รีย์” เป็น วะฮีย์ และ ยึดถือเป็น หลักปฏิบัติ แทน อัลกุรอาน หรือ ใช้อธิบาย อัลกุรอาน แล้ว, ขอให้นึกถึง อัลกุรอาน ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 79"


“อะฮะดีษบุคอฺฮ์รีย์” ทำให้เกิดการแตกแยกในสังคมมุสลิม เนื่อง จาก ว่า มีข้อ ความที่ให้ ความหมาย ก้ำกึ่ง , ข้อความที่ให้ ความหมาย ขัดกัน, ข้อความที่ขัดกับอัลกุรอาน , เรื่องที่ดูถูก และเหยียด หยาม เพศหญิง, เรื่องที่ทำให้ เสีย ลักษณ์ทางคุณธรรมของ ท่าน ศาสนฑูตมูฮัมมัด ฯลฯ


บางท่านกล่าวว่า ก่อนจะรับฮะดีษบทใด จะต้อง ใช้ อัลกุรอาน เป็นบรรทัดฐาน ในการปฏิบัติตามเรื่องเล่า เหล่านี้ คือ ความ เที่ยง ตรง กับ คำ สอน ในอัลกุรอาน ฮะดีษที่ไม่ตรง หรือ ขัดกับ บัญญัติ ใน อัลกุรอาน จะตัดทิ้ง ไป


แน่นอน ข้อความหรือ เรื่องเล่า ต่างๆ ที่ดี และ เป็น คติสอนใจ สอนศีลธรรมที่ดี ก็ มีอยู่ มาก ในอะฮะดีษ แต่ ข้อสำคัญ คือสิ่งเหล่านั้น ได้ มี อยู่ ในอัลกุรอาน แล้ว, และถ้าสิ่งที่เราจะยอมรับ จาก อะฮะดีษ เฉพาะ เรื่อง ราวที่ตรง กับ อัลกุรอาน เท่านั้น ทำไมเรา จึง ต้องเสียเวลา ไป ใช้ อะฮะดีษ ของ บุคอฮ์รีย์ เราก็ใช้ แต่ เพียง อัลกุรอาน ก็ เพียง พอ แล้ว, และ ไม่ ควร ที่จะ สอน มุสลิม รุ่น หลังๆ ว่า เรื่อง บอกเล่า เหล่า นั้นว่า เป็น “วะฮีย์” จาก อัลลอฮ์ เช่น เดียว กับ อัลกุรอาน


เท่าที่เห็น ข้อความและเรื่อง เล่า ต่างๆ ใน “ซอเฮี๊ยะ ฮะ ดีษ" นั้น ไม่ ผ่าน มาตรฐานการทดสอบ ของ บัญญํติ ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ, อายะ 82 ซึ่ง บัญญัติไว้ดังนี้


“ เขาทั้งหลายไม่ได้พิจารณาอัลกุรอานให้ถี่ถ้วนดอกหรือ? ถ้าอัลกุรอานมาจากแหล่ง อื่นที่ ไม่ใช่ จาก อัลลอฮ์ (วะฮีย์)แล้ว, อย่างแน่นอนเขาจะพบสิ่ง บก พร่องในอัลกุรอานอย่างมากมาย (4:82)”


จากความหมายของอายะ 4:82 นี้ บอกให้เราทราบว่า สิ่งใดที่ไม่ใช่วะฮีย์แล้ว จะมีข้อบกพร่อง อย่างมาก มาย ดังที่เราจะเห็น ได้ว่า ใน หะดีษ ซอเฮี๊ยะ มีข้อบก พร่อง ที่ขัดกับอัลกุรอาน และ ขัดกันเอง อยู่อย่าง มากมาย เป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็น ว่า “อะหะดีษ” เหล่านั้น ไม่ใช วะฮีย์ ที่มาจาก อัลลอฮ์


เราทราบแล้วว่า ไม่มีข้อสงสัยเลย ว่ามีเรื่องเศร้า และสิ่งที่น่าเสียใจเกี่ยวกับ ประวัติของการ ปลอมแปลง ฮะดีษ และมีสิ่ง เดียว เท่านั้น ที่ ผู้ รวบรวม ฮะดีษ ใช้เป็น หลักประกัน ความเชื่อถือได้ ของ ฮะดีษ นั้นก็คือ “การเชื่อถือ คำพูด หรือ การ บอกเล่า ต่อๆกันมา ของ ผู้ที่ บรรยายฮะดีษ”


การ สอน และ การ เชื่อ ว่า "อะฮะดีษ ของบุคอฮ์รีย์" เป็นวะฮีย์ เป็น“ชิริก” เนื่อง จาก เราทราบแน่ชัด แล้วว่า มีความ ผิดพลาด และ ข้อ บกพรอ่ง ใน “อะฮะดีษของบุคอฮ์รี์” อยู่มากมาย (4:82)


ดังนั้น ตามที่ คุณ NES กล่าวว่า ผมปฏิเสธ ฮะดีษของท่านศาสนฑูตมูฮัมมัด จึง เป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงกับ ความศรัทธา ของ ผม ที่มีต่อ ท่าน รอซูล ของเรา, คุณลองพิจารณา การ ใช้ ฮะดีษ ของบุคอฮ์รีย์ อธิบายอัลกุรอาน อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะ เราะฮฺ์


จากซอเฮี๊ยะบุคอฮ์รีย์ เล่มที่ 60 คำอธิบาย อัลกุรอาน(ตัฟซีร์) เลขที่ :51
บรรยายโดย ญาบิร ว่า:

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่าSolallah “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:


“ภรรยาของพวกเจ้าเปรียบเสมือนแหล่งเพาะพืชพันธ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือ อย่าง ใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์, แต่เจ้าทั้งหลาย จะต้องกระทำสื่งดีให้ดวงจิตของพวกเจ้าไว้ล่วงหน้า และจงเกรงกลัว ต่อ พระองค์ อัล ลอฮ์ และจงแน่ใจเถิด ว่า พวกเจ้า จะพบกับ พระองค์ ใน ปรโลก และเจ้า (มูฮัมมัด) จงสร้างสัมพันที่มั่นคงกับผู้ที่มีศรัทธา” (2:223)



นี่หรือคือเหตุผลของ”ฮะดีษ บุคอฮ์รีย์ ที่อธิบาย . อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ว่า อายะนี้ พระองอัลลออ์ ประทาน ลงมา เพื่อลบล้าง คำพังเพย ของ “ชาวยิว” ว่า คำพังเพย นั้น ไม่ เป็น ความจริง และ เพื่อเป็นการ อนุญาต ให้ ชายมุสลิม สามารถที่จะร่วมเพศ กับภรรยา จากข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ หรือ ในท่าต่างๆที่ชาย ต้องการ โดย ไม่คำนึงถึง ความรู้สึกและความต้องการ หรือ ไม่ต้องการ ของ ภรรยา กระนั้นหรือ?


จาก ข้อความที่กล่าวว่า, “ เจ้าจงไปหาแหล่งเพาะพืขพันธ์ นั้นเพื่อทำการไถหว่านเวลาใด หรือหรืออย่างใด ตามที่ พวกเจ้า ประสงค์” ในที่นี้ หมายความว่า จงปฏิบัติ ต่อ ภรรยาของเจ้า เช่น เดียวกับคำสั่งในบัญญัติ ที่ 2:222 ในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน ห้าม สามียุ่งเกี่ยว กับ ภรรยา แต่ หลัง จาก ที่ภรรยาหมดประจำเดีอน จึงอณุญาติ เข้า หา ภรรยา ได้ แต่ต้องอยู่ ในขอบ เขต และ วินัย ของ พระเจ้า, ภรรยาก็ เปรียบ เสมือน แหล่งเพาะ พืชพันธ์ ถ้า ชาย ร่วมเพศกับภรรยา โดยผิดธรรมชาติ แล้ว เป็นความโง่เขลา และ หักหาญน้ำ ใจภรรยา


ความหมายที่แท้จริง ของอายะ 2:223 นี้ ต่อ เนี่องมา จาก ความหมาย ใน อายะ ที่ 2: 222 เนื่องจาก ความสัมพันธื์ทางเพศ ระหว่าง หญิง กับ ชาย เป็น เรื่อง ละเอียด อ่อน มาก, บัญญัติ ใน อัลกุรอาน ได้ ถูก วางหลักการไว้ ไม่ แต่ เฉพาะ ความ สัมพันธ์ ทางการสำผัส ทาง ร่าง กาย เท่านั้น, แต่ ต้อง การ ที่ จะ แยก ความมี คุณสมบัติที่สูงส่ง ของ มนุษย์ ให้อยู่ เหนือ ระดับ ของ สัตว์ เดรัจฉาน โดย ทั่วๆ ไป และได้ ย้ำ เตือน ให้ มนุษย์ เห็น ว่า ในการมีสัมพันธ์ ทางเพศ กับภรรยา นั้น ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า ถึงแม้ แต่ การ บัญญัติ ก็ ใช้ ภาษาในการ อธิบาย อย่าง ระมัด ระวัง เพื่อ ไม่ ให้ ข้อ ความ กลาย เป็น เรี่อง ลามก, โดยการที่เปรียบเทียบ ภรรยา เช่น ที่เพาะพีชพันธ์ ดังนั้น วัตถุ ประสงค์ ใน การ ร่วม เพศ กับ ภรรยา เปรียบ เสมือน การ ไถหว่าน เพี่อ ให้ เกิด เยาวชน รุ่นหลัง เพื่อ คอย รับใช้ พระองค์ อัลลอฮ์สีบศาสนาอิสลามให้รุ่งเรือง ต่อไป


จากตัวอย่างนี้ คุณ NES จะเห็น ว่า ถ้า เรา ใช้ คำบอกเล่า ของ บุคอรียฺ์ มา อธิบาย อัลกุรอาน แล้ว จะทำให้ ความหมาย ของ อัลกุรอาน ไม่ ตรง กับ พระประสงค์ ของ พระองค์ อัลลอฮ์ ทั้งนี้ เพราะว่า อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ์ ไม่ได้ลงมาเพื่อลบล้าง คำกล่าว ของ ชาว ยิว แต่ว่า เป็นโองการที่ประทานมา ลง มา เพื่อ อธิบาย ว่า เมื่อ ภรรยาหมด ประจำเดือน แล้ว ไม่เป็นที่ต้อง ห้าม ที่สามีจะหลับ นอน กับ ภรรยา เขา อย่าง ไร และ เมื่อ เวลา ใดก็ได้ แต่ต้อง ให้รำลึก อยู่ เสมอ ในหัวใจ ของ เขา จะ ต้อง มีทั้ง คุณธรรม และ ศีลธรรม และ เพื่อรัก ษา วินัย ใน ความศรัทธา ต่อ พระ เจ้า (หมายถึงห้าม การกระทำอะไร ที่ผิด ธรรมชาติ ของ การ ร่วมเพศ เพื่อมีผู้สืบเผ่าพันธ์ ของ มนุษย์)


ทีนี้ คุณ NES เข้า ใจหรือ ยัง ว่า ผม ไม่ได้ ปฏิเสธ ฮะดีษของ ท่าน รอซูลเลย แต่ ผม ปฏิเสธ “อะฮะดีษ” ของ บุคอรียฺ์ เพราะว่า ที่ เรียกว่า “ซอเฮียะฮะดีษ” นั้น มันไม่มี ความแท้จริง อยู่ ที่จะทำให้ผมเชื่อได้ ตาม มาตรฐาน ของ อัลลออ์ (4:82)


wassalam


แมทท์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แมททฺ
มือใหม่
มือใหม่


เข้าร่วมเมื่อ: 10/02/2005
ตอบ: 4


ตอบตอบ: Tue Feb 22, 2005 9:42 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Solallah ขออภัยด้วยที่คำนี้ เข้าไปในประโยคข้างล่าง โดย Accident

บรรดาชาวยิว ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้ใดร่วมเพศกับภรรยาของเขาจากด้านหลังของเธอ (ของภรรยา) แล้ว, ลูกที่เกิดมา จากภรรยา ของ เขา จะมี นัยตาเหล่ ” ดังนั้น อัลกุรอาน, อายะที่ 223 ของ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ จึงถูกประทานลงมา ดังนี้:

.............................................

คำตอบที่ค้างมานาน(ต่อ)


ยังมีมุสลิมอยู่จำนวนมากที่ ไม่ทราบว่าการละหมาด ๕ เวลามีอยู่ในอัลกุรอาน การกำหนดเวลา และขั้นตอนในการละหมาดแจ้ง ไว้ในอายะต์ต่างๆซึ่งจะหาได้ในอัลกุรอาน
การละหมาด ๕ เวลา และกำหนดเวลาในการทำละหมาดแต่ละครั้งจะหาได้ใน อัลกุรอาน จากอายัตต์ ต่างๆ ดังต่อไปนี้

(๑) เวลาในการทำละหมาด เมื่อเวลาตะวันคล้อย ตกดิน (ฟัจญริ) ๑๑…๑๑๔ และ ๒๔..๕๘

114. และเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ตามปลายช่วงทั้งสองของกลางวัน(มักริบ) และยามต้นจากกลางคืน(อีชาอ์) แท้จริงความดีทั้งหลายย่อมลบล้างความชั่วทั้งหลายนั่นคือข้อเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่รำลึก

58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

(๒) การละหมาดในช่วงเวลาตะวันเริ่มคล้อย อยู่ในอายัตต์ ๑๗..๗๘ และ ๓๐..๑๘
78. จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และการอ่านยามรุ่งอรุณ(*1*)แท้จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ

(1) ที่ใช้สำนวน “การอ่านยามรุ่งอรุณ” ก็เพราะว่าการละหมาดเวลาฟัจรนั้นชอบให้อ่านต้นยาวๆ ในอายะฮนี้เป็นการชี้แนะถึงเวลาละหมาดที่ถูกกำหนดไว้ คือละหมาดตั้งแต่ตะวัน คล้อย หมายถึงอัลดุฮร และอัลอัศร พลบค่ำหมายถึงเวลามักริบและอิชาอ ยามรุ่งอรุณหมายถึงละหมาดศุบฮ
18. มวลการสรรเสริญในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ และในยามพลบค่ำ และเมื่อพวกเจ้าย่างเข้าสู่ยามบ่าย (*1*)

(1) เคล็ดลับในการสรรเสริญก็คือ เป็นการแสดงออกถึงว่า ความสำเร็จต่าง ๆ ที่ปวงบ่าวได้รับนั้นเป็นความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ประทานให้ ดังนั้น จึงเป็นการสมควรที่พึงจะได้รับการสรรเสริญ

(๓) การละหมาดหลังเที่ยง (อัศริ) มีอยู่ในอายะ ๒…๒๓๘
238. พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง(1 ) และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม

(1) ให้ทำละหมาดฟัรดู ห้าเวลาเป็นประจำ เฉพาะอย่างยิ่งละหมาดเวลาอัศริ ควรขะมักเขม้นให้มาก และบุคคลมักจะละเลยการเรียกละหมาดอัศรินี้ว่า ละหมาดกึ่งกลางก็เพราะ อยู่กึ่งกลางระหว่างละหมาดห้าเวลา

239. ถ้าพวกเจ้ากลัว ก็จงละหมาดพลางเดินหรือขี่(*1*) ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์(*2*) ดังที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกเจ้าซึ่งสิ่งที่พวกเจ้ามิเคยรู้มาก่อน

(1) คือให้ละหมาดขณะที่เดิน หรือขณะที่ขับขี่พาหนะ
(2) คือให้ขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ด้วยการปฏิบัติตามบทบัญญัติ เยี่ยงที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกเขาไว้

(๔) การละหมาดตอนพลบค่ำ (มักริบ) มีกล่าวอยู่ใน อายะห์ ๑๑..๑๑๔
114. และเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ตามปลายช่วงทั้งสองของกลางวัน(ศุบฮ์และอัศร) (*1*) และยามต้นจากกลางคืน (มักริบและอีชาอ์) (*2*) แท้จริงความดีทั้งหลายย่อมลบล้างความชั่วทั้งหลายนั่นคือข้อเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่รำลึก(*3*)

(1) หมายถึงละหมาดศุบฮ์และอัศร
(2) หมายถึงละหมาดมักริบและอีชาอ์
(3) ผู้รำลึกคือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรม และดำรงรักษาไว้ซึ่งการละหมาด ดังนั้น การรักษาไว้ซึ่งการละหมาดก็ดี และการทำความดีอย่างอื่น ๆ ก็ดี เป็นข้อเตือนสำหรับผู้รักการตักเตือนและเป็นการชี้แนะแก่ผู้ที่รักการชี้แนะไปสู่ความดี

(๕) การละหมาดในเวลากลางคืน (อิชาอฺ) มีกล่าวอยู่ใน อายะห์ ๒๔..๕๘

58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

(1) คือให้บรรดาทาสและทาสีขออนุญาต เมื่อเวลาจะเข้าห้องส่วนตัว
(2) คือเวลาพักผ่อนตอนกลางวัน
(3) คือเวลาก่อนจะเข้านอน
(4) จงสั่งสอนทาส คนใช้ และเด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลานของพวกเจ้า อย่าให้เข้าไปในห้องของพวกเจ้าในเวลาดังกล่าวนี้ เว้นแต่จะต้องขออนุญาตเสียก่อน


(ยังมีต่อ)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nop
มือเก่า
มือเก่า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005
ตอบ: 89


ตอบตอบ: Wed Feb 23, 2005 11:37 pm    ชื่อกระทู้: Re: “มรดกอิสลาม”.............โดย แมทท์ (muslimThaiUSA.com) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สลามทุกท่านยกเว้นคุณแมทท์

ก็เป็นกระทู้แรกที่เข้ามาทักทายนับจากยุค muslimthai.com
ผมอยากจะแนะนำตักเตือนพี่น้องและตัวกระผมเองให้ตั้งอยู่บนความตักวาต่อัลลอฮฺ
และพิจารณาคำสั่งสอนของอัลลอฮฺและรสูลเสมอในทุกๆความคิดและความประพฤติ

ผมอยากจะบอกกับพี่น้องให้ทราบกันโดยทั่วไปว่าคนที่หลงผิดและบ่อนทำลายศาสนามีอยู่จำนวนมาก มีอยู่โดยทั่วไป(เพียงแต่เขาไม่อาจทำได้สำเร็จ)
คุณแมทท์เป็นคนหนึ่งในบุคคลจำนวนนั้นที่เป็นผู้หลงผิดเฉกเช่นผู้ที่ก่อตั้งลัทธิหรือแนวคิดต่างๆ ซึ่งมีทั้งคนดังและคนไม่ดัง
เราต้องรู้กันว่าคนแบบนี้ถ้าไปเกิดในยุคต้นๆของอิสลาม ก็จะถูกประหารชีวิต และตำรับตำราของพวกเขาก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน
คนพวกนี้ในสังคมผมเจอมาพอสมควร คนพวกนี้ไม่ได้สนทนากับใครเพื่อต้องการแสวงหาสัจธรรม ไม่คเยต้องการยอมรับความจริง
สิ่งที่เขายึดมั่นคือตนเอง เขาสนทนากับมครก็มีจุดมุ่งหมายเดียวคือต้องการให้ผู้อื่นมีความคิดแบบเดียวกับเขา มีความเชื่อแบบเดียวกับเขา มีลัทธิเดียวกับเขา
เป็นการเสียเวลาที่จะอธิบายสัจธรรมให้เขาเข้าใจ แต่สิ่งที่เราต้องทำคืออธิบายข้อเท็จจริงให้คนัท่วไปทราบ ไม่ให้ผู้อื่นไปหลงคล้อยตามเขา(ซึ่งจริงๆอัลลอฮฺก็ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว)
ผมจึงอยากเรียกร้องให้มุสลิมที่มีความสามารถ ช่วยประหารชีวิตเขาด้วย(หากไม่เป็นการเดือดร้อนหรือไม่กลัวการเดือดร้อน)
และผู้ที่มีความสามารถในการ hack การโจรกรรมข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือปล่อยไวรัส ท่านก็ช่วยทำลายเว็บไซท์และสารที่เขาเผยแพร่ด้วย
รวมไปถึงเว็บมาสเตอร์ก็ช่วยกำจัดข้อความของเขาด้วย
และผมย้ำให้ทราบชัดๆอีกทีว่า ท่านทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนแนวคิดหรือตักเตือนเขาได้เลย เพราะเขามีเจตนาเดียว(นียะหฺ)ว่าต้องการให้คนอื่นยอมรับแนวคิดเขา
คนเหล่านี้คือมุนาฟิกีนที่ถึงเราจะตักเตือนเขาหรือไม่เขาก็ไม่เชื่อฟัง

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    อนุรักษ์มรดกอิสลาม หน้ากระดานข่าวหลัก -> ลัทธิ-นิกาย ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 10, 11, 12 ... 21, 22, 23  ถัดไป
หน้า 11 จากทั้งหมด 23

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


Powered by phpBB ฉ 2001, 2002 phpBB Group







ที่ตั้งมูลนิธิ


สำนักงาน มูลนิธิ อนุรักษ์มรดกอิสลาม
เลขที่ 27/5 หมู่ที่ 2 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ติดต่อ : 02-956-9860, 02-956-9958
E-mail : moradokislam@hotmail.com
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการนำไปเผยแพร่ในหนทางที่ถูกต้อง และควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

PHP-Nuke Copyright © 2005 by Francisco Burzi. This is free software, and you may redistribute it under the GPL. PHP-Nuke comes with absolutely no warranty, for details, see the license.
การสร้างหน้าเอกสาร: 0.27 วินาที
IPBNukeRed theme by HOLBROOKau and
PHP-Nuke Thailand ©2004
เธ‚เธญเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธตเธซเธ™เนˆเธญเธขเธ„เธฃเธฑเธšเธชเธกเธฑเธ„เธฃเธ›เธธเนŠเธšเธฃเธฑเธšเธ›เธฑเนŠเธšเน„เธกเนˆเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธ เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เน‚เธšเธ™เธฑเธชเน„เธ”เน‰เน€เธ‡เธดเธ™เธˆเธฃเธดเธ‡ slot938 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธชเธฅเน‡เธญเธ•เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaicasinobin เนเธˆเธเน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เธชเธฅเน‡เธญเธ• เธšเธฒเธ„เธฒเธฃเนˆเธฒ เธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ JQK41 เธชเธฅเน‡เธญเธ• เน€เธ„เธฃเธ”เธดเธ•เธŸเธฃเธต เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ thaibet55 kubet เน„เธ—เธขเธ„เธฒเธชเธดเน‚เธ™เธญเธญเธ™เน„เธฅเธ™เนŒ เนเธ—เธ‡เธšเธญเธฅ เธ‹เธญเธ„เน€เธเธญเธฃเนŒเธฅเธตเธ เธ„เธฐเนเธ™เธ™เธŸเธธเธ•เธšเธญเธฅ เน€เธงเน‡เธšเธžเธ™เธฑเธ™เธญเธฑเธ™เธ”เธฑเธš1 HUC99 เน€เธงเน‡เธšเธ•เธฃเธ‡ เน„เธกเนˆเธœเนˆเธฒเธ™เน€เธญเน€เธขเนˆเธ™เธ•เนŒ