อนุรักษ์มรดกอิสลาม

[san]

ถามว่า บิดาของ อาบูบักร์ ซิดดิก สหายของศาสดามุหัมหมัดชื่อว่าอะไร เพราะเท่าที่เห็น มีแต่คำว่า ซิดดิก ซึ่งเป็นฉายา ไม่เหมือนซอฮาบะห์คนอื่นๆ / ขอขอบคุณครับ

[อิลยาส]

อัสลามุอลัยกุม

ขอกลับไปทบทวนก่อนได้มั๊ยครับ...เท่าที่จำได้ ท่าน อับดุลลอฮ์ ลูกท่านอุสมาน แห่งบนู ตะมีม ที่เหลือเด่วหามาเพื่อเติมให้ครับ... อย่าเพิ่งเชื่อนะอาจจะผิด เด่วกลับมาบอกหั้ยครับ

วัสลาม

[san]

อัสสาลามูอาลัยกุม ซัน คอยอยู่ด้วยดวงใจอันระทึก

[dabdulla]

ขอเสริมข้อมูลหน่อยครับว่า

ท่านอบูบักร อมีรุ้ลมุมินีนท่านนี้ เป็นเพื่อนสนิทของท่านนบี ซล และยังเป็นผู้ที่ท่านอาลีได้กล่าวในวันที่ท่านได้รับเลือกการเป็นคอลีฟะห์ว่า ท่านอบูบักร อมีรุ้ลมุมินีน นั้นคือที่สองของในสอง ซึ่งคำนี้ เป็นคำที่ถูกใช้ในอัลกุรอ่าน

และท่านอูมัร อมีรุ้ลมุมินีน ท่านกล่าวว่า ทุกครั้งที่ฉันไปหาท่านนบี ก็จะพบว่า ท่านอีหม่ามอบูบักรนั้น จะนั่งอยู่ก่อนแล้วเสมอ และ ในยามที่ท่านนบี เรียกร้องในการบริจาค ก็จะเห็นว่าท่านอบูบักร คือผู้ที่จ่ายมันมากกว่าเสมอ

ในขณะที่ท่านเป็นคอลีฟะห์ ของบรรดาผู้ศรัทธานั้น ท่านได้พยายามทำให้บรรดาภารกิจต่างๆ ที่ท่านนบี ประสงค์ไว้ ให้สำเร็จลุล่วงไป เช่น การปราบปราม ผู้อ้างตัวเป็นนบี รวมถึงการปรามปรามบรรดา ผู้ไม่ออกซะกาต

ในขณะที่ท่านเป็นคอลีฟะห์นั้น ปรากฎว่าท่านมีฐานะที่ยากจนลง และท่านได้ประหยัดมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่เองก็ยากจนอยู่แล้ว และท่านนำเงินส่วนที่ประหยัดนั้นเข้าสู่บัยตุ้ลมาล

ในวันที่ท่านหญิงฟาติมะห์ เสียชีวิตนั้น ท่านก็ได้ถูกเชิญจากท่านอาลี ให้ก้าวมาเป็นอีหม่ามนำละหมาด เพราะท่านอีหม่ามอบูบักร และ พระนางอาอิชะห์ คือผู้ที่ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในวันแต่งงานระหว่างทั้งสอง โดยท่านอบูบักร คือผู้ดูแลทางด้านฝ่ายชาย และ พระนางอาอิชะห์ แม่แห่งศรัทธาชน ได้ดูแล ทางด้านฝ่ายหญิง

ในวันที่นบี ไม่สามารถนำละหมาดได้นั้น ท่านนบี ซล ได้ให้ท่านอบูบักรเป็นอีหม่ามแทนท่าน ถึงแม้ว่าพระนางอาอิชะห์ แม่แห่งบรรดาผู้ศรัทธา จะเสนอว่า ควรเป็นท่านอาลีก็ตาม

ทุกครั้งที่ได้ รำลึกถึงความลำบากของบรรดาซอฮาบะห์ แล้วทำให้กลับมาดูตัวเองว่า แล้วเราจะเข้าสวรรค์ของอัลลอฮได้อย่างไร โดยที่เราต่างจากพวกเขาขนาดนั้น

[san]

ผมคลับคล้ายได้ยินมาว่า ชื่อ อาติค อะไรนี่แหละ แต่ไม่แน่ใจ หากผู้รู้ หรือคุณอิลยาส มั่นใจก็ขอความกรุณาตอบให้ทราบด้วย นะครับ ขอขอบคุณ /

[mahdisaudi]

ชื่อท่านอับดุลลอฮฺ หรือ อะตีกฺ บินอะบีกุหาฟะฮฺ อุษมาน บินอามิรบินอัมรูบินกะอับ อัลกุเรช

จากหนังสือ สิยะรุ อะอฺลาม อัลนุบะลาอฺ

หรือจากเว็บไซท์
http://www.alqasas.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=155

ابو بكر الصديق

(2137 مجموع الكلمات في هذا النص)
(5831 قراءة)


هو عبد الله بن أبي قحافة، من قبيلة قريش، ولد بعد الرسول -صلى الله عليه وسلم- بثلاث سنيـن ، أمه أم الخير سلمى بنت صخر التيمية بنت عم أبيه ، كان يعمل بالتجارة ومـن أغنياء مكـة المعروفين ، وكان أنسب قريشاً لقريش وأعلم قريـش بها وبما كان فيها من خير وشـر وكان ذا خلق ومعروف يأتونه الرجال ويألفونـه اعتنـق الاسلام دون تردد فهو أول من أسلم من الرجال الأحرار ثم أخذ يدعو لدين اللـه فاستجاب له عدد من قريش من بينهم عثمـان بن عفـان ، والزبيـر بن العـوام ، وعبدالرحمـن بن عـوف ، والأرقـم ابن أبي الأرقـم000

[อิลยาส]

ญะซากัลลอฮุ คอยรอน.....

[mahdisaudi]

وحينما أسري برسول الله -صلى الله عليه وسلم- من مكة الى بيت المقدس ذهب الناس الى أبي بكر فقالوا له هل لك يا أبا بكر في صاحبك ، يزعم أنه قد جاء هذه الليلة بيت المقدس وصلى فيه ورجع الى مكة فقال لهم أبو بكر إنكم تكذبون عليه فقالوا بلى ، ها هو ذاك في المسجد يحدث به الناس ) فقال أبو بكر والله لئن كان قاله لقد صدق ، فما يعجّبكم من ذلك ! فوالله إنه ليخبرني أن الخبر ليأتيه من الله من السماء الى الأرض في ساعة من ليل أو نهار فأصدقه ! فهذا أبعد مما تعجبون منه ) ثم أقبل حتى انتهى الى الرسول -صلى الله عليه وسلم- فقال يا نبي الله ، أحدثت هؤلاء القوم أنك جئت بيت المقدس هذه الليلة ؟) قال نعم ) قال يا نبي الله فاصفه لي ، فإني قد جئته فقال رسول الله -صلى الله عليه وسلم- فرفع لي حتى نظرت إليه فجعل الرسول الكريم يصفه لأبي بكر ويقول أبو بكر صدقت ، أشهد أنك رسول الله حتى إذا انتهى قال الرسول -صلى الله عليه وسلم- لأبي بكر وأنت يا أبا بكر الصديق فيومئذ سماه الصديق

[san]

ขอบคุณ คุณอิลยาส - คุณ mahdissudi - ที่ให้ความรู้ ความกระจ่างชัดครับ
ขอบคุณอีกครั้ง

[mapledang]

เพิ่งเคยเห็นมีคนเรียก ท่านอบูบักร (ร.ด.) ว่าท่านอีหม่าม

[อิลยาส]

อัสลามุอลัยกุม
ดูหนังสือของอิหม่ามซายูตีย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้นะครับ....เอ..ชื่อหนังสือไรน๊า....
ติ๊กต๊อกๆ.......

วัสลาม

[asan]

เคาะลีฟะฮ์ อบูบักร บุตร อบูกุฮาฟะฮ์
อบูบักร บุตร อบูกุฮาฟะฮ์ ปกครอง ฮ.ศ. 11 - 13 ค.ศ. 632 - 634 รวมเวลา 2 ปี

ความประเสริฐของอบูบักร ( ร.ด. )

อัลลอฮ์ได้กล่าวเกี่ยวกับความประเสริฐของอบูบักร ว่าوسيجنبها الأتقى الذي يؤتى ماله يتزكى
" และพระองค์ทรงให้ผู้ยำเกรงห่างไกลจากไฟนรก ซึ่งเขาบริจาคทรัพย์สินของเขา เพื่อขัดเกลาตัวเขา" ( อัลลัยล์ )

عن ابن عمررضى الله عنهما عن النبى صلى الله عليه وسلم أنه قال لأ بى بكر

أنت صاحبى على الحوض وصاحبى فى الغار

ล่าจากอับดุลลอฮ์ บุตร อุมัร ( เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุมา ) จากท่านนบีมุฮัมมัด ( ซ.ล. ) ว่า แท้จริงท่านได้กล่าวแก่อบูบักรว่า “ ท่าน ( อบูบักร ) เป็นมิตรของข้าพเจ้าที่บ่อน้ำ และเป็นมิตรของข้าพเจ้าในถ้ำ ”

عن عاءـشة رضى الله عنها عن النبى صلى الله عليه وسلم قال

لا ينبغى لقوم فيهم أبوبكر أن يؤمهم غيره

ล่าจากอาอิซะฮ์ ( เราะฎิยัลลอฮุ อันฮา ) จากท่านนบีมุฮัมมัด ( ซ.ล. ) ได้กล่าวว่า “ ไม่สมควรแก่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอบูบักรร่วมอยู่ด้วย ที่คนอื่นจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนั้น นอกจากอบูบักร ”

ชีวิตปฐมวัย

อบูบักร อัซซิดดีก มีชื่อเต็มว่า อับดุลลอฮ์ บุตร อุสมาน ( อบูกุฮาฟะฮ์ ) บุตร อามิร บุตร อัมร์ บุตร กะอับ บุตร สะอัด บุตร ตัยม์ บุตร มุรเราะฮ์ มารดาของท่านมีชื่อว่า ซัลมา

อบูบักร เกิดที่มักกะฮ์ ปี ค.ศ.573 เป็นชาวอาหรับตระกูล บะนูตัยม์ เผ่ากุร็อยส์ เชื้อสายของท่านบรรจบกับเชื้อสายของท่านรอซูลที่ปู่คนที่ 6 ชื่อ มุรเราะฮ์

ท่านศาสดามุฮัมมัดได้ให้สมญานามท่านว่า " อัซซิดดีก " ( The most Truthful and sincere person in Faith ) ( ผู้ที่มีความเชื่อมั่นอย่างบริสุทธิ์ใจในการศรัทธา ) สาเหตุที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล.ได้ให้สมญานาม " อัซซิดดีก " เพราะอบูบักรได้เชื่อในคำพูดของท่านศาสดาโดยไม่มีความสงสัยใดๆ อบูบักร เป็นพ่อตาของท่านศาสดา เนื่องจากลูกสาวของท่าน คือ อาอิซะฮ์ เป็นภรรยาของศาสดา

คุณลักษณะของอบูบักร

อบูบักร เป็นคนสุภาพ ( Gentleman ) เป็นคนซื่อสัตย์ ( Honest ) และมีสัจจะ ( Truthful ) อบูบักร มีบุคลิกภาพคล้ายกับท่านศาสดามุฮัมมัด เนื่องจากว่าท่านนั้นเป็นสหายคนสนิทของท่านศาสดาตั้งแต่เยาว์วัย อบูบักร เป็นคนใจบุญ ท่านชอบช่วยเหลือคนจน พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวถึงความเสียสละและการบริจาคของอบูบักรในคัมภีร์กุรอาน ซูเราะฮ์ อัลลัยล์ อายะฮ์ที่ 17 - 18
ครั้งหนึ่ง ท่านอบูบักรได้นำเอาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่มากมายให้กับท่านศาสดาเพื่อใช้ในสงครามตะบูก ท่านศาสดาถามว่า " อบูบักร ท่านเหลือสิ่งใดไว้กับครอบครัวของท่านบ้าง " อบูบักร กล่าวว่า " ฉันเหลืออัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ไว้กับพวกเขา "
อบูบักร เป็นชายคนแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อท่านศาสดาเผยแพร่อิสลามแก่อบูบักร เขาตอบรับอิสลามทันที เมื่อท่านศรัทธาแล้วท่านก็เชิญชวนบุคคลเป็นจำนวนมากเข้ารับอิสลาม เช่น อุสมาน , สุเบ็ร , ฏ้อลฮะฮ์ , อับดุรเราะห์มาน , สะอัด , บิล้าล และผู้ศรัทธาอีกหลายคน
อบูบักร มีความผูกพันกับท่านศาสดาอย่างใกล้ชิด เป็นสหายของท่านศาสดาในขณะที่อพยพจากมักกะฮ์ไปมะดีนะฮ์ ท่านได้เข้าร่วมทำสงครามกับท่านศาสดาทุกครั้ง ท่านได้ซื้อทาสและปล่อยทาสให้เป็นอิสระเป็นจำนวนมาก ขณะที่ท่านศาสดาป่วย อบูบักรได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำละหมาด ( อิหม่าม ) ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมในการเป็นผู้นำของท่าน
อบูบักร เป็นผู้ใกล้ชิดต่อท่านศาสดา ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านศาสดาตั้งแต่เด็กจนกระทั้งท่านศาสดาเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ อบูบักรจึงเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ทางด้านซุนนะฮ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล. อย่างแท้จริง ชีวิตทั้งชีวิตของท่านได้อุทิศให้กับการเสียสละและการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์
The main reason for his success because of his honesty , nobility , trustworthiness , good morals and fair dealings
ท่านศาสดากล่าวว่า " ในบรรดาสหายที่ดีของข้าพเจ้านั้น อบูบักร เป็นผู้ประเสริฐสุด "
ผลงานของอบูบักร บุตร อบูกุฮาฟะฮ์
อบูบักร ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ ปี ฮ.ศ. 11 - 13 ( ค.ศ. 632 - 634 ) รวมเป็นเวลา 2 ปี อบูบักรมีคุณสมบัติแห่งความเป็นผู้นำที่แท้จริง ท่านเป็นผู้นำที่ดี มีคุณธรรมและถือสัจธรรมเป็นที่ตั้ง ท่านมีความกระตือรือร้น มีความขยันหมั่นเพียร มีความขันติธรรมเป็นเลิศ และเป็นคนที่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ท่านยังเป็นผู้มองการณ์ไกลและสามารถเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงสองปีที่ท่านดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ ท่านประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูอิสลามให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ท่านได้สร้างอาณาจักรอิสลามให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น มะดีนะฮ์กลายเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรอิสลามที่มีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมุสลิม ท่านสามารถปราบปรามกบฏผู้ทรยศต่อรัฐอิสลาม ท่านสามารถสร้างสรรค์ความสงบสันติและความเป็นพี่น้องภายใต้เอกภาพแห่งรัฐอิสลามให้บังเกิดขึ้น ท่านได้รวบรวมและให้บันทึกโองการต่างๆของอัลกุรอานที่กระจัดกระจายอยู่ตามแหล่งต่างๆให้มาอยู่ในที่เดียวกัน โดยทำเป็นมุสฮัฟ ( กุรอานเป็นเล่ม ) ได้อย่างสมบูรณ์

ผลงานของเคาะลีฟะฮ์ อบูบักร มีดังนี้

1. Amir ( Chief ) of Al - Hajjul Akbar (9 A . H .) ผู้นำในการประกอบพิธีฮัจญ์ (ฮ.ศ. ที่ 9)

การทำฮัจญ์ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. ที่ 9 ท่านศาสดามุฮัมมัดเพิ่งจะกลับจากการทำสงครามตะบูกกับพวกโรมัน ท่านไม่สามารถเข้าร่วมในการทำฮัจญ์ครั้งนั้นได้ ท่านจึงได้แต่งตั้งให้อบูบักร เป็นตัวแทน เป็นผู้นำมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจย์ที่มักกะฮ์ อัลกุรอาน เรียกฮัจญ์ครั้งนี้ว่า " ฮัจญ์ อักบัร " “ حج الأكبر “( The Great Hajj ) เพราะว่า เป็นฮัจญ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์อิสลามสมัยท่านศาสดามุฮัมมัด พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ ครั้งนี้ " อัลฮัจญุล อักบัร " ในซูเราะฮ์ อัตเตาบะฮ์ อายะฮ์ ที่ 3



2. Imam of Holy Prophet 's Mosque : ผู้นำละหมาดที่มัศญิด อันนะบะวีย์ แทนท่านศาสดามุฮัมมัด

หลังจากที่ท่านศาสดามุฮัมมัดกลับจากการทำฮัจญ์ในปี ฮ.ศ. ที่ 10 ( Farewell Pilgrimage ) ท่านศาสดามุฮัมมัดป่วย ไม่สามารถเดินทางไปมัศญิดเพื่อนำละหมาดได้ ท่านจึงได้แต่งตั้งให้อบูบักร เป็นผู้นำละหมาดแทน อบูบักรนำประชาชนละหมาดในมัศญิดอันนะบะวีย์ในขณะที่ท่านศาสดายังมีชีวิตอยู่ จึงทำให้นักวิชาการบางคนมีความเห็นว่า เป็นการบอกกล่าวอย่างเป็นนัยว่า อบูบักร คือ ผู้นำ ผู้ปกครองมุสลิมต่อจากท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล.

3. Usamah' s Expedition การส่งกองทหารของอุซามะฮ์ไปปฏิบัติการนอกประเทศ

สืบเนื่องจากการที่เซ็ด บุตร ฮาริซะฮ์ ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของท่านศาสดาได้ตายชะฮีดในการรบกับพวกโรมันที่ มุอ์ตะอ์ ในปี ฮ.ศ. ที่ 8 ก่อนที่ท่านศาสดาจะเสียชีวิตท่านได้แต่งตั้งให้อุซามะฮ์ บุตร เซ็ด เป็นแม่ทัพไปรบกับพวกโรมัน ข่าวคราวการป่วยของท่านศาสดาบังเกิดขึ้นจึงทำให้กองทัพของอุซามะฮ์ต้องเลื่อนออกไป

หลังจากที่อบูบักรขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ งานแรกที่ท่านกระทำคือ จัดส่งกองทหารของอุซามะฮ์ไปรบกับพวกโรมันที่ซีเรีย ภายใน 3 สัปดาห์ กองทหารของอุซามะฮ์ก็กลับมาพร้อมกับชัยชนะที่มีต่อชาวโรมัน

ชัยชนะที่มีต่อโรมันครั้งนี้ ทำให้ศัตรูของอิสลามรู้ว่า แม้ว่าท่านศาสดามุฮัมมัดได้ตายจากไปแล้วแต่อิสลามก็ยังคงอยู่ มุอ์มิน ผู้ศรัทธาพร้อมที่จะยืดหยัดต่อสู้ตามเจตนารมณ์ของท่านศาสดา ด้วยเหตุนี้ คนบางกลุ่มจึงไม่กล้าเป็นศัตรูต่ออาณาจักรอิสลาม

4. False Prophets : การปราบปรามศาสดาปลอม

เมื่อท่านศาสดามุฮัมมัดได้สวรรคต ประชาชนบางกลุ่มตามหัวเมืองต่างได้แสดงการกระด้างกระเดื่องต่ออิสลาม บางคนก็อ้างตนเป็นศาสดา บางคนก็ตกมุรตัด สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม เพื่อให้อาณาจักรอิสลามมีความมั่นคง และเพื่อให้มุสลิมปฏิบัติตามหลักการอิสลาม อบูบักรจึงแต่งตั้งแม่ทัพ ดังนี้

1. กองทัพของคอลิด บุตร อัลวะลีด เดินทางไปปราบ ฏุลัยฮะอ์ อัลอะซะดีย์ ผู้อ้างตนเป็นศาสดา ที่อารเบียเหนือ

2. กองทัพของอิกริมะฮ์ บุตร อบูญะฮัล เดินทางไปปราบ มุซัยละมะฮ์ อัลกัซซาบ ผู้อ้างตนเป็นศาสดา ที่ยะมามะฮ์

3. กองทัพของมุฮาญิร อิบนิ อบีอุมัยยะฮ์ เดินทางไปปราบ อัล อัสวัด อัล อันซีย์ ผู้อ้างตนเป็นศาสดา ที่ซอนอะฮ์

4. กองทัพของอัมร์ อิบนุลอาศ เดินทางไปปราบ สะญาฮ์ อัตตะมีมียะฮ์ หญิงผู้อ้างตนเป็นศาสดา ที่กุฏออะฮ์

5. กองทัพของ คอลิด อิบนิ สะอีด อิบนิลอาศ เดินทางไปปราบกบฏที่ซีเรีย

6. กองทัพของอะลาอ์ อิบนิลฮัฏรอมีย์ เดินทางไปปราบกบฏที่ บาห์เรน

7. กองทัพของหุซัยฟะฮ์ อิบนุมะฮ์ซอน อัลฆอลฟานีย์ เดินทางไปปราบกบฏที่โอมาน

8. กองทัพของ สุวัย อิบนุมุก็อรริน เดินทางไปปราบกบฏที่ติฮามะฮ์ ใกล้กับโอมาน

9. กองทัพของชุรหะบีล อิบนุ หะซะนะฮ์ เดินทางไปสนับสนุนกับกองทัพ อิกริมะฮ์ และ อัมร์

กองทัพของมุสลิมสามารถปราบปรามบรรดาศาสดาปลอมและบรรดากบฏต่างๆได้ทั้งหมด

5. Collection of the Holy Quran : การรวบรวมอัลกุรอาน

ในสมรภูมิยะมามะฮ์ ผู้ที่ท่องจำอัลกุรอานเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ท่านอุมัรจึงเสนอให้อบูบักร รวบรวมกุรอานขึ้นเป็นเล่ม ท่านอบูบักรจึงได้แต่งตั้งให้เซ็ด บุตร ซาบิต เป็นหัวหน้าในการรวบรวมกุรอาน เพราะเซ็ดเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด และเคยเป็นผู้บันทึกอัลกุรอานให้แก่ท่านศาสดา วิธีการรวบรวมกุรอานของเซ็ด คือ สอบทานอัลกุรอานที่ตนเองได้บันทึกไว้ ให้ผู้ท่องจำและจดบันทึกกุรอานมาสอบทาน รวมถึงการนำเอาแผ่นบันทึกอัลกุรอานที่มีอยู่บนแผ่นหนัง กระดูกสัตว์ ก้านอินทผลัม ซึ่งอยู่ที่บ้านของศาสดามา ท่านได้รวบรวมบันทึกขึ้นโดยเรียงลำดับอย่างเรียบร้อย เริ่มตั้งแต่ซูเราะฮ์ ฟาติฮะฮ์ ถึง ซูเราะฮ์ อันนาส

6. Abu Bakr , a Saviour of Islam อบูบักร ผู้ช่วยเหลือ ผู้ค้ำจุนอิสลาม

It was in the time of Abu Bakr that Islam started to cross the Arabian borders.

A major part of Iraq came under his rule and Muslim armies had captured many important cities of Syria. Thus Islam , the religion of whole mankind , started to be a world religion in his period. Abu Bakr ' s caliphate lasted for only two years , three months and ten days.

ผลงานของท่านอบูบักรได้เป็นข้อพิสูจน์ว่า " ชีวิตทั้งชีวิตของท่านได้อุทิศเพื่ออิสลาม

[อิลยาส]

ข้อมูลขนาดนนี้นะจะพอนะครับ ขออัลลอฮ์ตอบแทนทุกท่าน

[san]

พอครับ ขออัลลอฮ์ตอบแทนทุกท่าน