ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
ahlussunnah มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 25/06/2004 ตอบ: 43
|
ตอบ: Sun Jun 27, 2004 5:33 am ชื่อกระทู้: Are you shi-ah? Matt |
|
|
I opened this column to you and morodokislam's teacher only.
Pls other people don't post anything in this column because I saw Matt answer every questions like Shi-ah people.
You don't need to lie every body becasue i've been shi-ah before and known about your method well.
Assalamuilaikum
Unless Matt
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
nop มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/02/2005 ตอบ: 89
|
ตอบ: Thu Feb 24, 2005 9:41 pm ชื่อกระทู้: Re: Are you shi-ah? Matt |
|
|
ไม่ใช่ครับ เค้าเป็นลัทธิใหม่ ห่างไกลจากอิสลามครับ
หุกุมตกศาศาสนาเช่นกันครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Thu Feb 24, 2005 11:30 pm ชื่อกระทู้: Re: Are you shi-ah? Matt |
|
|
คุณ ahlussunnah
ผมเป็นมุสลิมครับ ผมไม่อยากจะ แยกมุสลิมออกเป็น นิกาย พวก หรือ กลุ่ม ตาม ผู้นำต่างๆ ผม ต้อง การ เห็น อิสลาม บริสุทธิ์ และเป็นมรดกที่ดี ของ ยุวมุสลิม สืบต่อไปเป็นเวลานานทีเดียว เหตุที่ผมคัดค้าน "บุคอฮ์รีย์" ไม่ใช่เพราะ เป็น ชิอะต์ ผมคัดค้าน และไม่เห็นด้วย กับ การ นับถือ อิหม่าม 12 และ ชีอะต์ ฮะดีษ เช่นกัน
ผมมีความข้องใจทุกๆ ครั้ง ที่ ทำไมมุสลิม จึง หลงศรัทธา ในข้อเขียน เรื่องราว เกี่ยวกับท่าน รอซูล ไป ในทาง ที่ทำให้ เสื่อม เสีย คุณลักษณะ ของ ท่านรอซูล ที่ บรรยาย ไว้ ใน อัลกุรอาน สิ่งที่ ผมเสียดาย และเสียใจมาก เวลานี้ ก็คือ บรรดา ครูอาจารย์ ที่ มีความรู้ ดีๆ และ เข้า ใจ เหตุ และผลดี ว่า ใน อะฮะดิษ นั้น มี ข้อ บกพรอ่ง อยู่ มาก แต่ ไม่พยายาม หาทาง แก้ ไข และ อธิบาย ให้ เยาวชน เข้า ใจ ให้ ถูก ต้อง
ผมเพิ่งมาตัดสินใจ นำเอาความรู้สีก อันนี้ ออกมา สู่ สังคม มุสลิม เมื่อ ตอน เข้า ไป ร่วม เสวนา ในเวบ muslimthai.com เพราะเข้า ใจว่า คงจะได้ คุย แล ะได้ อธิบายให้ เข้า ใจ ว่า เรา ควร จะ วางแนวทาง การสอน ศาสนา ในรูปใด จึงจะถูก แนว ทาง ที่ ท่านรอซูล กระทำ และตาม ที่อัลกุรอาน บัญญัติไว้ จาก อัลกุรอาน เรา ทราบ ว่า ท่านรอซูล ไม่ได้ ใช่ แหล่งความรู้ อื่น ใด นอก จาก อัลกุรอาน เท่า นั้น
คุณจะเห็น ว่า ชึอะต์ ก็มีความเชื่อ ที่ออกนอกลู่ นอกทาง ของหลักการ อิสลาม ไป อย่าง มาก จน การ กระ ทำ บาง อย่าง ถือ ว่า เป็น "ชิริก" จนอาจารย์ บางท่าน ไม่ ยอม รับ ว่าเขา เป็น มุสลิม แต่ สำหรับผมๆ ไม่มีสิทธิ ที่จะ ตัดสิน ว่า ใคร เป็น "กาเฟร" หรือ เป็น มุสลิม เพราะ เป็น สิทธิ ของ "อัลลออ์" เท่านั้น
ผมเป็นมุสลิม ในจำนวน 90% ของ มุสลิม ทั่ว โลก ที่ พยายาม จะ หาทาง นำ อิสลาม กลับ มา สู่ ความสนใจ ของ เยาวชน โดยที่ พยายาม จะ หาข้อ บกพร่อง ของ การ ปฏิบัติ และ การ สอน ที่ ผิด ไป จาก หลักการ ของ อิสลาม ทำให้ มุสลิม ไม่กล้า ใช้ เหตุ ผล นอก จาก ใช้ ความกลัว หลอก ล่อ แทนที่จะ ทำ ให้ เด็ก ศรัทธา ด้วย หลักการ ของ อิสลาม จาก ความ เข้า ใจ เหตุ และ ผล
ผมไม่ได้ สร้างลัทธิใหม่ ขึ้น มาเลย เพียง แต่ผม มอง อิสลาม ในแง่ Positive และผมเห็น สิ่ง ที่เป็น Negative และขัด ต่อ หลักการ ของ อิสลาม มีอยู่ ใน "อะฮะดีษเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ความ เชื่อ ของ ชาว "ชีอะต์" ทำให้ ภาพพจของ อิสลาม ไป ในทาง ที่น่า กลัว มาก
แต่ ในมุสลิมส่วนใหญ่ที่เรียกหรือ ถูกเรียกว่า "ซุนนีย์มุสลิม" นั้น มีความเคร่งครัด ต่ออะฮะดีษมาก ความเป็น อยู่ ก็ สงบ อยู่ ใน สังคมที่ม ความสุภาพ และ เคร่งครัด ใน หลัก ปฏิบัติ ตาม ประเพณึ รวมทั้งผม และครอบครัว ผมมาแต่ ต้น ตระกูล จาก "อัฟกานิสตาน" แต่ข้อเสีย ของ สังคมนี้ ก็ คือ ยึดติด กับ คำสอน ของ ตัว ผู้ นำ หรือ ตัว บุคคล ที่ใช้ ฮะดิษ และแปลฮะดิษ ออกมา ใน รูป ต่างๆ กัน ทั้ง นี้ เพราะ ว่า ในอะฮะดิษ นั้น มี สารพัด สิ่ง ที่ ลบล้าง กัน เอง หรือ สิ่งที่ขัด กับ สามัญสำนึก ขัด กับ อัลกุรอาน และ ขัด กับ คุณ ลักษณะ ของ ท่าน รอซูล โดยเหตุนี้ จึง ทำ ให้ แตก ออก เป็น Fractions ต่างๆ ใน กลุ่ม ซุนนีย์
การถือศิลอด และ วันอิด ต่างๆ ที่ ปฏิบัติ ไม่ ตรงกัน เป็น ข้อ แสดง ให้ เห็น ถึง การ แตก แยก ใน สังคม มุสลิม ไทย เรา คุณ จะเห็น ว่า มรรยาท ของ ผู้ สนทนา ใน เวบ มุสลิม ต่างๆ ของ บาง ท่าน แสดง ให้ เห็น ว่า การสอน ที่ดำ เนิน ไป ด้วย การ หลอกล่อ ด้วย สวรรค์ หรื อ รางวัล หรือ การ ขู่ เรื่อง นรก ต่อ เด็กๆ นั้น ล้าสมัยไปแล้ว เราควร จะสอน ด้วย เหตุผล เพื่อ ให้ ได้ มุสลิม ที่ มี คุณ ภาพ
พี่สาวผม นำเด็กหญิง ที่ ไม่ใช่ มุสลิม แต่ ยาก จน มาเลี้ยง ไว้ ตั้งแต่ 8 ขวบ ส่ง ไปเรียน โรงเรียนมุสลิม และ ให้การศึกษา และการอบรม ในแบบเหตุและผล เด็ก นั้น เติบโต ปฏิบัติ อีมาน ครบทุกอย่าง เดี็ยวนี้ อายุ 18 แล้ว และ เป็น มุสลิมมะที่ดี เป็นผู้ใหญ่ที่มี ความกล้า และ ใช้ เหตุผล สามารถที่จะตอบโต้หลักการ ศาสนา อย่าง มี เหตุผล มีมรรยาท และ คาม ประพฤติ สุภาพ มาก เขาสวมฮิยาบ ตามที่โรงเรียน สอนมา ผมก็ไม่ได้ ไป ห้าม อะไร แต่ อธิบาย ประวัติ ฮิญาบ ให้ ฟัง ซึ่ง เขา จะ เชื่อ หรือ ไม่ ผม ไม่ เคย บัง คับ กลับสอน ให้ ปฏิบัติ ตาม ที่ ครูสอน
คุณคงจำได้ เมื่อสมัยก่อน มีการถกเถียงกันว่า การละหมาด จะต้อง สวม หมวก หรือ ไม่ สวม หมวก แต่ใช้ เวลา กว่า 50 ปี ในที่สุด เรื่อง การ สวม หมวก หรือ ไม่ สวม หมวก ก็ตก ไป
ผมต้องขอมะอัฟ คุณ และมุสลิมทุกๆท่าน ที่ข้อเขียน ของ ผม อาจจะ ขัดต่อ ศรัทธาของ มุสลิม ส่วน ใหญ่ ในเรื่อง อะหะดีษ ของ บุคอฮ์รียฺ ไม่ใช่แต่ผมคนเดียว เท่านั้น ที่เริ่ม ข้องใจ เกี่ยว กับ ความ แน่นอน ของ อะฮะดิษ เหล่านี้ แต่ ท่าน ผู้ รู้ อีก เป็น จำนวนมา ใน หลาย ประเทศ กำลัง หาทางที่ จะ Clean up อะฮะดิษ เพื่อ ปรับ ปรุง คุณ ภาพ ของ สังคม มุสลิม
ผมหวังว่า คุณ คงเข้าใจ Position ของ ผม ในเรื่อง อะหะดิษ คือ ผมไม่ เชื่อ ว่า เป็น วะฮีย์ และมี ตำแหน่ง ในอิสลาม เทียบ เท่า หรือ เป็น ที่ สอง รอง จาก อัลกุรอาน ตามเหตุผล ที่อธิบาย มาจาก กระทู้ ต่างๆ แล้ว ทั้งนี้ เพราะ เป็น เรื่อง บอกเล่า อีกประการหนึ่ง ท่านรอซูล ไม่ได้ เทศนา และ สั่ง ให้ คน บันทึก คำเทศนา ของ ท่าน ความจริงแล้ว ท่าน กลับ ห้าม การ จด บัน ทึก สิ่งที่เกี่ยว กับ ตัว ท่าน นอก เสีย จาก อัลกุรอาน เท่านั้น ถ้าคุณเชื่อ ฮะดีษ คุณ จะต้อง เชื่อ ว่า ท่านรอซูล สั่ง ห้าม การ บันทึก เรื่อง ราว เกี่ยว กับ ตัวท่าน ทั้งนี้ เพราะ จะทำ ให้ มุสลิม หัน เหความศรัทธา จากอัลลอฮื แต่ มายึดติด กับ ตัวท่าน ดัง ที่ ปรากฏ อยู่ ทุก วันนี้ ทั้ง นี้ เพราะ ว่า มุสลิม ไม่เชื่อ ฟัง คำสั่ง ของท่าน ในเรื่อง การ บัน ทึก "อะฮะดีษ"
แมทท์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
abubilal มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 18/03/2005 ตอบ: 1
|
ตอบ: Fri Mar 18, 2005 3:44 pm ชื่อกระทู้: Re: Are you shi-ah? Matt |
|
|
คัดลอกมาจาก
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3271353/Y3271353.html
***********************************************************************************************************
***********************************************************************************************************
ความคิดเห็นที่ 23
จาก คห. 1 ...
แมทท์อ้างว่า....
เนื่อง จากว่า การ แต่งกายไม่ ได้ เป็น หลักประกัน ความ ดี หรือ ความมีศีลธรรม ของบุคคล, ดังนั้น พระ องค์ อัลลอฮ์ จึ่งได้ มีโองการว่า
แต่เครื่องนุ่งห่มที่ดีที่สุด ก็คือความเป็นผู้ที่มีคุณธรรม อยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรม (มีอีมานตามแนวทาง ของ อัลลอฮฺ), [7:26]
ที่กล่าวมานี้ เพื่อที่จะ อธิบาย ให้มุสลิม เข้า ใจวว่า หัวใจของการเป็น มุสลิมที่ดี ไม่ได้ อยู่ ที่การ สวม ฮิญาบ, ถ้า สวม ฮิญาบ แล้ว พูด จาไม่สุภาพ ต่าทอ ผู้อื่น อย่าง หยาบ คาย , ไม่ช่วยเหลือ เพื่อน มนุษย์ โดย ไม่เลือกหน้าหรือศาสนา, กำการ โหดร้าย ทารุณ ต่อ คน และสัตว์, เป็น หมอดู หรือ ไป ดู หมอ หรือ ทำการการทำ ที่ เป็น ชิริก, การประพฤติเข่นนี้ ไม่ ใช่ รูปแบบ ของ มุสลิม แต่เป็น ตัว แทน ของ อิสลาม ที่เลว
========================
การเป็น มุสลิมที่ดี ไม่ได้ อยู่ ที่การ สวม ฮิญาบ,
ใช่
ถ้า สวม ฮิญาบ แล้ว พูด จาไม่สุภาพ ต่าทอ ผู้อื่น อย่าง หยาบ คาย ,
.ครับ
ไม่ช่วยเหลือ เพื่อน มนุษย์ โดย ไม่เลือกหน้าหรือศาสนา,
..ถูก
กำการ โหดร้าย ทารุณ ต่อ คน และสัตว์,
..จริง
เป็น หมอดู หรือ ไป ดู หมอ หรือ ทำการการทำ ที่ เป็น ชิริก,
.แน่นอน
การประพฤติเข่นนี้ ไม่ ใช่ รูปแบบ ของ มุสลิม แต่เป็น ตัว แทน ของ อิสลาม ที่เลว
. แล้วคุณเอาตัวอย่างเลวๆอย่างนั้นมาเป็นข้ออ้างให้คนที่เขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับบทบัญญัติของพระองค์ ด้วยการทำให้มันแตกต่าง คือสลัดผ้าคลุมศีรษะทิ้งเสีย อย่างนั้นหรือครับ?
ขออภัย ที่พาดพิงถึงศาสนาพุทธ.... เครื่องแบบภิกษุสงฆ์ คือผ้าไตร 3 ชิ้น โดยทั่วไปใช้สีเหลือง ที่เรียกกันว่า ผ้าเหลือง นอกจากบางสำนักอาจใช้สีกระ หรือ เขียวไปเลยก็เคยมี นั่นคือเครื่องแบบของบุคคลที่อยู่ในศีลในธรรมตามหลักศาสนาพุทธ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มี เหลือบ บางตัวที่อาศัยผ้าเหลืองหากินทำเรื่องเสื่อมเสียต่างๆนานาในคราบผ้าเหลืองซึ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดในที่นี้ ผมเข้าใจว่าเราทุกท่านทราบกันดีอยู่ ดังนั้นถ้าจะว่ากันตามทฤษฎีโคมลอยของคุณแมทท์ พระสงฆ์ดีๆทั่วโลกมิต้องเปลี่ยนเครื่องแบบซะให้หมด กระนั้นหรือ? จะได้ไม่เหมือนกับพวกเลวๆเหล่านั้น
หิญาบ นี่ก็เช่นเดียวกัน บัญญัติยังคงเป็นบัญญัติ ใครปฏิบัติตามด้วยใจศรัทธาอย่างแท้จริง สิ่งที่เขาได้รับก็คือ ความโปรดปรานจากพระผู้ทรงสูงสุด ใครสับปลับตลบตะแลง แสร้งทำเหมือนตัวเหลือบ เคลือบแฝงเข้ามาปะปนในกลุ่มผู้ศรัทธา หรือสักแต่ทำๆไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นตามคำสั่งของอัลลอฮฺและรอซูลอย่างแท้จริง.... หัวจิตหัวใจเขาเป็นเช่นไร อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง และพระองค์จะเป็นผู้ทรงชำระตัดสินเขาเอง
=======================
ไม่มีอายะห์ ใด ในอัลกุรอาน ที่ บัญญัติ ว่า สตรี มุสลิม จะต้อง สวม ฮิญาบ เราจะเห็น ว่า บรรดา ครูอาจารย์ ที่ หันหลัง ให้ อัลกุรอาน แต่ไปยึด ถือ หนังสือเล่มที่สองที่มนุษย์ประดิษฐื ขึ้น มาเป็น หลักการ ของ อิสลาม นั้น จะอ้าง อัลกุรออาน อายะ 24:31 ที่กล่าวว่า
และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮฺให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และ ให้ พวกเธอรักษาทวารของ พวกเธออย่าเปิดเผยเครื่องประดับ ของพวกเธอเว้น แต่ สิ่ง ที่พึง เปิดเผยได้, และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะ ของเธอลงมา ถึงหน้าอกของเธอ และ อย่าให้เธอเปิดเผย เครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอหรือบิดา ของพวกเธอหรือบิดาของสามีของพวกเธอหรือลูกชายของพวกเธอ... (อัลกุรอาน 24 : 31)
ในอายะนี้ ไม่มี คำพูดใดหรือ ประโยคใดที่กล่าวว่า จงดึงผ้า ขึ้นมา คลุมศรีษะ แต่ในทางตรงกันข้าม ในอัลกุรอาน มีบัญญัติ ให้ สตรีมุสลิม ดึงผ้า ที่คลุมศรีษะอยู่แล้ว ลงมาปิดหน้าอกของเธอ เพื่อ ไม่ให้ดูเป็นการเปิดเผย ทรวงอก และคำว่า คิมัร ไม่จำเป็น จะต้องแปลว่า ผัาคลุม ศรีษะ แต่ เพียง อย่าง เดียว คิมัร แปลว่าผ็าคลุม จะเป็นผ้าคลุม ศรีษะ, คลุมไหล่ หรือ คลุม อะไรก็ได้ และให้เธอปิดด้วยผ้า คลุมศีรษะ ของเธอลงมาถึงหน้าอก ของเธอ และอย่าให้เธอ.....
=======================
ในอายะนี้ ไม่มี คำพูดใดหรือ ประโยคใดที่กล่าวว่า จงดึงผ้า ขึ้นมา คลุมศรีษะ
ก็ใช่นะสิ เพราะอัลลอฮฺบอกให้ ดึงลงมา แต่กระนั้นก็ดี คุณก็ยังพยายามดันทุรังตีความกลับตะละปัดไปอีกว่า
แต่ในทางตรงกันข้าม ในอัลกุรอาน มีบัญญัติ ให้ สตรีมุสลิม ดึงผ้า ที่คลุมศรีษะอยู่แล้ว ลงมาปิดหน้าอกของเธอ
จากภาคก่อนๆที่คุณพยายามบิดเบือนบัญญัติมาโดยตลอด ผมเข้าใจว่า ตรงนี้คุณคงหมายถึงให้ ย้าย ผ้าคลุมที่เคยอยู่บนศีรษะลงมาปิดหน้า ให้หัวโล่งผมสยาย ???
โปรดทำความเข้าใจซะใหม่นะครับ
จะศึกษากุรอาน ไม่ใช่แค่อ่านกระท่อนกระแท่น แล้วตีความกันเอาเองตามใจชอบแบบนี้นะครับ ศึกษาให้ลึกทั้งด้านภาษา สังคม ภูมิหลัง สภาพแวดล้อมในยุคนั้นสมัยนั้น กับอะไรต่ออะไรอีกเยอะ แล้วจึงค่อยนำทั้งหมดนั้นมาประมวลกันอีกที
คุณแมทท์ จั่วหัวว่า ฮิญาบ เป็นประเพณีของคริสเตียนมาแต่ดั้งเดิม ครับ หัวเรื่องน่ะถูก... ไม่เถียง.... และไม่เฉพาะแต่คริสเตียนดอกหรอกนะครับ ยิวก็ได้รับคำสั่งให้คลุมศีรษะเหมือนกัน คลุมแบบเดียวกับที่สตรีมุสลิมคลุม แต่มายุคหลังๆ ขมวดปมรวบผ้าคลุมศีรษะที่เคยผูกไว้ใต้คางกลับถูกย้ายไปไว้ท้ายทอยด้านหลัง เผยให้เห็นลำคอและทรวงอก อัลลอฮจึงทรงกำชับสตรีมุสลิมให้ดึงมันกลับมาไว้ที่เดิม นั่นคือ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะ ของเธอลงมา ถึงหน้าอกของเธอ คือบนศีรษะก็ยังคลุมอยู่ ส่วนปลายของมันก็รวมมาปิดลำคอและทรวงอกให้เรียบร้อยครับ
ส่วนคำว่า คิมาร ที่คุณแมทท์พยายามบิดเบือนภาษาให้พลิกผันไปตามทฤษฎีปฏิเสธคำสั่งนบีของคุณนั่นก็เช่นกัน ไม่ว่าจะแปลอย่างไรก็ตาม ความหมายของมันคือ ผ้าคลุมศีรษะ อยู่วันยันค่ำครับ และไม่ใช่ใช้เฉพาะกับผู้หญิงนะครับ ถ้าผู้ชายคลุมศีรษะ เขาก็ใช้คำนี้เหมือนกันครับ แม้ว่าคุณแมทท์จะพยายามทำให้มันเป็นผ้าคลุมโต๊ะ(อย่างที่เคยบิดเบือนมาแต่ไหนแต่ไร) เมื่อใดก็ตามที่มันขึ้นมาอยู่บนศีรษะ เขาก็ เรียก คิมาร ครับ คิมารที่มันคลุมศีรษะอยู่นี่ละครับที่อัลลอฮฺทรงสั่งให้สตรีมุสลิมรวบมาปิดทรวงอก แล้วค่อยเอาเสื้อคลุม(ญิลบาบ-ญะลาบีบ)กระชับทับอีกทีเพื่อไม่ให้เห็นทรวดทรงองค์เอว ส่วนโค้งส่วนเว้าของสรีระร่างกาย .... ทราบเช่นนี้แล้วก็กรุณาอย่า ดันทุรังไปอีกเลยครับ สีข้างจะถลอกปอกเปิกซะหมด..นะลุงแมทท์
=====================
คำว่า เอาเราะฮฺ หมายถึง สว่น ที่ อุดจาด ของร่าง กาย มนุษย์ ทั้งหญิง และชาย และ คำจำกัดความ ของคำว่า เอาเราะฮฺ ไม่ได้ ระบุไว้ ในอัลกุรอาน,พระองค์ อัลลอฮ์ ทรงมีความเมตตา กรุณา ยิ่ง พระองค์ ทรง เปิด โอกาศ ให้ เป็น การ ตัด สิน ใจ ของ สตรี ที่จะ คิด เอาเอง ว่า ควร จะ แต่ง กาย ให้ เหมาะสม อย่าง ไร เพราะว่า บัญญัติ ของ พระองค์ สำ หรับ มนุษย์ ชาติ ทั่ว โลก ไม่ ใช่ เฉพาะ ชาวอรับ เท่า นั้น และการ แต่ง ตัว จะ ต้อง ให้ เหมาะ สม กับ ท้อง ถิ่นนั้นๆ ท่านผุ้ชาย หรือ อีมาม ไม่มีสิทธิที่จะ กำหนด เรื่อง การแต่งกาย ของ เพศหญิง
=====================
แปลเข้าไปได้งัยครับ เอาเราะฮฺ หมายถึง สว่น ที่ อุดจาด ของร่าง กาย มนุษย์ ทั้งหญิง และชาย ????
เป็น งง จริงเล้ย
.
เอาเราะฮฺ หมายถึง ส่วนพึงอาย ส่วนพึงสงวน รักษาไว้ไม่เปิดเผยแก่บุคคลภายนอก ขอบเขตพื้นที่ในบริเวณบ้าน ที่ที่เป็นส่วนตัว เค้าก็เรียก เอาเราะฮฺ เหมือนกัน...บุคคลภายนอก ห้ามเข้า
คุณ แมทท์ บอกว่า อุดจาด ... ที่ถูกต้องเขียน อุจาด ครับ ... คำนี้มันแปลว่า น่าเกลียด
แต่เรือนร่างมนุษย์เนี่ยมันไม่ได้น่าเกลียดนะครับ มันดี มันสวยงาม คุณบอกว่า น่าเกลียด...คุณกำลังประณามการสร้างของอัลลอฮฺนะครับ....โปรดระวัง!
95:4. โดยแน่นอนเราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง
มันคือความเมตตาที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่มนุษย์ทั้งหญิงและชายให้ได้เชยชมความงดงามแห่งสรีระร่างกายของคู่ครองของตน เป็นเอกสิทธิเฉพาะคู่สามี-ภรรยา มิใช่ของสาธารณะที่ใครผ่านไปผ่านมาก็สามารถเชยชมความงามนั้นได้โดยเปิดเผย
คุณแมทท์พยายามกุทฤษฎีขึ้นมาใหม่อีกว่า พระองค์ อัลลอฮ์ ทรงมีความเมตตา กรุณา ยิ่ง พระองค์ ทรง เปิด โอกาศ ให้ เป็น การ ตัด สิน ใจ ของ สตรี ที่จะ คิด เอาเอง ว่า ควร จะ แต่ง กาย ให้ เหมาะสม อย่าง ไร เพราะว่า บัญญัติ ของ พระองค์ สำ หรับ มนุษย์ ชาติ ทั่ว โลก ไม่ ใช่ เฉพาะ ชาวอรับ เท่า นั้น
เอาละสิ อย่างนี้แปลว่า ท้องถิ่นไหนแต่งตัวกันอย่างไรเป็น ok หมดสิครับ???
ในโลกเราเนี่ย มีตั้งแต่ปกปิดมิดชิดทั่วเรือนร่าง ไปจนถึง เหลือแค่ตะปิ้งชินน้อยปิดอวัยวะส่วนนั้นกันฝุ่น นั่นก็ ok ด้วยสิ เพราะเขาไม่ถือสากัน เขาเคยชินกัน
อย่าคิดเดาเอาเองเลยครับคุรแมทท์ แต่ถ้าจะยืนกรานอย่างนี้ต่อไป .... ขออย่างเถอะครับ
อย่าอ้างว่า สิ่งที่คุณโฆษณาชวนเชื่ออยู่นั่นคือ อิสลาม
บอกไปเลยว่า เนี่ย... ศาสนาแมทท์ - Mattism.... ใครชอบใจเชิญมาเข้ารีตได้เลย
------------------------
นี่แค่ จาก คห.1
ยังมีให้ชะแหละอีกเยอะครับ...
ถ้ากระทู้นี้ยังไม่ล่ม...และ
ถ้าเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮฺ จะมาแถลงต่อครับ
บาย!
จากคุณ : AlGhuraba - [ 10 ก.พ. 48 12:33:30 A:202.183.237.125 X: TicketID:071854 ]
***********************************************************************************************************
***********************************************************************************************************
ที่มา
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3271353/Y3271353.html
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Tue Apr 05, 2005 11:39 pm ชื่อกระทู้: Re: Are you shi-ah? Matt |
|
|
ผู้ที่ยึดถือ อะหะดีษของบุคอรีและของบุคคลอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่หะดีษที่กล่าวออกมาด้วยวาจา ของ ท่าน รอซูลมูฮัมมัด โดยตรง แล้ว เขาเหล่านั้น จะต่อต้านคัดค้าน ผมและ ผู้ที่ บอกว่า เรื่อง เล่า เกี่ยวกับท่าน รอซูลมูฮัมมัด โดยบุคอรีและอื่นๆนั้น เป็น เรื่อง ที่ไม่สามารถ จะ พิสูจน์ ความแท้ จริงได้, และบางท่านก็ ถึงกับประนาม ว่า เป็น ผู้ ขาดศรัทธา ต่อศาสนาอิสลาม ไปเลย
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า บรรดาท่านครูและผู้ที่ลงทุนลงแรงไป เมืองนอก เมืองนา ไป ศึกษา เฉพาะเรีื่อง วิชาการอะหะดีษนั้น ถ้าตัด เอาเรื่อง เล่าเกี่ยวกับท่าน รอซูลมูฮัมมัด ออก ไปจาก หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลามของพวกเขา แล้ว พวกเขาเหล่านั้น จะไม่มีอะไร เหลือที่จะ นำมา เป็น หลักในการ สอนและปฏิบัติ ตามหลักการของอิสลามเลย
ทั้งนี้ เพราะ เขา เหล่านั้น ไม่มีศรัทธา ในความละเอียดและความสมบูรณ์ ในอัลกุรอาน ว่า เพียงแต่ อัล กุร อาน เท่านั้น ที่อัลลอฮ์ และท่านรอซูล มูฮัมมัด นำมามอบให้ และกำชับ อย่าง นักหนา ให้ มุสลิม ยึดถืออัลกุรอานเท่านั้น เป็น หลัก ปฎิบัติ ในการเรียน การ สอน ศาสนา อิสลาม และถ้ามุสลิมทั้งหลาย เข้าใจ ในเรื่อง นี้ แล้ว บรรดาท่านครูและ ผู้สำเร็จ ในวิชาการ อัลหะดีษ เหล่านั้น จะ หมด การทำมาหากิน ในการ แปลอะหะดีษขาย เพื่อ การ ค้า และผู้ที่จบ วิชาการ อะหัดีษมาก็จะ เสียเวลาและ เงินทอง ไป โดย เปล่า ประโยชน์
โดย เหตุนี้ เขาเหล่านั้น จึงจำเป็น ต้อง ต่อต้าน อย่าง หลับหูหลับตา ถึงแม้ว่า ในหัว ใจ ของเขา เหล่านั้น จะเข้าใจใน ความไม่แท้จริง การแก้ไข การปลอมแปลง และการ ขัด แย้ง ใน อะหะดีษ ที่เขา เหล่า นั้น เรียน กันมา ก็ตาม
ขัอความข้างบนนี้ที่คุณ abubilal คัดลอกมาจาก พันทิพ เป็น ตัวอย่าง ที่ดีอันหนึ่ง ที่ แสดง ถึงความไม่เข้าใจและขาดข้อมูลที่ดี จึงทำให้การ อธิบายเปรียบเทียบ เรื่อง ฮิญาบ ของคุณ AlGhuraba เป็น การชักนำให้ มุสลิม ทำ ชริก ไปโดยไม่รู้ตัว
อิสลามเป็นศาสนาของพระเจ้า สอนให้มนุษย์ ติดต่อบูชาพระเจ้าโดยตรง โดยไม่ มีบุคคล คนกลาง หรือ สิ่ง ใดก็ตาม ระหว่าง มนุษย์ กับพระเจ้า ในศาสนาอิสลาม ไม่มี ศาสดาที่ประกาศ ศาสนาออกมาจาก ความคิด และสมองของท่านเอง:
อีกทั้งท่านนบีมูฮัมหมัดที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงตั้งให้เป็นศาสนทูตนั้น ก็มีหน้าที่ในการนำบัญชาของพระองค์มาประกาศให้มวลมนุษย์ได้รับทราบ ท่านมิได้คิดค้นวางข้อบัญญัติของศาสนาด้วยสติปัญญาของท่านเอง และท่านก็มิได้ประกาศสิ่งอื่นใดเลยนอกจากบัญชาของอัลลอฮ์เท่านั้น
(อ.ฟารีด เฟ็นดี้)
ในข้อความนี้ อัลกุรอาน คือบัญชาจากอัลลอฮ์ แต่ว่า อะหะดีษของ บุคอรีย์และอื่นๆ เรีองเล่า เหล่านั้น ไม่ใช่ บัญชาของอัลลออ์ ซึงสามารถ พิสูจน์และนำหลักฐาน มา ยืน ยัน ได้โดยไม่ ยาก เลย
เนื่องจากว่า ศาสนาอิสลามไม่มีสถาบันสงฆ์ ดังนั้น อิสลามจึงไม่มีศาสดา สำหรับ กราบ ไหว้ และ เคารพบูชา, เราไม่มีนักบุญ, สังฆราช , พระสงฆ์, แม่ชี และ สามเณร ที่ สำคัญที่ สุด ก็ คือ ศาสนาอิสลาม ไม่มีเครื่องแบบ มุสลิมจะต้องจำใส่ใจไว่ว่า ศาสนา อิสลาม ไม่มี เครื่อง แบบ ที่แสดง ว่า เป็น มุสลิม เมื่อใดก็ตาม ถ้าเราเริ่มต้น จัดตั้ง เครี่อง แบบ ของ มุสลิม แล้ว ผู้ที่ ยากจน, จนแทบไม่มีอะไรเหลือ ติดกาย จะรับนับ ถือ อิสลาม ได้อย่างไร?
เครื่องแบบที่ดี มีบัญญัติไว้ ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ อายะที่ 26
ลูกหลานอาดัมเอ๋ย แท้จริงเราได้ให้เครื่องนุ่งห่มลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว เพื่อปกปิดสิ่ง อัน น่า ละอายของพวกเจ้าและเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความสวยงาม, แต่เครื่อง นุ่งห่มที่ดีที่สุด ก็ คือ ความเป็นผู้ที่มีคุณธรรม อยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรม, นี่คือส่วนหนึ่งจาก บรรดาโองการ ของอัลลอฮ์ เพื่อเตือนใจเขาเหล่านั้น [7:26]
การเปรียบเทียบว่า ฮิญาบก็เช่นเดียว กับ ชึวร หรือ ผ้าไตร ของภิษุสงฆ์ ใน ศาสนา พุทธนั้น เป็นการเปรียบเทียบโดยที่ไม่เข้าใจหลักศรัทธาของอิสลาม และเป็น ชริก เพราะ ว่า ในศาสนา อิสลาม ไม่มีการ เกาะชาย ฮิญาบเพื่อไปสวรรค์
เมื่อใดก็ตามที่มุสลิมเข้าใจว่า ฮิญาบ หรือ ชุดแช็กของอินเดีย คือ เครื่องแบบของ ผู้ ศรัทธา และถ้าผู้ใดไม่สวมใส่ จะไม่ใช่ผู้ศรัทธาที่แท้จริง แล้ว ก็เท่ากับการเอาความศรัทธา ที่ เราควรจะมีต่อ พระองค์ อัลลอฮ์ เท่านั้น ไป หยุด อยู่ ที่เครื่อง แต่งกาย และเครื่อง แบบ การเชื่อและกระทำเช่นนี้ ถือว่า เป็น ชริก และการ แสดง แต่การแต่งตัวโดย การสวม ใส่ ฮิญาบ หรือ ชุดแชคของอินเดีย เพื่อแสดงว่าเป็น ผู้ศรัทธาอย่าง แท้ จริง แต่ใจจริง เพื่อ แสดง ให้ผู้คนเห็น เท่านั้น ก็ได้ขื่อว่า เป็น พวกหน้าไหว้หลังหลอก (มูนาฟิก)
เราจะเห็นว่า พ่อค้ามุสลิมในเมื่องไทยเราบางพวก จำแบบการปฏิบัติ ของพ่อค้า ในต่างประเทศ เข้า มา ใช่ใน สังคมมุสลิมไทยเรา โดยอาศัยความศรัทธา ของมุสลิม ที่มีใจบริสุทธิ ให้ หลง เชื่อ เพื่อ ซึ้อ สินค้า ของเขา การบอกว่า อะหะดีษบุคอรีและอื่นๆ มีความสำคัญเทียบเท่า กับ อัล กุรอาน หรือ เป็น วะฮีย์ เล่มที่สอง รองจากอัลกุรอาน ก็ เพื่อ ที่จะได้ขาย การแปล อะหะดีษเป็น ไทย ให้ มากขึ้น, ฮิญาบ และชุดแซ็กอินเดีย เป็น เครื่อง หมาย ของ ความศรัทธา ผู้ที่มีศรัทธาที่แท้จริง จะต้อง สวมใส่ เป็นการกระทำของ พ่อค้ามุสลิม บางจำพวก ที่กล้าที่จะ เสี่ยง เอา ความศรัทธา ในศาสนา มาหาประโยชน์ ในการค้า ของ ตน เพื่อขายสินค้า ของคน ให้มากขึ้น การกระทำเช่นนี้ มีอยู่ ในทุกๆศาสนา ถ้าพ่อค้ามุสลิมไทยเราเริ่ม ใข้ ความศรัทธา ในศาสนา ของ มุสลิม ไทยด้วยกัน เป็น การหาผลประโยชน์ ให้ แก่ตัวเอง โดยไม่ละอายใจแล้ว คงจะหาข้อแก้ตัวได้ยาก ในวันตัดสิน
ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการสวมใส่ ฮิญาบนั้นไม่ใช่หลักการของศาสนาอิสลาม ไม่มี บัญญัติในอัลกุรอาน ให้ มุสลิมสวม ฮิญาบ
ปัญหามันอยู่ที่ว่า ผู้ที่เป็น มุสลิม คือผู้ที่ ยอมตัว สวามิภักดิ์์ ยอมจำนน ต่อพระองค์ อัลลอฮ์เท่านั้น, จะเชื่อบุคอรีย์และอื่นๆ ที่เป็นมนุษย์ หรือจะเชื่อ บัญญัติของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) ที่เป็นบัญญัติของ พระเจ้า
แมทท์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
asan ผู้ดูแลกระดานเสวนา
เข้าร่วมเมื่อ: 21/03/2005 ตอบ: 3165
|
ตอบ: Fri May 20, 2005 11:56 am ชื่อกระทู้: |
|
|
อนิจจาคุณแมท
คำจำกัดความ: |
|
ขนาดไฟล์: |
17.89 กิโลไบต์ |
เข้าชม: |
29557 ครั้ง |
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dabdulla มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005 ตอบ: 437
|
ตอบ: Thu Jun 16, 2005 12:06 am ชื่อกระทู้: |
|
|
คุณ Matt ครับ
นักวิชาการที่เขาอ้างอัลกุรอ่าน และ ฮาดิษ น่ะ เขาตีความตามความหมายจากภาษาอาหรับครับ
ส่วนคุณน่ะ เล่นง่ายมาก อยากเป็นโต๊ะครูแต่ไม่ลงทุน แปลกุรอ่านจากภาษาอังกฤษ แถมใช้โปรแกรม ค้นหาความหมายของคำๆ นี้ แค่นั้นเองแล้วก็บอกว่าไม่มี
ถ้าอยากจะถกเรื่องศาสนาน่ะ คุณเตียมข้อมูลและพูดเป็นเรื่องๆ แล้วคุยกับนักวิชาการครับ
พอเวลาอาจารย์ เขาตอกคุณหงายท้องไป คุณก็เปลี่ยนเรื่อง
อยากเป็นผู้รู้น่ะ ลงทุนหน่อย
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
mapledang มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 04/06/2005 ตอบ: 3
|
ตอบ: Fri Jun 17, 2005 2:57 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ไม่ใช่ครับ เค้าเป็นลัทธิใหม่ ห่างไกลจากอิสลามครับ
หุกุมตกศาศาสนาเช่นกันครับ nop
แล้วคุณ nop นี่เป็นอะไรหรือ ทำไมถึงรู้ว่าใครเป็นมุสลิมหรือไม่เป็น
ในเมื่อเจ้าตัวเค้าบอกว่าเค้าเป็นมุสลิม
ขอกล่าวคำว่า คุณ matt และพี่น้องมุสลิมทุกคนในบอร์ดนี่
รู้สึกไม่ดีเลยที่พอมีใครเห็นแตกต่างกับฉันแล้วเขาต้องกลายเป็นกาเฟร
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
yoohoo มือเก่า
เข้าร่วมเมื่อ: 17/02/2004 ตอบ: 65
|
ตอบ: Fri Jun 17, 2005 3:39 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ครับ ต้องอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกอิสลามใช่มั้ยครับ คุณไม้แดง
ถ้าเจ้าตัวคนไหนบอกเองว่าเป็นมุสลิมก็ต้องเป็นมุสลิมใช่มั้ยครับ
แต่บางคนก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีเหมือนกันนะครับ ที่มีมุสลิมที่ปฏิเสธคำพูด หรือการปฏิบัติของท่านร่อซู้ล (ซ,ล.) แล้วยังกล่าวดูถูกเหยียดหยาม บรรดาผู้ที่รายงานและบันทึกเหล่านั้น จุดนี้เองที่มุสลิมทั่วทั้งโลกเค้าคงรับไม่ได้หรอกนะครับ ยกเว้นเฉพาะบางคนเท่านั้นที่ยังรับได้
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
matt มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2004 ตอบ: 254 ที่อยู่: usa
|
ตอบ: Fri Jun 24, 2005 10:15 am ชื่อกระทู้: |
|
|
สวัสดีคุณ dabdulla
ผมว่าคุณเข้าใจผมผิด ผมไม่มีความอยากจะเป็น นักวิชาการ, อาจารย์, หรือ ท่านโต๊ะครู อย่างที่คุณเข้าใจ เลย, ผมไม่ทราบว่า การเป็นโต๊ะครู ต้องมีการลงทุน เพราะเมื่อใดก็ตามถ้ามีการลงทุน แสดงว่า จะต้องมีหนทางที่จะกอบโกยผลประโยชน์ กลับ เมื่อได้เป็น โต๊ะครูแล้ว, ผมเป็นแต่ เพียง มุสลิมไทยผู้หนึ่ง ซึ่ง อดทนดูไม่ได้ ที่เห็น นักวิชาการ, อาจารย์, หรือ ท่านโต๊ะครู บางท่าน ผมหมายถึงบางท่าน นะครับ ! ที่พยายาม จะ ยกเอา สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ ขึ้นมาอ้างว่า เป็น กิตาบุลลอฮ์ เล่มที่สอง และ อ้างเอาภาษา อรับ เป็นภาษาเดียว ที่สามารถ จะศึกษาศาสนาอิสลามที่ถูกต้องได้, ผมเรียนศาสนาอิสลาม มาจากข้อเขียน นักวิชาการ, อาจารย์, หรือ ท่านโต๊ะครู ไทย, ที่สอนผมมา เมื่อสมัยอยู่เมือง ไทย และปัจจุบัน ก็ยังศึกษาจากอาจารย์ ในเมืองไทย และอ่านข้อเขียนที่ท่าน แปลมาจาก ภาษา อรับ เสมอ
แม้แต่ท่านอาจารย์ บางท่าน ที่มีความเห็นไม่ตรงกับผม ส่วนใดที่ ท่านพูด อยู่ในหลักการ ของ อิสลาม ผมก็ รับฟัง ส่วน ใดที่ ออกนอกทางไป ผมก็ไม่เห็นด้วย ส่วนที่ไม่เห็นด้วย และเห็นว่า ออกนอกลู่นอกทาง ของ อิสลาม ไป ก็เช่น การยึดถือ เรื่อง เล่า เกี่ยว กับ ท่าน รอซูลไปในทาง ที่ ขัด กับ อัลกุรอาน และ หลงงมงายไปกับเรื่อง เล่า เหล่านั้น โดย ไม่ลืมหูลืมตา ดูโลก ว่า มีความแท้จริงมากน้อยเท่าใด, ไม่มีการชั่งน้ำหนัก โดยใช้สติปัญญา เพราะเรื่อง เล่า เหล่านั้น บางเรื่อง ก็ ไม่เคยมีผู้ใดปฎิบัติ ตาม แม้แต่ ตัวท่าน อาจารย์ และ ท่าน โต๊ะ ครูเอง แต่ พยายามจะนำมา สอน ให้ มุสลิมทั้ง หลาย ปฎิบัติ โดยอ้างว่า มีผู้เล่าว่า หรือ เคย เห็นว่า ท่านรอซูลเคยสอนหรือ ปฏิบัติ
ตัวอย่างเช่น การ โกนขน บริเวณอวัยวะสืบพันธ์ของทั้งหญิงและชาย เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ นั้น, เราจะต้องเข้าใจว่า ในสมัยนั้น และในประเทศทะเลทราย ที่การอาบน้ำ ชำระ ร่างกาย ไม่สะดวกสบาย เหมือนอย่าง ใน สมัยนี้ การโกนขนบริเวณอวัยวะ สืบพันธ์ ของทั้งชาย และ หญิง ในสมัยนั้น จึง เป็น สุขวิทยาส่วนบุคคล ข้อหนึ่ง ที่ป้องกัน ตัวเหา หรือ การเกิดของเชื่อรา เนื่องจาก ความหมักหมม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคม ที่มีภรรยา จำนวนมาก กว่า 1 คน, แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเรา ทำการโกนขนบริเวณอวัยวะ สืบพันธ์ ตามฮะดิษแล้ว จะได้ขึ้นสวรรค์, และถ้าไม่โกนจะ ตกจากการเป็นมุสลิม, การโกนขนดังกล่าวแล้ว รวมทั้ง การ คลิบหนังที่หุ้ม ปลายอวัยวะสืบ พันธ์ ชาย มีปฏิบัติ มานมนาน ก่อน หน้าท่าน รอซูล
มาถึงในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านโต๊ะครูบางท่าน นำเอาหะดิษนี้ มาบังคับใช้ และหนักไปกว่านั้น ในบางประเทศมีการบังคับ ให้ มุสลิมหญิงตัดปลายส่วนหนึ่งของ อวัยวะเพศ, ในประเทศไทย เรา โต๊ะ ครูบางท่าน สนับสนุน ให้มุสลิมชาย ไว้ เครา แต่ ไม่บังคับ หรือไม่กล่าวถึงเลย ในเรื่องการ โกนขนบริเวณอวัยวะ สืบพันธ์ ของทั้งชาย และ หญิง ทั้งนี้ เพราะ ตัวท่านเองไม่อาจจะ ทำตาม ซุนนะห์ ข้อนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ และไม่ สามารถ จะบังคับ ให้บุตรภรรยาทำได้
จาก ซอเฮี๊ยะบุคอรีย์เล่าว่า:
ท่านรอซูลกล่าวว่า, การปฏิบัติที่สมควร ตามธรรมชาติของมนุษย์ มีอยู่ ห้าประการคือ 1.การ คลิบหนังที่หุ้ม ปลายอวัยวะสืบ พันธ์ ชาย,2. การโกนขนบริเวณอวัยวะ สืบพันธ์ ของทั้งชาย และ หญิง, 3.การกันหนวดและเคราให้เรียบร้อย, 4.การตัดเล็บ และ 5.การโกนขนรักแร้
คุณจะเห็นว่าเรื่องเล่านี้ เป็นเรื่องดีเกี่ยวกับ การรักษาสุขวิทยาส่วนบุคคล ซึ่ง ปฏิบัติกันมา นานนมแล้ว ตั้งแต่ท่าน นบีอิบรอฮิม, สำหรับ ข้อ 2.การโกนขนบริเวณอวัยวะ สืบพันธ์ ของทั้งชาย และ หญิง นั้น ผมอยากถาม ผู้ที่ อ้างตนว่าทำตาม ซุนนะหฺ นั้นปฏิบัติ อยู่อย่าง สม่ำ เสมอ หรือไม่ คุณๆลองสำรวจตัวคุณดูซิ ว่า ตามที่เราว่าเราสอน นั้น เราทำหรือเปล่า, และถ้าผมจะตกจากการ เป็น มุสลิม โดยไม่ปฏิบัติตาม หรือไม่เชื่อ ซอเฮี๊ยะบุคอรี แล้ว เนื่องจากฮะดีษบทนี้ ผมอยากจะทราบว่า ไทยมุสลิม มีจำนวนเท่าใด จะ ถูก ตัดออก จากการ เป็นมุสลิม? รวมทั้ง ท่าน โต๊ะครูต่างๆด้วย
ในเรื่องภาษาถ้าคุณ และเข้าใจภาษา อรับ อย่างดี คุณจะเข้าใจว่า ชาวอรับ ในต่างท้องถิ่น ก็ใช้และตีความหมายทางภาษาแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี่ การจดบันทึก อะหะดีษ จึงแตก ต่าง กันออกไป เพราะความเข้าใจที่ แตกต่างกัน ของ สายสืบที่เล่าต่อๆกันมา จากเมือง และ ท้อง ถิ่น ต่างๆ ทำให้เรื่อง เล่า เหล่านั้น ถูก เปลี่ยนแปลงไป เนื่อง จาก สำนวน ทางภาษา และความเข้า ใจที่ ต่างกัน ใน ความหมาย จึงทำให้ อะหะดีษ ขัดกัน เอง ขัดกับ อัลกุรอาน และ เป็นเหตุ ให้มุสลิม แตกออกเป็น นิกายต่างๆ เพราะ มีความเชื่อ ว่า ท่านรอซูล กล่าวหรือสั่งสอนที่ แตกต่างกันออกไปเช่นนั้น, ทั้งนี้ เพราะเขา เหล่านั้น เชื่อ ในนักวิชาการ, อาจารย์, หรือ ท่านโต๊ะครู ที่ สอนศาสนาโดยอาศัย อะหะดีษมาอธิบาย อัลกุรอาน
โดยเหตุ นี้ นักเรียนไทยที่จบการศึกษาศาสนา อิสลาม ใน ประเทศต่างๆ ใน ภาคตะวันออกกลาง, อินเดีย หรือ ปากีสตาน ฯลฯ เมื่อกลับมา เป็น นัก วิชาการ, อาจารย์, หรือ ท่านโต๊ะครู ในเมืองไทย แล้ว จึงแตกออกเป็น กลุ่ม และ สำนักอาจารย์ ต่างๆ, มีการ เปิดสำนักสอนศาสนา, ต่างสำนักก็สอนไปตามความรู้ที่ได้รับมาจาก ท้องถิ่นต่างๆ, เพราะ ว่า ตีความหมายภาษา อรับ ไปคนละทางสองทาง ทำให้ลูกศิษย์ แต่ละสำนัก ที่เรียน จบออกมา, มานั่งโต้เถียง กัน ตาม ร้านกาแฟ บ้าง ตาม เวบ ต่างๆ ออกอากาศ ทางวิทยุ โต้เถียง กัน, อาจารย์ ต่อ อาจารย์ โต๊ะครูต่อโต๊ะครู ฯลฯ
คุณเคยเห็นที่ใดบ้าง ในสังคมมุสลิมที่อยู่ ในสภาพภูมิศาสตร์ เดียวกัน มีการละหมาด ในวันสำคัญทางศาสนาไม่พร้อมเพรียงกัน? ทั้งนี้ก็เพราะว่า มุสลิมเรายึด นัก วิชาการ, อาจารย์, หรือ ท่านโต๊ะครู เป็นหลัก แทนที่จะยึดถือ หลักการของศาสนาเป็นหลัก
ผมจะยกตัวอย่าง ในเรื่องภาษาให้คุณเห็นและให้คุณตัดสินเอง เพื่อความเข้าใจ, เนื่องจากผมมีความรู้ภาษา อรับโดยการเรียนด้วยตนเอง ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย นอกจาก เวลา เท่านั้น, เท่าที่อ่านดูเห็น และเข้าใจ ในซูเราะฮฺ อัรรอหฺมาน อายะที่ 14 แปลโดย นักเรียน เก่า อรับ ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่า เมื่อถ่ายทอด ถอดความ หมาย ออกมา เป็นภาษาไทยแล้ว จะต้อง ดีกว่าที่ผม แปลมาจากภาษาอังกฤษอย่าง แน่นอน เพราะว่า ผมไม่เคยเห็น ผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษท่านใด แปล อายะนี้ ว่า ดินเหนียวมีเสียงเช่นเครื่องปั้นดินเผา
خَلَقَ الْإِنسَانَ مِن صَلْصَالٍ كَالْفَخَّارِ
14. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากดินเหนียวมีเสียง เช่นเครื่องปั้นดินเผา
คุณ ช่วย กรุณาหาคำภาษา อรับ จาก อายะ 55:14 ที่มีความหมายหรือคำแปลว่า เสียง
และถ้าไม่มีแล้วทำไมเขาจึงแปลเช่นนั้น และถ้ามี อ่านว่าอะไร? ผมขอเรียนภาษาอรับ จากคุณโดยไม่มีการลงทุน
อีกประการหนึ่งที่คุณเข้าใจผิดคือ ผมไม่ต้องการมาถกปัญหาเรื่อง ศาสนา กับท่านผู้ใด หรือ มาเปลี่ยนความเชื่อของท่านผู้ใด, หากแต่ อยากจะแลกเปลี่ยนเหตุผล ว่า ทำไม มุสลิมเราจึงมี ความศรัทธา ที่นอกเหนือ ไป จาก การ สอน ของท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด และไม่ปฏิบัติตาม ซุนนะห์ ของท่าน อย่างเคร่งครัด ท่านรอซูลรับวะฮีย์ จากอัลลอฮ์ คือ อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ ของพระเจ้าโดย แท้จริง และ เป็น กิตาบุลลอฮ์ เล่มสุดท้าย
ท่านร่อซูล มุฮัมมัด ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, กล่าวว่า,
ฉันจะไม่ปฏิบัติ ตาม(ยึดถือ) สิ่งอื่นใด นอกจากสิ่งที่ถูกวะฮีย์(อัลกุรอาน)ให้กับฉัน (46:9)
เมื่อท่านร่อซูล มุฮัมมัด ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวไว้เช่นนี้ ทำไมมุสลิมถึงไม่ปฏิบัติตาม ฮะดีษและซุนนะหฺ ที่แท้จริง จากปากของท่าน แต่กลับไปยึดหลักการ จากเรื่องบอกเล่าที่ท่านไม่ได้ อนุมัติ ให้จดบันทึก หรือ ใช้ เป็น หลักการ ของศาสนาอิสลาม จากผู้อื่น
ผมนำบทบัญญัติ ในอัลกุรอานมาเตือน ความจำ ของคุณ เพื่อคุณจะได้นำไปคิดดูว่า ที่ ผมกล่าวมานี้ ผิดจากหลักการของอิสลามหรือไม่? ถ้าสื่งที่ผมนำมากล่าว หรือแสดงความเห็น ในที่นี้ เป็นลัทธิ อุบาทว์ อย่างที่ บางท่านเข้าใจแล้ว ยังจะมี หลักฐานอื่นใดอีกหรือ ที่ นอกเหนือ ไปจาก อัลกุรอาน ที่ มุสลิมควรจะใช้ เป็นหลัก ในการปฏิบัติศาสนกิจ และใช้ใน การเรียนการสอนศาสนาอิสลาม ให้ เป็น มรดก ตกทอด ไปชั่วลูกชั่วหลาน
สิ่งที่ผมนำมากล่าวในที่นี้ มีหลักฐาน อยู่ในอัลกุรอานทั้งสิ้น ไม่ได้เป็น ลัทธิ อุบาทว์ อะไรเลย, นอกจาก จะเป็นความเข้าใจผิด ของผู้ที่มี ความ หวาดผวา ที่ไม่กล้าที่จะทำความเข้าใจต่อความเป็นจริง
การเชื่อฟังท่านร่อซูล มุฮัมมัด ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็คือการเชื่อในข่าวสารที่ ท่านได้รับวะฮีย์ จากอัลลอฮ์ ให้มาประกาศต่อมวลมนุษย์ นั้นก็คือ อัลกุรอาน เพียงอย่างเดียว
(3:132) และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา "
(4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ "
(72:23) ผู้ใดก็ตามผู้ซึ่ง ไม่เชื่อฟัง พระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์, เขาเหล่านั้น จะตกอยู่ในไฟนรกไปตลอดกาล
ผมหวังว่าคุณ dabdulla คงเข้าใจเจตนา ของผม และช่วย กรุณาเข้า ใจด้วย ว่าการเรียน รู้ เป็นการเสริมสร้างอุปนิสัย และวิธีการเรียนรู้ไม่ได้ จำกัด แต่ในวิธีการเดียว
แมทท์
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
dabdulla มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2005 ตอบ: 437
|
ตอบ: Sun Jun 26, 2005 10:54 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ถึงคุณแมทท์ครับ
ที่คุณกล่าวว่า เมื่อโต๊ะครูมีการลงทุนแล้ว ก็จะต้องมีการแสวงหาผมประโยชน์ คุณพูดถูกต้องครับ ไม่ใช่โต๊ะครูอย่างเดียว พี่น้องของผม ทั่วโลก ที่ลงทุนก็แสวงหาผลประโยชน์เช่นกัน
ไม่ทราบว่าในหัวคุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณอาจจะหมกมุ่นอยู่กับดุนยา จนลืมอาคิเราะห์ไป
การที่บรรดาผู้ศรัทธา ลงทุนนั้น พวกเขาก็หวังว่า จะได้รับการตอบแทนจากอัลลอฮ นั่นแหละครับคือการแสวงหาผลประโยชน์
ถึงคุณจะส่ง ข้อความมายาว แต่ผมไม่อ่านหรอกครับ เพราะไม่ได้ให้สาระประโยชน์ อะไร
ขนาดคุณอ้างว่า คุณตามกุรอ่าน แต่คุณยังจะใช้สติปัญญาของคุณ มากำหนดทิศทางของมัน เช่นศาสนาบอกห้ามกินดอกเบี้ย แต่คุณบอกว่า กินได้ ถ้าเป็นดอกเบี้ยที่ไม่ใช่ขูดเลือดขูดเนื้อ ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ ถ้าผมบอกว่า คุณแมทท์ อย่าไปกินอาเจียนของคนอื่น คุณจะต้องวินิจฉัยว่ามันเป็นอาเจียนแบบใหน และ แบบใหน กินได้ หรือ ไม่ได้
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
อับดุลฟัตตะหฺ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 19/09/2008 ตอบ: 22
|
ตอบ: Mon Sep 22, 2008 2:28 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถึงนาย matt ที่.....................
การเชื่อฟังท่านร่อซูล มุฮัมมัด ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็คือการเชื่อในข่าวสารที่ ท่านได้รับวะฮีย์ จากอัลลอฮ์ ให้มาประกาศต่อมวลมนุษย์ นั้นก็คือ “อัลกุรอาน” เพียงอย่างเดียว
(3:132) “และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา "
(4:80) " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่ "
(72:23) “ผู้ใดก็ตามผู้ซึ่ง ไม่เชื่อฟัง พระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์, เขาเหล่านั้น จะตกอยู่ในไฟนรกไปตลอดกาล”
ผมหวังว่าคุณ dabdulla คงเข้าใจเจตนา ของผม และช่วย กรุณาเข้า ใจด้วย ว่าการเรียน รู้ เป็นการเสริมสร้างอุปนิสัย และวิธีการเรียนรู้ไม่ได้ จำกัด แต่ในวิธีการเดียว
หากนายเอาแต่กุรอานนะ ลองบอกสินายละหมาดอย่างไร เอาสิถ้าตอบได้ ผมจะยอมรับคุณ
หาหลักฐานมาด้วยนะ เรื่องละหมาดนบี ขึ้นไปรับโดยตรงจากอัลลอฮฺ ต่างกับอิบาดะหฺอื่นๆ
ไหน พ่อคนเก่ง ลองบอกมาสิว่าคุณละหมาดอย่างไร เพราะนบีบอกว่า จงละหมาดเสมือนเห็นฉันละหมาด
แต่นี้คือหะดิษ คุณปฏิเสธอยู่แล้ว แสดงว่าคุณไม่ละหมาดตามนบี แสดงว่าคุณคิดขั้นตอนเองได้
คุณเจ๋งกว่านบีใช่ไหมครับ ตอบมานะครับผมจะรอคุณ อย่าเฉไฉ อย่าเอาสีข้างเข้าแถ เดี๋ยวจะเจ็บตัวเปล่าๆครับ
ที่คุณอ้างว่า ผมเป็นแต่ เพียง มุสลิมไทยผู้หนึ่ง ซึ่ง อดทนดูไม่ได้ ที่เห็น นักวิชาการ, อาจารย์, หรือ ท่านโต๊ะครู บางท่าน ผมหมายถึงบางท่าน นะครับ ! ที่พยายาม จะ ยกเอา สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ ขึ้นมาอ้างว่า เป็น “กิตาบุลลอฮ์” เล่มที่สอง และ อ้างเอาภาษา อรับ เป็นภาษาเดียว ที่สามารถ จะศึกษาศาสนาอิสลามที่ถูกต้องได้,วัสลามครับ
คุณอ้างว่าผู้รู้เอาสิ่งประดิษฐ์มนุษย์ ซึ่งผมเชื่อว่าคุณต้องพูดถึงอัลหะดิษแน่ๆ แล้วคุณบอกว่าเอามาอ้างว่าเป็นกิตาบุลลอฮฺ อันนี้ คุณโกหกอย่างหน้าไม่อายครับ และคุณก็ใส่ร้ายพี่น้องมุสลิมอย่างรุนแรงด้วยครับ เพราะหากว่ายกหะดิษมาเป็นกุรอาน นั้นหุก่มทางศาสนาเป็นเช่นไร นั้น คิดง่ายๆครับ มุรตัดแน่ครับ เพราะถ้าทำอย่างที่คุณอ้าง แสดงว่าเขาเหล่านั้นถือว่าคำพูดหรือคำรายงานจากมนุษย์ไปเทียบเท่ากับพระผู้สร้าง เท่ากับว่าภาคีแล้วครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคุณบอกว่าผู้รู้ นักวิชาการเอาหะดิษมาเป็นกิตาบุลลอฮฺ เท่ากับคุณฮุก่มให้เขาเป็นกาเฟรนะครับ แล้วถ้าเป็นการโกหก สิ่งที่คุณฮุก่มไว้จะกลับไปสู่ตัวคุณนะครับ
เตาบัตเถอะครับ ผมว่าคุณนะ อาการหนักแล้วนะครับ คุณคงแย่จนเปรียบเทียบกับกลอนบทนี้ได้นะครับ
เบรกสะบัด คลัชต์เสีย เกียร์หลุด
เครื่องสะดุด เพลาหัก สลักหาย
หัวเทียนบอด ยางแฟ่บ แหนบตาย
ไฟไม่จ่าย ไดไม่ชาร์ต สตาทพัง
วัสลามครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
อับดุล128 มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 03/06/2008 ตอบ: 15
|
ตอบ: Mon Sep 22, 2008 11:07 am ชื่อกระทู้: นั่นนะสิ |
|
|
อิสลาม ยึดถืออัลกรุอ่านเป็ฯรัฐธรามนูญ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าห้ามมีการตะวีน นะครับ
เพราะหากไม่มีการตะวีนแล้ว เราจะไม่เข้าใจในความประสงค์ของอัลเลาะห์ที่แท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ยกตัวอย่าง ในเดือนรอมฎอน ห้ามกินและ ดื่ม หรือ เริ่มถือศีลอด ตั้งแต่ ด้ายขาวแยก ออกจากด้ายดำ แบบ นี้มัน คืออะไร ยังมีอีกมากมาย เพราะอัลกรุอ่านเป็นอะไรที่ใหม่อยู่เสมอ อ่านกี่ครั้งก็มีมนต์ขลังเหมือนกัน
แต่ฮะดิษที่รายงานด้ยบางสายรายงานนี่มันไม่แน่ใจนะครับ เช่น ฮะดิษที่รายงานโดยอาบูฮุรอยเราะห์ ผมว่ามันแปลก ๆ นะ เพราะมันมากมายซะเหลือเกิน บางฮะดิษ รายงานทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้รับอิสลามเลย แบบนี้มันหมายความว่าไง
ผมเห็ฯด้วยกับคุณ MAtt นะครับทุกวันนี้ เราจมปลักอยู่กับโต๊ะครู ผู้รู้และที่มาของข้อมูลที่ผิดเพี้ยนมากมายตั้งแต่สมัยมูอาวียะห์ อูมัยยะห์ ที่ร่วมกับปราชญ์ที่สนองราชสำนักและได้รับอนุญาตให้เปิดสำนักได้ โดยการรับรองของ ราชสำนัก ทำให้เกิด 4 มัซฮับ นี่เอง จนมาถึงปัจจุบัน
ลองศึกษาดูสิ ประวัติศาสตร์อิสลามมันขมขื่นมากมายสักเพียงใด พี่น้อง มีการฆ่ากันเองในหมู่ศอฮาบะห์ ไม่เห็ฯเหมือนกับที่พวกวาฮาบีบอกเลยว่า พวกซอฮาบะห์ไม่มีความขัดแย้งกัน พวกท่านกล้า ยืนยันไหมว่า พวกซอฮาบะห์เปรียบเสมือนดวงดาวบนท้องฟ้าจะเลือกตามใครก็เหมือนกันหมด
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
AlGhuraba มือเก๋า
เข้าร่วมเมื่อ: 15/06/2004 ตอบ: 226
|
ตอบ: Mon Sep 22, 2008 2:17 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เมื่อกล้าอ้าง ก็ควรต้องมีหลักฐาน
"บางฮะดิษ รายงานทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้รับอิสลามเลย"
ขอตัวอย่างครับ
อย่าบอกนะว่า โมเม ตามเขามา
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
อับดุลฟัตตะหฺ มือใหม่
เข้าร่วมเมื่อ: 19/09/2008 ตอบ: 22
|
ตอบ: Tue Sep 23, 2008 1:14 pm ชื่อกระทู้: Re: นั่นนะสิ |
|
|
อับดุล128 บันทึก: | อิสลาม ยึดถืออัลกรุอ่านเป็ฯรัฐธรามนูญ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าห้ามมีการตะวีน นะครับ
เพราะหากไม่มีการตะวีนแล้ว เราจะไม่เข้าใจในความประสงค์ของอัลเลาะห์ที่แท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ยกตัวอย่าง ในเดือนรอมฎอน ห้ามกินและ ดื่ม หรือ เริ่มถือศีลอด ตั้งแต่ ด้ายขาวแยก ออกจากด้ายดำ แบบ นี้มัน คืออะไร ยังมีอีกมากมาย เพราะอัลกรุอ่านเป็นอะไรที่ใหม่อยู่เสมอ อ่านกี่ครั้งก็มีมนต์ขลังเหมือนกัน
แต่ฮะดิษที่รายงานด้ยบางสายรายงานนี่มันไม่แน่ใจนะครับ เช่น ฮะดิษที่รายงานโดยอาบูฮุรอยเราะห์ ผมว่ามันแปลก ๆ นะ เพราะมันมากมายซะเหลือเกิน บางฮะดิษ รายงานทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้รับอิสลามเลย แบบนี้มันหมายความว่าไง
ผมเห็ฯด้วยกับคุณ MAtt นะครับทุกวันนี้ เราจมปลักอยู่กับโต๊ะครู ผู้รู้และที่มาของข้อมูลที่ผิดเพี้ยนมากมายตั้งแต่สมัยมูอาวียะห์ อูมัยยะห์ ที่ร่วมกับปราชญ์ที่สนองราชสำนักและได้รับอนุญาตให้เปิดสำนักได้ โดยการรับรองของ ราชสำนัก ทำให้เกิด 4 มัซฮับ นี่เอง จนมาถึงปัจจุบัน
ลองศึกษาดูสิ ประวัติศาสตร์อิสลามมันขมขื่นมากมายสักเพียงใด พี่น้อง มีการฆ่ากันเองในหมู่ศอฮาบะห์ ไม่เห็ฯเหมือนกับที่พวกวาฮาบีบอกเลยว่า พวกซอฮาบะห์ไม่มีความขัดแย้งกัน พวกท่านกล้า ยืนยันไหมว่า พวกซอฮาบะห์เปรียบเสมือนดวงดาวบนท้องฟ้าจะเลือกตามใครก็เหมือนกันหมด |
มีเหรอครับที่ว่า อุละมาเขาบอกว่าศอฮาบะหฺไม่ขัดแย้งกัน ลองยกตัวอย่าง อ้างอิงสิครับ กล่าวลอยๆแบบนี้ ดูไม่ดีเท่าไหร่นะครับ
แล้วก็เท่าที่ผมเรียนรู้มา ซอฮาบะหฺก็ขัดแย้งกันนะครับ ในเรื่องของการตัดสินปัญหาต่างๆ หลังจากท่านร่อซูล ได้เสียชีวิตแล้ว
การตีความ หรือการออกความเห็นในเรื่องต่างๆของซอฮาบะหฺ ย่อมมีการขัดแย้งกันเป็นธรรมดาครับ หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ท่านร่อซูล ไม่เคยชี้ขาดไว้
เรียกได้ว่าปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นในสมัยซอฮาบะหฺนั้น ก็มีการตัดสินที่แตกต่างกันไปนะครับ
อย่างที่คุณควรทราบนะครับ ว่าซอฮาบะหฺเป็นคนปกติทั่วไป ทำมาหากินปกติ ไม่ได้อยู่กับท่านร่อซูล ตลอดเวลา 24ชม.
ฉนั้น เรื่องของคำสั่งสอนต่างๆของนบี ศอฮาบะหฺแต่ละท่านจึงรับรู้ไม่เท่ากันนะครับ เลยทำให้ตัดสินปัญหา หรือกระทำบางอย่าง ขัดแย้งกัน
แต่นั่น เนื่องจากความไม่รู้นะครับ เมื่อเขารู้เขาก็แก้ไขกันทันที ในเรื่องของการตัดสินปัญหาเหล่าซอฮาบะหฺก็ตัดสินจากตัวบทเท่าที่ตนรู้น่ะครับ
แม้แต่กุรอาน แต่ละท่านในสมัยนั้นก็ใช่ว่าจะรู้เท่ากันนะครับ แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่า ซอฮาบะหฺนั้น มีความยำเกรงในอัลลอฮฺ อย่างมากครับ
การตัดสินปัญหาใดๆ ก็ต้องให้ใกล้เคียงหลักการมากที่สุดครับ เรียกได้ว่าต่างก็กลัวว่าตนจะตัดสินผิดน่ะครับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ การรวบรวมอัลกุรอานเป็นเล่ม ท่านอุมัรแนะให้ทำแต่ท่านอุมัรปฏิเสธด้วยจุดยืนที่ว่านบีไม่ได้สั่ง
แต่ท่านอุมัรบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แล้วก็จะได้เผยแผ่ ได้รักษากุรอานสืบไป จนสุดท้ายท่านอบูบักร์ก็ยอมรับในข้อเสนอแนะของท่านอุมัร
นี่ครับ เขาขัดแย้งกันในเรื่องที่ดีครับ ขัดแย้งด้วยความจงรักภักดีครับ แล้วเราวันนี้หลายๆคนแย้งเพื่ออะไรครับ
ลองถามตัวเองนะครับ ว่าที่เราต้องการคืออะไร แล้วศาสนาสอนไว้จริงๆคืออะไร ผิดก็เปลี่ยนแปลง อัลลอฮฺทรงเมตตายิ่งครับ
"ผมไม่คิดไม่ฝันเลยนะครับ ว่าวันหนึ่งจะมีคนมาปฏิเสธอัลหะดิษ และยังบอกว่าจะแปลกุรอานเองอีก มันดูยังไงๆ อยู่น่ะครับ เราที่เกิดในสมัยนี้ผมว่าเรื่องที่ออกนอกลู่นอกทางมันเยอะมากจน
ผมมองว่า หากเราตีความกุรอานเองด้วยปัญญาของตนเอง รังแต่จะหลงทางมากขึ้นเท่านั้นล่ะครับ "
" อาจมีคนคิดว่า เออสมัยนี้ไปดวงจันทร์ได้แล้ว จะไปตามคนสมัยขี่อูฐทำไม เราเก่งกว่าเยอะ
จะแปลกุรอานเองไม่ได้เลยหรือไง แล้วก็มีอีกบางคนที่บอกว่าการรายงานหะดิษนั้นผ่านการเมือง
ถูกบิดเบือน ทำให้ไม่น่าเชื่อถืออย่างอย่าง เห้อออ ก็อาจจะเป็นไปได้ครับแต่คุณคิดว่า คนที่อิหม่านนั้น
เขาจะเลือกสวรรค์ของอัลลอฮฺ หรือจะเอาแค่ผลประโยชน์ในดุนยาครับ ผู้รู้เหล่านี้มีอามานะหฺพอแน่นอนครับ "
อย่างที่คุณยกตัวอย่างเรื่อง ด้ายขาวออกจากด้ายดำ เนี่ยครับ ใช่ว่าไม่มีตัฟซีรอธิบายนี่ครับ หรือคุณไม่เชื่อ จะตีความเองอย่างเดียว งั้นลองบอกสิครับ ว่ามันคืออะไร คุณ matt ก็มีความรู้เยอะ
ช่วยแปลให้หน่อยนะครับ สำนวนในอัลกุรอาน ถือเป็นภาษาขั้นสูงในภาษาอาหรับนะครับเท่าที่ผมเรียนมา
แต่กระนั้นการเข้าใจภาษาก็มิอาจเข้าใจความหมายได้อยู่ดี อัลลอฮฺจึงต้องวะฮฺยูให้นบีอธิบายไงครับ ถ้าเราศรัทธา ต่อร่อซูล ศรัทธาในสิ่งที่เราประกาศไว้
ว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมมัดเป็นร่อซูลของพระองค์ เราก็ต้องฟังคำบรรยายจากร่อซูลคนที่เราปฏิญาณไว้นะครับ
ผมว่าเท่านี้น่าจะจบนะครับ แทบจะทุกๆอย่างในอิสลาม รวมอยู่ในกะลีมะหฺชะฮาดะหฺของเรานั่นล่ะครับ
เพียงแต่บางครั้งเราลืมตัว หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เปล่งเสียงออกมา จึงทำให้เรานั้นกระทำการเลยเถิดนำหน้าท่านนบี
ในเรื่องของศาสนาไปบ้าง ก็เท่านั้น วะบิลละฮิตเตาฟีก วัลฮิดายะหฺ วัสลามมุอลัยกุม วะเราะหฺมะตุ้ลลอฮฺ วะบะร่อกาตุ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|